The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ “สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓” เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน โดยมีเนื้อหาในส่วนของพระมหากรุณาธิคุณ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อจังหวัดปัตตานี
ขนาด 21.5x24.5 cm
จัดทำโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี กระทรวงวัฒนธรรม | @ PrinceSukri

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by AKATSUKI S@RU Studios, 2021-09-11 02:40:59

Sombut Pattani | สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓

หนังสือ “สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓” เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน โดยมีเนื้อหาในส่วนของพระมหากรุณาธิคุณ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อจังหวัดปัตตานี
ขนาด 21.5x24.5 cm
จัดทำโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี กระทรวงวัฒนธรรม | @ PrinceSukri

Keywords: กระทรวงวัฒนธรรม,สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี,สมบัติปัตตานี,ประวัติศาสตร์, ศิลปวัฒนธรรม,ภูมิปัญญา,PrinceSukri

ประจําป ๒๕๖๓

กระทรวงวัฒนธรรม
สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดปตตานี



สมบัตปิ ัตตานี ประจ�าปี ๒๕๖๓ “

“ ...ราษฎรในมณฑลนีค้ งได้รับความเสมอหน้ากับราษฎรมณฑลอน่ื ๆ ในพระราชอาณาจักรเหมอื นกัน

เพราะฉะนัน้ เม่อื ได้รบั ความเสมอหนา้ กันแลว้ เช่นนี้ แม้ว่าชาติเดิมจะเปนอะไรหรือแมศ้ าสนาจะตา่ งกนั อยา่ งไร
ต้องเข้าใจว่าตวั เรารสู้ กึ ว่าเหมอื นกนั ทงั้ นน้ั เพราะอย่ใู นความปกครองของเราแล้ว
เราถือวา่ เปนเหมอื นคนไทย คงจะใหไ้ ด้รบั ความร่มเยน็ เปนศขุ ด้วยกนั ทงั้ นนั้ ...

พระราชดา� รสั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกฏุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลท่ี ๖
พระราชทานพระเเสงราชศสั ตราประจ�ามณฑลปัตตานี วันท่ี ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘

ภายใต้โครงการเสรมิ สร้างสงั คมพหวุ ฒั นธรรมทเี่ ข้มแขง็ จังหวัดปตั ตานี
ประจ�าปงี บประมาณ ๒๕๖๓

สา� นักงานวฒั นธรรมจงั หวดั ปัตตานี กระทรวงวัฒนธรรม

“ลวดลายประดบั สถาปตั ยกรรม
บา้ นเรอื นมลายู”

ท่มี า : หนังสือ “SPIRIT OF WOOD“

สาร

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

จังหวัดปัตตานีมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มายาวนาน มีความหลากหลายทางเช้ือชาติและวัฒนธรรม
ที่ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท่ีโดดเด่นและมีการสืบสานจากรุ่นสู่รุ่นจวบจน
ปจั จุบัน
นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ทส่ี ถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ทรงมคี วามหว่ งใยตอ่ อาณาประชาราษฎรท์ กุ พน้ื ทร่ี วมถงึ
ภาคใต้และเมืองปัตตานี โดยได้เสด็จพระราชด�าเนินไปทรงเย่ียมพสกนิกร อีกทั้งได้พระราชทานแนวพระราชด�าริ
เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาส�าคัญ ๆ ให้กับประชาชนในทกุ พนื้ ท ่ี ตง้ั แตส่ มยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รชั กาลท่ ี ๕ จนถึงรัชกาลปัจจบุ นั พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๑๐ ได้เสด็จพระราชด�าเนินไป
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจท่ีจังหวัดปัตตานี คร้ังยังทรงด�ารงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกฎุ ราชกมุ าร และในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ เสดจ็ พระราชทานรางวลั การทดสอบการอญั เชญิ พระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อาน
เปน็ ปแี รก นอกจากนชี้ าวปตั ตานยี งั ไดร้ บั พระราชทานพระแสงราชศสั ตรา และกระถางธปู จากสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
ซ่ึงเป็นสมบตั ิอันลา�้ คา่ ของชาวปตั ตานี
กระทรวงวฒั นธรรมมภี ารกิจในการสืบสาน รักษา และตอ่ ยอดทุนทางวัฒนธรรม เพื่อสรา้ งคุณค่าทางจิตใจ
และเพ่ิมมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพ่ือความกินดีอยู่ดีของประชาชน จึงขอช่ืนชมและขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
ทจี่ ดั พมิ พห์ นงั สอื “สมบตั ปิ ตั ตานี ประจา� ปี ๒๕๖๓” ขน้ึ เพอื่ เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรข์ องชาวปตั ตาน ี หวงั เปน็
อยา่ งยงิ่ วา่ องคค์ วามรจู้ ากหนงั สอื เลม่ นจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ เยาวชนและประชาชนทจ่ี ะศกึ ษาเรยี นรแู้ ละรว่ มกนั อนรุ กั ษ์
สบื สานมรดกอนั ลา�้ คา่ นใี้ หอ้ ยคู่ กู่ บั ชาวปตั ตานตี ลอดไป อกี ทง้ั สา� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
ทีม่ ีตอ่ พสกนิกรชาวปัตตานีเสมอมา

(นายกฤษศญพงษ์ ศิร)ิ
ปลดั กระทรวงวฒั นธรรม

สาร

ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี

“พระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื งปตั ตาน”ี ไดร้ บั พระราชทานในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รชั กาลที่ ๖ ดังพระราชด�ารัสเมือ่ ครง้ั พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจา� มณฑลปัตตานี ความตอนหนึ่งว่า
...ราษฎรในมณฑลนค้ี งไดร้ บั ความเสมอหนา้ กบั ราษฎรมณฑลอน่ื ๆ ในพระราชอาณาจกั รเหมอื นกนั เพราะฉะนน้ั
เมอื่ ไดร้ บั ความเสมอหนา้ กนั แลว้ เชน่ น ี้ แมว้ า่ ชาตเิ ดมิ จะเปนอะไรหรอื แมศ้ าสนาจะตา่ งกนั อยา่ งไร ตอ้ งเขา้ ใจวา่ ตัวเรา
รสู้ กึ วา่ เหมอื นกนั ทงั้ นน้ั เพราะอยใู่ นความปกครองของเราแลว้ เราถอื วา่ เปนเหมอื นคนไทย คงจะใหไ้ ดร้ บั ความรม่ เยน็
เปนศขุ ดว้ ยกันทง้ั น้นั ...
นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งหาทสี่ ดุ มไิ ด ้ ทมี่ ตี อ่ พสกนกิ รทกุ หมเู่ หลา่ ไมว่ า่ เชอ้ื ชาต ิ ศาสนาใด ทอี่ ยภู่ ายใต้
พระบรมโพธิสมภารของสถาบนั พระมหากษตั ริยม์ าทุกยุคทกุ สมัยจวบจนปจั จุบนั น ้ี อีกท้ัง ส่ิงของพระราชทานตา่ ง ๆ
เช่น กระถางธูปพระราชทาน จ�านวน ๗ ใบ ท่ีประจ�าอยู่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ศาลเจ้าแม่ล้ิมกอเหนี่ยวปัตตานี)
อา� เภอเมอื งปัตตาน ี จงั หวดั ปตั ตาน ี และจา� นวน ๑ ใบ ประจ�าอย่ทู ศี่ าลเจา้ จา่ ยเฮงเกยี ง อา� เภอสายบรุ ี จงั หวดั ปัตตาน ี
ย่อมแสดงให้เห็นพระเมตตาของสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ได้ครอบคลุมไปทั่วท้ังผนื แผน่ ดนิ ไทย
ดังท่ีทราบกันดีว่า จังหวัดปัตตานีมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จึงท�าให้จังหวัดปัตตานีมีมรดกภูมิปัญญา
ท่ีหลากหลายและสวยงาม ดงั ปรากฏในเอกสารเล่มน้ี
ขอขอบคณุ กระทรวงวฒั นธรรม และทกุ ฝา่ ยทม่ี สี ว่ นในการจดั ทา� หนงั สอื “สมบตั ปิ ตั ตานี ประจา� ปี ๒๕๖๓” เลม่ น ้ี
และหวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ เอกสารนจ้ี กั เปน็ ประโยชนต์ อ่ ประชาชนชาวจงั หวดั ปตั ตาน ี ผเู้ ปน็ เจา้ ของวฒั นธรรมอยา่ งสงู สดุ

(นายไกรศร วิศษิ ฎ์วงศ์)
ผวู้ ่าราชการจงั หวดั ปตั ตานี

สาร

วัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี

หนังสือเล่มนี้ จัดท�าขึ้นในโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินชายแดนใต้ตามความต้องการของพื้นที่
“สมบัติปัตตานี : ปัตตานี วันวาน ประจ�าปี ๒๕๖๓” ภายใต้โครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมท่ีเข้มแข็ง
จังหวัดปัตตานี ประจ�าปีงบประมาณ ๒๕๖๓ แผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งได้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ

ส่วนที่ ๑ พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ทีม่ ีต่อจงั หวดั ปัตตาน ี อนั ประกอบดว้ ย
- พระแสงราชศสั ตราประจ�าเมอื งปัตตานี
- กระถางธูปพระราชทาน
- บ่อน�้าศกั ดิ์สทิ ธ ์ิ

ส่วนที่ ๒ มรดกภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานีทท่ี กุ ทา่ นจะไดร้ บั ทราบถงึ ความเปน็ พหวุ ฒั นธรรมทม่ี มี าตั้งแต่
อดีตกาลของจังหวัดปัตตานี บอกเล่าเรื่องราวอนั ภาคภูมใิ จ อนั ประกอบด้วย
- ช่างทองแห่งเมืองสายบรุ ี
- การแตง่ กาย (ชดุ บานง)
- ศลิ ปะการแสดงรองเงง็
- เกลือหวานปตั ตานี
- จิตรกรรมฝาผนัง (วดั ปา่ ศรี)
- สถาปตั ยกรรม (บ้านเรอื น ๓ วิถี)
ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเป็นอย่างสูงที่ให้โอกาสส�านักงานวัฒนธรรม
จงั หวดั ปตั ตาน ี ไดจ้ ดั ทา� ขอ้ มลู พระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื งปตั ตาน ี ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทม่ี คี า่ ยง่ิ ของจงั หวดั ปตั ตาน ี ตลอดจน
ผสู้ นบั สนนุ องคค์ วามรแู้ ละผมู้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งทกุ ทา่ น ทใ่ี หค้ วามรว่ มมอื ในการจดั ทา� หนงั สอื “สมบตั ปิ ตั ตานี ประจา� ปี ๒๕๖๓”
จนส�าเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี

(นางศศเิ พญ็ ละมา้ ยพันธ์ุ)
วัฒนธรรมจงั หวัดปตั ตานี

จติ กรรมฝาผนังวดั ป่าศรี

คา� นา�

PREFACE

กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับจังหวัดปัตตานี ด�าเนินโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินชายแดนใต้
ตามความต้องการของพื้นท่ี “สมบัติปัตตานี : ปัตตานี วันวาน ประจ�าปี ๒๕๖๓” และจัดท�าหนังสือองค์ความรู ้
“สมบตั ปิ ตั ตานี ประจา� ปี ๒๕๖๓” เพอื่ เสรมิ สรา้ งสงั คมพหวุ ฒั นธรรมเชอ่ื มใจคนในพนื้ ทนี่ า� ไปสคู่ วามสงบสขุ และสมานฉนั ท ์
กระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ ประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของปัตตานีในการศึกษาค้นคว้า สืบสาน สร้างสรรค์
เพมิ่ คณุ คา่ ทางสงั คมและเพม่ิ มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ สรา้ งความรกั ความผกู พนั ตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ทางวฒั นธรรม และภาคภมู ใิ จ
ในบา้ นเกดิ ของตนเอง
หนังสือ “สมบัติปัตตานี ประจ�าปี ๒๕๖๓” เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม
และภมู ปิ ญั ญาของจงั หวดั ปตั ตาน ี ซงึ่ ถอื เปน็ มรดกอนั ลา�้ คา่ ทมี่ กี ารสบื ทอดกนั มายาวนาน โดยมเี นอื้ หาในสว่ นของพระมหากรณุ าธคิ ณุ
ของสถาบันพระมหากษัตริย์ท่ีมีต่อจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย พระแสงราชศัสตราประจ�าเมืองปัตตานี กระถางธูป
พระราชทาน บ่อน�้าศักดิ์สิทธ์ิ และมรดกภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย หนังสือโบราณ ช่างทองแห่งเมือง
สายบรุ ี การแตง่ กาย (ชดุ บานง) ศลิ ปะการแสดงรองเงง็ เกลอื หวานปตั ตาน ี จติ รกรรมฝาผนงั (วดั ปา่ ศร)ี และสถาปตั ยกรรม
(บา้ นเรอื น ๓ วถิ ี)
หวงั วา่ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะมคี ณุ คา่ และเปน็ สอื่ ในการเสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ และภาคภมู ใิ จตอ่ ประวตั ศิ าสตร์
และมรดกวัฒนธรรมท้องถิน่ ปตั ตานี ก่อใหเ้ กิดความสขุ อย่างยั่งยืนในสังคมพหวุ ฒั นธรรม
สา� นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

สารบัญ
CONTENT

๓ ๗ พกรรุณะมาหธิคาุณ

สาร ค�าน�า ขทอ่ีมงีตส่อถจางั บหนัวพัดประัตมตหานากี ษตั รยิ ์

สารปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
สารผู้วา่ ราชการจังหวดั ปตั ตานี
สารวฒั นธรรมจังหวัดปตั ตานี

๑๒

พระแสง
ราชศัสตรา

ประจ�าเมอื งปัตตานี

๓๐ ๓๘

กระถางธูป บ่อนา�้
พระราชทาน ศักดส์ิ ิทธ์ิ

มภูมรดิปกัญญา
ของจังหวัดปตั ตานี

๕๒ ๕๘

โหบนรงั าสณือ ชแหา่ งง่ ทเมอืองงสายบรุ ี

๖๘ ๗๒

การเเต่งกาย ศิลปะการแสดง
(ชดุ บานง) รองเง็ง

เขออกงลสักตษรณีชาก์ ยาแรดแนตใง่ ตก้าย ศลิ ปะพื้นเมอื งของคนไทยมสุ ลมิ

๗๘ ๘๖

เกลือหวาน จ(วิตัดกปร่ารศมรฝี)าผนัง
ปตั ตานี
ตัง้ อยทู่ ตี่ า� บลตะโละ อา� เภอยะหร่งิ
การท�านาเกลอื ที่ปตั ตานี จังหวัดปัตตานี
มีมานานกวา่ ๖๐๐ ปี

๙๐

สถาปตั ยกรรม
(บา้ นเรือน ๓ วถิ ี)

แบลา้ นะเบรา้ อื นนเแรอืบนบแมบลบายจ ูีนบา้ นเรอื นแบบไทย

การทา� นาเกลอื ในปัตตานี

ของชาวบ้าน ต.ตันหยงลโุ ละ อ.เมือง จ.ปตั ตานี
ที่มา : มูฮ�าหมัด กะอาบู
ประธานกลมุ่ เยาวชนบ้านตันหยงลไุ ละ

พระเเสงราชศสั ตราประจำาเมืองปัตตานี

12 สมบตั ปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

“ พระแสงราชศสั ตรา
ประจ�าเมอื งปตั ตานี

พระมหากษัตริย์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ให้แก ่
ผู้หน่ึงผู้ใด มีความหมายว่า พระองค์มีพระราชประสงค์ให้บุคคลนั้นมีอ�านาจราชสิทธิ์เด็ดขาด
ในการปฏบิ ตั ริ าชกจิ แทนพระองค ์ บคุ คลผทู้ ไ่ี ดร้ บั พระราชทานพระแสงราชศสั ตรา จงึ เปรยี บเสมอื น
เป็นผู้แทนพระองค์ในการใช้อ�านาจราชสิทธ์ิ มีอ�านาจเต็มในการออกค�าสั่งได้ทุกเร่ือง สามารถ
ตัดสินพิพากษาลงโทษผู้กระท�าความผิด ถงึ ข้นั สงู สุด คอื สงั่ ประหารชวี ิตโดยไมต่ อ้ งกราบบงั คมทลู
ให้ทรงทราบกอ่ น

ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ทรงพระราชด�าริที่จะให้ผู้ว่าราชการมณฑลและเจ้าเมืองทั้งหลาย
ทที่ รงแตง่ ตง้ั ออกไปบริหารราชการและดูแลทุกข์สุขของราษฎรตา่ งพระเนตรพระกรรณ ไดป้ ฏบิ ตั ิ
หน้าท่ีได้โดยสะดวก และสามารถแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องกราบทูลหรือรายงาน
มายังส่วนกลางก่อน จึงมีพระราชประสงค์ท่ีจะพระราชทานพระแสงราชศัตรา หรือจะเรียกได้
อีกอย่างว่า พระแสงราชาวุธไว้ประจ�ามณฑลและเมืองต่าง ๆ เป็นเคร่ืองหมายพระราชอ�านาจ
ของพระองค์ ในการปกครองแผ่นดิน ดังที่สมเด็จฯกรมพระยาด�ารงราชานุภาพ ทรงอธิบาย
ไว้ในหนังสือ “พระราชหตั ถเลขา คราวเสด็จมณฑลฝา่ ยเหนอื ” ตอนหนง่ึ ว่า

“ ...จึงโปรดฯ ให้สร้างพระแสงราชาวุธข้ึนส�าหรับพระราชทานไว้ประจ�าจังหวัดละองค์

จงั หวัดอนั เป็นทีต่ ง้ั ที่ว่าการมณฑลเปน็ พระแสงด้ามทอง ฝักทองลงยาราชาวดี จังหวัดนอกน้ัน
เป็นพระแสงดา้ มทอง ฝักทอง เมือ่ เสด็จไปถงึ เมอื งไหนกพ็ ระราชทานพระแสงสา� หรบั จงั หวัดน้ัน
และมพี ระราชกา� หนดวา่

ถ้าเสด็จไปประทับในจังหวัดใด เม่ือใดให้ถวายพระแสงราชาวุธส�าหรับจังหวัดมาไว้
ประจ�าพระองค์ตลอดเวลาท่ีเสด็จประทับอยู่ในจังหวัดน้ันอย่างหน่ึง และให้ชุบน�้าพิพัฒน์สัตยา
ดว้ ยพระแสงนัน้ ด้วยอยา่ งหนงึ่ ...

13สำ�นกั งานวัฒนธรรมจงั หวัดปตั ตานี

“ ในสมัยรัชกาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั ยงั คงดา� เนินพระบรมราโชบายทจี่ ะพระราชทาน
พระแสงราชศัตรา ให้แก่บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ เช่นเดียวกันกับที่สมเด็จ
พระบรมชนกนารถ และสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าชทรงถอื ปฏบิ ตั กิ นั ตอ่ มา
ตามล�าดับ ดังข้อความท่วี า่

“ อกี ประการหนงึ่ การเสดจ็ พระราชดา� เนนิ เลยี บหวั เมืองมณฑลน้อยใหญ่ ยงั เปน็ โอกาส

ใหไ้ ดท้ อดพระเนตรภมู ปิ ระเทศถน่ิ ฐานบา้ นเมอื ง ทรงทราบความเปน็ ไปอนั เนอ่ื งดว้ ยสขุ ดว้ ยทกุ ข์
ตลอดจนถงึ การทา� มาหาเลยี้ งชพี ของขา้ ขอบขณั ฑสมี าอาณาจกั รทว่ั ไป ไดท้ รงพบเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ
มากอยา่ ง สา� หรบั จะไดน้ า� มาเปน็ เครอื่ งพระราชดา� รดิ ดั แปลงแกไ้ ขสง่ิ ทพ่ี น้ สมยั ผดงุ สงิ่ ทด่ี อี ยแู่ ลว้
ใหค้ งดตี ลอดไป แลว้ พยายามใหด้ ยี ิง่ ๆ ขึน้ สมกบั ท่ีทรงด�ารงตา� แหน่งทเี่ ป็นประมขุ ของชาติ
พระราชจรรยา เชน่ นี้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระบรมชนกาธิราช ไดท้ รง
พระกระทา� เปน็ เย่ียงอย่างอนั ดมี าแลว้

ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมเชษฐาธิราช
กไ็ ดท้ รงพระราชนยิ มในการเสดจ็ พระราชดา� เนนิ ปรากฏวา่ มแี ตก่ ารกระทา� ใหร้ าชการบา้ นเมอื ง
ทวีความเจรญิ ในทางกา้ วหนา้ เม่อื ดังนี้จงึ เป็นการสมควรยิง่ ที่จะทรงอนมุ ัตติ ามพระราชจรรยา
ดังเช่น สมเด็จพระชนกาธิราชและสมเด็จพระเชษฐาธิราช ได้ทรงประพฤติเป็นทิฏฐานุคติ
มาก่อนแล้วน้ัน ท้ังเป็นการทรงแสดงความเคารพต่อสมเด็จพระบรมชนกาธิราชและสมเด็จ
พระบรมเชษฐาธิราช ด้วยอกี ส่วนหนึง่ ...

14 สมบตั ปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

พระเเสงราชศสั ตราประจำาเมอื งปัตตานี

ลกั ษณะ

ของพระแสงราชศสั ตราประจา� เมือง

นบั แตร่ ชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจฬุ า- ๙. เมืองพิชัย ๑๐. เมืองก�าแพงเพชร ๑๑. เมืองตราด
ลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงรัชสมัยพระบาท ๑๒. มณฑลจันทบุร ี ๑๓. มณฑณปราจนี บรุ ี
สมเดจ็ พระปรเมนทรมหาวชริ าวธุ ฯ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระแสงราชศสั ตรา ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ ไดพ้ ระราชทาน จา� นวน ๑๓ เมอื ง
ประจา� เมอื ง รวมทงั้ ส้นิ จา� นวน ๓๒ องค์ คอื ๑. มณฑลราชบรุ ี ๒. เมอื งเพชรบรุ ี ๓. เมอื งประจวบครี ขี นั ธ์
ภายหลังอัญเชิญคืนส�านักพระราชวัง ๒ องค์ คือ ๔. มณฑลปัตตานี ๕. เมืองสายบุรี ๖. เมืองนราธิวาส
พระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื งพชิ ยั และพระแสงราชศสั ตรา ๗. มณฑลนครศรธี รรมราช ๘. เมอื งตรงั ๙. เมอื งนครศรธี รรมราช
ประจ�าเมืองสายบุรี ส่วนพระแสงราชศัสตราประจ�ามณฑล ๑๐. มณฑลชุมพร ๑๑. เมืองระนอง ๑๒. มณฑลภูเก็ต
ชมุ พร ไมป่ รากฏหลกั ฐานว่าเกบ็ รกั ษาไว้ท่ใี ด ๑๓. มณฑลนครชัยศรี

ในช่วงรัชกาลท่ี ๕ ได้พระราชทานพระแสงราช- ส่วนสมัยรัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานพระแสง-
ศสั ตรา จ�านวน ๑๓ เมือง คือ ๑. มณฑลกรุงเก่า ๒. เมือง ราชศสั ตรา จา� นวน ๖ เมอื ง คอื ๑. เมอื งลา� ปาง ๒. เมอื งแพร ่
อ่างทอง ๓. เมอื งสิงห์บุรี ๔. เมอื งชยั นาท ๕. เมอื งอทุ ยั ธานี ๓. เมอื งเชยี งราย ๔. เมอื งเชยี งใหม ่ ๕. เมอื งลา� พนู ๖. เมอื งพงั งา
๖. มณฑลนครสวรรค์ ๗ .เมืองพิจิตร ๘. มณฑลพิษณุโลก

15สำ�นกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดปตั ตานี

ปพรระะจแ�าสเงมรอื างชศสั ตรา ๒. พระแสงราชศัสตราประจ�าเมืองทุกองค์
มีลักษณะเป็นดาบไทย ฝีมือช่างทองหลวงมีความ
อาจจา� แนกลักษณะเฉพาะไดด้ ังน้ี ประณตี งดงามวิจิตรบรรจง สมเป็นเคร่ืองราชูปโภค
ท่ีพระราชทานไว้เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์
๑. ลกั ษณะของพระแสงราชศัสตราประจา� พระแสงราชศัสตราทุกองค์ ตีจากเหล็กกล้าอย่างด ี
เมืองแต่ละองค์บ่งบอกถึงล�าดับชั้นความส�าคัญ สีขาวเป็นมัน มีความยาวประมาณ ๑๐๐ - ๑๑๐
ของเมืองทร่ี บั พระราชทาน คอื เซนตเิ มตร ดา้ มยาวประมาณ ๓๑ - ๓๕ เซนตเิ มตร
ใบยาวประมาณ ๖๕ - ๗๕ เซนติเมตร กว้างประมาณ
๑.๑. เมืองส�าคัญ ซึ่งเป็นที่ต้ังมณฑล ๒.๕ - ๓.๕ เซนตเิ มตร พระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื ง
เทศาภิบาล พระราชทานพระแสงด้ามทองฝักทอง บางองค์นั้น ช่างหลวงจะจารึกอักษรระบุเนื้อทอง
ลงยาราชาวดี หนน�า้ หกั น ๑กั ๙ ๐ท อ แง ลบะรบิเาวงณองปคลจ์ อารกกึพเรละขแทสะเงบ ยีเชนน่ไว อ้ ทยอา่ งงเชนดั ื้อเจ น๘

๑.๒. เมืองสามัญทั่วไป พระราชทาน
พระแสงดา้ มทองฝกั ทอง

16 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

มาตราน้�าหนัก พระเเสงราชศัสตรา
ประจาำ เมืองปัตตานี
“ทองค�า”
ห ากพิจารณาในส่วนของ
๘ กล่�า = ๑ เฟื้อง ชง่ั เน้ือทองแล้ว เน่ืองจาก
๒ เฟื้อง = ๑ สลึง ต�าลึง บาท ทองค�าเป็นแร่ธรรมชาติ
๔ สลึง = ๑ บาท ขุดพบในภูมิภาคต่าง ๆ มีทั้งทองค�า
๔ บาท = ๑ ต�าลึง เฟ้อื ง สลึง บริสุทธ์ิ และทองค�าท่ีมีส่วนผสมของ
๒๐ ตา� ลึง = ๑ ช่ัง กล่า� แรธ่ าตใุ กล้เคียง เชน่ ดิน หิน เป็นตน้
สิ่ ง เ ห ล ่ า น้ี ท� า ใ ห ้ ท อ ง ค� า มี คุ ณ ภ า พ
แตกต่างกัน ดังน้ัน จึงได้มกี ารก�าหนด
อัตราเปรียบเทียบคุณภาพของเนื้อ
ทองค�าไว้ โดยเริ่มต้นจากทองค�าเน้ือส ่ี
เน้ือหา้ เนื้อหก เน้ือเจ็ด เนือ้ แปด และ
เน้ือเก้า ทองเน้ือส่ี จัดเป็นทองค�า
คุณภาพต�่าท่ีสุด มีส่วนผสมของแร่ธาตุ
ชนิดอื่น ๆ อยู่ด้วย ส่วนผสมเหล่าน ้ี
มีจ�านวนมากน้อยต่างกันตามล�าดับ
เนื้อทอง ทองเนื้อหกนั้น นิยมเรียกว่า
ทองลกู บวบ สว่ นทองเนอ้ื เกา้ เปน็ ทองคา�
ท่ีมีคุณภาพดีท่ีสุด เป็นทองค�าบริสุทธ์ิ
ไม่มีแร่ธาตุอื่น ๆ เจือปน มีชื่อเรียก
ต่าง ๆ ว่าทองธรรมชาติ ทองชมพูนุท
ทองเนอ้ื แท ้ ทองนพคณุ ทองเนือ้ กษตั รยิ ์
และทองชมพูนุทเน้ือเก้า ส่วนคุณภาพ
ของเน้อื ทองคา� ตง้ั แต่เนอื้ สีถ่ งึ เน้ือแปด
มอี ตั ราสว่ น แตล่ ะเนื้อเท่ากัน

17สำ�นักงานวัฒนธรรมจงั หวัดปัตตานี

18 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

๓. พระแสงราชศัสตราประจ�าเมือง ๔. ลกั ษณะลวดลายศลิ ปกรรมของพระแสง-
แต่ละรัชกาล มีค�าจารึกที่ใบพระแสงแตกต่างกัน ราชศัสตราประจ�าเมือง มีความคล้ายคลึงกัน
ดงั นี้ ในแต่ละรัชกาล โดยเฉพาะอย่างย่ิงฝักพระแสง
ซึ่งดุนลายงดงาม สะท้อนให้เห็นเรื่องราวเก่ียวกับ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยขู่ องราษฎร และสภาพภมู ปิ ระเทศ
จุฬาลงกรณฯ์ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ของเมืองในแต่ละภูมิภาค เช่น พระแสงราชศัสตรา
มีค�าจารึกว่า “พระแสงส�าหรับมณฑล...” และ ประจ�าเมืองทางภาคเหนือ ลายดุนบนฝักพระแสง
“พระแสงส�าหรบั เมือง...” จะเปน็ ภาพปา่ ภเู ขา ชา้ ง และสตั วป์ า่ นานาชนดิ ฯลฯ
หากเป็นพระแสงราชศัสตราประจ�าเมืองทางภาคใต้
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา- ลายดุนบนฝักพระแสงจะเปน็ ภาพทะเล เรือ สตั วน์ ้�า
วชริ าวธุ ฯ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มคี า� จารกึ เฉพาะ และสัตว์หิมพานต์ต่าง ๆ นอกจากน้ี พระแสง-
ชอ่ื มณฑล เมือง และจงั หวัดเทา่ น้ัน เชน่ “มณฑล...” ราชศัสตราประจา� เมอื งบางองค์ ทบี่ ริเวณโคนใบและ
“เมือง...” และ “จงั หวดั ...” สันพระแสงจะตกแต่งคร่�าทองเป็นลายเครือเถา
ประณีตงดงามมาก
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา-
วชริ าวธุ ฯ พระปกเกลา้ เจา้ อย่หู วั ไมป่ รากฏคา� จารกึ
ทใี่ บพระแสง

ลวดลายของฝกั พระเเสงราชศสั ตราประจำาเมอื งปตั ตานี

19ส�ำ นกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

บันไดแก้ว รองรบั พระเเสงราชศสั ตราประจำาเมอื งปัตตานี

๕. รองรับพระแสงราชศัสตราประจ�าเมอื ง ซง่ึ ทาง
มณฑล เมอื ง หรอื จงั หวดั เปน็ ผจู้ ดั เตรยี ม สา� หรบั ประดษิ ฐาน
พระแสงราชศัสตราโดยเฉพาะ สว่ นใหญ่มี ๒ ลกั ษณะ คือ

๕.๑. บันไดแก้ว ลักษณะเป็นราวรองรับพระแสง
มีเสา ๒ เสาลดหลนั่ กัน อาจท�าเป็นกะไหลท่ องหรอื ไม้ก็ได้

๕.๒. พานแวน่ ฟา้ (พานทองพระมหากฐนิ ) บางแหง่
ใหพ้ านเงนิ หรือพานแก้วเจยี ระไน

20 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

สว่ นประกอบของพระเเสงราชศสั ตรา

21สำ�นักงานวฒั นธรรมจงั หวดั ปัตตานี

พระแสงราชศัสตรา
ประจา� เมอื งปัตตานี

มหาอ�ามาตย์ตรี พระยาเดชานชุ ิต (หนา บญุ นาค)

สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลปตั ตาน ี เปน็ ผูร้ ับพระราชทาน
ณ พลบั พลาทองในสนามเมอื งปตั ตานี

ลกั ษณะพระแสงราชศัสตราส�าหรับเมอื งปัตตานี

ดา้ มทองฝกั ทองลงยาราชาวดี ๑๐๗ เซนติเมตร
ด้ามยาว ๓๒.๕ เซนตเิ มตร
ฝักยาว ๗๔.๕ เซนติเมตร
ใบยาว ๖๖.๕ เซนตเิ มตร
กว้าง ๓.๒ เซนตเิ มตร

ทอดบน “บันไดแก้ว” ใบพระแสงจารึกข้อความ
จเหามรกึอื วน่ากนั“ ท๒๖ ง้ั๑ ๖ ส”องดา้ นวา่ “มณฑลปตั ตาน”ี ๑ ปลอกดา้ นซา้ ย

๑ ก่อตัง้ ขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ประกอบด้วย ๔ เมือง คือ เมอื งปตั ตาน ี เมอื งยะลา เมืองสายบุรี และเมอื งระแงะ โดยมเี มอื งปัตตานเี ป็นศนู ยก์ ลางบัญชาการ
และในป ี พ.ศ. ๒๔๗๔ รฐั บาลยกเลกิ มณฑลปตั ตาน ี เปน็ จงั หวดั ปตั ตาน ี จงั หวดั ยะลา และจังหวัดนราธิวาส

22 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

พระราชดา� รัส

ของพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาวชริ าวธุ ฯ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๖

วนั ที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘
พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจ�ามณฑลปัตตานี

“เราขอขอบใจสมุหเทศาภิบาลและขอบใจข้าราชการ
ทั้งประชาชนของเรา ในการท่ีได้พร้อมใจกันมาให้พรในวันน ี้
ที่เมืองปัตตานี... ราษฎรในมณฑลนี้คงได้รับความเสมอหน้า
กับราษฎรมณฑลอื่น ๆ ในพระราชอาณาจักรเหมือนกัน
เพราะฉะนนั้ เมอื่ ไดร้ บั ความเสมอหนา้ กนั แลว้ เชน่ น ี้ แมว้ า่ ชาตเิ ดมิ วันท่ี ๙ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘
จะเปนอะไรหรอื แมศ้ าสนาจะตา่ งกนั อยา่ งไร ตอ้ งเขา้ ใจวา่ ตวั เรา พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื งสายบุรี
รู้สกึ วา่ เหมอื นกนั ทง้ั นน้ั เพราะอยใู่ นความปกครองของเราแลว้ ณ พลับพลาจตุรมขุ เมืองสายบุรี
เราถือว่าเปนเหมือนคนไทย คงจะให้ได้รับความร่มเย็นเปนศุข
ดว้ ยกนั ทงั้ นนั้ ขอจงเชอื่ เถอะวา่ เราตงั้ ใจอยเู่ สมอทจ่ี ะทา� นบุ า� รงุ “เพอ่ื แสดงความทที่ รงเมตตาแกป่ ระชาชนทงั้ หลาย
พวกท่าน และเพื่อแสดงให้ปรากฏในการท่ีจะท�านุบ�ารุง ทมี่ มี าแลว้ และจะมตี อ่ ไป จงึ พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน
เราขอให้พระแสงราชศาสตราไว้ส�าหรับต่างตัวเราเพ่ือเปน พระแสงราชศสั ตราไวต้ ่างพระองค ์ ถึงพระองค์จะเสดจ็ อยู่
เครื่องหมายแห่งพระราชอ�านาจ ซึ่งได้แบ่งให้สมุหเทศาภิบาล ห่างไกลก็มีพระราชหฤทัยผูกพันอยู่กับเมืองนี้ พระแสงนี้
เปนผู้ใช้แทนเราเพื่อบ�ารุงความศุขของประชาชน โปรดเกลา้ ฯ ใหผ้ วู้ า่ ราชการเมอื งรบั ไวเ้ ปนของแทนพระองค์
ขอสมุหเทศาภิบาลจงได้รับพระแสงน้ีไว้ ขอข้าราชการและ และใหร้ สู้ กึ นา่ ทร่ี าชการอนั สา� คญั สมควรทเ่ี ปนตา่ งพระเนตร
ประชาชนมคี วามรสู้ กึ เหมอื นหนงึ่ ตนไดร้ บั ไวเ้ หมอื นกนั ตอ้ งชว่ ยกนั พระกรรณ ต้องใช้อ�านาจโดยบริสุทธิ์และเปนยุติธรรม
รักษาพระแสงน้ีไว้เปนเครื่องหมายเราจะปกครองให้เปนศุข จะได้เปนพระเกียรติยศในการที่ทรงแบ่งพระราชอ�านาจ
อยเู่ สมอ และสมหุ เทศาภบิ าล ขา้ ราชการและประชาชน จงไดร้ บั พระราชทานไว้ และเปนเกียรติยศแก่ผู้ว่าราชการเมือง
ความศขุ สบาย และมีความศริ ิสวสั ดพิ์ พิ ฒั นมงคลท่วั กนั ” และขา้ ราชการผ้เู ปนทท่ี รงไวว้ างพระราชหฤทยั ”

23ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

ลกั ษณะ ของพระแสงราชศสั ตรา
ประจ�าเมอื งปัตตานี

24 สมบัตปิ ตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

25ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปัตตานี

แพบรบะกแารสพรงะรราาชชทศานัสตรา

๑. ผู้ว่าราชการเมือง เชิญดอกไม้ธูปเทียน เม่ือเวลาพระราชทานพระแสงน้ัน ข้าราชการ
(ดอกไม้นั้น คือ เครื่องบูชายิ่ง ๕ อย่าง เย็บกระทงเปน ช้นั ผใู้ หญ ่ เปนตน้ โห่ “ไชโย” ถวายไชย ข้าราชการตลอด
๕ ซอง บรรจชุ ่องละส่ิงในกระทงเดยี วกัน) ไปเฝ้ากราบ จนราษฎรรบั โหด่ ว้ ยคา� ไชโยตลอดไป จนกวา่ สมหุ เทศาภบิ าล
บังคมทูลอันเชิญเสด็จเข้าเขตร์เมืองแล้วตามเสด็จ ได้เชิญพระแสงขึ้นประดิษฐานบนราวแล้วจึงหยุด
พระราชด�าเนินมาในขบวนจนถึงเมืองหรือถึงพลับพลา แลในเวลาโห่ไชโยนั้น พิณพาทย์ต้องท�าเพลงสาธุการ
ซง่ึ ราษฎรเฝ้าพระราชทานพระแสง แลพระสงฆส์ วดไชยคาถาดว้ ย
๒. ทพ่ี ลบั พลาเสดจ็ ออกพระราชทานพระแสงนนั้ ๔. เมอื่ เสดจ็ ลงจากพลบั พลาแลว้ ตอ้ งเชญิ พระแสง
ท่ีมุขน่าพลับพลาจัดโต๊ะต้ังท่ีบรรจุค�าถวายไชยมงคล ราชสาตราน้ีไปตั้งไว้ที่ประทับเปนเครื่องบรมราชูประโภค
๑ โตะ๊ ตงั้ ราวพระแสงสา� หรบั เมอ่ื พระราชทานแลว้ จะได้ แลต้องมอบหมายมหาดเลก็ ผเู้ ปนเจา้ นา่ ท่ไี ว้ เวลาจะเสดจ็
เชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ๑ โต๊ะ ๆ ใหญ่ต้ังดอกไม้ธูปเทียน ออกจากเมืองจะได้พระราชทานพระแสงไว้น้ันเมื่อใด
ของข้าราชการรวมกันโต๊ะ ๑ ก็ควรถัดโต๊ะถึงข้าราชการ ต้องเชญิ พระแสงทูลเกล้า ฯ ถวาย แลเมือ่ เสดจ็ กลับจะได้
แลก�านันผู้ใหญบ่ า้ น พอ่ คา้ ราษฎรยนื เฝ้า มีเทศาภิบาล พระราชทานคนื ดังนเี้ สมอไป
หรอื ผวู้ ่าราชการเมอื งเปนหวั นา่
๓. เมอ่ื เสดจ็ ประทบั มขุ พลบั พลา สมหุ เทศาภบิ าล เครอ่ื งบูชายง่ิ ๕ อย่างนั้น คอื
เปิดกระทงดอกไม้ แลน�าข้าราชการกราบถวายบังคม
แลว้ จงึ เปดิ ทบ่ี รรจคุ า� ถวายไชยมงคล นา� คา� ถวายไชยมงคล ๑. หญาแพรก
ออกอ่านถวาย ต่อไปนี้จะได้มีพระบรมราโชวาท ๒. เมล็ดพรรณผ์ กั กาด
แลพระราชทานพระแสง เมอื่ สมหุ เทศาภบิ าลรบั พระแสง ๓. ดอกมลี
แล้วเชิญขึ้นไว้บนราวพระแสง แลต้องกราบบังคมทูล ๔. เขา้ สาร
แสดงความยนิ ดแี ลจะไดป้ ฏบิ ตั ติ ามกระแสรพ์ ระราโชวาท ๕. เขา้ ตอก
อกี คร้งั หน่งึ

26 สมบัติปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

คา� กราบบังคมทูลอันเชิญเสด็จเขา้ เขตรเ์ มืองดังน้ี

ขอเดชะฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ในนามของบรรดาข้าราชการแลสมณะพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎร
บรรดาอยู่ในเขตร์เมือง............................................ท้ังส้ิน ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอันเชิญ
เสดจ็ ใตฝ้ า่ ละอองธลุ พี ระบาท เสด็จเขา้ เขตร์เมอื ง.........................................................ในเวลาวนั นนั้
เพือ่ เปนศริ สิ วสั ดพี ิพฒั น์ มงคลแกบ่ ้านเมอื งแลประชาชนท่วั ไป
ดว้ ยเกล้าดว้ ยกระหมอ่ มขอเดชะ

ค�ากราบบังคมทูลเมื่อพระราชทานพระแสงแล้ว

ขอเดชะฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ตามทที่ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มพระราชทานพระบรมราโชวาท
และพระแสงราชสาตราไวต้ า่ งพระองค ์ โดยทรงพระมหากรณุ าเปนพเิ ศษในครงั้ น ้ี พระเดชพระคณุ
เปนลน้ เกลา้ ฯ หาทสี่ ดุ มไิ ด ้ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายมคี วามปติ ยิ นิ ดเี ปนลน้ เกลา้ ฯ ขา้ พระพทุ ธเจา้
ท้ังหลายจะตั้งใจปฏิบัติตามกระแสร์พระบรมราโชวาท แลจะตั้งใจรักษาพระแสงราชสาตรา
อันเปนเคร่ืองบรมราชูประโภคน้ีไว้ต่างพระองค์ด้วยความเคารพเพื่อเปนเกียรติยศ
แกเ่ มอื ง.......................................................นี้ สืบไป
ด้วยเกล้าดว้ ยกระหมอ่ มขอเดชะ

27ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

การสืบสาน ธรรมเนียมโบราณราชประเพณี
เกย่ี วกับ พระแสงราชศสั ตราประจาำ เมือง

ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร
มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท่ี ๙

หลงั จากเกดิ เหตกุ ารณเ์ ปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย ์
มาสรู่ ะบอบประชาธปิ ไตยใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แลว้ ไมป่ รากฏวา่ มธี รรมเนยี มการพระราชทาน
พระแสงราชศัสตราประจ�าเมืองเพิ่มเติมอีกต่อไป ส่วนพระราชพิธีถือน้�าพิพัฒน์สัตยา
กย็ กเลกิ ไปช่วงระยะเวลาหน่งึ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
เสด็จข้ึนครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เป็นรัชกาลที่ ๘ ใน พ.ศ. ๒๔๗๗ ขณะน้ันยัง
ทรงพระเยาวแ์ ละทรงศกึ ษาอย ู่ ณ ตา่ งประเทศ จา� เปน็ ตอ้ งมคี ณะผสู้ า� เรจ็ ราชการแทน
พระองค์ท�าหน้าที่แทน จนกระทั่งทรงบรรลุราชนิติภาวะและเสด็จนิวัตประเทศไทย
ใน พ.ศ. ๒๔๘๘ ระหว่างนัน้ ยงั มไิ ด้ทรงประกอบพระราชพิธบี รมราชาภเิ ษก

28 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ในรชั กาลนมี้ กี ารทลู เกลา้ ฯ ถวายพระแสงราชศสั ตรา
ประจ�าเมืองเพียงครั้งเดียว เม่ือเสด็จฯ โดยรถไฟพระที่น่ัง
เพ่ือทรงเย่ียมราษฎรท่ีจังหวัดฉะเชิงเทรา ใน พ.ศ. ๒๔๘๙
คร้ังนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระแสงราช-
ศสั ตราประจา� เมอื ง ณ ชานชาลาสถานรี ถไฟ พระองคท์ รงรบั
และพระราชทานคืนเมอ่ื เวลาเสดจ็ พระราชด�าเนินกลบั
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี ๙
มีพระประสงค์ท่ีจะอนุรักษ์สืบทอดธรรมเนียมโบราณ
ราชประเพณ ี อนั ดงี ามหลายประการ ซง่ึ สมเดจ็ พระบรู พมหา-
กษัตริยาธิราชเจ้ามีพระราชด�าริไว้แต่กาลก่อน เพื่อเชิดชู
พระเกยี รตคิ ณุ และธา� รงรกั ษาธรรมเนยี มโบราณราชประเพณี
เก่าไว้มิให้ส้ินสูญเพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมืองสืบไป
มีพระราชด�าริให้คงรักษาธรรมเนียมการทูลเกล้าฯ ถวาย
พระแสงราชศสั ตราประจา� เมอื งไวเ้ พยี งประการเดยี ว โดยมไิ ด้
พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�าเมืองเพ่ิมเติมอีก
ด้วยมีพระราชนิยมท่ีจะพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร
เพื่อประดิษฐานในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพ่ือเป็นท่ีตั้ง
แหง่ คณุ พระศรรี ตั นตรยั อนั เปน็ ทเ่ี คารพสงู สดุ ทงั้ เปน็ นมิ ติ หมาย
ของความอันหนง่ึ อนั เดยี วกันของประเทศและคนไทยทง้ั ชาติ

ท่ีมา : กรมศิลปากร. ๒๕๓๙. หนงั สอื ท่ีระลึกงานฉลองสิรริ าชสมบตั ิ ครบรอบ ๕๐ ปี
เร่ือง “พระแสงราชศัสตราประจา� เมอื ง”

29สำ�นกั งานวฒั นธรรมจังหวัดปตั ตานี

กระถางธปู พระราชทาน
ให้ศาสเจ้าแม่ลิม้ กอเหน่ียวปัตตานี

30 สมบัตปิ ัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

กระถางธูป
พระราชทาน

ปัตตานี หัวเมืองที่ต้ังอยู่ในบริเวณแหลมมลาย ู

ดนิ แดนแหง่ ความหลากหลายทางวฒั นธรรม มปี ระวตั ศิ าสตร์
ความเป็นมานับพันปี มีพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ได้
เสด็จประพาส ต้งั แตใ่ นปพี ุทธศักราช ๒๔๓๑ เพือ่ เยี่ยมเยือน
และทอดพระเนตรวถิ ชี ีวิตความเป็นอยขู่ องราษฎรเมืองตานี
ในสมัยนั้น

ปัตตานีมีศาลเจ้า ซ่ึงเป็นสถานท่ีส�าคัญท่ีชาวไทย
เช้ือสายจีน ศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ จ�านวน ๒ แห่ง คือ
ศาลเจา้ เลง่ จเู กยี ง (ศาลเจา้ แมล่ ม้ิ กอเหนยี่ วปตั ตาน)ี ในอา� เภอ
เมอื งปตั ตาน ี และศาลเจา้ จา่ ยเฮงเกยี ง หรอื ศาลเจา้ เลา่ เอยี๊ ะกง๋
ในอ�าเภอสายบุรี เป็นท่ีเคารพสักการะของประชาชน จนมี
การเสด็จเย่ียมศาลเจ้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละเจ้านายพระองคต์ ่าง ๆ และมีการ
พระราชทานกระถางธูป จ�านวน ๘ ใบ ดงั ปรากฏตามบนั ทึก

31สำ�นักงานวัฒนธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

ศาลเจา้ เลง่ จเู กยี ง (ศาลเจา้ แมล่ มิ้ กอเหนยี่ วปตั ตาน)ี ๒. กระถางธูปพระราชทานของพระบาทสมเด็จ
เปน็ ศาลเจา้ เกา่ แกค่ บู่ า้ นคเู่ มอื งของปตั ตาน ี มาตงั้ แตส่ มยั โบราณ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
มีการพระราชทานกระถางธูป จ�านวน ๗ ใบ บรมนาถบพติ ร รชั กาลท่ี ๙
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล-
กระถางธปู พระราชทาน รัชกาลที่ ๕ อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ ี ๙ และสมเด็จ
ให้ศาสเจ้าแม่ล้มิ กอเหนีย่ วปัตตานี พระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี-
พันปีหลวง เสด็จพระราชด�าเนินทรงเยี่ยม คร้ังที่ ๑ และ
๑. กระถางธูปพระราชทานของพระบาทสมเด็จ พระราชทานกระถางธปู แกศ่ าลเจา้ เมอื่ วนั ท ี่ ๑๘ สงิ หาคม
พระปรมนิ ทรมหาจฬุ าลงกรณฯ์ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๖ และในวนั ท ี่ ๘ กนั ยายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
รชั กาลท่ี ๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลเดช-
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ ์ มหาราช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท ่ี ๙ และสมเดจ็ พระนางเจา้ -
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๕ เสดจ็ พระราชดา� เนนิ สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ทรงเย่ียมศาลเจ้าเล่งจูเกียง เม่ือวันที่ ๑๐ กันยายน พรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพ
พุทธศักราช ๒๔๕๘ ตามจดหมายเหตุเสด็จประพาสแหลม รตั นราชสุดาฯ สยามราชกมุ าร ี สมเด็จพระเจ้านอ้ งนางเธอ
มลาย ู ร.ศ. ๑๐๗ และไดพ้ ระราชทานกระถางธปู แกศ่ าลเจา้ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณว์ ลยั ลกั ษณ ์ อคั รราชกมุ าร ี กรมพระศรสี วาง-
และในปีพุทธศักราช ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จ ควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชด�าเนินทรงเย่ียม
พระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คร้ังท่ี ๒
รชั กาลท ่ี ๖ เสด็จพระราชดา� เนนิ ทรงเยีย่ มศาลเจ้าเลง่ จเู กียง
กระถางธปู พระราชทาน รัชกาลท่ี ๙
ใหศ้ าสเจ้าแมล่ ้มิ กอเหนย่ี วปัตตานี

32 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

กระถางธูปพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าพนี่ างเธอ กระถางธปู พระราชทาน
เจา้ ฟา้ กลั ยานวิ ัฒนา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ สมเดจ็ พระนางเจา้ อนิ ทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา
ใหศ้ าสเจ้าแมล่ ิม้ กอเหนี่ยวปตั ตานี ในรชั กาลท่ี ๖ ให้ศาสเจ้าแมล่ ้ิมกอเหนี่ยวปตั ตานี

๓. กระถางธปู พระราชทานของสมเดจ็ พระนางเจา้ -
อินทรศักดศ์ิ จี พระวรราชชายา ในรัชกาลท่ี ๖
สมเดจ็ พระนางเจา้ อนิ ทรศักดศ์ิ จี พระวรราชชายา
ในรชั กาลท ี่ ๖ เสดจ็ พระราชดา� เนนิ ทรงเยย่ี มและพระราชทาน
กระถางธูป เมอื่ วันที่ ๕ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗

๔. กระถางธูปพระราชทานของสมเด็จพระเจ้า
พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช-
นครนิ ทร์
สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชด�าเนิน
ทรงเยย่ี มและพระราชทานกระถางธปู เมอื่ วนั ท ี่ ๒๖ มกราคม
พุทธศกั ราช ๒๕๒๓

33ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

กระถางธปู พระราชทาน สมเด็จพระกนษิ ฐาธิราชเจา้
กรมสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ให้ศาสเจ้าแมล่ ้มิ กอเหนยี่ วปตั ตานี

๕. กระถางธูปพระราชทานของสมเด็จ
พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ
สยามบรมราชกมุ ารี
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ-
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ
พระราชดา� เนนิ ทรงเยยี่ มและพระราชทานกระถางธปู
เม่ือวนั ที่ ๒๙ กันยายน พทุ ธศักราช ๒๕๓๘

34 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

กระถางธูปพระราชทาน รชั กาลท่ี ๑๐
ใหศ้ าสเจ้าแม่ลม้ิ กอเหน่ียวปตั ตานี

๖. กระถางธูปพระราชทานของพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์
พระวชริ เกล้าเจ้าอยหู่ วั รชั กาลที่ ๑๐
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทร-
มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐
เสดจ็ พระราชดา� เนนิ ทรงเยยี่ มและพระราชทานกระถางธปู
เมอื่ วนั ท ่ี ๔ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ ครงั้ ดา� รงพระอสิ รยิ ยศ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์
สยามมกุฎราชกุมาร

35สำ�นักงานวัฒนธรรมจงั หวัดปตั ตานี

กระถางธูปพระราชทาน ทลู กระหมอ่ มหญิงอบุ ลรัตนราชกญั ญา
สริ ิวัฒนนาพรรณวดี ใหศ้ าสเจา้ แม่ลม้ิ กอเหน่ียวปตั ตานี

๗. กระถางธูปพระราชทานของทูลกระหม่อมหญิง
อุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนนาพรรณวดี
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนนา-
พรรณวดี พระราชทานกระถางธูป เมื่อวันท่ี ๒๐ กุมภาพันธ ์
พุทธศกั ราช ๒๕๕๖

ทมี่ า : มูลนธิ เิ ทพปชู นียสถาน (เจา้ แมล่ ้ิมกอเหนยี่ ว) ปัตตานี
อ�าเภอเมอื งปตั ตาน ี จงั หวดั ปตั ตานี

36 สมบัตปิ ัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

ศาลเจา้ จา่ ยเฮงเกยี ง (เลา่ เอย๊ี ะกง๋ ) กระถางธูปพระราชทาน รัชกาลที่ ๖
ให้ศาสเจา้ จา่ ยเฮงเกยี ง ตลาดสายบรุ ี จงั หวดั ปัตตานี
ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง หรือศาลเจ้าเล่าเอี๊ยะก๋ง
ต ล า ด ส า ย บุ รี เ กิ ด จ า ก ก า ร เ รี ย ก เ ท พ เ จ ้ า ที่ นั บ ถื อ ใ น ๑. กระถางธูปพระราชทานของพระบาทสมเด็จ
บทบาทของ นายกับบา่ วรบั ใช ้ จนติดปาก ท�าให้คนรุน่ หลัง พระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
คิดว่า เล่าเอี๊ยะก๋ง คือ ชื่อศาลเจ้า หากแปลตามค�าจีนแล้ว รัชกาลที่ ๖ ซ่ึงพระราชทานให้ในงานพระเมรุมาศของ
เล่าเอ๊ียะก๋ง แปลว่า “นายท่าน” ดังน้ัน การเรียกช่ือของ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจฬุ าลงกรณฯ์ พระจลุ จอม-
ศาลเจา้ ตามบรรพชนเราจะเรยี กกนั วา่ ศาลเจา้ จา่ ยเฮงเกยี ง เกล้าเจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ ี ๕
ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงนั้น เป็นสถานที่ชาวจีนโพ้นทะเล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ
และชาวไทยเช้ือสายจีนร่วมกันสร้างเพราะศรัทธา พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซ่ึงพระราชทานให้
มีการพระราชทานกระถางธปู จ�านวน ๑ ใบ ในงานพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร-
มหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕
เป็นกระถางธูปที่มีพระปรมาภิไธยย่อ “จปร” เพ่ือให้ได้
ร�าลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปิยะมหาราช
และสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๓

ท่ีมา : ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกยี ง (เล่าเอ๊ยี ะกง) ตลาดสายบุรี
อา� เภอสายบุรี จงั หวัดปตั ตานี

37ส�ำ นกั งานวัฒนธรรมจังหวดั ปัตตานี

นาำ้ สระวังพลายบวั อำาเภอโคกโพธ์ิ จงั หวดั ปัตตานี

38 สมบตั ปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

“ บ่อนา้� ศักด์สิ ทิ ธิ์

พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก เปน็ โบราณราชประเพณที ตี่ อ้ งทา� เพอื่ ความเปน็ พระมหากษตั รยิ ์
อย่างสมบูรณ์ ดังความใน “ จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหาวชริ าวุธฯ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ” วา่

“ ...ตามราชประเพณีในสยามประเทศนี้ ถือเปนตำาราแต่โบราณว่า พระมหากระษัตริย์

ซึ่งเสด็จผ่านพิภพต้องทำาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อน จึงจะเปนพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์
ถ้ายังมิได้ทำาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ตราบใดถึงจะได้ทรงรับรัชทายาทเมื่อเสด็จเข้าไป
ประทบั อยใู่ นพระราชวงั หลวง กเ็ สดจ็ อยเู่ พยี ง ณ ทพ่ี กั แหง่ หนง่ึ พระนามทขี่ านกค็ งใชพ้ ระนามเดมิ
เปนแต่เพิ่มคำาว่า “ซ่ึงทรงสำาเร็จราชการแผ่นดิน” เข้าข้างท้ายพระนาม แลคำารับส่ังก็ยังไม่ใช้
พระราชโองการจนกวา่ จะไดส้ รงมรุ ธาภเิ ษก ทรงรบั พระสพุ รรณบฏั จารกึ พระบรมราชนามาภธิ ยั
กับทั้งเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ทำาพิธีราชาภิเษกแล้ว จึงเสด็จขึ้น
เฉลิมพระราชมณเฑียร ครอบครองสิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศแห่งพระราชา
มหากระษตั รยิ ์แตน่ นั้ ไป...

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นราชประเพณีคู่สังคมไทยมายาวนาน โดยได้รับอิทธิพล
จากคติอินเดียแต่ลักษณะการพระราชพิธีแต่เดิมมีแบบแผนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ปรากฏ
หลักฐานแน่ชัด แม้แต่การเรียกชื่อพิธีก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัย เช่น สมัยอยุธยา
สมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ เรยี กวา่ “พระราชพธิ รี าชาภเิ ษก” หรอื “พธิ รี าชาภเิ ษก” สว่ นในปจั จบุ นั
เรยี กวา่ “พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก” (กรมประชาสมั พนั ธ์ (ออนไลน์). ๒๕๖๒)

แหล่งน�้าศักดิ์สิทธใ์ิ นจังหวัดปัตตานี มจี �านวน ๔ แหล่ง ซึ่งในคร้ังโบราณนัน้ เมอื่ ตอ้ งการ
ใช้น้�าพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธี เช่น น้�าอภิเษก น�้าบรมราชาภิเษกและน้�าพิพิฒน์สัตยา
เป็นต้น เจ้าเมืองก็จะใช้ราชบุรุษไปพลีกรรม เพื่อเอาน�้าจากแหล่งน�้าศักดิ์สิทธิ์ท้ัง ๔ แหล่ง
มาประกอบพธิ ที ุกครัง้ ไป

39สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวัดปตั ตานี

ประวัติแหลง่ น้�าศกั ดิ์สิทธิใ์ นพืน้ ที่จังหวัดปัตตานี

๑. น�า้ สระวงั พลายบวั คุ้มครองอยู่ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดกล้ากระท�าการละเมิด เช่น
เททิ้งสิ่งปฏิกูลหรือสิ่งโสโครกลงไปในสระนี้ หรือกล่าว
สระวังพลายบัว อยู่ในหมู่ท่ี ๕ ต�าบลทรายขาว ค�าลามกอนาจาร และถ้อยค�าที่ไม่สุภาพ ในขณะท่ีอยู่
อ�าเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติ ในบริเวณสระนี้ หากผู้ใดได้กระท�าดังกล่าว อาจได้รับ
น�้าตกทรายขาว ห่างจากท่ีต้ังที่ว่าการอ�าเภอประมาณ ภยั อนั ตรายตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ วา่ เกดิ การเจบ็ ปว่ ยลม้ ตาย โดยที่
๑๐ กโิ ลเมตร โดยสภาพเป็นแอง่ น้�าแหง่ หนง่ึ มีขนาดกว้าง ชาวบา้ นถอื กนั วา่ สระนา�้ นมี้ สี ง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ ดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้
ประมาณ ๘ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ลึก ๒ เมตร นา้� ที่ไหลมา จึงมีผู้น�าน้�าไปอาบกิน เพ่ือให้เกิดสิริมงคล และได้ปฏิบัติ
สู่แอ่งน้�าดังกล่าวได้ไหลมาตามล�าธาร ซึ่งตั้งต้นจากภูเขา สืบเนื่องกันมาจนบัดนี้ ในทางราชการก็ถือว่าสระน้�าน้ี
สันกาลาคีรี ตามประวตั ิทีเ่ ล่าตอ่ ๆ กันมาว่า เม่อื ประมาณ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และได้กระท�าการพลีน้�าไปเข้าพิธี
๒๐๐ ปมี าแลว้ มผี พู้ บชา้ งพลายเชอื กหนงึ่ ทแ่ี อง่ นา�้ น ้ี ชา้ งพลาย พระบรมราชาภิเษกมาแล้วหลายรัชกาล เช่น พระบาท-
เชอื กนไี้ ดแ้ สดงอภนิ หิ าร ใหป้ รากฏแกผ่ พู้ บเหน็ หลายประการ สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาประชาธปิ ก พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
เช่น หายตัวได้ และพอช้างหายตัวก็มีดอกบัวผุดขึ้นมา รัชกาลท่ี ๗ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
ในแอ่งน้�าแล้วก็จมหายไปในทันทีทันใด ชาวบ้านจึงได้เรียก มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รัชกาลท่ี ๙
แอง่ นา้� นว้ี า่ “สระวงั พลายบวั ” นอกจากนช้ี าวบา้ นยงั เชอ่ื ถอื
กนั วา่ ในสระนมี้ สี ง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ ์ิ คอื รกุ ขะเทวดา และภตู ผปี ศี าจ

40 สมบตั ิปัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

๒. น�้าบ่อทอง

บอ่ ทองเปน็ บอ่ เกดิ ในหนิ ตงั้ อยบู่ นเขาชอ่ งขดุ หมทู่ ่ี ๒
ต�าบลคอกกระบือ อ�าเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี รูปบ่อ
เป็นรอยเจาะลงไปในหินแผน่ เดียว ปากบอ่ เปน็ รปู ตราอาร์ม
หนั ฐานไปทางทศิ ตะวนั ออก กวา้ ง ๘๐ เซนตเิ มตร ลกึ ถงึ กน้ บอ่
๑๐๐ เซนติเมตร ความลึกของน้�า ๖๕ เซนติเมตร ตลอด
ทุกฤดูกาลไม่เคยแห้ง บริเวณรอบ ๆ บ่อเป็นที่เตียน เพราะ
เปน็ หนิ สว่ นประวตั เิ ดมิ ของบอ่ เปน็ มาอยา่ งไรไมม่ ใี ครทราบ
แต่ราษฎรนิยมนับถือว่าเป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณ
แต่ขณะนี้ไม่ค่อยมีผู้นิยมไปพลีน�้า เพราะทางข้ึนเขาชัน
รกมากและอยู่ใกล้กับเหวลึก ราษฎรนิยมไปพลีน้�าที่บ่อไชย
ซึ่งห่างจากบ่อทองประมาณ ๑ กิโลเมตร เพราะหนทาง
สะดวกกว่า เฉพาะน้�าบ่อทองเคยท�าพิธีพลีกรรมส่งไปใน
งานพระราชพธิ รี าชาภิเษกมาแล้วหลายรัชกาล

41ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

๓. นา�้ บอ่ ไชย

บอ่ ไชยตงั้ อยู่บนยอดภูเขาไชย หมูท่ ่ี ๒ ตา� บลคอก
กระบอื อา� เภอปะนาเระ จงั หวดั ปตั ตาน ี รปู บอ่ เปน็ รอยเจาะ
ลึกลงไปในหินท�านองเดียวกับบ่อทอง แต่มีระดับน้�าลึกจาก
ท้องบ่อขึ้นมาถึง ๑๗๐ เซนติเมตร มีผู้เอาอิฐไปก่อโบกปูน
ทา� เปน็ ขอบบอ่ สงู ขนึ้ จากเดมิ ๑ ศอก ๕ นว้ิ ปากบอ่ กวา้ ง ๒ ศอก
๓ น้ิว บ่อนี้มีสัณฐานกลม ที่ดินรอบบ่อเป็นธรณีสงฆ์
ของวดั คอกกระบอื สว่ นประวตั ขิ องบอ่ เป็นมาอย่างไร และ
เกดิ ศกั ดส์ิ ทิ ธข์ิ น้ึ เมอื่ ใดนนั้ ไมส่ ามารถจะสบื ทราบได ้ บรเิ วณ
ตามรอบภเู ขาเปน็ บา้ นเรอื นของคนไทยอสิ ลามซงึ่ เปน็ เจา้ ของ
ทอ้ งทีเ่ ดิม น้�าบอ่ ไชยนร้ี าษฎรนยิ มนับถือวา่ เป็นนา้� ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ
มาแต่โบราณจนกระท้ังปัจจุบัน เพราะระยะทางไปได้
โดยสะดวกและมศี าลาทพ่ี กั อาศยั อยใู่ กล ้ สะดวกแกผ่ ทู้ จ่ี ะไป
พลีน�้าบูชาและเป็นบ่อที่เคยพลีน้�าส่งไปในงานพระราชพิธี
ราชาภเิ ษกมาแล้วหลายรชั กาล

42 สมบัติปัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

๔. น้า� บอ่ ฤาษี ตั้งแต่โบราณมาชาวไทยท่ีนับถือศาสนาพุทธ
ได้นิมนต์พระสงฆ์ไปสรงน้�าท�าบุญตักบาตรในวัน
ภเู ขาฤาษ ี ตงั้ อยใู่ นหมทู่ ี่ ๒ ตา� บลมายอ อา� เภอมายอ เดอื นห้า ขน้ึ ปใี หม่ทกุ ๆ ปีมา และนา� ธงไปปกั ณ ที่นัน้
จังหวัดปัตตานี มีรูปพรรณสัญฐานค่อนข้างกลม เน้ือท่ี เพ่ือเป็นการบูชา ส่วนคนไทยอิสลามก็นับถือว่าเป็นที่
ประมาณ ๑๕ ไร ่ มตี น้ ไมใ้ หญข่ นึ้ อยขู่ า้ ง ๆ สว่ นบนของภเู ขา ศักด์ิสิทธิ์ไม่กล้าไปตัดไม้ และน�าโคกระบือไปเลี้ยง
เปน็ พื้นท่รี าบสงู ประมาณ ๕๐ เมตร เนอื้ ทีป่ ระมาณ ๖ ไร ่ ในบรเิ วณนนั้ เพราะเกรงความเจบ็ ไขไ้ ดท้ กุ ข ์ (สา� นกั งาน
โดยรอบประดบั ดว้ ยหนิ เปน็ รปู กา� แพง (ปจั จบุ นั ) ตอนกลาง ทรพั ย์สินส่วนพระมหากษัตรยิ ์, ๒๕๑๔: ๒๕๒-๒๕๕)
มบี อ่ นา้� ขดุ ลงไปในหนิ รปู บอ่ กลม วดั ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ
๗๕ เซนตเิ มตร ลกึ ประมาน ๒๕๐ เซนตเิ มตร ตามคา� บอกเลา่
ของผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีฤาษี มาสร้างไว้
แตผ่ สู้ รา้ งชอ่ื ใด สรา้ งตง้ั แตเ่ มอ่ื ใด ไมม่ หี ลกั ฐานทแ่ี นน่ อน
น�้าในบ่อน้ ี นิยมกันวา่ เป็นน้�าศกั ดส์ิ ิทธ์ ิ สมยั ก่อน
เคยพลีน้�าส่งไปในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหลาย
รชั กาลมาแล้ว

ทม่ี า : ส�านกั งานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรยิ ์ พมิ พ์เปน็ อนสุ รณ์ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พลตร ี หมอ่ มทวีวงศ์ถวลั ศักด ์ิ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ)์
ปจ., ม.ป.ช., ม.ว.ม เม่ือวันองั คารท ี่ ๑๓ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๔

43ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจังหวัดปตั ตานี

ขน้ั ตอนพธิ พี ลีกรรมตกั น้า� ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ

ก�าหนดไว้เป็นล�าดับขั้นตอนดังน้ี

๑. จดั วางเครอ่ื งบวงสรวงสกั การะบนโตะ๊ บวงสรวง
เครอ่ื งประกอบพิธีพลีกรรม

๑. เทยี น ๒ เล่ม ธูป ๑๖ ดอก ๗. กลว้ ยน้�าไท ๑ หว ี ๑๓. ผลไม ้ ๕ ชนิด
๒. บายศรีปากชาม ๑ ท่ี ๘. มะพร้าวอ่อนปอกเปลือก ๑ ผล ๑๔. ขนมหวาน ๕ ชนิด
๓. เปด็ ต้ม หรือ หวั หมูตม้ ๑ ท่ี ๙. ขนมต้มแดง ๑ จาน ๑๕. นมเนย
๔. ไก่ตม้ ๑ ตัว ๑๐. ขนมต้มขาว ๑ จาน ๑๖. ขา้ วตอกดอกไม้
๕. ปูตม้ ๑ จาน ๑๑. เผือกต้ม ๑ จาน ๑๗. โตะ๊ ปูผ้าขาววางเคร่ืองสังเวย
๖. ปลาชอ่ นแป๊ะซะ ๑ ตัว ๑๒. มันตม้ ๑ จาน

*** ผลไม ้ ๑๕ ชนิดท่ไี ม่ควรนาำ มาบูชาฤกษ์ คอื ละมดุ มงั คุด พุทรา มะเฟอื ง มะไฟ น้อยหน่า
นอ้ ยโหน่ง มะตูม มะขวดิ ลูกจาก ลูกพลบั ลกู ทอ้ ลูกระกำา กระทอ้ น และลางสาด

44 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

๒. ประธานในพธิ ี จดุ ธปู เทยี นทหี่ นา้ เครอื่ งสงั เวยบชู าฤกษ ์ เพอ่ื ประกอบพธิ พี ลกี รรมตกั นา้� จากแหลง่ นา้� ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์
๓. พรหมณ์หรือบัณฑิต อ่านโองการบวงสรวง เพ่ือบูชาเทพยาดา เทพารักษ์ ผู้ดูแลรักษาสถานท่ีน�้าศักด์ิสิทธ์ิ
(พราหมณ์พธิ ี ชมุ นุมเทวดา อัญเชญิ เทพยดาทุกทิศ,กลา่ วบวงสรวงองค์พระแม่คงคา และเทวดาในสถานที่นน้ั )
- ประธานในพธิ ี อ่านคาถาพลกี รรมตักน้�า
- ประธานในพธิ ี พรอ้ มเจา้ หนา้ ท่ีเชญิ ขันสาครและท่ีตกั น�้าไปยังแหลง่ นา้� ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ
- ประธานในพิธี หยิบท่ีตักน�้าและตักน้�าจากแหล่งน้�าศักดิ์สิทธิ์ใส่ขันน�้าสาคร จากนั้นปิดฝาขันน้�าสาคร
หอ่ ดว้ ยผา้ ขาว ผกู รบิ บนิ้ สีขาว

45สำ�นกั งานวฒั นธรรมจังหวดั ปัตตานี

๔. ประธานเชญิ นา�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธไ์ิ ปเกบ็ ในทอี่ นั ควร
๕. ในระหวา่ งเดนิ ขบวนอญั เชญิ นา�้ ศกั ดสิ์ ทิ ธ ิ์ พราหมณล์ น่ั ฆอ้ ง เปา่ สงั ข ์ ไกวบณั เฑาห ์ เปน็ ระยะ ๆ เสรจ็ พธิ ี

46 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ขั้นตอนพธิ ที า� น�า้ อภเิ ษก

ก�าหนดไว้เป็นล�าดับขั้นตอนดงั นี้ - เจา้ หน้าทีอ่ าราธนาศีล
- ประธานสงฆใ์ หศ้ ลี
๑. จัดวางเคร่อื งสงั เวยบชู าฤกษ์ ๔. ประธานสงฆ ์ ประกาศชมุ นมุ เทวดาในการพธิ ที า� นา้� อภเิ ษก
๒. ประธานในพธิ ี จดุ ธปู เทยี นทหี่ นา้ เครอื่ งสงั เวยบชู าฤกษ์ - ประธานสงฆ์ เจิมเทียนชัย เทียนมงคล และเทียน
เพ่อื ประกอบพิธที า� น้า� อภิเษก พทุ ธาภเิ ษก
๓. พรหมณ์หรอื บณั ฑิต อา่ นโองการบชู าฤกษ์ - ประธานในพิธ ี ถวายเทยี นชนวนแดป่ ระธานสงฆ์
- ประธานในพธิ ี เขา้ สสู่ ถานทปี่ ระกอบพธิ ที า� นา�้ อภเิ ษก
- ประธานในพธิ ี จุดธปู เทียนบชู าพระรตั นตรยั

47สำ�นกั งานวัฒนธรรมจังหวดั ปตั ตานี

๕. ประธานสงฆ์ จุดเทียนชัย และเทยี นพทุ ธาภิเษก - เจ้าหน้าทอี่ าราธนาพระสงฆ์สวดภาณวาร
(ขณะน้ี พระสงฆ์ ๓๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์คาถา - พระสงฆ์เถรจารย ์ และพระสงฆส์ วดภาณวาร จะได้
ผลัดเปลี่ยนกันน่ังเจริญจิตภาวนาอธิษฐานจิต และสวด
จดุ เทยี นชยั เจา้ หนา้ ทป่ี ระโคมฆอ้ งชยั ดรุ ยิ างคบ์ รรเลงเพลง) ภาณวารต่อไป จนถึงเวลาอันควร
- เจ้าหนา้ ที่อาราธนาพระปรติ ร ๖. เวยี นเทยี นสมโภชน้�าอภิเษก
- พระสงฆ ์ ๓๐ รูป เจริญพระพทุ ธมนต์ - ผเู้ ขา้ รว่ มพธิ เี ลย้ี งพระในการพธิ ที า� นา�้ อภเิ ษก พรอ้ มกนั
(ก่อนท่ีพระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์ ถึงบทไตร- ณ สถานท่ปี ระกอบพิธี
- ประธานในพธิ ี จดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั
สรณคมน์ (พุทธัง) เชิญประธานในพิธี จุดเทียนมงคล - เจ้าหน้าที่ทาราธนศีล
เทียนหน้าพระ และเทยี นนวหรคุณ) - พระสงฆ์ใหศ้ ีล
- ประธานในพิธี เชิญใบพลู ๗ ใบ ถวายประธานสงฆ์
- พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ นิมนต์พระสงฆ์ เจิมใบพลู
ลงจากอาสนส์ งฆ์ - ประธานสงฆ ์ ถวายใบพล ู ๗ ใบ แดพ่ ระสงฆเ์ ถราจารย์
(ท่ีไม่ใชร่ ปู เดยี วกับประธานสงฆท์ ี่จดุ เทียนชยั )
- เจ้าหน้าที่นิมนต์พระสงฆ์เถราจารย์ และพระสวด
ภาณวารข้นึ อาสนส์ งฆ์

- ประธานในพธิ ี จดุ เทยี นทอง เทยี นเงนิ และธปู เทยี น
หนา้ เตียงพระสวดภาณวาร

48 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version