๘๙ - พิธีลุยไฟ หลังจากแห่พระรอบชุมชนเรียบร้อยแล้ว เกี้ยวองค์พระจะกลับมายังศาลเล่งจูเกียงเพื่อประกอบพิธีลุยไฟ สถานที่ประกอบพิธีลุยไฟ คือ ลานกว้างบริเวณหน้าศาล มีการกั้นพื้นที่ด้วยรั้วเหล็กสีแดงเพื่อแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๒ ส่วน คือ พื้นที่ประกอบพิธีและพื้นที่ส าหรับการรับชม จุดที่ใช้ก่อไฟ คือ จุดที่เกี้ยวพระหมอลงปักหลักเมื่อตอน เช้าตรู่ กองไฟในลานพิธีผ่านการท าพิธีแล้วเมื่อเวลา ๐๘.๓๒ น. ตามฤกษ์ที่ได้จากการทอดเบี้ยถามองค์พระ การก่อไฟจะใช้ถ่านและทางมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิง ถ่านที่ใช้ในการก่อไฟเป็นถ่านที่ประทับตราศักดิ์สิทธิ์และ พรมน้ ามนต์มาแล้ว เช่นเดียวกับทางมะพร้าวที่ล้างมาแล้วอย่างสะอาด ใบมะพร้าวส่วนหนึ่งประทับตราศักดิ์สิทธิ์ และพรมน้ ามนต์ก่อนน ามาใช้ในพิธีเช่นเดียวกัน ใกล้กับบริเวณที่ใช้ก่อกองไฟ มีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมเกลือ และข้าวสารส าหรับซัดเข้ากองไฟระหว่างท าพิธี การซัดข้าวสารและเกลือเข้ากองไฟเชื่อว่าเป็นการปัดรังควาน อย่างหนึ่งดังกล่าวแล้ว๔๑ ในพิธีลุยไฟ ผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดได้มาเข้าร่วมพิธีเช่นเดียวกับพิธีลุยน้ าในช่วง เช้า ล าดับพระที่จะเข้าลุยไฟมีดังนี้ ๑. พระหมอ ๒. เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๓. ไฉ่ซิงเอี๊ยะ ๔. แป๊ะกง เกี้ยวของเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเกี้ยวเดียวที่มีนักแสดงโนราเดินตามหลังเกี้ยว ตามที่เชื่อกันว่าเจ้าแม่ชอบการแสดงโนรา เมื่อถึง เวลาอันเหมาะสม ขบวนแห่องค์พระจะเริ่มเดินลุยไฟ ในการลุยไฟนั้นนอกจากเกี้ยวองค์พระแล้วยังมีผู้ถือ ขันน้ ามนต์ ผู้ถือแท่นอักษรมงคลฟันปลาฉนาก ผู้ถือหีบใส่ข้าวสารและเกลือพร้อมศาสตราวุธ และผู้ถือฟันปลา ฉนากเดินลุยไฟน าขบวนเกี้ยวด้วย เมื่อองค์พระลุยไฟครบทุกเกี้ยวแล้วจะปิดท้ายขบวนลุยไฟด้วยแป๊ะยิ้ม และสิงโตเชิด มีความเชื่อว่าการลุยไฟจะท าลายอาถรรพ์สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายและช่วยสะเดาะห์เคราะห์สร้างสิริมงคล แก่ผู้ลุยไฟด้วย มิเพียงแต่ผู้ลุยไฟเพียงเท่านั้น สิ่งของที่น ามาลุยไฟก็จะถูกช าระล้างความอัปมงคลออกไปกลายเป็น ของบริสุทธิ์ มีมงคล จึงพบว่ามีประชาชนที่อยู่นอกรั้วฝากของส่วนตัวแก่ผู้เข้าพิธีลุยไฟให้น าไปลุยไฟด้วย การหามเกี้ยวลุยไฟนั้น เกี้ยวหนึ่งจะเดินลุยไฟประมาณ ๔-๕ รอบ ทุก ๆ รอบผู้เข้าพิธีจะต้องเข้าไป รดน้ ามนต์ศักดิ์สิทธิ์จากโอ่งน้ ามนต์ซึ่งวางไว้ริมพื้นที่ประกอบพิธีเพื่อช าระมลทิน ให้การเข้าลุยไฟทุกรอบ เกิดความบริสุทธิ์ที่สุด ๔๑ ปานเทพ คณานุรักษ์. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่, ๒๕๕๘.
๙๐
๙๑ พิธีหามพระลุยไฟในอดีตมีการอัญเชิญเกี้ยวพระจ านวนมากเข้าร่วมพิธี ทั้งองค์พระจากศาลเจ้า เล่งจูเกียง และองค์พระจากตระกูลหรือบ้านต่าง ๆ ในภาพเป็นพิธีหามพระลุยไฟเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ส่วนภาพล่างขวา เป็นพิธีลุยไฟในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ อัญเชิญพระประกอบพิธีลุยไฟ ๔ องค์ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด ((ภาพใหญ่) ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: วิชาญ พรวิริยะมงคล) ((ภาพล่างขวา) ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๙๒ การเตรียมกองไฟและการก่อกองไฟก่อนถึงพิธีลุยไฟ ฤกษ์ก่อกองไฟที่ได้จากการโป้ยเสี่ยงทายใน พ.ศ. ๒๕๖๕ คือ เวลา ๐๘.๓๒ น. คณะผู้จัดงาน เตรียมถ่าน ทางมะพร้าว เกลือ ข้าวสาร ที่ผ่านพิธีกรรมเรียบร้อยแล้วเพื่อใช้ในการลุยไฟ จากภาพจะเห็นการแบ่งหน้าที่ระหว่างชายต่างวัย ผู้อาวุโสจะดูแลและควบคุมกองไฟ (เสื้อสีน้ าเงิน) ส่วนชายหนุ่มเป็นผู้หามเกี้ยว และเชิญวัตถุศักดิ์สิทธิ์เข้าลุยไฟ (เสื้อสีด า) (ภาพถ่าย: (บน) พิมพ์นภัส จินดาวงค์ (ล่าง) ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๙๓ พิธีลุยไฟมีการแบ่งพื้นที่ประกอบพิธีกรรมและพื้นที่ส าหรับผู้เข้าร่วมพิธี อย่างชัดเจนโดยกั้นรั้วเหล็กสีแดง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๙๔ เกี้ยวพระหมอ (บน) และเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ล่าง) ในพิธีลุยไฟ สังเกตสีหน้าของผู้หามเกี้ยว ว่าแม้ต้องเดินลุยไฟที่ร้อนระอุแต่ก็มีความสุขและมีความเด็ดเดี่ยวที่จะเดินฝ่าไฟไปด้วยพลังศรัทธา (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๙๕ การลุยไฟ ชายผู้หามเกี้ยวพระหมอ (บน) และเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ล่าง) ต้องเดินผ่านเปลวไฟ แต่กระนั้นผู้หามเกี้ยวก็ไม่หวาดหวั่น สังเกตว่าข้างกองไฟมีผู้ซัดเกลือและข้าวสารเข้ากองไฟ อยู่ตลอดเพื่อปัดรังควาน (ภาพถ่าย: พรศักดิ์พัฒน์แช่ม)
๙๖ นักแสดงโนราเดินลุยไฟตามเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ซ้าย) ส่วนนักแสดงพรานบุญตามเกี้ยวพระหมอ (ขวา) (ภาพซ้าย: พรศักดิ์พัฒน์แช่ม) (ภาพขวา: ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก เจ้าพ่อเสือ (หน้าทอง) แห่งศาลเจ้าเล่งจูเกียง) การหามเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลุยไฟในอดีต ว (ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: อธิวัฒน์ ริมสมุทร)
๙๗ การหามเกี้ยวพระหมอลุยไฟในอดีต มีทั้งนักแสดงโนราและพรานบุญเกาะไม้หลังทั้งสองด้าน (ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: คุ้มพัฒน์พลาเวชกิจ บุตรชายของบุคคลในภาพคือ สุรินทร์ พลาเวชกิจ ผู้หามเกี้ยวพระหมอไม้หน้าบ่าซ้าย หรือด้านขวาของภาพ)
๙๘ บน: เกี้ยวแป๊ะกงเจ้าที่ขณะเข้าพิธีลุยไฟ แสดงศรัทธาของผู้หามเกี้ยว ล่าง: ผู้หามเกี้ยวเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเดินลุยไฟโดยมีแป๊ะยิ้มและสิงโตเชิดเดินตามในการลุยไฟรอบสุดท้าย (ภาพถ่าย: พรศักดิ์พัฒน์แช่ม)
๙๙ ผู้ร่วมลุยไฟ ถือว่าเป็นบุคคลที่ได้ผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในการช าระล้างมลทินและสะเดาะเคราะห์ ทั้งจากการ “ลุยน้ า” และ “ลุยไฟ” มีผู้ฝากสร้อยมุกให้ผู้ลุยไฟสวมใส่ เพื่อให้สร้อยนั้นได้ “ผ่านพิธี” บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์แก่วัตถุ ควรแก่การน ามาถวายพระในบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้านเรือนและคนในครอบครัว (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) การรดน้ ามนต์ช าระร่างกายผู้เข้าพิธีลุยไฟจะรดทุกรอบตั้งแต่ศีรษะลงมา เพื่อให้ร่างกายเกิดความบริสุทธิ์ในเชิงพิธีกรรม (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๐๐ - พิธีลาไฟ หลังจากประกอบพิธีลุยไฟเรียบร้อยแล้วเกี้ยวจะเคลื่อนกลับเข้าสู่ศาลเจ้า ด้านนอกบริเวณลานพิธี ผู้ท าหน้าที่ในพิธีลุยไฟทุกคนทั้งคนหามเกี้ยว คนถือเครื่องประกอบพิธี คนซัดเกลือและข้าวสารเข้ากองไฟ คนดูแล ถ่านและทางมะพร้าว รวมถึงคนรดน้ ามนต์ให้ผู้เข้าพิธีแต่ละรอบ จะมารวมตัวกันหน้ากองไฟเพื่อประกอบพิธีลาไฟ เป็นการแสดงความเคารพต่อกองไฟ ในพิธีลาไฟจะมีการถวายของไหว้แก่กองไฟประกอบด้วย ธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง หัวหมู เหล้า ผลไม้ ๕ อย่าง ได้แก่ ส้ม แก้วมังกร องุ่น สาลี่ และกล้วย ทั้งยังมี การเก็บถ่านที่ใช้ในพิธีปีนี้ส าหรับเป็นเชื้อไฟในพิธีปีหน้าด้วย ผู้มีหน้าที่ในพิธีลุยไฟมารวมตัวกันที่ลานประกอบพิธีลุยไฟหน้าศาลเจ้าเพื่อประกอบพิธีลาไฟ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๐๑ เครื่องสักการะกองไฟและเถ้าถ่านที่ใช้ประกอบพิธีลุยไฟ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์) หลังพิธีลาไฟแล้วเสร็จ ผู้ท าหน้าที่ในพิธีลุยไฟร่วมกันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วยความอิ่มเอมใจ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๐๒ - การอัญเชิญพระกลับสู่แท่นประทับ เมื่อขบวนเกี้ยวกลับเข้าสู่ศาล ผู้ประกอบพิธีจะอัญเชิญพระลงจากเกี้ยวเพื่ออัญเชิญกลับไปยังแท่นประทับ ขั้นตอนการอัญเชิญจะใช้ไฟปัดรังควานเพื่อสร้างความบริสุทธิ์แก่องค์พระตลอดเวลา การอัญเชิญพระประทับ บนแท่นจะใช้กระดาษเงินกระดาษทองปึกใหญ่วางรองฐานพระเสียก่อนแล้วจึงประดิษฐานพระบนแท่นได้ เมื่อพระ ประดิษฐานบนแท่นเรียบร้อยแล้ว ผู้อัญเชิญจะลงมากราบพระถือเป็นอันเสร็จพิธี พิธีอัญเชิญพระไฉ่ซิงเอี๊ยะขึ้นจากเกี้ยว กลับเข้าประดิษฐานบนแท่น ในศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๑๐๓ - ภาคกลางคืน (การแสดงมหรสพถวายเทพเจ้า) ช่วงเวลากลางคืน ฝั่งตรงข้ามศาลเจ้าจัดการแสดง ๒ เวที ได้แก่ เวทีแสดงโนราและเวทีแสดงงิ้ว การแสดง ทั้งสองประเภทจัดขึ้นสืบเนื่องจากความเชื่อว่า เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวชอบการแสดงโนรา ส่วนพระหมอ องค์ประธาน ของศาลเจ้าชอบการแสดงงิ้ว ผู้มีจิตศรัทธาจึงร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดมหรสพทั้งสองประเภทถวายเป็นเครื่องส าเริง ส าราญแด่เทพเจ้าทั้งสองในปีนี้การแสดงโนราเป็นการร่ายร าตามจังหวะดนตรีพื้นถิ่น แสดงให้เห็น ความอ่อนช้อยงดงามและสนุกสนานในคราวเดียวกัน ส่วนการแสดงงิ้ว เจ้าภาพเลือกเรื่องราวเกี่ยวกับบุตรสาว กตัญญู ซึ่งเป็นเรื่องที่มีแนวคิดเดียวกันกับต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาใช้แสดง ผู้เข้าชมการแสดงพบว่ามีทั้ง ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยพุทธพื้นถิ่น และชาวมุสลิม เวทีการแสดงโนรา นักแสดงแต่งกายงดงามออกมาร่ายร าตามจังหวะดนตรีที่บรรเลงอย่างสนุกสนาน เพื่อเป็นมหรสพถวายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)
๑๐๔ ผู้มีจิตศรัทธาในท้องถิ่นร่วมกันเป็นเจ้าภาพจ้างคณะงิ้วมาแสดงงิ้วเรื่องราวเกี่ยวกับ ลูกสาวกตัญญู เป็นมหรสพถวายเจ้าแม่และพระหมอ (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๐๕ พิธีแห่พระของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง อ าเภอสายบุรี: ความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนปัตตานีต่างพื้นที่ หลังพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสิ้นสุดลง วันถัดมาที่อ าเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี มี “งานสมโภช เจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง ตลาดสายบุรี” ของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง หรือที่รู้จักกันในกลุ่มคนสายบุรีว่า “พระหมอ เมืองสายบุรี” ความโดดเด่นของพิธีหามพระที่อ าเภอสายบุรี คือ วิธีการหามเกี้ยวที่หามแล้วปักเกี้ยวลงดิน วิธีการหามเกี้ยวเช่นนี้พบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย คณะผู้วิจัยเดินทางมาเข้าร่วมพิธีด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพิธีกรรมและเปรียบเทียบความเหมือนต่างของพิธีกรรม ๒ แห่งเพื่อให้เห็นลักษณะเฉพาะของพิธีกรรม แต่ละแห่ง งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกงจัดขึ้นเป็นเวลา ๕ วัน วันที่คณะผู้วิจัยเดินทางไปร่วมพิธีตรงกับวันจัดพิธี หามพระลุยน้ าทะเล พิธีกรรมจัดขึ้น ณ หาดวาสุกรี อ าเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ผู้ประกอบพิธีหลัก คือ ร่างทรง และคนหามเกี้ยว พระที่อัญเชิญมาลุยน้ าทะเลมีทั้งสิ้น ๘ องค์ ได้แก่ ๑) ตี่ฮู้อ่องเอี้ย องค์ประธาน ๒) ยี่เล่าเอี้ย ๓) ซาเล่าเอี้ย ๔) ตั่วเล่าเอี้ย (องค์จ าลองบางตะโล๊ะ) ๕) ปุ้นเฒ่าก๋ง ๖) ฟูซายก๊อง หรือพระลูกหว้า ๗) กวนอิมปุดจ้อ ๘) ม่าจ้อโป๋ พิธีหามพระลุยทะเลจัดขึ้นในเวลาเช้า ก่อนถึงเวลาประกอบพิธีกรรม มีการลงหลักปักเขตโดยน า “เต็กฮู้” หรือยันต์ไม้ไผ่ไปปักบริเวณอาณาเขตพิธีเพื่อให้อ านาจศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอาณาเขตพื้นที่ประกอบพิธีกรรมให้อยู่ใน ความสงบเรียบร้อย ไม่มีอุปสรรคมาแผ้วพาน จากนั้นจึงจัดโต๊ะบูชาเทพเจ้าโดยหันหน้าโต๊ะไปยังทะเล ของบูชา เทพเจ้าบนโต๊ะประกอบด้วยผลไม้ ๕ ชนิด ได้แก่ กล้วย สับปะรด แอปเปิล ส้ม และแก้วมังกร ถ้วยน้ าชาใหญ่ ๕ ถ้วย ถ้วยน้ าชาเล็ก ๕ ถ้วย หัวหมู จันอับ ๓ สี ได้แก่ สีขาว สีน้ าตาล และสีชมพู หน้าโต๊ะบูชาเป็นเนินทรายเล็ก ๆ ส าหรับปักธูป ถัดจากนั้นเป็นหลุมทรายส าหรับเป็นที่เผากระดาษเงิน กระดาษทอง ผู้ประกอบพิธีเป็นร่างทรงผู้ชายจ านวน ๖ คน ร่างทรงทุกคนถือแส้ประจ าตัว ขวานธงสีด ายอดธง เสียบด้วยกริช มีร่างทรง ๑ คนท าหน้าที่ถือฟันปลาฉนาก เมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ ร่างทรงจะสวดคาถาและประกอบพิธีหน้าโต๊ะบูชา หลังจากนั้นจะเปิดให้ประชาชน ผู้เข้าร่วมพิธีน ากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาที่หลุมทรายหน้าโต๊ะบูชา เป็นการไหว้บูชาเจ้าที่ บางคนเชื่อว่าเป็น การสะเดาะเคราะห์ด้วย เมื่อเกี้ยวทั้ง ๘ เกี้ยวมาถึงชายหาดก็จะเริ่มประกอบพิธีหามพระลุยน้ าลงทะเล เมื่อลุยน้ าจนเป็นที่พอใจ ของเทพเจ้าแล้วผู้หามเกี้ยวจะหามเกี้ยวขึ้นชายหาด เกี้ยวจะถูกหามไป-มาอย่างไร้ทิศทางเนื่องจากเชื่อว่าเป็น แรงกระท าขององค์เทพที่คนหามไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อเกี้ยวถูกหามไปได้สักครู่หนึ่งเกี้ยวจะปักลงดินอันเป็น
๑๐๖ สัญลักษณ์ว่าเทพเจ้าพึงพอใจการหามเกี้ยวรอบนั้นแล้ว ผู้หามเกี้ยวคนใหม่จะเข้ามาผลัดเปลี่ยนแทนที่คนเก่า เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนจบพิธี ผู้จัดงานได้จ้างโนราและวงดนตรีพื้นเมืองมาแสดงถวายความส าราญแด่องค์เทพ ด้วย นับเป็นการน าศิลปะการแสดงพื้นถิ่นมาผสมผสานกับพิธีกรรมจีนได้อย่างลงตัว หลังเสร็จสิ้นพิธีหามพระลุยน้ าทะเลที่หาดวาสุกรีแล้ว ช่วงบ่ายคณะผู้วิจัยได้เดินทางตามขบวนเกี้ยวไปที่ “ลานหน้าถ้ าคนธรรพ์” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ถ้ าปิดสายบุรี” ซึ่งตั้งอยู่หลังส านักงานเทศบาลต าบลตะลุบัน อ าเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี มีเรื่องเล่าว่าถ้ าแห่งนี้เป็นที่อยู่ของคนธรรพ์ ภายในถ้ ามีทรัพย์สินมีค่าจ านวนมาก ชาวบ้านเคยหยิบยืมจากคนธรรพ์ไปใช้และไม่น ามาคืนหลายครั้ง ท าให้คนธรรพ์ปิดถ้ า ไม่ให้ผู้ใดยืมสมบัติ ได้อีก ชาวปัตตานีเชื่อว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนให้ความนับถือและมีพิธีสักการะเป็นประจ าทุกปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อเกี้ยวมาถึงลานหน้าถ้ า คนหามเกี้ยวได้หามเกี้ยวขึ้นไปยังปากถ้ าเพื่อบอกกล่าว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจ าถิ่น เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติและยอมรับอ านาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าของพื้นที่เดิม หลังจาก ลงมาจากปากถ้ า เกี้ยวทั้งหมดก็เริ่มแห่ไปตามเสียงดนตรี เมื่อถึงจังหวะเกี้ยวปักลงดินอันแสดงว่าเทพเจ้าพอใจ การหามรอบนั้นแล้ว คนชุดใหม่ก็ผลัดเข้ามาหามแทน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นพิธี ขบวนเกี้ยวเทพเจ้าเดินทางต่อไปยังศาลตี่ฮู้อ่องเอี้ย (ศาลเก่า) ซึ่งเป็นดั่งศาลพี่ศาลน้องกับศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงที่ตลาดสายบุรี เมื่อขบวนเกี้ยวมาถึงศาลตี่ฮู้อ่องเอี้ย มีการจุดประทัด บรรเลงดนตรี หามเกี้ยวปักดิน จากนั้น น าเกี้ยวเข้ามาในศาล เคาะขาเกี้ยวที่โต๊ะบูชา ๓ ครั้ง แล้วน าเกี้ยวออกไปแห่หน้าศาลอีกครู่หนึ่งแล้วจึงแห่กลับไปยัง ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงเพื่อท าพิธีลุยไฟในล าดับถัดไป การแห่เกี้ยวมาท าพิธี ณ ศาลเก่านี้ นับว่าเป็นการแสดงออก ถึงการสานสัมพันธ์ระหว่างศาล ๒ ศาลให้คงอยู่อีกทางหนึ่งและยังเป็นการให้ความเคารพและร าลึกถึงสถานที่เก่า ที่องค์เทพเคยประทับ จากการเก็บข้อมูลพิธีสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง และพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ผู้วิจัยสังเกตเห็นความเหมือน-ต่างของพิธีกรรมทั้งสอง ดังนี้ ๑. ผู้หามเกี้ยวในพิธีของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงเป็นผู้ใดก็ได้ ทั้งคนในและคนนอกชุมชนสามารถเข้ามาหาม เกี้ยวได้ แต่ละไม้ของเกี้ยวไม่มี “เจ้าของประจ า” เพราะสามารถผลัดคนเข้ามาหามใหม่ได้ตลอด เมื่อเกี้ยวปักดิน ในขณะที่ศาลเล่งจูเกียงจะมี “เจ้าของประจ าที่” ซึ่งเป็นคนตระกูลต่าง ๆ ในชุมชน ๒. ที่ศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง อ าเภอสายบุรี ผู้หญิงสามารถมีบทบาทเป็นผู้หามเกี้ยวได้ เพียงแต่ก าหนดว่า เกี้ยวที่ผู้หญิงจะหามได้ต้องเป็นเกี้ยวของเทพเจ้าหญิงเท่านั้น ในขณะที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ผู้ชายเท่านั้น ที่สามารถหามเกี้ยวได้ ๓. พิธีกรรมลุยน้ าที่อ าเภอสายบุรีไม่มีการแบ่งพื้นที่ระหว่างผู้ประกอบพิธีและผู้เข้าชม ผู้เข้าชมสามารถ พลิกบทบาทกลายเป็นผู้ประกอบพิธีได้ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในการหามเกี้ยว ในขณะที่พิธีกรรม ของศาลเจ้าเล่งจูเกียงไม่มีลักษณะเช่นนั้น
๑๐๗ ๔. ลักษณะการหามเกี้ยวในงานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง ตลาดสายบุรี จะมีความดุดันและรุนแรง มากกว่าที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ๕. การหามเกี้ยวปักดินในพิธีกรรมที่อ าเภอสายบุรีมีวัตถุประสงค์หลากหลาย ทั้งเป็นการแสดงว่าเทพเจ้า พอใจการหามเกี้ยวในรอบนั้นแล้ว ทั้งเป็นการบอกจุดที่มีสิ่งอัปมงคลฝังอยู่ นอกจากนี้สมัยก่อนที่ผู้คน ยังพึ่งพิงสูตรยาจากศาลเจ้าในการรักษาโรค จะหามเกี้ยวออกไปหาต าแหน่งวัตถุดิบในการปรุงยา เมื่อเกี้ยวปักลงที่ใดให้ใช้วัตถุดิบจากต าแหน่งนั้นมาปรุงยา ๖. พิธีกรรมของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงมีการใช้ร่างทรงประกอบพิธี ส่วนพิธีกรรมที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียงไม่มี ๗. งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกงของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง ไม่มีขั้นตอนการปักหลักแสดงอาณาเขตเช่นพิธี สมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวของศาลเจ้าเล่งจูเกียง ๘. ทั้งพิธีกรรมของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียงและศาลเจ้าเล่งจูเกียงล้วนน าการแสดงพื้นบ้านถิ่นใต้อย่างโนรา มาผสมผสานในพิธี พิธีแห่พระของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง อ าเภอสายบุรีจังหวัดปัตตานี มีบทบาทส าคัญต่อชาวจีนฮกเกี้ยน และชาวจีนไหหล าในพื้นที่ อาทิ การประกอบพิธีลุยน้ า จะหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของประเทศจีนซึ่งเป็น “มาตุภูมิ” ของบรรพชน การเซ่นไหว้ริมทะเลเป็นการส่งเครื่องเซ่นไหว้ ความร าลึกถึง และความกตัญญูไปถึงญาติพี่น้อง ที่เมืองจีน๔๒ พิธีนี้จึงสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาของชาวจีน ขณะเดียวกันก็มีบทบาทในฐานะพื้นที่ ที่เอื้อให้ชาวไทยเชื้อสายจีนชุมชนหัวตลาด อ าเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนเหมือนกันได้สร้าง เครือข่าย “ชาวไทยเชื้อสายจีนปัตตานี” ด้วย ชาวชุมชนหัวตลาดไม่เพียงรับรู้ถึงการจัดพิธีแห่พระที่สายบุรีเท่านั้น แต่ยังได้มีส่วนร่วมในการจัดงาน และเข้าร่วมพิธีแห่พระของศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง นัยหนึ่งนับเป็นการ “เชื่อม” ชาวจีนปัตตานีต่างพื้นที่ให้มี ความเป็นหนึ่งเดียว สะท้อนให้เห็นความกลมเกลียวของ “ชาวไทยเชื้อสายจีนปัตตานี” ๔๒ สัมภาษณ์ วิชัย วงศ์ทยานิธิ, อายุ ๖๐ ปี เป็นผู้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมมาแต่วัยเยาว์, ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.
๑๐๘ บรรยากาศหาดวาสุกรี สถานที่ประกอบพิธีหามพระลุยน้ าทะเลที่อ าเภอสายบุรี จากภาพร่างทรงก าลังท่องคาถาอยู่หน้าโต๊ะไหว้ที่หันหน้าไปยังทะเล (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) การหามเกี้ยวปักดินเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของพิธีกรรมในงานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง สังเกตได้ว่าผู้หามเกี้ยว ม่าจ้อโป๋ในภาพ เป็นผู้หญิงทั้งหมดซึ่งเป็นเอกลักษณ์อีกประการ ของการหามเกี้ยวที่สายบุรี (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๐๙ การอัญเชิญเกี้ยวเทพเจ้าเข้ามาชมการแสดงดนตรีพื้นถิ่นและการแสดงโนรา ที่ผู้จัดงานน ามาแสดงถวาย (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ลานหน้าถ้ าคนธรรพ์หรือถ้ าปิดสายบุรี สถานที่อีกหนึ่งแห่งที่ขบวนเกี้ยวเดินทางมาประกอบพิธี โดยเกี้ยวทั้งแปดจะขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าของพื้นที่เดิมหน้าปากถ้ าก่อนเริ่มพิธี (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๑๐ บรรยากาศการหามพระหน้าถ้ าปิดสายบุรี (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์) ศาลตี่ฮู้อ่องเอี้ย (ศาลเก่า) ถือเป็นศาลพี่ศาลน้องกับศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง เทพเจ้าในศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นชุดเดียวกับเทพเจ้าในศาลเจ้าจ่ายเฮงเกียง จากภาพคือบรรยากาศหน้าศาลในวันประกอบพิธี (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๑๑ บน: เทพเจ้าเล่าเอี๊ยะกงและเครื่องเซ่นไหว้ ล่าง: เกี้ยวจากศาลจ่ายเฮงเกียงเข้ามาคารวะเทพเจ้าประจ าศาลตี่ฮู้อ่องเอี้ย ลักษณะการคารวะ มีทั้งการน าไม้หน้าของเกี้ยวแตะยังโต๊ะไหว้ ๓ ครั้ง และการปักเกี้ยวลงพื้น (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)
๑๑๒ ความส่งท้าย การเก็บข้อมูลพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานีในครั้งนี้ท าให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง ต านาน ความเชื่อ พิธีกรรม กลุ่มคน และสังคม ข้อมูลคติชนอย่างต านานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นแหล่งเก็บบันทึกความเชื่อ และความทรงจ าเกี่ยวกับการเข้ามายังดินแดนปัตตานีของชาวจีนยุคแรก ทั้งยังเป็น เครื่องรองรับและอธิบายความเป็นมาของพิธีกรรมอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน พิธีกรรมก็ช่วยถ่ายทอดต านาน ความเชื่อ และระเบียบแบบแผนที่สร้างโดยกลุ่มคนในสังคม โดยส่งต่อสิ่งเหล่านี้สู่สมาชิกในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น นับตั้งแต่อดีต เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและพระหมอแห่งศาลเจ้าเล่งจูเกียงเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชุมชน เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพและการรักษาโรคด้วยเซียมซียา แม้ปัจจุบันการแพทย์สมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่ การรักษาด้วยการเสี่ยงทายแล้ว แต่ศรัทธาของผู้คนต่อความศักดิ์สิทธิ์ด้านการรักษาโรคยังด ารงอยู่และยังคงเป็น ที่พึ่งทางใจให้คนทั้งในและนอกชุมชนเสมอมา ความศรัทธาอันเข้มข้น มั่นคงต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและ พระหมอแสดงให้เห็นผ่านการประกอบพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่จัดขึ้นเป็นประจ าทุกปี การมีบทบาทในพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีความส าคัญอย่างมากต่อชายชาวไทยเชื้อสายจีนในชุมชน มิเพียงแต่แสดงถึงการเป็น “ผู้รับใช้เทพ” ที่มีศรัทธาอันแรงกล้าเท่านั้น แต่การมีหน้าที่เป็นผู้หามเกี้ยว และหน้าที่อื่น ๆ ในพิธียังเป็นการแสดงพื้นที่ทางสังคมและบทบาททางสังคมของชายชาวไทยเชื้อสายจีนที่ส่งทอด ต่อกันมาในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น การเข้าร่วมประกอบพิธีกรรมยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางสังคมชาวจีนให้เข้มแข็ง สมาชิกในชุมชนยังได้เรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนในแต่ละช่วงวัย และเป็นการฝึกความกล้าหาญอดทนให้ชาย ชาวไทยเชื้อสายจีนในชุมชนด้วย นอกจากนี้พิธีกรรมยังแสดง “ความเป็นจีน” ให้เป็นที่ประจักษ์ในสังคม พหุวัฒนธรรม พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจึงมีบทบาทในการจัดระเบียบคนในชุมชน และเป็นสื่อที่ “ส่งสาร” ไปถึงผู้คนทั้งในชุมชนและนอกชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม การบันทึกพิธีกรรมที่เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๖๕ ถือเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์สังคม และวัฒนธรรม ของชาวไทยเชื้อสายจีนเมืองปัตตานีตลอดจนการด ารงอยู่ของพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในห้วงเวลา ที่มีสถานการณ์โรคระบาด การเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงเวลาดังกล่าวท าให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และเห็น การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมตามบริบทแวดล้อม เพื่อให้พิธีกรรมยังคงสื่อแสดงความเชื่อความศรัทธาของชาวไทย เชื้อสายจีนอย่างต่อเนื่องทุกปี เสน่ห์แห่งศรัทธานี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า “คติชน” มีความสัมพันธ์และส าคัญ ต่อวิถีชีวิตของผู้คนไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
๑๑๓ รายการอ้างอิง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว [Online]. (ม.ป.ป.) เข้าถึงจาก http://ich.culture.go.th/. สืบค้นเมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕. คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และ ภูมิปัญญาจังหวัดปัตตานี. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการ อ านวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๒. จดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการฝ่ายจัดท า หนังสือที่ระลึก ในคณะกรรมการอ านวยการจัดงานเฉลิมฉลองวาระ ๑๕๐ ปีพระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า, ๒๕๕๖. ชูโชติ เลิศลาภลักขณา, สัมภาษณ์๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ดรุณี แก้วม่วง และคณะ. “จีน: ผู้คนและวัฒนธรรมในภาคใต้” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม ๔. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒. ธาม วชิรกาญจน์ และโสภาพร ดวงดี. ตึกแถวประวัติศาสตร์: การคงอยู่และการแปรเปลี่ยน กรณีศึกษา ตึกแถว ชุมชน เก่าชาวจีนย่าน "หัวตลาด” ปัตตานี. รายงานการวิจัยสาขาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย, ๒๕๕๒. ธีรภัทร พรมนุชาธิป, สัมภาษณ์๑๔-๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ปานเทพ คณานุรักษ์. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่. ปานเทพ คณานุรักษ์. ค าให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด. [ออนไลน์] แหล่งที่มา https://panthepblog. wordpress.com. ปานเทพ คณานุรักษ์, สัมภาษณ์๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา). “พงศาวดารเมืองปัตตานี” ใน ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๓. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗. ปิยดา ชลวร. ประวัติศาสตร์ปัตตานีในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ จากบันทึกของจีน ริวกิว และญี่ปุ่น. เชียงใหม่: ส านักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, ๒๕๕๔. พันธุ์ฤทธิ์ วัฒนายากร, สัมภาษณ์๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. วิชัย วงศ์ทยานิธิ, สัมภาษณ์๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข. ชีวิวัฒน์. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๑. อรรถพร อารีหทัยรัตน์, สัมภาษณ์๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. เอกสัก เมืองสองสี. “บ้านเก่า บอกเล่าวัฒนธรรม ลมหายใจอันแผ่วเบาของชุมชนหัวตลาด” ใน รูสมิแล. ๓๑ (๒๕๕๓): ๕๗-๖๐.
๑๑๔
๑๑๕ ภาคผนวก หัวตลาดและศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี ปานเทพ คณานุรักษ์ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี” หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองของปัตตานีมาตั้งแต่ครั้งโบร่ าโบราณ ได้มีผู้น าประวัติของเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวไปเผยแพร่อย่าง มากมาย แต่ผู้เขียนเห็นว่ายังมีบางแง่มุมที่ไม่เคยมีท่านผู้ใดกล่าวถึง โดยเฉพาะแง่มุมของประวัติศาสตร์ ผู้เขียนจึงมี ความคิดที่จะเล่าเกร็ดความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความศรัทธาในเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ข้อมูลที่ใช้ประกอบใน การเขียนบทความครั้งนี้ผู้เขียนได้จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ได้ค้นคว้ารวบรวมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งเอกสารทาง ราชการ ต ารา และบันทึกของญาติผู้ใหญ่ รวมไปถึงค าบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นมิตรสหาย กับญาติผู้ใหญ่ของตระกูลคณานุรักษ์ รวมถึงประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ก่อนอื่นคงต้องท าความเข้าใจกันก่อนว่าบทความนี้ผู้เขียนรวบรวมสิ่งที่ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็นมาเขียนเป็น เรื่องเล่า ทั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นเอกสารวิชาการเพราะไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการ ไม่มีความ จ าเป็นต้องใช้บทความเพื่อขอต าแหน่งทางวิชาการใด ๆ ทั้งสิ้น จึงไม่มีการใส่เชิงอรรถระบุแหล่งข้อมูล แต่เพื่อเป็น ประโยชน์กับผู้ที่สนใจอยากไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในบางประเด็นจึงได้รวบรวมบรรณานุกรมไว้ท้ายบทความ จะเริ่มต้นจากพื้นเพว่าเหตุใดจึงมีชาวจีนมาอาศัยอยู่ในเมืองตานีซึ่งเป็นหัวเมืองมลายูที่ประชาชนส่วนใหญ่ นับถือศาสนาอิสลาม ชาวจีนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองตานีตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เท่าที่ปรากฏใน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนจากที่ William G. Skinner เขียนไว้ในบทความเรื่อง “สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์” (Chinese Society in Thailand : An Analytical History) ระบุว่ามีบันทึกของ พ่อค้าชาวฮอลันดา เมื่อพ.ศ. ๒๑๕๙ ซึ่งตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ระบุว่ามี ชาวจีนอาศัยอยู่ในเมืองตานีเป็นจ านวนมาก กล่าวได้ว่าแทบจะเดินชนกัน ซึ่งถ้าน ามาเทียบกับประวัติศาสตร์เมือง ปัตตานีในช่วงเวลานั้น เจ้าผู้ครองเมืองตานีเป็นช่วงต่อเนื่องระหว่างเจ้าหญิงฮียากับเจ้าหญิงบีรูที่ตั้งเมืองตานียังอยู่ บริเวณริมทะเลในต าบลตันหยงลุโละปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานส าคัญอีกชิ้นหนึ่งคือหลักจารึกหน้าฮวงซุ้ย โบราณที่ค้นพบที่ชายทะเลต าบลตันหยงลุโละที่ระบุว่าเป็นฮวงซุ้ยของสตรีที่ถึงแก่กรรมในสมัยปีหลิมสิน ศักราช บ้วนเละ แห่งราชวงศ์เหม็งซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๓๕ ย่อมชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยชาวจีนก็ได้เข้ามาอยู่ในเมืองตานี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เมืองตานียังอยู่ที่ริมทะเลต าบลตันหยงลุโละ ส่วนหัวตลาดของเราเป็นแหล่งพ านักของชาวจีนตั้งแต่สมัยไหน ข้อนี้ก็ได้มาจากเรื่องราวของศาลเจ้า เล่งจูเกียงหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเคยมีจารึกบอกเรื่องราวการก่อตั้ง แต่เป็นความโชคร้ายของพวกเรา
๑๑๖ ที่มันสูญหายไปจากการบูรณะตัวอาคาร บนความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่มีผู้จดบันทึกไว้ว่าศาลเจ้าแม่ของเรา ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยบ้วนเละ ปีที่ ๒ ก็ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ สมัยพระมหาธรรมราชา กรุงศรีอยุธยา จะเห็นว่าเป็น สมัยเดียวกับป้ายฮวงซุ้ยโบราณที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้ ถ้าจะว่าไปแล้วสมัยนั้นแถวหัวตลาดเราก็อาจจะเป็นชนบท ห่างไกลจากเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ที่ตันหยงลุโละ เป็นธรรมเนียมของชาวจีนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องตั้งศาลเจ้าประจ าชุมชน ที่เรียกว่าศาลปุนเถ้ากง เมืองปัตตานีตั้งอยู่ที่ตันหยงลุโละเป็นเวลา ๑๐๐ ปีเศษ จนกระทั่งถึงยุคของตนกูปะสา แห่งราชวงศ์ กลันตัน ซึ่งปกครองเมืองปัตตานีในช่วง พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๙ จึงย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่จะบังติกอ นี่น่าจะเป็นสาเหตุ ที่ท าให้ชุมชนชาวจีนที่หัวตลาดเจริญ เพราะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขึ้น ไม่พบเอกสารใด ๆ ที่กล่าวเจาะจงถึงหัวตลาดหรือชุมชนจีนเมืองปัตตานี จนกระทั่งมีรายงานการเดินทาง ของ William Cameron ในวารสาร Journal of Strait Branch of the Royal Asiatic Society ฉบับเดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งเป็นการเดินทางมาเมืองปัตตานีในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยเล่าว่าเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ห่างจากทะเลประมาณ ๒ ไมล์ ในเมืองมีหมู่บ้านชาวจีนที่มีถนนขึ้นมาจากแม่น้ า มีประตูใหญ่สร้างอย่าง แข็งแรงด้วยอิฐมีหลังคาอยู่ที่หัวถนนริมแม่น้ า ผ่านประตูเข้าไปเป็นบ้านเรือนร้านค้าก่อสร้างอย่างดีด้วยอิฐโบกปูน มีกัปตันจีนท าหน้าที่ควบคุมธุรกิจการค้ารวมถึงการขนส่งสินค้า ตลอดจนเป็นผู้เก็บภาษีขาเข้าขาออก และยังเป็น ตุลาการผู้มีอ านาจเต็มในการตัดสินคดีความของชาวจีน กัปตันจีนมีพี่ชายชื่อจูเบ้ง เป็นดาโต๊ะเหมืองแร่ เป็นนายอากรฝิ่นเป็นผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็ง มีอ านาจมากที่สุดในเมืองปัตตานี ทั้งดาโต๊ะจูเบ้ง กัปตันจีน และรายา ต่างก็ขึ้นกับเจ้าเมืองสงขลา เอกสารที่เล่าเรื่องหัวตลาดได้อย่างละเอียดที่สุดคือหนังสือชีวิวัฒน์ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางไปหัวเมือง ปักษ์ใต้ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ ทรงเล่าถึงเมืองปัตตานีไว้ว่า เมื่อล่องเรือจากปากอ่าวเข้ามาถึงแม่น้ าที่กว้าง ๒ เส้นเศษก็ราว ๆ ๘๐ เมตรเศษ เจอตึกจีน ๒ ชั้น ๓ หลังแฝด ของกัปตันจีนอยู่ริมน้ า มีประตูใหญ่ที่มุมถนน ผ่านประตูเข้าไปเป็นถนนกว้าง ๔ วา ก็คือ ๘ เมตร บริเวณ ๒ ฟาก ถนนเป็นตึกจีนท าเป็นร้านค้าสลับกับโรงจากยาวไปประมาณ ๓ เส้น หรือ ๑๒๐ เมตร เดินไปจนสุดถนนจะเป็นศาล เทพารักษ์จีนเป็นตึกเก๋งจีนใหญ่ชื่อว่าปุนเถ้าก๋ง บริเวณในเขตประตูใหญ่นี้เรียกว่า “ท้องตลาดจีน” ประชาชนในปัตตานีมีจ านวนประมาณ ๒ หมื่นคนเศษ เป็นชาวจีนประมาณ ๖๐๐ คน ส่วนใหญ่ท าการค้า รับสินค้าจากที่อื่นมาขายและน าสินค้าจากเมืองปัตตานีส่งออกไปขายที่อื่น ท าเหมืองดีบุก ท าโรงปั้นหม้อปั้นอิฐ พระยาตานีตั้งให้จีนตันจูล้ายเป็นนายภาษี หัวตลาดมาถึงยุครุ่งเรืองที่สุดก็เป็นปี พ.ศ. ๒๔๓๑ เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองปัตตานี เป็นครั้งแรก มีบันทึกในจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ. ๑๐๗ ว่าได้เสด็จทางเรือจากท่าน้ าวัดตานีไปขึ้นแพพลับพลาที่ประทับหน้าตลาดจีน เสด็จพระราชด าเนินขึ้นจากแพผ่านประตูตลาดจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋ง ในคราวเดียวกันนี้สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศก็ได้ทรง
๑๑๗ บันทึกจดหมายเหตุรายวันในวันจันทร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ว่าเสด็จกลับจากวัดไปยังพลับพลาที่ประทับ หน้าบ้านกัปตันจีน เสด็จเข้าประตูบ้านจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋อง แล้วเสด็จไปตามตลาด เสด็จไปทางไหนก็มีคนมุงดู แน่นขนัด กัปตันจีนกับพี่สาวคอยรับรอง ไม่ว่าจะทรงซื้ออะไรกัปตันจีนกับพี่สาวก็ซื้อถวาย ในวันนี้ได้ทรงแต่งตั้ง จีนจูล้ายที่เป็นกัปตันจีนเมืองปัตตานีให้เป็นหลวงจีนคณานุรักษ์หัวหน้าคนจีนในเมืองปัตตานี มาในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชด าเนินเลียบมณฑลปักษใต้ วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้มีบันทึกว่ารถยนต์พระที่นั่งได้วิ่งผ่านตลาดจีน เจ้าของร้านลาดพรมแพรพรรณบนถนน และตั้งเครื่องบูชาจุดประทัดรับเสด็จ ทั้งหมดนี่คือเรื่องราวของตลาดจีนที่อยู่ในเอกสารของทางการและวารสารต่าง ๆ ของชาวต่างชาติ ท้ายสุด ผู้เขียนไปเจอเรื่องราวของตลาดจีนในหนังสือประวัติต้นตระกูลเลขะกุลของนายขเจน เลขะกุล ที่ผู้เขียนเรียกว่า ก๋งเจ้ง ก๋งเจ้งเกิด พ.ศ. ๒๔๓๒ ท่านเป็นคนที่ท าให้ผู้เขียนรู้จักชื่อ กือดาจีนอ หรือตลาดจีน ท่านเล่าว่าเจ้าเมืองและ ชาวเมืองที่เป็นมุสลิมจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ าปัตตานี ส่วนชาวจีนจะอาศัยในหมู่บ้านด้านตะวันออก ของแม่น้ าเรียกว่า ตลาดจีนหรือกือดาจีนอ ที่กือดาจีนอมีประตูใหญ่เรียกว่าประตูไชยอยู่หัวตลาดและท้ายตลาด นี่เป็นที่มาของชื่อ……หัวตลาด ในสมัยของตนกูปะสา ซึ่งตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อย้ายเมืองตานีมายังที่ใหม่ได้มีการสร้างวังเจ้าเมืองขึ้นที่ต าบลจะบังติกอ โดยอาศัยช่างชาวจีนเป็นผู้ออกแบบ และท าการก่อสร้าง ในขณะนั้นผู้น าชาวจีนในเมืองตานี คือ หลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงสิ่นหรือปุ่ย แซ่ตัน) ซึ่งเป็นต้นตระกูลคณานุรักษ์ได้เป็นผู้อ านวยความสะดวกให้การก่อสร้างลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งยังคงเห็นร่องรอยของ สถาปัตยกรรมแบบจีนอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นประตูก าแพงลายเมฆ หรือกระเบื้องเขียวช่องลมลายจีน เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของชาวจีนกับชาวเมืองตานีในสมัยนั้น ต่อมาเมื่อถึงสมัยของ ตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน ซึ่งนับเป็นเจ้าเมืองคนที่ ๔ แห่งราชวงศ์กลันตันนับตั้งแต่ย้ายเมืองมายังที่ใหม่ ซึ่งปกครอง เมืองตานีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๓–๒๔๔๒ ได้มีการสร้างวังเจ้าเมืองขึ้นใหม่ที่ต าบลจะบังติกอ และสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ ขึ้นใกล้ๆ วังเจ้าเมือง การก่อสร้างวังเจ้าเมืองในครั้งนั้น ก็ได้รับความร่วมมือจากคุณพระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล้าย คณานุรักษ์) ซึ่งเป็นผู้น าชาวจีนในเมืองตานีในขณะนั้นจัดหาช่างและวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นจ านวนมากไปช่วย ความสัมพันธ์ระหว่างตนกูสุไลมานฯ และคุณพระจีนคณานุรักษ์ที่ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเมืองตานีอีกเรื่อง ก็คือในอดีตแม่น้ าตานีซึ่งมีต้นน้ ามาจากเขตเมืองยะลา มีความคดเคี้ยวมากเมื่อมาถึงบริเวณบ้านปรีกี อ าเภอยะรัง ในปัจจุบัน จะวกเข้าไปในเขตปกครองของเมืองหนองจิกแล้ววกกลับเข้าเมืองตานี พระจีนคณานุรักษ์เมื่อครั้งยัง เป็นที่หลวงจีนคณานุรักษ์ได้ท าบันทึกขึ้นกราบบังคมทูลไปยังกรุงเทพฯ เพื่อร้องเรียนกรณีที่ขนแร่ดีบุกจากเหมือง ในต าบลถ้ าทะลุ เมืองยะลามายังเมืองตานี ต้องผ่านด่านภาษีของเมืองยะลา เมืองหนองจิก และเมืองตานีถึง ๓ เมืองด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เมืองหนองจิกเป็นแค่ทางผ่านที่ล าน้ าตานีคดเคี้ยววกเข้าไปเท่านั้น ต่อมาตนกูสุไลมานฯ จึงได้เกณฑ์ผู้คนขุดคลองลัดแม่น้ าตานีจากบ้านปรีกีไปยังบ้านอาเนาะบูลูดเป็นระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร
๑๑๘ เรียกว่าคลองสุไหงบารู ต่อมาคลองถูกกระแสน้ าพัดท าให้มีขนาดกว้างขึ้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ าตานี ส่วนแม่น้ าตานีตอนที่ไหลเข้าเขตเมืองหนองจิกก็ตื้นเขินไปในที่สุด ท าให้แม่น้ าตานีไหลตรง ไม่คดเคี้ยวเข้าเขต เมืองหนองจิกจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ในบริเวณกือดาจีนอหรือตลาดจีนยังมีสถานที่ส าคัญอีกแห่ง คือวังอุปราชเมืองตานี พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทร (ตนกูเดร์) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านกือดาจีนอหรือถิ่นของชาวจีน พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทรนี้เมื่อครั้งที่พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตรประเทศราช (ตนกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดิน) เจ้าเมืองตานีสมัยนั้นถูกจับข้อหากบฏ และถูกน าไปคุมขังที่เมืองพิษณุโลก ท่านได้รักษาการในต าแหน่งเจ้าเมืองตานี ต่อมาเมื่อท่านถึงแก่กรรม ทายาท ได้ขายวังให้หลวงวิชิตศุลกากร (จูอิ้น คณานุรักษ์) น้องชายคนสุดท้องของคุณพระจีนคณานุรักษ์ ซึ่งท่านได้เรี่ยราย เงินจากชาวจีนจัดตั้งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนขึ้น ปัจจุบันคือบริเวณโรงเรียนจ้องฮั้ว เพราะในสมัยก่อนนั้น บุตรหลานชาวจีนจะท าการเรียนหนังสือจีนกับซินแสที่ศาลเจ้าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งมีสถานที่คับแคบ หัวตลาด หรือตลาดจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นชุมชนจีนเก่าแก่ของเมืองปัตตานีมีอายุไม่ต่ ากว่า ๔๐๐ ปี เป็น จุดก าเนิดของตระกูลส าคัญเชื้อสายจีนหลายตระกูล เช่น ตันธนวัฒน์ คณานุรักษ์ วัฒนายากร เลขะกุล โกวิทยา วิเศษสุวรรณภูมิวัฒนานิกร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบทบาทในวงการการเมืองท้องถิ่น และธุรกิจพื้นฐานที่ส าคัญของ ปัตตานีมาก่อนไม่ว่าจะเป็นกิจการเหมืองแร่ดีบุก โรงไฟฟ้า โรงน้ าแข็ง โรงสีข้าว ปั๊มน้ ามัน ฯลฯ มาถึงยุคปัจจุบันชุมชนหัวตล าดยังมีโอกาสได้รับเสด็จครั้งส าคัญอีกหลายครั้งด้วยกัน คือ วันพุธที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียงเป็นครั้งแรก ได้ทอดพระเนตรและทรงพระสุหร่ายพระหมอเฉ่งจุ้ย โจวซูก๋อง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์พระต่าง ๆ ในศาลเจ้า จากนั้นทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลา เป็นที่ ปลื้มปีติแก่ประชาชนในชุมชนหัวตลาดเป็นยิ่งนัก ในการนี้มีบรรดาผู้มีจิตศรัทธาเฝ้าแทบเบื้องพระยุคลบาท ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย วันพุธที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในช่วงเวลาเย็นซึ่งศาลเจ้าปิดแล้ว สร้างความตื่นเต้น ให้นายสมพร วัฒนายากร ผู้จัดการศาลเจ้า เป็นยิ่งนัก มีการประกาศให้ประชาชนที่พักอาศัยบริเวณถนนอาเนาะรู ออกไปเฝ้ารับเสด็จที่หน้าศาลเจ้า อีกครั้งที่ประทับใจประชาชนมากคือเมื่อวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๕.๐๗ น. พระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งยังด ารงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด าเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระต าหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ไปยัง ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เมื่อเสด็จพระราชด าเนินถึงแล้วเสด็จเข้าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ทรงจุดธูปเทียนสักการะเจ้าแม่- ลิ้มกอเหนี่ยว จากนั้นพระราชทานกระถางธูปแก่นายสมพร วัฒนายากร ประธานมูลนิธิเทพปูชนียสถาน จากนั้นมี
๑๑๙ พระราชด าริที่จะเสด็จประพาสถนนอาเนาะรูเหมือนเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสตลาดจีน จึงเสด็จออกจากศาลเจ้าเล่งจูเกียง ทรงพระด าเนินเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรอาคาร สมัยโบราณตามถนนอาเนาะรู บริเวณชุมชนหัวตลาด ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของจังหวัดปัตตานีไปจนถึงสุดปลาย ถนนที่ริมแม่น้ าปัตตานี ในการนี้ได้เสด็จไปทอดพระเนตรภายในบ้านกงสี เลขที่ ๒๗ ซึ่งเป็นบ้านของหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงสิ่น) ต้นตระกูลคณานุรักษ์ผู้ที่บูรณะศาลเจ้าเล่งจูเกียงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๗ และทอดพระเนตร ภายในบ้านเลขที่ ๑๙ ซึ่งเป็นบ้านของนายสมพร วัฒนายากร ประธานมูลนิธิเทพปูชนียสถาน และผู้จัดการศาลเจ้า เล่งจูเกียง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นสิริมงคลต่อชาวชุมชนหัวตลาด บรรดาทายาทหลวงส าเร็จกิจกรจางวาง และครอบครัวนายสมพร วัฒนายากร เป็นยิ่งนัก ขอย้อนกลับไปเล่าถึงที่มาของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในสมัยราชินีบีรูเป็นผู้ครองเมืองตานีได้มีการกล่าวถึง การหล่อปืนใหญ่ทองเหลือง ๓ กระบอก คือ พญาตานี ศรีนครี และมหาลาลอ โดยช่างชาวจีนที่เข้ารีตเป็นมุสลิมชื่อ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้เก็บภาษีเข้าออกที่ท่าเรือปากอ่าวเมืองตานี เอกสารบางฉบับว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็น เชื้อพระวงศ์ของจีนที่มีปัญหาทางการเมืองหลบหนีมา บางฉบับก็ว่าเป็นหัวหน้าโจรสลัดใหญ่ของทะเลจีนใต้ แต่ที่มี หลักฐานชัดเจนคือลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ภรรยาเป็นชาวปัตตานีและเข้ารีตเป็นมุสลิมตามภรรยา ทางเมืองจีนมารดาของลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ทราบข่าวว่าลูกชายเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และแต่งงาน อยู่ที่เมืองตานีไม่ยอมกลับเมืองจีนก็มีความเสียใจเป็นอันมากจึงได้ส่งธิดาคือ ลิ้มกอเหนี่ยว และน้องสาวเดินทางไป ยังเมืองตานีเพื่อตามให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมกลับไปเมืองจีน เมื่อเดินทางมาถึงเมืองตานีพบว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความสุข กับภรรยา ไม่ยอมกลับไปพบมารดาที่เมืองจีน จึงได้พ านักอยู่ที่เมืองตานีเพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเห็นแก่ มารดาที่เมืองจีน ในขณะนั้นเจ้าเมืองตานีก าลังก่อสร้างมัสยิดเพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ โดยมอบให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยม เป็นนายช่างออกแบบและก่อสร้าง ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้อุทิศกายและใจให้กับงานที่ได้รับมอบหมาย ยิ่งท าให้ ลิ้มกอเหนี่ยวเกิดความโกรธและน้อยใจในตัวพี่ชาย พยายามอ้อนวานพี่ชายให้เห็นแก่มารดาก็ไม่ส าเร็จ จึงได้แอบ ไปผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ด้านข้างมัสยิดที่ก าลังก่อสร้าง ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเมื่อเห็นน้องสาวตายก็ได้ท าการฝังศพ ไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์นั้น ต่อมาชาวเมืองตานี นับถือในความซื่อสัตย์รักแผ่นดินเกิดของลิ้มกอเหนี่ยว ก็พากันมากราบไหว้ บนบาน ศาลกล่าวขอความช่วยเหลือต่าง ๆ นานา ซึ่งก็สัมฤทธิ์ผลตามที่ขอ ท าให้ความศักดิ์สิทธิ์ของลิ้มกอเหนี่ยวระบือ ไปทั่ว จนกล่าวขานเรียกกันว่า “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นที่นับถือของชาวเมืองตานีตราบจนทุกวันนี้ ตามที่ได้เล่ามาแล้วในเบื้องต้นว่าศาลเจ้าแม่สร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง ศักราชบ้วนเละปีที่ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา เดิมทีเรียกว่า “ศาลปุนเถ้ากง” โดยทั่วไป ศาลปุนเถ้ากงหมายถึงศาลเจ้าประจ าชุมชน หรือตลาดของชาวจีน ศาลปุนเถ้ากงไม่ได้มีเทพเจ้าเฉพาะเจาะจง ดังนั้นจะพบว่าศาลปุนเถ้ากงแต่ละแห่งมีเทพเจ้าประจ าศาลเจ้าต่างกัน ไม่มีหลักฐานว่าศาลปุนเถ้ากงที่ปัตตานี ในสมัยนั้นมีเทพเจ้าองค์ใดประจ าศาลเจ้ามาก่อน จนกระทั่งเมื่อคุณพระจีนคณานุรักษ์ได้อัญเชิญพระหมอ
๑๒๐ หรือโจ๊วซูกง มาเป็นเทพประจ าศาลเจ้า ก็เลยเรียกว่า ศาลเจ้าซูก๋ง หรือศาลโจ๊วซูกง และมาเรียกว่าศาลเจ้า เล่งจูเกียง หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในภายหลังจนกระทั่งทุกวันนี้ จากบันทึกของนายอนันต์ คณานุรักษ์เล่าว่า บรรพบุรุษของตระกูลคณานุรักษ์ คือ หลวงส าเร็จกิจกรจางวาง (เตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน) ได้ริเริ่มบูรณะ ศาลเจ้าแม่ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๗ มูลเหตุที่ได้มีการอัญเชิญพระหมอหรือโจ๊วซูกง มาประดิษฐานในศาลเจ้าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เนื่องจากมี ชาวบ้านไปพบขอนไม้สีด าลอยมาติดอยู่ที่คลองอาเนาะซูงา บริเวณสะพานปิติหรือสะพานบั่นเฉ้ง ถนนปัตตานี- ภิรมย์ในปัจจุบัน จึงใช้มีดขอสับขึ้นมาเพื่อน าไปเป็นไม้ฟืน ปรากฏว่ามีน้ าสีแดงคล้ายเลือดไหลมาจากท่อนไม้นั้น องค์โจ๊วซูกงได้ประทับทรงชาวบ้านผู้นั้น แล้วอุ้มท่อนไม้นั้นขึ้นมาจากคลอง คุณพระจีนคณานุรักษ์จึงรีบมาดูพบว่า ท่อนไม้นั้นอันที่จริงแล้วเป็นไม้แกะสลักเป็นองค์พระขนาดใหญ่ จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าปุนเถ้ากง ที่กือดาจีนอ เป็นองค์ประธานของศาลเจ้า ชาวบ้านจึงเรียกศาลเจ้าปุนเถ้ากงว่า “ศาลโจ๊วซูกง” เป็นที่เคารพ สักการะของชาวจีนในเมืองตานี ต่อมาคุณพระจีนคณานุรักษ์ซึ่งเป็นกัปตันจีนหรือนายอ าเภอจีนในสมัยนั้นได้ป่วย เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งรักษาอย่างไรก็ไม่หาย จึงได้ไปไหว้พระโจ๊วซูกงหรือพระหมอซึ่งเป็นพระประธาน ในศาลเจ้าปุนเถ้ากง ศาลเจ้าประจ าท้องถิ่นตลาดจีนเมืองตานี พระโจ๊วซูกงได้ประทับร่างทรงแล้วสั่งให้หลวงจีนคณานุรักษ์ไปกราบไหว้ขอเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ต าบลกรือเซะให้ช่วยรักษา ร่างทรงของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้ขอให้ หลวงจีนคณานุรักษ์อัญเชิญวิญญาณของท่านไปประทับที่ศาลเจ้าปุนเถ้ากง หลังจากที่หายจากโรคผิวหนัง หลวงจีนคณานุรักษ์ได้ลืมค ามั่นสัญญาที่ให้ไว้ ปรากฏว่าท่านกลับมาเป็นโรคเดิมอีก ท่านจึงนึกขึ้นได้ รีบไปกราบ ไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แล้วให้ช่างแกะสลักไม้มะม่วงหิมพานต์ที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายเป็นรูปเจ้าแม่ แล้วอัญเชิญไปประทับที่ศาลเจ้าปุนเถ้ากง และเปลี่ยนชื่อเป็น “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” มาจนปัจจุบันนี้ ค าถามที่น่าสนใจคือมีการอัญเชิญพระหมอกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่โรงพระหรือศาลเจ้าเล่ง จูเกียงตั้งแต่สมัยไหน ผู้เขียนก็ใช้การคาดเดาล้วน ๆ แต่เป็นการคาดเดาบนพื้นฐานของความน่าจะเป็นจากเอกสาร หลักฐานเท่าที่หาได้โดยเริ่มจากหนังสือชีวิวัฒน์ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางไปหัวเมืองปักษ์ใต้ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ทรงเอ่ยถึงศาลเทพารักษ์ที่เป็นเก๋งจีนขนาดใหญ่ในท้องตลาด จีน เรียกว่า ศาลปุนเถ้าก๋ง พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสตลาดจีนมีการเอ่ยถึง ศาลเจ้าซูก๋อง ซึ่งค าว่า ซูก๋อง ก็น่าจะมาจากชื่อของพระเช็งจุ้ยโจวซูก๋องแสดง ว่าในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ นั้นมีการอัญเชิญพระหมอมาประดิษฐานที่โรงพระแล้ว แต่จะเป็นปีไหนคาดจะเดา อาจจะเป็น ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ หรืออาจจะเป็นก่อน พ.ศ. ๒๔๒๗ ก็ได้ แล้วคราวนี้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวถูกอัญเชิญมาในปีไหน ตามเรื่องราวที่บอกเล่าต่อกันมาของตระกูลคณานุรักษ์ พระจีนคณานุรักษ์ได้ไปไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่บ่องหรือฮวงซุ้ยกรือเซะขอให้หายป่วยตามค าบอกของ ร่างทรงพระหมอ หลังจากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและอัญเชิญมาประดิษฐานที่โรงพระ ดังนั้น เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการอัญเชิญพระหมอมาประดิษฐานที่โรงพระแล้ว ส่วนจะเป็น พ.ศ. ใด
๑๒๑ ก็ยากจะเดา มีบันทึกของก๋งเจ้ง นายขเจน เลขะกุล ซึ่งเกิด พ.ศ. ๒๔๓๒ ท่านบอกว่าบิดาของท่านคือหลวงศุภไสยสโมทาน (เล่บ๊อกล่อง) ตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือจีนกับซินแสตันเสี้ยนที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และบันทึก ของปู่อนันต์ คณานุรักษ์ก็บอกว่าตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือจีนที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แต่บันทึกของทั้ง ๒ ท่านนั้น เขียนตอนที่ท่านอายุมากแล้ว ท่านอาจจะเรียกชื่อตามยุคสมัยที่จดบันทึกผู้เขียนเคยถามลุงมานพ คณานุรักษ์ พี่ชายคนโตของพ่อซึ่งเกิดวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ลุงนพบอกว่าจ าความได้ก็มีแม่กอเหนี่ยวแล้ว แสดงว่า พระจีนคณานุรักษ์อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่โรงพระก่อน พ.ศ. ๒๔๕๙ ทุกวันที่ ๑๕ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติของจีน จะมีการสมโภชพระหมอโจ๊วซูกง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์พระต่าง ๆ มีการอัญเชิญองค์พระประทับบนเกี้ยวแล้วแห่รอบเมืองปัตตานี มีพิธีลุยน้ าและลุยไฟ การแห่ สมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะแห่ไปยังย่านต าบลจะบังติกอ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิม ทั้งนี้เนื่องจาก การอัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและองค์เทพเจ้าทั้งหลายออกแห่สมโภช ก็เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อชาวจีน ในเมืองตานี เส้นทางการแห่สมโภชจึงไปตามเส้นทางเศรษฐกิจของเมืองตานีในสมัยก่อน คือจากศาลเจ้าแม่- ลิ้มกอเหนี่ยวเลียบไปตามริมแม่น้ าตานี จนกระทั่งถึงท่ากาแลกูดอซึ่งเป็นท่าภาษีเมืองตานี ปัจจุบันคือบริเวณ เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ แล้วแห่ผ่านไปทางวังจะบังติกอ กลับเข้าสู่ย่านกือดาจีนอ ส าหรับพิธีลุยน้ านั้นมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าองค์พระแสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ าได้ อันที่จริงผู้ที่จะหามเกี้ยวลงลุยน้ า นั้นจะต้องว่ายน้ าเป็น มิฉะนั้นจะจม เพราะเกี้ยวองค์พระแต่ละองค์จะหนักมาก พิธีลุยน้ ามิได้มีเพื่อแสดงอภินิหาร แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการปัดรังควาน ท าให้เกิดสิริมงคลต่อแม่น้ าปัตตานี ซึ่งเปรียบเสมือนหลอดเลือดใหญ่ ของเมืองปัตตานี เพราะเป็นเส้นทางล าเลียงสินค้า มีความส าคัญทางด้านเศรษฐกิจของเมืองปัตตานีในสมัยอดีต เป็นอันมากดังได้กล่าวมาแล้ว ที่ส าคัญเชื่อกันว่าแม่น้ าปัตตานีในอดีตมีอาถรรพ์ ใครที่ข้ามแม่น้ ามาจากฝั่งตะวันตก ถ้าไม่ไหว้ขอขมาแม่น้ าก่อนมักจะท าอะไรไม่ส าเร็จ จึงมีการอัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลุยน้ าเพื่อล้างอาถรรพ์ ดังกล่าวด้วย ส าหรับพิธีลุยไฟ ซึ่งเป็นพิธีที่ส าคัญที่สุด เป็นการลุยไฟเพื่อท าลายอาถรรพ์สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย และเป็นการ สะเดาะเคราะห์ให้ผู้หามเกี้ยวลุยไฟ และเป็นสิริมงคลแก่เมืองตานี หลังจากองค์พระหมอท าการปักหลักเขตกองไฟ แล้ว เมื่อถึงฤกษ์ก่อกองไฟ ผู้ท าพิธีจะจุดเชื้อไฟจากภายในศาลเจ้าฯ แล้วมาก่อกองไฟตรง ต าแหน่งหลักไฟ กองไฟ จะมีขนาดกว้างยาวประมาณ ๕ เมตร สูงประมาณครึ่งเมตร ครั้นได้ฤกษ์ลุยไฟขบวนองค์พระทั้งหมดจะเดินเวียน รอบกองไฟทวนเข็มนาฬิกา ๓ รอบ แล้วออกไปรดน้ ามนต์ที่เตรียมไว้หน้าประตูศาลเจ้าฯ แล้วจึงลุยไฟ ขบวนลุยไฟ จะเริ่มจากผู้อัญเชิญฟันปลาฉนากศักดิ์สิทธิ์ ติดตามด้วยผู้อัญเชิญหีบบรรจุหลักไม้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงเป็นขบวน องค์พระ ซึ่งมักจะเริ่มด้วยองค์พระหมอ ส าหรับองค์เจ้าแม่นั้นจะมีงิ้วและมโนราห์เดินเกาะเกี้ยวเข้าลุยไฟด้วย ต่อจากขบวนองค์พระก็จะเป็นขบวนสิงโต จากนั้นขบวนทั้งหมดก็ลุยไฟกลับตามล าดับ อีกนับเป็น ๑ รอบ ในระหว่างลุยไฟจะมีการเกลี่ยถ่านในกองไฟให้เรียบอยู่ในระดับตลอดเวลา และจะใส่ใบมะพร้าวเพื่อให้มีเปลวไฟ สวยงาม เจ้าหน้าที่จะซัดเกลือและข้าวสารเข้าไปในกองไฟ เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นการปัดรังควาน ปกติแล้ว
๑๒๒ การลุยไฟจะลุยกันประมาณ ๕ รอบ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี ผู้ที่หามเกี้ยวเป็นชุดสุดท้ายก็จะอัญเชิญองค์พระ กลับเข้าภายในศาลเจ้าฯ จากนั้นก็จะอัญเชิญองค์พระขึ้นจากเกี้ยวกลับไปประดิษฐานยังแท่นบูชา ในอดีตนอกจากการลุยน้ าลุยไฟแล้วยังมีการประทับทรงไต่บันไดดาบ แต่เลิกพิธีไต่บันไดดาบไปตั้งแต่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คงเหลือแต่พิธีลุยน้ าลุยไฟ ส่วนการลุยไฟนั้นก็มีผู้สงสัยกันมากว่าร้อนหรือไม่ ผู้เขียนขอเล่าประสบการณ์ที่ได้ลุยไฟมาทั้งหมด ๒๐ กว่าครั้ง ว่าเมื่อเหยียบไปบนกองไฟนั้นจะรู้สึกเหมือนเดินเท้าเปล่าบนพื้นทราย กลางแดดตอนเที่ยง คือจะร้อน พอทนได้ ถึงแม้จะเดินช้า ๆ ก็ไม่พอง แต่มีบางปีที่พอเหยียบลงไป จะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมา เท้าจะพอง ที่น่าประหลาด ก็คือ ผู้ที่หามเกี้ยวเข้าลุยไฟพร้อมกัน ๔ คน บางคนก็พอง บางคนก็ไม่พอง และประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือ ๒๕๑๖ ได้มีผู้เดินลุยไฟเข้าไปคนเดียว และนั่งคุกเข่าลงกราบในกองไฟ ปรากฏว่าไม่ได้รับอันตราย จากเปลวไฟในกองไฟเลย ผู้เขียนเองซึ่งเป็นแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายในเรื่องนี้ ก็ต้องยกให้เป็นความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระต่าง ๆ ที่เรานับถือติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน คุณปู่อนันต์ คณานุรักษ์ ได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ร่างทรงประจ าศาลเจ้าฯ ซึ่ง เป็นคนจีนอยู่ที่อ าเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา บอกว่าเวลาท าพิธีเข้าทรงในงานแห่พระฯ เหนื่อยมาก ร่างกาย ทนไม่ไหวขอหยุดไม่มาท าพิธีให้ แต่ปรากฏว่าเมื่อใกล้ถึงวันงาน ร่างทรงคนนี้ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน ทั้งนั่งรถจากอ าเภอ บันนังสตา ยะลา ไปที่ศาลเจ้าฯ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเดินทางเพียง ๑ วัน ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นการเดินทาง จากบันนังสตาไปยะลา และจากยะลาไปปัตตานีถ้าไปโดยรถโดยสารจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๒ วัน เป็นที่น่า ประหลาดมาก ผู้เขียนหวังว่าบทความของผู้เขียนคงจะท าให้ผู้อ่านได้รับทราบเรื่องราวของศาลเจ้าแม่ฯ และหัวตลาด ในอีกแง่มุมพอสมควร บรรณานุกรม ขเจน เลขะกุล. ประวัติต้นตระกูล “เลขะกุล” และชีวะจารึกของนายขเจน เลขะกุล. ยะลา, ๒๔๙๒. เคี่ยม สังสิทธิเสถียร. ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. หนังสือที่ระลึกงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี, ม.ป.ป. จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗ และ ๑๐๘. หนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายสนิท สุมาวงศ์. กรุงเทพมหานคร: หจก.กราฟฟิคอาร์ต, ๒๕๑๘. จุรีรัตน์ บัวแก้ว. การส ารวจโบราณสถานเบื้องต้นเมืองปัตตานี: ศึกษาเฉพาะกรณีวังจะบังติกอ. ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ๒๕๓๑. เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองสงขลา. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๓, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๓.
๑๒๓ นที ศ รีต านี. ศิล าจ า รึกภ าษ าจีน ร่วมสมัยกับเจ้ าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. หนังสือที่ ระลึกง านสมโภชเจ้ าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี, ม.ป.ป. ประเวศ คณานุรักษ์. สัมภาษณ์. พรรณงาม เง่าธรรมสาร. การปกครองหัวเมืองภาคใต้ทั้ง ๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๒. พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองปัตตานี. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗. พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองสงขลา. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพมหานคร: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๒. พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร. ส าเภาสยาม ต านานเจ๊กบางกอก. กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์, ๒๕๔๔. มัลลิกา คณานุรักษ์. เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี และผู้สร้างศาลเจ้า. รวมเรื่องน่ารู้: ภาคใต้. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๐. เยเรเมียส ฟอน ฟลีต. จดหมายเหตุวันวลิต (Historical Accountvof Siam In The Seventeenth Century). ประชุม พงศาวดารภาคที่ ๗๙, นันทา สุตกุล แปล. กรุงเทพมหานคร: ส านักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๐๗. วิชิต คณานุรักษ์. บันทึกประวัติของนายวิชิต คณานุรักษ์. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช. ชีวิวัฒน์. กรุงเทพมหานคร: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔. สว่าง เลิศฤทธิ์. มัสยิดกรือเซะและลิ่มโต๊ะเคี่ยม. วารสารรูสมิแล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๒ มกราคม-เมษายน ๒๕๓๔, หน้า ๔๒-๔๕. สืบ จิตรภักดี. หนังสือที่ระลึกพิธีเปิดศาลากลางจังหวัดปัตตานี ๒๔ กันยายน ๒๕๐๘. ม.ป.ท., ๒๕๐๘. สืบแสง พรหมบุญ. ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการระหว่างจีนกับไทย ค.ศ.๑๒๘๒-๑๘๕๓ (Sino-Siamese Tributary Relation 1282-1853). กาญจนี ละอองศรี แปล. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการต ารา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๕. สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และคณะ. จีนทักษิณ วิถีและพลัง. กรุงเทพมหานคร: ส านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๔. เสฐียรโกเศศ. ไทย-จีน. กรุงเทพมหานคร: บรรณาคาร, ๒๕๑๕. หลวงอุดมสมบัติ. จดหมายหลวงอุดมสมบัติ. กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๓๐. อนันต์ คณานุรักษ์. บันทึกประวัติของนายอนันต์ คณานุรักษ์. อนันต์ วัฒนานิกร. แลหลังเมืองตานี. ปัตตานี: ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี, ๒๕๒๘. อนันต์ วัฒนานิกร. ประวัติเมืองลังกาสุกะ เมืองปัตตานี. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มิตรสยาม, ๒๕๓๑.
๑๒๔ อิบรอฮิม ซุกรี. ต านานเมืองปัตตานี (Sejarah Kerayaan Melayu Pattani). หะสัน หมัดหมาน แปล, ปัตตานี: ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ๒๕๒๕. G.W. Skinner. สั ง คม จีนในป ร ะเทศไท ย: ป ร ะ วั ติ ศ า สต ร์เชิ ง วิเ ค ร า ะห์ (Chinese Society in Thailand: An Analytical History). ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ แปล. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการต ารา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๙. W.Cameron. On the Patani. Journal of the Straits Branch of the Royal Asiatic Society. No.11 (1883, June), pp. 123-142.
๑๒๕
๑๒๖