The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี ปี 2565 จัดทำและเผยแพร่โดยภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี<br>การจัดทำหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีการจัดจำหน่าย ไม่มีการนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลกำไร ตลอดจนไม่อนุญาตให้นำไปใช้เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thanapat.pir, 2023-01-19 11:40:59

เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี

หนังสือภาพเสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี ปี 2565 จัดทำและเผยแพร่โดยภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับชุมชนหัวตลาด จังหวัดปัตตานี<br>การจัดทำหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีการจัดจำหน่าย ไม่มีการนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลกำไร ตลอดจนไม่อนุญาตให้นำไปใช้เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น

๓๙ ซ้าย: องค์เจ้าที่แป๊ะกง ล่างขวา: ชาวชุมชนหัวตลาด ก าลังสักการะพระแป๊ะกง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๔๐ บน: แท่นประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม ในห้องโถงด้านขวาของศาลเจ้าเล่งจูเกียง ล่าง: แท่นประดิษฐานเทพสามพี่น้อง ตั้งอยู่ด้านขวาของแท่นบูชาเจ้าแม่กวนอิม (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๔๑ ๗) พระโพธิสัตว์กวนอิม แท่นประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมตั้งอยู่ในห้องโถงด้านขวา มีรูปเคารพองค์เจ้าแม่กวนอิมจ านวนมาก จากภาพมีองค์หนึ่งเป็นองค์ที่อัญเชิญมาจาก “บ้านกงสี” เนื่องจากพิธีมหาสมโภช พ.ศ. ๒๕๖๕ มีการอัญเชิญ องค์พระเพื่อมาประกอบพิธีกรรมเพียง ๔ องค์เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรคระบาด ท าให้ไม่มีการ อัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมจากบ้านกงสีออกแห่เหมือนทุกปี แต่ก็ได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าในช่วง พิธีมหาสมโภช และอัญเชิญกลับบ้านกงสีในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๕ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีมหาสมโภช เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๘) เทพสามพี่น้อง เทพสามพี่น้องมีลักษณะเป็นประติมากรรมหินนูนสูงในซุ้มหินสวยงาม ประดิษฐานในห้องโถงด้านขวา และอยู่ทางด้านขวาของแท่นประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพสามพี่น้องหรือซานกวนต้าตี้คือเทพเจ้า สามขุนนาง หมายถึง “ฟ้า” “ดิน” และ “มนุษย์” ประติมากรรมเทพสามพี่น้อง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๔๒ แท่นกลางห้องพระด้านหลัง ประดิษฐานพระ ๓ องค์ประกอบด้วย ตั่วเล่าเอี๊ยะ ๒ องค์ และไท้ส่วยเอี๊ยะ ๑ องค์ (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์, ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: ปานเทพ คณานุรักษ์) ๙) ตั่วเล่าเอี๊ยะ และไท้ส่วยเอี๊ยะ ในห้องพระด้านหลังที่สร้างขึ้นใหม่นี้ แท่นตรงกลางจะแตกต่างจากแท่นอื่น เพราะประกอบด้วยพระ ๓ องค์ คือ องค์ตั่วเล่าเอี๊ยะ หรือเฮี้ยงเทียนเซี่ยงตี่ หรือเจ้าพ่อเสือ ซึ่งเป็นเทพประจ าส านักบู๊ตึ๊ง อยู่ด้านซ้ายและ ตรงกลางของแท่น ทั้งสององค์จึงเป็นเทพองค์เดียวกันแต่คนละปาง๓๑ ส่วนองค์ไท้ส่วยเอี๊ยะ อยู่ด้านขวาของแท่น ๑๐) เจ้าแม่สมุทร แท่นเจ้าแม่สมุทรประดิษฐานในห้องพระด้านหลังโดยอยู่ทางขวาของแท่นกลางที่ประดิษฐานองค์ตั่วเล่าเอี๊ยะ ไท้ส่วยเอี๊ยะ ภายในประดิษฐานองค์เจ้าแม่ ๓ องค์ เนื่องจากชุมชนจีนแห่งนี้เป็นชุมชนฮกเกี้ยนจึงเรียก เจ้าแม่ว่า “หม่าโจ๊วโป่” หรือ“เทียนโห้ว”และมีนามที่เรียกล าลองในชุมชนว่า “หม่าโจ้ว” หรือชื่อไทยคือ “เจ้าแม่สมุทร” ซึ่งต่างจากชาวไหหล าที่เรียกว่า “ตุ้ยบ่อเนี๊ยะ” ๓๒ เดิมองค์เจ้าแม่สมุทรเคยประดิษฐานร่วมในแท่นเดียวกับ พระหมอ เมื่อขยายต่อเติมห้องพระด้านหลังแล้วจึงอัญเชิญเจ้าแม่สมุทรมาประดิษฐานบนแท่นแยกเฉพาะ ๓๑ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ๓๒ สัมภาษณ์ ชูโชติ เลิศลาภลักขณา, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๔๓ แท่นประดิษฐาน และเครื่องบูชา เจ้าแม่สมุทร ๓ องค์ ในห้องพระด้านหลัง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๔๔ ผู้ศรัทธาประกอบพิธีบูชาองค์พระ ทั้งแท่นตั่วเล่าเอี๊ยะ ไท้ส่วยเอี๊ยะ ตรงกลางห้อง (ภาพบน) และแท่นเจ้าแม่สมุทร (ภาพล่าง) ภายในห้องพระด้านหลัง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๔๕ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ๑๑) ไฉ่ซิงเอี๊ยะ องค์เทพไฉ่ซิงเอี๊ยะประดิษฐานในห้องพระด้านหลัง โดยอยู่ทางซ้ายของแท่นกลางที่ประดิษฐาน องค์ตั่วเล่าเอี๊ยะและไท้ส่วยเอี๊ยะ ไฉ่ซิงเอี๊ยะเป็นองค์พระที่ได้รับอัญเชิญออกแห่ในพิธีมหาสมโภช พ.ศ. ๒๕๖๕


๔๖ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ๑๒) เจ้าพ่อกวนอูและเทวดาเหนือใต้ แท่นประดิษฐานเจ้าพ่อกวนอูและเทวดาเหนือใต้ตั้งอยู่ในห้องโถงด้านซ้าย อยู่ในตู้กระจกเดียวกัน แยก เป็น ๓ แท่น แท่นตรงกลางของเจ้าพ่อกวนอูมีขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนแท่นซ้ายขวาของเทวดาเหนือใต้มีขนาดเท่ากัน องค์พระกุนเต้กุนหรือเทพเจ้ากวนอูในแท่นนั้นมีหลายองค์ เรียกชื่อแต่ละองค์ตามลักษณะ ได้แก่ องค์ถือ หนวด องค์ไม่ถือหนวด หรือเรียกตามผู้ครอบครององค์พระเดิม ได้แก่ “องค์หลวงประสิทธิ์” ซึ่งเดิมเป็นองค์ ประจ าบ้านของหลวงประสิทธิ์บุรีรมย์(ก่างเซ่งหิ้น กิติสาธร) กรมการเมืองตานี อดีตผู้จัดการศาลเจ้าแม่ฯ คนที่ ๒ ที่ถนนปัตตานีภิรมย์ ต่อมาได้อัญเชิญมาไว้ที่ศาลเจ้าแม่ฯ๓๓ ๓๓ ปานเทพ คณานุรักษ์, เกร็ดความรู้เกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. ๒๕๕๘. (เอกสารไม่ตีพิมพ์ ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เขียน)


๔๗ นอกจากนี้ยังมีแท่นบูชาเทวดาเหนือประตูทางเข้าศาลเจ้าในห้องโถงกลาง และตู้จัดแสดงเซียมซียา ที่ผู้ศรัทธาในอดีตจะมาเสี่ยงเซียมซีต่อพระหมอ เมื่อได้รายการมาแล้วก็ไปซื้อยาสมุนไพรมาต้มตามเซียมซี แม้ปัจจุบันจะไม่มีการเสี่ยงเซียมซียาแล้ว แต่ได้มีการจัดแสดงใบเซียมซียาในอดีตไว้ในห้องโถงด้านซ้าย ใกล้ประตู ทางออกหน้าศาลเจ้าด้วย แท่นบูชาเทวดาเหนือประตูห้องโถงกลาง (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ศาลเจ้าเล่งจูเกียงจึงเป็นสถานที่ประดิษฐาน “องค์พระ” ที่คนในชุมชนเคารพศรัทธา ทางศาลเจ้าได้มี ก าหนดการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้าหรือองค์พระแต่ละองค์เป็นการเฉพาะเนื่องในวาระ โอกาสพิเศษขององค์พระนั้น สรุปได้เป็นตารางแสดงพิธีกรรมประจ าปีของศาลเจ้าเล่งจูเกียงได้ ดังนี้


๔๘ เดือน วันที่ ชื่อพิธี มกราคม ๑๗ วันขอบคุณพระ ๒๖ วันส่งพระขึ้นสวรรค์ กุมภาพันธ์ ๔ วันรับพระกลับจากสวรรค์ ๖ วันเกิดพระหมอ (เฉ่งจุ้ยโจวซือกง) ๙ วันไหว้ทีกงแซ ๑๕ พิธีหามเกี้ยว ลุยน้ า-ลุยไฟ ๑๖ วันไหว้ฉลองงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว วันไหว้พระสามพี่น้อง ๒๖ วันเกิดไฉ่ซิงเอี๊ยะ (โชคลาภ) มีนาคม ๔ วันเกิดพระแป๊ะกง ๒๑ วันเกิดพระโพธิสัตว์กวนอิม เมษายน ๒ วันเกิดพระเฮียงตี้กุน (เจ้าพ่อเสือ) ๓ วันเช็งเม้งเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๒๓ วันเกิดเจ้าแม่สมุทร (เจ้าแม่ทับทิม) มิถุนายน ๔ วันส าเร็จมรรคผลพระหมอ (เฉ่งจุ้ยโจวซือกง) ๑๑ วันเกิดพระกวนอู กรกฎาคม ๑๗ วันส าเร็จมรรคผลพระโพธิสัตว์กวนอิม สิงหาคม ๑๖ วันเกิดพระไท้ส่วยเอี๊ยะ ๒๔ วันเกิดเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๒๖ ท าบุญเทกระจาด กันยายน ๑๐ วันไหว้พระจันทร์ กันยายน / ตุลาคม เทศกาลถือศีลกินเจ ตุลาคม ๑๔ วันออกบวชพระโพธิสัตว์กวนอิม ตารางแสดงพิธีกรรมในรอบ ๑๒ เดือน ของศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี(พ.ศ. ๒๕๖๕)


๔๙ ความหลากหลายขององค์พระที่ประดิษฐานในศาลเจ้าเล่งจูเกียงสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์ของชาวจีน ชุมชนหัวตลาด เช่น การบูชาองค์พระหมอโจวซือกงหรือค าเรียกเจ้าแม่สมุทรตามแบบชาวฮกเกี้ยน การบูชา เจ้าแม่สมุทร เจ้าบาดาล และไต๋ก๋งซึ่งสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพในอดีตที่ต้องอาศัยการขนส่ง ทางเรือ วิธีการเรียกองค์พระและการเลือกองค์พระมาประดิษฐานในศาลเจ้าเล่งจูเกียงอย่างสัมพันธ์กับความเชื่อ ของผู้คนตระกูลต่าง ๆ ในชุมชน ตลอดจนการเป็นที่ประดิษฐานองค์พระ “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจ าถิ่นของชาวจีนปัตตานีมาแต่อดีตกาล ลักษณะเด่นเหล่านี้ถือเป็น “เสน่ห์แห่งศรัทธา” ของชุมชนหัวตลาด ที่น่าสนใจยิ่ง ๑.๒ สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ฮวงซุ้ย หรือ “บ่อง” เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ต าบลตันหยงลุโละ อ าเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีใกล้กับมัสยิดกรือเซะ ค าว่า “บ่อง” เป็นภาษาฮกเกี้ยนแปลว่า หลุมฝังศพ มีพิธีเช็งเม้งที่ฮวงซุ้ย ของเจ้าแม่ทุกปีซึ่งชาวชุมชนหัวตลาดก็จะกล่าวว่า “ไปบ่อง” ต านานเล่าว่าหลังจากที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไม่สามารถท าให้พี่ชายเปลี่ยนใจเดินทางกลับเมืองจีนได้ เจ้าแม่ จึงมากระท าอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอที่ใต้ต้นไม้ ในพงษาวดารเมืองปัตตานีซึ่งพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ได้เรียบเรียงในสมัยรัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า หลังจากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายแล้ว “ผู้พี่ก็จัดแจงศพ เก๊าเนี่ยวน้องสาวฝังไว้ที่ในต าบลบ้านกะเสะ ท าเปนฮ่องสุยปรากฏอยู่ตลอดมาจนเดี๋ยวนี้” และที่ส าคัญคือชาวจีน เมืองปัตตานีมีการประกอบพิธี “เส้นไหว้เสมอทุกปีมิได้ขาด” ด้วยเหตุส าคัญคือ “ถือว่าเปนผู้หญิงบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง เปนคนรักชาติตระกูลอย่างหนึ่ง” ดังนั้นสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่กรือเซะจึงเป็นที่เคารพสักการะของคนจีน ในเมืองปัตตานีมาเนิ่นนาน การเทิดทูนคุณธรรมและความรักความภักดีต่อสายเลือดจีนท าให้ต านานและสุสาน ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีบทบาทส าคัญยิ่งต่อกลุ่มชาวจีนที่อพยพเข้ามาในต่างถิ่นต่างแดน นอกจากนี้พื้นที่สุสาน เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีความส าคัญหลายประการ ทั้งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงกับมูลเหตุของการสร้างรูปแกะสลักเจ้าแม่ในสมัยพระจีนคณานุรักษ์แล้วอัญเชิญ ไปประดิษฐานที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ตลอดจนเป็นพื้นที่ส าคัญที่แสดงให้เห็นว่าต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นต านาน ประจ าถิ่นของปัตตานี บริเวณด้านหน้าฮวงซุ้ยมีป้ายสุสานและมีเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ เช่น สร้อยไข่มุก พวงมาลัย ผ้าสีชมพู ฯลฯ ตั้งบูชา บริเวณเนินของฮวงซุ้ยมีต้นไม้ใหญ่ คือ ต้นมะม่วงหิมพานต์ซึ่งตามต านานระบุว่าเป็นต้นไม้ ที่เจ้าแม่ผูกคอตาย น่าสนใจว่ามีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตในต้นไม้นี้ด้วยของไหว้แบบไทย เช่น ชุดไทย ผ้าสามสี เป็นต้น สะท้อนให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของต้นไม้ในต านานและพื้นที่สุสานได้อีกทางหนึ่ง


๕๐ ฮวงซุ้ยเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่บ้านกรือเซะ จังหวัดปัตตานี (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๕๑ มัสยิดกรือเซะ สถานที่ที่ผูกโยงกับต านานของลิ้มโต๊ะเคี่ยมและเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ต้นมะม่วงหิมพานต์ ที่ยืนต้นตระหง่านบนเนินฮวงซุ้ยเจ้าแม่ และเครื่องเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สถิตในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๕๒ ภาพส่วนหนึ่งจากประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี ได้รับการขึ้นทะเบียนในสาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน (ที่มา: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, คู่มือการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙. กรุงเทพฯ: ส านักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, ๒๕๖๑.) ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจึงเกี่ยวโยงกับถิ่นย่านในปัตตานีที่มีคนจีนอยู่อาศัยมาก่อน คือ บ้านกรือเซะ ซึ่งเคยเป็นชุมชนจีนขนาดใหญ่ในสมัยที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมและพรรคพวกเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนั้น ต่อมาชาวชุมชน หัวตลาดซึ่งเป็นคนจีนกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีบทบาทเด่นชัดนับแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังได้เล่าขานต านาน เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสืบต่อมา เกิดต านานเจ้าแม่หลากหลายส านวน นับว่าคนจีนตลอดจนคนไทยเชื้อสายจีน ในจังหวัดปัตตานีได้ส่งทอด สืบต่อต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันจากรุ่นสู่รุ่น โดยยกย่องศรัทธาเจ้าแม่ในฐานะ “เปนผู้หญิงบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง เปนคนรักชาติตระกูลอย่างหนึ่ง” และแม้ว่าชาวชุมชนหัวตลาดจะไม่ได้นับถือว่า เจ้าแม่เป็น “บรรพบุรุษ” เนื่องจากเจ้าแม่เสียชีวิตก่อนที่จะแต่งงานและให้ก าเนิดทายาท แต่ถือว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็น “เทพเจ้าประจ าถิ่น” ๓๔ ที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวของชาวจีนและดินแดนปัตตานีอย่างเด่นชัด ๓๔ สัมภาษณ์ ปานเทพ คณานุรักษ์, ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๕๓ ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีความส าคัญต่อคนในชุมชนหัวตลาด ตลอดจนต่อวิถีวัฒนธรรมและการศึกษา ในสังคมไทย เกิดการน าต านานมาเล่าต่อในรูปแบบที่หลากหลาย มีการศึกษาค้นคว้าต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในหลากหลายสาขาวิชา ที่ส าคัญคือ ต านานเจ้าแม่มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับ “พิธีกรรม” ต่าง ๆ ที่ชาวชุมชนหัวตลาดจัดขึ้น โดยเฉพาะมหกรรมกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่จัดขึ้น เป็นประจ าทุกปี ดังที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม๓๕ ได้เผยแพร่ข้อมูลว่า ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นเรื่องเล่าประเภทมุขปาฐะ ต่อมามีผู้น ามาเขียนและตีพิมพ์ เป็นรูปเล่มเผยแพร่ทั้งภาษาไทย และภาษาจีน มีภาพประกอบสวยงาม นอกจากนี้มีการศึกษา เปรียบเทียบต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานีรวมทั้งการค้นคว้าทางศิลปะ และโบราณคดียุคชาวจีนรุ่นแรก ๆ ที่เดินทางมาถึงปัตตานีปัจจุบันชาวปัตตานีจัดงานสมโภช ทุกปีในวันเพ็ญเดือนสาม เพื่อระลึกถึงความดีของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ขาดเสียมิได้คือขบวนแห่ รูปสลักเจ้าแม่ตามด้วยขบวนต่าง ๆ เช่นขบวนแห่ธง แห่ป้าย แห่กระเช้าดอกไม้และเชิดสิงโต ประโคมด้วยกลองและม้าล่อ กลางคืนมีมหรสพต่าง ๆ เช่นงิ้วและโนรา ชาวบ้านบอกว่าเจ้าแม่ โปรดการแสดงทั้งสองนี้ ด้วยความส าคัญของต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวต่อชาวชุมชนหัวตลาด ตลอดจนความส าคัญในระดับ ท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี จึงได้รับการประกาศจาก กระทรวงวัฒนธรรมให้เป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ” สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน ประเภท นิทานพื้นบ้าน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต านานพระหมอโจวซือกง ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และต านานความเชื่อต่อ “พระ” องค์ต่าง ๆ คือ “เสน่ห์แห่งศรัทธา” ของคนไทยเชื้อสายจีนในปัตตานีที่ได้ส่งทอดสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการบอกเล่า และบันทึกต านาน ที่ส าคัญยังมีการประกอบพิธีกรรมซึ่งช่วยขับเน้นเสน่ห์แห่งศรัทธาให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ดังจะกล่าวในบทถัดไป ๓๕ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, ต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. (ม.ป.ป.) เข้าถึงจาก http://ich.culture.go.th/. สืบค้นเมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕.


๕๔ ภาพขณะประกอบพิธีลุยไฟ “พระ” ที่อัญเชิญมาประกอบพิธีในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ นี้มี ๔ องค์ ประกอบด้วย พระหมอโจวซือกง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระไฉ่ซิงเอี๊ยะ และพระเจ้าที่แป๊ะกง (เรียงตามล าดับจากซ้ายไปขวาตามภาพ ซึ่งเป็นการเรียงล าดับตามสถานภาพ และความส าคัญของพระแต่ละองค์ในวิธีคิดของชาวชุมชนหัวตลาด) เหตุที่ปีนี้อัญเชิญมาประกอบพิธีเพียง ๔ องค์ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๕๕ บทที่ ๓ พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว: ประชุมศรัทธา บูชา “พระ” ศักดิ์สิทธิ์ บทนี้เป็นการน าเสนอข้อมูลพิธีกรรม โดยแบ่งเนื้อหาเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ การเก็บข้อมูลสัมภาษณ์ก่อนวัน ประกอบพิธีและการเก็บข้อมูลในวันประกอบพิธีโดยวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๕ คณะผู้วิจัยได้สัมภาษณ์บุคคล ส าคัญในชุมชนจีนหัวตลาดที่เกี่ยวข้องกับการจัดพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเพื่อเก็บข้อมูลที่จ าเป็นทั้งในเชิง ประวัติศาสตร์บริบทสังคม ความเป็นมาและรายละเอียดของความเชื่อและพิธีกรรมตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ฯลฯ จากนั้นในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๕ จึงเก็บข้อมูลพิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่จัดขึ้นภายใต้มาตรการ ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ (Covid-๑๙) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ท าให้ขั้นตอน ของพิธีและองค์ประกอบของพิธีบางประการถูกลดทอนลงดังได้กล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนและองค์ประกอบหลัก อันเป็นหัวใจส าคัญของพิธียังคงด ารงอยู่อย่างครบถ้วน ดังรายละเอียดที่จะน าเสนอต่อไป ๓.๑ การสัมภาษณ์ก่อนวันประกอบพิธี บรรยากาศ การสัมภาษณ์ ในบ้าน หลวงสุนทรสิทธิโลหะ (ที่มา: ตระกูลคณานุรักษ์)


๕๖ ก่อนลงเก็บข้อมูลพิธีกรรม นักคติชนควรรวบรวมข้อมูลบริบทชุมชน ความเป็นมาของพิธีกรรม ประวัติศาสตร์สถานที่และกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเสียก่อนเพื่อเป็นพื้นฐานในการท าความเข้าใจพิธีกรรม อย่างรอบด้าน การนัดสัมภาษณ์คนในตระกูลคณานุรักษ์ซึ่งท าหน้าที่ดูแลศาลเจ้าฯ มาตั้งแต่ครั้งอดีต (ปัจจุบัน ผู้ดูแลศาลเจ้าเล่งจูเกียง คือ มูลนิธิเทพปูชนียสถาน) และมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษจึงเป็นส่วนส าคัญและจ าเป็นยิ่ง ปัจจุบันตระกูลคณานุรักษ์กับตระกูลวัฒนายากรผลัดกัน ดูแลศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้นัดหมายเข้าสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลส าคัญ ดังต่อไปนี้ ๑. นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์- ทายาทสายพระจีนคณานุรักษ์ชั้นที่ ๖ ๒. นายพันธุ์ฤทธิ์วัฒนายากร - ทายาทสายหลวงสุนทรสิทธิโลหะ ชั้นที่ ๖ ๓. นายชูโชติเลิศลาภลักขณา - เจ้าของร้านกิมซิ้นหย่งชาง มีบทบาทในการจัดงานมหกรรมกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๔. นายธีรภัทร พรมนุชาธิป - ประธานชุมชนหัวตลาด การสัมภาษณ์เริ่มต้นจากหัวข้อความเป็นมาของศาลเจ้าเล่งจูเกียง นายแพทย์ปานเทพให้ข้อมูลว่า ศาลเจ้าเล่งจูเกียงสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชา สมัยกรุงศรีอยุธยา แรกเริ่มเป็นศาลเจ้าปุนเถ้าก๋งมาก่อน กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยมีการเชิญองค์พระหมอโจวซือกงมาประทับที่ศาลเจ้า สาเหตุเกิดจากชาวบ้านพบขอนไม้ลอยน้ ามาจึงใช้ตะขอเกี่ยวขึ้นมาเพื่อจะน าไปท าฟืน แต่เมื่อใช้ขวานสับขอนไม้ก็มี องค์ลงประทับทรงชาวบ้านผู้นั้น พระจีนคณานุรักษ์บรรพบุรุษของตระกูลคณานุรักษ์ผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และเป็นหัวหน้าคนจีนในขณะนั้นได้เดินทางมาดูขอนไม้ดังกล่าว พบว่าขอนไม้นั้นมิใช่ขอนไม้ธรรมดา แต่เป็น รูปแกะสลักองค์โจวซือกงหรือ “พระหมอ” พระจีนคณานุรักษ์จึงท าพิธีอัญเชิญมาไว้ที่ศาลเจ้าปุนเถ้าก๋ง จากนั้นจึง เปลี่ยนชื่อเรียกศาลเจ้าจาก “ศาลเจ้าปุนเถ้าก๋ง” มาเป็น “ศาลเจ้าโจวซือกง” ตามชื่อเรียกขององค์เทพ ส่วนการประดิษฐานองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ณ ศาลเจ้าเล่งจูเกียงมีที่มาเล่ากันว่าพระจีนคณานุรักษ์ป่วย เป็นโรคผิวหนังรักษาไม่หาย จึงไปเสี่ยงเซียมซียากับพระหมอ เมื่อรับประทานยาตามใบเซียมซีก็หายจากอาการ เจ็บป่วย แต่ต่อมาก็กลับมาป่วยอีกครั้ง พระจีนคณานุรักษ์ไปขอความช่วยเหลือจากร่างทรง ร่างทรงให้ไปบนบาน ศาลกล่าวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่สุสานบ้านกรือเซะ เมื่อพระจีนคณานุรักษ์ท าตามค าแนะน าของร่างทรง อาการป่วย ก็หายเป็นปลิดทิ้งจึงน าไม้มะม่วงหิมพานต์บริเวณสุสานมาแกะเป็นรูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวโดยกระบวนการแกะสลัก รูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้ใช้ร่างทรงสื่อสารระหว่างเจ้าแม่กับผู้แกะสลักตลอดทุกขั้นตอน ฉะนั้นรูปลักษณ์ของ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่เห็นในศาลเจ้าปัจจุบันจึงเชื่อว่าเป็นรูปลักษณ์ที่ก าหนดมาจากเจ้าแม่โดยตรง หลังจาก แกะสลักไม้มะม่วงหิมพานต์เป็นรูปองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเรียบร้อยแล้วจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลเจ้า เล่งจูเกียง คนในชุมชนจึงเรียกศาลเจ้าแห่งนี้ว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ด้วยอีกชื่อหนึ่ง


๕๗ บรรยากาศการสัมภาษณ์ในบ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ (ที่มา: ตระกูลคณานุรักษ์) ในการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลส าคัญยังได้เล่าต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สุสานเจ้าแม่และมัสยิดกรือเซะ การบูรณะซ่อมแซมรูปแกะสลักเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวใน พ.ศ. ๒๕๔๕ ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ ของพระหมอและเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และพิธีกรรมส าคัญที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เรียงตามล าดับปฏิทินจีนในรอบปีมีดังต่อไปนี้ ๑. พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ า เดือนอ้ายจีน ๒. พิธีเช็งเม้งเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตรงกับวันที่ ๓ เดือน ๓ จีน ๓. วันเกิดเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ตรงกับวันที่ ๒๗ เดือน ๗ จีน พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นพิธีกรรมที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุด องค์ประกอบและกิจกรรมในพิธี มีพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย นายแพทย์ปานเทพให้ข้อมูลว่าในอดีตในพิธีเคยมีการลงทรง ไต่บันไดดาบแต่กิจกรรมนี้ยุติลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นบุกจังหวัดปัตตานีในเดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ทางการจึงได้ประกาศงดจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไป ๑ ปีจากนั้นทางการ ได้ประกาศขอความร่วมมือให้การจัดพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลดขั้นตอนในพิธีที่น่าหวาดเสียวออกไป ชุมชน จึงได้น ากิจกรรมการเข้าทรงไต่บันไดดาบออกจากพิธีกรรม เหลือคงไว้เพียงกิจกรรมลุยน้ า ลุยไฟ ซึ่งเป็นจุดเด่น ของพิธีจวบจนปัจจุบัน


๕๘ ปัจจุบันชื่อพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “งานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานี อาเซียน “กตัญญูคู่ฟ้ามหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี”” นายธีรภัทรให้ข้อมูลว่า ชื่องานที่มีค าว่า “อาเซียน” เพิ่งมีช่วงที่จัดกิจกรรมแข่งเชิดสิงโตดอกเหมยเมื่อ ๕-๖ ปีก่อน เพราะผู้เข้าร่วมแข่งขันมีมาจากประเทศ ต่าง ๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์เมียนมาร์และเวียดนาม การแข่งเชิดสิงโตดอกเหมยจัดหลังจากลุยไฟเสร็จ ในการเก็บข้อมูลพิธีกรรม ขั้นตอนการประกอบพิธีนับเป็นข้อมูลส าคัญที่นักคติชนควรศึกษาก่อนลง เก็บข้อมูลในสนามจริงเพราะจะได้ทราบภาพรวมของพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อน าข้อมูลดังกล่าวไปใช้วางแผน เก็บข้อมูลในวันพิธีและเปรียบเทียบความเหมือน-ต่างของพิธีกรรมในอดีตกับปัจจุบัน การสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้รับ ความอนุเคราะห์รายละเอียดขั้นตอนการประกอบพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตั้งแต่การแบ่งหน้าที่คนในชุมชน การเตรียมเครื่องประกอบพิธีการมัดพระบนเกี้ยว ล าดับการเชิญพระ การเปิดประตูศาล การแห่พระรอบชุมชน การปักหลัก การลุยน้ า ลุยไฟ และการจัดมหรสพสมโภชเจ้าแม่ นอกเหนือจากข้อมูลพิธีกรรมแล้ว ข้อมูลชุมชนในปัจจุบันก็เป็นสิ่งส าคัญที่นักคติชนควรให้ความสนใจ ผู้ให้สัมภาษณ์ได้เล่าถึงความเป็นมาของค าว่า “กือดาจีนอ” ที่ใช้เรียกชุมชนหัวตลาด และความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวจีนกับชาวมุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นข้อมูลส าคัญที่ท าให้เข้าใจลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ เมืองปัตตานีนี้ได้ดียิ่งขึ้น ค าว่า “กือดาจีนอ” เป็นภาษามลายู แปลว่า ตลาดจีน กือดา แปลว่า ตลาด จีนอ แปลว่าจีน ป้ายนี้ประดับที่ด้านหน้าบ้านเลขที่ ๕ เป็นการแสดงพื้นที่วัฒนธรรม ของชาวจีน (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๕๙ ภาพถ่ายที่ระลึกหลังการสัมภาษณ์ของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลและคณะผู้วิจัยเรียงล าดับจากซ้ายไปขวา ดังนี้ ๑. นายธีรภัทร พรมนุชาธิป ประธานชุมชน ๒. อาจารย์ชวิน พงษ์ผจญ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๓. นายชูโชติ เลิศลาภลักขณา เจ้าของร้านกิมซิ้นหย่งชาง ๔. นายพันฤทธิ์ วัฒนายากร สมาชิกในตระกูลวัฒนายากร ๕. นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์ สมาชิกในตระกูลคณานุรักษ์ ๖. รองศาสตราจารย์ ดร.ปรมินท์ จารุวร อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๗. นางสาวพิมพ์นภัส จินดาวงค์ นิสิตระดับปริญญาเอก ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ ๘. นายธนภัทร พิริย์โยธินกุล นิสิตระดับปริญญาเอก ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ ๙. นางสาวฉัฑริกา ปรานช่วย นิสิตระดับปริญญาโท ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ หลังการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลส าคัญ ณ บ้านตระกูลคณานุรักษ์คณะผู้วิจัยได้เดินทางไปศึกษากิมซิ้น ที่ร้านกิมซิ้นหย่งชาง พร้อมสัมภาษณ์ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์การมีส่วนร่วมในพิธีความเชื่อ ความศรัทธา และความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าและพิธีกรรมสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากนายชูโชติเลิศลาภลักขณา


๖๐ ต่อมาคณะผู้วิจัยได้เดินทางไปชมร้านพระจีนกิมซิ้น มีนายศิรสิทธิ์อิงคยุทธวิทยา น าชมร้านและให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ธุรกิจกิมซิ้นและการมีส่วนร่วมในพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในฐานะผู้หามเกี้ยวเจ้าที่แป๊ะกง บน: บรรยากาศการชมร้านกิ้มซิ้นหย่งชางและสัมภาษณ์นายชูโชติเลิศลาภลักขณา (ที่มา: เฟซบุ๊กเพจ “กิ้มซิ้น พระจีน – หย่งชาง”) ล่าง: บรรยากาศการชมร้านพระจีนกิมซิ้นและสัมภาษณ์นายศิรสิทธิ์อิงคยุทธวิทยา (ที่มา: ร้านพระจีนกิมซิ้น)


๖๑ ๓.๒ พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว - ก่อนประกอบพิธี เมื่อเข้าสู่เวลาเที่ยงคืนของวันประกอบพิธี ชาวไทยเชื้อสายจีนในชุมชนหัวตลาดผู้มีหน้าที่หามเกี้ยว องค์พระจะเข้าไปเตรียมตัวในศาลเจ้า พื้นที่ในศาลเจ้ากลายเป็นปริมณฑลของพิธีกรรมที่ “ห้ามผู้หญิงเข้า” ในอดีตผู้ชายที่เข้าไปเฝ้าเกี้ยวต้องท าตนให้บริสุทธิ์ด้วยการอาบน้ าช าระร่างกายให้สะอาด งดดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ งดมีเพศสัมพันธ์ ถือศีลกินเจมาก่อน ๗ วัน ในปัจจุบันธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าวได้ผ่อนคลายลง ไม่ได้เคร่งครัดเท่าในอดีตแล้ว ช่วงเวลาเที่ยงคืนที่ประตูศาลเจ้าปิด เป็นช่วงเวลาประกอบพิธี “ทอดเบี้ยเสี่ยงทาย” ผู้ท าหน้าที่ทอดเบี้ย คือ ผู้จัดการศาล วิธีการทอดเบี้ยเสี่ยงทายท าด้วยการถือเบี้ยวนเหนือกระถางธูปใหญ่หน้าองค์พระหมอ ๓ รอบ แล้วโยนขึ้นเหนือศีรษะจนกว่าจะได้เบี้ยคว่ า ๑ อัน หงาย ๑ อัน ค าถามที่ใช้ในการทอดเบี้ยมีต่อไปนี้ ๑. เวลาที่จะน าเกี้ยวเข้าศาลเจ้า ๒. เวลาที่จะเชิญองค์พระประทับบนเกี้ยว ๓. ล าดับองค์พระที่จะประทับบนเกี้ยว ๔. เวลาเปิดประตูศาลเจ้าอัญเชิญองค์พระออกแห่ ๕. เวลาที่จะก่อกองไฟ๓๖ หลังจากการทอดเบี้ยแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เสี่ยงทายไว้ ผู้มีหน้าที่หามเกี้ยวองค์พระแต่ละองค์จะหามเกี้ยว องค์พระที่ตนรับผิดชอบเข้าศาลเพื่อรอเวลาเชิญองค์พระประทับบนเกี้ยว ผู้ท าพิธีจะอุ้มองค์พระลงจากแท่นไป ประทับบนเกี้ยว โดยใช้กระดาษทองกอจี๊จุดไฟโบกปัดน าหน้าเป็นการปัดรังควาน แล้วใช้ผ้าแดงที่เตรียมไว้มัด องค์พระให้ยึดติดกับเกี้ยวอย่างแน่นหนา ผู้ท าหน้าที่มัดผ้ายึดองค์พระต้องมีประสบการณ์และรู้วิธีการมัดผ้าอย่าง ถูกต้องเพื่อยึดให้องค์พระไม่คลอนแคลนระหว่างหามเกี้ยวตลอดพิธี๓๗ ๓๖ ปานเทพ คณานุรักษ์, เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่, ๒๕๕๘. ๓๗ เรื่องเดียวกัน.


๖๒ บรรยากาศการหามเกี้ยวเข้าศาลเจ้าในช่วงเวลากลางคืนก่อนเช้าวันประกอบพิธีกรรม ชายผู้อยู่ประจ าแต่ละไม้ของเกี้ยวที่ตนรับผิดชอบจะน าเกี้ยวเข้าศาลตามเวลาที่ได้จากการทอดเบี้ย (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์) ผู้ประกอบพิธีใช้กระดาษทองกอจี๊จุดไฟโบกด้านหน้าองค์พระไฉ่ซิงเอี๊ยะที่อัญเชิญมาประทับบนเกี้ยว เพื่อปัดรังควาน (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๖๓ - เช้าวันประกอบพิธี ฤกษ์เปิดประตูศาลเจ้าใน พ.ศ. ๒๕๖๕ คือเวลา ๐๖.๐๘ น. ก่อนเวลาเปิดประตูศาล ด้านนอกศาล มีการเชิดสิงโตและมีแป๊ะยิ้มเคาะประตูเรียกเกี้ยวในศาลเจ้า หลังประตูที่ปิดอยู่ภายในศาลเจ้า คนหามเกี้ยว ต่างร่วมแรงร่วมใจกันยกเกี้ยวเตรียมออกแห่รอบชุมชน ระหว่างรอฤกษ์เปิดประตูศาล คนหามเกี้ยวได้ยกเกี้ยว กระโดดขึ้นลงเป็นการปลุกขวัญก าลังใจและแสดงความยินดีที่ได้ร่วมสมโภชเจ้าแม่และองค์พระทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาอัญเชิญองค์พระออกจากศาลเจ้า ผู้จัดการศาลเจ้าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะท าหน้าที่เปิด ประตูตามฤกษ์ขบวนแห่องค์พระเดินออกจากศาล ในขบวนแห่ประกอบด้วย ชายถือขันน้ ามนต์สาดขับไล่ สิ่งอัปมงคลน าหน้าขบวน ชายถือแผ่นอักษรมงคลฟันปลาฉนากศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าฟันปลาฉนากสามารถกันสิ่งชั่วร้าย ไม่ให้กล้ ากรายในพิธีได้ ผู้ถือหีบบรรจุหลักไม้กับเกลือและข้าวสารส าหรับท าพิธีปักหลัก บนหีบยังบรรจุศาสตราวุธ ที่พันด้วยผ้าสามสีประดับสร้อยไข่มุก และพวงมาลัยดอกดาวเรือง ชายถือฟันปลาฉนาก และชายถือธงมงคล สีเหลืองทองรูปมังกร ตามล าดับ จากนั้นตามมาด้วยเกี้ยวขององค์พระ ในปีนี้มีการอัญเชิญเกี้ยว ๔ เกี้ยว ได้แก่ เกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เกี้ยวแป๊ะกง เกี้ยวไฉ่ซิงเอี๊ยะ ปิดท้ายด้วยเกี้ยวพระหมอ บรรยากาศนอกศาลก่อนถึง ฤกษ์เปิดประตูศาลเจ้า มีผู้คนจ านวน มากยืนรอขบวนแห่ เด็ก ๆ ในชุมชนตีกลอง ตีฆ้อง เป็นจังหวะสนุกสนานให้สิงโตแดง สิงโตเหลือง และแป๊ะยิ้มน้อยเคาะ ประตูศาลเรียกขบวนเกี้ยวของ องค์พระออกสู่ชุมชน (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๖๔ ประตูศาลเปิดตอนฟ้ายังไม่สาง ผู้มีจิตศรัทธาทั้งจากในและนอกชุมชนมารอชมขบวนแห่ องค์ประกอบในขบวนแห่มีตั้งแต่เครื่องปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและอุปสรรค เครื่องประกอบพิธีและเกี้ยวองค์พระ แห่ออกจากประตูตามล าดับดังนี้ ๑. เกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๒. เกี้ยวแป๊ะกง ๓. เกี้ยวไฉ่ซิงเอี๊ยะ ๔. เกี้ยวพระหมอ (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๖๕ - พิธีแห่พระรอบชุมชน เมื่อเกี้ยวทั้งหมดออกมาจากศาลก็แห่เกี้ยวไปยังลานพิธีฝั่งตรงข้ามศาลซึ่งวางประทัดเตรียมพร้อมไว้ก่อน แล้ว เมื่อหามเกี้ยวองค์พระเล่นประทัดเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปักหลักจุดแรกที่หลังโรงโนรา จากนั้นจึงหามเกี้ยว พระหมอไปที่หัวถนนอาเนาะรูเพื่อปักหลักจุดที่สอง จากนั้นกลับมาที่ลานพิธีหน้าศาลเจ้าอีกครั้ง เพื่อปักหลักจุดก่อ กองไฟ ก่อนที่เกี้ยวพระหมอจะลงปักหลัก เกี้ยวของเทพองค์อื่นจะเวียนรอบลานก่อน หลังจากหามเกี้ยวเดินรอบ ลานพิธีแล้ว ผู้หามเกี้ยวจะลดเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลงเพื่อให้ประชาชนได้สักการะกราบไหว้ ถวายของ หรือสัมผัสเกี้ยวและองค์เจ้าแม่เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต จากนั้นเกี้ยวทุกเกี้ยวจะขยับไปอยู่ด้านข้าง เว้นพื้นที่ ตรงกลางเพื่อให้เกี้ยวพระหมอท าพิธีปักหลัก ระหว่างนี้ ผู้ถือเครื่องประกอบพิธีน าขบวนแห่จะยืนเรียงแถวหน้ากระดานรอเกี้ยวพระหมอ ผู้ท าพิธีจุดธูป จุดเทียนยืนรอร่วมกับผู้ถือเครื่องประกอบพิธี เมื่อถึงเวลา ผู้หามเกี้ยวพระหมอเดินเข้าสู่ลานพิธีและลงปักหลัก ส าหรับก าหนดจุดก่อกองไฟ หลังจากก าหนดจุดก่อกองไฟเรียบร้อยแล้ว ขบวนแห่ได้เคลื่อนเข้าสู่เส้นทางที่ก าหนดรอบชุมชน แต่ละ บ้านจะตั้งโต๊ะไหว้ บนโต๊ะประกอบด้วยของไหว้ทั้งของหวาน ผลไม้ น้ าชา กระดาษเงินกระดาษทอง บางบ้านน า กิมซิ้นที่ตนนับถือประจ าบ้านออกมาตั้งบนโต๊ะไหว้ด้วย เมื่อเกี้ยวถึงหน้าบ้าน ผู้หามเกี้ยวจะน าเกี้ยวเข้าไปแตะ ที่โต๊ะไหว้ ๓ ครั้งเพื่อรับของไหว้ เจ้าของบ้านจะปักธูปหน้าเกี้ยว จากนั้นอาจถวายดอกไม้ สร้อยคอ บางคนแตะ องค์พระเพื่อความเป็นมงคล บางคนก็ถ่ายรูปคู่กับเกี้ยว ผู้หามเกี้ยวลดเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลงเพื่อให้ประชาชน ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้ามาสักการะเจ้าแม่ได้อย่างใกล้ชิด จากภาพ ผู้หญิงสามารถเข้ามาสัมผัสองค์เจ้าแม่ได้ วิถีปฏิบัตินี้ ผ่อนคลายลงจากอดีตที่เคยห้ามผู้หญิงสัมผัสเกี้ยวและองค์พระ ในระหว่างประกอบพิธี (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๖๖ ผู้อัญเชิญเครื่องประกอบพิธีน าหน้า เกี้ยวพระหมอ ยืนแถวก าหนดพื้นที่ ส าหรับประกอบพิธีปักหลักกองไฟ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ผู้หามเกี้ยวพระหมอก าลังลดไม้หน้าย่อตัวลงเพื่อปักหลักก่อกองไฟ บริเวณลานฝั่งตรงข้ามศาลเจ้า ไม้หน้าบ่าขวา คือ ส.ท.กนกพงศ์ ศรีกัลยานิวาท (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๖๗ บรรยากาศการ “หามพระ” รอบชุมชนหัวตลาด เกี้ยวจะแวะทุกบ้านที่เจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับ (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๖๘ ขบวนธงที่เด็ก ๆ ในชุมชนเป็นผู้ถือน าหน้าเกี้ยวพระหมอ สะท้อนการมีส่วนร่วมของชายทุกช่วงวัยในชุมชนหัวตลาด โดยวัยเด็กจะเริ่มจากเป็นแป๊ะยิ้ม ถือธง เล่นดนตรี เชิดสิงโต เพื่อซึบซับ เรียนรู้พิธีกรรม จากนั้นค่อยเปลี่ยนบทบาทหน้าที่เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยถัดไป (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) ผู้ชายในชุมชนหัวตลาด ตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวัย สูงอายุล้วนมีส่วนร่วม ในการประกอบพิธีกรรม มาแต่อดีต (ผู้เอื้อเฟื้อภาพ: ผู้ดูแลเฟซบุ๊ก เพจ “เจ้าพ่อเสือ (หน้าทอง) แห่งศาลเจ้าเล่งจูเกียง”)


๖๙ เกี้ยวพระหมอเข้าไปแตะที่โต๊ะไหว้หน้าบ้านชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองปัตตานี จากภาพจะเห็นปฏิสัมพันธ์ของหญิงเจ้าของบ้านที่สัมผัสเกี้ยวและถือธูปรอสักการะพระหมอ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๗๐ สสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส ส ส ส ส ส ส ส ส ส ส ส ส คณะผู้ศรัทธาสักการะพระหมอหน้าโรงเตี๊ยมอาเนาะรู เกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและเกี้ยวพระแป๊ะกง ขบวนหามเกี้ยวพระไฉ่ซิงเอี๊ยะเคลื่อนผ่านบริเวณหน้าบ้านกงสี (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๗๑ จากการเก็บข้อมูลใน พ.ศ. ๒๕๖๕ พบว่า ตลอดเส้นทางแห่พระ ขบวนเกี้ยวจะแห่เข้าบ้าน หลังเดียวในชุมชนเท่านั้น คือบ้านรังนก บ้านรังนกประกอบด้วยบ้านสองหลังคือ บ้านเลขที่ ๓ และ ๓/๑ บ้านหลังนี้มีความส าคัญ ในแง่เป็นสถานที่เก็บพระองค์ส าคัญ ของตระกูล คณานุรักษ์สืบต่อจากบ้านกงสี (บ้านเลขที่ ๒๗ บ้านต้นตระกูลคณานุรักษ์) พระที่ประดิษฐาน ที่บ้านรังนกคือพระกวนเต้กุ๊น พระเซียงเต้เอี่ย พระจูล่ง องค์เจ้าที่ รวมถึงพระองค์อื่น ๆ ที่เป็น ที่นับถือของพระจีนคณานุรักษ์ เกี้ยวของพระ ทั้ง ๔ องค์ถูกเชิญเข้าไปในบ้านรังนกให้เจ้าบ้าน สักการะเพื่อเป็นสิริมงคล๓๘ ในปีก่อน ๆ ที่ยังไม่ มีการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส จะต้อง มีการอัญเชิญพระกวนเต้กุ๊น พระเซียงเต้เอี่ย และพระจูล่ง จากบ้านรังนกเข้าร่วมพิธีหามพระ ลุยน้ าลุยไฟด้วยเสมอ ๓๘ ข้อมูลจากป้ายประชาสัมพันธ์เล่าประวัติศาสตร์หน้าบ้านรังนก ผู้หามเกี้ยวน าเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวออกจากบ้านรังนก หลังจากเจ้าของบ้านสักการะบูชาเรียบร้อยแล้ว (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๗๒ ภาพเก่าบันทึกเหตุการณ์การอัญเชิญเกี้ยวพระเข้าในสถานที่ต่าง ๆ บน: สถานีต ารวจ ล่าง: บ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ (ผู้เอื้อเฟื้อภาพบน: จรูญศักดิ์ เวชชอุโฆษณ์และพรศักดิ์ พัฒน์แช่ม) (ผู้เอื้อเฟื้อภาพล่าง: ผู้ดูแลเฟซบุ๊กเพจ “เจ้าพ่อเสือ (หน้าทอง) แห่งศาลเจ้าเล่งจูเกียง”)


๗๓ ผู้หามเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลดเกี้ยวลงเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้สักการะ ด้วยการปักธูปและการกราบไหว้ (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๗๔ การจัดโต๊ะไหว้แต่ละบ้านมีความแตกต่างกัน โดยหลักแล้วจะมีขนมหวาน ผลไม้ จ านวน ๕ ๗ หรือ ๙ ชนิดตามความเชื่อและศรัทธา พร้อมด้วยน้ าชา ธูป เทียน กระดาษเงินกระดาษทอง ดอกไม้ บางบ้านจะมีของคาวอย่างไก่ หมู ถวายร่วมด้วย ผู้ตั้งโต๊ะรับพระบางครอบครัว อัญเชิญองค์พระที่ตนเคารพศรัทธามาประดิษฐานบนโต๊ะบูชาพร้อมของไหว้ด้วย (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๗๕ การอัญเชิญเกี้ยวไฉ่ซิงเอี๊ยะ เกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และเกี้ยวแป๊ะกงประดิษฐานบนโต๊ะรับพระ หน้าบ้านเรือนของผู้ศรัทธาเพื่อให้ประชาชนเข้าสักการะ ส่วนเกี้ยวพระหมอที่ไม่ปรากฏในภาพเนื่องจากได้รับ อัญเชิญไปประกอบพิธีปักหลัก จากภาพจะเห็นการมีปฏิสัมพันธ์กับองค์พระของผู้หญิง ทั้งการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกและการปักธูป สักการะด้านหน้าเกี้ยว (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์) นายนิพันธ์บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี (ในขณะนั้น) และภริยา จุดเทียนธูปที่โต๊ะรับพระ เพื่อบูชา พระหมอซึ่งอัญเชิญมายัง จวนผู้ว่าฯ ในระหว่างประกอบ พิธีปักหลัก (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๗๖ ระหว่างแห่พระรอบชุมชน นอกจากชาวไทยเชื้อสายจีนจะตั้งโต๊ะไหว้รับพระแล้ว บางบ้านจะถวายประทัด ให้เทพเจ้าที่ตนนับถือ วิธีการถวายประทัดท าโดยวางประทัดบนถนนหน้าบ้านให้เต็มถนนแล้วจุดประทัด ให้ผู้หามเกี้ยวเดินฝ่าประทัดด้วยเท้าเปล่าเพื่อถวายแด่องค์เทพเจ้า เชื่อว่าการจุดประทัดยังเป็นการช่วยปัดเป่า สิ่งชั่วร้ายออกไปได้ด้วย นอกจากนี้ จากความเชื่อว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวชอบโนราท าให้บางบ้านจ้างคณะโนรามาร าถวายเจ้าแม่ และเทพองค์อื่น ๆ ด้วย วิถีปฏิบัตินี้นับเป็นการผสมผสานความเชื่อของเทพเจ้าจีนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างเด่นชัด ผู้หามเกี้ยวจะต้องเดินลุยประทัดที่ผู้มีจิต ศรัทธาจุดถวายต่อเทพศักดิ์สิทธิ์บน เกี้ยว การเดินลุยประทัดเป็นการเดินด้วย เท้าเปล่าบนประทัดนับพันนับหมื่นนัด ผู้หามเกี้ยวต้องใช้ความอดทน และพลัง ศรัทธาในการเดินฝ่าเสียงดังและแรงระเบิดของประทัด (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล) สมาชิกในชุมชนจ้างคณะโนรามาร าถวาย เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและเทพเจ้าองค์อื่น หน้าบ้านของตน (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๗๗ เกี้ยวพระหมอท่ามกลางกลุ่มควันและเสียงประทัดแห่งศรัทธา (ภาพถ่าย: ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์)


๗๘ แผงผังแสดงเส้นทางหามเกี้ยวพระทั้ง ๔ องค์ ด้วยการเดินเท้า ไปยังบริเวณเส้นทางตามที่ก าหนด เป็นบริเวณชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ทั้งชุมชนหัวตลาดและชุมชนอื่น ๆ มุมขวาล่างมีค าว่า “ลงน้ า” คือ บริเวณที่ประกอบพิธีลุยน้ า


๗๙ - พิธีปักหลัก พิธีมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ประกอบไปด้วยหลายขั้นตอน ขั้นตอนที่ส าคัญขั้นตอนหนึ่ง คือ “พิธีปักหลัก” พิธีปักหลัก คือการอัญเชิญเกี้ยวองค์พระหมอโดยใช้ไม้หน้าสองข้างปักลงบนพื้น จุดปักหลักมักเป็นบริเวณ ขอบมุมของพื้นที่ สามแยก สี่แยก หรือหัวสะพาน แล้วใช้ฮู้หลักไม้ไผ่ของพระหมอตอกลงไปบนพื้นบริเวณที่ปักหลัก เชื่อว่าเป็นการป้องกันสิ่งชั่วร้ายในอาณาเขตเมืองปัตตานี และท าให้ผู้คนในอาณาเขตนั้นมีความร่มเย็นเป็นสุข ๓๙ ส่วนเหตุที่ก าหนดให้เป็นเกี้ยวพระหมอ เนื่องจากองค์พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกงคือองค์ประธานของศาลเจ้า การปักหลักในแต่ละพื้นที่จะกระท าที่ละ ๒ จุด คือบริเวณซ้ายและขวาของมุมถนนหรือสะพาน เมื่อปักหลักที่จุดหนึ่งแล้ว จะข้ามฟากถนนหรือสะพานไปปักหลักอีกจุดหนึ่ง แล้วจึงเดินทางไปปักหลักในพื้นที่อื่น ที่ก าหนดต่อไป ดังนั้นพิธีปักหลักในแต่ละจุดจึงมีขั้นตอนเหมือนกัน คือ ๑. ผู้ประกอบพิธีตอกหลักไม้ ผู้อัญเชิญฟันปลาฉนาก ผู้อัยเชิญหีบบรรจุหลักไม้ จะยืนเรียงกันเป็น หน้ากระดานบริเวณที่จะประกอบพิธีปักหลัก ๒. ผู้หามเกี้ยวพระหมอยืนรออยู่ในจุดที่ห่างออกไปแล้วพุ่งตัวเข้ามาปักหลัก ๓. ผู้ประกอบพิธีน าหลักไม้ที่มีฮู้สีแดงมาตอกลงบนพื้นโดยใช้ขวานตอกลงไปที่หลักไม้ ๔. ผู้ประกอบพิธีโปรยข้าวสารและเกลือ ๕. ผู้หามเกี้ยวพระหมอหามเกี้ยวออกจากบริเวณจุดปักหลัก เดินทางไปจุดอื่น ๆ ต่อไป จากนั้นอาจมีผู้ร่วมขบวนแห่พระหมอสวดขอถอนหลัก แล้วถอนหลักไม้ที่ปักไว้ออกจากพื้น พิธีปักหลักเป็นพิธีที่เริ่มท าตั้งแต่ช่วงอัญเชิญเกี้ยวพระออกจากศาลเจ้า และกระท าคู่ขนานไปกับขั้นตอน การแห่พระรอบเมือง ดังนั้นจึงไม่อาจระบุล าดับขั้นของพิธีปักหลักร่วมกับพิธีอื่น ๆ ได้ชัดเจนนัก แต่พิธีปักหลัก จะหยุดชั่วคราวในช่วงพิธีลุยน้ า และจะเสร็จสิ้นก่อนพิธีลุยไฟ เนื่องจากเกี้ยวพระหมอจะต้องมาถึงบริเวณ มณฑลพิธีลุยไฟเพื่อท าพิธีเปิดโอ่งน้ ามนต์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นพิธีลุยไฟ ๓๙ สัมภาษณ์ พันฤทธิ์ วัฒนายากร, ทายาทสายหลวงสุนทรสิทธิโลหะ ชั้นที่ ๖, วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.


๘๐ การประกอบพิธีปักหลักมีผู้อัญเชิญวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ผู้ประกอบพิธีตอกหลักไม้ผู้หามเกี้ยวพระหมอ และผู้ติดตามเกี้ยว จากภาพคือ เมื่อผู้หามเกี้ยวพุ่งตัวลงปักหลักแล้ว ผู้ประกอบพิธีเตรียมตอกหลักไม้ลงบนพื้นด้านหน้าเกี้ยว (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๘๑ ภาพแสดงขั้นตอนพิธีปักหลัก ผู้ถือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ยืนก าหนดจุดปักหลัก เมื่อก าหนดจุดแล้ว ผู้หามเกี้ยวพระหมอ พุ่งตัวลงให้ไม้หน้าของเกี้ยวปักลงบนพื้น ประกอบพิธีตอกหลักไม้ไผ่ที่มีฮู้สีแดง เขียนนามของพระหมอ จากนั้นจึงโปรย เกลือและข้าวสารลงไปเป็นการปัดรังควาน (ภาพถ่าย: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


๘๒ ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว แผนที่แสดงจุดประกอบพิธีปักหลัก ๑๙ พื้นที่ แต่ละพื้นที่จะประกอบพิธีพื้นที่ละ ๒ จุด คือ ด้านซ้ายและขวา ของพื้นที่ปักหลัก ยกเว้นพื้นที่ที่ ๓ ซึ่งเป็นจุดประกอบพิธีปักหลักก่อกองไฟ จะปักหลักเพียงจุดเดียวเท่านั้น การประกอบพิธีปักหลักครอบคลุมบริเวณกว้างมากกว่าพิธีหามพระซึ่งใช้วิธีการเดินแห่ ดังนั้นจึงใช้รถเป็น พาหนะในการเดินทางไปประกอบพิธีปักหลักตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางหามพระดังแผนผังหน้า ๗๘ พื้นที่ประกอบพิธีปักหลักตามเส้นสีเหลืองเป็นพื้นที่ประกอบพิธีมาแต่เดิม ส่วนเส้นสีเขียวแสดงพื้นที่ ประกอบพิธีที่ก าหนดเพิ่มเติมเพราะการขยายตัวของประชากรชาวไทยเชื้อสายจีนไปตั้งถิ่นฐานบริเวณดังกล่าว แสดง พลวัตของพิธีปักหลักที่เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยแวดล้อม (ผู้จัดท า: ธนภัทร พิริย์โยธินกุล แผนที่นี้ดัดแปลงจากแผนที่ใน https://www.google.co.th/maps)


๘๓ พื้นที่ประกอบพิธีปักหลักในพิธีมหาสมโภช พ.ศ. ๒๕๖๕ นี้มีทั้งสิ้น ๑๙ พื้นที่ ๓๗ จุด ประกอบด้วยพื้นที่ ต่าง ๆ ดังนี้ พื้นที่ปักหลักที่ ๑ เมื่อเกี้ยวพระออกจากศาลเจ้าครบทุกองค์ จะประกอบพิธีปักหลักจุดแรกที่ ด้านหลังโรงโนรา ตรงข้ามศาลเจ้าเล่งจูเกียง พื้นที่ปักหลักที่ ๒ บริเวณซุ้ม “ตลาดจีนเมืองปัตตานี” ตรงข้ามกับวัดนิกรชนาราม ซึ่งเป็น หัวถนนอาเนาะรูด้านทิศตะวันออก พื้นที่ปักหลักที่ ๓“พิธีปักหลักก่อกองไฟ” เป็นพิธีปักหลักที่กระท าเพื่อก าหนดพื้นที่ก่อไฟ ตามฤกษ์พิธีลุยไฟ จึงมีขั้นตอนแตกต่างจากการปักหลักในพื้นที่อื่น ๆ ดังนี้ ๑. ผู้ประกอบพิธีปักหลักจุดเทียนสีแดงปักลงด้านหน้าเกี้ยวพระหมอ ทั้งด้านซ้ายขวา โดยห่างกัน ในระดับที่ไม่มากและน้อยเกินไป และจุดธูป ๑ ก า จ านวนหลายสิบดอก สังเกตได้ว่าผู้ประกอบพิธีปักหลักกองไฟ จะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่มากเพราะต้องใช้เครื่องประกอบพิธีกรรมมากและมีรายละเอียดพอสมควร ๒. ผู้ประกอบพิธีปักหลักพนมมือถือธูป ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วปักธูปทั้งก าลงระหว่างเทียน ๒ ข้าง ๓. ผู้ประกอบพิธีตอกหลักไม้ด้านซ้ายและด้านขวา (ของพระหมอ) ตามล าดับ ๔. ผู้ประกอบพิธีรับกระดาษปึกสีแดงจ านวนหลายปึก ฝังลงในพื้นทรายบริเวณหลังธูปเทียน (แต่ยังอยู่ด้านหลังของเกี้ยวพระหมอ) ๕. ผู้ช่วยผู้ประกอบพิธีแจ้งให้ทุกคนตั้งใจอธิษฐาน ผู้ประกอบพิธีหยิบข้าวสารและเกลือจากหีบ หลักไม้ จากนั้นพนมมืออธิษฐาน แล้วผู้ประกอบพิธีโปรยข้าวสารและเกลือลงบริเวณจุดปักหลัก ๖. ผู้ประกอบพิธีพรมน้ ามนต์ ๓ รอบ บริเวณจุดปักหลัก แล้วพรมน้ ามนต์ไปยังวงล้อม ซึ่งประกอบด้วยเกี้ยวอีก ๓ เกี้ยว และผู้ศรัทธา ๗. ผู้ประกอบพิธีจับคานหามเกี้ยวพระหมอยกขึ้นพร้อมกับผู้หามเกี้ยว ผู้ร่วมพิธีร้องไชโยปรบมือ จากนั้นอัญเชิญเกี้ยวพระทั้ง ๔ องค์ออกจากบริเวณจุดปักหลักกองไฟ ๘. น ากรงเหล็กช่องใหญ่มาครอบบริเวณจุดปักหลักกองไฟ ผู้ศรัทธาต่างจุดธูปมาปักลงบริเวณ ดังกล่าวเป็นจ านวนมาก พื้นที่ปักหลักที่ ๔ หัวถนนอาเนาะรูด้านทิศตะวันตก ตรงริมแม่น้ าปัตตานี พื้นที่ปักหลักที่ ๕ สะพานบั่งเฉ้ง หรือสะพานปัตตานีภิรมย์ ซึ่งมีต านานว่าองค์พระหมอลอยมาติด ที่สะพานแห่งนี้ พื้นที่ปักหลักที่ ๖ สี่แยกที่ตัดระหว่างถนนปัตตานีภิรมย์กับถนนปรีดา คั่นด้วยพิธีลุยน้ า


๘๔ พื้นที่ปักหลักที่ ๗ บริเวณสะพานฝั่งตรงข้ามที่ว่าการอ าเภอเมืองปัตตานี สุดเขตเส้นถนนพิพิธ หลังจากพิธีลุยน้ าแล้วขบวนหามเกี้ยวพระหมอขึ้นรถเดินทางไปประกอบพิธีปักหลัก ตามพื้นที่ต่าง ๆ เริ่มจากพื้นที่ที่ ๗ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการอัญเชิญเกี้ยวพระองค์อื่น ๆ ไป ตามเส้นทางหามพระ พื้นที่ปักหลักที่ ๘ ถนนหนองจิก บริเวณตรงข้ามกับโรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล พื้นที่ปักหลักที่ ๙ บริเวณสะพาน ถนนเจริญประดิษฐ์ พื้นที่ปักหลักที่ ๑๐ ถนนหนองจิก บริเวณซุ้มเทศบาลเมืองปัตตานี พื้นที่ปักหลักที่ ๑๑ สี่แยกถนนเจริญประดิษฐ์และถนนมะกรูด ใกล้วัดนพวงศาราม (ใหม่) พื้นที่ปักหลักที่ ๑๒ เชิงสะพานเดชานุชิต และเกาะกลางสี่แยกถนนปัตตานีภิรมย์ พื้นที่ปักหลักที่ ๑๓ สะพานเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พื้นที่ปักหลักที่ ๑๔ ถนนหน้าวัง ซอย ๔ ใกล้กับบริเวณแม่น้ าปัตตานี พื้นที่ปักหลักที่ ๑๕ เส้นถนนยะรัง ใกล้กับโค้งแม่น้ าปัตตานี พื้นที่ปักหลักที่ ๑๖ สะพานคณานุรักษ์ พื้นที่ปักหลักที่ ๑๗ สะพานข้างคลองบริเวณตลาดเทศวิวัฒน์ ๑ พื้นที่ปักหลักที่ ๑๘ สามแยกถนนสราญรมย์ พื้นที่ปักหลักที่ ๑๙ บ้านพักของ สท. กนกพงศ์ ศรีกัลยานิวาท เมื่อประกอบพิธีปักหลักเสร็จสิ้นแล้ว ขบวนแห่พระหมอเดินทางกลับสู่ศาลเจ้าเล่งจูเกียงเพื่อประกอบพิธี ลุยไฟต่อไป บริเวณที่ประกอบพิธีปักหลักในแต่ละพื้นที่นั้นมีความน่าสนใจ ตามแผนที่ในหน้า ๘๒ จะเห็นว่า พื้นที่ ปักหลักมีทั้งพื้นที่เดิมและพื้นที่ที่ก าหนดขึ้นเพิ่มเติมภายหลังเมื่อไม่กี่ปีมานี้ กรณีของพื้นที่ประกอบพิธีปักหลักเดิม บางจุดสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของชุมชน และต านานเกี่ยวกับ การอัญเชิญพระหมอเข้าประดิษฐานที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง อาทิพื้นที่ปักหลักที่สะพานบั่นเฉ้ง บางจุดสัมพันธ์กับ ประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี เช่น จุดปักหลักที่ ๑๓–๑๕ ซึ่งเป็นบริเวณวังจะบังติกอที่เคยเป็นศูนย์กลาง การปกครองในอดีต และมีความสัมพันธ์กับความเจริญของชุมชนหัวตลาดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนพื้นที่ที่ก าหนดใหม่สัมพันธ์กับการขยายตัวของคนไทยเชื้อสายจีนและคนไทยพุทธ ท าให้มีการขยาย พื้นที่ประกอบพิธีปักหลักออกไป เพื่อให้สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงด้านการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคน พิธีปักหลัก จึงมีความส าคัญไม่ต่างจากพิธีกรรมอื่น ๆ


๘๕ พิธีหามพระลุยน้ าในอดีต บริเวณหน้าโรงพัก (สถานีต ารวจ) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหาดทราย (ผู้เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูล: นายพันฤทธิ์ วัฒนายากร) - พิธีลุยน้ า เมื่อแห่พระมาถึงสะพานเดชานุชิต ผู้ประกอบพิธีจะรอให้เกี้ยวทั้งหมดมาถึงโดยพร้อมเพรียงกันก่อน เกี้ยว เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเป็นเกี้ยวประธานของพิธีจะมาถึงในล าดับสุดท้าย ระหว่างรอ ประชาชนจะเข้ามาสักการะ องค์พระในแต่ละเกี้ยว ถือเป็นอีกช่วงที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เข้าถึงองค์พระอย่างใกล้ชิด ดั่งภาพการไหว้พระ การถวายสร้อยไข่มุก การสัมผัสองค์พระเพื่อรับพรและความเป็นสิริมงคล การถ่ายภาพร่วมกับองค์พระ ทั้งภาพเดี่ยวและภาพหมู่ ใน พ.ศ. ๒๕๖๕ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีและรองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมภริยาให้เกียรติมาเข้าร่วมพิธีและมีส่วนร่วมในการหามเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากทางเข้าไปจนถึงลาน ประกอบพิธีลุยน้ า การหามพระลุยน้ าเป็นการหามพระจากแม่น้ าฝั่งถนนปัตตานีภิรมย์ข้ามไปยังแม่น้ าฝั่งถนนนรินทราช บริเวณเชิงสะพานเดชานุชิต ผู้หามจะต้องมีความแข็งแรง ว่ายน้ าเป็น รู้จังหวะการเคลื่อนไหวในน้ า และสามารถ บังคับเกี้ยวในน้ าไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวไม้อื่น ๆ ได้ เพราะเกี้ยวมีน้ าหนักมากและกระแสน้ าในแม่น้ าปัตตานี ก็เชี่ยวมาก จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความแข็งแรงจึงจะสามารถหามเกี้ยวข้ามแม่น้ าได้ส าเร็จ


๘๖ วัตถุประสงค์ในการประกอบพิธีลุยน้ ามีความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เดิมเชื่อว่าเป็นการปัดรังควาน ท าให้เกิดสิริมงคลต่อแม่น้ าปัตตานีซึ่งเปรียบเสมือนหลอดเลือดใหญ่ของเมืองปัตตานี เพราะเป็นเส้นทางล าเลียง สินค้า ในสมัยก่อนแม่น้ านี้มีความส าคัญด้านเศรษฐกิจเมืองปัตตานีและเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของตระกูลคณานุรักษ์ และเครือญาติในอดีตซึ่งต้องใช้การคมนาคมทางน้ าเป็นส าคัญ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าแม่น้ าปัตตานี ในอดีตมีอาถรรพ์ ใครที่ข้ามแม่น้ ามาจากฝั่งตะวันตกถ้าไม่ไหว้ขอขมาแม่น้ าก่อนมักจะท าอะไรไม่ส าเร็จ จึงอัญเชิญ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลุยน้ าเพื่อเป็นการล้างอาถรรพ์ดังกล่าว ๔๐ ปัจจุบันเชื่อกันว่าพิธีลุยน้ าเป็นการร าลึกถึง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเดินทางข้ามน้ าข้ามทะเลมายังแผ่นดินเมืองปัตตานีแล้วได้สละชีวิตด้วยความรัก ความกตัญญูต่อสายเลือดชาวจีนตามต านานที่เล่าขานสืบทอดกันมา ในพิธีมีการผลิตซ้ าต านานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยโฆษกจะเล่าต านานก่อนการประกอบพิธี วัตถุประสงค์หรือความเชื่อในการประกอบพิธีลุยน้ าจึงมีพลวัต ตามปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ๔๐ ปานเทพ คณานุรักษ์. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่, ๒๕๕๘. ระหว่างรอฤกษ์ประกอบ พิธีลุยน้ า ประชาชนผู้มีจิต ศรัทธาเข้ามากราบไหว้ ถวาย ดอกไม้ เครื่องประดับ และ ถ่ายภาพกับองค์พระไฉ่ซิงเอี๊ยะ และองค์พระอื่น ๆ เป็นที่ระลึก นับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เปิด โอกาสให้ผู้หญิงได้สักการะ เทพเจ้าอย่างใกล้ชิด (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๘๗ นายนิพันธ์ บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และนายสมนึก พรหมเขียว รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี(ในขณะนั้น) พร้อมด้วยภริยา เป็นประธานในพิธีลุยน้ า โดยหามเกี้ยวเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเข้าสู่มณฑลพิธีลุยน้ า ณ เชิงสะพานเดชานุชิต (ภาพถ่าย: พิมพ์นภัส จินดาวงค์)


๘๘ การหามพระลุยน้ าจากแม่น้ าฝั่งถนนปัตตานีภิรมย์ข้ามไปยังแม่น้ าฝั่งถนนนรินทราช บริเวณเชิงสะพานเดชานุชิต มีผู้ร่วมชมพิธีเป็นจ านวนมาก ผู้หามเกี้ยวลุยน้ าจะต้องมีความแข็งแรง อดทน มีทักษะในการเคลื่อนไหวในน้ า (ภาพถ่าย: (บน) ตันติกร ผู้เจริญทรัพย์(ล่าง) ธนภัทร พิริย์โยธินกุล)


Click to View FlipBook Version