The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ “สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓” เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน โดยมีเนื้อหาในส่วนของพระมหากรุณาธิคุณ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อจังหวัดปัตตานี
ขนาด 21.5x24.5 cm
จัดทำโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี กระทรวงวัฒนธรรม | @ PrinceSukri

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by AKATSUKI S@RU Studios, 2021-09-11 02:40:59

Sombut Pattani | สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓

หนังสือ “สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๓” เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน โดยมีเนื้อหาในส่วนของพระมหากรุณาธิคุณ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อจังหวัดปัตตานี
ขนาด 21.5x24.5 cm
จัดทำโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี กระทรวงวัฒนธรรม | @ PrinceSukri

Keywords: กระทรวงวัฒนธรรม,สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี,สมบัติปัตตานี,ประวัติศาสตร์, ศิลปวัฒนธรรม,ภูมิปัญญา,PrinceSukri

๗. พระเถราจารย์ประธานสงฆด์ ับเทียนชยั เวยี นเทยี น แวน่ ท ี่ ๑ และสง่ ใหป้ ระธานในพธิ ี ประธานในพธิ ี
(ขณะน้ี พระสงฆ์ ๓๐ รปู เจริญพรพุทธมนตค์ าถา เมอื่ รบั แวน่ เวยี นเทยี นจากบณั ฑติ หรอื โหรแลว้ วกั แวน่ ทจี่ ดุ เทยี น
แลว้ เขา้ หาตวั ๓ ครงั้ แลว้ ใชม้ อื ขวาโบกควนั ออก แลว้ สง่ ตอ่
ดับเทียนชัย เจ้าหน้าที่ประโคมฆ้องชัย ดุริยางค์ ใหค้ นทอี่ ยูท่ างซา้ ยมอื เวยี นไปจนครบ ๓ ครั้ง เม่อื ครบแล้ว
บรรเลงเพลง) คนสุดทา้ ยสง่ ใหบ้ ณั ฑติ หรอื โหรผู้ท�าหน้าท่เี บกิ แวน่ เทียน

- ประธานสงฆ ์ เจอื น�้าพระพทุ ธมนต์ในนา้� อภิเษก - เสรจ็ พิธี
และมอบให้ประธานในพธิ ี

- ประธานในพิธ ี ตักน้�าอภเิ ษกใส่คนโท เพื่อเตรยี ม
เชญิ ไปกระทรวงมหาดไทย

- ประธานในพิธี และข้าราชการถวายจตุปัจจัย
ไทยธรรมแด่พระสงฆ์

- ประธานสงฆอ์ นุโมทนา
- ประธานในพิธกี รวดน้า� - รบั พร
๘. ต้ังพิธบี ายศรีเวียนเทียนสมโภชน�า้ อภเิ ษก
- บัณฑิตหรือโหร ท�าพิธีบายศรี และเบิกแว่น

49สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวัดปตั ตานี

ภาชนะและอปุ กรณส์ �าคัญ

ในพธิ ีพลีกรรม

ขันนา�้ สาคร คนโทน�้าอภิเษก
๑. ขันนา�้ สาคร ๓. คนโทนา้� อภิเษก พร้อมกลอ่ ง
เป็นขันทองเหลือง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง เป็นเซรามิกมีลวดลายกระจังเป็นลายน�้าทอง
๑๒ นิ้ว มหี จู ับเปน็ หวั สิงห ์ พร้อมฝาปดิ พรอ้ มยงิ เลเซอร์ เคลือบสีขาวท้ังใบ ความสูงเฉล่ียจากฐานถึงยอด
ตรากระทรวงมหาดไทย ขนาด ๔ นิ้ว โดยขันน้�าสาคร ๔๐ เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐ เซนติเมตร
บรรจุน�้าได ้ ๕ ลิตร มีน้า� หนกั ๔.๘ กิโลกรมั ปากคนโทกวา้ ง ๑๐ เซนตเิ มตร ฐานกว้าง ๑๓ เซนตเิ มตร
๒. ท่ีตักน�า้ ทองเหลอื ง มีน�้าหนัก ๒.๕ กิโลกรัม สามารถบรรจุน้�าได้ ๔.๕ ลิตร
ทต่ี กั นา้� ทองเหลอื ง มขี นาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๔ นว้ิ มีตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกหน่ึงด้าน
พร้อมดา้ มจับ ๖ นว้ิ มีภาพเคร่ืองหมายราชการจงั หวดั ขนาด ๗ เซนตเิ มตร

ท่ีตกั นา้� ทองเหลอื ง ผา้ ขาว

50 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

เทยี นและเครอื่ งใช้

ในพธิ ที �าน�า้ อภิเษก

๑. เทยี นชัย ๑ เล่ม หนัก ๘๐ บาท ไส้ ๑๐๘ เส้น สงู เท่าความสูง
ของประธาน
๒. เทยี นมงคล ๑ เล่ม หนัก ๑๐ บาท ไส้เกินกว่าอายปุ ระธาน
หรือเจา้ ภาพ ๑ เสน้ สูงเทา่ วงรอบศรี ษะ
๓. เทียนพทุ ธาภิเษก ๒ เล่ม หนักเลม่ ละ ๓๒ บาท ไส ้ ๕๖ เส้น
สูงประมาณก่งึ หนึ่งของเทียนชัย
๔. เทียนนวหรคุณ ๙ เลม่ หนักเลม่ ละ ๒ บาท ไส ้ ๙ เส้น
๕. เทยี นทห่ี นา้ โตะ๊ หมบู่ ูชาหนา้ พระประธาน ๑ คู่ (๒ เล่ม)
ขนาดพองาม น้า� หนักประมาณ ๕ บาท
๖. เทียนหนา้ พระสวดภาณวาร ๑ คู ่ หนกั ประมาณ ๕ บาท
๗. เทยี นหนัก ๖ สลงึ ไส ้ ๙ เสน้ ๒๘ เล่ม (พรอ้ มธปู จนี )
ใช้สา� หรบั พิธสี ังเวยบชู าฤกษ์
๘. เทียนบชู าพระรตั นตรยั ๑๐๘ เล่ม หนกั เล่มละ ๒ สลงึ
(พรอ้ มธปู ๑๐๘ เล่ม)
๙. ใบพลู ๗ ใบ (ใช้สา� หรบั ดับเทียนชยั )
๑๐. เคร่ืองเจิม (กระแจะใส่ละลายในโถปรกิ )
๑๑. ตู้ใสเ่ ทียนชยั (ป้องกนั ลมไมใ่ ห้ดบั )
๑๒. เทียนทอง เทียนเงนิ อยา่ งละ ๒ เล่ม ใช้ในพิธบี วงสรวง
๑ คู่ ท่พี ระสงฆส์ วดภาณวาร ๑ คู่

ทมี่ า : กระทรวงมหาดไทย, กา� หนดการพลีกรรมตกั น้�าจากแหล่งน�้าศกั ดิส์ ิทธ์ิและก�าหนดการพิธที �าน้า� อภิเษก 51
เนอื่ งในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกของพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดีศรีสนิ ทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
เมื่อวันท่ี ๖, ๘ - ๙ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๖๒

สำ�นกั งานวฒั นธรรมจังหวัดปัตตานี

หนงั สอื โบราณ

การที่ความรู้ ความคิด ความเช่ือ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี
ศิลปะ และวฒั นธรรมในอดตี มิไดส้ ูญหายไปตามกาลเวลาส่วนหนง่ึ เปน็ เพราะ
บรรพบุรุษไดบ้ ันทึกเร่ืองราวต่าง ๆ เหลา่ นีไ้ วใ้ นหนังสือโบราณ

เอกสารโบราณ หมายถึง เอกสารต้นฉบับตัวเขียนในอดีตท่ีเป็นหลักฐาน ทางภาษาและตัวหนังสือ
แตเ่ กา่ ก่อน (หอสมุดแหง่ ชาต,ิ ๒๕๒๘ : ๑๐๘) บันทกึ ขอ้ ความไวด้ ้วยการจาร จารึก เขียน หรือพมิ พ ์ เอกสาร
โบราณในประเทศไทย จา� แนกประเภทใหญ ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ

๑. จารกึ (inscriptions) ไดแ้ ก ่ ศลิ าจารกึ จารกึ บนแผน่ ทอง แผน่ เงนิ แผน่ โลหะอน่ื ๆ และจารกึ บนไม ้
(อัมพร ทขี ะระ, ๒๕๒๔ : ๑๙)

๒ เอกสารตัวเขียน (manuscripts) เป็นเอกสารที่จาร เขียน หรือพิมพ์ บนวัสดุประเภทกระดาษ
และแผ่นฟ้า (ก่องแกว้ วยี ะประจักษ ์ ม.ป.ป.:๑) ไดแ้ ก่

๒.๑ เอกสารกระดาษเพลา
๒.๒ เอกสารสมดุ ไทย
๒.๓ เอกสารใบลาน
๒.๔ เอกสารกระดาษฝรงั่
๒.๕ เอกสารแผ่นผา้
ในระยะท่ีการพิมพ์ยังไม่แพร่เข้ามาในประเทศไทย คนไทยในสมัยโบราณได้บันทึกค�าสอนทางศาสนา
และวิทยาการอ่ืน ๆ เช่น กฎหมาย จดหมายเหตุ พงศาวดาร ตา� นาน จารีตประเพณี วรรณกรรม ตา� ราแพทย์
แผนโบราณ ต�าราเลขยันต ์ และต�าราโหราศาสตร์ ฯลฯ ลงในวัสดปุ ระเภทต่าง ๆ เช่น แผ่นศลิ า แผน่ โลหะ ไม้
กระดาษขอ่ ย กระดาษสา กระดาษเพลา เป็นต้น

52 สมบัติปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ต�าราช้าง ฉบับอ�าเภอโคกโพธิ์

53สำ�นักงานวฒั นธรรมจังหวัดปัตตานี

หนังสอื โบราณปตั ตานี

หรือเอกสารโบราณของปัตตานี

สามารถจ�าแนกได้เปน็ ๓ ประเภท
๑. เอกสารไทย หรอื เอกสารสยาม ไดแ้ ก่

- ตา� นานสรา้ งโลก ฉบบั ป่าลาม
- ต�าราชา้ ง ฉบบั อ�าเภอโคกโพธ์ิ
- กฎหมายตราสามดวง
- ต�าราขับไลส่ ิ่งชว่ั รา้ ย
- ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ท ่ี ๓๙ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๖๕
(จงั หวัดสายบรุ )ี
- พระอภธิ รรม
๒. เอกสารมลายู ไดแ้ ก่
- อลั กรุอานหนงั แพะ
- อัลกรอุ านคดั ดว้ ยลายมอื
- กตี าบยาวี (อูลามามอ : ชยั คด์ าวดู บนิ อบั ดุลเลาะ
อลั ฟาตอน)ี
๓. เอกสารจนี ไดแ้ ก่
- สญั ญาเช่าซื้อเรือสา� เภา สมยั รัชกาลที่ ๕
- เอกสารขอพระราชทานท่ดี นิ
- เซียมซยี าจีนโบราณ

ที่มา : พชิ ยั แก้วขาว

54 สมบัตปิ ตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

ต�าราชา้ ง

ฉบับอา� เภอโคกโพธ์ิ

ทมี่ า : พิชยั แก้วขาว ต�าราช้าง ฉบับอ�าเภอโคกโพธ์ิ เป็นหนังสือบุด
เน้อื หาในสมดุ ต�าราชา้ ง ม ี ๒ ส่วน คือ ส่วนทเ่ี ปน็ ข้อเขียน
และอกั ขระเลขยนั ต์
เรอื่ ง ตา� ราชา้ ง ฉบบั อา� เภอโคกโพธ ์ิ กลา่ วถงึ วธิ กี าร
จบั ชา้ ง ฝกึ หดั และสอนชา้ งใหเ้ รยี นร ู้ เพอ่ื ใชใ้ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ
รวมท้ังคติความเช่ือในเร่ืองช้าง การท�าพิธีกรรม การรักษา
โรคทเี่ กดิ กบั ชา้ ง และบทมนตท์ ่ีใช้เกย่ี วกบั ชา้ ง อาทิ

การรกั ษาโรคชา้ ง ดงั ความตอนหนึ่ง..
ถา้ ช้างไข้มุ่น พษิ ชื่อวา่ ระดกิ กนิ หญา้ กินนา�้ ไม่ได้ ทุรนนักรากออกตวั สนั่
กา� หนด ๓ วันตายแล

ถ้าจะรกั ษาทา่ นให้เอาพานแอก ๑ ใบกำาจาย ๑ หญา้ หนวดแมว ๑
รากบวั หลวง ๑ หอระดาน ๑ รากหมากงว้ั ๑ หมากนาว ๑ พรกิ ๑ หวั หอม ๑
ก่ก่ ๑ ข่า ๑ ขิง ๑ ขี้หมิ้น ๑ เปลือกมะขาม ๑ ชะเอาะทั้งดำาขาว
ใบพมิ มะเสน ๑ ใบสะเดา ๑ กช่ าย ๑ ถม่ อเทศ ๑ ถม่ อไท ๑ ดนิ ประสวิ ดบิ ๑
ยาทงั้ ๗ เอาสง่ิ +๑๑ ทมิ่ ปน้ั เอานาำ้ สงิ่ ทะนาน เอาเหลา้ ๑ นาำ้ มะพรา้ ว ๑ ใสใ่ นออ้ ย
ให้กินแล
ถ้ามิฟังให้เอาปลาไหล ๑๐ ตัวปล่อยเข้าตามรูทวาร ช้างนั้นหายแล
(ชวน เพชรแก้ว (หวั หน้าโครงการ) เล่ม ๑๒, ๒๕๔๘: ๓๓๓)

55สำ�นักงานวฒั นธรรมจังหวัดปตั ตานี

ตาำ นานสร้างโลก
ฉบบั ป่าลาม

ต�านานสร้างโลก เป็นหนังสือบุดขาว ขนาด ๑๒ x ๑๗ เซนติเมตร บรรยายเป็นค�าร้อยแก้ว มีค�าร้อยกรอง
แทรกอยู่บ้าง สมุดได้ขาดหายไปบางส่วน โดยขาดออกเป็นสี่ท่อน ซ่ึงเนื้อหาของต�านานสร้างโลกฉบับน้ียังคงมีอยู่
เฉพาะในท่อนท่ี ๑ และท่อนที่ ๓ ส่วนสมุดท่อนที่ ๒ และท่อนที่ ๔ สันนิษฐานว่า ได้ขาดหายไป หรือสูญหาย
หรือถูกท�าลายไปแล้ว ต�านานฉบับนี้ไม่ปรากฏช่ือผู้แต่ง วันเดือนปีท่ีแต่ง และคาถาที่ใช้ในพิธีกรรมเขียนด้วย
อักษรขอม

56 สมบัติปัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

เรอ่ื ง ตา� นานสรา้ งโลก ฉบบั ปา่ ลาม มลี กั ษณะพเิ ศษ ต�านานฉบับน้ีเน้นหนักไปทางต�านานฮินดูท่ีได้
ไปจากตา� นานการสรา้ งโลกฉบบั อน่ื ๆ คอื ตวั เอกของตา� นาน มกี ารปรบั แตง่ เพอื่ ใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั สภาพทางภมู ศิ าสตร์
คือ พระอิศวรและพระอุมา ซึ่งถูกสร้างข้ึนมาจากเทวฤทธ์ิ และสภาพทางสังคมของของกลุ่มชนในท้องถ่ินภาคใต้
และอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ข์ องเหลา่ เทพยดา อนั มพี ระอนิ ทรเ์ ปน็ องค์ ตอนลา่ ง มคี ตคิ วามเชอ่ื ในทางพทุ ธศาสนาและคตคิ วามเชอื่
ประธานในการชบุ สรรคข์ นึ้ มา เปน็ ปฐม (แมโ่ ยด) ของบรรดา ด้ังเดิมของชนชาวมลายูในท้องถิ่นผสมผสาน สะท้อน
เหล่าสรรพสัตว์และเหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายท่ีมีข้ึน การปฏิสัมพันธ์กับคนต่างถ่ินภายนอกท้ังใกล้และไกล
มาในโลกน้ี โดยเฉพาะต้นก�าเนิดและวิธีประกอบพิธีกรรม อนั เนอ่ื งมาจากการเมอื งการปกครอง การพาณชิ ยน์ าว ี และ
ต่าง ๆ โดยที่ตัวเอกในต�านานนี้จะเน้นองค์พระอิศวรและ ผนวกด้วยอารยธรรม ท้ังจากตะวันออกและตะวันตก เช่น
พระอมุ าเปน็ สา� คญั ตา� นานนจ้ี งึ คอ่ นไปทางฮนิ ด ู ลทั ธไิ ศวนกิ าย จนี อนิ เดีย เปอรเ์ ซีย ชวา อาหรับ ญ่ีป่นุ และยุโรป
เหน็ ถึงความเปน็ ฮินด ู ลทั ธศิ ักตแิ ละความเป็นพทุ ธมหายาน และกล่าวถึงการเกิดของสรรพส่ิงต่าง ๆ ทั้งโลกนี้
ลทั ธติ นั ตระ-วชั รยาน ซงึ่ ใชส้ ตั วป์ า่ พน้ื บา้ นคอื กระจง เปน็ สตั ว์ และในจกั รวาล การเกดิ หยกู ยามนตค์ าถา ตลอดจนพธิ กี รรม
ประจ�านักษัตรปีเถาะ ดังท่ีว่า “ลูกพระอิศวรคนหนึ่งเล่า ตา่ ง ๆ ทมี่ ตี อ่ เนอื่ งมาจนถงึ ปจั จบุ นั น ้ี เชน่ พธิ กี รรมในการเกดิ
พระอินทร์ให้เรียกชื่อว่า นางพ่จง (กระจง) จึงว่าปีเถาะ การแต่งงาน การท�าศพ การท�าไร่ท�านา การท�าขวัญข้าว
นักษตั รให้พึงรู้ไว้เถิด” ในสมัยโบราณชาวใตแ้ ละชาวมลายู เป็นต้น (ชวน เพชรแก้ว (หวั หนา้ โครงการ) เล่ม ๑, ๒๕๔๘:
ใช้พะจงหรือกระจงเป็นสัตว์ประจ�าปีเถาะ จึงแสดงว่า ๓-๔)
คตเิ รอ่ื งนเี้ ปน็ วฒั นธรรมพนื้ บา้ นทบ่ี ง่ ถงึ ความเปน็ วรรณกรรม
พ้ืนบา้ นของปกั ษใ์ ต้

กฎหมายตราสามดวง (ฉบบั ร่าง)
ที่มา : พิชยั แกว้ ขาว

ก่ตี าบยาวี (อลู ามามอ: ชัยค์ดาวดู บนิ อบั ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท ่ี ๓๙ พ.ศ. ๒๔๖๕ เซียมซียาจนี โบราณ
ดุลเลาะ อัลฟาตอนี ท่ีมา : อาเเซ วาเดง็ ท่มี า : พชิ ัย แก้วขาว ทม่ี า : ศาลเจา้ แมล่ ม้ิ กอเหน่ียว

57สำ�นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

เครอ่ื งทองสายบรุ ี

อัตลักษณ์ทางศิลปะท่ีสะท้อน
งานเชิงช่างในรูปแบบมลายู ผสมผสาน
ทางวัฒนธรรมและอิทธิพลทางความเช่ือ
ของศาสนาอิสลามในเร่ืองข้อห้ามของการ
ใชร้ ปู คนหรอื สตั ว ์ ลวดลายทางศลิ ปะของ
งานทอง จึงมีลักษณะในรูปแบบลาย
พฤกษชาติ เรขาคณิต การเลียนแบบ
ธรรมชาตแิ ละอกั ษรประดษิ ฐ์

ชา่ งทอง จากการที่เมืองสายบุรีเป็นเมืองท่าส�าคัญ
แหง่ เมอื งสายบรุ ี และเป็นแหล่งทองค�าส�าคัญบนคาบสมุทรมลายู ส่งผล
ให้เมืองสายบุรี ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้าน
ชา่ งทองสายบรุ ี เปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทท่ี รงคณุ คา่ “งานชา่ งทองแหง่ เมอื งสายบรุ ”ี ซงึ่ ภมู ปิ ปญั ญานเี้ กิดขึ้น
จากอตั ลกั ษณข์ องลวดลายทสี่ รา้ งสรรคข์ นึ้ มา เพอ่ื สะทอ้ น ในสมัยใดไม่มีข้อมูลปรากฏแน่ชัด แต่จากค�าบอกเล่า
ถึงแนวความคิด อดุ มคติ และความสุนทรียะ ถ่ายทอด ของชา่ งทา� ทองโบราณและคนเฒา่ คนแกใ่ นพน้ื ท ่ี กลา่ ววา่
เร่ืองราวลงบนช้ินงานโดยการผสมผสานทางวัฒนธรรม การทา� เครอื่ งทองของสายบรุ ี มีมากวา่ ๑๐๐ ป ี งานทา�
ทม่ี รี ว่ มกนั ทง้ั แบบมลาย ู ไทย และจนี ทบี่ ง่ บอกถงึ คณุ คา่ เคร่ืองทองเป็นการท�าเครื่องประดับที่ต้องใช้ฝีมือ
ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของปัตตานี ในการออกแบบตกแตง่ อยา่ งมาก การทา� ทองแบบโบราณ
มาอย่างยาวนาน ที่ยังคงอนุรักษ์สืบสานวิธีการรูปแบบแบบดั้งเดิมมา
จากประวตั ศิ าสตร์ “สายบรุ ”ี หรอื ตะลบุ นั เปน็ หนงึ่ อย่างต่อเน่ือง ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองมือบางชิ้นที่ยังใช้
ใน ๗ หัวเมืองของปัตตานีเมื่อคร้ังอดีต มีอารยธรรม แบบโบราณ รวมถงึ ขนั้ ตอนในขบวนการผลติ ที่ตอ้ งไดร้ บั
เก่าแก่ และเป็นเมืองส�าคัญควบคู่กับเมืองปัตตานี การฝกึ ฝน เปน็ ระยะเวลานาน (ไมน่ อ้ ยกวา่ ๒๐ ป)ี จงึ จะมี
มีความเจริญรงุ่ เรอื งทางเศรษฐกจิ การคา้ ศลิ ปวฒั นธรรม ความชา� นาญ ดังนี้
และภูมิปัญญา ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของ ๑. ขั้นตอนการเรียนรู้วิธีและกระบวนการท�า
ทรัพยากรธรรมชาติ คือ แรท่ องคา� ทด่ี งึ ดูดชาวต่างชาติ เครื่องทองแต่ละประเภท รวมทั้งศึกษาเคร่ืองมือและ
ให้เดินทางเข้ามาคา้ ขายและต้งั ถน่ิ ฐาน ทั้ง จีน อนิ เดยี คุณลกั ษณะเฉพาะของเครื่องมือแตล่ ะชิน้
เปอร์เซีย และฝั่งยโุ รป เป็นตน้ ในอดตี เมืองสายบรุ ี เป็น ๒. ขั้นตอนการออกแบบและวาดลวดลายใน
แหล่งแร่ทองค�าแหล่งใหญ่ท่ีเคยมีการท�าเหมืองทองค�า แบบรา่ ง จนนา� มาสู่กระบวนการผลิตไดจ้ รงิ
มาเปน็ เวลายาวนาน แรท่ องคา� มอี ยมู่ ากบรเิ วณตน้ แมน่ า�้ ๓. ขั้นตอนการท�าเครื่องทองแต่ละประเภท
ปตั ตาน ี และแม่นา�้ สายบุร ี กรวดทรายจากล�าน้�า ทัง้ สอง ฝึกฝนจนเกดิ ความชา� นาญ
มที องคา� ปะปนอยมู่ าก ในสมยั กอ่ นสามารถพบเหน็ ชาวบา้ น
ร่อนกรวดทรายหาทองค�าอยู่ตามแม่น�้า ทองค�าท่ีได้ ในอดีตงานช่างท�าทอง เป็นงานที่ได้รับเกียรติ
เรียกว่า “ทองค�าทราย” เมืองสาย (สายบุรี) จึงเป็น และเปน็ งานชน้ั สงู ในสงั คม เนอ่ื งจากเครอ่ื งประดบั ทอง
แหลง่ ซือ้ ขายทองค�ากนั มากในสมยั น้นั (ครองชยั หัตถา, มีมูลค่าสูงและเป็นท่ีนิยมในวังเจ้าเมือง ขุนนางช้ันสูง
๒๕๕๐) ช่างทองจึงมีหน้าท่ีในการผลิตและรังสรรค์เคร่ืองทอง
รปู แบบตา่ ง ๆ ถวายแด่เจา้ เมือง วงศานุวงศ์ ขนุ นาง
และชนช้ันสงู ในสงั คมเทา่ น้ัน

59ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจงั หวดั ปัตตานี

อัตลักษณ์

งานทองของสายบรุ ี

เครื่องประดับจากช่างทองสายบุรี เป็นงาน มักเป็นลายพฤกษชาติ ลายเรขาคณิต ลายเลียนแบบ
หตั ถศลิ ป ์ ทมี่ ลี วดลายสวยงามแสดงถงึ เอกลกั ษณ ์ เพราะไดม้ ี ธรรมชาติและลายอักษรประดิษฐ์
แนวความคิดการออกแบบลวดลายมาจากคติความเช่ือ
ของอิสลามท่ีได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย อิทธิพล ลวดลายของแหวนท่ไี ด้รบั ความนิยม คือ
ของพรหมณ์-ฮินดู และศิลปะท่ีอ่อนช้อยสวยงามของจีน ลายกริชคู ่ ลายพระจนั ทรเ์ สี้ยว ลายดวงดาว
จึงเป็นงานเชิงช่างในรูปแบบของมลายูที่มีความผสมผสาน
ทางวฒั นธรรมไดอ้ ยา่ งลงตวั เครอื่ งประดบั ทน่ี ยิ ม คอื สรอ้ ยคอ และลายตน้ อินทผาลมั
สร้อยขอ้ มือ แหวน จ ี้ กระดุม เขม็ กลดั

งานช่างทองของสายบุรี มีความแตกต่างจาก
ช่างทองอื่น ๆ แม้ว่าเนื้อทองอาจจะไม่มีความแตกต่าง
แตล่ วดลาย รปู แบบและกระบวนการนน้ั มคี วามแตกตา่ งกนั
เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในด้านความเชื่อ
ของศาสนาอิสลาม เรื่องการห้ามรูปคนหรือสัตว์มาใช้
ในงานศิลปะ ท�าให้ลวดลายของงานศิลปะของเครื่องทอง

60 สมบตั ิปัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

วิธกี ารและขนั้ ตอน

การทาำ เคร่อื งประดับ

จากการสมั ภาษณ ์ นายบบู ากาส สนั หมาน เจา้ ของ
ร้านอาบชู า่ งทอง และนายมาโซร์ เปาะมือแย อาย ุ ๖๓ ป ี
ช่างท�าทองโบราณของสายบุรี มีประสบการณ์การท�าทอง
เคร่ืองประดับมากว่า ๓๐ ปี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชา
และเทคนิคการท�าทองมาจากบรรพบุรุษ ได้สรุปข้ันตอน
และวิธีการท�าทองแบบโบราณ คือ

วธิ กี ารทา� หวั แหวน

๑. ออกแบบรปู ทรงเครอื่ งประดบั ตามความตอ้ งการ เมอ่ื เจาะรจู นไดร้ ปู ตามทรงเพชรหรอื พลอยแลว้ นา� เพชร/พลอย
ของผใู้ ช้งาน มาตดิ ตามร ู โดยใชค้ วามรอ้ นในการหลอมทอง ฯ และเพชร/พลอย
๒. หลอมทอง นาคหรือเงิน ดว้ ยความรอ้ น โดยใช้ ใหต้ ดิ กนั การกา� หนดระยะการตดิ เพชร/พลอยจะใชเ้ วอรเ์ นยี
กระบอกไมไ้ ผ่หรอื ทางมะพร้าว เปน็ เบ้าหลอม (สมยั โบราณ เป็นเคร่ืองมือ และการเจาะรูเพื่อติดเพชร/พลอยจะท�า
ใชป้ ากเป่าไฟในการหลอม) ทีละจดุ จนช้นิ งานเสรจ็ สมบูรณ์
๓. น�าทอง ฯ ท่ีหลอมแล้วมาก�าหนดขนาดและ ๖. ทา� ฐานรองหวั แหวน โดยการหลอมทองฯ อกี ครง้ั
ความหนาของชน้ิ งาน โดยใชเ้ วอรเ์ นยี และทา� การตอก ต ี เลอื่ ย เพ่ือให้ได้แผ่นทองและก�าหนดขนาด โดยใช้หัวแหวนทาบ
และตะไบไปเรื่อย ๆ จนได้รูปทรงตามท่ตี ้องการ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ นาดทเี่ ทา่ กนั จากนน้ั ทา� การตอก ต ี เลอื่ ย และตะไบ
๔. ออกแบบรปู ทรงเพชร/พลอย เพอื่ ประดบั ตกแตง่ ไปเรือ่ ย ๆ จนได้ช้ินงานท่เี ท่ากับขนาดของหัวแหวน และใช้
ช้นิ งาน โดยใชต้ ะไบก�าหนดให้ไดร้ ูปทรงตามแบบ ความร้อนเชอื่ มต่อระหวา่ งหวั แหวานกับฐานรองให้ติดกัน
๕. ติดเพชร/พลอย ตกแต่งประดับให้สวยงาม ๗. เมื่อหัวแหวนเสร็จสมบูรณ์ น�าไปเชื่อมต่อกับ
โดยการเจาะรู ซึ่งใช้ท่ีเจาะรูแบบโบราณ (ใช้แทนสว่าน) วงแหวนตอ่ ไป

61ส�ำ นักงานวฒั นธรรมจังหวดั ปัตตานี

วิธกี ารท�าวงแหวน วิธกี ารทา� วงแหวน
โดยใชแ้ ท่นแบบแหวน โดยใชก้ ระดองหมึกเปน็ แบบพิมพ์

๑. ออกแบบรปู ทรงเครอ่ื งประดบั ตามความตอ้ งการ ๑. ออกแบบรปู ทรงเครอื่ งประดบั ตามความตอ้ งการ
ของผใู้ ชง้ าน ของผู้ใช้งาน
๒. หลอมทอง นาคหรอื เงนิ ดว้ ยความรอ้ น โดยใช ้ ๒. ออกแบบและวาดแบบลงบนกระดองหมึก
กระบอกไมไ้ ผห่ รอื ทางมะพรา้ ว เปน็ เบา้ หลอม (สมยั โบราณ แล้วแกะกระดองหมึกตามแบบใหไ้ ด้ขนาดตามต้องการ
ใช้ปากเปา่ ไฟในการหลอม) ๓. หลอมทอง นาคหรอื เงนิ ดว้ ยความรอ้ น โดยใช้
๓. นา� ทอง ฯ ทห่ี ลอมมาเทลงในแทน่ แบบแหวน กระบอกไมไ้ ผห่ รอื ทางมะพรา้ ว เปน็ เบา้ หลอม (สมยั โบราณ
เพ่ือให้ได้แบบแหวนตามแนวยาว ซ่ึงได้ก�าหนดขนาด ใช้ปากเป่าไฟในการหลอม)
ความยาวตามขนาดนว้ิ ของผใู้ ชง้ าน ทง้ิ ไวจ้ นแขง็ ตวั แลว้ จงึ ๔. นา� กระดองหมกึ ทแี่ กะตามแบบแลว้ มาประกบกนั
ทา� การตอก ตี ตะไบไปเร่ือย ๆ จนได้รปู ทรงสมบูรณ์ แลว้ เททอง นาคหรอื เงนิ ทหี่ ลอม ใสแ่ บบพมิ พก์ ระดองหมกึ
๔. ออกแบบลวดลายตรงบริเวณส่วนปลาย ๕. ทงิ้ ไว ้ ๓ นาท ี แลว้ แยกแบบพมิ พก์ ระดองหมกึ ออก
วงแหวนท้ังสองด้าน โดยใช้เล่ือน ตะไบ และความร้อน ก็จะไดเ้ ครื่องประดับแหวนหรอื กา� ไล
ในการก�าหนดลวดลาย ๖. น�าเครื่องประดับที่ได้จากแบบพิมพ์ มาตอก
๕. ข้ึนรูปให้โคง้ เปน็ วงกลม โดยการใช้ความรอ้ น ตี เล่ือย และตะไบไปเรื่อย ๆ จนได้รูปทรงที่สวยงาม
ในการข้ึนรปู จนได้วงแหวนทีส่ มบูรณ์ ตามตอ้ งการ

*** ข้อดีของการใช้กระดองหมึก
เปน็ แบบพมิ พ ์ คอื สามารถทาำ ชนิ้ งาน
ออกมาด้วยความรวดเรว็ ขอ้ จาำ กัด
คือ ความหนาแน่นของเน้ือธาตุ
(ทอง นาค เงนิ ) จะมคี ุณภาพไม่เท่า
วิธีการตอกและตี ซ่ึงใช้ระยะเวลา
ทำานานกวา่ ***

62 สมบัติปตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

วธิ ปี ระกอบหัวแหวนกบั วงแหวน

๑. น�าหัวแหวนและวงแหวนท่ีเสร็จสมบูรณ์ มาประกบกันโดยใชค้ วามร้อนในการเชอ่ื มตอ่ ใหต้ ดิ กัน
๒. เมื่อช้ินงานเชอื่ มตอ่ สมบรู ณ์ จากนน้ั ท�าการขัดดว้ ยกระดาษทรายหยาบ กระดาษทรายละเอยี ด และตอ่ ดว้ ย การขดั
ดว้ ยดนิ ด�าเพื่อให้เกดิ ความแวว ดินแดงเพ่ือใหเ้ กิดความมนั ไม่มีรอยคราบ
๓. หลังจากขัดช้ินงานจนมคี วามสมบูรณ ์ จากนน้ั นา� ไปตม้ กับสารสม้ เพอื่ ท�าความสะอาด
๔. น�ามาขัดกบั ดนิ ดา� ดนิ แดงอกี คร้ัง เพ่อื ให้ชนิ้ งานเกิดความแววและสวยงาม
๕. ทา� ความสะอาดชนิ้ งานดว้ ยนา�้ สะอาดและนา�้ สบู่
๖. น�าช้ินงานไปผิงความร้อน เพื่อไล่ความชื้นและไมท่ ้งิ คราบ

วิธกี ารทดสอบธาตุ

นาำ ธาต ุ (ทอง นาค เงนิ ) มาขดั กบั กอ้ นหนิ ธรรมชาตแิ ลว้ ใชน้ า้ำ กรด
ราดไปทีธ่ าตุ หากว่าธาตุหลอมละลายแสดงว่าเป็นของปลอม แต่หากว่า
ธาตุยังติดกบั กอ้ นหินแสดงว่า เป็นของแท้

63ส�ำ นักงานวฒั นธรรมจังหวดั ปตั ตานี

และจากการสัมภาษณ์ นายสรุ วุฒิ สุทธรัตน์ ทายาทชา่ งทองเมอื งสายบรุ ี เจา้ ของรา้ นเพชรฮาด ี ผตู้ อ่ ยอดภมู ปิ ญั ญา
ด้านการทา� ทองจากรนุ่ ปู่มาสูร่ ุ่นหลาน ไดน้ า� วธิ กี ารท�าเคร่ืองประดบั ด้วยวธิ โี บราณมาผสมผสานกับเครอ่ื งมือสมัยใหม่ บางชนิ้
และมีแนวคิดถ่ายทอดกรรมวิธีงานช่างทองสู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจ เพ่ือสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้คงอย ู่
กับเมอื งสายบุรตี อ่ ไป โดยมีวธิ ีการและข้ันตอนทา� เครื่องประดบั คอื

๑. ออกแบบรูปทรงโดยอิงตามเพชรซีกหรือพลอย ๙. นา� ชนิ้ งานมาตม้ ดว้ ยสารสม้ และทา� ความสะอาดแลว้
ให้มรี ูปทรงทส่ี มสว่ นและมตี า� หนิน้อยท่ีสุด ๑๐. นา� ชนิ้ งานไปยดึ กบั สแลค เพอื่ นา� ไปยดึ กบั แทน่ ฝงั
๒. หลอมทองหรอื นาค ดว้ ยความรอ้ น แลว้ เทเขา้ พมิ พ ์ ๑๑. ทา� การฝังเพชรแตล่ ะเม็ดให้ตรงกบั หลมุ ทวี่ ัดไว้
๓. นา� ไปรดี สลบั กบั ต ี เพอ่ื ใหไ้ ดข้ นาดและความหนา จนแลว้ เสรจ็
ทเ่ี หมาะสมกับช้ินงาน ๑๒. ท�าการขัดดินด�าดินแดง เพ่ือให้ช้ินงานเกิด
๔. วาดลวดลาย ลงบนทองหรอื นาค ความแววและสวยงาม
๕. ทา� การฉลลุ วดลายตามแบบทร่ี า่ งไวบ้ นทองหรอื นาค ๑๓. ทา� ความสะอาดชนิ้ งานดว้ ยนา้� สะอาดและนา้� สบู่
๖. หลงั จากนนั้ ใหเ้ ผาไฟและต ี ใหไ้ ดโ้ คง้ เวา้ ตามแบบ ๑๔. นา� ชน้ิ งานไปผงิ ความรอ้ นเพอื่ ใหไ้ มเ่ หลอื ความชน้ื
ทต่ี อ้ งการ และไมท่ ง้ิ คราบ
๗. เริ่มท�าการวัดเพชรและเจาะรู ขุดหลุมเพชร
ให้ได้ขนาดตามเพชรแตล่ ะเม็ด ระยะเวลาในการผลติ จะขน้ึ อยกู่ บั ความยากงา่ ย
๘. หลังจากชิ้นงานเป็นทรงเรียบร้อย ท�าการตัด ของช้ินงาน โดยมีเวลาการทำาประมาณ ๓–๒๐ วัน
โดยใช้ตะไบหยาบ ตามด้วยตะไบละเอียด และต่อด้วย ตามแต่ลวดลายที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
กระดาษทรายหยาบ กระดาษทรายละเอียด แล้วน�าไปขัด
ดนิ ด�าและดินแดง

64 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

เครอ่ื งมอื ชา่ ง แท่นไม้ตีพมิ พ์ และอปุ กรณ์

เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการผลิตเคร่ืองทองและ
เครื่องประดับ ได้แก่ เบ้าหลอมทอง เบ้าหลอม
แบบโบราณ (ไม้ไผ่และทางมะพร้าว) ตาชั่ง
เวอร์เนีย รางเททอง แท่นแบบแหวน ปากคีบ
แป้นดึงลวด คีบดึงลวด หีบลม ขวดน้�ามัน
กลอ้ งเปา่ ไฟ เครอื่ งรดี กระดานทนไฟ แถบทองเหลอื ง
เคร่ืองตีเงา ใบเล่ือย ดนิ ดา� ดนิ แดง เปน็ ตน้

เวอรเ์ นีย

แท่นตี
เบา้ หลอมทอง

เครื่องรีด

ตาชั่ง แท่นแบบแหวน

ดินแดง กระดองหมึก (แบบพิมพด์ ั้งเดิม)

แทน่ จบั เหล็กเจาะรแู บบโบราณ เบา้ หลอมไมไ้ ผ่

66 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

นายมาโซร์ เปาะมอื แย

ช่างทา� ทองโบราณของเมอื งสายบุรี

67ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดปตั ตานี

เสื้อบานงแมแดหญงิ สาวปตั ตานีสวมชุดบานง

ทม่ี า : ชมรมอนรุ ักษ์ฟิลม์เก่า

68 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

การแตง่ กาย (ชดุ บานง)

นางรภสั รดา พรหมสขุ ๑

“ชุดบานง” เอกลักษณ์การแต่งกายของสตรี ซ่ึงเป็นชุดการแต่งกายของคหบดีเมืองปัตตานี ในสมัย
ชายแดนใต้ท่ีได้รับการสืบทอดมายาวนาน โดยได้รับ รชั กาลที่ ๕ มลี กั ษณะเปน็ เสอ้ื คอวี ผา่ หนา้ ตวั ยาว แขนยาว
อทิ ธพิ ลจากประเทศอนิ โดนเี ซยี คา� วา่ “บานง” มาจากคา� วา่ นงุ่ ผา้ ตาหมากรกุ หม่ ทบั ดว้ ยสไบสพี นื้ ท�าผมเกล้ามวยต�่า
บนั ดง (Banduang) ซึง่ เปน็ ภาษามลายูกลาง เปน็ ชือ่ ของ
เมอื งทางตะวนั ตกของเกาะชวา ประเทศอนิ โดนีเซยี สา� หรบั เสอ้ื บานง ทไี่ ดร้ บั การพฒั นามาจากเสอ้ื กบายอ
นน้ั มลี กั ษณะคอ่ นขา้ งเขา้ รปู และสน้ั จรดสะโพก คอวี ผา่ หนา้
“บานง” จดั เปน็ รปู แบบเสอื้ ทนี่ ยิ มใชก้ นั อยา่ งแพร่ แขนกระบอกยาว ชายเสอ้ื แหลม ปกเสอื้ คอปนี มสี าบพบั ยาว
หลายในหมู่หญิงสาวชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และ ตลอดชายเสอ้ื ในหมหู่ ญงิ สาวไทยมสุ ลมิ และไทยเชอื้ สายจนี
ไทยเชื้อสายจีนแถบ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ตัวเสื้อตัดเย็บ นนั้ นยิ มสวมใสเ่ สอื้ บานงกบั ผา้ ปาเตะ๊ และผา้ ยาวอหรอื ผา้ พนั
อย่างประณีตด้วยผ้าเนื้อบางเบา เช่น ผ้าลูกไม้ ผ้าป่าน (เป็นผ้าผืนยาว มีลวดลายเหมือนผ้าปาเต๊ะ ภาษาท้องถิ่น
ผ้าแพร ผ้าไหม ผ้ามัสลิน ผ้าชีฟอง เพิ่มความงดงามด้วย เรยี กวา่ กาเฮงบอื เละ สวมรองเทา้ เปดิ สน้ และเหนบ็ ผา้ เชด็ หนา้
การปักฉลุบริเวณชายเส้ือ ริมปกเสื้อ และปลายแขน ไว้บริเวณเอว)
เสื้อบานง เป็นเสื้อท่ีพัฒนารูปแบบมาจากเส้ือกบายอ

“เส้ือกบายอ”

(การแต่งกายของคหบดีเมอื งปัตตานี ในสมัยรัชกาลท่ี ๕)
ทมี่ า : หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ

๑นางรภสั รดา พรหมสขุ
นกั วจิ ยั อสิ ระ/เจา้ ของแบรนดเ์ สอื้ ผา้ BANONG

69สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวดั ปัตตานี

ท้ังน้ี ยังนิยมติดเส้ือบานงด้วยกระดุมหรือ
เข็มกลัด โลหะ ทองเหลือง เงินหรือทอง ๓ ช้ิน
โดยกระดุมหรือเข็มกลัดนั้น อาจมีโซ่เรียงร้อย
เข้าด้วยกัน และประดับประดาด้วยเครื่องประดับ
อีกมากมาย เพื่อเพ่ิมความสวยงามและบ่งบอกถึง
ฐานะของผู้สวมใส่ อาทิ สร้อยคอ แหวน ต่างหู
สรอ้ ยขอ้ มอื กา� ไลขอ้ มอื กา� ไลขอ้ เทา้ ซงึ่ ทา� มาจากเงนิ
ทองคา� และนาก (สารานกุ รมชดุ แตง่ กายไทย, ๒๕๕๘)

ส่วนหญิงสาวไทยพุทธ มกั นิยมสวมเสื้อผา้
หลากหลายรปู แบบ ท้งั เส้ือลูกไมค้ อกลม คอวี คอยู
แขนสน้ั หรอื เสอ้ื ทมี่ ปี กผา่ หนา้ ตลอด สวมใสก่ บั ผา้ ทอมอื
ผ้าลายไทยยาวกรอมเทา้ ทัง้ น้ี “บานง” กเ็ ป็นหน่งึ
ในชดุ แต่งกายท่ีนยิ มสวมใส่ เช่นกัน โดยจะสวมใส่
กบั ผา้ ปาเตะ๊ ในหมวู่ ยั ผใู้ หญ่ มกั จะพาดผา้ พาดเฉยี ง
หรือห่มสไบทับบนตัวเส้ือบานง เพ่ือความสุภาพ
เรยี บร้อย เมอ่ื ตอ้ งเขา้ ร่วมงานส�าคัญ ๆ และเหนบ็
ผ้าเช็ดหนา้ (ผ้าแดง) ไว้ทีเ่ อว ส�าหรบั เชด็ น�า้ หมาก
นยิ มทา� ผมทรงมวยตา่� และสวมเครอ่ื งประดบั ตา่ ง ๆ
ที่ท�ามาจากทองค�า

การแต่งกายด้วยชดุ บานงของหญงิ สาวชาวไทยพทุ ธ

(“นางฉลวย โรจนวภิ าค” : คนน่ังเก้าอ)้ี และหญงิ สาวไทยมสุ ลิม (คนยนื ทางขวามือ)
ท่ีมา : ภาพสว่ นบคุ คลของคณุ วราห์ โรจนวภิ าต ตีพมิ พใ์ นบทความเรอ่ื ง “๙ เดอื นท่ยี ่ีงอ”
วารสารเมอื งโบราณ ปที ี่ ๔๑ ฉบบั ที่ ๑ ม.ค.-ม.ี ค. ๒๕๕๘

70 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ต่อมามกี ารประยกุ ตเ์ สอ้ื บานง
ในอีกรูปแบบหน่ึง ซ่ึงได้รับอิทธิพลจาก
ประเทศอนิ โดนเี ซยี เชน่ กนั คอื บานงแมแด
เป็นเสื้อลักษณะคอวีลึก ปิดทับด้วยล้ินผ้า
สามเหล่ียม ภาษามลายูกลาง เรียกว่า
บันดงแมดาน ค�าวา่ แมดาน (Medan)
เป็นชื่อเมืองทางเหนือของเกาะสุมาตรา
ของประเทศอินโดนีเซีย ผ้าท่ีนิยมใช้ใน
การตดั เยบ็ เปน็ ผา้ ลกู ไม้ ผา้ กา� มะหย่ี ผา้ ตว่ น
และผ้าชีฟอง (จิตติมา ระเด่นอาหมัด,
๒๕๒๙) โดยบานงแมแด นิยมน่งุ กบั ผ้าพัน
ผ้าปาเตะ๊ หรอื ผ้าถงุ สา� เรจ็

ท่มี า : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม การแตง่ กายดว้ ยชดุ บานง
ของหญิงสาวชาวไทยเชอ้ื สายจนี

71สำ�นกั งานวัฒนธรรมจังหวัดปตั ตานี

ศิลปะ

72 สมบัตปิ ัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

73ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปัตตานี

การแสดงรองเง็ง เป็นศิลปะพ้ืนเมืองของคนไทย และนา� ไปเต้นรา� บา้ งในคราวท่ีมงี านรื่นเริง จงึ เกิดววิ ฒั นาการ
มุสลิม มีความสวยงานทั้งลีลาการเคล่ือนไหวของเท้ามือ กลายเปน็ รองเงง็ จนถงึ ทกุ วนั น้ี ซง่ึ เปน็ หลกั ฐานยนื ยนั แนน่ อนวา่
ล�าตัว ท้ังการแต่งกายของคู่ชายหญิง แต่เดิมเป็นของ จุดเริ่มต้นของรองเง็งนั้น ด�าเนินครั้งแรกที่เมืองมะละกา
ชาวมาเลเซียท่ีได้รับอิทธิพลมาจากชาวโปรตุเกส เพราะมี ประเทศมาเลเซยี ทงั้ นเ้ี พราะชาวโปรตุเกสเคยเขา้ มายึดครอง
ข้อสังเกตว่า การเต้นรองเง็งใช้ลีลาเท้าเป็นหลัก ซึ่งเป็น เปน็ เมอื งขน้ึ ตงั้ หลกั แหลง่ คา้ ขายทเ่ี มอื งนม้ี ากอ่ น แตท่ แ่ี นน่ อน
ลักษณะของนาฏศิลป์ชาวตะวันตก รองเง็งมีขึ้นเม่ือพ่อค้า คอื รองเงง็ เปน็ ทน่ี ยิ มกนั อยา่ งแพรห่ ลายในคาบสมทุ รมลายู - ชวา
ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาติดต่อท�าการค้าในแหลมมลายู ซึ่งอยู่ มาเป็นเวลาช้านานแล้ว เคยฟังค�าบอกเล่าของท่านผู้เฒ่า
ในราว ๆ ประมาณ พ.ศ. ๒๐๖๑ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จ รุ่นปู่เล่าเรื่องราวก็มีเรื่องของรองเง็งเก่ียวข้องอยู่ด้วย เช่น
พระรามาธบิ ดที ี่ ๒ แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา พวกพอ่ คา้ ชาวโปรตเุ กส สมัยท่ีลิ้มโต๊ะเคี่ยม พ่อค้าจากเมืองจีนมาแต่งงานกับ
ได้น�าเอาแบบฉบบั การเตน้ รา� ของตนมาแสดงใหช้ าวพน้ื เมอื ง ลูกสาวเจา้ เมอื งองคห์ นง่ึ ทปี่ ตั ตานนี นั้ มกี ารจดั ฉลองกนั ๓ วนั
ไดเ้ ห็นกัน คอื เมอื่ วันนักขตั ฤกษ์ เช่น วันข้ึนปีใหม่พวกเขาก็ ๓ คืน มมี หรสพต่าง ๆ แสดงมากมายและมีรองเงง็ รว่ มแสดง
จัดงานร่ืนเริงมีการสังสรรค์และเต้นร�ากันเป็นคู่ ๆ ในงาน อยู่ด้วย เป็นคณะรองเง็งจากวังเจ้าเมืองปัตตานีสมัยน้ัน
ดงั กล่าวมีการเชิญสุลต่าน เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง เข้าร่วมด้วย ซึ่งคงแสดงไดส้ วยงามมากจงึ เปน็ ทเ่ี ลา่ ขานกนั มาช้านาน
และเหน็ การเตน้ รา� กเ็ กดิ ความสนใจ จงึ พยายามจา� แบบอยา่ ง

74 สมบัตปิ ตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

การแสดงรองเงง็ ในจงั หวดั ปตั ตานี ไดร้ บั การถา่ ยทอด ของสิงคโปร์ ได้เข้ามาท�าการแสดงอยู่ที่เมืองปัตตานี
จากเจ้าเมืองมลายู ซ่ึงได้สืบทอดมาจากมาเลเซียอีกต่อหน่ึง จึงได้ชักชวนอยู่ในวังเมืองยะหริ่งให้เป็นผู้สีไวโอลินและ
ศิลปะการเต้นรองเง็งในจังหวัดปัตตานี เดิมนิยมเต้นกัน เป็นผฝู้ กึ ซ้อมการเตน้ รองเง็งและการแสดงชดุ อื่น ๆ ซงึ่ เปน็
เฉพาะในรวั้ ในวงั เจา้ เมอื งมลายู ไดแ้ ก่ วงั จะบงั ตกิ อ วงั รามนั ห์ ส่วนหน่ึงของละครบังสวันให้แก่ข้าราชบริพารและชาวบ้าน
วังยะลอ วังระแงะ วังเมืองสายบุรีและยะหริ่ง โดยเร่ิมขึ้น ท่ัวไปท่ีสนใจพากันมาฝึกซ้อมการแสดงพื้นบ้านที่วังยะหร่ิง
ในสมัยพระยาพิพิธเสนามาตย์ ศรีสุรสงคราม เจ้าเมือง เป็นประจ�า ใครต้องการซ้อมก็พาคู่เต้นมาซ้อมท่ีวังยะหร่ิง
ยะหริ่งในสมัยน้ัน ตั้งแต่ก่อนการเปล่ียนแปลงการปกครอง และกล่าวได้ว่า นายญัง เป็นผู้ให้ก�าเนิดการเต้นรองเง็ง
(พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๔๙) โดยพระยาพพิ ธิ เสนามาตย์ ศรสี รุ สงคราม ในเมืองยะหร่ิงเป็นคนแรก ในบรรดาผู้ฝึกซ้อมการแสดง
เจา้ เมอื งยะหรงิ่ ทราบขา่ ววา่ การแสดงบงั สวนั ของคณะนายญงั พื้นบ้านท่ีวังเมืองยะหริ่งนั้นมีผู้ที่เต้นเก่งและเต้นสวย
จนเปน็ ทย่ี อมรบั ทวั่ ไป ชอื่ นางเจะ๊ แอเซาะ ต่อมานางเจ๊ะแอเซาะ
ขุนจารวุ ิเศษศึกษา (นายเจะ๊ มุ จารปุ ระสทิ ธิ์) แต่งงานก็ชวนสามีมาฝึกซ้อมด้วย การแสดงพื้นบ้านของ
อดตี ศกึ ษาการจังหวัดปัตตานี (คนยนื ซา้ ยมอื ) พระยาพพิ ิธเสนามาตย์ ศรสี ุรสงครามกเ็ รม่ิ กระจัดกระจาย
มหี ลายคณะหลายเจา้ ตามแตจ่ ะฝกึ ซอ้ มกนั ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔
ทีม่ า : บุญฤทธิ์ จารปุ ระสิทธ์ิ หลานชายขุนจารวุ เิ ศษศกึ ษา ขนุ จารวุ เิ ศษศกึ ษา (นายเจะ๊ มุ จารปุ ระสทิ ธ)์ิ อดีตศกึ ษาการ
จังหวัดปัตตานี ซ่ึงเคยฝึกซ้อมรองเง็งกับนางเจ๊ะแอเซาะ
เกรงว่าศิลปะการแสดงพื้นบ้านรองเง็งจังหวัดปัตตานี
จะสูญหายจึงได้คิดฟื้นฟูศิลปะการแสดงรองเง็งขึ้น
(มัลลกิ า คณานุรกั ษ์, ๒๕๕๐: ๒๒๕)

ต่อมารองเง็งได้แพร่หลายออกไปสู่ประชาชน
โดยการแสดงพน้ื บา้ นอยา่ งหนง่ึ ทเี่ รยี กวา่ “มะโยง่ ” ซงึ่ แสดง
เป็นเร่ืองเป็นราวอย่างละคร ในการแสดงละครมะโย่งน้ัน
จะมกี ารพกั ครง่ึ ละ ๑๐-๑๕ นาที ในระหวา่ งทพี่ กั นมี้ กี ารสลบั ฉาก
เพื่อให้ผู้แสดงพักและทางมะโย่งจะมีการหาเงินเข้าคณะ
โดยดนตรจี ะบรรเลงเพลงรองเงง็ ผหู้ ญงิ ทแ่ี สดงมะโยง่ จะจบั คู่
เต้นกันเอง และร้องเพลงเชิญชวนให้ชายที่มาชมการแสดง
เขา้ ร่วมเตน้ รองเง็งดว้ ย แต่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนแก่
คเู่ ตน้ เปน็ รอบ ๆ มะโยง่ ทมี่ รี ปู รา่ งหนา้ ตาสวยงามเปน็ ทต่ี อ้ งตา
ต้องใจผู้ชายจะได้รับค่าตอบแทนคนื ละมาก ๆ ทเี ดยี ว

75ส�ำ นักงานวฒั นธรรมจงั หวัดปตั ตานี

ศิลปะการแสดงรองเง็ง
จงั หวัดปตั ตานี ประกอบด้วย

๑. ผู้แสดง “ศิลปะการแสดงรองเง็งของจังหวัดปัตตานี
ใช้ผู้แสดงทั้งผู้หญิง และผู้ชายเนื่องจากเดิมเป็นศิลปะ
ผู้แสดงมีหน้าท่ีน�าเสนอกระบวนท่าเต้นต่าง ๆ การแสดงพ้ืนบ้านที่เจ้าเมืองหรือรายาจัดเตรียมไว้ส�าหรับ
เพอ่ื สอื่ ไปสผู่ ชู้ ม นยิ มใชผ้ แู้ สดงคชู่ าย - หญงิ ศลิ ปะการแสดง ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง การแสดงรองเง็งใช้ท่วงทีลีลา
รองเง็งปัตตานีแต่ครั้งโบราณกาลน้ัน เป็นหน้าท่ีของสตรี ทอ่ี อ่ นชอ้ ยสวยงามตามแบบนาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ นผสมการเตน้ รา�
ขา้ ราชบริพารในวังเจ้าเมืองที่เจ้าเมืองได้จัดเตรียมซ้อมไว้ ของชาวตะวันตก ไม่จ�ากัดจ�านวนผู้แสดง สามารถเต้นได้
และมหี นา้ ทโ่ี ดยเฉพาะ สว่ นผชู้ ายเปน็ แขกชายสงู ศกั ดทิ์ ไ่ี ด้ ตงั้ แต่ ๑ คู่ขน้ึ ไป”
รบั เชญิ มาในงานเลีย้ งหรืองานพิธกี ารตา่ ง ๆ

76 สมบตั ปิ ัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

๒. เพลงและเคร่อื งดนตรี เครอ่ื งแตง่ กายนน้ั นอกจากเปน็ ๑ ในปจั จยั ๔
องค์ประกอบท่ีส�าคัญท่ีสุดในการแสดงนาฏศิลป์ ท่ีจ�าเป็นในการปกปิดร่างกายแล้วยังบ่งบอกท่ีมา
ไมว่ า่ จะเปน็ ของชนชาตใิ ด ไดแ้ ก่ ทา� นองเพลงประกอบการแสดง ของบุคคลที่สวมใส่เสื้อผ้าเหล่าน้ันโดยเรียกว่า
เพลงที่ใช้ประกอบศิลปะการแสดงรองเง็งของจงั หวดั ปตั ตานี วัฒนธรรมการแต่งกายโดยเฉพาะกลุ่มชนชาติมลายู
โดยคุณครูเซ็ง อาบู ได้ให้ข้อมูลว่า “การแสดงรองเง็ง” ถอื ไดว้ า่ การแตง่ กายสามารถบง่ บอกวถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่
ในสมัยพระยาพิพิธเสนามาตย์จะใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านมลายู ไดอ้ ยา่ งมเี อกลกั ษณ์ ซงึ่ เครอ่ื งแตง่ กาย ในชวี ติ ประจา� วนั
ผสมดนตรสี ากล ไมม่ รี ปู แบบการผสมวงทแ่ี นน่ อน นยิ มใชศ้ ลิ ปะ ของชาวมลายูได้ถูกน�ามาใช้เป็นเครื่องแต่งกายของ
การแสดงรองเงง็ จงั หวดั ปตั ตานเี ดมิ ประกอบดว้ ยดนตรี ๓ ชนดิ ศลิ ปะการแสดงรองเง็งของปัตตานี
ประกอบด้วย ร�ามะนา ๒ ใบ ฆ้อง ๑ ใบ และไวโอลิน ๑ ตัว
ตอ่ มามกี ารเพิม่ เคร่ืองดนตรี ดงั น้ี การแต่งกายของศิลปะการแสดงรองเง็ง
๑. ไวโอลนิ ๒. รา� มะนา ปตั ตานี นยิ มใชช้ ดุ มลายชู นั้ สงู เขา้ ชดุ เปน็ คชู่ าย-หญงิ
๓. ฆอ้ ง ๔. แอดคอเดีย้ น นิยม สสี ด เชน่ สเี ขยี ว สีแดง สีฟ้า สชี มพู เปน็ ต้น
๕. แมนโดลิน ๖. ทมั มาริน โดยการแต่งกายเช่นนี้สามารถใช้ประกอบการแสดง
๗. มารากัส พนื้ บา้ นไดท้ กุ ชดุ แตใ่ นปจั จบุ นั สสี นั ของเสอ้ื ผา้ ในการ
แสดงพ้นื บ้านของวังยะหริง่ ได้เปลี่ยนไปตามค่านิยม
เพลงรองเงง็ คอื จะแบง่ รูปแบบการแต่งกายของการแสดงรองเง็ง
เพลงทใี่ ชเ้ ตน้ รองเงง็ มอี ยถู่ งึ ๑๓ เพลง คอื เพลงลาฆดู วู อ ออกเปน็ ๓ รูปแบบ คือ การแต่งกายแบบราชส�านกั
เพลงจนิ ตาซายงั เพลงปโู จะ๊ ปซี งั เพลงเมาะอนิ งั ลามา เพลงอาเนาะดดิ ๊ิ แตง่ กายแบบชนชนั้ กลาง และแต่งกายแบบชาวบา้ น
เพลงบหุ งารา� ไป (เพลงรมุ บา้ รองเงง็ ) เพลงเลนงั เพลงเมาะอนี งั ชวา และขณะแสดงจะสวมรองเทา้ เฉพาะการแสดงรองเงง็
เพลงมสั แมระห์ เพลงจนิ โยดวี ตั ตมู าลมี ฮารี เพลงเมาะอนี งั บารู (นางสาวนพมาศ พรมนุชาธิป และคณะ, ๒๕๖๑)
และ เพลงเมาะอนี งั แลเงาะ แตป่ จั จบุ นั นี้ ที่ปรากฏว่ายังมกี าร
เต้นอยเู่ พียง ๘ เพลง คอื การแตง่ กายผแู้ สดงรองเงง็ หญงิ ยคุ แรก สวมชดุ กอื บายา บานง
๑. เพลงลาฆูดูวอ ๒. เพลงจนิ ตาซายัง
๓. เพลงปูโจะ๊ ปซี ัง ๔. เพลงเลนงั
๕. เพลงอาเนาะดดิ ๊ิ ๖. เพลงมนี งั ชวา
๗. เพลงบุหงาร�าไป (เพลงรมุ บ้ารองเงง็ )
๘. เพลงเมาะอนี ังลามา

77สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี

เปหกัตวลตาานอนี

“ในเมืองตานี มีนาเกลือแหง่ เดยี วตลอดแหลมมะลายู สนิ ค้าเกลอื เมอื งตานขี ายไดอ้ ยา่ งแพง
ถงึ เกวยี นละ ๑๖ เหรยี ญ ขายตลอดออกไปจนสงิ คโปรแ์ ละเกาะหมาก”
สมเดจ็ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพทรงบันทกึ เกย่ี วกับการท�านาเกลือในปัตตานี
(ครองชยั หตั ถา, ๒๕๔๖: ๑๐๓)

78 สมบัติปตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

เกลือหวานปัตตานี

เกลือ เป็นสิ่งจ�าเป็นต่อการด�ารงอยู่ ที่มา : สถาบนั วฒั นธรรมศกึ ษากลั ยาณิวัฒนา
ของสิ่งมีชีวิต มนุษย์รู้จักน�าเกลือมาใช้ประโยชน์ต้ังแต่ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพราะเกลือช่วยรักษาสมดุล
และความดันโลหิตแก่ร่างกายมนุษย์ เป็นเครื่องปรุง
อาหาร เปน็ ยารกั ษาโรคและชว่ ยถนอมอาหาร เกลอื ยงั มี
ความเกยี่ วขอ้ งกบั ประวตั กิ ารตงั้ ถน่ิ ฐาน การกอ่ ตงั้ ชมุ ชน
แรกเรมิ่ ไปจนถงึ การสรา้ งอาณาจกั รของคนหลายชนชาติ
เกลอื เปน็ ทรพั ยากรทมี่ คี า่ มาแตโ่ บราณ บางรฐั จงึ ผกู ขาด
การผลติ เกบ็ ภาษคี า้ เกลอื และมกี ารใชเ้ กลอื แทนคา่ เงนิ ตรา
ดังคา� กลา่ ว

…เดิมมนุษย์เราได้เกลือจากแหล่งธรรมชาติ
ชมุ ชนใดครอบครองบอ่ เกลอื ชมุ ชนนน้ั ยอ่ มมเี ศรษฐกจิ ดี
ในสมัยโบราณเกลือในยุโรปแลกเปลี่ยนกับเคร่ืองเทศ
จากอิยิปต์ เพชรนิลจินดา ทองค�าจากแอฟริกาและ
ชุมชนแถบชายฝั่งทะเลตะวันออก เกิดสงครามแย่งชิง
แมน่ า้� สายหนง่ึ สามารถนา� นา�้ มนั ทา� เกลอื ได้ (นคร สา� เภาทพิ ย,์
๒๕๓๕ : ๖๘-๖๙)

79ส�ำ นักงานวฒั นธรรมจังหวัดปตั ตานี

ทีม่ า : สถาบันวัฒนธรรมศกึ ษากัลยาณวิ ัฒนา มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี

ปัตตานเี ปน็ จงั หวดั เดียวของภาคใตท้ มี่ กี ารทา� นาเกลอื การทา� นาเกลือที่ปตั ตานมี มี านานกวา่ ๔๐๐ ปี ปตั ตานีมคี วาม
เจรญิ รงุ่ เรอื งมาเปน็ ลา� ดบั และนาเกลอื เพยี งแหง่ เดยี วบนคาบสมทุ รมลายนู บั ตงั้ แตค่ อคอดลงไปจนสดุ ปลายแหลม เกลอื ปตั ตานี
นอกจากจ�าหนา่ ยในประเทศแลว้ ยังจ�าหน่ายไปถงึ ยะโฮร์ สงิ คโปรแ์ ละปีนัง

ซง่ึ ในระยะ ๑๐๐ ปที ผ่ี า่ นมา เกลอื เปน็ สนิ คา้ สา� คญั ของ เกลือปัตตานีมีช่ือเสียงในด้านรสชาติท่ีกลมกล่อม
เมอื งปตั ตานี ดงั ทป่ี รากฏในบนั ทกึ ของกรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ ไมเ่ คม็ เพียงอย่างเดียวแต่มีรสอื่นผสมอยู่ด้วย เพราะผ่าน
ทรี่ ายงานทลู ถวายพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การผสมกบั นา้� กรอ่ ยมาจากอา่ วปตั ตานี ทา� ใหม้ คี วามแตกตา่ ง
ในคราวเสดจ็ ประพาสเมอื งปตั ตานี เมอื่ พ.ศ. ๒๔๓๙ ตอนหนงึ่ กับเกลือจากแหล่งอ่ืน ชื่อเสียงดังกล่าวทราบกันทั่วไป
ความวา่ ในเมอื งตา่ ง ๆ บนแหลมมลายมู าเปน็ เวลานาน และกลา่ ว
ยกย่องว่าเกลือปัตตานีมีรสหวาน ดังค�ากล่าวท่ีตกทอด
“...ภมู ลิ า� เนาของเมอื งทงั้ เจด็ ซง่ึ ขา้ พเจา้ ไดไ้ ปเหน็ มาแต่โบราณว่า “ฆาแฆ ตานิง มานิส” มีความหมายว่า
และได้สืบสวน เป็นเมืองบริบูรณ์อย่างประหลาดจะหา “เกลือหวานปัตตานี” ซึ่งหมายถึง เกลือปัตตานีมีรสชาติ
เมืองมลายูเมืองใดเปรียบได้เสมอเป็นอันไม่มี เมืองตานี กลมกลอ่ ม (ครองชยั หตั ถา, ๒๕๔๖ : ๑๐๓)
มีเกลืออย่างเดียวตลอดแหลมมลายู สินค้าเกลือ
เมอื งปัตตานีขายไดอ้ ยา่ งแพงเกวยี นละ ๑๖ เหรยี ญ...”

80 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

จังหวดั ปตั ตานี เป็นจังหวัด Paul Wheatley ได้น�าเสนอข้อมูลที่เก่ียวข้อง
กับการผลิตเกลือของชาวเอเชียอาคเนย์ โดยอ้างจาก
ชายแดนภาคใต้ที่มีพ้ืนที่ติดทะเลมีสภาพทางภูมิศาสตร์ บันทึกของชาวจนี ทช่ี อื่ หวงั ตา้ หยวนเตา่ อจ๋ี อ่ื เลยี่ (บนั ทกึ ยอ่
เป็นทร่ี าบชายฝ่งั ทะเล สดั สว่ นประมาณ ๑ ใน ๓ ของพน้ื ท่ี ชนเผ่าชาวเกาะ) ท่ีเดินทางมายังบริเวณคาบสมุทรมลายู
จังหวัด สภาพพื้นที่เป็นหาดเลน ชาวบ้านจะใช้เป็นพื้นที่ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๑๘๘๙ - ๑๙๙๑ มเี นอื้ หา ๒ สว่ นทเี่ กย่ี วกบั
การท�านาเกลือ โดยเฉพาะบริเวณอ�าเภอเมืองปัตตานี บริเวณภาคใต้ของประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ส่วนแรก
ประกอบด้วยต�าบลบานา และตา� บลตันหยงลูโละ ชาวบา้ น คอื อาณาจักรตามพรลงิ ค์ (Tan-Ma-Ling) และอาณาจักร
ที่ท�านาเกลือล้วนเป็นชาวมุสลิมทั้งสิ้น ซึ่งการท�านาเกลือ ลงั ยะสิว (Wheatley,Paul.๑๙๖๑ : ๗๖)
ของชาวปตั ตานมี มี าชา้ นานแลว้ และปรากฎวา่ มเี พยี งแหง่ เดยี ว
ในภาคใต้ของประเทศไทยตลอดจนถึงปลายแหลมมลายู ซึ่งอาณาจักรลังยะสิว หรืออาณาจักรลังกาสุกะ
เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของจังหวัดปัตตานี โดยเฉพาะ (Lung-Ya-His-Chiao) มคี วามว่า Lung-Ya-His-Chiao
พนื้ ทบ่ี รเิ วณอา่ วปตั ตานมี แี หลมตาชี กอ่ ตวั เปน็ แนวสนั ทราย ตั้งอยู่บริเวณแนวเชิงเขา ตัวเมืองตั้งอยู่สูงกว่าพ้ืนราบ
ย่ืนออกไปในทะเลเป็นแนวยาวขนานกับชายฝั่งล้อมรอบ บรเิ วณขา้ งเคยี ง ทา� ใหม้ องเหน็ บา้ นเรอื นตงั้ อยเู่ รยี งรายรอบ
พน้ื ทต่ี อนในของอา่ ว เป็นลักษณะของสันดอนจะงอยทราย เชงิ มามองดเู หมอื นมด ชาวเมอื งนา� นา้� ทะเลมาตม้ เพอื่ เอาเกลอื
สว่ นปลายของแหลมโคง้ งอเขา้ หาฝง่ั คลา้ ยตะขอ พน้ื ทร่ี มิ ทะเล มกี ารหมกั ขา้ วเหนยี วเพอ่ื เอามาทา� เปน็ สรุ า พวกเขาเชอื่ ถอื
ท่ีอยู่ตอนในของอ่าวมีคล่ืนลมสงบ เพราะมีแหลมตาชี ผนู้ า� สนิ คา้ พนื้ เมอื ง ไดแ้ ก่ ไมก้ ฤษณาและไมห้ อมชนดิ ตา่ ง ๆ
ยืน่ ออกมากา� บังลมไว้ ทา� ใหบ้ รเิ วณชายฝง่ั ไม่มีทรายถูกพดั เขาสัตว์ น้�าผึ้ง สินค้าจากที่อ่ืนท่ีน�ามาจ�าหน่าย ได้แก่
มาทบั ถม พนื้ ทมี่ สี ภาพเปน็ หาดเลน ดนิ เปน็ ดนิ เหนยี ว สภาพดนิ แมพ่ มิ พเ์ ครอ่ื งถว้ ยชาม หบี เหลก็ ฝา้ ยและอนื่ ๆ(Wheatley,
บริเวณอ่าวปัตตานีส่วนที่มีการท�านาเกลือเป็นพ้ืนที่ใกล้ ๑๙๖๑ : ๗๖-๘๐ อา้ งถงึ ในครองชัย หัตถา , ๒๕๔๑ : ๓๘)
ทะเลท่ีราบเรยี บ สภาพดนิ เดิมเปน็ หาดเลนเก่าหรอื ทีล่ มุ่ น้�า Paul Wheatley (Wheatley,Paul.๑๙๖๑ : ๗๖) วิเคราะห์
ทะเลเคยท่วมถงึ พ้ืนทห่ี าดเลนน้ีกินเน้อื ท่กี ว้างขวาง มีพนื้ ท่ี ว่าดินแดนที่กล่าวถึง คือ ตามพรลิงค์ (Tan-Ma-Ling)
ตงั้ แต่ ต�าบลบางปู ต�าบลบาราโหม เขตอา� เภอยะหร่ิงพ้ืนท่ี หรือ (Ligo) หมายถึง นครศรธี รรมราชนนั้ เอง
ตา� บลตนั หยงลโู ละ ตา� บลบานา อา� เภอเมอื งปตั ตานี เนอ้ื ดนิ
เปน็ ดนิ เหนยี วอมุ้ นา้� ไดด้ ี กลา่ วคอื เมอื่ ปลอ่ ยนา�้ ทะเลมาขงั ไว้ เมื่อประมวลเรื่องราวเกี่ยวกับท่ีตั้งทางภูมิศาสตร์
น�้าจะซมึ ลงใต้ดินได้ชา้ เหมาะแกก่ ารขงั น้า� เพื่อท�านาเกลือ ของลังกาสกุ ะ จากเอกสารหลักฐานตา่ ง ๆ ท�าใหท้ ราบว่า
ลังกาสุกะตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู หลักฐานเอกสาร
และข้อมูลทางโบราณคดีท่ีศึกษากันในระยะต่อมา
เป็นจ�านวนมากสนับสนุนว่าศูนย์กลางของลังกาสุกะอยู่ท่ี
ปตั ตานี (ครองชยั หัตถา,๒๕๔๑:๒๙)

81สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวดั ปตั ตานี

ที่มา : สถาบันวฒั นธรรมศึกษากลั ยาณิวฒั นา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปตั ตานี

หากข้อสันนิษฐานของนักวิชาการ และประเทศไทย แหลง่ อารยธรรมทม่ี หี ลกั ฐาน
เก่ียวกับอาณาจักรลังยาเสียวหรือลังกาสุกะ เกยี่ วกบั เกลอื การแลกเปลย่ี นซอื้ ขายเกลอื กนั
มีศูนย์กลางอยู่ที่ปัตตานี เร่ืองราวการผลิต ระหว่างชุมชนนั้นมีหลายแห่งด้วยกัน เช่น
เกลอื แถบนสี้ บื ไปไกลกวา่ ๖๐๐ ปี ดว้ ยวธิ กี าร อาณาจักรอยุธยาในชว่ งต้น ก่อนพุทธศกั ราช
นา� นา�้ ทะเลมาตม้ เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ กลอื แตพ่ ฒั นามาเปน็ ๒๐๓๐ ยังไม่สามารถผลิตเกลือสมุทรบริโภค
การท�านาเกลือไดอ้ ย่างไรไมม่ ีหลักฐานยนื ยนั ได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
จา� เปน็ ตอ้ งพง่ึ เกลอื สมทุ รจากจนี และเกลอื สนิ เธาว์
เกลือถูกจัดให้เป็นสินค้าเพ่ือการ จากเมอื งนา่ นรวมถงึ เมอื งอน่ื ๆ ทางภาคเหนอื
แลกเปล่ียนซอื้ ขาย ในแหล่งอารยธรรมท่ัวไป
มานานรวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

82 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

พัฒนาการการท�านาเกลือท่ีปัตตานี

การท�านาเกลือที่ปัตตานีมีพัฒนาการมาอย่าง ไมไ้ ผส่ านมลี กั ษณะคลา้ ยชอ้ นขนาดใหญ่ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง
ตอ่ เนอ่ื ง โดยนกั วจิ ยั ไดล้ งพนื้ ทแ่ี ละสมั ภาษณช์ าวนาเกลอื ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร อุดรอยรั่วด้วยยางชัน
อายุระหว่าง ๓๐-๘๐ ปี ในเขตพ้ืนที่ต�าบลบานา เพอ่ื ใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั นา�้ จากอาโล (คลองสง่ นา้� ) ตอ้ งวดั นา้�
ต�าบลตนั หยงลูโละ อ�าเภอเมอื งปตั ตานี จงั หวัดปัตตานี ถงึ ๑,๐๐๐ ครัง้ ถงึ จะไดน้ า้� มากพอใชใ้ นแปลงนาเกลอื ”
เก่ยี วกับการท�านาเกลอื ของจงั หวัดปัตตานี คอื ทา� กันมา
ต้ังแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เรียนรู้ถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่น “ยุคที่ ๒ ยุคกังหันลม ตามค�าบอกเล่า
ปสู่ อนหลาน พอ่ สอนลกู และหากมลี กู เขยซงึ่ เปน็ คนตา่ งถนิ่ ของชาวนาเกลือ กล่าวว่า ได้รับมาจากบ้านแหลม
พอ่ ตากจ็ ะสอนลกู เขย และจากการสมั ภาษณ์ ชาวนาเกลอื จังหวดั เพชรบรุ ี เม่อื ประมาณ ๕๐ ปีกอ่ น และสมยั ก่อน
อายุ ๘๐ ปี เลา่ วา่ “เมอื่ ๒๐-๓๐ ปกี อ่ น ยงั มเี รอื จากตรงั กานู มีชาวบ้านต�าบลบานา เดินทางไปกรุงเทพฯ พบว่า
ประเทศมาเลเซยี หลายสบิ ลา� มารอซอื้ เกลอื ทปี่ ากอา่ วปตั ตานี ชาวเพชรบรุ มี กี ารใชก้ งั หนั ลม จงึ ซอ้ื รางชกั นา�้ มา และมา
บางรายมาลอยล�าอยู่ปากอ่าวนานแรมเดือนสุดท้าย ดดั แปลงกังหันลมใช้กับรางชักน้�าท่ีซ้ือมา แล้วคนอ่นื ๆ
ก็มาผูกสัมพันธ์เป็นเขยชาวปัตตานีตั้งรากท่ีหมู่บ้าน กท็ า� ตาม ซง่ึ จากขอ้ มลู เกย่ี วกบั การใชก้ งั หนั ลม พบวา่ มใี ช้
ตันหยงลูโละ และเรียนวิธีการท�านาเกลือจากพ่อตา” ในอเมริกา ช่วงต้นศตวรรษท่ี ๑๙ หรือราวหนึ่งร้อย
กวา่ ปีทีผ่ า่ นมา”
พัฒนาการเกย่ี วกบั เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการทา� นาเกลอื
พฒั นาการเกย่ี วเครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการทา� นาเกลอื “ยคุ ท่ี ๓ ยุคเคร่อื งยนตส์ ูบน้�า ซง่ึ ใชก้ นั ปัจจุบัน
เครอ่ื งสบู นา�้ ถกู นา� มาใชแ้ ทนกงั หนั ลม เนอื่ งจากใชง้ านงา่ ย
ในยคุ แรกเรม่ิ จากการใชภ้ าชนะตักน้า� เรยี กวา่ “บาโก” รวดเร็วและใช้ได้ท้ังวันไม่ต้องรอลมจากธรรมชาติ
โดยมพี ัฒนาการแบ่งออกเปน็ ๓ ยุค คือ แตก่ ลบั เปน็ การเพม่ิ ตน้ ทนุ ในการผลติ กลา่ วคอื จากเดมิ
ที่ใชแ้ รงงานลมหรอื มนษุ ยใ์ นการชักน้า� เข้านา แต่เมือ่ ใช้
“ยุคแรก ใช้แรงงานคนตักน�้าด้วยภาชนะ เคร่อื งสูบน�า้ ชาวนาต้องซ้อื เคร่อื งสบู น�า้ ซึง่ มรี าคาต้งั แต่
ที่เรียกว่า บาโก ชาวนาเกลือจะใช้กาบหลาวชะโอน ๓,๐๐๐ - ๑๗,๐๐๐ บาท และตอ้ งซอ้ื นา�้ มนั โซลา่ เตมิ ฤดกู าลละ
ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียวไม่เปราะฉีดขาดง่าย ท�าเป็นตีมอ ประมาณ ๓๐ ลิตร ซึ่งการใช้เครื่องยนต์สูบน�้าน้ัน
หรือตีหมา (คล้ายถังตักน้�าขนาดใหญ่) หรือบางรายใช้ อา� นวยความสะดวก แต่ก็เพิม่ ต้นทุนในสว่ นของนา�้ มัน”

83สำ�นกั งานวฒั นธรรมจังหวัดปัตตานี

พัฒนาการดา้ นการค้าเกลือ

เกลอื เปน็ สนิ คา้ สง่ ออกทสี่ า� คญั ของเมอื งปตั ตานี
มานานนับร้อยปี โดยมีหลักฐานเอกสารจากรายงาน
การเดนิ ทางตรวจราชการของสมเดจ็ กรมพระยาดา� รง-
ราชานุภาพ บรรยายว่า เกลือของปัตตานีส่งขายไป
ถงึ สงิ คโปร์ และเกาะหมาก (เกาะปนี งั ประเทศมาเลเซยี )
เมอื งสงขลากส็ ง่ เรอื มารอรบั ซอื้ เกลอื ทปี่ ากอา่ วปตั ตานี
ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๒๗ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๙

การซื้อขายเกลือ ซึ่งผู้ขายจะต้องถือปฏิบัติ
เสมอ คือ หากซื้อเกลือ ๑๐ ส่วนจะตอ้ งแถม ๑ ส่วน
เน่ืองจากคนเฒ่าคนแก่สอนว่าอย่าเอาเปรียบกัน
เพราะระหวา่ งตวงเกลอื ใสภ่ าชนะอาจมเี กลอื บางสว่ น
ตกหล่น จึงต้องชดเชยเกลืออีก ๑ ส่วน ให้ผู้ซื้อ
เพอื่ ความยตุ ธิ รรม การซอื้ ขายเกลอื จะเปน็ เชน่ นี้ จนกลายเปน็
ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิ ยงั พบเหน็ ไดห้ ากเขา้ ไปซอ้ื เกลอื ในหมบู่ า้ น
แต่หากไปซื้อเกลือในตลาด ปัจจุบันผู้ขายบางรายเลิก
ปฏบิ ัติเช่นนไ้ี ปแล้ว เนอื่ งจากเห็นว่า เครอื่ งมอื ชัง่ ตวง
สมยั ใหมม่ คี วามเทยี่ งตรงมากขน้ึ จงึ ไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งชดเชย
เกลอื อยา่ งในอดตี (นราวดี โลหะจนิ ดา, ๒๕๔๗: ๕-๓๔)

84 สมบตั ิปัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

85ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปัตตานี

จติ รกรรมฝาผนงั มงุ กระเบอ้ื งดินเผาแบบโบราณ (พ.ศ.๒๕๔๑ จดั เกบ็ ในวหิ าร)
ปัจจุบันภาพจิตรกรรมมาย้ายติดตั้งไว้ท่ีศาลาการเปรียญ
(วดั ป่าศรี)
ภาพจติ รกรรมเขยี นบนแผน่ ไมก้ ระดานแบง่ ออกเปน็ ๒ ชดุ
นายธนวฒั น์ พรหมสขุ ๑ แตล่ ะชดุ ขนาดประมาน ๔๑ x ๒๕๐ เซนตเิ มตร ลกั ษณะผลงาน
จิตรกรรมของวัดป่าศรี เป็นการเขียนสีฝุ่นบนแผ่นไม้ ฝีมือ
วัดป่าศรีเป็นวัดราษฎร์ในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ชา่ งพนื้ บา้ น โทนสที ใี่ ชน้ ยิ มใชส้ ตี ดั กนั เชน่ สเี หลอื งตดั กบั สแี ดง
ตง้ั อยทู่ ต่ี า� บลตะโละ อา� เภอยะหรงิ่ จงั หวดั ปตั ตานี ไมส่ ามารถ และสีขาว สีเหลืองสีครามกับสีส้ม สีพื้นใช้สีแดงแกมส้ม
สืบค้นประวัติความเป็นมาของวัดได้ และภาพจิตรกรรม และสแี ดงแกมเหลอื ง และรวมไปถงึ การตดั เสน้ ลงรกั ปดิ ทอง
วัดป่าศรี เขียนบนแผ่นไม้กระดาน ซ่ึงเดิมติดต้ังที่คอสอง ภาพจิตรกรรมแสดงเรื่องราวพุทธประวัติเนื้อหาบางตอน
ของวหิ าร (วหิ ารหลงั เดมิ ถกู รอ้ื ถอนไปแลว้ ) ยา้ ยมาจดั เกบ็ ไว้ ทสี่ า� คญั สว่ นเนอ้ื หาอกี สว่ นหนง่ึ ไมค่ รบ เนอื่ งจากพนื้ ทม่ี จี า� กดั
ที่วิหารหลังใหม่ ตัววิหารเป็นอาคารประกอบไม้ ใช้ลิ่มสลัก
เป็นตัวประกอบอาคาร หลังคาทรงปน้ั หยา ซอ้ นกนั ๓ ชัน้

๑ นายธนวฒั น์ พรหมสขุ
อาจารยป์ ระจ�า สาขาวิชาทัศนศิลป์และการออกแบบ มหาวิทยาลยั ราชภัฏยะลา

86 สมบัติปัตตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

วหิ ารไม้วดั ปา่ ศรี พ.ศ.๒๕๔๑

87ส�ำ นักงานวฒั นธรรมจังหวดั ปัตตานี

แสดงภาพพุทธประวัติ ตอน สวดพระบรมศพ

นอกจากเรอ่ื งราวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พทุ ธประวตั แิ ลว้ นนั้ การล�าดับภาพจิตรกรรมของวัดป่าศรี
ยังมีการสอดแทรกเน้ือหาเร่ืองราวที่เก่ียวข้องกับวิถีชีวิต ลา� ดบั เนอื้ หายงั สบั สนและขาดบางตอน ทง้ั นคี้ งเปน็ เพราะ
ของชาวบา้ น เชน่ ตอนสวดพระบรมศพ สะทอ้ นวฒั นธรรม มีที่เขียนจ�ากัด ต้องบรรจุเฉพาะตอนส�าคัญ ๆ
การสวดมาลยั โลงพระบรมศพ เปน็ แบบมยี อดพนม ๓ ยอด และใช้พื้นท่ีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้ือหาท่ีปรากฏ
การถักเปียของคนจีน ต้นไม้ ใบไม้ ท่ีมีลักษณะเฉพาะ เชน่ ตอนสทิ ธตั ถะเหน็ นมิ ติ ๔ ประการ คอื คนเจบ็ คนชรา
พื้นถ่ิน ใบไม้และกิ่งก้านเขียนอย่างประณีตบรรจง คนตาย และบรรพชิต ตอนโสตถพิ ราหมณถ์ วายหญ้าคา
อย่างเห็นได้ชัดทุกกิ่งก้านและทุกใบ เขียนค�าบรรยาย ตอนธดิ ามารรา� ยว่ั ยวนพระมหาโพธสิ ตั ว์ ตอนนางสชุ าดา
แทรกไว้ในทว่ี า่ งทุกภาพ ลกั ษณะคลา้ ยกบั ภาพจิตรกรรม กวนข้าวมธปุ ายาส เปน็ ตน้
วัดควนใน อ�าเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี

88 สมบตั ิปตั ตานี ประจ�ำ ปี ๒๕๖๓

แสดงภาพ
ตอนสิทธัตถะเห็นนิมิต ๔ ประการ
คือ คนเจ็บ คนชรา คนตาย และบรรพชิต

แสดงภาพ
ตอนธิดามารร�ายั่วยวนพระมหาโพธิสัตว์

แสดงภาพ
ตอนนางสุชาดากวนข้าวมธุปายาส

89ส�ำ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

90 สมบตั ปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

สถาปัตยกรรม

(บ้านเรอื น ๓ วถิ ี)

บ้านเรอื นของปัตตานี ถือเปน็ หนง่ึ
ในสถาปัตยกรรมท่ีสวยงามและประณีต
เป็นเอกลักษณ์ที่ช้ีให้เห็นถึงความเป็น
พหวุ ฒั นธรรมไดอ้ ยา่ งชดั เจน เกดิ จากการคดิ คน้
สร้างสรรค์ และฝีมือของเหล่าบรรพบุรุษ
ทรี่ ว่ มสรา้ งกนั มาตง้ั แตส่ มยั อดตี ทเ่ี มอื งปตั ตานี
เคยเป็นศูนย์การปกครอง และการค้า
นานาชาติท่ีส�าคัญ มีการติดต่อค้าขาย
กับหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย
อนิ โดนีเซียและเปอรเ์ ซยี เป็นต้น จงึ ทา� ให้
มีการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมจากชนชาติ
เหล่าน้ันมาผสมผสานกับวัฒนธรรมด้ังเดิม
ง า น ส ถ า ป ั ต ย ก ร ร ม ไ ด ้ ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์ ข้ึ น
โ ด ย ส ะ ท ้ อ น ถึ ง ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ท า ง
วัฒนธรรม ภาษา และศาสนา รวมไปถึง
ง า น ศิ ล ป ะ ท่ี มี อั ต ลั ก ษ ณ ์ เ ฉ พ า ะ ถิ่ น
ของปัตตานีที่มีประชากรหลายเชื้อชาติ
ทงั้ ชาวไทยมสุ ลมิ ชาวไทยพทุ ธ และชาวไทย
เช้ือสายจีน ท�าให้การสร้างบ้านเรือน
มีความเป็นอัตลักษณ์ท่ีโดดเด่น ทั้งด้าน
สถาปตั ยกรรมและศลิ ปะการตกแตง่ บา้ นเรอื น
ซงึ่ สามารถจา� แนกได้ ๓ วถิ ี ตามสภาพสงั คม
และวฒั นธรรมของปตั ตานี

91สำ�นกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั ปตั ตานี

๑. สถาปตั ยกรรมบา้ นเรอื นแบบมลายู หลังคา โครงสร้างของหลังคาส่วนมาก
จะใช้ไม้ระแนง เพราะนิยมมุงกระเบ้ืองดินเผา
บ้านเรือนแบบมุสลิมหรือมลายู วัสดุที่ใช้มุงหลังคา คือ จาก สังกะสี และกระเบ้ือง
เปน็ รปู แบบสถาปตั ยกรรมพน้ื บา้ น มวี วิ ฒั นาการมา ดินเผา ตามฐานะของเจ้าของเรือน หลังคาครัว
จากการสงั สรรคท์ างวฒั นธรรม (Acculturation) คอื มกั นิยมท�าหลังคาเลก็ ซ้อนเปน็ ชนั้ เพอ่ื ระบายควนั
การทไ่ี ดร้ บั เอาวัฒนธรรมในต่างสังคม ซึ่งมีอิทธิพล
ต่อรูปแบบของสถาปัตยกรรมท่ีมีความหลากหลาย การสรา้ งบา้ นเรอื นปตั ตานนี ยิ มมงุ หลงั ดว้ ย
ซงึ่ นอกจากจะปรากฏออกมาในการสร้างรูปแบบ กระเบ้ืองดินเผา ซ่ึงได้จากโรงกระเบื้องในท้องถิ่น
ที่อาศัย ซ่ึงเป็นเรือนยกพื้นใต้ถุนสูง เพื่อใช้ ที่มีกรรมวิธีการผลิตที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ
ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ซ่ึงเป็นลักษณะร่วมทาง เนอ่ื งจากปตั ตานมี ดี นิ เหนยี วคณุ ภาพดสี า� หรบั ใชท้ า�
สถาปตั ยกรรมพ้ืนบา้ นของภูมิภาคนี้ กระเบ้ืองมุงหลัง

สถาปัตยกรรมมลายู : บ้านสะมาลา อา� เภอเมอื งปัตตานี จังหวดั ปตั ตานี

92 สมบัติปตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ฝาเรือน ใช้วสั ดุต่าง ๆ ในการทา� ฝาผนังเรอื น ๒. หลงั คาจว่ั มนลิ า หรือชาวบา้ นนิยมเรียกว่า
ตามฐานะและประโยชน์ใช้สอย เรอื นในชนบทฝาผนัง “บลานอ” ซง่ึ หมายถึง ชาวฮอลนั ดาหลงั คาแบบลานอ
จะใชไ้ มไ้ ผห่ รอื หวายขดั แตะ เรอื นมฐี านะมกั ใชไ้ มก้ ระดาน เชอ่ื วา่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากสถาปตั ยกรรมของชาวฮอลนั ดา
ตีทับซ้อนเป็นเกล็ดหรือสังกะสีเคลือบสีส�าเร็จรูป เปน็ หลงั คา ทมี่ โี ครงหลงั คาเช่นเดียวกับหลังคาปั้นหยา
จะไม่ค่อยปรากฏว่ามีการใช้ผนังก่ออิฐฉากปูน ถ้าจะมี แต่เป็นหลังคาปัน้ หยาทีม่ ีจัว่ ติดอยู่ เพ่ือระบายอากาศ
ใช้บ้างก็จะเป็นส่วนหลังของเรือนที่เป็นห้องครัว และดงู ดงาม
และหอ้ งนา�้ ของเรือนคหบดี ฝาผนงั เรือนทเี่ ก่าแกจ่ ะใช้
ไม้กระดานแผ่นกว้าง แบ่งเป็นช่วงแบบลูกฟักตกแต่ง หลงั คาแบบนจ้ี ะมรี ปู แบบทสี่ วยงามกวา่ แบบอนื่
ด้วยลายแกะสลักฉลุโปรง่ เพราะจะมีจั่วอย่างน้อย ๓ จั่ว โดยมีหลังคาจ่ัวแฝด
และมีจั่วขนาดเล็กสร้างคลุมเฉลียงหน้าบ้านติดกับ
พื้นเรือน ใช้ไม้กระดานปูตามยาวของเรือน บันไดทางขึ้น เพื่อใช้รองรับแขกอย่างไม่เป็นทางการ
พ้ืนเรือนของผังส่วนหน้าจะเป็นระดับเดียวกันตลอด นอกจากนนั้ ชา่ งไมจ้ ะแสดงฝมี อื เชงิ ชา่ งในการประดษิ ฐ์
ส่วนพื้นเรือนของผังส่วนหลังมักจะลดระดับลงไป ลวดลายจากการสลกั ไมป้ นู ปน้ั หรอื แกะจากสงั กะสเี ปน็
เป็นอีกส่วน บางเรือนจะใช้เส่ือน้�ามันปูทับพื้นเรือน ลวดลายประดบั ยอดจวั่ และมกี ารเขยี นลายบนหนา้ จว่ั หรอื ตไี ม้
ส่วนหน้าอีกชั้น พ้ืนครัวนิยมปูให้ห่างโดยเฉพาะ ใหม้ ลี วดลายเปน็ แสงตะวนั ซง่ึ เปน็ ทน่ี ยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย
เรอื นในชนบท เพอ่ื สะดวกในการเทนา�้ ทง้ิ และใหอ้ ากาศ
ถ่ายเทได้สะดวก ๓. หลังคาจ่ัว ชาวบ้านเรียกว่า “แมและ”
เช่ือกันว่าได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลาง
ลักษณะรูปทรงหลังคา โดยท่ัวไปหลังคา หลงั คาจว่ั นจ้ี ะพบมากในชมุ ชนดงั้ เดมิ เชน่ บา้ นกรอื เซะ
เรอื นไทยในปตั ตานีมี ๓ ลักษณะ คือ ต�าบลตันหยงลูโละ และต�าบลบางปู บ้านหลังคาจ่ัว
มีปั้นลมปีกนกท่ีได้รับอิทิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรม
๑. หลังคาปั้นหยา หรือหลังคา “ลีมะฮ์” จากมาเลเซยี ไมเ่ หมอื นปน้ั ลมไทย ปลายปน้ั ลมทงั้ ๒ ขา้ ง
ตามทช่ี าวบา้ นใชเ้ รยี กวา่ “ลมี ะฮ”์ แปลวา่ หา้ หมายถงึ มเี หงาปน้ั ลมประดบั อยู่ มรี ปู คลา้ ยพญานาคซงึ่ เปน็ ลกั ษณะ
หลังคาที่นับสันหลังคาได้ ๕ สัน เป็นรูปทรงหลังคา ของเรือนไทยภาคกลาง
ท่ีได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม
(Colonial Archtectural Style) ของชาวตะวันตก เรอื นทมี่ ที รงหลงั คาทงั้ ๓ แบบดงั กลา่ ว เมอื่ เปน็
(yuan ๑๙๘๗ : ๒๓) หลงั คาทรงป้นั หยานนี้ ับได้วา่ เป็น เรือนแฝด อาจจะประกอบด้วยหลังคาแบบเดียวกัน
เอกลักษณ์ของภาคใต้และพบได้ทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ หรอื ตา่ งแบบกนั ซง่ึ เปน็ ความสามารถของชา่ งสรา้ งเรอื น
โดยเฉพาะในจงั หวดั ปัตตานี จะเห็นสมควรและดูงามแปลกตา (เขต รัตนจรณะ
และคณะ, ๒๕๔๘ : ๗๐ - ๗๓)

93สำ�นักงานวฒั นธรรมจังหวัดปัตตานี

นอกเหนือจากน้ี ปัจจัยทางด้านศาสนา
และความเชื่อก็เปน็ อีกปัจจัยหน่ึงท่เี ป็นตัวก�าหนด
รูปแบบและลกั ษณะของงานสถาปัตยกรรมมลายู
ซงึ่ จะสะทอ้ นออกมาในรปู แบบของลวดลายทใี่ ชป้ ระดบั
ในงานสถาปตั ยกรรม โดยเฉพาะอทิ ธพิ ลทางความเชอื่
ของศาสนาอสิ ลามในการหา้ มใชร้ ปู คนหรอื สตั วใ์ นงาน
ศลิ ปะ ทา� ใหร้ ปู แบบของลวดลายทใี่ ชใ้ นสถาปตั ยกรรม
มลายูมักจะเป็น ลายพฤกษชาติ ลายเรขาคณิต
ลายท่ีเลียนแบบจักรวาลและลายอักษรประดิษฐ์
เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งยังมีความเชื่อท่ีผสมผสาน
กบั ความเชอื่ ในศาสนาฮนิ ดู การสรา้ งเรอื น การดฤู กษ์
ดยู าม และการยกเสาเอก (ณายบิ อาแวบอื ซา, ๒๕๕๙)

ลกั ษณะเด่นของสถาปตั ยกรรมมลายทู มี่ คี วามโดดเด่น
คอื ลวดลายประดับ

ลวดลายประดับ ท่ีประดับบนเรือนมลายู
เปน็ การประดับยอดจว่ั ชอ่ งลม และเชิงชาย มีทงั้ ลวดลาย
แบบแกะสลกั และลวดลายฉลุ หรอื บางครงั้ กจ็ ะผสมทงั้ การฉลุ
และแกะสลักในงานชิ้นเดียวกัน อิทธิพลทางความเช่ือ
ของศาสนาอสิ ลามมผี ลอยา่ งมากต่อรูปแบบของลายประดับ
บนเรอื นมลายู ดว้ ยเหตทุ คี่ วามเชอื่ ทางศาสนาอสิ ลามมกี ารหา้ ม
ในเรอื่ งของการทา� รปู ปน้ั และวาดรปู คนและสตั ว์ ลวดลายทพี่ บ
ในเรอื นมลายจู งึ มกั จะเปน็ ลวดลายพฤกษชาติ ลายเรขาคณติ
ลวดลายท่ีเลียนแบบธรรมชาติและลวดลายอักษรประดิษฐ์
เสยี เปน็ ส่วนใหญ่ (เขต รัตนจรณะ และคณะ, ๒๕๔๘ : ๖๖)

94 สมบัติปตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

ลวดลายเรขาคณิต
ลวดลายทีเ่ ลียนแบบธรรมชาติ

ลวดลายพฤกษชาติ

95ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจงั หวัดปตั ตานี

บ้านทรงไทยโบราณของนางแวสะปีเยาะห์ กาแบ อ�าเภอยะรัง จงั หวดั ปัตตานี มีอายมุ ากกวา่ ๑๕๐ ปี

๒. สถาปัตบย้ากนรเรรมือนแบบไทย หลงั คา เปน็ หลงั คาจว่ั แตไ่ มช่ นั มาก ยอดปน้ั ลมไมแ่ หลมเหมอื น
ยอดปั้นลมเรือนไทยภาคกลาง หางปั้นลมไม่นิยมท�าเป็นตังเหงาแต่ท�า
สถาปัตยกรรมไทยพุทธส่วนใหญ่ เปน็ หางปลา
ตัวเรือนมีลักษณะคล้ายเรือนไทยภาคกลาง
แ ต ่ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ท่ี ต ้ อ ง กั น ค ว า ม ช้ื น ฝาเรอื น นยิ มใชไ้ มต้ เี กลด็ ตามแนวนอน หรอื ฝาสายบวั ในแนวตงั้
เชน่ ตวั เรอื นตอ้ งไม่ใหญ่ ทรงเต้ียกวา่ เรือนไทย ประตูหน้าต่างใช้แกนหมุนวงกบเข้าเดือย แกะสลักเป็นรูปดาว
ภาคกลางเพ่ือลดแรงต้านลมในฤดูมรสุม หรอื ดอกไม้ บานประตหู นา้ ตา่ งเซาะรอ่ ง แกะเปน็ ลวดลาย บานหนา้ ตา่ ง
ยกพ้ืนไม่สูงนัก ประมาณก้มหัวเดินลอดได้ ทา� เปน็ ลกู ฟัก กรอบบนและกรอบล่างฉลุโปรง่ เพือ่ ระบายอากาศ
พอให้ลมพัดผ่านได้สะดวก เพื่อไล่ความชื้น
และเน่ืองจากฝนชุก พื้นดินช้ืนกว่าภาคอ่ืน พ้ืนเรือน ปูด้วยไม้กระดานต่างระดับกัน พื้นเรือนนอนจะสูง
ทา� ใหเ้ สาเรอื นผงุ า่ ย จงึ แกป้ ญั หาดว้ ยการไมฝ่ งั กว่าระเบียงและชาน บันไดเรือนคล้ายบันไดเรือนภาคอ่ืน ๆ มีตุ่ม
เสาลงดิน แต่รับตีนเสาท�าด้วยหิน ปะการัง หรืออา่ งใส่นา้� ล้างเทา้ เชน่ กนั
หรอื ไม้ ภายหลงั ทา� ดว้ ยปนู เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ
เรือนไทยภาคใต้นิยมสร้างเรือนนอน มีระเบียงตามยาว
มีหลังคาคลุมต่อด้วยชานโล่ง หากต้องการสร้างเรือนเพ่ิมมักสร้างเปน็
เรือนคู่ เรือนเคียงเช่ือมกันดว้ ยชาน มเี รือนครัวขวางดา้ นสกัด

96 สมบัตปิ ัตตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓

จากการพิจารณาสภาพอาชีพ และสภาพแวดล้อม ช่องลมชานบ้าน
ทางสงั คมแลว้ จะเหน็ ไดว้ า่ ความตอ้ งการในการใชพ้ น้ื ทใี่ ชส้ อย ช่องลมระบายอากาศ
และความเปน็ อยโู่ ดยทว่ั ไปกค็ ลา้ ยคลงึ กบั ภาคอน่ื ๆ คอื มกี ารสรา้ ง
ท่ีพกั อาศยั แยกเป็นหลงั ๆ เมือ่ มีการขยายตวั ของครอบครัว
และแยกครวั ออกมาจากเรอื นนอน โดยใชน้ อกชานเปน็ ตวั เชอ่ื ม
แตล่ กั ษณะนอกชานของภาคใตม้ กั จะแคบ เพราะมฝี นตกชกุ
ทา� ใหก้ ารเดนิ ตดิ ตอ่ ระหวา่ งเรอื นแตล่ ะหลงั สะดวกขนึ้ บางท่ี
ส่วนนอกชานจะก่ออิฐและถมดินขึ้นให้ได้ระดับกับระเบียง
และใช้ปลูกต้นไม้ขนาดเล็ก ส่วนลักษณะของหลังคาเรือน
แบ่งได้เป็น ๔ ลกั ษณะ คือ

๑. หลงั คาจ่ัว
๒. หลงั คาป้นั หยา
๓. หลงั คาบรานอร์
๔. หลังคามนลิ า
หลงั คา ๔ แบบนจี้ ะมอี ยทู่ ว่ั ไป เพยี งแตส่ ดั สว่ นของหลงั คา
จะมที รงกรวด หรอื ทรงเตยี้ กข็ น้ึ อยกู่ บั ชา่ งกอ่ สรา้ งในถนิ่ นนั้ ๆ
และขนึ้ อยกู่ บั วสั ดทุ ม่ี งุ หลงั คา ความลาดชนั ของหลงั คากไ็ มเ่ ทา่ กนั
โดยเฉพาะสว่ นทเ่ี ปน็ ครวั มกั จะทา� การออกแบบเปน็ หลงั คาตกุ แตน

หลงั คาทรงมนลิ า หรอื ป้ันหยายกจิว๋ บนั ไดทางขน้ึ และชานบา้ น
ท่ีมา : บา้ นทรงไทยโบราณของนางแวสะปีเยาะห์ กาแบ
97ส�ำ นกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั ปัตตานี
อา� เภอยะรงั จงั หวดั ปตั ตานี

บ้านทรงไทยโบราณ
ของนายแวมามุ แวหะยี อ�าเภอยะรงั จงั หวัดปตั ตานี

มอี ายุมากกวา่ ๙๐ ปี

ลกั ษณะของเรอื นโดยท่ัวไปจะแบง่ ออกเป็น
๑. เรือนเคร่อื งผูก
๒. เรือนเคร่อื งสับ
๓. เรือนก่ออฐิ ฉาบปูน
รปู แบบหลงั คาเรอื นทางภาคใตท้ ง้ั ๔ แบบ จะเหน็ ไดว้ า่ ทา� การกอ่ สรา้ งเพอื่ ใหเ้ หมาะกบั
สภาพภูมิอากาศ คือ สามารถกันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลังคาปั้นหยาจะมี
ความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคามากเป็นพิเศษ เรือนส่วนใหญ่จะวางเสาไว้บนตีนเสา
(ตอม่อ) ซง่ึ มักจะกอ่ อฐิ และฉาบปูน ฉะน้ัน เม่ือต้องการจะยา้ ยบา้ น ก็จะปลดกระเบื้องลง
ตีแกงแนงยึดโครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาทแล้วใช้คนหามย้ายไปต้ังท่ีต้องการ แล้วน�า
กระเบอื้ งขนึ้ มงุ ใหมก่ ส็ ามารถเขา้ ไปอยไู่ ดท้ นั ที (สถาปตั ยกรรมไทยพนื้ ถนิ่ (ออนไลน)์ , ๒๕๕๙)

98 สมบัตปิ ตั ตานี ประจำ�ปี ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version