44 เมื่อกำหนดเกณฑ์แล้ว นำไปทดลองจริงอาจได้ผลไม่ตรงตามเกณฑ์ แต่ไม่ควรได้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ร้อยละ 5 เช่นกำหนดไว้ 90/90 ก็ไม่ควรต่ำกว่า 85.5/85.5 เกณฑ์การหาประสิทธิภาพของสื่อที่เหมาะสมนั้น นักการศึกษาได้ให้ความเห็นไว้หลายท่าน ตามความเห็นของ เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต (2528 : 291) สรุปได้ว่า ประสิทธิภาพของสื่อเกี่ยวกับ เนื้อหาที่เป็นความรู้ความเข้าใจควรใช้เกณฑ์ 90/90 และสำหรับเนื้อหาที่เป็นวิชาทักษะ ใช้เกณฑ์ 80/80 E1 ได้จากคะแน น เฉลี่ยของผู้เรียน ทั้ งห มดจากการท ำแบ บ ฝึกหั ด (Exercise) หรือแบบทดสอบ(Test) ของบทเรียนแต่ละชุดหรือคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทั้งหมด จากการตอบ คำถามระหว่างบทเรียนของบทเรียนแต่ละชุด E2 ได้จากคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบหลังบทเรียน (Posttest) ดังนั้น ประสิทธิภาพของบทเรียนจึงมีค่าเท่ากับ E1 / E2 การหาประสิทธิภาพของบทเรียน หมายถึง การกำหนดเกณฑ์เป็นระดับที่ผู้สอนคาดหมาย ว่าผู้เรียนจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมและเกิดการเรียนรู้เป็นที่น่าพึงพอใจ หากบทเรียนหรือแบบฝึก นั้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็ถือว่ามีคุณภาพที่จะนำไปใช้สอนนักเรียนได้ การที่ จะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานให้มีค่าเท่าใดนั้น ผู้สอนจะเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจของตน โดยปกติ เนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำ มักจะตั้งไว้80/80, 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะ หรือเจตคติอาจจะตั้งไว้ต่ำกว่านี้ เช่น 75/75 หรือ 70/70 เป็นต้น (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2538 : 121) ซึ่งขั้นตอนในการหาประสิทธิภาพมีผู้ศึกษาไว้ดังนี้ 1. แบบเดี่ยว (1 : 1) คือ ทดลองกับผู้เรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน คำนวณ ประสิทธิภาพ เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยปกติคะแนนที่ได้จากการทดลองแบบเดี่ยวนี้ จะได้คะแนน ต่ำกว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตกเมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้น ก่อนนำไปทดลองแบบกลุ่มในขั้นนี้E1/E2 ที่ได้ จะมีค่าประมาณ 60/60 2. แบบกลุ่ม (1 : 10) คือ ทดลองกับผู้เรียน 6-10 คน (คละผู้เรียนเก่งกับอ่อน) คำนวณหา ประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงในขั้นนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าเกณฑ์ โดยเฉลี่ยจะห่าง จากเกณฑ์ประมาณร้อยละ 10 นั่นคือ E1/E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 70/70 3. แบบภาคสนาม (1 : 100) เป็นการทดลองกับผู้เรียนทั้งชั้น 40 – 100 คน ทำการหา ประสิทธิภาพแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เกินร้อยละ 2.5 ก็ยอมรับ หากแตกต่างกันมากผู้สอนต้องกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของแบบฝึก ใหม่ โดยยึดสภาพความเป็นจริงเป็นเกณฑ์ เช่น เมื่อทดสอบหาประสิทธิภาพแล้ว ได้83.50/85.40 แสดงว่าแบบฝึกนั้น มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเกณฑ์85 / 85 ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าตั้งเกณฑ์ไว้75/75 เมื่อผลการทดลองเป็น 83.50 / 85.40 ก็อาจเลื่อนเกณฑ์ขึ้นมาเป็น 85 / 85
45 ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2520 : 409-491) กล่าวว่า ในการผลิตระบบการดำเนินงาน ทุกประเภทจำเป็นต้องมีการตรวจสอบระบบนั้น เพื่อเป็นการประกันว่าจะมีประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวัง การทดสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมมีความจำเป็นด้วยเหตุผลหลายประการ คือ 1. สำหรับหน่วยงานผลิตชุดกิจกรรม เป็นการประกันคุณภาพว่าอยู่ในขั้นสูงเหมาะสม ที่จะลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก 2. สำหรับผู้ใช้ชุดกิจกรรม ก่อนนำชุดกิจกรรมไปใช้ครูต้องมั่นใจว่าชุดกิจกรรมนั้น มีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้น จะช่วยให้ได้ชุดกิจกรรมที่มีคุณค่าทางการสอนจริงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3. สำหรับผู้ผลิตชุดกิจกรรม การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่าเนื้อหา สาระที่บรรจุลงในชุดกิจกรรมเหมาะสม ง่ายต่อความเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความชำนาญสูงขึ้น เป็นการประหยัดแรงสมอง แรงงาน เวลา และเงินทองในการเตรียมต้นแบบ การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน ชัยยงค์ พ รห มวงศ์(2520: 494-495) กล่าวว่า เกณ ฑ์ ประสิท ธิภ าพ ห มายถึง ระดับประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้เป็นระดับที่ผู้ผลิตชุดกิจกรรม การเรียนรู้จะพึงพอใจว่าหากชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว ชุดกิจกรรม การเรียนรู้นั้นก็มีคุณค่าที่จะนำไปสอนนักเรียนและคุ้มแก่การลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้โดยการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนสองประเภท คือพฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพ E1 (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) E2 (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) ดังนี้ 1. ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง คือ ประเมินผลต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อย หลาย ๆ พฤติกรรม เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ของผู้เรียนที่สังเกตจากการประกอบ กิจกรรมกลุ่ม (รายงานของกลุ่ม)และรายงานบุคคลได้แก่ งานที่มอบหมายและกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอน กำหนดไว้ 2. ประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย คือ ประเมินผลลัพธ์ (Products) ของผู้เรียนโดยพิจารณา จากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่ ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้จะกำหนดเป็นเกณฑ์ ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจโดยกำหนดให้เป็นเปอร์เซ็นต์ ของผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงานและการประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อเปอร์เซ็นต์ ของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมดนั่นคือ E1/E2 คือประสิทธิภาพของกระบวนการ/ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่า เมื่อเรียนจากชุดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วผู้เรียนจะสามารถ ทำแบบฝึกหัดหรืองานได้ผลเฉลี่ย 80% และทำแบบทดสอบหลังเรียนได้ผลเฉลี่ย 80% การที่
46 จะกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้นให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจโดยปกติเนื้อหา ที่เป็นความรู้ความจำมักจะตั้งไว้80/80 , 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะอาจตั้งไว้ต่ำกว่า นี้ เช่น 75/75 เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำเพราะตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใดก็มักได้ผลเท่านั้น การคำนวณหาประสิทธิภาพ ชัยยงค์ พรหมวงศ์(2520 : 495) ได้เสนอสูตรการคำนวณหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม การเรียนรู้ไว้ ดังนี้ การคำนวณหาประสิทธิภาพของชุดการสอนมี 2 วิธีคือ วิธีที่ 1 โดยใช้สูตร กระทำได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้ สูตรที่ 1 100 A N X E1 = (หรือ 100 A X ) เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X แทน ผลรวมของคะแนนนักเรียนที่ได้จากการวัดระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบวัด N แทน จำนวนผู้เรียน สูตรที่ 2 100 B N Y E2 = (หรือ 100 B X ) เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำ แบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด Y แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน การคำนวณหาประสิทธิภาพโดยใช้สูตรดังกล่าวนั้น จะนำคะแนนแบบฝึกหัดหรือผลงาน ในขณะประกอบกิจกรรมกลุ่มหรือเดี่ยว และคะแนนสอบหลังเรียนมาแทนค่าแล้วจึงคำนวณ หาค่า E1/ E2 วิธีที่ 2 โดยใช้วิธีการคำนวณธรรมดา หากไม่อยากใช้สูตรก็สามารถใช้วิธีการคำนวณ ธรรมดาหาค่า E1 และ E2 ได้ สำหรับ E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของงานและแบบฝึกหัดนั้น กระทำได้โดยการเอา คะแนนงานทุกชิ้นของนักเรียนแต่ละคนมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ยและเทียบส่วนเป็นร้อยละ
47 สำหรับ E2 ทำได้โดยการเอาคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนทั้งหมดรวมกันหา ค่าเฉลี่ยแล้วเทียบส่วนร้อยเพื่อหาค่าร้อยละ สรุปได้ว่า การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เป็นการหาขีด ความสามารถของเอกสารประกอบการเรียนที่มีความสามารถในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยพิจารณาจากประสิทธิภาพ กระบวนการ ซึ่งได้แก่ ร้อยละของคะแนนทั้งหมดของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ หลังเรียนในแต่ละเรื่อง ระหว่างเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ต่อประสิทธิภาพผลลัพธ์ซึ่งได้แก่ ร้อยละของคะแนนทั้งหมดของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนรวมทุกเรื่องโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน ได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป 3. การหาประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์(2547 : 54-55) กล่าวถึง การวิเคราะห์หาประสิทธิผลของสื่อ วิธีสอนหรือนวัตกรรมไว้ว่า เพื่อที่จะทราบว่าสื่อการเรียนการสอนวิธีสอน หรือนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิผล (Effectiveness) เพียงใดโดยนำสื่อที่พัฒนาขึ้นนั้นไปทดลองใช้กับผู้เรียนที่อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมกับที่ได้ออกแบบมา แล้วนำผลจากการทดลองมาวิเคราะห์หาประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการให้ผลอย่างชัดเจน แน่นอน ซึ่งนิยมวิเคราะห์และแปลผล 2 วิธี 3.1 วิธีที่ 1 จากการพิจารณาผลของการพัฒนา วิธีนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้าย เช่น ระหว่างก่อนเรียน กับหลังเรียน เพื่อเห็นพัฒนาการหรือความงอกงาม จะต้องสร้างเครื่องมือวัดในตัวแปรศึกษา เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือที่สร้างเพื่อวัดผลการเรียนรู้หลังจากเรียน เรื่องนั้นหรือหลังการทดลองเรื่องนั้น ซึ่งจะต้องสร้างให้ครอบคลุมจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ ที่เรียน หรือคุณลักษณะที่มุ่งวัด สร้างไว้ล่วงหน้าเมื่อก่อนจะเริ่มสอนหรือเริ่มทดลอง ก็จะนำ แบบทดสอบหรือเครื่องมือดังกล่าวมาวัดกับผู้เรียน เรียกว่าการทดสอบก่อนเรียน (Pre – Test) และ หลังจากเรียนเรื่องนั้นจบแล้ว ก็นำแบบทดสอบชุดเดิมมาทดสอบกับผู้เรียนกลุ่มเดิม (Post – Test) นำผลการทดสอบทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกันโดยเขียนคะแนนหลังเรียนไว้ก่อนคะแนนก่อน เรียน จำแนกเป็น 2 กลุ่ม 1. การพิจารณารายบุคคล 2. การพิจารณารายกลุ่ม 3.2 วิธีที่ 2 จากการหาดัชนีประสิทธิผล การหาดัชนีป ระสิท ธิผล (Effectiveness Index) กรณี รายบุ คคลตามแนวคิด ของ Hofland จะให้สารสนเทศที่ชัดเจนโดยมีวิธีการดังนี้ คือ ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน ของผู้เรียนทั้งหมด ลบด้วยผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียนทั้งหมด แล้วหารด้วย (จำนวนนักเรียน) (คะแนนเต็ม) - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียนทั้งหมด
48 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชูศรี วงศ์รัตนะ (2550 : 232) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง ความรู้ที่ได้รับจากการสอน หรือทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับขั้นในวิชาต่าง ๆ ที่ได้เรียน มาแล้วในสถานศึกษา และการที่ครูทราบว่าเด็กได้ความรู้หรือทักษะในวิชาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพียงใด ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยเครื่องมือในการวัดผลการศึกษามาช่วย สำหรับเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ง่าย และสะดวกที่สุด ได้แก่ การทดสอบหรือการปฏิบัติเป็นต้น สมเกียรติ ปติฐพร (2552 : 65) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง ระดับของความสำเร็จในเรื่องเฉพาะหรือเรื่องทั่วไป หรือระดับของความชำนาญ อันเนื่องมาจากการได้รับความรู้ทางวิชาการ บุญชม ศรีสะอาด (2553 : 116) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง ระดับ (degree) ของความสำเร็จที่ได้จากการทำงาน หรือผลของการใช้ความสามารถ ทางสติปัญญาหรือความสามารถทางด้านร่างกาย กู๊ด (Good. 1993 : 7) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ว่า หมายถึง การประสบ ความสำเร็จ (Accomplish) หรือสมรรถภาพ (Performance) ในการใช้ทักษะหรือใช้ความรู้ ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การได้รับความรู้ (Knowledge Attained) การพัฒนาทักษะ ทางการเรียนในโรงเรียน ซึ่งสามารถสังเกตและวัดได้โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานหรือใช้แบบทดสอบ ที่ครูสร้างขึ้นหรืออาจใช้แบบทดสอบทั้งสองชนิด สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคล อันเป็นผลเนื่องมาจากการได้รับการพัฒนาทักษะทางการเรียนรู้ซึ่งสามารถวัดได้โดยอาศัยเครื่องมือ ทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จุดมุ่งหมายและลักษณะของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2550 : 30) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน เพื่อเป็นการตรวจสอบความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลว่าเรียนแล้ว รู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใด มากน้อยเท่าใด เช่น พฤติกรรมการจำ ความเข้าใจการนำไปใช้ การวิเคราะห์การสังเคราะห์ และการประเมินค่ามากน้อยอยู่ในระดับใด นอกจากนี้ ลักษณะของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านพุทธิพิสัยซึ่งเป็นการวัด 2 องค์ประกอบตาม จุดมุ่งหมายและลักษณะของวิชาที่เรียน ดังนี้ (สมเกียรติ ปติฐพร. 2552 : 65-67)
49 1. การวัดด้านการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถทางการปฏิบัติ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงให้เห็นเป็นผลงานปรากฏออกมาให้ทำการสังเกตและวัดได้ เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การช่าง เป็นต้น การวัดแบบนี้จึงต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) ซึ่งการประเมินผลจะพิจารณาที่การปฏิบัติ (Procedure) และผลงานที่ปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา (Content) รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ มีวิธีการสอบวัดได้2 ลักษณะ คือ 2.1 การสอบปากเปล่า (Oral Test) การสอบแบบนี้มักกระทำเป็นรายบุคคล ซึ่งเป็นการสอบที่ต้องการดูผลเฉพาะอย่าง เช่น การสอบอ่านฟังเสียง การสอบสัมภาษณ์ ซึ่งต้องการดู การใช้ถ้อยคำในการตอบคำถาม รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นและบุคลิกภาพต่าง ๆ เช่น การสอบ ปริญญานิพนธ์ซึ่งต้องการวัดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ทำ ตลอดจนแง่มุมต่าง ๆ การสอบปากเปล่า สามารถสอบวัดได้ละเอียดลึกซึ้ง และคำถามก็สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ตามต้องการ 2.2 การสอบแบบให้เขียนตอบ (Paper-pencil Test or Written Test) เป็นการสอบวัดที่ให้ผู้สอบเขียนเป็นตัวหนังสือตอบ ซึ่งมีรูปแบบการตอบอยู่ 2 แบบ คือ 2.2.1 แบบไม่จำกัดคำตอบ (Free Response Type) ซึ่งได้แก่ การสอบวัดที่ใช้ ข้อสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง (Essay Test) นั่นเอง 2.2.2 แบบจำกัดคำถาม (Fixed Response Type) ซึ่งเป็นการสอบที่กำหนด ขอบเขตของคำถามที่จะให้ตอบหรือกำหนดคำตอบมาให้เลือก การวัดผลสัมฤทธิ์ด้านเนื้อหาโดยการเขียนตอบนั้น เป็นที่นิยมแพร่หลายในโรงเรียน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการสอบวัด เรียกว่า วัดสอบสัมฤทธิ์ หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญชม ศรีสะอาด (2550 : 122) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นแบบทดสอบ ที่ ใช้ วัด ผลการเรียน รู้ใน เนื้ อห าและจุด ป ระสงค์ใน รายวิช าต่าง ๆ ที่ เรียน ใน โรงเรียน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นเครื่องมือหลักของการวัดผล สมนึก ภัททิยธนี (2551 : 115-117) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น และแบบทดสอบมาตรฐาน
50 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นที่นิยมใช้มี 6 แบบ ดังนี้ 1 .1 ข้ อ ส อ บ แ บ บ อั ต นั ย ห รื อ ค ว า ม เรี ย ง (Subjective or Essay Test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็นของแต่ละคน 1.2 ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ ที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 1.3 ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้เติมคำหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้ มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 1.4 ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test) ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบ แบบเติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำ เป็นประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้น และกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 1.5 ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่ง โดยมีคำหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำหรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ 1.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไป จ ะ ป ระ ก อ บ ด้ ว ย 2 ต อ น คื อ ต อ น น ำห รือ ค ำถ าม (Stem) กั บ ต อ น เลื อก (Choice) ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถาม ที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกันดูเผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน 2. แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบที่มีคุณลักษณะความเป็นมาตรฐาน 2 ประเภท คือ (สมเกียรติ ปติฐพร. 2552 : 67) 2.1 มาตรฐานในวิธีดำเนินการสอบ หมายถึง ไม่ว่าจะนำแบบสอบนี้ไปใช้ ที่ไหน เมื่อไร ต้องดำเนินการในการสอบเหมือนกันหมด แบบสอบนี้จะมีคู่มือ ซึ่งจะบอกว่าในการใช้ แบบสอบนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง
51 2.2 มาตรฐานการให้คะแนน แบบสอบประเภ ทนี้มีเกณ ฑ์ ป กติไว้สำหรับ ใช้ในการเปรียบเทียบคะแนน เพื่อจะบอกว่าการที่ผู้สอบได้คะแนนอย่างหนึ่งอย่างใด หมายถึงว่า มีความสามารถอย่างไร หลักการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ หลักการสร้างแบบดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบนั้น มีหลักการ และแนวคิดในการสร้าง ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด.2550 : 122-123) 6.4.1 เขียนตอนนำให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์แล้วใส่เครื่องหมายปรัศนีไม่ควรสร้าง ตอนนำให้เป็นแบบอ่านต่อความ เพราะทำให้คำถามไม่กระชับ เกิดปัญหาสองแง่หรือข้อความไม่ต่อกัน หรือเกิดความสับสนในการคิดหาคำตอบ 6.4.2 เน้ น เรื่องจะถามให้ ชัดเจน และตรงจุด ไม่คลุม เครือ เพื่ อว่าผู้อ่าน จะไม่เข้าใจไขว้เขว สามารถมุ่งความคิดในการหาคำตอบไปถูกทิศทาง 6.4.3 ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัด หรือถามในสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์คำถาม แบบเลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมทางด้านสมองได้หลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่ถามเฉพาะความจำ หรือความจริงตามตำรา แต่ต้องถามให้คิดหรือนำความรู้ที่เรียนไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ 6.4.4 หลีกเลี่ยงคำถามปฏิเสธ ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรขีดเส้นใต้คำปฏิเสธ แต่คำปฏิเสธ ซ้อนไม่ควรใช้อย่างยิ่ง เพราะปกติผู้เรียนจะยุ่งยากต่อการแปลความหมายของคำถามและตอบคำถามที่ ถามกลับหรือปฏิเสธซ้อน ผิดมากกว่าถูก 6.4.5 อย่าใช้คำฟุ่มเฟือย ควรถามปัญหาโดยตรง สิ่งใดไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ ใช้เป็นเงื่อนไขในการคิด ก็ไม่ต้องนำมาเขียนไว้ในคำถาม จะช่วยให้คำถามรัดกุมและชัดเจนขึ้น 6.4.6 เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพันธ์ หมายถึง เขียนตัวเลือกทุกตัวให้เป็น ลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือมีทิศทางแบบเดียวกันหรือมีโครงสร้างสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกัน 6.4.7 ควรเรียงลำดับตัวเลขในตัวเลือกต่าง ๆ ได้แก่ คำตอบที่เป็นตัวเลข นิยมเรียงจากน้อยไปหามาก เพื่อช่วยให้ผู้ตอบพิจารณาหาคำตอบได้สะดวก ไม่หลง และป้องกัน การเดาตัวเลือกที่มีค่ามาก 6.4.8 ใช้ตัวเลือกปลายเปิดหรือปลายปิดให้เหมาะสม ตัวเลือกปลายเปิด ได้แก่ ตัวเลือกสุดท้ายใช้คำว่า ไม่มีคำตอบถูกที่กล่าวมาผิดหมด ผิดหมดทุกข้อ หรือสรุปแน่นอนไม่ได้ตัวเลือก ปลายปิด ได้แก่ตัวเลือกสุดท้ายใช้คำว่า ถูกหมดทุกข้อ 6.4.9 ข้อเดียวต้องมีคำตอบเดียว แต่บางครั้งผู้ออกข้อสอบคาดไม่ถึงว่า จะมีปัญหาหรืออาจจะเกิดจากการแต่งตั้งตัวลวงไม่รัดกุม จึงมองตัวลวงเหล่านั้นได้อีกแง่มุมหนึ่ง ทำให้ เกิดปัญหาสองแง่สองมุมได้
52 6.4.10 เขียนทั้งตัวถูกและตัวผิดให้ถูกหรือผิดตามหลักวิชา คือจะกำหนดตัวถูกหรือผิด เพราะสอดคล้องกับความเชื่อของสังคม หรือกับคำพังเพยทั่ว ๆ ไปไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก การเรียนการสอนมุ่งให้ผู้เรียนทราบความจริงตามหลักวิชาเป็นสำคัญจะนำความเชื่อ โชคลาง หรือขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะท้องถิ่นมาอ้างไม่ได้ 6.4.11เขียนตัวเลือกให้อิสระขาดจากกัน พยายามอย่าให้ตัวเลือกตัวใดตัวหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนประกอบของตัวเลือกอื่น ต้องให้แต่ละตัวเป็นอิสระจากกันอย่างแท้จริง 6.4.12 ควรมีตัวเลือก 3-5 ตัวเลือก ข้อสอบแบบเลือกตอบนี้ ถ้าเขียนตัวเลือกเพียง 2 ตัว ก็กลายเป็นข้อสอบแบบกาถูก – ผิด และเพื่อป้องกันไม่ให้เดาได้ง่าย ๆ จึงควรมีตัวเลือกมาก ๆ ที่นิยมก็คือ ข้อสอบระดับประถมศึกษาปีที่ 1-2 ควรใช้3 ตัวเลือก ระดับประถมศึกษาปีที่ 3-6 ควรใช้ 4 ตัวเลือก และตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป ควรใช้4-5 ตัวเลือก เป็นต้น 6.4.13 อย่าแนะคำตอบ ซึ่งการแนะคำตอบมีหลายกรณีดังนี้ 1) คำถามข้อหลัง ๆ แนะคำตอบข้อแรก ๆ 2) ถามเรื่องที่ผู้เรียนคล่องปากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคำถามประเภท คำพังเพย สุภาษิต คติพจน์ หรือคำเตือนใจ 3) ใช้ข้อความของคำตอบถูกซ้ำกับคำถามหรือเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะนักเรียนที่ไม่มีความรู้ก็อาจจะเดาได้ถูก 4) ข้อความของตัวถูกบางส่วนเป็นส่วนหนึ่งของทุกตัวเลือก 5) เขียนตัวถูกหรือตัวลวง ถูกหรือผิดเด่นชัดเกินไป 6) คำตอบไม่กระจาย สรุปว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งเป็น 6 ระดับ เรียงจากง่ายไปหายาก คือ ความจำความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า เพื่อให้ครอบคลุม ตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละรายวิชาที่กำหนดไว้ โดยหลักการในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ ครูผู้สร้างข้อสอบจำเป็นต้องยึดหลักเกณฑ์ทั้ง 13 ขั้น เพื่อให้ได้ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มีคุณภาพ และต้องคำนึงถึงลักษณะของข้อสอบที่ดีด้วยการหาค่าความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา ค่าอำนาจจำแนก ค่าความยากง่าย และความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เพื่อประเมิน คุณภาพจากการทดลองใช้ก่อนนำไปใช้สำหรับการเรียนการสอนจริงในระดับห้องเรียน 2.7 ความพึงพอใจต่อการเรียน 2.7.1 ความหมายของความพึงพอใจ มีนักวิชาการกล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจ ไว้ดังนี้
53 กิติมา ปรีดีดิลก (2551 : 321) ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ชอบ พอใจที่มีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ ของงานและผู้ปฏิบัติงานนั้นได้รับการตอบสนอง ความต้องการของเขาได้ กิ่งฟ้า สินธุวงษ์ (2552 : 22) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพของอารมณ์ ของบุคคลที่มีต่อองค์ประกอบของงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สามารถตอบสนอง ต่อความต้องการของบุคคลนั้น ๆ ประสาท อิศรปรีดา (2552 : 34) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก ดังนั้นความพอใจใน การเรียนรู้จึงหมายถึง ความรู้สึกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนและต้อง ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ จนบรรลุผลสำเร็จ สิริอร วิชชาวุธ (2552 : 124) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึก สำนึกคิดหรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก ดังนั้น ความ พึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึกชอบใจ พอใจของนักเรียนในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียน การสอนและต้องการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ จนบรรลุผลสำเร็จ กู๊ด (Good. 1993 : 161) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพ หรือระดับความพึงพอใจที่เป็นผลมาจากความสนใจและเจตคติของบุคคลที่มีต่องาน แอปเปิลไวท์ (Applewhite. 2005 : 6) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกส่วนตัว ของบุคคลในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีความหมายกว้าง รวมไปถึงความพึงพอใจในสภาพแวดล้อม ทางกายภาพด้วย การมีความสุขที่ทำงานร่วมกับคนอื่นที่เข้ากันได้มีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่ทำด้วย จากความพึงพอใจที่ได้กล่าวมาแล้วพอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนหรือกิจกรรมนั้น ๆ จนบรรลุผล สำเร็จที่วัดจากแบบสอบถาม แปลค่าเป็นมีความพึงพอใจน้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก และมากที่สุด 2.7.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะเกิดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนของนักเรียนในครั้ง นั้น ๆ มากน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจในงานที่มีอยู่ การสร้างสิ่งจูงใจหรือแรงกระตุ้นให้เกิดกับนักเรียน จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติงานนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยมีนักศึกษาใน สาขาต่าง ๆ ทำการศึกษาค้นคว้าและตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 7.2.1 ทฤษฎีที่เป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ เรียกว่า “The Motivation Hygiene Theory” ทฤษฎีนี้ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในการเรียนการสอน 2 ปัจจัย คือ (กิ่งฟ้า สินธุวงษ์. 2552 : 113-115)
54 1) ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ซึ่งมีผลส่งให้เกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้ เช่น ความสำเร็จของงาน การได้รับการยอมรับนับถือ ในกลุ่ม ความยากง่ายของภาระงาน ความรับผิดชอบ ความก้าวหน้าในการเรียนรู้แต่ละครั้ง 2) ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ในการเรียน และทำให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนการสอน เช่น รางวัล เกรด การสอบเรียนต่อได้ เป็นต้น 7.2.2 แนวคิดในเรื่องการจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนที่จะให้ผล เชิงปฏิบัติ มีลักษณะดังนี้ (Scott and Terronce. 2004 : 24) 1) กิจกรรมควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว กิจกรรมการเรียนรู้นั้น จะมีความหมายสำหรับนักเรียนที่เป็นผู้กระทำหรือลงมือปฏิบัติ 2) กิจกรรมนั้นต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบทำงานกลุ่ม และการตรวจสอบผลงานนักเรียนที่มีประสิทธิภาพ 3) เพื่อให้ได้ผลในการสร้างสิ่งจูงใจภายใน ต้องมีลักษณะ ดังนี้ 3.1) นักเรียนมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย 3.2) นักเรียนได้รับทราบผลสำเร็จในการเรียนรู้โดยตรง 3.3) คะแนนผลสอบแต่ละนั้นสามารถทำให้สำเร็จได้หรือบรรลุตามเกณฑ์ที่ ครูกำหนดไว้เมื่อนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนมีส่วนใน การเลือกเรียนตามความสนใจ และมีโอกาสร่วมกันตั้งจุดประสงค์หรือความมุ่งหมายในการทำ กิจกรรม ได้เลือกวิธีแสวงหาความรู้ด้วยวิธีที่เรียนถนัดและสามารถค้นหาคำตอบได้ 7.2.3 แนวคิดของแฮดฟิลด์ และฉิวส์แมน (ประสาท อิศรปรีดา. 2552 : 76-78 ; อ้างอิงมาจาก Hadfild and Chielman. 1986 : 239-241) ที่ได้ทำการพัฒนาแนวคิดของนักวิจัย ต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมือวัดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานพบว่า องค์ประกอบที่ส่งผลกระทบต่อ ความพึงพอใจ ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบันประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้ ตัวแปรที่ 1 องค์ประกอบเกี่ยวกับงานที่ทำในปัจจุบัน แบ่งเป็น 1) ความตื่นเต้นเบื่อหน่าย 2) ความสนุกสนาน/ความไม่สนุกสนาน 3) ความโล่ง/ความกลัว 4) ความท้าทาย/ไม่ท้าทาย ตัวแปรที่ 2 องค์ประกอบทางด้านค่าจ้าง ประกอบด้วย 1) ถือว่าเป็นรางวัล/ไม่เป็นรางวัล 2) มาก/น้อย
55 3) ยุติธรรม/ไม่ยุติธรรม 4) เป็นทางบวก/เป็นทางลบ ตัวแปรที่ 3 องค์ประกอบทางด้านการเลื่อนตำแหน่ง 1) ยุติธรรม/ไม่ยุติธรรม 2) เชื่อถือได้/เชื่อถือไม่ได้ 3) เป็นเชิงบวก/เป็นเชิงลบ 4) เป็นเหตุผล/ไม่เป็นเหตุผล ตัวแปรที่ 4 องค์ประกอบทางด้านผู้นิเทศ/ผู้บังคับบัญชา 1) อยู่ใกล้/อยู่ไกล 2) ยุติธรรมแบบจริงใจ/ยุติธรรมแบบไม่จริงใจ 3) เป็นมิตร/ค่อนข้างไม่เป็นมิตร 4) เหมาะสมทางคุณสมบัติ/ไม่เหมาะสมทางคุณสมบัติ ตัวแปรที่ 5 องค์ประกอบทางด้านเพื่อนร่วมงาน 1) เป็นระเบียบเรียบร้อย/ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย 2) จงรักภักดีต่อสถานที่ทำงาน/ไม่จงรักภักดีต่อสถานที่ทำงานและเพื่อนร่วมงาน 3) สนุกสนานร่าเริง /ดูไม่มีชีวิตชีวา 4) ดูน่าสนใจเอาจริงเอาจัง/ดูเหนื่อยหน่าย สิริอร วิชชาวุธ (2552 : 127-129) ได้กล่าวถึง ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ มีดังนี้ 1. ด้านเกี่ยวกับองค์กร จากผลการวิจัยที่ได้ศึกษาพบว่า ระบบที่ผู้บริหาร รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ความพึงพอใจจะมีต่ำกว่าบุคลากรจะมีความพึงพอใจสูง 2. ด้านเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป พบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจนั้น จะเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องภายในกิจกรรมของงานนั่นเอง ส่วนสาเหตุที่จะก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ จะเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับงานนั้น ๆ มากนัก ทั้งนี้เพราะผลการวิจัยพบว่าสาเหตุที่ทำให้ เกิดความพึงพอใจไม่ใช่ชนิดเดียวกันกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจ 3. ด้านเกี่ยวกับจิตวิทยา สิ่งจูงใจของมนุษย์ในการทำงานให้เกิดผลสำเร็จทั้งในระดับ บุคคลและในระดับสังคมพบว่า สิ่งจูงใจที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ ความต้องการสัมฤทธิ์ผล ซึ่งหมายถึงความปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็จะเกิดความสบายใจอันเป็นแหล่งจูงใจที่จะทำต่อไปอีก
56 เมื่อนำแนวคิดของ สก๊อต (Scott and Terronce. 2004 : 25-26) มาประยุกต์ใช้ กับกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอน มีแนวทางดังนี้ (ประสาท อิศรปรีดา. 2552 : 127) 1. ศึกษาความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน และระดับความสามารถ หรือพัฒนาการตามวัยของผู้เรียน 2. วางแผนการสอนอย่างเป็นกระบวนการและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมและกำหนดเป้าหมาย ในการทำงาน สะท้อนผลงานและการทำงานร่วมกันได้ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2552 : 103-104) กล่าวถึง ทฤษฎีการจูงใจของนักการศึกษาต่าง ๆ ดังนี้ 1. ทฤษฎีการจูงใจ ERG ของ แอลเดอร์เฟอร์ (Alderfer) กล่าวว่า ความต้องการ ของมนุษย์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.1 ความต้องการเพื่อดำรงชีวิต (Existence needs) หรือ E เป็น ความต้องการทางร่างกายและปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต 1.2 ความ ต้องการด้าน ความสัมพั น ธ์ (Relatedess needs) ห รือ R เป็นความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ เช่น สมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน และคนที่ต้องการจะมีความสัมพันธ์ด้วย 1.3 ความต้องการความเจริญก้าวหน้า (Growth needs) หรือ G เป็นความต้องการที่จะพัฒนาตนเองตามศักยภาพสูงสุด 2. ทฤษฎีการจูงใจของ แมคคลีแลนด์ (McCleland) เชื่อว่า ความต้องการ เป็นการเรียนรู้จากการมีประสบการณ์ และมีอิทธิพลต่อการรับรู้สถานการณ์และแรงจูงใจสู่เป้าหมาย โดยแบ่งความต้องการออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 2.1 ความต้องการสัมฤทธิ์ผล (Needs for achievement) เป็นพฤติกรรม ที่จะกระทำการใด ๆ ให้เป็นผลสำเร็จ เป็นแรงขับที่นำไปสู่ความเป็นเลิศ 2.2 ความต้องการสัมพันธ์ (Needs for affiliation) เป็นความปรารถนาที่ จะสร้างมิตรภาพและมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น และต้องการควบคุมผู้อื่น 2.3 ความต้องการอำนาจ (Needs for power) เป็นความต้องการควบคุม ผู้อื่น มีอิทธิพลต่อผู้อื่น และต้องการควบคุมผู้อื่น ทั้งนี้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียน ทำงานที่ได้รับมอบหมาย หรือที่ต้องปฏิบัติให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนจึงต้องคำนึงถึง ความพึงพอใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้หรือ การปฏิบัติงาน มีแนวคิดพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนี้ (ประสาท อิศรปรีดา. 2552 : 129-130)
57 1. ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการ ของผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง 2. ผลของการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจ และผลการปฏิบัติงาน จะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผลการปฏิบัติงานที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่ เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ ผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนอง ในรูปของรางวัลหรือผลตอบแทนซึ่งแบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายใน (Intrinsic rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic rewards) 2.7.3 วิธีการสร้างความพึงพอใจในการเรียน การศึกษาจะมีความสัมพันธ์และความพึงพอใจที่ดีต่อการเรียน ต้องมีการสร้าง ความพอใจในการเรียนตั้งแต่เริ่มต้นให้แก่ผู้เรียน ซึ่งการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายหรือการปฏิบัติให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ซึ่งมีแนวความคิดพื้นฐานที่ต่างกันอยู่ 2 ลักษณะ ดังนี้ (ดวงเดือน อ่อนนุ่ม. 2551 : 52-53) 7.3.1 ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการ ของผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการตอบสนองทัศนะตามแนวคิดดังกล่าว 7.3.2 ผลของการปฏิบัติงานไปสู่ความพึงพอใจ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพึงพอใจ และการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผลของการปฏิบัติงานที่ดีจะนำไปสู่ผลของการตอบ แทนที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปตอบสนองความพึงพอใจในรูปของรางวัลหรือผลตอบแทนภายใน (Intrinsic rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic rewards) โดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับ ความยุติธรรมของผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของการตอบแทนที่ได้รับรู้แล้ว ความพึงพอใจ ย่อมเกิดขึ้น โดยมีนักจิตวิทยาการศึกษาให้แนวคิด คือ สกินเนอร์ (ประภาเพ็ญ สุวรรณ.2553 : 144-145 ; อ้างอิงมากจาก Skinner. 1972 : 1-2) กล่าวไว้ว่า การปรับพฤติกรรมไม่สามารถทำได้ เทคโนโลยีทางกายภาพและชีวภาพ แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีของพฤติกรรม คือ เสรีภาพและความ ภาคภูมิจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของการศึกษา โดยการทำให้มีความเป็นตัวของตัวเอง รับผิดชอบต่อการกระทำ เสรีภาพ คือความเป็นอิสระจากการควบคุมวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยน หรือปรับปรุงรูปแบบใหม่ให้แก่สิ่งแวดล้อมนั้น โดยทำให้อำนาจการควบคุมอ่อนลง จนเกิดความรู้สึก ว่าตนเองมิได้ถูกควบคุมหรือต้องแสดงพฤติกรรมใด ๆ ที่เนื่องมาจากการกระทำที่ควรได้รับการยกย่อง ยอมรับมากเท่าไร จะต้องเป็นการกระทำที่ปลอดปล่อยจากการบังคับหรือสิ่งควบคุมใด ๆ มากเท่านั้น ดังนั้น ความพึงพอใจของนักเรียนในการศึกษาเล่าเรียนจะเกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ
58 เหล่านี้คือ คุณสมบัติของครู วิธีสอน กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียน มีความพึงพอใจ มีความรักและมีความกระตือรือร้นในการเรียน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียน ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน 2.7.4 การวัดความพึงพอใจ หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจกับความพึงพอใจมาก นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมได้สร้าง แบบวัดความพึงพอใจตามนิยามศัพท์เฉพาะและตามจุดมุ่งหมายของการวัด การแบ่งแบบวัด มีหลายลักษณะดังนี้ (ประภาเพ็ญ สุวรรณ. 2553 : 146-148) 7.4.1 การแบ่งแบบวัดตามประเภทลักษณะข้อมูลหรือคำถามออก แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) แบบสำรวจปรนัย เป็นแบบวัดที่มีคำถามและคำตอบใช้เลือกตอบ โดยที่ผู้ตอบ ตอบตามที่ตนเองมีความคิดเห็นและความรู้สึกเป็นข้อมูลที่มีการวิเคราะห์ด้วยเชิงปริมาณ 2) แบบสำรวจเชิงพรรณนา เป็นแบบสอบถามที่ผู้ตอบตอบด้วยคำพูดและข้อเขียน ของตนเอง เป็นแบบสัมภาษณ์หรือคำถามปลายเปิดใช้ผู้ตอบโดยอิสระเป็นข้อมูลที่ได้ในเชิงคุณภาพ 7.4.2 การแบ่งแบบวัดตามคุณลักษณะของงาน แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) แบบวัดความพึงพอใจงานโดยทั่วไป เป็นแบบวัดที่วัดความพึงพอใจของบุคคล ที่มีความสุขอยู่กับงานโดยส่วนรวม ตัวอย่างแบบวัดชนิดนี้ได้แก่แบบวัดของแฮคแมนและโอดแฮม (ประภาเพ็ญ สุวรรณ. 2553 : 147 ; อ้างอิงมาจาก Hackman and Oldham. 1975 : 142-143) ซึ่งมีข้อคำถามเพียง 5 ข้อ เป็นลักษณะแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า มีข้อ 2 และข้อ 5 เป็นคำถามนิเสธ 2) แบบวัดความพึงพอใจเฉพาะเกี่ยวกับงานของแบบสอบวัดนี้เป็นการวัด ความพึงพอใจในแต่ละด้าน ตัวอย่างแบบวัดชนิดนี้ ได้แก่ แบบวัดของแฮคแมน และโอลแฮม แบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า มีข้อความคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจในการทำงาน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านรายได้ ความมั่นคงในงาน มิตรสัมพันธ์ ผู้บังคับบัญชาและความก้าวหน้า นอกจากนี้ วีระ ตันตระกูลและคนอื่น ๆ (2554 : 177-178) ได้เสนอแนะวิธีการวัด ความพึงพอใจ ซึ่งมีหลายวิธีคือ 1. การใช้แบบสอบถามหรือแบบวัด ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมมากที่สุด เพราะสะดวก และผู้ตอบสามารถพิจารณาละเอียดก่อนตอบซึ่งจะทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกและทัศนคติ ที่ตรงกับความจริงมากที่สุด โดยการขอร้องหรือขอความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลที่ต้องการวัด แสดงความคิดเห็นลงในแบบฟอร์มที่กำหนดคำตอบไว้ให้หรือคำตอบอิสระ โดยคำถามที่ถามอาจถาม ถึงความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้กระทำไปแล้ว
59 2. การสัมภาษณ์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ทราบถึงระดับความพอใจของผู้เรียนซึ่งเป็นวิธี ที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบคำถามได้ ตรงกับข้อเท็จจริง การวัดความพึงพอใจด้วยวิธีการสัมภาษณ์นับเป็นวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ มากอีกวิธีหนึ่ง 3. การสังเกต เป็นวิธีการที่จะทำให้ทราบถึงระดับความพึงพอใจของผู้เรียนได้โดยสังเกต จากพฤติกรรมทั้งก่อนเรียน ขณะเรียน และหลังเรียน เช่น การสังเกตกิริยา ท่าทางการตอบคำถาม สีหน้า การแสดงความดีใจ เป็นต้น โดยวิธีนี้ผู้วัดจะต้องกระทำอย่างมีแบบแผนและชัดเจน จึงจะสามารถประเมินถึงระดับความพึงพอใจของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้จากหลักการและแนวคิดพื้นฐานดังกล่าว เมื่อนำมาปรับใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน ครูผู้สอนจึงต้องมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรม วิธีการ สื่ออุปกรณ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้เพื่อตอบสนอง ความพึงพอใจให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน จนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง โดยให้ผู้เรียนได้รับผลตอบแทนจากการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะผลตอบแทนภายใน หรือรางวัล ภายในที่เป็นความรู้สึกของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกถึงความสำเร็จของตนเมื่อสามารถเอาชนะ ความยุ่งยากต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความมั่นใจ โดยครูควรเสริมแรงภายนอกตัวนักเรียน เช่น คำชมเชย หรือการให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับที่น่าพึงพอใจ ดังนั้น ความพึงพอใจ ในการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์กันในทางบวก คือ เมื่อเกิดความพึงพอใจ จะเกิดสิ่งที่ดี ต่อการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่ดีหรือที่น่าพอใจ ทำให้เกิดความพึงพอใจ กิจกรรมที่จัดจึงควรคำนึง ถึงองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ (วีระ ตันตระกูล และคนอื่น ๆ. 2554 : 179) สรุปได้ว่า ความพึงพอใจต่อการเรียนมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งหากผู้เรียน ได้รับการตอบสนองตามความต้องการทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ก็จะส่งผลต่อความสามารถใน การเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ครูผู้สอนสามารถนำเอาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ถ้านักเรียนมีส่วนในการเลือกเรียนตามความสนใจ และมีโอกาส ร่วมกันตั้งจุดประสงค์หรือความมุ่งหมายในการทำกิจกรรมได้เลือกวิธีแสวงหาความรู้ด้วยวิธีที่เรียน ถนัด และสามารถค้นหาคำตอบได้ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความมั่นคง ตลอดจนได้รับการยกย่อง จากบุคคลอื่น ส่วนผลตอบแทนภายนอกเป็นรางวัลที่ผู้อื่นจัดหาให้มากกว่าที่ตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับการยกย่องชมเชยจากครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครองหรือแม้แต่การได้คะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจและผล การปฏิบัติงานหรือการเรียนรู้ย่อมมีประสิทธิภาพ
60 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กนกวรรณ ทับสีรัก (2558) ได้พัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึก ทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมภาษา ประกอบแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 70/70 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลเรียนรู้เรียนรู้พัฒนาการอ่านออก เสียงภาษาจีน โดยใช้เกมภาษาประกอบแบบฝึกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3)เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมประกอบแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 4)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกม ประกอบแบบฝึก กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนสตรีศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (1) แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้านการอ่านออกเสียงโดยใช้เกม (2) แบบฝึกทักษะด้านการอ่านออกเสียงโดยใช้ เกมจำนวน 5 ชุด (3)แบบวัดความสามารถด้านการอ่านออกเสียง จำนวน 30 ข้อ (4) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ ที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test (Dependent samples) ผลการพัฒนาการพัฒนาการอ่าน ออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ดังนี้ 1. การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E/2 ) 87.78/87.59 สูงกว่าเกณ ฑ์ที่ตั้งไว้ 70/70 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.7970 หรือร้อยละ 79.70 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถด้านการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกม ประกอบแบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกม ประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 4.25, S.D.= 0.54) ปริญญา ทองสอน (2553) ได้พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐานสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีน ขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนก่อนและหลังเรียน และศึกษาเจตคติของนักเรียน
61 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4/3 โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ”มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพชุดกิจกรรมคือ แบบฝึกหัดท้ายชุดกิจกรรม แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและแบบวัดเจตคติต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิ ภาพ 87.50 /86.76 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม การเรียน ภ าษ าจีน ห ลังเรียน สูงกว่าก่อน เรียน อย่างมี นั ยสำคัญ ท างสถิติที่ ระดับ .05 3. นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีน มีเจตคติต่อการใช้ชุดกิจกรรม การเรียนภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในระดับมาก วรวุฒิ บ่อคำ (2555) ได้พัฒนาแบบฝึกทักษะการคำนวณโจทย์ฟิสิกส์แก้ปัญหาตามวิธี ของโพลยา รายวิชาฟิสิกส์ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวตรง ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างแบบฝึกทักษะ คำนวณโจทย์ฟิสิกส์ ตามวิธีของโพลยา วิชาฟิสิกส์ 1 เรื่องการเคลื่อนที่ในแนวตรงที่มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวตรงโดยใช้ แบบฝึกทักษะคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ ตามวิธีของโพลยา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การใช้แบบฝึกทักษะคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ตามวิธีของโพลยาวิชาฟิสิกส์ 1 เรื่องการเคลื่อนที่ในแนวตรง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม จังหวัดขอนแก่น จำนวน 54 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะคำนวณโจทย์ ฟิสิกส์ ตามวิธีของโพลยา วิชาฟิสิกส์ 1 เรื่องการเคลื่อนที่ในแนวตรง 8 ชุด 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ตามวิธีของโพลยา วิชาฟิสิกส์ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวตรง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบสมมุติฐานใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการศึกษา พบว่า แบบฝึกทักษะคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ ตามวิธีของโพลยา วิชาฟิสิกส์ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวตรงที่สร้างขึ้นใช้จัดการเรียนการสอนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.45/83.13 ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนการสอนสูงกว่า
62 การจัดการเรียนการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ตามวิธีของโพลยา วิชาฟิสิกส์ 1 เรื่องการเคลื่อนที่ในแนวตรงมี ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน ได้ค่าเฉลี่ยรวม 4.94 อยู่ในระดับมากที่สุด กวินชิดา ถือสมบัติ (2555) ที่ได้ทำการพัฒนาชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง วิชาฟิสิกส์ 3 (ว 32203) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนา ชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง วิชาฟิสิกส์ 3 (ว 32203) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วย ชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) ศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดแบบฝึกวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 กลุ่มตัวอยางที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านแทนวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2555 จํานวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 3 (ว32203) เรื่อง คลื่นเสียง และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดแบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)และร้อยละ (Percentage) วิเคราะห์หาค่า ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบที (t-test Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดแบบฝึกทักษะการแกโจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียงชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ที่ผู้รายงานพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กล่าวคือ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.56/81.34 ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนการสอนชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจ ของผู้เรียนที่มีตอการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องคลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมนักเรียน มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก วรัญชนก อุ่มสกุล (2552,หน้า 71) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความภาษาไทย โดยใช้สื่อท้องถิ่นพิษณุ โลก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุดทุกด้าน X = ( 4.48) แล ะผ ล การห าป ระสิท ธิภ าพ ขอ งแ บ บ ฝึก มี ป ระสิ ท ธิภ าพ 78.05/ 81/ 67 2) ผลการทดลองใช้แบบฝึกการอ่านจับใจความภาษาไทยโดยใช้สื่อท้องถิ่นพิษณุโลก นักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
63 3) ผลการประเมินความพึงพอใจนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่าน จับใจความภาษาไทย โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมาก ( X = 4.02) จิราภรณ์ ธรรมลังกา. (2558) ได้พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ และอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่องลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาเป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนตากพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 38 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 31 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การพัฒนาประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ ค ณิ ต ศ าส ต ร์ ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ าปี ที่ 5 จำน ว น 5 เล่ ม 2) แ บ บ ท ด ส อ บ วัด ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ 3) แบบวัด ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ จำน ว น 10 ข้ อ ส ถิ ติ ที่ ใช้ ใน ก ารวิเค ราะห์ ข้ อ มู ล ได้ แ ก่ ค่ าเฉ ลี่ ย ค่าส่ ว น เบี่ ย งเบ น มาตรฐาน ค่าร้อยละและการทดสอบแบบที(t-test) ผลการพัฒนานักเรียนนั้นพบได้ว่า 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 5 เล่ม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.89/75.73 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ และอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 5 เล่ม สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ และอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จาง หญิ งหญิ ง (2559) ได้พั ฒ นาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภ าษาไท ย สำหรับนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกด คำภาษาไทย สำหรับนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำภาษาไทยของนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 ก่อนและหลัง
64 การเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย และ 3) ศึกษาความคิดเห็น ของนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากจีนชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 31 คนได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ภาษาไทยสำหรับนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 จำนวน 6 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนสะกดคำ ภาษาไทย 6 แผน 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำภาษาไทยซึ่งเป็นแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 3 ที่มี ต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย(X) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย สามารถหา ประสิทธิภาพได้ 81.30/82.04 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ พบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของนักศึกษาจีน ชั้นปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วยการใช้แบบฝึก ทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยพบว่า โดยภาพรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก แม็คพีค (McPeake, 2001, p. 1799-A) ได้ทําการวิจัยในเรื่องผลการเรียนจากแบบฝึก อย่างเป็นระบบเพศของนักเรียนส่งผลต่อความสามารถในการอ่านและสะกดคำ ผลการวิจัยพบว่า การใช้แบบฝึกมีส่วนช่วยส่งเสริมความสามารถด้านการอ่าน การสะกดคำของนักเรียนทุกกลุ่มนักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ในการสะกดคำสูงขึ้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนัก เรียนหญิงสูงกวนักเรียนชาย นอกจากนั้น ยังพบว่าการอ่านยังมีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการสะกดคำของนักเรียน แรงจูงใจในการอ่าน จากเอกสารและงานวิจัยดังกล่าว ผู้รายงานจึงสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551 เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนและศึกษาประสิทธิภาพ การสอน จะเห็นว่าแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และยังสามารถใช้สอนแทนการสอนปกติได้ เป็นการประหยัดเวลา แก้ปัญหาเรื่องครูผู้สอน ช่วยผ่อนแรงครู ช่วยให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้รายงาน เห็นความสำคัญดังกล่าวจึงสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่าน
65 ภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มาใช้กับนักเรียนพร้อมทั้งปรับปรุงและเผยแพร่ ให้โรงเรียนได้ใช้สื่อที่มีคุณภาพต่อไป กรอบแนวคิดในการศึกษา ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบ แ บ บ ฝึ ก ทั ก ษ ะ ก าร อ่ าน ภ าษ าจี น วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ การอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาจีน3 สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ แ บ บ ฝึ ก ทั ก ษ ะ ก ารอ่ าน ภ าษ าจี น เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
บทที่ 3 วิธีดำเนินการ รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี ผู้รายงานดำเนินการตามลำดับดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2. แบบแผนการศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 5. การหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 6. วิธีดำเนินการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 2. เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลเรียนรู้การอ่านภาษาจีน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน รายวิชาภาษาจีน3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาจีน รายวิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบแผนการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดี่ยว โดยการวัดผลก่อนและหลัง การทดลอง (One Group Pretest – Posttest Design)
59 O1 X O2 O1 หมายถึง การวัดผลก่อนการทดลองใช้แบบฝึกทักษะ X หมายถึง การทดลองใช้แบบฝึกทักษะ O2 หมายถึง การวัดผลหลังการทดลองใช้แบบฝึกทักษะ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 จำนวน 6 เล่ม 2. แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 6 แผน 24 ชั่วโมง 3. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนแต่ละเรื่องเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 6 ชุด 4. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน จำนวน 1 ชุด การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้รายงานได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือ ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะ 1.1 ศึกษาสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาษาจีน3 1.2 ศึกษาคู่มือครู และแนวการสอนในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.3 วิเคราะห์เนื้อหาในหลักสูตร เพื่อจัดทำโครงสร้างการเรียนรู้รายสัปดาห์ เนื้อหา ความรู้ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1.4 ศึกษาทฤษฎี วิธีการและรูปแบบการสร้างแบบประเมินแบบฝึกทักษะ 1.5 กำหนดจุดประสงค์องค์ประกอบ และประเด็นคำถามที่จะใช้ในแบบประเมินแบบฝึก ทักษะ 1.6 ดำเนินการออกแบบและจัดทำแบบฝึกทักษะ ให้ครอบคลุมทุกเนื้อหา และตรงตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยแบ่งแบบฝึก ทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ออกเป็น 6 เล่ม ดังนี้
60 เล่มที่ 1 เรื่อง หรรษาวัน เดือน ปี เล่มที่ 2 เรื่อง พาทีเรื่องทิศทาง เล่มที่ 3 เรื่อง รู้กว้างเรื่องอาหาร เล่มที่ 4 เรื่อง เบิกบานการช้อปปิ้ง เล่มที่ 5 เรื่อง รู้จริงเรื่องคมนาคม เล่มที่ 6 เรื่อง เปิดปมเทศกาลตรุษจีน 2.7 กำหนดรูปแบบและขั้นตอน รวมถึงรายละเอียดของแบบฝึกทักษะให้มีรูปแบบ หลากหลาย มีคำอธิบายที่ชัดเจนให้นักเรียนสามารถปฏิบัติตามได้ถูกต้องและจัดทำคู่มือการใช้ แบบฝึกทักษะ ประกอบด้วย คำชี้แจงการใช้แบบทดสอบก่อนเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้สาระสำคัญ ใบความรู้ แบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบหลังเรียน ให้ความสัมพันธ์ กับเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วย สำหรับนักเรียนและแนวทางเฉลยคำตอบของแบบ ประเมินผล โดยจัดทำคู่มือการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้แบบฝึกทักษะ 2.8 จัดทำแบบประเมินแบบฝึกทักษะและนำไปขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวัดผลและประเมินผล (รายชื่อผู้เชี่ยวชาญแสดงไว้ในภาคผนวก) เพื่อหาความตรงและความ เชื่อมั่นของแบบประเมินแบบฝึกทักษะ โดยวิเคราะห์ความตรง ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) นำตารางวิเคราะห์ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่า ดัชนีความสอดคล้อง 2.9 จัดทำแบบฝึกทักษะและนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาโดยใช้แบบประเมิน ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเหมาะสมแล้ว ไปใช้ประเมินระดับความเหมาะสมของแบบฝึก ทักษะทั้งฉบับ และวิเคราะห์จำแนกเป็นรายด้าน โดยใช้แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด แบบประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) ของแบบฝึก ทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ มี 5 ด้าน 17 ข้อ มีรายการดังนี้ 1. ด้านคำชี้แจงการใช้แบบฝึกทักษะ 1.1 สื่อความหมายชัดเจน 1.2 บอกรายละเอียดของเนื้อหาได้ครอบคลุม 1.3 บอกลำดับขั้นตอนการใช้ชัดเจน 2. ด้านเนื้อหา 2.1 เนื้อหามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2 เนื้อหามีความชัดเจนเข้าใจง่าย
61 2.3 เนื้อหาเหมาะสมกับวัย 2.4 เนื้อหาเป็นไปตามลำดับขั้นการเรียนรู้ง่ายไปยาก 2.5 เนื้อหาส่งเสริมทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ 3. ด้านภาษา 3.1 ความถูกต้องของการใช้ภาษา 3.2 ภาษาเข้าใจง่ายเหมาะสมกับวัย 3.3 ตัวอักษรอ่านง่าย ชัดเจน 4. ด้านรูปเล่ม 4.1 ขนาดรูปเล่มมีความเหมาะสม 4.2 ภาพที่นำมาประกอบเหมาะสม 5. ด้านการนำไปใช้ 5.1 กำหนดขั้นตอนการใช้แบบฝึกชัดเจน 5.2 มีการนำความรู้และตัวอย่างประกอบการนำไปใช้ 5.3 มีการวัดผลประเมินผลเหมาะสมกับเนื้อหา 5.4 มีการวัดผลและประเมินผลสอดคล้องกับสภาพจริง แบบประเมินความเหมาะสมมี 7 ด้าน 31 ข้อ เป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มีรายการ ดังนี้ 1. ความสอดคล้องของเนื้อหาและวัตถุประสงค์การจัดทำแบบฝึกทักษะ จำนวน 3 ข้อ 1.1 ความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะกับวัตถุประสงค์ในการจัดทำแบบฝึกทักษะ 1.2 ความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะกับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ปฏิบัติจริง 1.3 ความสอดคล้องของเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการจัดทำแบบฝึกทักษะ 2. ความชัดเจนของเนื้อหาในแบบฝึกทักษะ จำนวน 7 ข้อ 2.1 เนื้อหาตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 เนื้อหาครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ทุกขั้นตอน 2.3 เนื้อหามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.4 เนื้อหาให้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น 2.5 เนื้อหาอ่านแล้วเข้าใจง่าย 2.6 เนื้อหามีความทันสมัยและเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 2.7 เนื้อหาสามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ 3. ความเหมาะสมของเนื้อหาความรู้ และแบบทดสอบในแบบฝึกทักษะ
62 3.1 เนื้อหาความรู้ในแบบฝึกทักษะ มีองค์ประกอบครบถ้วน สมบูรณ์ (หัวเรื่อง คำชี้แจง จุดประสงค์การเรียนรู้) 3.2 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนในแบบฝึกทักษะ มีความสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาที่จัดทำ 3.3 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนในแบบฝึกทักษะน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียน ปฏิบัติ กิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 3.4 กิจกรรมในแบบฝึกทักษะเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก 3.5 กิจกรรมมีคำชี้แจงและสามารถปฏิบัติได้จริง 4. ความเหมาะสมของการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้จำนวน 3 ข้อ 4.1 มีการวัดผลการเรียนรู้ ครบทั้ง 3 ด้าน พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย 4.2 มีเครื่องมือที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ครบทั้ง 3 ด้าน (พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย ) 4.3 มีเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง 5. การใช้ภาษา จำนวน 3 ข้อ 5.1 ภาษาที่ใช้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา 5.2 ภาษาที่ใช้อ่านแล้วเข้าใจง่าย 5.3 ภาษาที่ใช้สละสลวยเหมาะสมกับเนื้อหาและวัยของนักเรียน 6. การพิมพ์ภาพและรูปเล่ม จำนวน 5 ข้อ 6.1 แบบฝึกทักษะจัดพิมพ์ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการ 6.2 ตัวอักษรชัดเจน เหมาะสมกับนักเรียน 6.3 การพิมพ์ เว้นวรรคตอนได้ถูกต้อง ไม่ผิด ไม่ตก ไม่มีรอยขูดลบขีดฆ่า 6.4 การจัดทำรูปเล่ม สวยงาม 6.5 รูปเล่มมีขนาดพอเหมาะแก่การนำไปใช้ได้จริง 7. ความสะดวกในการนำแบบฝึกทักษะไปใช้ในการสอน จำนวน 5 ข้อ 7.1 แบบฝึกทักษะสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่างสะดวก 7.2 แบบฝึกทักษะนำไปใช้ได้อย่างประหยัดและ เกิดประโยชน์คุ้มค่า 7.3 แบบฝึกทักษะนำไปใช้ได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน 7.4 แบบฝึกทักษะนำไปใช้ได้รวดเร็วไม่เสียเวลาจัดเตรียม 7.5 แบบฝึกทักษะนำไปใช้พัฒนานักเรียนได้จริง 2.10 นำแบบฝึกทักษะที่ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว ผู้รายงานนำผล การประเมินมาวิเคราะห์ โดยนำคะแนนของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสรุปข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และทำการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
63 และจัดสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 สำหรับนำไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพต่อไป การทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึก ทักษะ ผู้รายงานดำเนินการ ดังนี้ 1) ทดลองแบบรายบุคคล (1 : 1) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ปาก เกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปี 2566 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เคยเรียนมาแล้วจำนวน 3 คน เพื่อ หาข้อบกพร่องแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข กลุ่มทดลองใช้ได้มาโดยเลือกจากนักเรียนที่มีระดับผลการ เรียนสูง ปานกลางและต่ำ ระดับละ 1 คน ข้อบกพร่องที่พบ คือ ภาษาที่ใช้ในบางเนื้อหาผู้เรียนเข้าใจยาก ตัวอักษรเล็กเกินไป ควรเน้นข้อความที่สำคัญให้เด่นไปจากข้อความอื่น ตัวหนังสือตกหล่นทำให้ผู้เรียนต้องคอยถามอยู่ เสมอและภาพประกอบเล็กไม่ค่อยชัดเจน ผู้รายงานจึงนำข้อบกพร่องเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไข 2) ทดลองแบบกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปี 2566 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ที่เคยเรียน เนื้อหามาแล้ว จำนวน 9 คน ที่ได้มาโดยการเลือกเป็นเด็กเก่ง ปานกลางและอ่อน กลุ่มละ 3 คน มี การทดสอบก่อนเรียนแล้วให้นักเรียน เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เมื่อจบเนื้อหาในแต่ละเรื่องให้ นักเรียนทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน ปฏิบัติเช่นนี้จนครบเนื้อหาที่กำหนด จึงทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) จากนั้นนำผลมาคำนวณหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ โดยใช้เกณฑ์ 80/80 นอกจากนั้นยังสังเกตปฏิกิริยาของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะ สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ งานและข้อบกพร่องแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อบกพร่อง ผู้วิจัยได้ทำการแก้ไขปรับปรุง ข้อบกพร่องของแบบฝึกทักษะ ดังนี้ (1) ควรใส่ภาพการ์ตูนให้มีความเร้าใจมากขึ้นในช่วงแรก (2) ควรมีคำชี้แจงการใช้แบบฝึกทักษะ เพื่ออธิบายการใช้ สำหรับนักเรียน หรือผู้ที่ต้องการศึกษาจากการทดลองครั้งนี้ปรากฏว่า นักเรียนสามารถเรียนจากแบบฝึกทักษะได้อย่าง ต่อเนื่อง 3) การทดลองภาคสนาม (Field Testing) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปี 2565 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เคยเรียนมาแล้ว รวม ทั้งหมด 39 คน โดยทดสอบก่อนเรียน แล้วให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เมื่อจบเนื้อหาในแต่ละเรื่องให้ นักเรียน ทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน ปฏิบัติเช่นนี้จนครบเนื้อหาที่กำหนด จึงทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) จากนั้น นำผลมาคำนวณหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการ อ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เกณฑ์ 80/80 สอบถามความคิดเห็น
64 เกี่ยวกับการใช้งานและข้อบกพร่องของแบบฝึกทักษะเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขเพื่อใช้ กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.1ศึกษาหลักสูตร สาระ มาตรฐาน และตัวชี้วัดการเรียนรู้ วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 คู่มือครูในหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อใช้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 2.2 ศึกษาทฤษฎี วิธีการและรูปแบบการสร้างแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา กิจกรรม สื่อ การวัดและประเมินผลในแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน 2.4 กำหนดจุดประสงค์องค์ประกอบ และประเด็นคำถามที่จะใช้ในแบบประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ 2.5 จัดทำแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ และนำแบบประเมินแผนการจัด การเรียนรู้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและประเมินผล จำนวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรง โดยวิเคราะห์ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) นำตาราง วิเคราะห์ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง และความเชื่อมั่นของแบบ ประเมิน ที่ระดับ = 0.05 รวมทั้งข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ มีจำนวน 10 ข้อ เป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก(4) ปานกลาง(3) น้อย(2) และน้อยที่สุด(1) ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีรายละเอียดครบถ้วนตามหัวข้อที่กำหนด 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ชัดเจนและสามารถวัดผลได้จริง 3) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ มีการผสมผสานเชื่อมโยง ความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย 4) กิจกรรมการเรียนรู้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 5) ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่หลากหลาย 6) กิจกรรมที่จัดมีการเชื่อมโยงประสบการณ์ของผู้เรียนกับชีวิตจริง 7) มีการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย 8) ผู้เรียนมีการปฏิบัติงานที่เกิดจากการเรียนรู้ 9) มีการประเมินตามสภาพที่แท้จริงและวัดได้ 10) มีเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน
65 2.6 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาโดยใช้ แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงระดับความเหมาะสม ความถูกต้อง และความครบถ้วนสมบูรณ์โดยใช้แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก(4) ปานกลาง(3) น้อย(2) และน้อยที่สุด(1) 2.7 ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์ เพื่อใช้ประกอบแบบฝึกทักษะ 3. แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน จัดทำขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจากเนื้อหา ความรู้ มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 3.1 ศึกษาหลักสูตร สาระ มาตรฐานและตัวชี้วัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 คู่มือครู ในหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรสถานศึกษาและศึกษาจากจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมจากเนื้อหาในใบความรู้ 3.2 ศึกษาหลักการและทฤษฎีการสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3.3 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้ครอบคลุมเนื้อหาในแต่ละหน่วย 3.4 เสนอเนื้อหาแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน ต่อผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องด้านภาษาและด้านความตรงของเนื้อหา (Content Validity) และนำ ข้อมูลความคิดเห็นมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ (Index of Items Objective Congruence : IOC) โดยกำหนดค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ข้อใดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ นำไปปรับปรุง และพัฒนา 3.5 นำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว ไปใช้จริงกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26 คน 4. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจากเนื้อหาความรู้แต่ละเรื่อง ในแบบฝึกทักษะ มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 4.1 ศึกษาหลักสูตร สาระ มาตรฐาน และตัวชี้วัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาจีน 2 และคู่มือครูในหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษา และศึกษาจากจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจากเนื้อหา เรื่องที่ 1 ถึงเรื่องที่ 6 4.2 ศึกษาหลักการและทฤษฎีการสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ
66 4.3 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ ในเรื่องที่ 1 ถึง เรื่องที่ 6 ให้ครอบคลุม เนื้อหาในแต่ละเรื่อง แล้วคัดเลือกประเด็นข้อคำถามจากแบบทดสอบหลังเรียนที่มีความตรงสูง มาใช้ในการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4.4 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนทั้ง 2 ฉบับ เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ จากจำนวนข้อสอบที่สร้างจริง 40 ข้อ แบบประเมินของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนทุกข้อ ครอบคลุมเนื้อหาตามที่กำหนดไว้ในหน่วยการเรียนทั้ง 6 เรื่อง 4.5 นำแบบประเมิน ที่ปรับปรุงและพัฒนาแล้ว ไปทดลองใช้(Try out) กับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 (ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง) ที่เคยเรียนมาแล้ว จำนวน 38 คน นำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) เกณฑ์ความยากของข้อสอบ กำหนดไว้ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 และค่าอำนาจจำแนก (r) เกณฑ์อำนาจจำแนกของข้อสอบกำหนดไว้ 0.20 ขึ้นไป (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2548 : 129 - 130) เพื่อหาค่าความยากง่าย ค่าอำนาจ จำแนก และ ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินผลการเรียนรู้ท้ายบทเรียนทีละข้อ โดยตั้งเกณฑ์ค่าความยาก ง่าย ค่าอำนาจจำแนก ต้องมีค่าระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 โดยแบบทดสอบมีค่าความยากง่าย(p) มีค่าระหว่าง 0.36 - 0.80 และค่าอำนาจจำแนก(r) มีค่าระหว่าง 0.20 - 0.53 4.6 นำแบบประเมินที่ปรับปรุงและพัฒนาแล้ว ไปหาความเชื่อมั่นแบบทดสอบ ทั้งสองชุด โดยใช้สูตร KR 20 ของ คูเดอร์ ริดชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) เกณฑ์การหาความ เชื่อมั่นของข้อสอบกำหนดไว้.80 ขึ้นไป (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2548 : 193 - 195) โดยแบบทดสอบมีความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.88 4.7 นำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านเกณฑ์แล้วไปใช้จริงกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 42คน 5. แบบประเมินความพึงพอใจนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ 5.1 ศึกษาเอกสารการจัดทำแบบสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกรอบการสร้างประเด็นคำถามในการการจัดกิจกรรมในแบบฝึกทักษะ 5.2 จัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะซึ่งเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วยความคิดเห็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ เห็นด้วยมากที่สุด(5) เห็นด้วยมาก(4) เห็นด้วย ปานกลาง(3) เห็นด้วยน้อย(2) และเห็นด้วยน้อยที่สุด(1) โดยมีประเด็นคำถาม 4 ด้าน 10 ข้อ ดังนี้ ด้านการออกแบบ 1. รูปแบบ ขนาดตัวอักษรอ่านง่ายชัดเจน 2. รูปภาพประกอบในแบบฝึกทักษะเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหา
67 ด้านเนื้อหา 3. เนื้อหาในใบความรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับความสามารถ 4. คำอธิบายและคำสั่งของแบบฝึกทักษะมีความชัดเจนเข้าใจง่าย 5. ปริมาณของเนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสมกับเวลาเรียน ด้านกิจกรรม 6. กิจกรรมในแบบฝึกทักษะมีความหลากหลายน่าสนใจและสร้าง แรงจูงใจในการเรียนรู้ 7.สื่อรูปภาพประกอบเนื้อหาให้นักเรียนเรียนเข้าใจบทเรียนดีขึ้น 8. กิจกรรมในแบบฝึกทักษะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ ด้านประโยชน์ 9. แบบฝึกทักษะทำให้ขั้นตอนในการเรียนง่ายและสะดวกขึ้น 10. แบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียน ปฏิบัติงานได้ตามความสามารถของตน 5.3 นำแบบประเมินความพึงพอใจไปขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการวัด และประเมินผล จำนวน 5 คน เพื่อหาความตรงเชิงเนื้อหา แล้วนำไปปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ 5.4 นำแบบประเมินความพึงพอใจไปขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง เพื่อหาค่า ความเหมาะสมของแบบประเมินและความเชื่อมั่นของแบบประเมิน 5.5 นำแบบประเมินความพึงพอใจไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาระดับ ค ว า ม พึ ง พ อ ใจ ข อ ง นั ก เรี ย น ที่ มี ต่อ ก า ร ส อ น โด ย ใช้แ บ บ ฝึ ก ทั ก ษ ะโด ย ก ำ ห น ด เป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก(4) ปานกลาง(3) น้อย(2) และน้อยที่สุด(1) การหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบฝึกทักษะ 7 ด้าน วิเคราะห์หาคุณภาพความตรงเชิงเนื้อหาของแบบฝึกทักษะโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง และวิเคราะห์หาคุณภาพความเหมาะสม ของแบบประเมินแบบฝึกทักษะและแบบฝึกทักษะโดยใช้มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก (4) ปานกลาง (3) น้อย (2) และน้อยที่สุด(1) พร้อมทั้งปรับปรุงตามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ผลการตรวจสอบความตรงของแบบประเมินแบบฝึกทักษะตามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ มีค่าความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกด้านทุกรายการ
68 ผลการประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะทั้งฉบับทุกด้าน มีความเหมาะสมใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.47 จำแนกเป็นรายด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ความสอดคล้องของเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในการจัดทำแบบฝึกทักษะ มีระดับความเหมาะสมในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.00 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.71 ด้านที่ 2 ความชัดเจนของเนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีระดับความเหมาะสม ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.40 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 ด้านที่ 3 ความเหมาะสมของ เนื้อหาความรู้ และแบบทดสอบในแบบฝึกทักษะ มีระดับความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.32 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.62 ด้านที่ 4 ความเหมาะสมของการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้มีระดับความ เหมาะสมในระดับมาก ที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.80 และมีค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 0.45 ด้านที่ 5 การใช้ภาษามีระดับความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.20 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.45 ด้านที่ 6 การพิมพ์ภาพและรูปเล่มมีระดับความเหมาะสมในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.12 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.43 ด้านที่ 7 ความสะดวกในการนำแบบฝึกทักษะไปใช้ในการสอน มีระดับ ความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.48และมีค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.49 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เคยเรียนวิชานี้ ไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง พบว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ ดังนี้ ประสิทธิภาพ แบบรายบุคคล ทดลองใช้กับนักเรียนซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 3 คน ที่มีผลการเรียน ต่ำ 1 คน ปานกลาง 1คน และสูง 1 คน แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 56.19/60.00 จึงนำไปปรับปรุงและพัฒนา ประสิทธิภาพ แบบกลุ่มย่อย ทดลองใช้กับนักเรียนซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 9 คน ที่มีผลการเรียน ต่ำ 3 คน ปานกลาง 3คน และสูง 3 คน แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 63.02/63.33 จึง นำไปปรับปรุงและพัฒนา
69 ประสิทธิภาพ แบบภาคสนาม ทดลองใช้กับนักเรียนซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ที่แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 85.19/ 81.14 จึงนำไปปรับปรุงและพัฒนา 2. วิเคราะห์หาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์หาคุณภาพความตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) นำตารางวิเคราะห์ ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง และวิเคราะห์หาคุณภาพความเหมาะสม ของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด พร้อมทั้งปรับปรุงตามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 0.96 และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 0.8432 ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.33 3. วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบท้ายบทเรียน แบบทดสอบท้ายบทเรียนมีจำนวน 6 เรื่อง แต่ละเรื่องมีค่าความตรง รวมทุกเรื่อง ดังนี้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) ทุกฉบับ มีค่าระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 4. วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ครอบคลุมเนื้อหาในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนและหลังเรียนตรงตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละเรื่อง ดังนี้ ค่าความยากง่าย(p) มีค่าระหว่าง 0.36 - 0.80 ค่าอำนาจจำแนก(r) มีค่าระหว่าง 0.20 - 0.53 ค่าความเชื่อมั่น(rtt) รวมทุกฉบับ มีค่าเท่ากับ 0.88 5.วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ วิเคราะห์หาความตรงเชิงเนื้อหาโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็น ในการประเมินกับจุดประสงค์การประเมินแต่ละข้อ โดยขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำมา ปรับปรุง ความชัดเจน ความถูกต้องตามหลักเกณฑ์การสร้างแบบประเมินทักษะพิสัย เมื่อปรับปรุง แล้วนำไปขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง เพื่อหาระดับความเหมาะสมของแบบประเมิน ความพึงพอใจ โดยใช้มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก(4) ปานกลาง(3) น้อย (2) และน้อยที่สุด(1) พร้อมทั้งปรับปรุงตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งก่อนนำไปใช้จริง
70 ผลการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบประเมิน พบว่า คุณภาพความตรงของแบบ ประเมินความพึงพอใจ อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ทุกข้อ ได้ค่าความตรง โดยรวมเท่ากับ 0.90 วิธีดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้รายงานดำเนินการเก็บข้อมูล 2 ระยะ ระยะที่ 1 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ หาคุณภาพ ของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ต่อมาดำเนินการหาคุณภาพของแบบทดสอบ และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และขั้นตอนสุดท้าย ในระยะที่ 1 ดำเนินการทดลอง หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ โดยนำแบบฝึกทักษะไปใช้กับกลุ่มทดลอง (Try Out) ซึ่งไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง แบบ 1:1 กับนักเรียนจำนวน 3 คน แบบ 1 : 3 กับนักเรียนจำนวน 9 คน และแบบ 1 : 30 กับนักเรียนจำนวน 26 คน ในระยะที่ 1 ผู้รายงานดำเนินการเก็บข้อมูล ดังนี้ หลังจากได้เครื่องมือที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ครบถ้วนแล้ว ผู้รายงานดำเนินการ เก็บข้อมูลระยะที่ 2 โดยการนำแบบฝึกทักษะไปใช้จริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26 คน ดำเนินการเก็บข้อมูล จากการใช้ ดังนี้ 1. จัดกระบวนการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะ จำนวน 6 แผน 24 ชั่วโมง 2. ก่อนการเรียนรู้ เรื่องที่ 1 ตามแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะให้นักเรียน ทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จำนวน 30 ข้อ (30 คะแนน) เพื่อเก็บไว้เป็นคะแนน ก่อนเรียน เพื่อทราบพื้นฐานความรู้ของนักเรียน 3. ระหว่างการเรียนรู้จากแบบฝึกทักษะ ผู้รายงานได้เก็บข้อมูลจากแบบทดสอบท้ายบทเรียน แต่ละเรื่อง จำนวน 6 เรื่อง เพื่อเก็บไว้เป็นคะแนนระหว่างเรียน (E1 ) 4. หลังการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องที่ 6 แล้ว ให้นักเรียนทำแบบประเมิน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ (30 คะแนน) เพื่อเก็บไว้เป็นคะแนนหลังเรียน (E2 ) และเพื่อทราบผลความก้าวหน้าการเรียนของนักเรียน 5. นำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละหน่วยและแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ 6. นำคะแนนที่ได้จากแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน มาวิเคราะห์หา ความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.)
71 7. หลังจากนักเรียน ได้เรียนรู้เนื้อหาในแบบฝึกทักษะตามแผนการจัดการเรียนรู้แล้วให้ นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เพื่อทราบความคิดเห็น ของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 การหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบประเมินแบบฝึกทักษะ หาค่าสถิติของค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) โดยให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร N R IOC = IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาที่วัด / ความสอดคล้อง เหมาะสมของแบบฝึกทักษะ R หมายถึง คะแนนรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด เกณฑ์ในการประเมิน ค่า IOC กำหนดค่าที่ 0.5 ขึ้นไป 1.2 การหาความเหมาะสมของแบบประเมินแบบฝึกทักษะและความเหมาะสมของแบบฝึก ทักษะ หาค่าสถิติโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) สูตร N X X = เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ยความเหมาะสมของแบบประเมินแบบฝึกทักษะ และแบบฝึกทักษะ X แทน ผลรวมคะแนนความเหมาะสม ทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่แสดงความคิดเห็นด้านความเหมาะสม 1.3 การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)ความเหมาะสมของแบบประเมินเอกสารแบบ ฝึกทักษะและแบบฝึกทักษะ โดยใช้สูตร (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) ดังนี้ สูตร S D N X X N N . . ( ) ( ) = − − 2 2 1
72 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 X แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง 2 ( X ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่แสดงความคิดเห็น เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนของระดับความเหมาะสม ระดับความเหมาะสม ช่วงคะแนน มากที่สุด 4.51-5.00 มาก 3.51-4.50 ปานกลาง 2.51-3.50 น้อย 1.51-2.50 น้อยที่สุด 1.00-1.50 2. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ แผนการจัดการเรียนรู้ 2.1 การหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบประเมินแผนการจัด การเรียนรู้หาค่าสถิติของค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ สูตร N R IOC = IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาที่วัด / ความสอดคล้อง เหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ R หมายถึง คะแนนรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด เกณฑ์ในการประเมิน ค่า IOC กำหนดค่าที่ 0.5 ขึ้นไป 2.2 การหาความเหมาะสมของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ และความเหมาะสม ของแผนการจัดการเรียนรู้ หาค่าสถิติโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) ใช้สูตร ดังนี้
73 สูตร N X X = เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ยความเหมาะสมของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ X แทน ผลรวมคะแนนความเหมาะสมทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่แสดงความคิดเห็นด้านความเหมาะสม 2.3 การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความเหมาะสมของแบบประเมินแผนการจัด การเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ใช้สูตรดังนี้ สูตร S D N X X N N . . ( ) ( ) = − − 2 2 1 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 X แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง 2 ( X ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่แสดงความคิดเห็น เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนของระดับความเหมาะสม ระดับความเหมาะสม ช่วงคะแนน มากที่สุด 4.51-5.00 มาก 3.51-4.50 ปานกลาง 2.51-3.50 น้อย 1.51-2.50 น้อยที่สุด 1.00-1.50 3. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ แบบทดสอบหลังเรียน และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 การหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบหลังเรียน ประจำหน่วยและแบบประเมิน โดยประเมินจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) ดังนี้ สูตร N R IOC =
74 IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ในแบบทดสอบก่อน และหลังเรียน ประจำหน่วย และแบบประเมิน กับเนื้อหาที่วัด R หมายถึง คะแนนรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 3.2 การหาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละเรื่อง และแบบประเมิน โดยใช้สูตรการหาค่าทางสถิติ ดังนี้ สูตร N R P = เมื่อ P แทน ค่าความยากของแบบทดสอบรายข้อ R แทน จำนวนผู้ที่ทำแบบทดสอบข้อนั้นถูก N แทน จำนวนคนทั้งหมด 3.3 อำนาจจำแนก (Discrimination = r)ของแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละเรื่องและแบบ ประเมิน โดยใช้สูตรการหาค่าทางสถิติและประยุกต์ใช้ร่วมกับโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สูตร H H L N R R r − = เมื่อ R H , RL แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำตามลำดับ NH , NL แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำตามลำดับ N แทน จำนวนคนทั้งหมด 3.4 หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละเรื่องและแบบประเมิน โดยใช้สูตร KR 20 ของคูเดอร์ ริดชาร์ดสัน (Kuder Richardson) สำหรับข้อสอบที่ตอบถูกได้1 คะแนน ตอบผิดได้0 คะแนน ใช้สูตร ดังนี้(ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550:131 -134) สูตร rtt = − − 2 t S pq 1 n 1 n rtt แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ n แทน จำนวนข้อสอบทั้งหมด p แทน สัดส่วนของผู้ทำได้ในข้อหนึ่งๆ นั้นคือสัดส่วนของคนทำถูก กับคนเข้าสอบทั้งหมด
75 q แทน สัดส่วนของคนทำผิดในข้อหนึ่งๆ = 1 - p 2 t S แทน คะแนนแปรปรวนของข้อสอบทั้งฉบับ 4.การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือแบบประเมินความพึงพอใจ และระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ 4.1 หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (ดัชนีความสอดคล้อง) และความ เหมาะสม ของแบบประเมินความพึงพอใจ ใช้สูตรดังนี้(ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร N R IOC = IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ในแบบประเมินความ พึงพอใจกับเนื้อหาที่วัด R หมายถึง คะแนนรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 4.2 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนเป็นระดับความคิดเห็นแบบมาตร ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มากที่สุด(5) มาก(4) ปานกลาง (3) น้อย(2) น้อยที่สุด(1) (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร N X X = เมื่อ X แทน คะแนน เฉลี่ยระดับความพึงพอใจของนักเรียน X แทน ผลรวมคะแนน ทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 4.3 การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับความพึงพอใจของนักเรียน ใช้สูตรดังนี้ (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร S D N X X N N . . ( ) ( ) = − − 2 2 1 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 X แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง 2 ( X ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดที่แสดงความคิดเห็น
76 เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนของคุณภาพแบบประเมินความพึงพอใจและระดับ ความพึงพอใจของนักเรียน 1. ดัชนีความสอดคล้องของรายการประเมินแต่ละข้อ ควรมีค่า ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป และความ เหมาะสมควรอยู่ในระดับมากขึ้นไป 2. ระดับผลคะแนนความพึงพอใจของนักเรียน กำหนดเกณฑ์แปลผลคะแนน ดังนี้ ระดับคุณภาพ ช่วงคะแนน มากที่สุด 4.51-5.00 มาก 3.51-4.50 ปานกลาง 2.51-3.50 น้อย 1.51-2.50 น้อยที่สุด 1.00-1.50 6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ โดยใช้สูตร E1/E2หาค่าทางสถิติดังนี้ (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร E1 = 100 A N X E2 = 100 B N Y เมื่อ E1 แทน คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคนระหว่างเรียนทดสอบ โดยใช้ใบงาน แบบประเมิน และแบบทดสอบหลังเรียน ในแบบฝึกทักษะ (ประสิทธิภาพกระบวนการ) เมื่อ E2 แทน คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคนหลังเรียนทดสอบ โดยใช้แบบประเมิน(ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน) ในแบบฝึกทักษะ (ประสิทธิภาพผลลัพธ์) X แทน คะแนนรวมของนักเรียนทุกคนระหว่างเรียน Y แทน คะแนนรวมของนักเรียนทุกคนหลังการเรียน A แทน คะแนนเต็มของคะแนนระหว่างเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียน
77 เกณฑ์การแปลความหมายคะแนน ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรมีค่าประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 ) ร้อยละ 80 ของคะแนนทั้งหมด และประสิทธิภาพผลลัพธ์(E2 ) ร้อยละ 80 ของคะแนนทั้งหมด (ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ 80/80) 7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ การหาประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ โดยใช้การหาดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) หาค่าทางสถิติดังนี้(ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 92) สูตร E.I. = 1 2 1 Total P P P − − เมื่อ P1 แทน ผลรวมของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนทุกคน P2 แทน ผลรวมของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนทุกคน Total แทน ผลคูณของจำนวนนักเรียนกับคะแนนเต็มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เกณฑ์การแปลความหมายคะแนน ประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรมีค่าประสิทธิผล ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 8. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน ใช้ค่าคะแนนที (t-test) หาค่าทางสถิติ โดยประยุกต์ใช้สูตรทางสถิติดังนี้(ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550 : 87-91) สูตร t D N D D N = − − 2 2 1 ( ) t หมายถึง การแจกแจงแบบที D หมายถึง ความแตกต่างของคะแนนหลังเรียนและก่อนเรียนของนักเรียนแต่ละคน N หมายถึง จำนวนนักเรียน
78 เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนความก้าวหน้าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. ค่าคะแนนที(t-test) หาก ค่าคะแนนทีที่เปิดจากตารางน้อยกว่า ค่าคะแนนทีที่ได้ จากการหาค่า แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนแตกต่างกัน 2. หากคะแนนหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียนแสดงว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะสูงขึ้น
บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี ผู้รายงานได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยแบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน ตอนที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน ตอนที่ 3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน รายละเอียดของ การวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละตอนมีดังนี้ ตอนที่1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตารางที่1 ประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่าง ประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ ประสิทธิภาพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ กระบวนการ(E1 ) ประสิทธิภาพ ผลลัพธ์(E2 ) คะแนนระหว่างเรียน 85.19 85.19/ 81.14 คะแนนหลังเรียน 81.14 n = 30 จากตารางที่ 1 พบว่าประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคน ระหว่างเรียนทดสอบโดยใช้แบบทดสอบหลังเรียนในแบบฝึกทักษะ (ประสิทธิภาพกระบวนการ) เท่ากับ 85.19 และคะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคนหลังเรียนทดสอบโดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนในแบบฝึกทักษะ (ประสิทธิภาพผลลัพธ์) เท่ากับ 81.14 ประสิทธิภาพ แบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 85.19 / 81.14 ตรงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
77 ตอนที่2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และดัชนีประสิทธิผล โดยใช้แบบฝึกทักษะ ตารางที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนเทียบคะแนนที (t-test) และค่าร้อยละ การทดสอบ n X S.D D D 2 t ก่อนเรียน 42 9.76 1.12 630 9,757 22.54* หลังเรียน 42 24.76 4.21 n = 42 df = 41 * = มีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 การหาดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) สูตร E.I. = 1 2 1 Total P P P − − E.I. = 1040−410 1260−410 ดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ = 0.7412 จากตารางที่ 2 คะแนนของนักเรียนทดสอบก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.76 และคะแนน ทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.76 ปรากฏว่าคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผล พบว่าค่าดัชนี ประสิทธิผล เท่ากับ 0.74 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 74.12 แสดงว่าแบบฝึกทักษะ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้นตรงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
78 ตอนที่3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ตารางที่ 3 แสดงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ รายการประเมิน S.D. ความหมาย ด้านการออกแบบ 1.รูปแบบ ขนาดตัวอักษรอ่านง่ายชัดเจน 3.89 0.32 มาก 2.รูปภาพประกอบในแบบฝึกทักษะเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหา 3.78 0.59 มาก ด้านเนื้อหา 3. เนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับความสามารถ 4.31 0.47 มาก 4. คำอธิบายและคำสั่งของแบบฝึกทักษะมีความชัดเจนเข้าใจง่าย 3.42 0.69 มาก 5. ปริมาณของเนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสมกับเวลาเรียน 3.97 0.65 มาก ด้านกิจกรรม 6. กิจกรรมในแบบฝึกทักษะมีความหลากหลายน่าสนใจและสร้างแรงจูงใจในการ เรียนรู้ 3.81 0.40 มาก 7. สื่อรูปภาพประกอบเนื้อหาให้นักเรียนเรียนเข้าใจบทเรียนดีขึ้น 3.58 0.65 มาก 8. กิจกรรมในแบบฝึกทักษะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ 3.92 0.55 มาก ด้านประโยชน์ 9. แบบฝึกทักษะทำให้ขั้นตอนในการเรียนง่ายและสะดวกขึ้น 4.14 0.54 มาก 10. แบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนปฏิบัติงานได้ตามความสามารถของตน 4.22 0.68 มาก เฉลี่ย 3.90 0.55 มาก จากตารางที่ 3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.90 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.55 รายการประเมินที่นักเรียน มีความพึงพอใจสูงสุด คือ ข้อที่ 3 เนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับ ความสามารถ มีความพึงพอใจในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.47 รองลงมาได้แก่ ข้อ 10 แบบฝึกทักษะ ช่วยให้นักเรียนปฏิบัติงานได้ตามความสามารถ ของตน มีความพึงพอใจในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.22 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.68 และข้อ 9 แบบฝึกทักษะทำให้ขั้นตอนในการเรียนง่ายและสะดวกขึ้น มีความพึงพอใจในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.14 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.54 ตามลำดับ
บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ผู้รายงานสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 2. เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลเรียนรู้เรียนรู้พัฒนาการอ่านภาษาจีน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สมมติฐานของการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน เรื่องการอ่าน ภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก สรุปผลการวิจัยและการใช้ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพของตามเกณฑ์85.19/ 81.14 2. ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.74 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 74.12 แสดงว่า
80 แบบฝึกทักษะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้นร้อยละ 74.12 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05ตรงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านเขียนภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก ตรงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ อภิปรายผล จากผลการศึกษาการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ดังกล่าวข้างต้น มีเหตุผลสนับสนุนสามารถนำมาอภิปรายผล ดังต่อไปนี้ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านเขียนภาษาจีน วิชาภาษาจีน3 เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพของตามเกณฑ์85.19/ 81.14 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.19/ 81.14 อภิปรายผลได้ว่า เนื่องจากผู้รายงานได้มีการคัดกรองเนื้อหาสาระเฉพาะที่สอดคล้อง กับระดับความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน โดยเพิ่มเติมเนื้อหาให้เหมาะสมกับหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษา ก่อนจะนำมาสร้างเป็นแบบฝึกทักษะ ได้รับการตรวจสอบและได้รับข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงและพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการสร้างที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้แบบฝึกทักษะฉบับนี้ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และที่สำคัญมีสื่อที่เหมาะกับวัยของผู้เรียนซึ่งมีความน่าสนใจและมีความแปลก ใหม่ แตกต่างจากการเรียนการสอนที่ผ่านมา แบบฝึกทักษะสามารถเร้าความสนใจของผู้เรียน มีความ ยืดหยุ่นในการเรียน นักเรียนสามารถเรียนซ้ำได้และนอกจากนี้ ผู้รายงานได้นำไปทดลองใช้(Try Out) 2 ครั้ง (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2545 : 90-97) ครั้งที่ 1 หาประสิทธิภาพแบบเดี่ยว พบว่า แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 54.38/57.50 และครั้งที่ 2 หาประสิทธิภาพแบบกลุ่มย่อย พบว่าแบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 63.25/65.50 โดยทดลองกับนักเรียนซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาประสิทธิภาพ ในเบื้องต้น แล้วนำไปปรับปรุงก่อนนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างและเมื่อนำไปใช้จริงกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 26 คน พบว่าแบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.19/81.14 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กนกวรรณ ทับสีรัก (2558) ได้พัฒนาการอ่านออกเสียง ภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมภาษาประกอบแบบฝึกของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 70/70 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผล
81 เรียนรู้เรียนรู้พัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมภาษาประกอบแบบฝึก ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมประกอบแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมประกอบแบบฝึก กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนสตรีศึกษา เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการอ่านออกเสียงโดยใช้เกม (2) แบบฝึกทักษะ ด้านการอ่านออกเสียงโดยใช้เกมจำนวน 5 ชุด (3) แบบวัดความสามารถด้านการอ่านออกเสียง จำนวน 30 ข้อ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test (Dependent samples) ผลการพัฒนาการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ดังนี้1) การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึก ทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E/2) 87.78/87.59 สูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ 70/70 2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาการอ่านออกเสียง ภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.7970 หรือร้อยละ 79.70 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถด้านการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบ แบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 4.25, S.D.= 0.54) และสอดคล้องกับการศึกษาของ กวินชิดา ถือสมบัติ (2555) ที่ได้ทำการพัฒนาชุดแบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง วิชาฟิสิกส์ 3 (ว 32203) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อ 1) พัฒนาชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องคลื่นเสียง วิชาฟิสิกส์3 (ว 32203) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน และหลังเรียนด้วยชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่อง คลื่นเสียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) ศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดแบบฝึกวิชาฟิสิกส์ เรื่องเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน บ้านแทนวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จํานวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยชุดแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 3 (ว32203) เรื่อง คลื่นเสียงและแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดแบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และร้อยละ (Percentage) วิเคราะห์หาค่า
82 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบที (t-test Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดแบบฝึกทักษะการแกโจทย์ปัญหา เรื่องคลื่นเสียงชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ที่ผู้รายงานพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.56/81.34 ซึ่งสูงกว่า สมมติฐานที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 มีการพัฒนาการดีขึ้น ร้อยละ 39.25 เป็นเพราะว่าผู้รายงานได้ออกแบบแบบฝึกทักษะการอ่านเขียน ภาษาจีน เรื่องการอ่านภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามจิตวิทยาการเรียนรู้ ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากสื่อที่หลากหลายรูปแบบทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์ และจากการจัดระบบการเรียน การสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงทำให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายการเรียนรู้ในเนื้อหาบทเรียน อีกทั้งมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน จึงทำให้นักเรียนมีความรู้ และเข้าใจในเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นผลทำให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กนกวรรณ ทับสีรัก (2558) ได้พัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกม ประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ผลการพัฒนาการพัฒนาการอ่านออกเสียง ภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกม ประกอบแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.7970 หรือร้อยละ 79.70 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถด้านการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบ แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 4.25, S.D.= 0.54) และสอดคล้อง กับการศึกษาของ ปริญญา ทองสอน (2553) ได้พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐานสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีน ขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนก่อนและหลังเรียน และศึกษาเจตคติของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4/3 โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพชุดกิจกรรม คือแบบฝึกหัดท้ายชุดกิจกรรม แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและแบบวัดเจตคติต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนภาษาจีนขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการทดสอบค่าที