The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี ปี 2565 จัดทำและเผยแพร่โดยภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี<br>การจัดทำหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีการจัดจำหน่าย ไม่มีการนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลกำไร ตลอดจนไม่อนุญาตให้นำไปใช้เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thanapat.pir, 2023-01-19 11:40:59

เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี

หนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี ปี 2565 จัดทำและเผยแพร่โดยภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี<br>การจัดทำหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีการจัดจำหน่าย ไม่มีการนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลกำไร ตลอดจนไม่อนุญาตให้นำไปใช้เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น

ววววววววววว ววววววว


ข เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ปี๒๕๖๕ ปรมินท์ จารุวร บรรณาธิการ พิมพ์นภัส จินดาวงค์ ธนภัทร พิริย์โยธินกุล ผู้จัดท า ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี เผยแพร่เนื่องในโอกาสมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน กตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภช เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานีปี๒๕๖๖


ค เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ปี ๒๕๖๕ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี เผยแพร่เนื่องในโอกาสมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน กตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภช เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี ปี๒๕๖๖ จัดพิมพ์โดย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ครั้งแรกในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มกราคม ๒๕๖๖ © สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ ปรมินท์ จารุวร. เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ปี ๒๕๖๕.— กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๖. ๑๒๕ หน้า. ๑. ปัตตานี—ประวัติศาสตร์. ๒. ปัตตานี—ความเป็นอยู่และประเพณี. I. ธนภัทร พิริย์โยธินกุล, ผู้แต่งร่วม. II. พิมพ์นภัส จินดาวงค์, ผู้แต่งร่วม. III. ชื่อเรื่อง. ๓๙๐.๐๙๕๙๓ ISBN (e-book) 978-616-407-818-5 ที่ปรึกษา นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์ ทายาทตระกูลคณานุรักษ์ นายธีรภัทร พรมนุชาธิป ประธานชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี บรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.ปรมินท์ จารุวร หัวหน้าภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ กองบรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิมพ์นภัส จินดาวงค์ นิสิตปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาคติชนวิทยา ภาควิชาภาษาไทย นายธนภัทร พิริย์โยธินกุล นิสิตปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาคติชนวิทยา ภาควิชาภาษาไทย นางสาวชุตินันท์มาลาธรรม นิสิตปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาคติชนวิทยา ภาควิชาภาษาไทย นายวันณรงค์สวัสดี นิสิตปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาคติชนวิทยา ภาควิชาภาษาไทย ออกแบบปกและรูปเล่ม นายธนภัทร พิริย์โยธินกุล รายละเอียดภาพปก ปกหน้า ภาพถ่ายพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปี๒๕๖๕ (ภาพถ่าย: นายตันติกร ผู้เจริญทรัพย์ นายพรศักดิ์ พัฒน์แช่ม นายธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ปกหลัง ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี (ภาพถ่าย: นายตันติกร ผู้เจริญทรัพย์) การจัดท าหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีการจัดจ าหน่าย ตลอดจนไม่อนุญาตให้น าไปใช้เพื่อแสวงหาผลก าไรและดัดแปลงเพื่อเผยแพร่ต่อในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น



จ ค านิยม “พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หรือ “งานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน “กตัญญูคู่ฟ้ามหาสมโภช เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี”” จัดขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ า เดือนอ้ายจีน หรือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินสากลของทุกปี ถือเป็นพิธีที่สะท้อนให้เห็นแรงศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานจีนชุมชนหัวตลาดต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแห่งศาลเจ้า เล่งจูเกียง --เทพเจ้าที่เป็นที่รู้จักในด้านความกตัญญูและด้านการรักษาโรค หากมองจากสายตาคนนอกชุมชน พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวถือเป็นพิธีกรรมที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ แต่ละปีจะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมงาน อย่างคับคั่งโดยมีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อร่วมสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระหมอ (โจวซือกง) และเทพเจ้าส าคัญอื่น ๆ ในขบวนแห่ เพื่อเข้าชมและเข้าร่วมการแข่งเชิดสิงโตดอกเหมย เพื่อชมการแสดงงิ้วและโนรา และชมการออกร้านในงาน แต่หากมองจากสายตาคนในชุมชนอย่างกระผม พิธีกรรมอันแสดงถึงความศรัทธาต่อเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ประจ าชุมชนพิธีนี้ ยังมีความส าคัญในการหลอมรวมความสามัคคีให้กับสมาชิกในชุมชน การประกอบพิธีแต่ละส่วนทั้งขบวนแห่ การหามเกี้ยว การลุยน้ า ลุยไฟ ล้วนต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของชายในชุมชนทุกช่วงวัย ผู้ประกอบพิธีจะต้องมีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความล าบากที่เผชิญระหว่างประกอบพิธีกรรม ซึ่งนับว่าเป็นการพิสูจน์ก าลังใจ ก าลังกาย และก าลังศรัทธา ของชาวชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานีต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและพระทุกองค์เป็นอย่างดี หนังสือภาพ เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานีเป็นหนังสือที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างชาวชุมชน หัวตลาด จังหวัดปัตตานี กับอาจารย์และนิสิตระดับปริญญาเอก สาขาคติชนวิทยา ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ช่วยกันบันทึกและถ่ายทอดข้อมูลพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวออกมาเป็นรูปเล่ม ที่สวยงาม ในหนังสือแบ่งข้อมูลออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑) ประวัติความเป็นมาของชุมชนชาวจีนปัตตานีและชุมชนหัวตลาด ปัจจุบัน ๒) ต านานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนหัวตลาด ๓) รายละเอียดของพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พ.ศ. ๒๕๖๕ ทั้งนี้ ในตอนท้ายมีการให้ข้อมูล “งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง ตลาดสายบุรี” หรือ “พระหมอสายบุรี” เป็นข้อมูลเปรียบเทียบด้วย หนังสือภาพเล่มนี้มีการอธิบายรายละเอียดที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และมีภาพประกอบ ที่สวยงาม ถือเป็นเอกสารบันทึกเหตุการณ์ของชุมชนที่มีคุณค่าเล่มหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความเชื่อ พิธีกรรม วัฒนธรรมประเพณี และภูมิหลังของชุมชนได้ดียิ่งขึ้น นายธีรภัทร พรมนุชาธิป ประธานชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี



ช ค านิยม เดิมเรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือชุมชนจีนเก่าแก่ของปัตตานีอย่างกือดาจีนอเป็นเพียงเรื่องราวที่เล่าสู่ กันฟังจากรุ่นสู่รุ่น แต่บรรณาธิการและผู้จัดท าได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ทางด้านคติชนวิทยามาจัดระบบเรียบเรียง เรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ และเรื่องราวของชุมชนหัวตลาดหรือกือดาจีนอซึ่งเป็นชุมชน จีนเก่าแก่ของปัตตานีให้เป็นเรื่องราวทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ในรูปเล่มของหนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานีเนื้อหาจากเรื่องเล่าได้รับการถ่ายทอดโดยมีการหาหลักฐานประกอบเพื่อเป็นการทวนสอบ และแทรกความคิดเห็นที่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน จึงท าให้ชวนติดตามทุกบรรทัด ถึงแม้ว่าการจัดท าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการปฏิบัติงานภาคสนามทางคติชนวิทยาของการเรียนรายวิชา ๒๒๐๑๘๔๑ ของภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ยังทรงคุณค่าต่อศาลเจ้าเล่งจูเกียง และชุมชนตลาดจีน กือดาจีนอ ที่จะน าไปใช้เผยแพร่ เรื่องราวทั้งอดีตและปัจจุบันให้กับผู้ที่สนใจต่อไป ผมต้องขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ปรมินท์จารุวร ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิมพ์นภัส จินดาวงค์ และคุณธนภัทร พิริย์โยธินกุล ที่กรุณาให้ผมเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะที่ปรึกษาและเป็นแหล่งข้อมูลเบื้องต้นส าหรับน าไปปฏิบัติงาน ภาคสนาม และหวังว่าหนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานีจะเป็นประโยชน์กับชุมชนหัวตลาด ปัตตานี ตลอดจนชุมชนอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของผู้จัดท า นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์ ทายาทสายพระจีนคณานุรักษ์ ชั้นที่ ๖



ฌ บรรณาธิการแถลง หนังสือภาพ เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานีเล่มนี้ เป็นผลงานจากโครงการฝึกปฏิบัติการภาคสนาม ทางคติชนวิทยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรายวิชา ๒๒๐๑๘๔๑ งานภาคสนามเพื่อการวิจัยทางคติชนวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิตได้ฝึกเก็บข้อมูลภาคสนามโดยเน้นการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งจะเป็น พื้นฐานในการท าวิจัยทางด้านคติชนวิทยาต่อไป ข้อมูลจากบันทึกภาคสนามของนิสิตระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาคติชนวิทยา ๒ คน ได้คัดสรรส่วนหนึ่งมาจัดท า เป็นหนังสือภาพเล่มนี้เพื่อจะส่งกลับคืนชุมชนที่ได้เอื้อเฟื้อข้อมูล คือ ชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี และเพื่อเผยแพร่ข้อมูล และความรู้เชิงวัฒนธรรมเกี่ยวกับพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ให้รับรู้แพร่หลาย หนังสือภาพนี้มีเนื้อหาหลักแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนที่ ๑ - ๒ นายธนภัทร พิริย์โยธินกุล น าเสนอให้เห็นภูมิหลัง และสภาพปัจจุบันของชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี และน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับต านานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน แห่งนี้ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับ “พระหมอ” และ “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ส่วนที่ ๓ นางสาวพิมพ์นภัส จินดาวงค์น าเสนอข้อมูล ภาคสนามเกี่ยวกับพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยได้ให้ภาพเปรียบเทียบกับงานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง ตลาดสายบุรี ไว้ด้วย เนื้อหาทั้งหมดนี้พอจะเป็นแนวทางเบื้องต้นแก่นิสิตนักศึกษาและผู้สนใจเก็บข้อมูลวิจัยภาคสนาม ให้พอเห็นได้ว่าควรสังเกต สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลพื้นฐานอย่างไรบ้าง เพื่อจะน าไปสู่การตอบค าถามวิจัยที่ตั้งไว้ ได้อย่างลุ่มลึก ในฐานะบรรณาธิการและผู้สอนรายวิชานี้ กระผมขอขอบพระคุณผู้บอกข้อมูลส าคัญและผู้ที่อนุเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ทุกท่านที่ให้โอกาสนิสิตได้ฝึกปฏิบัติการในสนามวิจัยที่น่าสนใจยิ่ง ได้แก่ นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์คุณพันฤทธิ์ วัฒนายากร คุณอนุพาสน์ สุวรรณมงคล คุณธีรภัทร พรมนุชาธิป คุณชูโชติ เลิศลาภลักขณา รวมทั้งชาวชุมชนหัวตลาด ทุกท่าน ขอขอบพระคุณผู้อนุเคราะห์ภาพและข้อมูลประกอบภาพ ได้แก่ คุณวิชาญ พรวิริยะมงคล คุณตันติกร ผู้เจริญทรัพย์ คุณพรศักดิ์ พัฒน์แช่ม (ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “คนหามพระศาลเจ้าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”) คุณจรูญศักดิ์ เวชชอุโฆษณ์ คุณคุ้มพัฒน์ พลาเวชกิจ คุณอธิวัฒน์ริมสมุทร ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “เจ้าพ่อเสือ (หน้าทอง) แห่งศาลเจ้าเล่งจูเกียง” มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ที่ส าคัญคือขอขอบคุณ อาจารย์ชวิน พงษ์ผจญ จากคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอาจารย์บัญชา เตส่วน จากคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานีที่ช่วยประสานและเอื้อเฟื้อในเรื่องต่าง ๆ จนนิสิต สามารถเก็บข้อมูลภาคสนามได้ส าเร็จราบรื่นและประทับใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือภาพเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี และชุมชนวิชาการ ด้านคติชนวิทยาและศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.ปรมินท์ จารุวร ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ญ ว


ฎ สารบัญ ค านิยม ประธานชุมชนหัวตลาด ค านิยม ทายาทพระจีนคณานุรักษ์ บรรณาธิการแถลง ความน า ๑ บทที่ ๑ ถิ่นย่านประวัติศาสตร์ ชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี ๓ ประวัติศาสตร์ชาวจีนในเมืองปัตตานี ๓ ประวัติศาสตร์และภูมินามชุมชนหัวตลาด ๖ ชุมชนหัวตลาดในปัจจุบัน ๑๒ บทที่ ๒ ต านานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนหัวตลาด ๒๑ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ๒๑ สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๔๙ บทที่ ๓ พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว: ประชุมศรัทธา บูชา “พระ” ศักดิ์สิทธิ์ ๕๕ การสัมภาษณ์ก่อนวันประกอบพิธี ๕๕ พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๖๑ ความส่งท้าย ๑๑๒ รายการอ้างอิง ๑๑๓ ภาคผนวก ๑๑๕


ฏ ชาวชุมชนหัวตลาดอัญเชิญเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในพิธีลุยไฟ ปี๒๕๖๕ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๑ ความน า พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือประเพณี “มหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน กตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภช เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี” เป็นพิธีกรรมส าคัญประจ าปีของชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยในชุมชน หัวตลาด อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี จัดขึ้นตรงกับวันที่ ๑๕ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติแบบจีน ซึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๕ นี้ตรงกับวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ และจัดงานมหกรรมต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๑๒–๑๘ กุมภาพันธ์ พิธีกรรมในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ถือเป็น “ไฮไลต์” ของงานมหกรรมและเป็นประเพณีสืบทอดมานับแต่ อดีตตราบจนปัจจุบัน ประกอบด้วยพิธีทอดเบี้ยถามองค์พระและอัญเชิญองค์พระประดิษฐานบนเกี้ยว พิธีอัญเชิญ องค์พระออกแห่รอบเมือง พิธีปักหลัก พิธีลุยน้ า และพิธีลุยไฟ พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสัมพันธ์กับต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและศาลเจ้าเล่งจูเกียงซึ่งเป็น ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีน ชุมชนหัวตลาดมาช้านาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพิธีกรรม ได้ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทสังคม ในช่วง พ.ศ. ๒๕๖๔ มาถึง พ.ศ. ๒๕๖๕ สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ (Covid-๑๙) ระบาด ชุมชนจึงได้ก าหนดรูปแบบพิธีกรรมให้สอดคล้องกับมาตรการ ควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข มีการลดทอนองค์ประกอบของพิธีกรรมบางส่วน เช่น ลดการเชิญเกี้ยว องค์เทพเจ้าออกแห่ในพิธีเหลือเพียง ๔ องค์ จากสถานการณ์ปกติที่จะต้องเชิญองค์เทพทั้งที่ประดิษฐานในศาลเจ้า และบ้านเรือนของคนในชุมชนรวมทั้งหมด ๒๕ องค์ ลดกิจกรรมแข่งขันสิงโตดอกเหมย ซึ่งจะมีกลุ่มชน จากต่างประเทศมาร่วมแข่งขันและร่วมงานเป็นจ านวนมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังมั่นคงเหนียวแน่น คือ ความศรัทธาต่อความศักดิ์สิทธิ์ที่คนในชุมชนหัวตลาด ตลอดจนผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีต่อองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระหมอโจวซือกง และเทพเจ้าทุกองค์ ประเพณีพิธีกรรมที่พัฒนาเป็นมหกรรมนี้จึงได้ด าเนินการส าเร็จลุล่วงสืบมาเป็นประจ าทุกปีและยังมีบทบาทส าคัญ ในการเป็นศูนย์รวมลูกหลานไทยเชื้อสายจีนชุมชนหัวตลาดให้ได้หวนคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมแสดงพลังสามัคคีและพลังแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย


๒ ป้ายยี่ห้อบั่นหลี่ บ้านเลขที่ ๕ บ้านเก่าแก่หลังหนึ่งในชุมชนหัวตลาด ต าบลอาเนาะรู อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๓ บทที่ ๑ ถิ่นย่านประวัติศาสตร์ ชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี บทนี้ว่าด้วยภูมิหลังของชุมชนหัวตลาด ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีนเมืองปัตตานีที่มีความเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่ต าบล อาเนาะรู อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี แบ่งออกเป็น ๓ ประเด็น ได้แก่ ๑) ประวัติศาสตร์ชาวจีนในเมือง ปัตตานี๒) ประวัติศาสตร์และภูมินามชุมชนหัวตลาด และ ๓) ชุมชนหัวตลาดในปัจจุบัน ๑.๑ ประวัติศาสตร์ชาวจีนในเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน สืบเนื่องมาแต่อาณาจักรโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรือง และเป็นศูนย์กลางทั้งการปกครองและการค้าขาย มีแหล่งโบราณสถานจ านวนมากที่บ่งบอกถึงร่องรอยอารยธรรม อันยิ่งใหญ่ในอดีต และมีหลักฐานต่าง ๆ อาทิ บันทึกชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองบริเวณนี้มีความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมมาช้านานแล้ว คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เป็นยุคแรกเริ่มของปัตตานีในฐานะเมืองท่า มีพ่อค้าต่างชาติจ านวนหลายกลุ่มเข้ามา ท าการค้า ตลอดจนตั้งถิ่นฐาน คนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางเข้ามาเป็นจ านวนมากก็คือ “ชาวจีน” เนื่องจากช่วงเวลานั้น เป็นยุคที่จีนปิดประเทศ พ่อค้าและโจรสลัดจีนจึงร่วมมือกับพ่อค้าโปรตุเกสและญี่ปุ่นลอบน าสินค้าจีนออกไปขาย นอกอาณาจักร ปลายรัชสมัยจยาจิ้ง (ค.ศ. ๑๕๒๒-๑๕๖๖) ยังมีโจรสลัดฮกเกี้ยนและสยาเหมินหนีการจับกุม ของรัฐบาลจีนในขณะนั้นมาอาศัยอยู่ที่อาณาจักรปัตตานีเป็นจ านวนมาก คนเหล่านี้มีจ านวนหลายร้อยคน ต่อหนึ่งกลุ่ม มีความช านาญการรบและมีอาวุธทันสมัย จนมีค าเรียกว่า “เหล่าโจรสลัดแห่งยุคจยาจิ้ง” ยุทธวิธี คือลอบท าการค้า เมื่อถูกจับได้จะหลบหนีไปตามแหล่งต่าง ๆ เช่น ปัตตานี สยาม เกาะลูซอน๑ ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ชาวจีนฮกเกี้ยนและกวางตุ้งเข้ามาที่เมืองปัตตานีเป็นจ านวนมาก บางกลุ่มได้ตั้ง รกรากในเมืองปัตตานีและรับราชการในราชส านักปัตตานี มีหน้าที่ส าคัญในการติดต่อกับพ่อค้าชาติอื่นที่น าสินค้า จีน และสินค้าต่างชาติเข้ามา ซึ่งขณะนั้นสินค้าจีนเป็นที่ต้องการอย่างมากในเมืองปัตตานีและส าหรับพ่อค้าต่างชาติ นับได้ว่าชาวจีนกลุ่มนี้มีบทบาทส าคัญต่อการปกครองและเศรษฐกิจการค้าในอาณาจักรปัตตานีที่เจริญรุ่งเรืองมาก ๑ ปิยดา ชลวร, ประวัติศาสตร์ปัตตานีในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ จากบันทึกของจีน ริวกิว และญี่ปุ่น. (เชียงใหม่: ส านักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, ๒๕๕๔), หน้า ๘๖-๑๐๓.


๔ โดยเฉพาะราว ค.ศ. ๑๕๕๐–๑๖๓๐ ซึ่งเป็นช่วงที่การค้าในเมืองปัตตานีรุ่งเรืองถึงขีดสุดจนปัตตานีเป็นที่รู้จักของ ฮอลันดาในฐานะ “ประตูสู่จีนและญี่ปุ่น” ๒ ลักษณะข้างต้นสัมพันธ์อย่างมากกับต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวของชาวจีนในจังหวัดปัตตานี ที่เล่าว่า “ลิ้มโต๊ะเคี่ยม” พี่ชายของลิ้มกอเหนี่ยวได้หลบหนีทางการจีนมายังปัตตานีเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และเป็นโจรสลัด จากบันทึกชาวจีนท าให้ทราบว่า“หลินเต้าเฉียน” (ชื่อในเอกสารโบราณของจีน) หรือ “ลิ้มโต๊ะเคี่ยม” (ชื่อในต านานท้องถิ่น) เข้ามาปัตตานีในช่วง ค.ศ. ๑๕๗๐ (พ.ศ. ๒๑๑๓ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา) ปิยดา ชลวร ศึกษาเอกสารต่าง ๆ และสันนิษฐานว่ามีชาวจีนอาศัยอยู่ในเมืองปัตตานี ก่อนลิ้มโต๊ะเคี่ยมจะเดินทางเข้ามา เมื่อกลุ่มพรรคพวกของลิ้มโต๊ะเคี่ยมเข้ามาตั้งถิ่นฐานและมีบทบาทด้านเศรษฐกิจ ในเมืองปัตตานียิ่งท าให้ชุมชนชาวจีนในเมืองปัตตานีกลายเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้น๓ แบบจ าลองส าเภาจีนและชาวจีนที่เดินทางอพยพเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองปัตตานี จัดแสดงที่หอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ๒ ปิยดา ชลวร, ประวัติศาสตร์ปัตตานีในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ จากบันทึกของจีน ริวกิว และญี่ปุ่น, หน้า ๘๖-๑๐๓. ๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๕.


๕ ชาวจีนในเมืองปัตตานีโยกย้ายถิ่นฐานสอดคล้องกับการโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองเมืองปัตตานี โดยเน้นอาศัยท ากินบริเวณที่เอื้อต่อการท าการค้า เช่น ๑) บ้านกาแลจินอ เป็นย่านคนจีนเก่าแต่เดิมเพราะตั้งอยู่ ใกล้ทะเลบริเวณปากแม่น้ าตอนล่าง พื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีล าน้ าไหลผ่านและออกปากอ่าวปัตตานี ได้สะดวก ชุมชนจีนแห่งนี้พัฒนาเป็น “เมืองท่าค้าขาย” เพราะมีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนก่อนที่ชุมชน กรือเซะจะเจริญขึ้นในเวลาต่อมา ๒) บ้านกรือเซะ เป็นที่ตั้งของชุมชนจีนที่มีชื่อเสียงทางด้านการค้า ท าให้ชาวจีน อพยพมาอาศัยท ากินที่กรือเซะมากยิ่งขึ้น๔ จนขยายเป็นหมู่บ้านชาวจีนขนาดใหญ่ ในพงษาวดารเมืองปัตตานี พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) บันทึกว่าชาวปัตตานีในสมัยรัชกาลที่ ๕ รับรู้แพร่หลายว่าบริเวณ “บ้านกะเสะ” (กรือเซะ) เป็นชุมชนที่ “จีนมาจากเมืองจีน เปนชาติหกเคี้ยนแส้หลิมชื่อเคี่ยม” (ลิ้มโต๊ะเคี่ยม) มาตั้งบ้านเรือน “จีนเคี่ยม” แต่งงานกับภรรยาชาวมลายูและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ชาวจีนบ้าน “กะเสะ” ในช่วงเวลานั้น จึง “นับถือหลิมโต๊ะเคี่ยมว่าเปนต้นตระกูล” ๕ ของลูกหลานชาวจีนในชุมชน ต่อมาเจ้าเมืองปัตตานีได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่จะบังติกอ บริเวณปากแม่น้ าปัตตานีในปัจจุบัน เนื่องจากเหมาะสมต่อการค้าขาย เรือสินค้าเข้าออกได้สะดวก ชาวจีนส่วนหนึ่งจึงได้อพยพมาอาศัยบริเวณ ริมแม่น้ าปัตตานีเพิ่มมากขึ้น เกิดเป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ริมแม่น้ าปัตตานี๖ คือ “ชุมชนหัวตลาด” ท่ามกลาง ชุมชนชาวมุสลิมที่อยู่อาศัยร่วมกันมาตราบจนปัจจุบัน ง ๔ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์ และภูมิปัญญาจังหวัดปัตตานี. (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสาร และจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอ านวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๒), หน้า ๒๕. ๕ ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๓. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗), หน้า ๒. ๖ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์ และภูมิปัญญาจังหวัดปัตตานี, หน้า ๒๕. หลุมศพที่ ชาวมุสลิม ชุมชนตันหยงลุโล๊ะกล่าวว่าเป็นของลิ้มโต๊ะเคี่ยม ตั้งอยู่ในกุโบร์รายอ ใกล้มัสยิดกรือเซะ มีข้อความจารึกที่แท่นปูนว่า “อันเนาะห์รายอชีโน” หมายถึง โอรสชาวจีนของสุลต่าน (ผู้เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูล: ผศ. ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล)


๖ ๑.๒ ประวัติศาสตร์และภูมินามชุมชนหัวตลาด ชุมชน “หัวตลาด” เป็นชื่อเรียกชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ าปัตตานี ฟากตะวันออกซึ่งเป็นแม่น้ าสายส าคัญดุจเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงผู้คนบริเวณนี้ ชุมชนมีอาณาเขตรวมทั้งถนนอาเนาะรู และถนนปัตตานีภิรมย์ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่า ปานเทพ คณานุรักษ์ ได้สืบค้นจากหนังสือ ประวัติต้นตระกูลเลขะกุล ของนายขเจน เลขะกุล บันทึกว่าเจ้าเมืองและชาวเมืองที่เป็นมุสลิมอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ าปัตตานี ส่วนชาวจีนอาศัยในหมู่บ้านด้านตะวันออกของแม่น้ าเรียกว่า “ตลาดจีน” หรือ “กะดาจีนอ” ซึ่งมีประตูใหญ่ เรียกว่า “ประตูไชย” อยู่หัวตลาดและท้ายตลาด๗ ดังนั้นภูมินาม “หัวตลาด” จึงสัมพันธ์กับบทบาทของชุมชน ชาวจีนในฐานะย่านการค้าส าคัญในพื้นที่และในประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่ระบุได้แน่ชัดว่าชุมชนหัวตลาดแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด จากหลักฐานแผ่นป้ายจารึก เรื่องราวการก่อตั้งศาลเจ้าบันทึกว่าศาลเจ้าของชุมชนแห่งนี้ซึ่งเดิมคือศาลเจ้าปุนเถ้ากง พบว่าสร้างมาตั้งแต่สมัย บ้วนเละ ปีที่ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ รัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา กรุงศรีอยุธยา๘ จึงอนุมานได้ว่าชุมชน แห่งนี้คงมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอาศัยท ากินแล้วอย่างน้อยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ๗ ปานเทพ คณานุรักษ์, ค าให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด. (๗ มีนาคม ๒๕๖๕) เข้าถึงจาก https://panthepblog. wordpress.com. สืบค้นเมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕. ๘ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ทายาทสายพระจีนคณานุรักษ์ ชั้นที่ ๖ และเป็นผู้เรียบเรียงประวัติท้องถิ่นชุมชนหัวตลาดรวมทั้ง ประวัติศาสตร์ตระกูลคณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. แบบจ าลองสถาปัตยกรรม ในชุมชนในอดีต มีทั้งอาคาร บ้านเรือนและศาลเจ้า จัดแสดงที่หอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๗ สมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ชุมชนแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางความเจริญทางการค้า ปัจจัยประการหนึ่งคงจะมาจากเหตุที่ตนกูปะสา แห่งราชวงศ์กลันตัน ซึ่งปกครองเมืองปัตตานีในช่วง พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๙ ย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่บริเวณจะบังติกอ บริเวณดังกล่าวไม่ไกลจากที่ตั้งชุมชนชาวจีนหัวตลาด มากนัก จึงอาจท าให้ชุมชนหัวตลาดเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น เพราะอยู่ใกล้ศูนย์กลางการปกครองของปัตตานี๙ ส่วน อีกปัจจัยหนึ่ง คือ หลวงส าเร็จกิจกรจางวางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ชุมชนหัวตลาด ในช่วงเวลาที่แผ่นดินสยามมีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีพระองค์ที่ ๓ ปกครองอยู่นั้น ตรงกับรัชสมัย พระเจ้ากวงซูฮ่องเต้ ซึ่งพระนางซูสีไทเฮาทรงมีอ านาจทั้งในราชส านักและการปกครองบ้านเมือง ชาวจีนฮกเกี้ยน กลุ่มหนึ่งน าโดยหัวหน้าคณะชื่อ ตันเตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน ชาวจีนฮกเกี้ยนจากเมืองซัวเถา๑๐ ได้เดินทางโดย ส าเภาอพยพมายังเมืองสงขลา ขณะนั้นมีชาวจีน คือ พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นเจ้าเมือง๑๑ ราว พ.ศ. ๒๓๘๒ เกิดเหตุความไม่สงบในเมืองปัตตานี(เมืองตานี) นายปุ่ยและพรรคพวกชาวจีนอาสา ร่วมรบจนส าเร็จ ได้รับความดีความชอบแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชาวจีนเรียกว่า “กัปปีตัน” หรือกัปตันจีน มีหน้าที่ เก็บส่วยอากรชาวจีนในเมืองปัตตานีส่งให้เจ้าเมืองสงขลา นายปุ่ยเห็นว่าพื้นที่ตลาดจีน (พื้นที่ชุมชนหัวตลาด ในปัจจุบัน) มีชัยภูมิดี ใกล้ริมแม่น้ าและทะเลท าให้สะดวกแก่การเดินทางค้าขาย จึงขออนุญาตแม่ทัพให้ตน และพรรคพวกชาวจีนได้ตั้งถิ่นฐานท ามาหากินอยู่ที่ตลาดจีนโดยให้เหตุผลว่าคนจีนมีความสามารถในฐานะคนกลาง อาจช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเจ้าเมืองคนไทยกับเจ้าเมืองชาวมลายูได้นายปุ่ยจึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงส าเร็จกิจกรจางวาง” นายกองหัวหน้าชาวจีน และได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานได้ตามความประสงค์๑๒ ในราว พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๓๘๕๑๓ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนถิ่นย่านบริเวณนี้ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในเวลาต่อมา สมัยรัชกาลที่ ๕ มีหลักฐานลายลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชุมชนนี้ได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก และมีบทบาทส าคัญทั้งต่อเศรษฐกิจและการปกครองในสมัยนั้น ตลอดจนมีบันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้ง พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จพระราชด าเนินไปยังบริเวณชุมชนด้วย เช่น พ.ศ. ๒๔๒๑ William Cameron บันทึกใน On the Pattani ว่า ริมแม่น้ าปัตตานีฝั่งตะวันออกมีหมู่บ้าน ชาวจีนที่มีถนนขึ้นมาจากแม่น้ า ชุมชนนี้มีประตูใหญ่สร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐมีหลังคาอยู่ที่หัวถนนริมแม่น้ า ผ่านประตูเข้าไปเป็นบ้านเรือนร้านค้าก่อสร้างอย่างดีด้วยอิฐโบกปูน มีกัปตันจีนท าหน้าที่ควบคุมธุรกิจการค้า รวมถึงการขนส่งสินค้า ตลอดจนเป็นผู้เก็บภาษีขาเข้าขาออกและยังเป็นตุลาการผู้มีอ านาจเต็มในการตัดสิน ๙ ปานเทพ คณานุรักษ์, ค าให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด. ๑๐ ดรุณี แก้วม่วง และคณะ, “จีน: ผู้คนและวัฒนธรรมในภาคใต้,” สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ ๔. (๒๕๔๒), หน้า ๑๗๐๓. ๑๑ ธาม วชิรกาญจน์ และโสภาพร ดวงดี, ตึกแถวประวัติศาสตร์: การคงอยู่และการแปรเปลี่ยน กรณีศึกษา ตึกแถว ชุมชนเก่าชาวจีนย่าน “หัวตลาด” ปัตตานี. (รายงานการวิจัย สาขาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย, ๒๕๕๒), หน้า ๙. ๑๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐. ๑๓ ปานเทพ คณานุรักษ์, ค าให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด.


๘ คดีความของชาวจีน กัปตันจีนมีพี่ชายชื่อจูเบ้งเป็นดาโต๊ะเหมืองแร่ และนายอากรฝิ่นเป็นผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็ง มีอ านาจมากที่สุดในเมืองปัตตานี ทั้งดาโต๊ะจูเบ้ง กัปตันจีน และรายาต่างก็ขึ้นกับเจ้าเมืองสงขลา๑๔ พ.ศ. ๒๔๒๗ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสด็จพระราชด าเนินเมืองปักษ์ใต้ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “ชีวิวัฒน์” ซึ่งนับว่าให้รายละเอียดเกี่ยวกับชุมชนหัวตลาดในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้อย่าง น่าสนใจ ท าให้ทราบถึงลักษณะของอาคารต่าง ๆ นับแต่ทางขึ้นจากฝั่งแม่น้ าปัตตานีไปจนสุดทางที่มีวัดตานี เช่น ตึกใหญ่ของกัปตันจีน จ านวนบ้านเรือนในชุมชน ที่ส าคัญคือท าให้ทราบค าเรียกพื้นที่ชุมชนหัวตลาด ในช่วงเวลานั้น คือ “ท้องตลาดจีน” ความบางตอนดังนี้ ที่หน้าเมืองล าคลองกว้างประมาณ ๒ เส้นเศษ ตัวเมืองตั้งล าน้ าฝั่งตวันออก มีตึกกับตันจีน อยู่ริมน้ าหลังหนึ่งเปนตึกจีน ๒ ชั้นหันหน้าไปตวันออก แลมีบ้านโรงเรือนหลังคาจากสาคูฝาขัดแตะ ด้วยไม้บงอยู่ตามริมน้ าประมาณ ๕๐ หลังคาเรือน หน้าตึกกับตันจีนริมน้ ามีถนนสัก ๒ เส้น มีตลาดขายผ้าแขกแลผลไม้ ๔-๕ ร้าน ที่ปลายถนนด้านเหนือมีตึกใหม่ของกัปตันจีน เปนเรือนจีน ๒ ชั้น ๑ หลังแฝด หลังหนึ่งขื่อประมาณ ๑๐ ศอกมีเฉลียงหน้าหลัง มีประตูใหญ่สกัดที่มุมบ้าน เดินเข้าประตูไปเปนถนนกว้างประมาณ ๔ วา สองฟากถนนมีตึกจีนชั้นเดียว ตั้งค้าขายสินค้ารายเรียง สลับกับโรงจากตลอดไปตามถนนประมาณ ๓ เส้น ฟากถนนด้านเหนือสุดมีศาลเทพารักษ์จีน ชื่อว่าปุนเถ้าก๋ง เปนตึกเก๋งจีนใหญ่ ในจังหวัดท้องตลาด ในประตูนี้เรียกว่าท้องตลาดจีน...๑๕ ช่วงเวลานั้นสัดส่วนประชากรมุสลิมมีจ านวนมากถึง “สองหมื่นเศษ” คนจีนมี “ประมาณหกร้อยคน” และคนไทยประมาณ ๒๐๐ คน ซึ่งคนจีนมักจะ “อยู่แต่ในหมู่ตลาดจีน” ประกอบอาชีพ “ค้าขายรับส่งสินค้า เข้าออกจากเมือง ท าเหมืองดีบุก ท าภาษี ปั้นหม้อ ปั้นอิฐ” ในส่วนการเก็บภาษีนี้พระยาตานีได้ตั้งให้ชาวจีน เชื้อสายหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง ชื่อ “ตันจูหลาย” ท าหน้าที่เจ้าภาษีผูก “ภาษีฝิ่นบ่อนเบี้ย เตาสุรา ภาษีน้ ามัน มะพร้าว” โดยให้เงินจากภาษีแก่เจ้าเมืองตามสมควร๑๖ สะท้อนให้เห็นความเจริญก้าวหน้าของชุมชน “ท้องตลาดจีน” วิถีชีวิตชาวจีน ตลอดจนบทบาทส าคัญของชาวจีนต่อการปกครองและเศรษฐกิจเมืองปัตตานี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (พระอิสริยยศขณะนั้น) และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชด าเนินไปยังชุมชนท้องตลาดจีน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศขณะนั้น) ทรงบันทึกในจดหมายเหตุรายวัน ว่าเสด็จพระราชด าเนินขึ้นจากท่าเรือ ประทับที่พลับพลาหน้าบ้าน “กัปตันจีนจูหลาย” เสด็จเข้าประตูบ้านจีน ๑๔ ปานเทพ คณานุรักษ์, ค าให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด. ๑๕ สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข, ชีวิวัฒน์. (พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๑), หน้า ๖๕-๖๖. ๑๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๙-๗๑.


๙ ไปจนถึง “ศาลเจ้าซูก๋อง” และเสด็จไปตามท้องตลาด โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน บรรดาศักดิ์ให้จีนจูหลายเป็น “หลวงจีนคณานุรักษ์ หัวหน้าจีนในเมืองตานี” ในคราวนี้ด้วย ที่น่าสนใจ คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศมีพระราชวิจารณ์ว่า “...พลับพลาซึ่งปลูกไว้รับเสด็จ ท าดี ดูเข้าใจไทยมาก การรับรองแข็งแรง ของถวายก็มาก ข้างในพวกผู้หญิงก็มาถวายของมาก... กัปตันจีนดูรับรองแข็งแรง” ๑๗ แสดงถึงศักยภาพ ของหลวงจีนคณานุรักษ์ ชุมชนตลาดจีน ตลอดจนเจ้าเมืองกรมการเมืองตานีที่สามารถจัดการรับเสด็จ ได้อย่าง “รู้ธรรมเนียม” และไม่ขาดตกบกพร่อง พ.ศ. ๒๔๖๙ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสร้างสะพานเดชานุชิตและตัดถนน สายหลักเชื่อมกับย่านต่าง ๆ จึงเกิดกลุ่มอาคารเรือนแถวไม้เรียงรายไปตามถนนปัตตานีภิรมย์บริเวณวัดตานีนรสโมสร ที่ต่อเนื่องกับย่านหัวตลาด ตลอดจนย่านหัวตลาดยังคงมีบทบาทในฐานะตลาด ทั้งตลาดการประมงและจ าหน่าย สินค้าระหว่างเมืองแก่พื้นที่ชุมชนโดยรอบ๑๘ ๑๗ จดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ. (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการฝ่ายจัดท าหนังสือที่ระลึก ในคณะกรรมการอ านวยการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า, ๒๕๕๖), หน้า ๒๘๕-๒๘๖. ๑๘ ธาม วชิรกาญจน์ และโสภาพร ดวงดี, ตึกแถวประวัติศาสตร์ฯ, หน้า ๑๔. ชุมชนหัวตลาด ถนนปัตตานีภิรมย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ถ่ายโดย Robert Larimore Pendleton เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๓๖ (ภาพและข้อมูล: American Geographical Society Library, University of WisconsinMilwaukee Libraries เผยแพร่ใน https://collections.lib.uwm.edu/digital/ collection/agsphoto/id/17319/rec/4)


๑๐ ปัจจุบันมีอาคารเรือนไม้แบบเก่าริมถนนปัตตานีภิรมย์ที่ยังคงงดงามข้ามผ่านกาลเวลา (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) นอกจากนี้ยังมีค าบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชนว่าในอดีตถนนสายนี้รุ่งเรืองมาก มีร้านค้าขายของช า ซึ่งจะมีเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น ถ้วยชาม น้ าปลา น้ าตาล สบู่ เป็นต้น มีร้านขายยาแผนโบราณ มีแผงอาหาร ทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง ทั้งยังมีท่าเรือขนาดเล็กริมแม่น้ าส าหรับให้คนข้ามไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ าปัตตานี มีท่าเรือประมงขนาดเล็กน าเรือมาจอด เพื่อน าอาหารทะเลสดๆ มาขายในตอนเช้าและเย็นเป็นประจ าทุกวัน สมกับภูมินามของชุมชน นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา ชุมชน “ตลาดจีน” ได้วิวัฒน์ขึ้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และเป็นแหล่ง ค้าขายส าคัญจนปัจจุบันมีภูมินามว่าชุมชน “หัวตลาด” ชาวจีนในชุมชนนี้มีบทบาทส าคัญทั้งต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของเมืองปัตตานีเฉกเช่นบทบาทของชาวจีนเมืองปัตตานีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์ และภูมินามของชุมชนจึงแสดงให้เห็นศักยภาพและบทบาทส าคัญของชาวจีนเมืองปัตตานีได้เป็นอย่างดี


๑๑ แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงสถานที่ส าคัญในชุมชนหัวตลาด (ที่มา: https://earth.google.com/) แผนที่แสดงต าแหน่งของถนนอาเนาะรู ถนนปัตตานีภิรมย์ชุมชนหัวตลาด (แผนที่นี้ดัดแปลงจากแผนที่แสดงต าแหน่งบ้านขุนพิทักษ์รายา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ าปัตตานี บริเวณจุดบรรจบระหว่างถนนอาเนาะรู กับถนนปัตตานีภิรมย์ เผยแพร่ในเว็บไซต์ https://bankhunpitakraya.com ผู้อนุเคราะห์ภาพ: อนุพาสน์ สุวรรณมงคล)


๑๒ ๑.๓ ชุมชนหัวตลาดในปัจจุบัน ชุมชนหัวตลาดปัจจุบันเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ส าคัญของจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในต าบลอาเนาะรู อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย ๑) พื้นที่บริเวณถนนอาเนาะรูซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมใจของชาวชุมชนหัวตลาด คือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ทั้งยังมีตลาดกือดาจีนอ และบ้านขุนพิทักษ์รายา และ ๒) พื้นที่ถนนปัตตานีภิรมย์ มีสะพานบั่นเฉ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ในต านานของชุมชน ที่เล่าว่าพบองค์พระหมอลอยมาที่บริเวณสะพานนี้ด้วย ชุมชนหัวตลาด มีอาณาเขตเชื่อมโยงกับพื้นที่ต่าง ๆ โดยรอบดังนี้ ทิศเหนือ – เป็นพื้นที่ต่อเนื่องกับบริเวณที่อยู่อาศัยและมัสยิดนูรุลยากีน ทิศตะวันออก – บรรจบกับวัดนิกรชนาราม หรือ “วัดหัวตลาด” โดยมีถนนนาเกลือเป็นแนวแบ่งเขต ทิศใต้ – บรรจบกับบรรดาห้องแถวร้านค้าที่ต่อเนื่องไปตามถนนปัตตานีภิรมย์ จรดกับพื้นที่ที่เป็นจุด บรรจบระหว่างถนนปัตตานีภิรมย์กับถนนฤๅดี ทิศตะวันตก – บรรจบกับแม่น้ าปัตตานี ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ าที่ส าคัญ๑๙ มนต์เสน่ห์ของ “ชุมชนหัวตลาด” ด้วยต าแหน่งที่ตั้งและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่สั่งสมต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ท าให้ชุมชนหัวตลาด มี “เสน่ห์” ที่สืบทอดมาจากอดีตและกลายเป็นอัตลักษณ์ชุมชนในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น ๓ ประการ ดังนี้ ๑) เสน่ห์แห่งสามวัฒนธรรม ๒) เสน่ห์แห่งชุมชนเก่าแก่ ๓) เสน่ห์แห่งศรัทธา ๑) เสน่ห์แห่งสามวัฒนธรรม เมืองปัตตานีมีค าขวัญประจ าจังหวัดความตอนหนึ่งว่า “เมืองงามสามวัฒนธรรม” ประกอบด้วย วัฒนธรรมมุสลิม วัฒนธรรมจีน และวัฒนธรรมไทยที่นับถือพุทธศาสนา เพราะเมืองปัตตานีเคยเป็นเมืองท่า นานาชาติที่ส าคัญมาแต่อดีต กลุ่มคนเหล่านี้ได้อาศัยร่วมกันบนแผ่นดินแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นเดียวกับบริเวณ ใกล้เคียงชุมชนหัวตลาดซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลายวัฒนธรรม คนในชุมชนยังคงจดจ าบรรยากาศในอดีตที่ผู้คนต่างวัฒนธรรมใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่ “หัวตลาด” ได้เป็นอย่างดี เช่น ปานเทพ คณานุรักษ์ลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนและทายาทตระกูลคณานุรักษ์ เล่าว่า๒๐ ๑๙ ธาม วชิรกาญจน์ และโสภาพร ดวงดี, ตึกแถวประวัติศาสตร์ฯ, หน้า ๑๘. ๒๐ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๑๓ เช่นเดียวกับ อรรถพร อารีหทัยรัตน์ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในชุมชนหัวตลาด ถนนปัตตานีภิรมย์ กล่าวว่าชาวมุสลิมจะอาศัยขนาบข้างชุมชนหัวตลาดชาวจีน ถนนอาเนาะรู และชาวมุสลิมก็เข้าร่วมกิจกรรมของ ชนชาวเชื้อสายจีน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าในพื้นที่ชุมชนนอกจากจีนและมุสลิมแล้วยังมีชาวอินเดียและอาหรับด้วย ซึ่งภายหลังชาวอินเดียที่เคยนับถือศาสนาฮินดูได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ประกอบอาชีพขายเครื่องเทศ ในตลาด ส่วนชาวอาหรับที่เป็นชาวซิกข์ก็ไม่ได้โพกผ้าแล้ว๒๑ ท าให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมในชุมชน ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการเป็น “ท้องตลาด” ในอดีต ปัจจุบันแม้ในมิติการปกครองส่วนท้องถิ่น จะมีการแบ่งชุมชนในบริเวณนี้ออกเป็น ๔ ชุมชนคือ ชุมชนหัวตลาด ชุมชนอาเนาะรู ชุมชนอาเนาะซูงา และชุมชนคลองช้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ในความรับรู้ ของคนในท้องถิ่น ชุมชนเหล่านี้ต่างก็เป็นที่ผู้คนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้มารวมตัวกันและก่อกลุ่มกัน เกิดเป็นชุมชนส าคัญในเมืองปัตตานี๒๒ ดังนั้นปัจจุบันจึงมีการเปิดชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยว ได้สัมผัสบรรยากาศแห่งวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ด ารงอยู่ร่วมกัน เช่น ชุมชนหัวตลาดใช้ชื่อ “กือดาจีนอ” ซึ่งเป็นค าเรียก ตลาดจีนในภาษามลายูมุสลิมมาเป็นชื่อแหล่งท่องเที่ยว เปิดให้ชาวมุสลิมและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมชุมชน ๒๑ สัมภาษณ์ อรรถพร อารีหทัยรัตน์, อายุ ๗๑ ปี ชาวมุสลิมที่อาศัยบริเวณชุมชนหัวตลาด และมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ๒๒ เอกสัก เมืองสองสี, “บ้านเก่าบอกเล่าวัฒนธรรม ลมหายใจอันแผ่วเบาของชุมชนหัวตลาด,” รูสมิแล. ๓๑ (๒) (พฤษภาคม – สิงหาคม ๒๕๕๓), หน้า ๕๘. “เราเป็นชุมชนที่น่าสนใจนะครับ ถนนอาเนาะรูในอดีตเป็นคนจีน ด้านหลังเป็นมุสลิม ฝั่งนี้เป็น ชุมชนมุสลิมที่หนาแน่น ด้านนู้นที่เป็นโรงเรียนจองฮั้ว สมัยก่อนเป็นวังของน้องชายเจ้าเมือง ปัตตานี เพราะฉะนั้นเราถูกล้อมรอบด้วยมุสลิม แต่เราอยู่ร่วมกันมาได้นานหลายร้อยปี สมัยก่อนบ้านคุณปู่ผมจะเปิดประตูหลังบ้านให้คน “ฝั่งนู้น” คือ มุสลิม ได้เดินมาตลาดได้เลย ไม่ต้องอ้อม คนก็เดิน ใช้ชีวิตกันเหมือนพี่น้อง เป็นญาติเพื่อนฝูง ไม่มีแบ่งแยกกันเลย” “เมื่อก่อนมุสลิมชอบไปดูพิธีลุยไฟ และชอบไปดูงิ้วในงานเจ้าแม่ งิ้วจะมีทั้งงิ้วแต้จิ๋ว และ งิ้วไหหล า ถ้าเป็นงิ้วถวายเจ้าแม่สมุทรจะเป็นงิ้วไหหล า เป็นงิ้วสากล มีพูดภาษาไทยด้วย คนที่ชอบดูจะดูจนดึก”


๑๔ มีกิจกรรมฐานการเรียนรู้ “การท า Magnet สามวัฒนธรรม” เพื่อเป็นของที่ระลึกและของฝาก ส่วนชุมชนอาเนาะซูงา ที่เป็นชุมชนใกล้เคียงก็มีป้ายแสดงเส้นทางเดินเท้าเพื่อประกอบกิจกรรมต่าง ๆ บนถนนอาเนาะรู ถนนปัตตานี- ภิรมย์ และถนนปาลาเละ ดังข้อความบนป้ายประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในชุมชนว่า “ชุมชนพหุวัฒนธรรมที่มีทั้ง ไทยพุทธ มุสลิม และคนไทยเชื้อสายจีน อยู่ด้วยความรัก ความสามัคคี พึ่งพาอาศัย และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ซึ่งชุมชนยังคงรักษาวิถีความเป็นอาเนาะซูงาไว้จวบจนปัจจุบัน” ชุมชนหัวตลาดจึงเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัว เข้าหากัน และประนีประนอมกัน นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงมิติพหุวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ การท า Magnet สามวัฒนธรรม หนึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน หัวตลาด (ภาพและข้อมูล: เอกสาร ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวกือดาจีนอ) ป้ายประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ในชุมชนอาเนาะซูงา ที่ติดตั้ง บริเวณถนนปัตตานีภิรมย์ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๑๕ ถนนอาเนาะรู (ถ่ายภาพจากฝั่งทิศตะวันตก) เส้นทางสายประวัติศาสตร์ของชาวจีนหัวตลาด (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ท่าน้ าและทางเดินจากท่าริมแม่น้ าปัตตานี ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของชุมชนหัวตลาด บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส าคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งเคยเป็นสถานที่ที่ในหลวง รัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จขึ้นจากเรือเพื่อไปยังชุมชน และเป็น ท่าเรือขนส่งสินค้ามาแต่อดีต (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๑๖ ๒) เสน่ห์แห่งชุมชนเก่าแก่ ชุมชนแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน มีอาคาร สถาปัตยกรรมแบบจีน และแบบอื่น ๆ ที่เก่าแก่สะท้อนร่องรอยเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรมของชาวจีนหลากหลายตระกูลที่เชื่อมโยงเกี่ยวดองกัน อาคาร แต่ละหลังจึงบันทึกความทรงจ าอันล้ าค่าของชุมชนไว้ เช่น ๑ ๓ ๒ ๔ ๕ ที่มา : https://bankhunpitakraya.com


๑๗ ๑ – “บ้ านเลขที่ ๑” เดิมเป็นบ้ านของน างตันเบ้งจู น างตันเบ้งจูเป็นบุต รส าวคนโตของ หลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน) บ้านหลังนี้เป็นบ้านทรงจีน ๒ ชั้น เดิมเป็นอาคารเดียวกัน กับบ้านเลขที่ ๓ และ ๓/๑ หลังบ้านเป็นสวนที่ปลูกต้นไม้ ดอกไม้สารพัดชนิด พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่น ามาจากเมืองจีน และจังหวัดสงขลา ต่อมาแบ่งพื้นที่บ้านออกเป็นสองส่วนคือบ้านเลขที่ ๑ และบ้านเลขที่ ๓ เป็นบ้านกัปตันจีน ที่มีระเบียงหันออกไปทางฝั่งแม่น้ าปัตตานี เพื่อคอยสอดส่องตรวจตราเรือที่จะเข้าเทียบท่า ๒ – “บ้านรังนก” คือบ้านเลขที่ ๓ และ บ้านเลขที่ ๓/๑ เหตุที่เรียกว่าบ้านรังนก เพราะเป็นบ้านหลังแรก ในจังหวัดปัตตานีที่มีนกนางแอ่นมาอาศัยท ารัง เดิมมีตัวอาคารเดียวกันกับบ้านเลขที่ ๑ ภายหลังแบ่งบ้านเลขที่ ๓ ออกเป็นสองส่วนคือบ้านเลขที่ ๓ และ ๓/๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ขุนพจน์สารบาญ (บั่นลก คณานุรักษ์) ถึงแก่กรรม เมื่อเสร็จสิ้นพิธีบ าเพ็ญกุศลที่บ้านกงสี มีการไหว้ถามพระกวนเต้กุ๊น พระเซียงเต้เอี่ย และพระองค์อื่น ๆ ซึ่งเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจ าตัวของพระจีนคณานุรักษ์(ตันจูหลาย) ว่าประสงค์จะให้ผู้ใดดูแลรุ่นต่อไป ปรากฏว่าทอดเบี้ย เสี่ยงทายได้นายสุวิทย์ คณานุรักษ์ จึงอัญเชิญพระชุดดังกล่าวมาประดิษฐานที่บ้านรังนก และได้อัญเชิญเข้าร่วมพิธี หามพระลุยน้ า ลุยไฟในงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นประจ าทุกปี บ้านหลังนี้ยังถือเป็นสถานที่จัดกิจกรรมก่อนพิธีมหาสมโภช คือ ก่อนเริ่มงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีการเชิญองค์พระในศาลเจ้าเล่งจูเกียงไปร่วมชมโนราที่บ้านรังนก ๒ องค์ โดยเริ่มช่วงเช้าของวันที่ ๑๑ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติจีน และเชิญกลับมายังศาลเจ้าช่วงเช้าวันที่ ๑๔ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติจีน เพื่อเตรียมเข้าสู่พิธีมหาสมโภชในรุ่งเช้า อย่างไรก็ตาม พ.ศ. ๒๕๖๕ นี้ไม่มีการเชิญพระหมอ และเจ้าแม่มายัง บ้านรังนก เพราะสถานการณ์โรคระบาด ๓ – “บ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ” บุตรชายคนโตของหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง ผู้เป็นต้นตระกูล คณานุรักษ์หลวงสุนทรสิทธิโลหะมีอิทธิพลทางการค้าและการปกครองชาวจีนในชุมชนหัวตลาด ตลอดจนชาวจีน ในปัตตานี บ้านหลังนี้แบ่งพื้นที่เป็นส่วน คือ ส่วนที่เป็นสวนภายในอาคาร กับพื้นที่อาคารส่วนหน้า ปัจจุบันคน ในตระกูลวัฒนายากรได้กรรมสิทธิ์ในการสืบทอดดูแล อาคารหลังนี้จัดแสดงสิ่งของโบราณจ านวนมาก ซึ่งช่วย บันทึกความทรงจ าและวิถีชีวิตทั้งของคนในตระกูลและคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี ดังรูปจ าลองการแสดงงิ้ว เรื่องสามก๊กในภาพข้างต้น ๔ – “บ้านกงสี” บ้านเลขที่ ๒๗ เป็นบ้านเดิมของหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง ภายในบ้านมีห้องโถงส าหรับ ประดิษฐานเทพเจ้าต่าง ๆ ของตระกูล ด้านซ้ายจะเป็นตรอกแคบ ๆ ใช้เป็นทางเข้าออกของข้าทาสโดยเฉพาะเมื่อ ข้าทาสเสียชีวิต เพราะธรรมเนียมจีนห้ามน าศพข้าทาสออกทางประตูใหญ่ของบ้าน ๕ – “พิพิธภัณฑ์ขุนพิทักษ์รายา” ขุนพิทักษ์รายาเป็นบุตรชายของพระจีนคณานุรักษ์ ประกอบกิจการ เหมืองแร่ บ้านขุนพิทักษ์รายาเป็นบ้านไม้ ๒ ชั้น ๒ คูหา รูปแบบบ้านประยุกต์สถาปัตยกรรมท้องถิ่นเข้ากับ สถาปัตยกรรมจีน สถานที่ตั้งของบ้านเป็นชุมชนหัวตลาดจีน ด้านหน้าบ้านติดถนน ด้านหลังบ้านติดแม่น้ าปัตตานี และเป็นท่าเรือขนส่งสินค้า หากยืนมองจากระเบียงหลังบ้านจะเห็นเรือสินค้าเข้ามาเทียบท่าก่อนผู้ใด


๑๘ บ้านของขุนพิทักษ์รายาตกทอดมาสู่บุตรสาวชื่อ นางวไล วัฒนายากร (ซุ่ยเอี้ยน) นางวไลสมรสกับ พระยาอุดรธานี ผู้ว่าราชการเมืองปัตตานีคนที่ ๑๐ มีบุตรสาว ๑ คน คือนางศรีสุมาลย์ นายอนุพาสน์ สุวรรณมงคล บุตรของนางศรีสุมาลย์เป็นผู้ริเริ่มฟื้นฟูบ้านขุนพิทักษ์รายาให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง และจัดท าเป็นพิพิธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ บ้านขุนพิทักษ์รายาได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นบ้านทรงคุณค่าปัตตานี แบบสถาปัตยกรรมเรือนแถวจีน และ พ.ศ. ๒๕๖๔ องค์กร UNESCO Asia-Pacific ได้ยกย่อง “บ้านขุนพิทักษ์รายา ปัตตานี” เป็นอาคารทรงคุณค่าที่คู่ควรมรดกทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์อีก เช่น - บ้านเลขที่ ๕ ปัจจุบันได้มอบกรรมสิทธิ์ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีเพื่อประโยชน์ ทางการศึกษาและท านุบ ารุงศิลปวัฒนธรรม มีการจัดแสดงภาพถ่ายเก่าของชุมชนที่ทรงคุณค่ายิ่ง - หอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ตั้งอยู่ด้านข้างศาลเจ้า เล่งจูเกียง สร้างและดูแลโดยมูลนิธิเทพปูชนียสถาน (เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ปัตตานี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบด้วย อาคาร ๒ หลัง อาคารด้านหน้าจัดแสดงต านานพระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และการเดินทาง ของชาวจีนฮกเกี้ยนมาสู่ดินแดนปัตตานีส่วนอาคารด้านหลังจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชุมชนหัวตลาด วิถีชีวิต ชาวจีนชุมชนหัวตลาด และเครื่องประกอบพิธีมหาสมโภช เช่น เกี้ยวองค์พระต่าง ๆ เกี้ยวมหามงคล และวัตถุ ที่เคยใช้ในการประกอบพิธีกรรม เป็นต้น ด้านหน้าบ้านเลขที่ ๕ และภาพถ่ายเก่าของคนในชุมชนหัวตลาดที่จัดแสดงภายในบ้านเลขที่ ๕ บ้านหลังนี้เดิมเป็น บ้านของชาวจีนแซ่เซียว (สกุลรัตนไพศาล) ชาวฮกเกี้ยนมณฑลฝูเจี้ยนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในชุมชน หัวตลาด (ผู้อนุญาตให้เผยแพร่ภาพถ่ายที่จัดแสดงในบ้านเลขที่ ๕: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี)


๑๙ ๓) เสน่ห์แห่งศรัทธา เสน่ห์แห่งศรัทธา คือความศรัทธาของชาวจีนหัวตลาดที่มีต่อ “พระ” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐาน ในศาลเจ้าของชุมชน เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีนหัวตลาดมานับแต่อดีตตราบจนปัจจุบัน นับว่าเป็นเสน่ห์ที่ส าคัญ และทรงพลังยิ่งของชาวชุมชนหัวตลาด ดังจะกล่าวละเอียดในบทถัดไป ว วงงง วสวว ด้านหน้าและด้านในหอนิทรรศน์ สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ตั้งอยู่ด้านข้างศาลเจ้าเล่งจูเกียง มูลนิธิเทพปูชนียสถาน (เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ปัตตานี เป็นผู้ดูแล (ภาพถ่ายบน: พิมพ์นภัส จินดาวงค์) (ภาพถ่ายล่าง: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๒๐ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวองค์จ าลองประดิษฐานในเกี้ยวใหญ่มหามงคลที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อตอบสนอง ความเชื่อและศรัทธาของทั้งคนในและนอกชุมชนที่มีต่อองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เกี้ยวนี้จัดแสดงภายในหอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๒๑ บทที่ ๒ ต านานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนหัวตลาด ชาวจีนมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาแต่ครั้งยังอาศัยอยู่ ณ มาตุภูมิ เมื่ออพยพย้ายถิ่นมายังดินแดนใหม่ ก็ได้สร้างศาลเจ้าขึ้นในชุมชนโดยอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพบูชามาเป็นองค์ประธานของศาลเจ้า ศาลเจ้า ในชุมชนชาวจีนจึงมีบทบาทหลากหลาย เช่น การเป็นศูนย์รวมใจของคนในชุมชนให้มีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นศูนย์กลางในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เป็นแหล่งรักษาขนบประเพณี วัฒนธรรรมแบบจีนซึ่งช่วย ธ ารงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ให้ถูกกลืนกลายหายไป ศาลเจ้าของชุมชนหัวตลาด ต าบลอาเนาะรู อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีแห่งนี้ หากมองผิวเผินก็คง เห็นว่าเหมือนกับศาลเจ้าอื่น ๆ หากแท้จริงแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้มีพัฒนาการความเป็นมาที่สืบเนื่องมานับแต่สมัย กรุงศรีอยุธยา ความศรัทธาต่อองค์เทพเจ้าที่ผูกร้อยกับความเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน ชาวเรือที่ต้องอาศัยการคมนาคม ทางน้ าในการประกอบธุรกิจ และผูกพันกับความศรัทธาของคนในตระกูลต่าง ๆ ท าให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีเอกลักษณ์ และเป็นต้นธารไปสู่การสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในพื้นที่อื่น ๆ หรือการประกอบพิธีกรรมของศาลเจ้าอื่นด้วย ในหัวข้อนี้จะน าเสนอสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวชุมชนหัวตลาด พร้อมกับต านานขององค์เทพเจ้า หรือ “พระ” ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของคนในชุมชน ตลอดจนคนนอกชุมชน แบ่งเป็น ๒ หัวข้อ คือ ๑) ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และ ๒) สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๒.๑ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” หรือที่รู้จักแพร่หลายว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ตั้งอยู่บนถนนอาเนาะรู ต าบล อาเนาะรู อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ผู้ศรัทธาเดินทางมาสักการะองค์เทพเจ้าและเยี่ยมชมเป็นจ านวนมาก เนื่องด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าและความเก่าแก่ของศาลเจ้า ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” มาแต่เดิม จากประวัติชุมชนที่ได้น าเสนอในบทที่ ๑ จะเห็นว่ามีการบันทึกชื่อศาลเจ้าเดียวกันนี้หลายชื่อ ทั้งนี้เพราะการวิวัฒน์พัฒนาของศาลเจ้าที่ด าเนินมา อย่างสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ชุมชนหัวตลาด และความรุ่งเรืองของตระกูลหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน)


๒๒ บน: ศาลเจ้าเล่งจูเกียงในอดีต (ที่มา: ไม่ปรากฏนามเจ้าของภาพ ภาพนี้ได้รับ การเผยแพร่ในเฟซบุ๊กเพจ “คนหามพระศาลเจ้าเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี” ซึ่งผู้ดูแลเพจอนุเคราะห์ภาพ ให้เผยแพร่เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาได้) ล่าง: ศาลเจ้าเล่งจูเกียงในปัจจุบัน (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๒๓ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง มีประวัติเรียงตามล าดับช่วงเวลา ดังนี้ ราว พ.ศ. ๒๑๑๗ เป็นช่วงเวลาที่ปรากฏในป้ายจารึกเก่าของศาลเจ้า นายเคี่ยม สังสิทธิเสถียร ได้เคยแปล จารึกในศาลเจ้าว่า สร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง ศักราชบ้วนเละ ปีที่ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า “ศาลเจ้าปุนเถ้ากง” ซึ่งโดยทั่วไปศาลปุนเถ้ากงหมายถึงศาลเจ้าประจ า ชุมชนหรือตลาดของชาวจีน ศาลปุนเถ้ากงไม่ได้มีเทพเจ้าเฉพาะเจาะจง ดังนั้นจะพบว่าศาลปุนเถ้ากงแต่ละแห่ง อาจมีเทพเจ้าประจ าศาลเจ้าต่างกัน ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานว่าศาลปุนเถ้ากงที่ปัตตานีในสมัยนั้นมีเทพเจ้าองค์ใด ประจ าศาลเจ้ามาก่อน๒๓ ชื่อ “ศาลเจ้าปุนเถ้ากง” นี้อาจรับรู้และเรียกกันสืบมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังปรากฏนามของศาลเจ้า ในพระราชนิพนธ์เรื่อง ชีวิวัฒน์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ว่า “ฟากถนนด้านเหนือสุด มีศาลเทพารักษ์จีนชื่อว่าปุนเถ้าก๋ง เปนตึกเก๋งจีนใหญ่” ๒๔ พ.ศ. ๒๔๐๗ (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔) จากบันทึกของนายอนันต์ คณานุรักษ์ เล่าว่าบรรพบุรุษ ของตระกูลคณานุรักษ์ คือหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน) ได้ริเริ่มบูรณะศาลเจ้าแห่งนี้ ราว พ.ศ. ๒๔๐๗ หลังจากที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและท าหน้าที่ดูแลเรื่องภาษีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ๒๕ ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๑ วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชด าเนินไปยังชุมชนตลาดจีน ซึ่งในจดหมายเหตุรายวันของ สมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศได้บันทึกชื่อศาลเจ้าว่า “ศาลเจ้าซูก๋อง” จึงสันนิษฐานได้ว่าอาจมีการก าหนดให้องค์ พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกงเป็นองค์ประธานของศาลเจ้า และเรียกชื่อศาลเจ้าจากศาลเจ้าปุนเถ้ากง มาเป็น “ศาลเจ้า โจวซือกง” ก่อนช่วงเวลาที่จะมีการเสด็จพระราชด าเนิน มูลเหตุของการอัญเชิญพระหมอโจวซือกงมาประดิษฐานในศาลเจ้า การเปลี่ยนชื่อศาลเจ้าและเทพ องค์ประธานของศาลเจ้า เนื่องจากมีชาวบ้าน๒๖พบขอนไม้สีด าลอยมาติดอยู่ที่คลองอาเนาะซูงา บริเวณสะพาน บั่นเฉ้ง ถนนปัตตานีภิรมย์ในปัจจุบัน จึงใช้มีดขอสับขึ้นมาเพื่อน าไปเป็นไม้ฟืน ปรากฏว่ามีน้ าสีแดงคล้ายเลือด ไหลมาจากท่อนไม้นั้น องค์พระหมอโจวซือกงได้ประทับทรงชาวบ้านผู้นั้นแล้วอุ้มท่อนไม้นั้นขึ้นมาจากคลอง พระจีนคณานุรักษ์บุตรชายของหลวงส าเร็จกิจกรจางวางทราบเรื่องจึงรีบมาดูพบว่าท่อนไม้นั้นแท้จริงแล้ว เป็นไม้แกะสลักองค์พระขนาดใหญ่ จึงอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าปุนเถ้ากง สถิตเป็นองค์ประธานของศาลเจ้า ชาวบ้านจึงเรียกศาลเจ้าปุนเถ้ากงว่า “ศาลเจ้าโจวซือกง” เป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนในเมืองตานี๒๗ ๒๓ ปานเทพ คณานุรักษ์, เกร็ดความรู้เกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. ๒๕๕๘. (เอกสารไม่ตีพิมพ์ ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เขียน) ๒๔ สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข, ชีวิวัฒน์, หน้า ๖๖. ๒๕ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ๒๖ เล่ากันว่าเป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ๒๗ ปานเทพ คณานุรักษ์, เกร็ดความรู้เกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. ๒๕๕๘. (เอกสารไม่ตีพิมพ์ ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เขียน)


๒๔ ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากอัญเชิญพระหมอมาประดิษฐานที่ศาลแล้ว คงจะเป็นช่วงที่มีการอัญเชิญ รูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าแห่งนี้จนน ามาสู่การเปลี่ยนชื่อดังที่รับรู้กันในปัจจุบัน มูลเหตุการเปลี่ยนแปลงของศาลเจ้าดังกล่าวสัมพันธ์กับประวัติของพระจีนคณานุรักษ์ ปานเทพ คณานุรักษ์ กล่าวว่า คุณพระจีนคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นกัปตันจีนหรือนายอ าเภอจีนในสมัยนั้นได้ป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จึงได้ไปไหว้พระโจวซือกงซึ่งเป็นพระประธานในศาลเจ้า พระโจวซือกงได้ประทับร่างทรง แล้วบอกให้หลวงจีนคณานุรักษ์ (บรรดาศักดิ์ในขณะนั้น) ไปกราบไหว้ขอเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ต าบล กรือเซะให้ช่วยรักษา ร่างทรงของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้ขอให้หลวงจีนคณานุรักษ์อัญเชิญวิญญาณของท่าน ไปประทับที่ศาลเจ้า หลังจากโรคร้ายหายแล้วปรากฏว่าหลวงจีนคณานุรักษ์ได้ลืมค ามั่นสัญญาที่ให้ไว้ ท าให้โรคเดิม ส าแดงอาการอีก จึงรีบไปกราบไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หลวงจีนคณานุรักษ์ให้ช่างแกะสลักไม้มะม่วงหิมพานต์ ที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวใช้ผูกคอตายเป็นรูปเคารพของเจ้าแม่ฯ ตามค าบอกเล่าของร่างทรงแล้วอัญเชิญไปประทับ ที่ศาลเจ้า หลังจากนั้นศาลเจ้าได้เปลี่ยนชื่อ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” มาจนปัจจุบัน แม้ว่าองค์เทพประธานของศาลเจ้าจะยังคงเป็นพระหมอโจวซือกงดังเดิม แต่ด้วยความศรัทธาของผู้คน ที่มีต่อองค์เจ้าแม่ ท าให้มีการเรียกชื่อศาลเจ้าว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” อย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน พระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล้าย) บุตรชายของหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากรัชกาลที่ ๕ ให้ท าหน้าที่ดูแลเรื่องภาษี และยังมีกิจการเหมืองแร่ด้วย นอกจากมีหน้าที่ปกครองดูแลชุมชนหัวตลาดแล้ว ยังด ารงต าแหน่ง “ผู้จัดการศาลเจ้าคนแรก” (ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: ปานเทพ คณานุรักษ์)


๒๕ ทายาทของพระจีนคณานุ- รักษ์ ทั้งตระกูลคณานุรักษ์ และตระกูลวัฒนายากร ต่างก็ ไ ด้ รั บ สืบ ทอ ด ต า แ ห น่ ง ผู้จัดการศาลเจ้าเล่งจูเกียง สืบต่อกันมา โดยมีกรรมการ ศาลเจ้าที่มาจากตระกูลอื่น ร่วมดูแลบริหารจัดการ ศาลเจ้าด้วย


๒๖ กระถางธูปพระราชทาน ตั้งอยู่บนแท่นบูชาหน้าองค์พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง ล าดับจากซ้ายไปขวา คือ ซ้าย: กระถางธูปพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา ในรัชกาลที่ ๖ กลาง: กระถางธูปเครื่องสังเค็ดงานพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ ซึ่งรัชกาลที่ ๖ พระราชทานแก่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ขวา: กระถางธูปพระราชทานจากรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์, ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: ปานเทพ คณานุรักษ์) ศาลเจ้าเล่งจูเกียงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยและพระบรมวงศานุวงศ์มานับตั้งแต่ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชด าเนินไปยังศาลเจ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีพระวรราชชายา ในรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานกระถางธูปแก่ศาลเจ้า โดยเฉพาะกระถางธูปพระราชทานจากรัชกาลที่ ๖ นั้นเป็น เครื่องสังเค็ดในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ จึงมีตรา จปร ประดิษฐานบนกระถางธูป ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะด ารง พระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จ พระราชด าเนินไปยังศาลเจ้าหลายครั้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อศาลเจ้าเล่งจูเกียงและชาวชุมชนหัวตลาด ทั้งยังแสดงถึงพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีต่อองค์เทพเจ้าในศาลเจ้าด้วย


๒๗ พระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งเสด็จพระราชด าเนินไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียง เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙


๒๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งเสด็จพระราชด าเนินไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียง เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ (ภาพพระราชกรณียกิจ: ปานเทพ คณานุรักษ์)


๒๙ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ น า ง เ จ้ า สิ ริ กิ ติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด าเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปยัง ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ (ภาพพระราชกรณียกิจและข้อมูล: พันฤทธิ์ วัฒนายากร) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะด ารง พระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด าเนินไปศาลเจ้าเล่งจูเกียงและชุมชน หัวตลาด เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นวันเดียวกับ ๒๕ ปีก่อนซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนีของพระองค์เคยเสด็จ พระราชด าเนินไปศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นการส่วนพระองค์ ในการนี้ได้พระราชทานกระถางธูป แก่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง และเสด็จพระราชด าเนินไปยังบ้านของประธานมูลนิธิเทพ ปูชนียสถาน และผู้จัดการศาลเจ้าเล่งจูเกียงในสมัยนั้น (ภาพพระราชกรณียกิจและข้อมูล: ปานเทพ คณานุรักษ์)


๓๐ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าเล่งจูเกียง อาคารศาลเจ้าเล่งจูเกียงเป็นศาลเจ้าชั้นเดียวแบบจีน แบ่งเป็นโถงกลาง ปีกขวา ปีกซ้าย และห้องพระ ด้านหลังซึ่งสร้างต่อเติมขึ้นใหม่ โถงกลางแบ่งเป็นด้านนอกและด้านใน โถงกลางด้านนอกเป็นสถานที่จ าหน่าย ธูปเทียนและกระดาษทองมีโต๊ะรับเงินท าบุญและให้ยืมเงินขวัญถุง เชื่อกันว่าถ้ายืมเงินเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นเงินขวัญถุงจะท าให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ผู้ยืมต้องลงชื่อและจ่ายเงินคืนเป็นจ านวน ๒ เท่าของเงินที่ยืม คนชุมชนหัวตลาดในอดีตนิยมเรียกศาลเจ้าว่า “โรงพระ” และเรียกองค์เทพเจ้าว่า “พระ” ชื่อพิธีกรรมจึง เชื่อมโยงกับขนบดังกล่าว อาทิพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเรียกว่า “พิธีหามพระ” การไหว้เทพแต่ละองค์ จะใช้ธูป ๓ ดอก เว้นแต่เทวดาฟ้า-ดินและเทพประตูซ้ายขวาที่ใช้ธูป ๑ ดอก ล าดับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาล เริ่มจากเทวดาฟ้า-ดิน เทพประตูซ้ายขวา จากนั้นเข้าสู่ห้องกลาง โถงด้านขวา ห้องพระด้านหลัง และห้องโถง ด้านซ้ายตามล าดับ ในส่วนนี้จะน าเสนอข้อมูล “พระ” องค์ต่างๆ ตามล าดับการสักการะที่ศาลเจ้าก าหนดไว้ ดังนี้ ะ ะ ะ (ผู้จัดท า: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๓๑ องค์พระหมอ ๒ องค์ และน้องพระหมอ ๒ องค์ ประดิษฐานบนแท่นกลางของห้องโถง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ๑) พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกงเป็นเทพองค์ประธานของศาลเจ้าเล่งจูเกียง แท่นประดิษฐานองค์พระหมอ ประกอบด้วยองค์พระ ๔ องค์มีองค์ใหญ่ ๒ องค์ คือ “องค์พระหมอ” และองค์ขนาดย่อม ๒ องค์ซ้ายขวา เรียกว่า “น้องพระหมอ” องค์พระขนาดใหญ่ทางขวาเป็นองค์พระหมอเดิมที่เล่ากันว่าลอยน้ ามาที่บริเวณสะพานบั่นเฉ้ง ส่วนองค์ด้านซ้ายสร้างขึ้นใหม่เพื่ออัญเชิญไปในพิธีมหาสมโภชและพิธีกรรมอื่น ๆ เป็นการอนุรักษ์องค์พระหมอ องค์ดั้งเดิมที่ได้รับผลกระทบจากกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ในภาพจะเห็นว่าองค์ทางซ้ายมิได้ทรงเสื้อผ้าอาภรณ์ เพราะเพิ่งอัญเชิญเข้าประดิษฐานบนแท่น หลังจากพิธีมหาสมโภชเสร็จสิ้นในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๕ พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกงก าเนิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในมณฑลฮกเกี้ยน เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๑๕๘๗ (ค.ศ. ๑๐๔๔) เดิมชื่อเหนินยิ่ง แซ่เฉิน หรือแซ่ตัน ต่อมาได้อุปสมบทแล้วได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์หมิงซ่งซึ่งมี ความรู้ความสามารถในการรักษาโรคและมีวิชาอาคม เมื่อส าเร็จวิชาแล้ว ท่านได้ช่วยชาวบ้านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และช่วยหมู่บ้านแห่งหนึ่งประกอบพิธีขอฝนจนฝนตกลงมาท าให้ได้รับความศรัทธาของศาสนิกชนเป็นอันมาก องค์พระหมอ ๒ องค์และน้องพระหมอ ๒ องค์ประดิษฐานบนแท่นกลางของห้องโถง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๓๒ ต่อมาท่านทราบล่วงหน้าว่าจะมรณภาพ จึงเดินทางไปร่วมงานเลี้ยง แล้วได้ช่วยฮ่องเต้โดยการดื่มน้ าโสมผสมยาพิษ แทนท าให้ท่านมีร่างกายเป็นสีด าและมรณภาพในเวลาต่อมา ฮ่องเต้จึงพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “จ้าวเหยินต้าซือ” และพระราชทานเสื้อคลุมมีสัญลักษณ์มังกรสีทองเพื่อคลุมร่าง ดังจะเห็นจากองค์พระหมอของศาลเจ้าเล่งจูเกียง เหตุการณ์มรณภาพของพระหมอตามที่ปรากฏในต านานของศาลเจ้า โดยฮ่องเต้ได้พระราชทานเสื้อคลุมมังกรทอง เพื่อคลุมร่างโจวซือกง ประติมากรรมนี้จัดแสดงที่หอนิทรรศน์สานอารยธรรม (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) พระโจวซือกงเป็นเทพที่ชาวจีนฮกเกี้ยนทั่วโลกเคารพศรัทธา เช่นเดียวกับที่ชุมชนหัวตลาดแห่งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน๒๘ การเคารพและยกย่องพระหมอเป็นประธานของศาลเจ้าจึงสัมพันธ์กับชาติพันธุ์ ของกลุ่มชน นอกจากนี้ยังถือว่าพระหมอคือองค์ประธานของศาลเจ้า เพราะมีสถานภาพเป็น “พระสงฆ์” ที่ผู้คน ต่างเคารพบูชา เป็นองค์พระที่ลอยมาติดที่สะพานบั่นเฉ้งและแสดงอภินิหารให้ประจักษ์คนชุมชนหัวตลาด ในอดีตยังเลื่อมใสต่ออภินิหารการรักษาโรคของพระหมอ นิยมมาเสี่ยงเซียมซียาเพื่อซื้อสมุนไพรมาต้มกิน แม้ปัจจุบันจะไม่มีการเสี่ยงเซียมซียาหรือเข้าทรงพระหมอเพื่อรักษาโรคแล้ว แต่ความศรัทธายังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย น่าสังเกตว่า แม้ศาลเจ้าอื่น ๆ จะก าหนดให้พระหมอเป็นเทพประธานของศาลเจ้าเหมือนกัน แต่องค์พระหมอ ที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียงมีลักษณะเด่นต่างจากที่อื่น เช่น การเรียกท่านว่า “พระหมอ” และลักษณะผ้าคลุมที่สัมพันธ์ กับต านานพระหมอของศาลเจ้า เป็นต้น นอกจากนี้เครื่องทรงขององค์พระหมอที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียงสามารถถอด เปลี่ยนได้ หากถอดหมวกและผ้าคลุมจะเห็นองค์พระศีรษะโล้น นั่งขัดสมาธิอย่างไรก็ตามมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าใบหน้า ขององค์พระหมอคล้ายคลึงกับใบหน้าของหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ซึ่งเป็นวัดที่ตระกูลคณานุรักษ์อุปถัมภ์ ๒๘ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๓๓ ๒) ถ้ าเสือ ถ้ าเสือตั้งอยู่ใต้แท่นพระหมอ ในป้ายล าดับการไหว้ เรียกว่าตี๋จู่เอี้ย ปานเทพ คณานุรักษ์ อธิบายว่า “ถ้ าเสือ” เป็นชื่อเรียกที่คนในชุมชนเรียกมาแต่เดิม มีในศาลเจ้าฮกเกี้ยน ทุกแห่ง โดยเป็นที่สถิตของเทพผู้พิทักษ์ปะร าพิธีเบื้องล่าง ในพิธีกรรม “หลวงปู่ไต้ฮงโจวซือ” ณ ศาลเจ้าแม่- กอเหนี่ยว (ฉื่อเซี่ยงตึ้ง) จังหวัดยะลา สังเกตได้ว่ามีการก าหนดนามและมีเครื่อง ทรงคือ “จีวร” ซึ่งต่างไปจากของศาลเจ้า เล่งจูเกียง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ใบหน้าองค์พระหมอ ศาลเล่งจูเกียง และหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ถ้ าเสือใต้แท่นประดิษฐานพระหมอ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๓๔ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และน้องสาวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ๓) เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และน้องสาวเจ้าแม่ แท่นเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานอยู่ฝั่งซ้ายของแท่นพระหมอ ภายในประดิษฐานองค์พระ ๓ องค์ ประกอบด้วย องค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๒ องค์ คือ องค์ซ้ายและองค์กลาง องค์กลางคือองค์เจ้าแม่ดั้งเดิมที่เชื่อว่า แกะสลักในสมัยพระจีนคณานุรักษ์ ส่วนองค์ซ้ายเป็นองค์ที่สร้างขึ้นใหม่ส าหรับอัญเชิญไปประกอบพิธีมหาสมโภช และพิธีอื่น ๆ เพื่อเป็นการอนุรักษ์องค์เดิมไว้ไม่ให้เสียหาย ส่วนองค์ขวาคือ น้องสาวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีหลากหลายส านวน ส านวนเก่าที่สุดเท่าที่พบขณะนี้คือส านวนที่ปรากฏใน พงษาวดารเมืองปัตตานีซึ่งบันทึกในสมัยรัชกาลที่ ๕ เล่าว่า สมัยนางพระยาปัตตานี (มีบุตรชาย) ให้หล่อปืนใหญ่ ๓ กระบอก สถานที่หล่อคือ ริมบ้านกะเสะ (กรือเซะ) ซึ่งผู้รับหน้าที่คุมหล่อปืน คือ ชาวจีนฮกเกี้ยนแซ่ลิ้ม ชื่อเคี่ยม ซึ่งภายหลังได้ตั้งบ้านเรือนที่กรือเซะ นับถือศาสนาอิสลาม และมีภรรยาชาวมลายู ชาวบ้านเรียก หลิมโต๊ะเคี่ยม น้องสาวชื่อ “เก๊าเนี่ยว” ติดตามมาอ้อนวอนให้พี่ชายกลับเมืองจีน แต่พี่ชายไม่ยอมกลับ เก๊าเนี่ยวจึงผูกคอตาย ซึ่ง “ผู้พี่ก็จัดแจงศพเก๊าเนี่ยวน้องสาวฝังไว้ที่ในต าบลบ้านกะเสะ ท าเปนฮ่องสุยปรากฏอยู่ตลอดมาจนเดี๋ยวนี้” ที่น่าสนใจคือ ต านานส านวนนี้กล่าวว่าชาวจีนเมืองปัตตานีในเวลานั้นนับถือว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวว่า “เปนผู้หญิง บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง เปนคนรักชาติตระกูลอย่างหนึ่ง ได้มีการเส้นไหว้เสมอทุกปีมิได้ขาดที่ศพเก๊าเนี่ยวนี้” นับเป็น หลักฐานส าคัญที่ท าให้เห็นว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเทพประจ าถิ่นของปัตตานี มีต านานที่เชื่อมโยงอยู่กับสถานที่ จริง และอนุมานได้ว่าชาวจีนในเมืองปัตตานีมีพิธีเซ่นไหว้บูชาเจ้าแม่ประจ าทุกปีมาก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕


๓๕ น่าสนใจว่าต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเนี่ยวส านวนอื่น ๆ ต่อมาได้มีรายละเอียดที่น่าสนใจ อาทิส านวนของ ตระกูลคณานุรักษ์ที่ระบุชัดเจนว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ และมีน้องสาวของเจ้าแม่ ติดตามมาจากเมืองจีนด้วย ความหลากหลายของต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จึงถือเป็นเสน่ห์ประการหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความศรัทธาต่อองค์เจ้าแม่ที่แพร่หลายไปในกลุ่มชนจ านวนมากจนเกิดต านานหลากหลายส านวน เหตุการณ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตาย พี่ชายคือลิ้มโต๊ะเคี่ยมประคองศพน้องสาว ร่ าไห้ด้วยความอาลัย เมื่อเจ้าแม่ถึงแก่กรรมแล้ว ดวงวิญญาณได้เป็นเทพบนสรวงสวรรค์ มีเทพองค์อื่นห้อมล้อมมากมาย ประติมากรรมนี้จัดแสดงที่หอนิทรรศน์สานอารยธรรม (พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) จากต านานในส านวนพงษาวดารเมืองปัตตานีท าให้สันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่พระจีนคณานุรักษ์ ให้แกะสลักองค์เจ้าแม่จากต้นมะม่วงหิมพานต์ แล้วอัญเชิญมาประดิษฐานยังศาลเจ้าโจวซือกงนั้นอาจเป็นช่วง หลังจากที่พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) เรียบเรียงพงศาวดารฉบับนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เป็นได้ แต่ก็เป็นไปได้ เช่นกันว่าอาจเกิดขึ้นก่อนเรียบเรียงพงศาวดารทั้งนี้ยังต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าต่อไป เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจ านวนมาก คนในชุมชนให้ข้อมูลว่าได้ประสบพบเจอกับ เหตุการณ์เสี่ยงอันตรายหรือมีการบนบานศาลกล่าวก็แคล้วคลาดปลอดภัยและประสบความส าเร็จ ดังกรณีของ นายชูโชติ เลิศลาภลักขณา เล่าว่าขณะปฏิบัติหน้าที่ทหารพราน คืนหนึ่งเจ้าแม่มาเข้าฝัน ปรากฏว่าวันต่อมาเกิดเหตุ กราดยิงแต่เขารอดชีวิตมาได้ หรือในเหตุการณ์อุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ า รถยนต์เสียหายอย่างหนัก แต่ปรากฏว่า องค์เจ้าแม่หล่นลงมาตั้งบนตักของเขาและตัวเขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จึงเชื่อว่าเจ้าแม่ช่วยปกป้องคุ้มครอง ให้แคล้วคลาดปลอดภัย ๒๙ นอกจากนี้ในอดีตเมื่อชาวมุสลิมในชุมชนกรือเซะจะประกอบพิธีเข้าสุหนัด ก็ต้องมาไหว้ ๒๙ สัมภาษณ์ ชูโชติ เลิศลาภลักขณา, ลูกหลานชุมชนหัวตลาดและเป็นผู้มีบทบาทในการจัดกิจกรรมของชุมชน, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๓๖ เครื่องเซ่นไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจ านวนมาก บนโต๊ะด้านหน้าแท่นประดิษฐานเจ้าแม่และน้องสาว จากภาพจะเห็นกล่องบรรจุขนมเต่าจ านวนมาก มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จ านวนของไหว้นี้สะท้อนให้เห็นพลังศรัทธาที่ผู้คน มีต่อองค์เจ้าแม่ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) เจ้าแม่ก่อนเพื่อให้เลือดหยุดเร็ว แผลดีเป็นต้น๓๐ นับว่าเจ้าแม่มีความศักดิ์สิทธิ์ในแง่ของความเมตตา ซึ่งไม่เพียง เฉพาะคนในชุมชนหรือจังหวัดปัตตานีเท่านั้น แต่คนจากทั่วประเทศ ตลอดจนประเทศอื่น ๆ อาทิ คนจีนในประเทศ มาเลเซียก็ยังศรัทธาต่อองค์เจ้าแม่ด้วยเช่นกัน การบูชาเจ้าแม่ในศาลเจ้าเล่งจูเกียงนั้นสังเกตได้ว่ามีการถวายสิ่งต่าง ๆ จ านวนมาก เช่น สร้อยมุก เครื่องประดับ เครื่องส าอาง ประทัด และขนม ที่น่าสนใจคือ “ขนมเต่า” ซึ่งท าเป็นรูปเต่าทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เชื่อว่าการถวายขนมเต่าจะมีอานิสงส์ให้อายุยืนยาวเหมือนเต่าได้ ๓๐ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๓๗ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เทพเจ้าประจ าถิ่นแห่งดินแดนปัตตานี (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๓๘ ๔) เจ้าบาดาล เจ้าบาดาล ประดิษฐานอยู่ด้านล่าง ข้างแท่นเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวติดกับก าแพงฝั่งซ้ายของห้องกลาง มีลักษณะคล้ายเจว็ดแบบไทย แต่เป็นทรงตรง และเป็นแท่งคล้ายศิลาจารึก แต่สูงชะลูดและเรียวเล็กกว่า ๕) พระแป๊ะกง แท่นพระแป๊ะกงประดิษฐานอยู่ทางด้านขวาของห้องกลาง พระแป๊ะกงเป็นองค์เจ้าที่ปกป้องดูแลศาลเจ้า มาแต่เดิมอาจมีมาแต่เมื่อครั้งยังเรียกว่า “ศาลเจ้าปุนเถ้ากง” จึงได้รับความส าคัญในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดั้งเดิม ของศาลเจ้าและของชุมชน ๖) ไต๋ก๋ง องค์ไต๋ก๋งตั้งอยู่ด้านล่าง ข้างแท่นพระแป๊ะกง ติดกับก าแพงฝั่งขวาของห้องกลาง มีลักษณะเป็นป้ายไม้ มีตัวอักษรจีนสามตัวสลักอยู่บนแผ่นไม้นั้น ต านานเล่าว่าไต๋ก๋งคือผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หลังจากเจ้าแม่ถึงแก่กรรม ได้ปฏิญาณไม่ขอกลับเมืองจีนจะอยู่ในเรือเพื่อรอลิ้มโต๊ะเคี่ยม พี่ชายของเจ้าแม่กลับ เมืองจีนจนเสียชีวิตอยู่ในน้ า น่าสังเกตว่าการบูชา “เจ้าบาดาล” และ “ไต๋ก๋ง” คงจะสัมพันธ์กับวิถีชีวิตชาวเรือของคนในชุมชนหัวตลาด ในอดีตซึ่งต้องเดินทางและใช้การขนส่งทางเรือในการประกอบธุรกิจ ซ้าย: เจ้าบาดาล ขวา: ไต๋ก๋ง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


Click to View FlipBook Version