กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ส านักงานเขตพื้นทีก่ารศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โรงเรียนปากเกร็ด อ าเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รายงานการวิจ ั ยในช ั น ้ เร ี ยน ผู้วิจัย นางชาลินี มุสตัง ติงกี ต าแหน่งครููวิทยฐานะ ครูช านาญการพิเศษ การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน รายวิชาภาษาจีน 3 ส าหรับนักเรียนชัน้มัธยมศึกษาปีที่ 5
รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นางชาลินี มุสตัง ติงกี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ก รายงาน การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้รายงาน นางชาลินี มุสตัง ติงกี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ปีที่ศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลเรียนรู้การอ่านภาษาจีน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน รายวิชา ภาษาจีน3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาจีน รายวิชาภาษาจีน3 เรื่อง การอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนและศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่าน ภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26คน เนื่องจากเป็น นักเรียนที่ผู้รายงานรับผิดชอบการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบฝึกการอ่านภาษาจีน เรื่อง การอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 คู่มือการใช้แบบฝึกทักษะ แผนการจัดการ เรียนรู้แบบทดสอบท้ายบทเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าร้อยละและค่าการทดสอบที (t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.19 / 81.14 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลการอ่านภาษาจีนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับ 0.74 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 74.12 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านภาษาจีนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชา ภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด สำเร็จได้ ด้วยดีจากการสนับสนุนของนางแน่งน้อย เพ็งพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษา คำแนะนำ ข้อคิด ข้อเสนอแนะ ตลอดจนตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการรายงานมาโดยตลอด ผู้รายงานจึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณ ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้กรุณาสละเวลาอันมีค่าเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ คุณภาพเครื่องมือและให้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้อง อันเป็นประโยชน์ต่อการรายงานเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบคุณ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่คอยให้คำปรึกษาให้ ความช่วยเหลือ สนับสนุน เป็นกำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการทดลองใช้เครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูล ทำให้การรายงานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการรายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉบับนี้ จะส่งผลให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขออุทิศคุณค่าและประโยชน์ของการรายงานฉบับนี้ให้แก่บิดา มารดา คุณครูคณาจารย์ทุกท่าน ผู้มีพระคุณทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้นำผลงานของท่านมาอ้างอิง เพื่อประกอบ ในการจัดทำแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีความสมบูรณ์และมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น นางชาลินี มุสตัง ติงกี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 สมมติฐานของการวิจัย 3 ขอบเขตของการวิจัย 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่ได้คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาจีน) 6 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาจีน 8 สื่อการเรียนรู้ 16 แบบฝึกทักษะ 25 การหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ 33 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 42 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 46 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 52 กรอบแนวคิดการวิจัย 57 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 58 แบบแผนการศึกษา 58 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 59 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 59 การหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 66 วิธีดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 68 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 69
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ 76 ตอนที่2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประสิทธิผล โดยใช้แบบฝึกทักษะ 77 ตอนที่3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะ 78 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 79 สมมุติฐานของการวิจัย 79 สรุปผลการวิจัยและการใช้ 79 อภิปรายผล 80 ข้อเสนอแนะ 83 บรรณานุกรม 85 ภาคผนวก ภาคผนวก ก แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 91
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในสังคมโลกปัจจุบันนี้การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึง ความหลากหลายทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาต่างประเทศ และการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น กว้างขึ้นและมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรที่กำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่น ๆ นั้น ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทำรายวิชาและจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551 : 42 ) ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีน มีบทบาทสูงในการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน และในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก และมีแนวโน้มที่จะขยายบทบาทในประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง ภาษาจีน จึงนับเป็นภาษาต่างประเทศที่มีความสำคัญอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งมีผู้ใช้มากเกือบ 2,000 ล้านคนทั่วโลก เป็นอันดับ สองรองจากภาษาอังกฤษ และเป็น 1 ใน 6 ภาษาขององค์การหประชาชาติ (เขียน ธีระวิทย์ และคณะ, 2551 : 13) สาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากร จำนวน 1,361 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมีคนจีน อาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศมากเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก รัฐบาลไทยและคนไทยจึงเห็นความสำคัญของภาษาจีนมากขึ้น นับตั้งแต่ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศทั้งสองทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ได้ดำเนินด้วยดีมาโดยตลอด ประชาชนของทั้งสอง ประเทศมีความใกล้ชิดสนิทสนม มีการไปมาหาสู่กันตลอดเวลา ดังนั้น เพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ชาวไทย ได้ศึกษาภาษาจีนมีความสามารถในการใช้ภาษาจีนสื่อสารกับชาวจีนอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อส่งเสริม การเรียนการสอนภาษาจีนให้แพร่หลายในประเทศไทยอันจะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ประเทศให้กระชับยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยจึงได้กำหนดนโยบายมุ่งสร้างสังคมฐานเศรษฐกิจซึ่งอาศัยภาษาจีน เป็นเครื่องมือในการสื่อสารตลอดจนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รัฐบาลจึงได้ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนขึ้น เพื่อมุ่งส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน
2 ในประเทศไทยให้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสอดคล้องกับความต้องการและก้าวสู่มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับ ในระดับสากล และในช่วงเวลา 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ประชาคมการศึกษาไทยเกิดความตื่นตัวในการเรียนภาษาจีน ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา จากการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า มีผู้เรียนตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาถึงอุดมศึกษาที่สนใจเรียนภาษาจีนซึ่งมีจำนวนกว่า 400,000 คน ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนภาษาจีนจะสามารถประสบผลสำเร็จได้นั้น จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ครูผู้สอน หลักสูตร ตำรา สื่อการเรียนการสอน และการจัดการเรียนการสอน และในการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนนั้น ครูผู้สอนมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาจีน สามารถใช้ ภาษาจีนสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้ง มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิด และวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ การที่จะสามารถใช้ภาษาจีนเพื่อการสื่อสารได้นั้นจะต้อง อาศัยทักษะพื้นฐานที่สำคัญของภาษาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นำเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ซึ่งทักษะพื้นฐานที่สำคัญ ประกอบด้วย ทักษะการฟัง การพูดการอ่านและการเขียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553 : 2) จากประสบการณ์ที่ผู้รายงานปฏิบัติหน้าที่การสอนวิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีพบว่า นักเรียนมีปัญหาด้านทักษะการอ่านออกเสียง อ่านจับ ใจความและวิเคราะห์เหตุการณ์ อีกทั้งเกิดการสับสนตัวอักษรภาษาจีน ส่งผลให้มีคะแนนการอ่านการเขียน ของนักเรียนต่ำว่าเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 55 (วัดจากคะแนนสอบกลางภาคในภาคเรียนที่ 1/2566 ) ซึ่งต่ำกว่า ที่ตั้งเกณฑ์ไว้ 70/70 ซึ่งจากสภาพปัญหาดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยจะต้องแก้ไขปัญหาสภาพการ จัดการเรียนการสอนดังกล่าว ผู้วิจัยได้วิเคราะห์สาเหตุของการจัดการเรียนการสอน พบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิด และปัญหาดังกล่าวข้างต้น คือ นักเรียนไม่มีความสนใจและเบื่อหน่ายในรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ที่นักเรียนมีกิจกรรมการอ่านที่ต้องอ่านพร้อมกันทั้งห้องเรียน ไม่มีความน่าสนใจ เมื่อพิจารณาสถานการณ์ใน ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า แบบฝึกทักษะถือวามีประโยชนตอการจัดการเรียนการสอนทุกระดับ ถือวาเปนนวัตกรรม การสอนที่ไดรับความนิยมอย่างแพร่หลายและเปนสื่อที่มีความเหมาะสม ชวยเราความสนใจ รวมทั้งช่วยสง เสริมใหผูเรียนเกิดความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรูดวยตนเองตามความสามารถของแตละคน ทําใหผู เรียนเกิดทักษะในการแสวงหาความรูไมเบื่อหนายในการเรียน มีสวนรวมในการเรียนและสรางความมั่นใจ ให้แก่ครูเพราะแบบฝึกทักษะมีการจัดระบบการใชสื่อ ผลิตสื่อและกิจกรรมการเรียนรูรวมทั้งมีขอแนะนําการใช สําหรับครูทําใหครูมีความพรอมในการจัดกิจกรรมการเรียนรูจึงกอใหเกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน
3 อยางแทจริง จึงนับเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับนำมาพัฒนาทักษะการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้เป็น อย่างดี ดังนั้นผู้รายงานจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่อง การอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาโดยมุ่งเน้นไปที่ การสร้างนวัตกรรมประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบของแบบฝึกทักษะมาเป็นตัวชวยในการจัดการเรียนรู้ซึ่งมี ความจําเปนอยางยิ่งในการดํารงชีวิตของคนทุกเพศ ทุกวัยและทุกสังคม เพื่อใช้ในพัฒนาคุณภาพและสามารถ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้สูงขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 2. เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลเรียนรู้เรียนรู้พัฒนาการอ่านภาษาจีน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สมมติฐานของการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน 3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก
4 ขอบเขตของการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนโดยมีขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งหมด 53 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ภาษาจีน3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 26 คน 2. ด้านเนื้อหา แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนรายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ประกอบด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน จำนวน 6 เรื่อง ดังนี้ เล่มที่ 1 เรื่อง หรรษาวัน เดือน ปี เล่มที่ 2 เรื่อง พาทีเรื่องทิศทาง เล่มที่ 3 เรื่อง รู้กว้างเรื่องอาหาร เล่มที่ 4 เรื่อง เบิกบานการช้อปปิ้ง เล่มที่ 5 เรื่อง รู้จริงเรื่องคมนาคม เล่มที่ 6 เรื่อง เปิดปมเทศกาลตรุษจีน 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น ได้แก่ การเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาจีน3 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้ประกอบการสอนของครูและประกอบ การฝึกทักษะของนักเรียนที่เรียนรายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ประกอบด้วยคำชี้แจงการใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้สาระสำคัญ ใบความรู้ แบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งมีจำนวน 6 เล่ม 2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน หมายถึง ความสามารถหรือคุณภาพของ แบบฝึกที่ผู้รายงานพัฒนาขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนสูงขึ้นจากอัตราส่วนระหว่างคะแนน กระบวนการหรือคะแนนระหว่างเรียน (E1 ) และคะแนนผลลัพธ์ (E2 ) ซึ่งได้จากการทดสอบหลังเรียน ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 ดังนี้ 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ของนักศึกษาที่ได้จากแบบทดสอบย่อยทั้งหมด 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ของนักศึกษาที่ได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ รายวิชาภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนหมายถึง กระบวนการดำเนินงานเพื่อการสร้างแบบฝึก ทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพในการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนวัดความรู้ ความจำ ความเข้าใจของนักเรียนที่ได้เรียนรู้ ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วัดจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 6. นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่เรียนรายวิชาภาษาจีน
6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ประโยชน์สำหรับนักเรียน 1. นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความสนใจ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน กระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้ ในแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ใช้ศึกษา ในกระบวนการเรียนการสอน 2. นักเรียนมีแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนรายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ใช้ฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนเพิ่มขึ้น ประโยชน์สำหรับครูผู้สอน 1. ได้แนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับพัฒนาการของนักเรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 รายวิชาภาษาจีน3 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ได้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนรายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นไปตาม คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาจีนสูงขึ้น ประโยชน์สำหรับโรงเรียน 1. โรงเรียนมีแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน รายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดทำขึ้นซึ่งสามารถนำเป็นแบบอย่างในการจัดทำสื่อการเรียนการสอนรายวิชา ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และชั้นอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี 2. โรงเรียนมีแนวทางในการส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ประโยชน์ที่ผู้ปกครองและชุมชนได้รับ ผู้ปกครองและชุมชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้เรียนในทุก ๆ ด้านร่วมกับทางโรงเรียน เพื่อให้ เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
บทที่ 2 เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี ผู้รายงานได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อดังนี้ 2.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) 2.2 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกับการเรียนการสอนภาษาจีน 2.3 สื่อการเรียนรู้ 2.4 แบบฝึกทักษะ 2.5 การหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.7 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) หลักสูตรส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน หลักสูตรสาระเพิ่มเติมภาษาจีนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ วิสัยทัศน์ หลักสูตรส่งเสริมศักยภาพภาษาจีน มุ่งพัฒนาขีดความสามารถ ของผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ภาษาจีนในชีวิตประจําวัน มีทักษะในการใช้ ภาษาจีน ในการสื่อสารเพื่อการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม หลักการ มุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มีศักยภาพขั้นสูงในการประยุกต์ใช้ภาษาจีน เพื่อศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ จุดหมาย 1. ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาจีน 2. ผู้เรียนมีความสามารถและทักษะในการประยุกต์ใช้ภาษาจีน เพื่อการศึกษาต่อและประกอบ อาชีพ 3. ผู้เรียนมีคุณธรรมและจริยธรรมในการประยุกต์ใช้ภาษาจีน สมรรถนะของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสารหมายถึง ความสามารถในด้านการพูดภาษาจีนเป็นภาษาที่ใช้ ในการสื่อสารเพื่อการศึกษาตามลําดับขั้นของการเรียนรู้ การศึกษาข้อมูลแลกเปลี่ยนกับบุคคล
7 ทางสังคม และกับเจ้าของภาษา การเลือกใช้ภาษาจีนเพื่องานอาชีพและการสื่อสารเพื่อประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจําวัน เป็นการเสริมสร้างศักยภาพทางด้านการสื่อสาร ฝึกทักษะการพูดออกเสียง สําเนียง ตามเจ้าของภาษา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะทางด้านการใช้ภาษาจีน ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และเป็นผู้ถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีไทยกับเจ้าของ ภาษาได้อย่างเหมาะสม 2. ความสามารถในการคิด หมายถึง ความสามารถในด้านการคิดวิเคราะห์ ข้อมูล คําศัพท์ โครงสร้างทางประโยค และโครงสร้างทางภาษาจีน ได้อย่างมีวิจารณญาณ มีความสามารถในการคิด สร้างสรรค์จากการเรียนรู้ภาษาจีน เพื่อนําไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อในระดับสูง และการประกอบ อาชีพที่สนใจ หรือเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้หลักภาษา สร้างความคิดรวบยอดด้วยตนเองโดยผ่าน กระบวนการองค์ประกอบของการคิดแต่ละด้าน ซึ่งมีเทคนิคการคิดที่หลากหลาย เมื่อได้รับข้อมูล ต้องคิดไตร่ตรอง คิดแยกแยะ และคิดหาคําตอบ ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะการคิดอันจะนําไปสู่ การยกระดับ ความสามารถทางด้านการคิดของตัวผู้เรียน เพื่อให้ตนเองเกิดศักยภาพสูงสุด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง ความสามารถในด้านการแก้ไขปัญหา จากสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จําลองที่เกิดขึ้น เพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง หาเหตุผลได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและสามารถตัดสินใจแก้ไขได้ด้วย ตนเอง เกิดการเรียนรู้และสร้างความตระหนักถึงการบริหารจัดการ เมื่อต้องคํานึงถึงสิ่งที่เกิด ประโยชน์สูงสุดหลังจากการจัดการกับปัญหา และบูรณาการอย่างมีสํวนร่วม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตหมายถึง ความสามารถในการวางแผนกําหนด เป้าหมาย 2 ทักษะชีวิตหลังจากเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้ภาษาจีนในการศึกษาต่อระดับสูง หรือประกอบอาชีพ หรือหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาจีนได้อย่างเหมาะสมและตรงกับ บริบทที่ผู้เรียนสนใจ สร้างทักษะทางภาษาเพื่อต่อยอดความรู้ในการพัฒนาตนเองสู่ความเป็นผู้นําทาง เศรษฐกิจ การตลาดระดับสากลตามสายงานที่เหมาะกับสังคมนิยม พัฒนาทักษะทางภาษาได้ครบ ทั้ง 4 ด้าน และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน เกิดความรู้ความสามารถอย่างเชี่ยวชาญ มีสมรรถนะ อันจะส่งเสริมให้ตนเองเป็นผู้นําทางด้านการบริหารหรือจัดการระบบตามวิถีชีวิตที่เหมาะสมในบริบท ของตนเอง 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีหมายถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อการสื่อสารภาษาจีนกับเจ้าของภาษาสําหรับการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพได้อย่าง เต็มศักยภาพ ฝึกทักษะการใช้เทคโนโลยีสื่อมัลติมีเดีย อุปกรณ์ทางการเรียนการสอนที่เหมาะสม เพื่อประกอบการใช้งานเพื่อการศึกษาเรียนรู้และสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว อันนําไปสู่ สมรรถนะทางด้านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีความสามารถในการเลือกใช้เพื่อประกอบอาชีพที่สุจริต และตระหนักถึงความสําคัญของการใช้งานที่เหมาะสม มุ่งให้เกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างเต็ม
8 ศักยภาพของการเรียนรู้และพัฒนางานในหน้าที่ให้เกิดองค์ความรู้ใหม่มีทัศนคติที่ดีต่อการนํา เทคโนโลยีมาใช้เพื่อการสื่อสารภาษาจีนและคํานึงถึงประโยชน์สูงสุด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝุเรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทํางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ 2.2 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกับการเรียนการสอนภาษาจีน การสำรวจทางทฤษฎีเกี่ยวกับการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอนภาษาจีน เป็นภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของทุกคน ครอบคลุมด้านการศึกษา สุขภาพ การเงิน การพักผ่อน ความบันเทิง การดำเนินงานภาครัฐ การงาน และอาชีพและชีวิตส่วนตัว บางครั้งเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจพูดอธิบายได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย ในการผลิตจัดการ จัดเก็บ สื่อสารและ/หรือเผยแพร่สารสนเทศโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสาร (Williams and Sawyer, 2015, อ้างถึงใน ทรงลักษณ์ สกุลวิจิตรสินธุ, 2560: 438) ครูผู้สอนภาษาจึงจำเป็นที่จะต้อง ปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอนทางภาษาให้สอดคล้องกันกับการเปลี่ยนแปลงของบริบท เช่น เน้นการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้มากขึ้น สำหรับการเรียนรู้ทางด้านภาษาได้ให้ความสำคัญ กับการสื่อสารจริงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการสื่อสาร เน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนอง ลักษณะความแตกต่างของการเรียนรู้ในแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือให้ความสำคัญ กับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบันและนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทางภาษา (Trilling, B and Fadel, C, 2009, อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ แก้วพันงาม, 2559: 437) ด้วยความนิยมเทคโนโลยีมัลติมีเดียในการเรียนการสอนและการถือกำเนิด ของเทคโนโลยีผู้คนจึงให้ความสำคัญกับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเรียน การสอนมากขึ้น การใช้วิธีการสอนแบบมัลติมีเดียในการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้สอนในการปรับปรุงระดับการสอน แต่ยังเป็นความต้องการเร่งด่วน
9 สำหรับผู้เรียนในการศึกษาเนื้อหาและทรัพยากรในสถานการณ์ปัจจุบันที่เรียกว่า “ภาษาจีนยอดนิยม (汉语热)” ส่งเสริมการพัฒนาในทางปฏิบัติของการเรียนรู้ภาษาจีน การวิจัยในปัจจุบันของจีน เกี่ยวกับการสอน มัลติมีเดียที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศยังคงอยู่ในขั้นตอนพื้นฐานและเน้น การวิจัยทางทฤษฎีมากขึ้น สำหรับการวิจัยการออกแบบบทเรียนการเรียนการสอนในชั้นเรียนมี ไม่ค่อยมากนัก (XI QIAN WANG,2012) ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ และการศึกษาทฤษฎีการอภิปรายในเชิงลึกในศตวรรษใหม่เพื่อให้บรรลุแนวคิดของเทคโนโลยี สารสนเทศได้รับการหยั่งรากลึก แต่การสอนแบบไหนคือ การสอนข้อมูลและวิธีการให้ที่เรียกว่า "ยุคแห่งการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศ" ในการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ ยังคงเป็นอุปสรรค ต่อผู้สอนหลายคนด้วยเหตุผลหลายประการ ผู้สอนจำนวนไม่น้อยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการ ทางเทคนิคอยู่ในระดับพื้นฐาน บางคนคิดว่าเพียงแค่กระบวนการศึกษาและการเรียนการสอนมีการใช้ เครื่องมือการเรียนการสอนที่ทันสมัยเพียงเท่านี้ก็สามารถบรรลุการสอนด้วยเทคโนโลยีแล้ว แท้จริง เป็นการทำความเข้าใจเพียงด้านเดียว การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นวิธีทางเทคนิคแต่เพียงรูปแบบ ภายนอกเท่านั้น การจัดการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีที่แท้จริงคือการพึ่งพาเทคนิควิธีการทาง เทคโนโลยีสารสนเทศและเรื่องหลักสูตร "บูรณาการ" เพื่อให้บรรลุการสอนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่แท้จริง เทคโนโลยีสารสนเทศและหลักสูตร "บูรณาการ" คืออะไร เทคโนโลยีสารสนเทศและหลักสูตร "บูรณาการ" หมายถึง การที่หลักสูตรได้รวมเอา เทคโนโลยีสารสนเทศผสานเข้ากับทรัพยากรการเรียนการสอนที่มีอยู่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ การเรียนการสอน ปรับปรุงผลการเรียนการสอนและวิธีการสอนแบบดั้งเดิม (QIAO JUAN KANG, 2010) การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศกับหลักสูตรไม่ใช่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเครื่องมือเสริมในการสอนและเสริมในการเรียน แต่เน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองและสร้างแรงจูงใจทางอารมณ์แก่ผู้เรียน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการสืบค้นที่เป็นอิสระเพิ่มปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้ร่วมกัน การแบ่งปันทรัพยากรและสภาพแวดล้อม การเรียนรู้อื่น ๆ ความคิดริเริ่มของผู้เรียนและความกระตือรือร้นที่จะระดมความคิดอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้เรียนคิดค้นนวัตกรรมและเกิดความสามารถในการฝึกฝนการลงมือปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ กระบวนการนี้ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเท่านั้น แต่จะเป็นการสร้าง "ผู้เรียน ที่มุ่งเน้นการพัฒนา" เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบุคลิกภาพ มีลักษณะเฉพาะตัว มีการพัฒนาที่มีศักยภาพ และกระบวนการพัฒนาที่ครอบคลุม ความจำเป็นของการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอนภาษาจีน เป็นภาษาต่างประเทศ
10 ประการแรก การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชาอื่น ๆ ถือเป็นหนึ่งในเนื้อหา พื้นฐาน ของการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษากับเทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐบาล สหรัฐอเมริกาได้เสนออย่างเป็นทางการในการก่อสร้าง "โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแห่งชาติ" หรือที่รู้จักกัน ทั่วไป ว่า Veridian E-Journal, Silpakorn University ISSN 1906 – เป็ นแผน "ข้อมูลซุปเปอร์ไฮเวย์" คือการพัฒนาอินเทอร์เน็ตเป็นแกนหลักของระบบบริการข้อมูลแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาต่าง ๆ ของสังคม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาเป็นวิธีสำคัญในการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมแนวคิดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาได้รับการยอมรับ อย่างกว้างขวางจากภาคการศึกษาในปี 1998 กระทรวงศึกษาธิการประเทศจีนได้ประกาศแผนปฏิบัติ การเพื่อการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ชี้ให้เห็นว่าในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจและความรู้ที่มีเทคโนโลยีสูง จะเป็นแกนหลักจะครองความแข็งแกร่งของประเทศและความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ จะเพิ่มมากขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับของการพัฒนาด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านการศึกษา และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาอย่างลึกซึ้ง การศึกษาตลอดชีวิตจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ การพัฒนาการศึกษาและความก้าวหน้าทางสังคม เพื่อตอบสนองความท้าทายใหม่ ๆ ในปี 2001 กระทรวงศึกษาธิการของจีนได้กำหนดโครงร่างของการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยส่งเสริม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการสอน ส่งเสริมการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ กับหลักสูตร ประการที่สอง การบูรณาการสามารถส่งเสริมการพัฒนาเรื่องการสอนภาษาจีน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทุกพื้นที่ของสังคมอย่างกว้างขวาง การนำข้อมูลไปยัง แหล่งข้อมูลที่มาหลายทางเลือกและ ใช้งานง่าย กระบวนการนี้จะส่งเสริมคุณภาพโดยรวมของผู้สอน ที่จะปรับปรุงการขยายตัวของปริมาณข้อมูลที่ถูกผูกไว้เพื่อเพิ่มเนื้อหาการเรียนการสอนไปในระดับ ลึกซึ้งมากขึ้น ประการที่สาม การบูรณาการเทคโนโลยีกับหลักสูตรช่วยส่งเสริม สนับสนุนแนวคิด และวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัยขึ้น ผลักดันจุดเด่นของผู้เรียน สร้างสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ที่มีความเป็นอิสระ ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือและการสืบเสาะหาความรู้ประการที่สี่ การบูรณาการจะช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ของผู้เรียน เพื่อช่วยสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต การรู้สารสนเทศเป็นทั้งความรู้ความสามารถ ทักษะและ กระบวนการอันเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนรู้ทุกรูปแบบ สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association, 2005: Online)
11 การรู้สารสนเทศ (Information literacy) หมายถึง ความรู้ความสามารถและทักษะของ บุคคลในการเข้าถึงสารสนเทศ ประเมินสารสนเทศที่ค้นมาได้และใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกรูปแบบ ผู้รู้สารสนเทศจะต้องมีทักษะในด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์และ/หรือการคิด อย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการใช้ภาษา ทักษะการใช้ห้องสมุด ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและมัลติมีเดียได้กลายเป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์สำหรับการขยาย ขีดความสามารถของมนุษย์เพื่อตอบสนองความท้าทายในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจประเทศที่พัฒนาแล้วได้เริ่มมุ่งเน้นการปลูกฝังความสามารถใหม่ ๆ ของผู้เรียน ผู้เรียนมีความสามารถในการตรวจสอบและรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็วถูกต้อง ระบุความ ถูกต้องของข้อมูล มีความสามารถในการประมวลผลและประมวลผลข้อมูลอย่างสร้างสรรค์ และเพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการควบคุมและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพื้นฐานที่เป็น ประโยชน์และเป็นประโยชน์สำหรับการอ่านการเขียนและการบัญชีในยุคของเศรษฐกิจ การรู้สารสนเทศกลายเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการรู้หนังสือทางวิทยาศาสตร์ (Chen Zhili, 2002 อ้างถึงใน QIAO JUAN KANG, 2010) การสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนในระดับสูงขึ้นไป วัตถุประสงค์การเรียนการสอนไม่เพียงแต่จะให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์โครงสร้าง ประโยค และความเข้าใจอื่น ๆ เท่านั้น แต่ผู้เรียนต้องสามารถสืบค้นข้อมูลจากหัวข้อที่กำหนดให้ได้ สามารถจัด ระเบียบภาษาเพื่ออธิบายขั้นตอนที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมและบริบทการสื่อสารที่แท้จริงได้ อย่างรวดเร็ว สามารถเลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลได้อย่างถูกต้องและการใช้องค์ประกอบทางภาษา ในการแสดงออกของความสามารถทางความคิดอย่างถูกต้องเหมาะสมและชัดเจน ข้อดี ประการแรก แนวคิดของสื่อการเรียนการสอนมัลติมีเดีย หมายถึงการประมวลผลการส่งผ่าน สื่อข้อมูลด้วยตัวกลาง สื่อที่สามารถส่งข้อมูลไปยังชุดของระบบสัญลักษณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสื่อ เช่นข้อความและการปรากฏตัวของสัญลักษณ์ ภาษาภาพ เสียงเอฟเฟ็กต์และอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นสื่อสำหรับการส่งผ่านข้อมูลการประมวลผลหน่วยจัดเก็บข้อมูล เช่นคอมพิวเตอร์ ภาพนิ่ง วิดีโอ แผนภูมิและสื่อทางกายภาพอื่น ๆ ลักษณะพื้นฐานของการเรียนการสอนด้วยมัลติมีเดีย คือ ข้อมูลการเรียนการสอนที่มีเนื้อหาสาระที่กำหนดเป็นกิจกรรมการศึกษาและการสอนที่ทันสมัย ในเครื่องมือเสริมที่จำเป็นเพื่อเสริมสร้างรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน ประการที่สอง ประโยชน์ทางเทคนิคของการเรียนการสอนเทคโนโลยีมัลติมีเดียสามารถสร้าง เสียง วิดีโอกราฟิกและข้อมูลมัลติมีเดียอื่น ๆ สำหรับการประมวลผลในการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถใช้ทรัพยากรเครือข่ายเพื่อแก้ปัญหาการเตรียมวัสดุ การให้ผู้เรียนเรียนรู้ล่วงหน้ารวมกับ การประยุกต์ใช้มัลติมีเดียในห้องเรียน แบบดั้งเดิมผู้สอนทำหน้าที่อธิบาย ผู้เรียนก็ทำการจดบันทึก
12 แต่การใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดียในการสอนเนื้อหาที่นำเสนอในรูปแบบของบทเรียนสำหรับผู้เรียน ที่จะทบทวนซ้ำได้ซึ่งในการเรียนการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ มีคำศัพท์บางคำที่มีลักษณะ เป็นนามธรรม เช่น ความสุข เศร้าเสียใจและอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้เรียนที่จะเข้าใจ ถ้าใช้ การออกแบบมัลติมีเดียสร้างเรื่องราว สถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของคำ ในสถานการณ์ได้ดีนอกจากจะประหยัดเวลาในการอธิบาย แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนได้อีก ด้วย ยกตัวอย่าง การใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดียในการเรียนการสอนไวยากรณ์ในการเรียนการสอน ภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศในการสอนคำวิเศษณ์ "ใน" และคำวิเศษณ์ "กับ" ความหมาย ทางไวยากรณ์เป็นนามธรรม วิธีการอธิบายการเรียนการสอนเนื้อหานามธรรมที่ให้นำไปใช้งาน ทางภาษาได้ง่ายกลายเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของการ Veridian E-Journal, Silpakorn University ISSN 1906 - 3431 สอนไวยากรณ์เทคโนโลยีมัลติมีเดียที่ใช้ในการเรียนการสอนการเรียนการสอน ภาษาจีนตัวอักษรจีนมักจะเป็นปัญหาสำหรับผู้เรียนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ ผู้เรียนหลายคน คิดว่าตัวอักษรจีนไม่ใช่ตัวอักษรธรรมดาต้องอาศัยเวลานานในการจดจำและตัวอักษรจีนไม่ใช่สัทอักษร ในรูปสัญลักษณ์การเขียน ดังนั้นการแยกแยะความยากลำบากของตัวอักษรจีนกลายเป็นภารกิจพิเศษ และสำคัญในการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศในการสอนตัวอักษรจีนโดยการใช้เทคโนโลยี มัลติมีเดียโดยผสานภาพการเคลื่อนไหวของลำดับขีดเพื่อกระตุ้นหน่วยความจำและความรู้สึก ของผู้เรียนทำให้การจดจำดียิ่งขึ้นในปัจจุบันการสอนตัวอักษรจีนด้วยมัลติมีเดียมีลักษณะใช้งานง่าย ไม่เพียงสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนเพียงอย่างเดียวแต่ยังสามารถปรับปรุงผลการเรียนรู้ได้ อีกด้วย สามารถกระตุ้นและเพิ่มผลหน่วยความจำ พัฒนาผู้เรียนให้ใช้ทักษะการสื่อสารภาษาจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถด้านการฟังพูดอ่านและเขียน Akira Teila นักจิตวิทยาได้ทำการทดลองและยืนยันว่ามนุษย์ได้รับข้อมูลจากภาพ 85% จากการได้ยิน 11% จากความรู้สึกของกลิ่น 3% และจากรสชาติ1% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนการสอนภาษาจีน เป็นภาษาต่างประเทศการใช้ภาพมัลติมีเดีย แผนภูมิภาพเคลื่อนไหวเสียงและรูปแบบอื่น ๆ ในการอธิบายคำที่เป็นนามธรรมจึงง่ายและเหมาะสมกว่า (Tong Chenglian, Wang Lijuan, Zhang Qiaoling ,2011:3 อ้างถึงใน Lunwen365.com) ข้อเสีย ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีมัลติมีเดียจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาจีน เป็นภาษาต่างประเทศที่เห็นได้ชัดก็คืออุดมไปด้วยห้องเรียนที่ใช้งานเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ การริเริ่มแต่ยังควรสังเกตว่า การรวมกันของเทคโนโลยีมัลติมีเดียและการเรียนการสอนภาษาจีน เป็นภาษาต่างประเทศยังคงมีข้อบกพร่องหรือข้อละเว้นบางประการ
13 แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีกับการสอนภาษาจีน การเรียนการสอนภาษาจีนด้วยเทคโนโลยี สื่อมัลติมีเดีย เพื่อเป็นการสอนเนื้อหาที่มุ่งเน้น ความหลากหลายของการเรียนการสอนเพื่อความสนุกสนานและการเรียนการสอนภาษาจีนด้วย เทคโนโลยี สื่อมัลติมีเดียเป็นทิศทางการสอนภาษาจีนในอนาคตและกำลังมีบทบาทสำคัญมาก ทั้งในปัจจุบันและอนาคตโดยพิจารณาได้จากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ 1. เป้าหมายของการสอนภาษาจีน โดยเป้าหมายของการสอนภาษาจีนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.1 ผู้ที่ใช้ภาษาจีนในการทำงานและผู้ที่มีใจรักในภาษาจีน 1.2 ผู้ที่เรียนภาษาจีนในโรงเรียน ประเภทแรก คือผู้ที่มีความสนใจในภาษาจีนหรือมีความจำเป็นต้องใช้ภาษาจีน ในการทำงาน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการเรียนภาษาจีนที่แน่ชัด ประเภทที่สองคือผู้ที่ต้องเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง ซึ่งความสนใจในการเรียน อาจจะมีไม่เท่าประเภทแรก ความสนใจในการเรียนจึงเป็นประเด็นสำคัญ จึงจะทำให้การเรียน ภาษาจีนเกิดผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริง ดังนั้นสื่อมัลติมีเดีย เทคโนโลยีการสอนสามารถช่วยดึงความสนใจ ผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น นักจิตวิทยาได้ยืนยันว่า 83% ของการรับข้อมูลของมนุษย์มาจากการมองเห็น และ 11% ของการรับข้อมูลของมนุษย์มาจากการฟัง การใช้วิธีการที่หลากหลายในการกระตุ้นระบบ ประสาทจะได้ประสิทธิภาพมากกว่าการที่ฟังจากครูผู้สอนเพียงทางเดียว 2. วิธีการสอนด้วยสื่อมัลติมีเดีย เทคโนโลยี มีลักษณะเป็นสามมิติและมีลักษณะเป็น "เสียง" การเรียนการสอนมัลติมีเดียกับอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดเพื่อให้เข้าใจคำศัพท์ที่เป็นนามธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น การเสนอภาพ สามทำให้เกิดอารมณ์ที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจในสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติที่จะภาษาจีนและเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและสามารถเขียนหรือพูดสื่อสาร ในสิ่งที่เข้าใจออกมาเป็นภาษาจีนได้ 3. การใช้สื่อมัลติมีเดีย เทคโนโลยีในการสอนภาษาจีนช่วยส่งเสริมบทบาทของผู้สอน และเสริมความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงานของผู้สอนในการบรรยาย ละทิ้งการสอนแบบใช้บัตรคำซึ่งช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตสื่อการสอนที่ต้องใช้อุปกรณ์ 4. การเรียนการสอนมัลติมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดการถ่ายโอนเชิงลบ ของภาษาแม่การถ่ายโอนภาษาแม่เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในกระบวนการเรียนภาษาจีนและมีผลกระทบ ในทางลบต่อการเรียนรู้และการเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ (Overseas Chinese Language and Culture Education Online,2010) เนื่องจากผู้เรียนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศส่วนใหญ่จะอาศัย การแปลจากภาษาแม่เป็นหลัก ซึ่งมีหลักทางไวยากรณ์ที่ต่างกัน ดังนั้นการสอนด้วยมัลติมีเดียที่ใช้ งานง่าย มีชีวิตชีวาสามารถเพิ่มการหลีกเลี่ยงการถ่ายโอนเชิงลบนี้ได้ เช่นการสอนคำว่า "หนู"
14 (老鼠) "งู" (蛇) "ยานอวกาศ"(宇宙飞船) "หอก"(矛) "โล่" (盾) และอื่น ๆ ผู้สอนสามารถ ใช้รูปภาพเพื่อให้ผู้เรียนจดจำคำศัพท์ได้โดยตรง สามารถให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการชมภาพยนตร์ ที่เกี่ยวข้อง ภาพเคลื่อนไหวเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวยิ่งขึ้น การสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ มีเป้าหมายเพื่อเน้นการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการสื่อสารสื่อความหมายและเพื่อเผยแพร่ วัฒนธรรมและปรัชญาที่โดดเด่นของจีนในกระบวนการสอนภาษาทั้งหมด ครูผู้สอนต้องหาวิธี ในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ดีเพื่อช่วยในการสอน การสอนด้วยมัลติมีเดีย และเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความสนใจในการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อให้งานสอนเสร็จสมบูรณ์ และปรับปรุงคุณภาพการสอน ฝึกอบรมและพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนให้ดียิ่งขึ้น รายวิชาภาษาจีน3 หลักการและเหตุผล ภาษาต่างประเทศมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจําวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือ สําคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษาการแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมุมมองของสังคมโลกนํามาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียน ให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิดสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่าย และกว้างขึ้นและมีวิสัยทัศน์ในการดําเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกําหน ดให้เรียนตลอดหลักสูตรแกนกลางการศึกษ าขั้นพื้ นฐาน คือ ภ าษ าอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลี และภาษากลุ่มประเทศ เพื่อนบ้านหรือภาษาอื่น ๆ ให้อยู่ดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทํารายวิชาและจัดการเรียนรู้ ตามความเหมาะสมเนื่องจากความจําเป็นในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ กับชุมชนจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษา ต่อประกอบอาชีพและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ภาษาจีนเป็นภาษาหนึ่งที่มีคนใช้ในการสื่อสาร มากรองจากภาษาอังกฤษ เนื่องจากว่าประเทศจีนมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกและมีคนจีน อาศัยกระจายตัวอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้หลังนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศจีนเศรษฐกิจประเทศจีน พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง จึงเป็นพลังดึงดูดการค้าและนักลงทุนที่สำคัญ จนมีคำกล่าวว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่จีน” ส่งผลให้สาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นตลาดการค้า และการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้นภาษาจีนจึงเป็นภาษาที่มีความจำเป็นต่อการค้า
15 และการลงทุนอย่างมากสำหรับอนาคตอันใกล้นี้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมุ่งหวัง ให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศสามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพและศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราว และวัฒนธรรมไทยได้อย่างสร้างสรรค์ สามารถใช้ภาษาจีนเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวัน นําความรู้ ความสามารถทางภาษาไปประกอบอาชีพเป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะทางภาษาส่งเสริม และสร้างศักยภาพผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นเลิศทางด้านภาษาจีน มีมนุษย สัมพันธ์กับชุมชนในท้องถิ่นและสังคมโลกซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และใช้ใน การสื่อสารกับผู้อื่น เห็นความแตกต่างระหวํางภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและวัฒนธรรม ไทยเพื่อนําไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เห็นคุณค่าและประโยชน์ของการใช้ภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร ในชีวิตประจําวัน การประกอบอาชีพ มุ่งเสริมศักยภาพสู่ความเป็นเลิศทางด้านภาษาจีน เป็นผู้นําความรู้เปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ดีต่อภาษาจีน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้ภาษาเพื่องานอาชีพในท้องถิ่นและสังคม คุณภาพของผู้เรียน 1. ศึกษา วิเคราะห์ ข้อมูลเกี่ยวกับคําศัพท์เพื่อนํามาวิเคราะห์ข้อความ บทสนทนา สําหรับการสื่อสารทักษะทางภาษาจีน เลือกใช้บทสนทนาในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล 2. สนทนาภาษาต่างประเทศจากสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จําลองที่กําหนดได้ อย่างเหมาะสม 3. ฝึกปฏิบัติการพูด การฟัง จากบทสนทนาที่ได๎ศึกษา นํามาแลกเปลี่ยนผ่านการแสดง บทบาทสมมุติและถามตอบตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฝึกพูดภาษาต่างประเทศตามสถานการณ์จริง/ สถานการณ์จําลองที่กําหนดขึ้น 4. เลือกใช้โครงสร้างทางภาษาในการเขียนเพื่อขอหรือให้ข้อมูลอย่างง่าย ๆ สร้างบทสนทนา สั้นประกอบสื่อการเรียนรู้ที่สนใจและนําไปใช๎ในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพ เห็นคุณค่าของ การเลือกใช้ภาษาจีนการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ 5. ค้นคว้าข้อมูล ข่าวสารที่สนใจหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน มีความตระหนัก ในการเรียนรู้ มีวินัยในการทํางาน สร้างความรับผิดชอบต่อส่วนรวม สร้างเสริมจิตสาธารณะใน การทํางานเพื่อชุมชน สังคมได้อย่างเหมาะสม สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมีเหตุผล
16 ตัวชี้วัด 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำคำชี้แจง คำอธิบาย และคำบรรยายที่ฟังและอ่าน 2. อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว โฆษณา 3. อธิบายและเขียนประโยคหรือข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรวมทั้งระบุ และเขียนสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง รูปแบบต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กับประโยคหรือข้อความที่ฟังหรืออ่านพูด หรือเขียนแสดงความต้องการ ขอและให้ความช่วยเหลือตอบรับและปฏิเสธในสถานการณ์ต่าง ๆ 4. ตอบคำถาม จับใจความสำคัญ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นพร้อมให้เหตุผล หรือยกตัวอย่างประกอบเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและอ่าน พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลอธิบาย เปรียบเทียบและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่าน มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด 1. สนทนาอย่างต่อเนื่อง หรือเขียนโต้ตอบข้อมูล ข่าวสาร ประสบการณ์ และเรื่องที่อยู่ใน ความสนใจของสังคม 2. ใช้คำขอร้อง คำแนะนำ คำชี้แจง และคำอธิบาย ในสถานการณ์ต่างๆ 3. พูดหรือเขียนแสดงความต้องการขอและให้ความช่วยเหลือตอบรับและปฏิเสธใน สถานการณ์ต่าง ๆ 4. พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลอธิบายเปรียบเทียบและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ที่ฟังหรืออ่าน 5. พูดและเขียนแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ กิจกรรม ประสบการณ์ข่าว เหตุการณ์ พร้อมให้เหตุผลประกอบ มาตรฐาน ต1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสารความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูดและการเขียน ตัวชี้วัด 1. พูดและเขียนนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ ข่าว หรือเหตุการณ์หรือเรื่อง หรือประเด็นต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม 2. พูดและเขียนสรุปใจความสำคัญหรือแก่นสาระที่ได้จากการวิเคราะห์เรื่องหรือเหตุการณ์ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม
17 3. พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม ประสบการณ์ ข่าว และเหตุการณ์ ใกล้ตัวพร้อมให้เหตุผลประกอบ สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ตัวชี้วัด 1. เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางให้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานที่ ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของจีน 2. อธิบายชีวิตความเป็นอยู่ความคิด ความเชื่อ และประเพณีของจีน 3. เข้าร่วมและจัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมของจีนตามความสนใจ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวชี้วัด 1. เปรียบเทียบและอธิบายความแตกต่างระหว่างโครงสร้างประโยค สำนวนภาษาของ ภาษาจีนกับภาษาไทย 2. เปรียบเทียบและอธิบายความเหมือน และความแตกต่างระหว่างชีวิตความเป็นอยู่ความ เชื่อและวัฒนธรรมของจีนกับของไทย สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาแสวงหาความรู้และเปิดโลกทัศน์ของตน ตัวชี้วัด 1. ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น จากแหล่งเรียนรู้ และนำเสนอด้วยวิธีการที่หลากหลาย สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม ตัวชี้วัด 1. ใช้ภาษาจีนสื่อสารในสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม
18 มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบ อาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ตัวชี้วัด 1. ใช้ภาษาจีนในการสืบค้น ค้นคว้า และนำเสนอความรู้หรือข้อมูลต่างๆ จากสื่อและแหล่ง การเรียนรู้ต่างๆในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ 2. เผยแพร่หรือประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารของโรงเรียนชุมชน และท้องถิ่นเป็นภาษาจีน 2.3 สื่อการเรียนการสอน การสอนเป็นกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนและผู้เรียนโดยมีเจตนาที่จะถ่ายทอด ความรู้ ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยม และทักษะจากครูไปถึงผู้เรียน สื่อการสอนเป็นสิ่งที่มีบทบาท อย่างมากในการเรียนการสอน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเป็นตัวกลางที่จะช่วยให้การสื่อสาร ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียน สื่อการสอน จึงเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ความหมายของสื่อการสอน “สื่อ” เป็นคำที่มาจากภาษาลาตินว่า “medium” แปลว่า“ระหว่าง” (between) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลให้ผู้ส่งและผู้รับสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เมื่อมีการนำมาใช้ ในการเรียนการสอน จึงเรียกว่า “สื่อการสอน” (instructional Media) หมายถึง สื่อชนิดใดก็ตาม เช่น ภาพนิ่ง เทปบันทึกเสียง แผนภูมิ หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ สไลด์ เป็นต้น ที่บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับ การเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นำมาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษา เป็นเครื่องมือที่ผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่วาง ไว้เป็นอย่างดี (กิดานันท์ มลิทอง, 2542, 79) ความหมายของสื่อการเรียนการสอน (Instructional Media) สื่อ (Media) หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอน กับผู้เรียนเรียกว่า สื่อการเรียนการสอน (Instruction Media) ในทางการศึกษามีคำที่มีความหมาย แนวเดียวกันกับสื่อการเรียนการสอน เช่น สื่อการสอน (Instructional Media or Teaching Media) สื่อการศึกษา (Educational media) อุปกรณ์ช่วยสอน (Teaching Aids) เป็นต้น ในปัจจุบัน นักการศึกษามักจะเรียกการนำสื่อการเรียนการสอนชนิดต่าง ๆ มารวมกันกับเทคโนโลยีทางการศึกษา
19 (Educational) ซึ่งหมายถึง การนำเอาวัสดุอุปกรณ์และวิธีการมาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบในการเรียน การสอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ทำไมจึงต้องใช้สื่อการเรียนการสอน ข้อพิจารณาในการตอบคำถามว่า ทำไมจึงต้องใช้สื่อเพื่อช่วยในการเรียนการสอนมีอยู่ หลายประการ ดังนี้ 1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผู้เรียน 2. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้จำนวนหนึ่ง 3. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน 4. ช่วยให้ผู้เรียนจำประทับความรู้สึกได้รวดเร็วและดีขึ้น 5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในกระบวนการเรียนการสอน 6. ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำบากเพราะ 6.1 ทำสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น 6.2 ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น 6.3 ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงช้าให้ดูเร็วขึ้น 6.4 ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงเร็วให้ดูช้าลง 6.5 ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อขนาดขึ้น 6.6 ทำสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น 6.7 นำอดีตมาให้นักศึกษาได้เห็น 6.8 นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้ในกรณีนี้เป็นการส่งเสริมการเรียนการสอน มีคุณภาพดีขึ้นและยังสอดคล้องกับวิธีการสอนที่ครูผู้สอนพิจารณาเลือกเอามาใช้สอนอีกด้วย 7. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนสำเร็จง่ายขึ้นและผ่านการวัดผลอันหมายถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ ของบทเรียน การจำแนกสื่อการสอน การจำแนกประเภทสื่อการเรียนการสอนนั้นนักการศึกษามีแนวความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถนำมาประมวลได้ดังตัวอย่าง คือ 1. จำแนกประเภทสื่อการเรียนการสอนโดยพิจารณาจากลักษณะประสาทการรับรู้ ของผู้เรียนจากการเห็นและการฟัง ซึ่งสามารถจำแนกประเภทของสื่อได้ดังต่อไปนี้ 1.1 สื่อที่เป็นภาพ (Visual Media) ก. ภาพที่ไม่ต้องฉาย (Non-Projected) ได้แก่ ภาพบนกระดาษดำ ภาพจากแผ่น ภาพ ภาพจากหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ
20 ข. ภาพที่ต้องฉาย (Projected) ได้แก่ ภาพจากเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉาย สไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์หรือวิดีทัศน์ 1.2 สื่อที่เป็นเสียง (Audio Media) ได้แก่ สื่อประเภทเสียงที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เช่น เทปบันทึกเสียง วิทยุ เป็นต้น 1.3 สื่อที่เป็นทั้งภาพและเสียง (Audio-Visual Media) ได้แก่ สื่อที่แสดงภาพและเสียง พร้อม ๆ กัน เช่น สไลด์ประกอบเสียง ภาพยนตร์ที่มีเสียง (Sound-film) บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) เทปโทรทัศน์และมัลติมิเดีย เป็นต้น ฝ่ายสื่อการเรียนการสอน สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ 2. จำแนกประเภทของสื่อการเรียนการสอนในทางเทคโนโลยีการศึกษา จำแนกได้เป็น 2.1 เครื่องมืออุปกรณ์ (Hardware) สื่อการเรียนการสอน ประเภทเครื่องมือหรืออุปกรณ์ เรียกกันโดยทั่วไปว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือ สื่อใหญ่ (Big Media) หมายถึง สิ่งที่เป็นอุปกรณ์ ทางเทคนิคทั้งหลายที่ประกอบด้วยกลไกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งสิ้นเปลือง ได้แก่ เครื่องฉายทั้งหลาย เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพทึบแสง เครื่องฉาย ภาพข้ามศีรษะ เครื่องรับโทรทัศน์ รวมทั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางเทคนิคอื่น ๆ ที่เป็นทางผ่าน ของความรู้ เช่น เครื่องฉายจุลซีวันเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 2.2 วัสดุ (Software) สื่อการเรียนการสอนประเภทวัสดุ (Software) บางครั้ง เรียกว่า ซอฟต์แวร์ (Software) หรือสื่อเล็ก (Small Media) ซึ่งจำแนกได้2 ประเภท คือ ก. วัสดุที่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Hardware) เพื่อเสนอเรื่องราวข้อมูล หรือความรู้ออกมาสื่อความหมายแก่ผู้เรียน ได้แก่ ฟิล์ม แผ่นใส เทปบันทึกเสียง เป็นต้น ข. วัสดุที่เสนอความรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ เช่น ตำรา หนังสือ เอกสาร คู่มือ รูปภาพ แผ่นภาพ ของจริง ของตัวอย่าง หุ่นจำลอง เป็นต้น 2.3 เทคนิคและวิธีการ (Technique and Method) การสื่อความหมายในการเรียน การสอน บางครั้งไม่อาจทำได้ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์หรือวัสดุ แต่จะต้องอาศัยเทคนิคหรือวิธีการ เพื่อการให้เกิดการเรียนรู้หรือใช้ทั้งวัสดุอุปกรณ์และวิธีการไปพร้อม ๆ กัน แต่เน้นที่วิธีการเป็นสำคัญ เช่น การสาธิตประกอบการใช้เครื่องมือเครื่องจักร การทดลอง การแสดงบทบาท การศึกษา นอกสถานที่ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น ดังนั้นเทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ ดังกล่าว จึงจัดว่าเป็นสื่อ การเรียนการสอนอีกประเภทหนึ่ง แต่สื่อประเภทนี้มักจะใช้ร่วมกับสื่อ 2 ประเภทแรก จึงจะได้ผลดี เดอคีฟเฟอร์ (De Kieffer, 1980) ได้แบ่งสื่อเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะที่ใช้ที่เรียกว่า โสตทัศนูปกรณ์ (Audio-visual Aids) ได้แก่
21 1. สื่อประเภทใช้เครื่องฉาย (Projected Aids) ได้แก่ เครื่องฉายแผ่นโปร่งใส เครื่องฉาย สไลด์เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายทึบแสง เป็นต้น 2. สื่อประเภทไม่ใช้เครื่องฉาย (Nonprojected Aids) ได้แก่ แผนภูมิ รูปภาพ ของจำลอง ของจริง เป็นต้น 3. สื่อประเภทเครื่องเสียง (Audio Aids) ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง แผ่นเสียง วิทยุ เป็นต้น อีลี (Ely, 1980) ได้จำแนกสื่อการสอนตามทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning Resources) โดยแบ่งสื่อที่ออกแบบขึ้น เพื่อจุดมุ่งหมายทางการศึกษาและสื่อที่มีอยู่ทั่วไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ ในการเรียนการสอน ได้แก่ 1. คน (People) ตามความหมายของการศึกษานั้น “คน” หมายถึง บุคลากรที่อยู่ในระบบ โรงเรียนที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เช่น ครู ผู้บริหาร นักแนะแนวการศึกษาหรือผู้อำนวยความสะดวก ด้านต่าง ๆ ส่วน “คน” ตามความหมายของการประยุกต์ใช้หมายรวมถึงวิทยากรที่มีความรู้ด้านต่าง ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยอำนวยความสะดวก 2. วัสดุ (Materials) วัสดุในการศึกษาโดยตรงจะบรรจุเนื้อหาของบทเรียนโดยมิได้คำนึงถึง รูปแบบของวัสดุ เช่น หนังสือ สไลด์ ฟิล์มสตริป แผนที่ เป็นต้นหรือสื่อต่าง ๆ ที่เป็นทรัพยากร ในโรงเรียนที่ได้รับการออกแบบเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ส่วนวัสดุที่นำมา ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนจะมีลักษณะเช่นเดียวกับวัสดุที่ใช้ในการศึกษาเพียงแต่เนื้อหาอยู่ใน รูปของการบันเทิง เช่น เกมคอมพิวเตอร์ หรือภาพยนตร์สารคดี เป็นต้น 3. อาคารสถานที่ (Settings) หมายถึง สถานที่สำคัญในการศึกษาและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น อาคารเรียน ห้องสมุด สนามเด็กเล่น เป็นต้น ส่วนสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชนก็สามารถประยุกต์ใช้ เป็นทรัพยากรสื่อการเรียนได้เช่นกัน 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tools and Equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ เพื่อช่วยในการผลิตหรือใช้ต่าง ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น 5. กิจกรรม (Activities) เป็นการดำเนินงานที่จัดขึ้นเพื่อกระทำร่วมกับทรัพยากรอื่น ๆ หรือเป็นเทคนิควิธีพิเศษเพื่อการเรียนการสอน เช่น การไปทัศนศึกษา เกม และการสอน แบบโปรแกรม เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้มักมีวัตถุประสงค์เฉพาะ มีการใช้วัสดุการเรียนเฉพาะวิชา สมบูรณ์ สงวนญาติ (2534) ได้จำแนกสื่อการสอนเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สื่อประเภท โสตทัศนวัสดุ (Audio visual Materials) สื่อประเภทโสตทัศนอุปกรณ์(Audio visual Equipment) และสื่อประเภทเทคนิควิธีการ (Techniques) 1. สื่อประเภทโสต-ทัศนวัสดุ (Audio visual Materials) แบ่งออกเป็น 6 จำพวก ดังนี้ 1.1 รูปภาพ ได้แก่ ภาพเขียน ภาพถ่าย ภาพพิมพ์ 1.2 วัสดุลายเส้น ได้แก่ แผนภูมิ แผนสถิติ แผ่นภาพ ภาพโฆษณา การ์ตูน แผนที่ ลูกโลก
22 1.3 วัสดุสามมิติ ได้แก่ ของจริง หุ่นจำลอง ของตัวอย่าง ของล้อ แบบหุ่นมือ 1.4 วัสดุประกอบแผ่นป้าย ได้แก่ ตัวแสดงที่ใช้กับแผ่นป้ายนิเทศ แผ่นป้าย ผ้าสำลี แผ่น ป้ายแม่เหล็ก แผ่นป้ายไฟฟ้า แผ่นป้ายกระเป๋าผนัง 1.5 วัสดุสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ ตำรา และเอกสารประกอบการเรียนการสอน 1.6 วัสดุประกอบการทดลอง ได้แก่ ตัวยาและสื่อราคาเยาที่ใช้ในการทดลอง 2. สื่อประเภทโสตทัศนอุปกรณ์ (Audio visual Equipment) แบ่งออกเป็น 2 จำพวก ได้แก่ 2.1 จำพวกเครื่องฉายและเครื่องเสียง ประกอบด้วยตัวเครื่อง (hardware) และวัสดุ 2.2 จำพวกเครื่องมือ (Apparatus) ได้แก่ เครื่องมือวัด เครื่องมือตรวจ เครื่องมือแสดง และเครื่องมือทดลองประเภทต่างๆ ที่มีราคาค่อนข้างแพง 3. สื่อประเภทเทคนิควิธีการ (Techniques) แบ่งออกเป็น 2 จำพวก 3.1 จำพวกกิจกรรม ได้แก่ การเล่นละคร การแสดงบทบาท การสาธิต การทัศนาจร นิทรรศการ การทดลอง และกิจกรรมในรูปแบบอื่นๆ 3.2 จำพวกบทเรียนแบบโปรแกรม ได้แก่ บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เอ็ดการ์ เดล (Edgar Dale, 1969) ได้จัดแบ่งสื่อการสอนเพื่อเป็นแนวทางในการอธิบาย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสื่อโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ ในขณะเดียวกันเป็นการแสดงขั้นตอนของ ประสบการณ์ การเรียนรู้ และการใช้สื่อแต่ละประเภทในกระบวนการเรียนรู้ด้วย โดยพัฒนาความคิด ของบรูเนอร์ (Bruner) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยานำมาสร้างเป็น “กรวยประสบการณ์ (Cone of Experiences)” โดยแบ่ง เป็นขั้นตอนของประสบการณ์ตรง ประสบการณ์รอง ประสบการณ์นาฎการ หรือการแสดง การสาธิต การศึกษานอกสถานที่ นิทรรศการ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ การบันทึกสียง วิทยุ ภาพนิ่ง ทัศนสัญลักษณ์และวจนสัญลักษณ์ การใช้กรวยประสบการณ์จะเริ่มจากการให้ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จาก ประสบการณ์รอง ต่อจากนั้นจึงเป็นการเรียนรู้โดยการรับประสบการณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ และท้ายที่สุด ผู้เรียนเรียนจากสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากกรวยประสบการณ์ที่เดล ได้จำแนกสื่อการสอนเป็น 3 ประเภท คือ สื่อประเภทวัสดุ (Software) สื่อประเภทอุปกรณ์ (Hardware) และสื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ (Techniques and Methods) 1. สื่อประเภทวัสดุ (Software หรือ Small Media) เป็นสื่อเล็กที่เรียกว่า Material หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเอง ซึ่งจำแนกย่อยได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1 วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่น ช่วย เช่น ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์ แผ่นโปร่งใส เป็นต้น
23 1.2 วัสดุประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ อื่นช่วย เช่น รูปภาพ ของจริง หุ่นจำลอง แผนที่ แผนภูมิ เป็นต้น 2. สื่อประเภทอุปกรณ์ (Hardware หรือ big Media) หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่าน ทำให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกในวัสดุสามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉาย ภาพยนตร์เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายข้ามศีรษะ เป็นต้น 3. สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ (Techniques and Methods) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะ เป็นแนวคิด หรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอนโดยสามารถนำสื่อวัสดุและอุปกรณ์มาใช้ช่วย ในการสอนเช่น การไปทัศนศึกษานอกสถานที่(field trip)เทคนิคการระดมกำลังสมอง (brainstorming) เกมและการจำลอง การสาธิต การสอนแบบจุลภาค เป็นต้น กล่าวโดยสรุป สื่อการเรียนการสอนในกระบวนการเรียนการสอนโดยทั่วไป ส่วนใหญ่ จะคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนรู้ ซึ่งได้แก่ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มากกว่าเทคนิค หรือวิธีการ ดังนั้นจึงนิยมเรียกสื่อการเรียนการสอนว่าอุปกรณ์ช่วยสอนหรืออุปกรณ์การสอน (Teaching Aids) ซึ่งหมายถึงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนรู้หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ในการสื่อความหมาย อันจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในบทเรียนได้ง่ายขึ้น คุณค่าของสื่อการสอน คุณค่าบางประการของสื่อการสอน อาจสรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบต่าง ๆ 2. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้มากขึ้น โดยใช้เวลาน้อยลง 3. ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียนและมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างกระฉับกระเฉง และช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบเอกัตภาพ 4. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความประทับใน มั่นใจและจดจำได้นาน 5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ 6. ช่วยให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเรียนรู้ได้ 6.1 ทำสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น 6.2 ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 6.4 ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงช้าให้ดูเร็วขึ้น 6.5 ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้เล็กเหมาะแก่การศึกษา 6.6 ทำสิ่งที่เล็กมากให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น 6.7 นำสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน
24 6.8 นำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาในห้องเรียนได้ 7. ช่วยลดการบรรยายของผู้สอนลงแต่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น 8. ช่วยลดการสูญเปล่าทางการศึกษาลงเพราะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เรียนสอบตกน้อยลง 9. ช่วยขยายระยะทางให้แก่การศึกษาได้ เช่น การศึกษาทางไกลโดยใช้ดาวเทียม หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 10. ช่วยให้การสอนมีคุณภาพในกรณีที่ผู้สอนต้องสอนเนื้อหาวิชาเดียวกันซ้ำกับหลาย ๆ กลุ่ม ผู้สอนอาจบันทึกเทปหรือโทรทัศน์หรือวิดีทัศน์ไว้ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนทุกกลุ่มได้เรียนรู้ข้อมูล จากสิ่งเดียวกัน หลักการเลือกสื่อและประสบการณ์ในการเรียนการสอน การเลือกสื่อการสอนที่นำมาใช้ประกอบการสอน เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญการเลือกสื่อควรมีหลักการต่าง ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้ 1. เลือกสื่อและประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับเนื้อหา จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (behavioral Objectives) 2. เป็นสื่อที่เร้าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมีการตอบสนองและเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่คาดหวัง 3. เป็นสื่อที่เหมาะสมกับวัย ระดับชั้น ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และความ แตกต่างระหว่างบุคคล 4. สื่อที่สะดวกต่อการใช้มีวิธีใช้ไม่ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไปเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ ราคาไม่แพง 5. พิจารณาลักษณะเฉพาะของสื่อแต่ละประเภทด้วย เนื่องจากสื่อแต่ละชนิดมีคุณค่า ในตัวเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม อัลเลน (Allen อ้างใน กิดานันท์ มลิทอง, 2540, 90) ได้แสดงตารางประสิทธิภาพของสื่อ ชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สอนเลือกสื่อการสอนให้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์และประสบการณ์การเรียนรู้ ขั้นตอนการใช้สื่อการสอน การใช้สื่อการสอนอาจใช้เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งหรือใช้ทุกขั้นตอนก็ได้ดังนี้ 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กำลังจะเรียน สื่อใน ขั้นนำเข้าสู้บทเรียนนี้จะแสดงเนื้อหาอย่างกว้าง ๆ ง่ายต่อการนำเสนอในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ภาพบัตรปัญหาหรือบัตรคำ เป็นต้น
25 2. ขั้นดำเนินการสอนหรือขั้นกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นขั้นสำคัญในการเรียนที่จะนำ เนื้อหาอย่างละเอียดและชัดเจน เพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้โดยผู้สอนต้องเลือกสื่อให้ตรง กับเนื้อหาและวิธีการสอนหรืออาจใช้สื่อหลายแบบให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น วีดิทัศน์ ชุดการเรียนเทปเสียง แผ่นโปร่งใส เป็นต้น 3. ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นขั้นที่ผู้เรียนใช้ประสบการณ์ตรงโดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้สื่อเอง เป็นการนำความรู้ด้านทฤษฎีหรือหลักการมาแก้ปัญหาโดยลงมือปฏิบัติเอง เช่น ชุดการสอน แบบฝึกหัด บัตรปัญหา เทปเสียง หรือภาพ เป็นต้น 4. ขั้นสรุปบทเรียน ในขั้นนี้ควรใช้เวลาสั้น ๆ สรุปเนื้อหาสำคัญทั้งหมดโดยย่อ เช่น แผ่นโปร่งใสหรือแผนภูมิ เป็นต้น 5. ขั้นประเมินผู้เรียนเป็นการทดสอบว่า ผู้เรียนเข้าใจสิ่งที่เรียนมากน้อยเพียงใดและบรรลุ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้หรือไม่ สื่อในขั้นนี้มักเป็นคำถามจากเนื้อหาของบทเรียน อาจนำบัตรคำหรือสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในขั้นกิจกรรมการเรียนการสอนมาถามอีกครั้งหนึ่งและอาจทดสอบ โดยการสังเกตจากทักษะการฝึกปฏิบัติจากสื่อว่าถูกต้องหรือไม่ หลักการใช้สื่อการสอน เมื่อผู้สอนเลือกสื่อการสอนได้เหมาะสมแล้วมิได้หมายความว่าสื่อนั้นจะช่วยให้กระบวนการ เรียนการสอนบรรลุเป้าหมายทุกครั้งไป คุณค่าของสื่อการสอนที่เลือกมานอกจากจะขึ้นอยู่กับ ลักษณะเฉพาะของตัวอุปกรณ์เองแล้ว ยังขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิค การใช้สื่อของผู้สอนแต่ละคนว่าจะใช้สื่อแต่ละชนิดเมื่อไรอย่างไรจึงจะได้ผลเต็มที่ สื่อแต่ละชนิด มีเทคนิคการใช้ต่างกันไป ผู้ใช้ต้องมีความรู้ควรเข้าใจ มีทักษะในการใช้และต้องเตรียมสภาพแวดล้อม ให้เหมาะสมด้วยจึงจะเกิดผลดีผู้สอนจำต้องมีหลักในการใช้สื่อการสอนตามลำดับขั้นดังนี้ 1. ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1.1 ตัวผู้สอน ดังนี้ ก. เตรียมตัวศึกษาเนื้อหาที่อยู่ในสื่อว่ามีเนื้อหาถูกต้องครบถ้วนตรงกับที่ต้องการ หรือไม่ ทำความรู้จักกับสื่อการเรียนการสอนในด้านลักษณะ องค์ประกอบ หน้าที่ การทำงาน เนื้อหา เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นรูปภาพ แผนภูมิ แผนภาพ ต้องสามารถอธิบายได้ ถ้าเป็นภาพยนตร์ต้องเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดีถ้าเป็นเครื่องมือต้องรู้จักองค์ประกอบ หน้าที่ของส่วน ต่าง ๆ ตลอดจนวิธีใช้ ข. วางแผนการใช้สื่อการเรียนการสอน โดยพิจารณาร่วมกับระบบการสอนว่าจะใช้ สิ่งใด เมื่อไร อย่างไร น่าจะบังเกิดผลดีที่สุด โดยกำหนดขั้นตอนการใช้ไว้ให้ชัดเจน
26 1.2 เตรียมสื่อการเรียนการสอน ดังนี้ ก. ตรวจสภาพสื่อการเรียนการสอนให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะนำไปใช้ โดยไม่เกิดปัญหา ข. เตรียมจำนวนสื่อการเรียนการสอนให้เพียงพอกับจำนวนนักเรียน ค. เตรียมสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ควบคู่กับสื่อการเรียนการสอนเพื่อความคล่องตัว ในการใช้และเสริมความเข้าใจ ง. ทดลองใช้สื่อการเรียนการสอนตามแนวที่จะนำไปใช้จริงเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น จ. เตรียมจัดลำดับสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้สะดวกต่อการใช้หรือนำออกแสดง 1.3 เตรียมผู้เรียน ดังนี้ ก. มีการแนะนำหรือให้ความคิดรวบยอดว่าเนื้อหาในสื่อเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้เรียน เตรียมพร้อมในการฟัง ดูหรืออ่านบทเรียนให้เข้าใจและจับประเด็นสำคัญ นอกจากนี้การใช้สื่อ บางประเภท ผู้สอนอาจมีความจำเป็นจะต้องอธิบาย ชี้แจง แนะนำหรือแสดงเพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ร่วมกระทำในการใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของสื่อที่ใช้ เช่น 1) การดูภาพยนตร์ผู้สอนจะต้องบอกวัตถุประสงค์ เนื้อหาโดยย่อ จุดสำคัญ ที่ควรสนใจ ภารกิจที่ต้องกระทำระหว่างดูและหลังจากดูจบ จะต้องทำอะไรบ้าง 2) การใช้กิจกรรมบางอย่าง ผู้สอนต้องแนะนำให้ผู้เรียนทราบกระบวนการว่า จะเริ่มต้นอย่างไรและมีภารกิจอะไรบ้าง เช่น การสอนแบบศูนย์การเรียนจะต้องแนะนำให้เข้าใจก่อน ข. หากผู้เรียนมีการใช้สื่อด้วยตนเองผู้สอนต้องบอกวิธีการใช้อุปกรณ์ที่ผู้เรียนไม่เคย ใช้มาก่อนชี้แจงวิธีการใช้ การบันทึกข้อมูล ข้อควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหรือชำรุดเสียหาย ตลอดจนการปฏิบัติเมื่อเสร็จการทดลอง 1.4 เตรียมสภาพแวดล้อม ดังนี้ ก. เตรียมสภาพห้องเรียนให้สอดคล้องกับการใช้สื่อ และการประกอบกิจกรรม โดยจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสม ข. ตรวจสภาพความพร้อมด้านต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการใช้สื่อ เช่น การใช้สื่อ เครื่องฉายภาพ ต้องตรวจปลั๊กไฟ การระบายอากาศ การควบคุมแสงภายในห้อง เป็นต้น 2. ขั้นนำสื่อไปใช้ตามแผน ประกอบด้วย 2 ส่วน 2.1 ใช้สื่อการเรียนการสอนตามแผนที่วางไว้โดยปฏิบัติตามขั้นตอน ตามวิธีการ และเวลา ที่กำหนดไว้ สื่อบางชนิดใช้ในการนำเข้าสู่บทเรียน บางชนิดใช้ประกอบคำอธิบาย บางชนิดใช้สรุป บางชนิดใช้ในการประเมินผล จึงควรคำนึงถึงเทคนิคการใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด 2.2 จัดสภาพเพื่อให้การใช้สื่อดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 2.2.1 การควบคุมชั้นเรียนให้มีระเบียบวินัย
27 2.2.2 พยายามให้ทุกคนมองเห็นชัดเจน 2.2.3 ให้เวลาเพื่อทำความเข้าใจพอสมควร 2.2.4 คำอธิบายต้องชัดเจน ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย 2.2.5 หยุดบรรยายเมื่อมีเสียงรบกวนจากภายนอก 2.2.6 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการใช้สื่อ 2.2.7 ควรกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดโดยใช้คำถามนำ 2.2.8 ให้โอกาสผู้เรียนซักถามเมื่อมีปัญหาข้อข้องใจ 3. ขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลสัมฤทธิ์ด้านการใช้สื่อตาม วิธีการที่ผ่านมาว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ได้ผลมากน้อยเพียงใด มีอะไรที่ควรปรับปรุงแก้ไข โดยปฏิบัติดังนี้ 3.1 พิจารณาว่าขั้นตอนการใช้เป็นไปตามแผนหรือไม่ ผู้ใช้เป็นผู้ประเมินเองโดยยึดแผน การใช้ที่กำหนดไว้เดิมเป็นหลัก 3.2 พิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้ว่ามีอะไรบ้าง ถ้ามี เนื่องมาจากสาเหตุใด อาจใช้วิธีสอบถามผู้เรียนหรืออภิปรายร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนก็ได้ 3.3 พิจารณาด้วยความเหมาะสมในการนำสื่อดังกล่าวมาใช้ช่วยในการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความชัดเจน ความน่าสนใจและความพึงพอใจของผู้สอนและผู้เรียน อาจใช้วิธีสอบถาม หรือใช้แบบสำรวจ 3.4 พิจารณาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนการสอนเนื่องจากการใช้สื่อดังกล่าวโดยใช้ข้อทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมันเอง การนำเอามา ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เทคนิคและวิธีการใช้ สื่อการสอนเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่างๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมาย ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ที่จะช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียน สื่อการสอนจึงเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงที่มีความสำคัญ อย่างยิ่ง สื่อการสอนจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ สื่อประเภทวัสดุ (Software) สื่อประเภทอุปกรณ์ (Hardware) และสื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ (Techniques and Methods) สำหรับหลักการใช้ สื่อการสอนโดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ ขั้นนำสื่อไปใช้ตามแผน และขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ
28 2.4 แบบฝึกทักษะ การฝึกเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ในการเรียนการสอน ดังนั้นการฝึกโดยการใช้ชุดฝึก เป็นการจัดสภาพการณ์เพื่อให้ผู้ฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมจนสามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่าง มีประสิทธิภาพในการสร้างชุดฝึกต้องคำนึงถึงหลักการสร้างจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกลักษณะ ของชุดฝึกที่ดีประโยชน์ของชุดฝึก หลักการนำไปใช้ เป็นต้น 1. ความหมายของชุดฝึกทักษะ ชุดฝึกในภาษาไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ชุดการฝึก ชุดฝึกทักษะ ชุดฝึกหัด ชุดฝึกหัดทักษะ แบบฝึกทักษะ เป็นต้น มีผู้ให้ความหมายของแบบ ฝึกทักษะ ชุดฝึกหัดหรือชุดการฝึก ไว้ดังนี้ สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2540 : 106) กล่าวว่า ชุดฝึก หมายถึง การจัดประสบการณ์ฝึกหัด เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและสามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้องอย่างหลากหลาย และแปลกใหม่ สุกิจ ศรีพรหม (2541 : 68) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ชุดการฝึก หมายถึง การนำสื่อประสม ที่สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ของวิชามาใช้ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้ เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ถวัลย์ มาศจรัล (2546 : 18) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ชุดฝึกหัด หมายถึง กิจกรรมพัฒนา ทักษะเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมมีความหลากหลายและปริมาณเพียงพอ ที่สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะกระบวนการคิดกระบวนการเรียนรู้สามารถนำผู้เรียนสู่การสรุป ความคิดรวบยอดและหลักการสำคัญของสาระการเรียนรู้ รวมทั้งทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบ ความเข้าใจในบทเรียนด้วยตนเองได้ อัจฉรา ชีวพันธ์ (2549 : 48) ได้กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้าง ความเข้าใจตามแนวของหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการและเสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน ช่วยให้นักเรียนนำความรู้ความเข้าใจไปใช้ได้อย่างแม่นยำถูกต้องและคล่องแคล่ว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ(2542. หน้า 147) ให้ความหมายว่า แบบฝึก หรือแบบฝึกหัดหรือแบบเสริมทักษะ เป็นสื่อการเรียนประเภทหนึ่งสําหรับให้นักเรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้ เกิดความรู้ความเข้าใจและทกัษะเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝึกหัดอยู่ท้ายบทเรียน ในบางวิชาแบบฝึกหัดจะมีลักษณะเป็นแบบฝึกปฏิบัติ จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่าชุดฝึก ชุดฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะเป็นคำที่มีความหมาย คล้ายคลึงกัน คือ งานหรือกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนกระทำเพื่อฝึกทักษะและทบทวน ความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิดความชำนาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนำความรู้ไปแก้ปัญหา ได้โดยอัตโนมัติในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้คำว่า แบบฝึกทักษะ
29 ความสำคัญของชุดฝึกทักษะ ความสำคัญของชุดฝึกทักษะในการฝึกทักษะของนักเรียนนั้น ครูจะต้องมีการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่เร้าความสนใจของผู้เรียน นอกจากจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมแล้ว ครูยังต้องสร้างชุดฝึกเพื่อช่วยเหลือนักเรียน เพราะนักเรียนที่เขียนสะกดคำด้วยตนเองโดยไม่มีชุดฝึก ช่วยเลย หรือมีแต่เพียงส่วนน้อยจะทำให้นักเรียนพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น ชุดฝึกจึงมีความสำคัญดังนี้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 131) กล่าวถึงความสำคัญของชุดฝึกทักษะว่าชุดฝึกทักษะ เป็นเทคนิคการสอนที่สนุกอีกวิธีหนึ่ง คือการให้นักเรียนทำชุดฝึกทักษะ ชาญชัย อาจิณสมาจาร (2540 : 98) ได้ให้ความสำคัญของชุดฝึกทักษะว่าเป็นส่วนหนึ่ง ของบทเรียนที่จะทำให้นักเรียนทำให้สำเร็จผลที่ได้เป็นอย่างไร ในอดีตชุดฝึกถูกมองว่าเป็นการบ้าน ปัจจุบันเป็นงานที่ทำในชั้นเรียนหรือที่บ้าน เป็นบทเรียนที่ต้องฝึกและเรียนรู้เป็นโครงการที่ต้องทำให้ เสร็จเป็นคำถามที่ต้องตอบหรือทบทวนการเรียนที่ผ่านมา กิจกรรมเหล่านี้เป็นหนึ่งวงจรของการเรียน การสอน ความสำคัญ ของชุดฝึกที่ กล่าวไว้ข้างต้น สรุป ได้ว่า ชุดฝึกเป็นสื่อการเรียน และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะทางภาษา เพื่อให้เกิดความชำนาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุดฝึกการเขียนสะกดคำจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอจึงจะเขียนสะกดคำ ได้ถูกต้องแม่นยำและสามารถใช้ภาษาติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ ประโยชน์ของชุดฝึกทักษะ ถวัลย์ มาศจรัส (2546 : 21) กล่าวถึงประโยชน์ของชุดฝึก ดังนี้ 1. เป็นสื่อสารเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และการเขียน 3. เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ไขปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน 4. พัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน สกุณา เลิกนอก (2545 :24 - 25) กล่าวถึงลักษณะของชุดฝึกที่ดีว่าควรมีลักษณะดังนี้ 1. ควรมีคำชี้แจงหรือตัวอย่างที่ใช้ภาษาง่าย ๆ สั้น ๆ นักเรียนสามารถทำตามได้ประโยค และคำศัพท์ควรใกล้เคียงกับที่ใช้ในชีวิตประจำวันและเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 2. เนื้อหาควรเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้แล้วกับสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้ใหม่และโครงสร้าง หรือรูปแบบหลาย ๆ ลักษณะในเรื่องเดียวกันควรใช้คำถามในเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่หรือที่เรียน มาแล้วหรือที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 3. ตั้งจุดมุ่งหมายในเรื่องที่จะฝึกให้ชัดเจนและฝึกเป็นเรื่อง ๆไป จัดเนื้อหาที่จะฝึก ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและมีจำนวนพอเหมาะที่จะทำให้การฝึกนั้นเกิดทักษะตามที่ต้องการ 4. ชุดฝึกควรสอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและลำดับขั้นการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ชุดฝึกควรมีรูปภาพ สีสวย จูงใจ กระตุ้นให้นักเรียนสนใจ
30 5. สิ่งที่จะฝึกแต่ละครั้งควรเป็นบทฝึกสั้น ๆ ใช้เวลาน้อย เพราะความสนใจของเด็กนักเรียน มีเพียง 15 - 20 นาที และชุดฝึกควรมีความยากง่ายพอเหมาะ 6. ชุดฝึกที่ดีควรแนะวิธีสอนของครูและมีวิธีที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ส่งเสริมให้ นักเรียนได้ฝึกความจำ วิเคราะห์ สังเคราะห์ การนำไปใช้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ส่งเสริมให้นักเรียน มีนิสัยรักการอ่านและรู้จักค้นคว้าด้วยตนเอง วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 131) กล่าวถึงประโยชน์ของชุดฝึกไว้ดังนี้ 1. ทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน 3. ครูได้แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อช่วยให้นักเรียนได้ดีที่สุดตามความสามารถ ของตนเอง 4. ฝึกให้นักเรียนมีความเชื่อมันและสามารถประเมินความสามารถของตนเองได้ 5. ฝึกให้นักเรียนได้ทำงานด้วยตนเอง 6. ฝึกให้นักเรียนได้รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย 7. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะของตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาและความกดดันอื่น 8. ชุดฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน ลักษณะการฝึกที่จะช่วยให้เกิดผลดังกล่าว ได้แก่ ฝึกทันทีหลังจากเรียนเนื้อหา ฝึกซ้ำ ๆ ในเรื่องที่เรียน ณัฐณี ศรีคํา (2549, หน้า 14) ได้สรุปถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ 1. ทำให้เด็กเข้าใจบทเรียนมากขึ้น 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน 3. ช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงเนื้อหาวิธีสอนและกิจกรรมแต่ละบทเรียน 4. ช่วยเด็กให้เรียนได้ตามความสามารถของเด็ก 5. ช่วยให้เด็กทำงานตามลำดับโดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 6. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลงานของตนเองได้ ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551. หน้า 17) ได้สรุปถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระ ของครูได้มากเพราะแบบฝึกหัดเป็นสิ่งที่จัดทำอย่างเป็นระบบระเบียบ 2. ช่วยเสริมทกัษะทางการใชภ้าษแาบบฝึกทกัษะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กฝึกทักษะการใช้ ภาษาได้ดีขึ้น แต่ต้องอาศัยการส่งเสริมและเอาใจใส่จากครูผู้สอนด้วย
31 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษา แตกต่างกัน การให้เด็กทำแบบฝึกทักษ ะที่เหมาะสมกับความสามารถจะช่วยให้เด็ก ประสบความสำเร็จในด้านจิตใจมากขึ้น อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (2551, หน้า 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ครู สร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพจากความสำคัญ และประโยชน์ของแบบฝึกทักษะดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ต่อตัวของเด็กและครู ซึ่งเด็กจะเกิดความชำนาญและมีทักษะที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแบบฝึกทักษะ จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้แสวงหาองคค์วามรู้ใหม่ ๆ เกิดความสนุกกับเนื้อหาแบบฝึกทักษะ นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการเรียนของนักเรียนแล้วยังมีประโยชน์สําหรับครูผู้สอนซึ่งทำให้ ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้น ๆ ของนักเรียนและเห็นข้อบกพร่องในการเรียนซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุง ได้ทันท่วงทีอันมีผลทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ในสาระนั้น ๆ สรุปได้ว่า ชุดฝึกทักษะที่ดี ควรเป็นชุดฝึกที่สอดคล้องกับเนื้อหาบทเรียน ความสนใจ ระดับชั้นและวัยของผู้เรียน ชุดฝึกทักษะเป็นเครื่องมือช่วยการสอนของครู ใช้วัดความรู้ความเข้าใจ ของนักเรียนในสิ่งที่เรียนไปแล้วว่ามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดฝึก การสร้างชุดฝึกทักษะจำเป็นมากที่จะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะชุด ฝึกทักษะจะมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือตรงตามจุดประสงค์ของการฝึกได้นั้น การสร้างชุดฝึก ทักษะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาประกอบเพื่อความเหมาะสมถูกต้องในการที่จะนำชุดฝึกไปใช้ กับนักเรียนตามวัย ความสามารถ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล หลักจิตวิทยาการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดฝึกมีดังนี้ สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2522 : 52 - 62) ได้แนะนำหลักจิตวิทยาที่ควร นำมาใช้ในชุดฝึก สรุปได้ว่า 1. กฎการเรียนรู้ของ Thorndike ในการจัดการเรียนการสอนมีดังนี้ 1.1 กฎแห่งการฝึกฝน (Law of Exercise) คือ การให้ผู้เรียนทำชุดฝึกหัดมาก ๆ จะทำให้เกิดความคล่องและชำนาญ การสร้างชุดฝึกจึงช่วยให้ผู้เรียนทำชุดฝึกหัดที่เสริมจากชุดฝึก ในบทเรียนและมีหลายรูปแบบ 1.2 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) คือ การให้ผู้เรียนมีความพร้อมใน การเรียนจะทำให้เกิดความพอใจในการเรียน
32 1.3 กฎแห่งผล (Law of Effect) คือ ชุดฝึกต้องมีเนื้อเรื่องเป็นที่สนใจของผู้เรียน ความยากง่ายต้องเหมาะสมกับวัยและสติปัญญา มีสิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนพอใจในการเรียน การประเมินผลควรกระทำอย่างรวดเร็วหลังจากที่นักเรียนทำเสร็จแล้ว 2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ครูควรคำนึงถึงนักเรียนแต่ละคนมีความรู้ความถนัด ความสามารถและความสนใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสร้างชุดฝึกจึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสม ไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป ควรมีคละกันหลายแบบ 3. การจูงใจผู้เรียน สามารถทำได้โดยการจัดชุดฝึกจากง่ายไปหายากเพื่อดึงดูดความสนใจ ของผู้เรียนเป็นการกระตุ้นให้ติดตามต่อไปและทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการทำชุดฝึก ชุดฝึกควรสั้น ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่าย 4. การนำสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตและการเรียนรู้มาให้นักเรียนได้ทดลอง ทำภาษาที่ใช้พูด ใช้เขียนในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนและทำชุดฝึกในสิ่งที่ใกล้ตัว จะทำให้จำได้แม่นยำ นักเรียนยังสามารถนำหลักและความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์อีกด้วย บรรเจิด อุ่นมณีรัตน์ (2553) กล่าวว่า ในการสร้างชุดฝึกเพื่อให้มีคุณภาพต้อง คำนึงถึงหลัก จิตวิทยาเพราะการเรียนการสอนจะได้ผลดี ควรใช้ชุดฝึกที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนใช้แนวทฤษฎี และจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นพื้นฐานในการสร้างชุดฝึกที่มีความสอดคล้องกับทฤษฎีที่สำคัญ ดังนี้ 1. แนวคิดในเรื่องของกฎแห่งผลของ Thorndike ชุดฝึกที่สร้างขึ้นตามหลักจิตวิทยาข้อนี้ ต้องให้นักเรียนทำชุดฝึกหัดนั้นได้พอสมควรและควรมีคำเฉลยให้นักเรียน สามารถหาคำตอบได้ หลังจากทำชุดฝึกเสร็จแล้ว 2. แนวคิดในเรื่องการฝึกหัดของ Watson การสร้างชุดฝึกตามจิตวิทยาข้อนี้ควรเน้นให้มี การกระทำซ้ำ ๆ เพื่อให้จำได้นานแล้วสามารถเขียนได้ถูกต้องเพราะการเขียนเป็น ทักษะที่ต้องฝึกหัด อยู่เสมอ 3. แนวคิดในการเสริมแรงของ Thorndike ในการสอนฝึกทักษะนั้น ครูควรให้การเสริมแรง โดยการให้กำลังใจอย่างดีแก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนเกิดความภูมิใจในตนเองและรู้สึกประสบความ สำเร็จในงานที่ทำ นอกจากนี้แรงจูงใจก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเรียน ครูต้องกระตุ้นให้นักเรียน เกิดการตื่นตัวอยากรู้อยากเรียน ชุดฝึกที่น่าสนใจจะเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้นักเรียน อยากทำ อยากฝึกและเกิดการเรียนรู้ในที่สุด ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ของ Skinner ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกริยาสะท้อนหลังจากเกิดกระบวนการของสิ่งเร้าและการตอบสนอง ใจความสำคัญของทฤษฎีนี้คือ 1. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง โดยมีลักษณะ ทางการสอนและการเรียนที่สัมพันธ์กันมากขึ้นโดยเฉพาะพฤติกรรมที่เกิด ความพึงพอใจ ผู้สอนจึงจะต้องหาวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็นมากที่สุด
33 2. การฝึกฝน (Practice) ได้แก่ การให้ทำชุดฝึกหัดเพื่อให้เกิดทักษะในการเขียน 3. การรู้ผลการกระทำ (Feedback) ได้แก่ การที่สามารถให้ผู้เรียนได้รู้ผลการปฏิบัติหน้าที่ ได้ทันที เพื่อจะทำให้ผู้เรียนได้ปรับพฤติกรรมได้ถูกต้องอันเป็นการเรียนรู้ที่ดี 4. การสรุปเป็นกฎเกณฑ์ (Generalization) ได้แก่ การจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถ สร้างความคิดรวบยอด จนกระทั่งสรุปเป็นกฎเกณฑ์ที่จะนำไปใช้ได้จากหลักจิตวิทยาดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างชุดฝึกที่ดีนั้นจะต้องคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้เพื่อให้ได้ชุดฝึกที่เหมาะสมกับวัย และความสามารถของนักเรียน และเป็นแนวทางจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนเกิดความ พอใจ สนใจที่จะเรียนรู้จากชุดฝึกต่อไป ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน หลักการสร้างชุดฝึกทักษะ Haress (ม.ป.ป.; อ้างถึงใน อังศุมาลิน เพิ่มผล. 2542 : 14) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างชุดฝึกว่า ชุดฝึกจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้เรียนและควรสร้างโดยอาศัยหลักจิตวิทยาใน การแก้ปัญหา และการตอบสนองไว้ดังนี้ 1. สร้างชุดฝึกหลาย ๆ ชนิด เพื่อเร้าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ 2. ชุดฝึกที่สร้างขึ้นนั้นจะต้องให้ผู้เรียนสามารถพิจารณาได้ว่าต้องการให้ผู้เรียนทำอะไร 3. ให้ผู้เรียนได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากการเรียนมาตอบในชุดฝึกให้ตรงตามเป้าหมาย 4. ให้ผู้เรียนตอบสนองสิ่งเร้าด้วยการแสดงความสามารถและความเข้าใจในการฝึก 5. กำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนตอบชุดฝึกแต่ละชนิดแต่ละรูปแบบด้วยวิธีการตอบ อย่างไร ถวัลย์ มาศจรัส (2546 : 20) ได้กล่าวถึง การสร้างและจัดทำชุดฝึกหัด ชุดฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาสาระสำหรับการจัดทำชุดฝึกหัด ชุดฝึกทักษะ 2. วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียด เพื่อกำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3. ออกแบบการจัดทำชุดฝึกหัด ชุดฝึกทักษะตามจุดประสงค์ 4. สร้างชุดฝึกหัดชุดฝึกทักษะ และส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น แบบทดสอบก่อนฝึกบัตร คำสั่ง ขั้นตอนกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ แบบทดสอบหลังเรียน 5. นำชุดฝึกหัด ชุดฝึกทักษะไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ปรับปรุง พัฒนาให้สมบูรณ์ บรรเจิด อุ่นมณีรัตน์ (2553) กล่าวถึงองค์ประกอบของชุดฝึกไว้ดังนี้ 1. ชุดฝึกเป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อพัฒนาให้นักเรียนได้ฝึกทักษะเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ควรมีองค์ประกอบ ดังนี้
34 1.1 ปก ประกอบด้วย ชื่อชุดฝึก ชื่อและตำแหน่งผู้จัดทำ 1.2 คำนำ 1.3 สารบัญ 1.4 จุดประสงค์ในการทำชุดฝึก 1.5 คำแนะนำในการทำชุดฝึก 1.6 แบบทดสอบก่อนเรียน 1.7 มาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1.8 สาระการเรียนรู้ 1.9 ชุดฝึกเสริมทักษะ 1.10 แบบทดสอบหลังเรียน 1.11 เฉลยคำตอบ 1.12 สรุปผลการทำชุดฝึกเสริมทักษะและผลการพัฒนา 1.13 เอกสารอ้างอิง 2. คู่มือการใช้ชุดฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้ชุดฝึกว่าใช้เพื่ออะไร และมีวิธีการ อย่างไร เช่น ใช้ฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน ใช้สอนซ่อมเสริมหรือใช้พัฒนานักเรียน ควรประกอบด้วย 2.1 ส่วนประกอบของชุดฝึกจะระบุว่าในชุดฝึกชุดนี้มีชุดฝึกทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่น ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบหรือแบบบันทึกผลการประเมิน 2.2 สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียนเตรียมตัว ให้พร้อมล่วงหน้าก่อนเรียน 2.3 จุดประสงค์ในการใช้ชุดฝึก 2.4 ขั้นตอนในการใช้บอกข้อตามลำดับการใช้และอาจเขียนในรูปของแนวการสอน หรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งขึ้น 2.5 เฉลยชุดฝึกในแต่ละชุด ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2544, หน้า 14) ได้อธิบายถึงขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกว่า จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการสร้างนวตักรรมทางการศึกษาประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจดักิจกรรมการเรียนการสอน 2. ศึกษารายละเอียดในหลักสูตรเพื่อวิเคราะห์เนื้อหาจุดประสงค์แต่ละกิจกรรม 3. พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึกและเลือกเนื้อหา
35 ในส่วนที่จะสร้างแบบฝึกนั้นว่าจะทำเรื่องใดบ้าง 4. ศึกษารูปแบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสาร 5. ออกแบบแบบฝึกแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย น่าสนใจ 6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้สอดคล้อง กับเนื้อหาและจุดประสงค์ 7. ส่งให้ผู้ชี่ยวชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้แล้วบันทึกผลเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง 9. ปรับปรุงจนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 10. นำไปใช้จริงและเผยแพร่ต่อไป ผดุง อารยะวิญฎ์ (2546, หน้า 1-2) ได้กล่าวถึงลักษณะของการสร้างแบบฝึกทักษะ ควรมีขั้นตอนดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะควรมีหลายแบบเพื่อนกัเรียนจะได้ไม่เบื่อ 2. ควรเป็นแบบฝึกสั้น ๆ 3. ควรให้ฝึกในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน 4. ควรมีการประเมินผลและควรประเมินในขณะที่ฝึกเพื่อดูว่านักเรียนเกิดการเรียนหรือไม่ 5. แบบฝึกทักษะต้องสอดคล้องกับจิตวิทยาและพัฒนาการของเด็กและลำดับขั้น ของการเรียน 6. แบบฝึกทักษะควรมีจุดมุ่งหมายแน่นอนว่าจะฝึกในด้านใดแล้วจึงจัดเนื้อหาให้ตรงกับ จุดมุ่งหมายที่วางไว้ 7. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ถ้าสามารถแยกตามความสามารถ และจัดทำแบบฝึกทักษะเพื่อเสริมนักเรียนแต่ละกลุ่มได้ยิ่งดี 8. ในแบบฝึกต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ 9. เนื้อหาในแต่ละแบบฝึกต้องให้เหมาะสมกับเวลาและความสนใจของนักเรียน ณรงค์ เตชะ (2546, หน้า 20-21) ได้กล่าวถึง หลักในการสร้างแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ต้องสอดคล้องกับจิตวิทยาและพัฒนาการของนักเรียน แบบฝึกทักษะจะต้องอาศัย รูปแบบ สีสันสวยงามและเป็นไปตามระดับความยากง่าย เพื่อให้นักเรียนเกิดกำลังใจ 2. มีจุดประสงค์ว่าฝึกในด้านใด แล้วจัดเนื้อหาให้ตรงตามวัตถุประสงคที่วางไว้ 3. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ถ้าสามารถแยกตามความสามารถ และจัดทำแบบฝึกทักษะเพื่อเสริมนักเรียนแต่ละกลุ่มได้ยิ่งดี 4. ในแบบฝึกทักษะต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ 5. แบบฝึกทักษะต้องมีความถูกต้อง ครูต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอย่าให้ผิดพลาด
36 6. การให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะแต่ละครั้ง ต้องให้เหมาะสมกับเวลาและความสนใจ ของนักเรียน 7. ควรทำแบบฝึกทักษะหลาย ๆ แบบ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ไดกว้างไกล และส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ศศิพิมพ์ ศรกิจ (2551, หน้า 22) ได้สรุปขั้นอนการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการโดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาหรือทักษะย่อย ๆ เพื่อใช้ใน การสร้างแบบทดสอบให้สอดคล้องกับเนื้อหาหรือทักษะที่ได้วิเคราะห์และบัตรฝึกหัด 3. นำแบบฝึกหัดไปทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึก 4. ปรับปรุงแก้ไข 5. รวบรวมเป็นชุดทำคำชี้แจง คู่มือการใช้สารบัญเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป ดวงมณี กันทะยอม (2551, หน้า 29) กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ ดังนี้ 1. สำรวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนแต่ละจุดประสงค์ 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน คือ ฝึกอะไร ต้องการให้นักเรียนเป็น อย่างไร 3. วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร มีปัญหาในการอ่านเขียน อย่างไรแล้วระบุปัญหารวบรวมไว้ 4. ผลการทํางานของตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกว่าควรประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้างมีลักษณะอย่างไร กิจกรรมมีอะไรบ้าง นําเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน 6. ลงมือเขียนและสร้างแบบฝึกแต่ละชุด 7. นําแบบฝึกที่สร้างไปให้ผู้เชี่ยวชาญการตรวจความถูกต้อง ความตรงต่อเนื้อหา เช่น ครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทศก์ เป็นต้น เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไป ทดลองกับนักเรียน 8. จัดพิมพ์หรืออัดสําเนาแบบฝึกเพื่อให้นักเรียนได้ทดลองใช้ ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551, หน้า 29) กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะว่า 1. สํารวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอน 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน 3. วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร 4. ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ ประกอบดว้ยการใชส้ิ่งเร้าเพื่อตอบสนองสร้างความพอใจ
37 การฝึกหัดสร้างความรู้ความเข้าใจความแม่นยำและการให้นักเรียนได้ทราบผลการทำงานของตนเอง ข้อดีข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5.กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกทักษะว่าควรประกอบด้วยเรื่องอะไรมีลักษณะอย่างไร กิจกรรมมีอะไรบ้าง นําเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน จากขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะดังกล่าว สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อเสริม ทักษะนั้นผู้สร้างต้องรู้ในเนื้อหาวิชาทิ่จะสร้างแบบฝึกนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ กำหนดกรอบการสร้าง ให้ชัดเจน มีส่วนประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีการเรียงลำดับความยากง่ายไว้ตามความเหมาะสม และในระยะเวลาที่เหมาะสมในการฝึกแต่ละครั้ง เพื่อที่จะได้กำหนดขั้นตอนในการสร้างได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 2.5 การหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ มนต์ชัย เทียนทอง (2550 : 287) กล่าวถึง การหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ หมายถึง สมรรถนะของแบบฝึกทักษะในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้แก่ผู้เรียน จนทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่กำหนด บทเรียนหรือสื่อนวัตกรรมทางการศึกษาถือเป็นโปรแกรมประเภทหนึ่งที่ประยุกต์ใช้ในด้าน การศึกษา ดังนั้น เมื่อพัฒนาแล้วจึงจะต้องได้รับการประเมินเพื่อตรวจสอบถึงคุณ ภาพ และประสิทธิภาพ ซึ่งจะประกอบด้วยวิธีการที่ใช้ดังต่อไปนี้ 1. การประเมินองค์ประกอบหรือคุณภาพของแบบฝึกทักษะ การประเมินองค์ประกอบ หมายถึง การประเมินตามแนวทางการศึกษาที่เน้นประเมิน ในด้านเนื้อและแบบทดสอบ ด้านการออกแบบอื่น ๆ เช่นโครงสร้างสร้างภายใน ประเมินผลลัพธ์ ประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างภายใน เช่นด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบเกี่ยวกับ จอภาพ ความยากง่ายในการใช้งาน เป็นต้น ในการประเมินจะใช้แบบสอบถามโดยส่วนใหญ่จะใช้แบบ มาตราส่วนประมาณค่า สอบถามผู้ทดลองใช้สื่อ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาโปรแกรม ผู้เชี่ยวชาญ ในด้านสื่อ ผู้สอนและผู้เรียนทั่ว ๆ ไป ทั้งนี้การที่จะใช้ประเมินเป็นกลุ่มใด ผู้ออกแบบจะต้องเลือก อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับรายการที่จะประเมิน รายระเอียดที่ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้ ประเมินสื่อมีดังต่อไปนี้ (พิสุทธา อารีราษฎ์. 2551 : 147) 1.1 ด้านเนื้อหา เนื้อหาเป็นส่วนที่สำคัญในการพัฒนาสื่อ เนื่องจากเนื้อหาเป็นส่วนที่จะให้ ความรู้แก่ผู้เรียน ดังนั้น ในการประเมินจะประเมินในประเมินในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) ด้านความเหมาะสมของเนื้อหา หมายถึง การประเมินในด้านความเหมาะสม กับเนื้อหาของผู้เรียน สื่อที่ดีควรจะมีคุณลักษณะอย่างหนึ่ง คือมีเนื้อหาที่ตรงกับระดับของผู้เรียน โดยมีการใช้ภาษาที่เหมาะสม มีการสอดแทรกการอธิบายด้วยภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว
38 2) ด้านความถูกต้องของเนื้อหา ความถูกต้องของเนื้อหาเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องมี การตรวจสอบและประเมินเนื้อหาที่นำเสนอในสื่อจะต้องเป็นเนื้อหาที่ถูกต้องและครบถ้วน ไม่คลุมเครือ นอกจากนี้จะต้องใช้ภาษา สะกดคำหรือใช้ไวยากรณ์ได้อย่างถูกต้องเช่นกัน 3) คุณค่าของเนื้อหา หมายถึง เนื้อหาที่นำเสนอในสื่อมีคุณค่าเพียงไรต่อผู้เรียน เช่น เนื้อหาที่มุ่งแต่ความเพลิดเพลิน ความรุนแรงหรือเนื้อหาที่นำเสนอในแง่การเหยียดสีผิว เชื้อชาติ เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่าและไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้เรียนเป็นเด็กเล็กผู้ออกแบบควรจะระมัดระวัง ดังนั้น การประเมินคุณค่า ของเนื้อหาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด 1.2 ด้านการออกแบบ หมายถึง การออกแบบลักษณะโครงสร้างของจอภาพที่นำเสนอ เนื้อหาการใช้สีและตัวอักษรและการใช้สื่อประสม ดังรายละเอียดดังนี้ 1) การใช้พื้นที่หน้าจอ เนื่องจากภาพคอมพิวเตอร์เป็นส่วนที่จะใช้ติดต่อกับผู้เรียน ดังนั้น การออกแบบการใช้พื้นที่ของจอภาพ จึงควรออกแบบให้มีความง่ายและสะดวกต่อการใช้ของ ผู้เรียน มีการจัดแบ่งการนำเสนอของจอภาพอย่างเป็นสัดส่วนชัดเจนและสม่ำเสมอตลอดทั้งสื่อ 2) การใช้สีและตัวอักษ ร การออกแบบ เพื่ อการใช้สีและตัวอักษ รถือว่า เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการนำเสนอของจอภาพ สีที่นำมาใช้ควรเป็นสีที่สบายตาและผ่อนคลาย ผู้เรียน นอกจากนี้ จะต้องเน้นความสวยงามและความชัดเจน ในส่วนของตัวอักษรก็เช่นกัน ควรจะ เป็นตัวอักษรที่มีขนาดเหมาะสมและใช้สีของตัวอักษรโดยมีหลักคือ สีของตัวอักษรเข้มบนพื้นที่อ่อน หรือตัวอักษรสีอ่อนบนพื้นที่เข้ม 3) การใช้สื่อประสม หมายถึง การใช้เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวหรือข้อความในสื่อ ซึ่งจะทำให้สื่อมีการอธิบายที่หลากหลาย แต่อย่างไรก็ตามการใช้สื่อประสมควรพิจารณาให้เหมาะสม กับวัย หรือระดับของผู้เรียน เหมาะสมกับสถานการณ์ในสื่อและควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ควบคุม การแสดงผลบนจอภาพ ในด้านสื่อประสมด้วยตนเอง 1.3 ด้านกิจกรรมในการออกแบบสื่อส่วนหนึ่งที่จะต้องออกแบบควบคู่กันไป ได้แก่ กิจกรรม ที่จะให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์เพื่อให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อทำการทดสอบความรู้ผู้เรียน กิจกรรมที่ ออกแบบในสื่อจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่กำลังนำเสนอ และถ้าเป็นกิจกรรมที่เป็นแบบการตอบ คำถามหรือแบบทดสอบจะต้องเป็นแบบทดสอบที่ผ่านการหาความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก หรือค่า ความเชื่อมั่นมาก่อน และจะต้องเป็นคำถามที่ชัดเจนตลอดจนสอดคล้องกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ นอกจากนี้กิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ควรจัดให้มีการเสริมแรง (Reinforcement) ในจังหวะที่เหมาะสมกับเวลาและระดับของผู้เรียน 1.4 ด้านการจัดการสื่อ หมายถึง วิธีการควบคุมสื่อความชัดเจนของคำสั่งในตัวสื่อการจัดทำ เอกสารประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ จะต้องมีการออกแบบอย่างสมบูรณ์ ดังนี้
39 1) ส่วนของวิธีการควบคุมสื่อ หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสในการควบคุมสื่อเป็นอย่างไร สื่อเสนอหัวข้อหลักหรือหัวข้อย่อยสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ตลอดจนการมีสิ่งอำนวยความสะดวก ในสื่อที่ให้ผู้เรียนได้จัดการเองได้ เช่น การปรับแต่งเรื่อง การตั้งเวลา ให้ความช่วยเหลือ เป็นต้น 2) ความชัดเจนของคำสั่งในสื่อ หมายถึง การที่ผู้เรียนสามารถจัดการสื่อได้ง่ายไม่ สับสนโดยไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้สอนหรือผู้เรียนที่ไม่มีพื้นความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้งานสื่อได้ 3) ส่วนการจัดทำเอกสารถือเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องจัดทำเนื่องจากสามารถใช้ เอกสารเป็นแหล่งอ้างอิง และสมารถใช้เป็นคู่มือในการใช้สื่อได้ เอกสารที่ดีควรประกอบด้วย รายละเอียดที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็น การแนะนำสื่อ วัตถุประสงค์ของสื่อ การใช้งานสื่อและปัญหา ที่อาจจะพบได้ในการใช้สื่อ 1.วิธีการตรวจสอบคุณภาพของบทเรียนหรือนวัตกรรมทางการศึกษา การตรวจสอบคุณภาพนวัตกรรม ที่สำคัญก็คือ การหาความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ว่านวัตกรรมนั้นมีความเหมาะสม ถูกต้อง หรือสอดคล้องกับปัญหา เนื้อหา จุดประสงค์วัย ของนักเรียนหรือไม่ วิธีการตรวจสอบสามารถกระทำได้โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) หรือผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ อย่างน้อยที่สุด 3 คน ได้อ่านหรือตรวจสอบว่า สื่อ/นวัตกรรมนั้น ดีเหมาะสม ใช้ได้หรือไม่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือตามเจตนาของผู้สร้างหรือไม่ ขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพ 1. นำสื่อ/นวัตกรรมที่สร้างขึ้น พร้อมวัตถุประสงค์การวิจัย/ศึกษา พร้อมนิยามศัพท์และแบบ แสดงความคิดเห็น นำเสนอผู้เชี่ยวชาญ เช่น แบบแสดงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อ…. คำชี้แจง : ให้ท่านผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อ………. โดยใส่เครื่องหมาย / ลงในช่องทางขวามือของรายการที่กำหนด ว่ามีความเหมาะสม สอดคล้อง กับแนวทางการแก้ปัญหา ที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์การวิจัยหรือไม่ พร้อมกับเขียนข้อเสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ในการวิจัยด้วย ที่ รายการ/เนื้อหา/แบบ /ชุด.. ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เหมาะสม ไม่แน่ใจ ไม่เหมาะสม 1 2 2. นำรายการที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นมาให้ค่าน้ำหนักคะแนน ถ้าเหมาะสม ได้ค่า น้ำหนัก +1 ถ้าไม่แน่ใจ ได้ค่าน้ำหนัก 0 และถ้าไม่เหมาะสม ได้ค่าน้ำหนัก –1
40 3.บันทึกค่าน้ำหนักคะแนนแต่ละคน และทำการวิเคราะห์หาค่า IOC ดังตัวอย่างแบบบันทึก จากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ดังนี้ N R IOC = R หมายถึง รวมค่า น้ำหนักของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่ตอบ รายการที่ประเมิน ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ ค่า แปลผล ชุดที่.. แบบที่..เล่มที่.แผนที่. 1 2 3 4 5 IOC 1………………………….. +1 0 -1 +1 +1 0.4 ปรับปรุง/แก้ไข 2………………………….. +1 +1 +1 0 +1 0.8 ใช้ได้ 3………………………….. +1 +1 +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้ 4………………………….. -1 -1 0 +1 +1 0 ตัดทิ้ง .. หมายเหตุ ; ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ 3. การประเมินประสิทธิภาพของบทเอกสารประกอบการเรียน มนต์ชัย เทียนทอง (2545 : 309-311) กล่าวว่า การประเมินบทเรียนคอมพิวเตอร์ หมายถึง ความสามารถของบทเรียนคอมพิวเตอร์ในการสร้างผลสัมฤทธิ์ให้นักเรียนมีความสามารถทำ แบบทดสอบระหว่างบทเรียน แบบฝึกหัด หรือแบบทดสอบหลังบทเรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ในระดับ เกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ พิสุทธา อารีราฏร์(2551 :151-153) กล่าวว่า ประสิทธิภาพของบทเรียน(Efficiency) หมายถึง ความสามารถของบทเรียนในการสร้างผลสัมฤทธิ์ให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามลำดับ ที่คาดหวัง โดยการทำแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัดระหว่างบทเรียนและแบบทดสอบหลังการเรียน การประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนหรือนวัตกรรมทางการศึกษา นับเป็นกิจกรรม ที่สำคัญเพราะเป็นการประกันว่าบทเรียนหรือนวัตกรรมทางการศึกษาที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพที่จะ นำไปใช้สอน แล้วผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตคาดหวังไว้จึงมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ โดยคำนึงถึงหลักการที่ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียน
41 บรรลุผล ดังนั้น การกำหนดเกณฑ์จึงต้องคำนึงถึง “กระบวนการ”และ “ผลลัพธ์” โดยกำหนดตัวเลข เป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยมีค่าเป็น E1/E2 สรุปได้ว่า ขั้นตอนในการสร้างสื่อนวัตกรรมแบบฝึกทักษะ ผู้สอนควรศึกษาเนื้อหา อย่างละเอียด มีการวางแผนแบ่งหน่วยการเรียน กำหนดเนื้อหา จุดมุ่งหมาย กำหนดเวลาในการจัด กิจกรรม สื่อการสอน การวัดผลประเมินผล ทำการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องแล้วนำชุด กิจกรรมไปใช้จริงและสรุปผล วิธีการหาประสิทธิภาพบทเรียนจะใช้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหรือกิจกรรม ระหว่างเรียนมาคำนวณร้อยละซึ่งเรียกว่า Event 1 หรือ E1 มาเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยในรูปของ ร้อยละจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งเรียกว่า Event 2 หรือ E2 โดยนำมาเปรียบเทียบกัน ในรูปแบบ E1/ E2 อย่างไรก็ตามค่าร้อยละของ E1/ E2 ที่คำนวณได้จะต้องนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ มาตรฐานที่ตั้งไว้ เกณฑ์มาตรฐาน เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดและประเมิน ประสิทธิภาพของบทเรียน เกณฑ์ที่ใช้วัดโดยทั่วไปจะกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 เช่น 80/80 โดยค่าที่กำหนดไว้มีความหมายดังนี้ 80 ตัวแรก คือ เกณฑ์ของประสิทธิภาพของบทเรียนจากการทำแบบฝึกหัด หรือการปฏิบัติกิจกรรมในระหว่างบทเรียน 80 ตัวหลัง คือ เกณฑ์ของประสิทธิภาพของบทเรียนจากการทำแบบฝึกหัด หรือการปฏิบัติกิจกรรมในหลังบทเรียน มนต์ชัย เทียนทอง (2548 : 309-311) กล่าวว่า การประเมินบทเรียนจึงกำหนด เกณฑ์มาตรฐานขึ้นก่อน โดยทั่วไปนิยมใช้คะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากแบบฝึกหัดหรือคำถามระหว่าง บทเรียน กับคะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบแล้วนำมาคำนวณเป็นร้อยละเพื่อเปรียบเทียบกันในรูปแบบ ของ Event 1 /Event 2 โดยเขียนอย่างย่อเป็นโดยเขียนอย่างย่อเป็น E1/E2 เช่น 90/90 หรือ 85/85 และจะต้องกำหนดค่า E1 และ E2 เท่ากันเนื่องจากง่ายต่อการเปรียบเทียบและการแปล ความหมาย สำหรับความหมายของประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีดังนี้ ร้อยละ 95 - 100 หมายถึง บทเรียนมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม (Excellent) ร้อยละ 90 - 94 หมายถึง บทเรียนมีประสิทธิภาพดี (Good) ร้อยละ 85 - 89 หมายถึง บทเรียนมีประสิทธิภาพดีพอใช้ (Fair Good) ร้อยละ 80 - 84 หมายถึง บทเรียนมีประสิทธิภาพพอใช้(Fair) ต่ำกว่าร้อยละ 80 หมายถึง บทเรียนต้องปรับปรุงแก้ไข (Poor)
42 ข้อพิจารณาสำหรับเกณฑ์การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของบทเรียนคือ ถ้ากำหนดเกณฑ์ยิ่งสูงจะทำให้บทเรียนมีคุณค่าต่อการเรียนการสอนมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะ พัฒนาบทเรียนให้ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนถึงเกณฑ์ในระดับนั้น อย่างไรก็ตามไม่ควรกำหนดต่ำกว่า ร้อยละ 80 เนื่องจากกระทำให้บทเรียนลดความสำคัญลงไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนไม่สนใจบทเรียน สามารถกำหนดคร่าว ๆ ได้ดังนี้ 1) บทเรียนสำหรับเด็กเล็ก ควรกำหนดไว้ระหว่าง 95-100 2) บทเรียนสำหรับเนื้อหาวิชาทฤษฎีหลักการ มโนมติและเนื้อหาพื้นฐานสำหรับ วิชาอื่นๆ ที่กำหนดไว้ระหว่างร้องละ 90-95 3) บทเรียนที่มีเนื้อหาวิชายากและซับซ้อน ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษา มากกว่าปกติควรกำหนดไว้ระหว่าง 85-90 4) บทเรียนวิชาปฏิบัติวิชาประลอง หรือวิชาทฤษฎีกึ่งปฏิบัติควรกำหนดไว้ระหว่าง ร้อยละ 80 - 85 5) บทเรียนสำหรับบุคคลทั่วไปไม่ระบุกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอน ควรกำหนดไว้ ระหว่างร้อยละ 80-85 ชัยยงค์ พรหมวงศ์(2520 : 142) กล่าวถึง การหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน ว่า สื่อการสอนมีคุณภาพ และคุณค่าหรือไม่ ในระดับใด เมื่อผู้วิจัยได้ทำดำเนินการสร้างบทเรียน หรือสื่อการเรียนการสอนขึ้นเป็นต้นแบบ ผู้วิจัยควรนำสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นไปดำเนินการหา ประสิทธิภาพตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. แบบเดี่ยว (1 : 1) คือทดลองกับผู้อบรม 3 คนคือ เก่ง ปานกลาง อ่อนอย่างละ 1 คน เป็นการตรวจสอบหาข้อบกพร่องของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการฝึกอบรมด้านต่าง ๆ โดยการบันทึกและจากการสังเกตพฤติกรรมในขณะทดลอง สัมภาษณ์จากผู้อบรมถึงปัญหาทางด้าน ภาพ เสียง ลำดับการดำเนินเรื่อง ความถูกต้องของเนื้อหา ความชัดเจนของอักษรและรูปภาพ ความชัดเจนของภาษาและเสียงบรรยาย การโต้ตอบของบทเรียน เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยปกติ คะแนนก่อนการอบรม แบบฝึกหัด และคะแนนหลังการอบรม ที่ได้จากการทดลองแบบเดี๋ยวนี้ จะได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตกเมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก 2. แบบกลุ่ม (1 : 10) คือ เป็นการทดลองโดยใช้ผู้อบรม 6-10 คน แต่ในการวิจัยนี้ ได้ทำการทดลองกับผู้อบรม 9 คน คือ เก่ง ปานกลาง อ่อนอย่างละ 3 คน เป็นการตรวจสอบ หาข้อบกพร่องของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการฝึกอบรมด้านต่าง ๆ โดยการบันทึก และจากการสังเกตพฤติกรรมในขณะทดลองและสัมภาษณ์จากผู้อบรมถึงปัญหาทางด้านภาพ เสียง ลำดับการดำเนินเรื่อง ความถูกต้องของเนื้อหา ความชัดเจนของอักษรและรูปภาพ ความชัดเจน ของภาษาและเสียงบรรยาย การโต้ตอบของบทเรียน เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น ในคราวนี้คะแนนก่อน
43 การอบรมแบบฝึกหัดและคะแนนหลังการอบรมของผู้อบรมจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าเกณฑ์โดยเฉลี่ย จะห่างจากเกณฑ์ประมาณ 10% นั่นคือ E1 / E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 70 / 70 3. ภาคสนาม (1 : 100) คือ เป็นการทดลองที่ต้องใช้ผู้เรียน 40-100 คน แต่ในการวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ทำการทดลองกับอบรมจำนวน 40 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วให้เทียบ ค่า E1 / E2 ที่หาได้จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการฝึกอบรมกับ E1 / E2 เกณฑ์ เพื่อดูว่าจะ ยอมรับประสิทธิภาพหรือไม่ การยอมรับประสิทธิภาพให้ถือค่าแปรปรวน 2.5–5% นั่นคือ ประสิทธิภาพของบทเรียนไม่ควรต่ำกว่าเกณฑ์เกิน 5% แต่โดยปกติจะกำหนดไว้ 2.5% เช่น ได้ตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพไว้ที่ 80 / 80 2.4.3 เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็นการคาดหมายว่า ผู้อบรมจะบรรลุจุดประสงค์ หรือเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่น่าพึงพอใจกับผู้ประเมิน โดยกำหนดให้เปอร์เซ็นต์ผลเฉลี่ยของคะแนน การทำงาน และการประกอบกิจกรรมของผู้อบรมทั้งหมด ต่อเปอร์เซ็นต์ของการสอบหลังอบรม ของผู้อบรมทั้งหมด นั่นคือ E1/E2 หรือประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ การกำหนดเกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2520 : 490 – 492) ได้ อธิบายเกณฑ์และการกำหนดเกณฑ์ ในการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อการฝึกอบรม ดังนี้ เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อการฝึกอบรมที่จะช่วยให้ผู้อบรมเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับที่ผู้สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อการฝึกอบรม จะพึงพอใจว่า หากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการฝึกอบรมมีประสิทธิภาพ ถึงระดับนั้นแล้ว บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการฝึกอบรมนั้นมีคุณค่าที่จะนำไปใช้อบรม และคุ้มกับการลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก สำหรับการกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ กระทำได้ โดยประเมินผลพฤติกรรมของผู้อบรม 2 ประการ คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 คือ ประสิทธิภาพของ กระบวนการ และ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ และอธิบายวิธีคำนวณหาค่า E1 / E2 อย่างง่าย ไว้ว่า “สำหรับค่า E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของงานและแบบฝึกหัด กระทำได้โดยเอาคะแนนงานทุกชิ้น ของแต่ละคนมารวมกัน แล้วหาค่าเฉลี่ยและเทียบส่วนเป็นร้อยละ สำหรับ E2 คือ ประสิทธิภาพ ของผลลัพธ์ของแต่ละหน่วยการอบรมไม่มีปัญหาในการคำนวณมากนักเพราะอาจทำได้โดยนำคะแนน ของผู้อบรมทั้งหมดมารวมกันหาค่าเฉลี่ยและเทียบส่วนร้อยละเพื่อหาค่าร้อยละ”การกำหนดเกณฑ์ E1 / E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้นควรพิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ ความจำ มักจะ ตั้งไว้ 80/80, 85/85, และ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะอาจตั้งไว้ต่ำกว่านี้ เช่น 75/75 เป็นต้น