The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by faiisaha89, 2023-07-05 08:50:41

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี โดย นางสาวฟาอีซะห์ แยนา รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 1110422 วิจัยและสัมมนาปัญหาวิจัยในชั้นเรียนระดับประถมศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี ผู้วิจัย นางสาวฟาอีซะห์ แยนา สาขาวิชา การประถมศึกษา ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องมีวัตถุประสงค์1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อน และหลังเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยประชากรได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ทั้งหมด 3 ห้อง จำนวนนักเรียน 68 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบยกกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็น หน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 ชั่วโมง 2) แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอา รบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 จำนวน 1 ชุด 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2) และการทดสอบค่าที(t-test for dependent samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีเท่ากับ 90.31/ 94.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์, การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ, แบบฝึกทักษะ


ข Research title The Development of learning achievement on reading and writing HinduArabic numerals Thai number and alphabet that shows the counting numbers of more than 100,000 using skill exercises in 4 grade students, Tedsaban 5 school, Pattani town municipality. Author Miss Fa-e-sah Yaena Degree Elementary Education Academic Year 2022 Abstract The objectives of this research 1) to find the effectiveness of the skill exercises in terms of reading and writing Hindu-Arabic numerals, Thai numbers, and the alphabet that shows the counting numbers of more than 100,000 in four-grade students in order to attain the criteria of 80/80 2) to compare the learning achievement before and after using skill exercises of reading and writing Hindu-Arabic numerals Thai number and alphabet of 4th grade students. The population is 68 students, 3 rooms in grade 4 for the 1st semester of 2022 academic years at Tedsaban 5 school, Pattani town municipality. The sample is 23 students in grade 4/ 2 for the 1st semester of 2022 academic years at Tedsaban 5 school, Pattani town municipality by random group using the classroom as a random unit. Tools used in research include 1)Learning management plan in terms of reading and writing Hindu-Arabic numerals, Thai numbers, and the alphabet that shows the counting numbers of more than 100,000 by grade 4 students the 7 hours in mathematics Department 2) A set of Exercise Skills in terms of reading and writing Hindu-Arabic numerals, Thai numbers, and the alphabet that shows the counting numbers of more than 100,000 3) Pre-study and post-study of Achievement tests in terms of reading and writing HinduArabic numerals, Thai numbers, and the alphabet show the counting numbers of more than 100,000. Using Multiple Choice Tests 10 items. The Statistics used to analyze data were percentage, mean, standard deviation, Process efficiency, results from efficiency (E1/E2) and ttest for dependent samples The research finding was as follows 1) The efficacy of grade 4 students equals 90.31/ 94.35 that a high benchmark of 80/80 2) Post-study high Achievement Test than pre-study at level 0.5 in terms of reading and writing Hindu-Arabic numerals, Thai numbers, and the alphabet that shows the counting numbers of more than 100,000 Keywords : Achievement, reading and writing Hindu-Arabic numerals Thai number and alphabet, Skill Exercises


ค กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลืออย่างดีจากอาจารย์อุชุพร บถพิบูล ที่กรุณาให้ คำแนะนำ ข้อคิดเห็น ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีมาตลอด ผู้วิจัยขอขอบคุณอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณคุณชาริณี สุขสันติดิลก ครูอมรรัตน์ ชุมอินทอง และครูกัลยา มาตรบุตร ที่ได้กรุณาให้ คำแนะนำ ตรวจสอบ แก้ไขและให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เป็นอย่างดียิ่งในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และ บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือในการจัดทำวิจัยอย่างดียิ่ง ขอขอบคุณคุณครูพี่เลี้ยง ครูวิชาคณิตศาสตร์ และสาขาอื่นๆทุกท่าน ตลอดจนบุคคลที่ผู้วิจัยได้กล่าวนาม ไว้ในบรรณานุกรมทุกท่าน ที่ทำให้ได้รับความรู้และแนวคิดทฤษฎีต่างๆ จนสามารถนำมาใช้ในการทำวิจัยได้อย่างดี ขอขอบคุณโรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี โรงเรียนหน่วยฝึกวิชาชีพครูของมหาวิทยาลัย ราชภัฏยะลา คุณครูผู้สอนในโรงเรียน ที่ผู้วิจัยได้รับความช่วยเหลือ ความร่วมมือและประสาน ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล และขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ทุกคน ที่ให้ความร่วมมือ ในการทาวิจัยให้เป็นไปได้ด้วยดี ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณครอบครัว และเพื่อน ๆ ที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้วิจัยได้ทางานวิจัย อย่างต่อเนื่อง และ เป็นกำลังใจให้ผู้วิจัยมีความพยายามในการทางานวิจัยจนประสบความสำเร็จ นางสาวฟาอีซะห์ แยนา กันยายน 2565


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 2. วัตถุประสงค์การวิจัย 3. สมมติฐานการวิจัย 4. ขอบเขตการวิจัย 5. กรอบแนวคิดการวิจัย 6. นิยามศัพทเฉพาะ 2 2 3 4 4 7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. การสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา 3. แบบฝึกทักษะ 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 7 9 15 18 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 19 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 19 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 19 4. แบบแผนการวิจัย 22 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 23 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 23 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 24 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 27 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการวิจัย 29


จ เรื่อง หน้า 2. อภิปรายผลการวิจัย 29 3. ข้อเสนอแนะ 31 บรรณานุกรม 3 2 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ค การหาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือ ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประวัติผู้วิจัย


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. แสดงผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกเรื่อง เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของกลุ่มตัวอย่าง ตามเกณฑ์ E1/E2 (80/80) 28 2. แสดงผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนจากการ ใช้แบบฝึกเรื่อง เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 28


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คณิตศาสตร์ช่วยให้ มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการ พัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพ เศรษฐกิจสังคมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 1) คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม เป็นรากฐานของวิทยาการหลายสาขาและการค้นคว้าวิจัยทุกประเภท และบรรจุวิชาคณิตศาสตร์ไว้ในหลักสูตร การศึกษาทุกระดับ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น 3 สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต การวัดและ เรขาคณิตและสถิติและความน่าจะเป็น โดยผู้เรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องอ่านเขียนตัวเลข ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับเศษส่วนทศนิยมไม่เกิน 3 ตำแหน่ง อัตราส่วนและร้อยละ มีความรู้สึกเชิงจำนวน มี ทักษะการบวกการลบการคูณการหารประมาณผลลัพธ์และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 3) คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีลักษณะเป็นนามธรรมประกอบด้วยสัญลักษณ์กฎ และทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งยาก ต่อการทำความเข้าใจ ดังนั้นการเรียนรู้จึงต้องอาศัยความรู้พื้นฐาน การฝึกฝนทักษะ การชี้แนะและการให้ กำลังใจจากครูผู้สอน การเรียนคณิตศาสตร์ต้องอาศัยเวลา ผู้มีประสบการณ์ช่วยแนะนำในการฝึกฝน และ คณิตศาสตร์เป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งในการเรียนรู้กลุ่มสาระอื่นและการนำไปใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจำวัน การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ และปัจจัยที่มีผลทำให้ นักเรียนมีความสามารถในการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ อยู่ในระดับต่ำและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ไม่บรรลุเป้าหมายนั้น มีสาเหตุหลาย ประการ คือ ปัญหาจากการเรียนออนไลน์เนื่องด้วยสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 หรือปัญหาจากตัว นักเรียนเองที่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ เพราะมีตัวเลข สัญลักษณ์มาก ขาดความละเอียดรอบคอบ เขียนตัวเลข สลับที่ ไม่สนใจการเรียน ไม่ชอบครูผู้สอน ตลอดจนปัญหาจากตัวครูผู้สอน กล่าวคือ ครูผู้สอนขาดความรู้ ความสามารถ ขาดทักษะ ครูใช้วิธีการสอนไม่เหมาะสม เช่น ใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย ขาดความ กระตือรือร้นในการเรียน ทำให้บรรยากาศในการเรียนไม่เร้าใจ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย นอกจากนี้ยังมี ปัญหาด้านการสอนของครูที่ขาดการใช้สื่อต่าง ๆ ขาดเทคนิคในการสอนที่ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับ นักเรียน ซึ่งสอนโดยยึดเนื้อหาและยึดครูเป็นศูนย์กลาง ไม่คำนึงถึงนักเรียนและความแตกต่างระหว่างบุคคล จากประสบการณ์ของผู้ศึกษาโดยตรงซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู วิชาเอกการ ประถมศึกษา และได้รับมอบหมายให้สอนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ในการจัดการเรียน การสอนในหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านความสามารถในการทำแบบทดสอบประจำ


2 หน่วยการเรียนรู้ กล่าวคือ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา โดยเฉพาะเรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แต่ไม่สามารถสามารถอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ได้ นักเรียนขาดทักษะการอ่านและการเขียนตัวเลข ส่งผล ให้คะแนนที่ได้จากการทดสอบของหน่วยการเรียนรู้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 จะเห็นได้ว่า นักเรียนมีปัญหาเป็นอย่างมาก โดยมีปัจจัยที่สำคัญอันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ของครูยังไม่ตรงกับประเด็นของปัญหามากนัก จึงทำให้ นักเรียนไม่เข้าใจและสับสนในประเด็นดังกล่าว ดังนั้นครูผู้สอนจึงควรหาวิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม ทักษะการการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ ให้แก่ผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น เทคนิค หรือวิธีการจัดการเรียนการสอนมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่น่าสนใจรูปแบบหนึ่ง คือการสอนร่วมกับแบบฝึก ทักษะ ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การสอนส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะ การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือที่ดีขึ้น อันเป็นผลให้มีทักษะการอ่านและ การเขียนที่คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น จากผลการศึกษาและปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เพื่อใช้ใน การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนา ความสามารถทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และสนใจที่จะศึกษาว่า การเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะทักษะคณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์สูงขึ้นหรือไม่ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี สมมติฐานการวิจัย 1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอา รบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 สูงกว่าก่อนเรียน


3 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ทั้งหมด 3 ห้อง จำนวนนักเรียน 68 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน เทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี จำนวน 23 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบยกกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วย ในการสุ่ม 2. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. เนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สาระที่ 1 จำนวนและ พีชคณิต ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) โดยผู้วิจัย ได้สังเคราะห์และนำมาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ในการทดลอง จำนวน 7 แผน จำนวน 7 ชั่วโมง ดังนี้ - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับไม่เกิน 1,000 จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับไม่เกิน 100,000 จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 (1) จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 (2) จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ค่าของตัวเลขในแต่ละหลักและการเขียนรูปกระจายของจำนวน นับไม่เกิน 1,000 จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ค่าของตัวเลขในแต่ละหลักและการเขียนรูปกระจายของจำนวน นับไม่เกิน 100,000 จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ค่าของตัวเลขในแต่ละหลักและการเขียนรูปกระจายของจำนวน นับที่มากกว่า 100,000 จำนวน 1 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาในการศึกษา เวลาในการดำเนินการศึกษาโดยใช้แบบฝึกทักษะ คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้คาบ สอนปกติตามตารางเรียน ใช้เวลาสอน 7 ชั่วโมง


4 กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัยครั้งนี้ มีตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดู อารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวน นับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวน นับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หมายถึง สื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติม หรือเสริม สำหรับให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะเพิ่มขึ้น เป็นเครื่องมือสำคัญที่ครูทุกคนใช้ ในการตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หมายถึง ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ หมายถึง คุณภาพของแบบฝึกทักษะที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น อยู่ในระดับที่ น่าพอใจ ตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ที่ได้จากการทำแบบทดสอบท้ายแบบฝึก ทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับ ที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างเรียนในแต่ละแบบฝึก 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละ ของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับ ที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีลักษณะเป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดและสามารถใช้จัดการ เรียนการสอน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่ มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. นักเรียนอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ได้คล่องแคล่วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น 3. เป็นแนวทางสำหรับผู้สอน และผู้ที่สนใจในการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการวิจัยเรื่องนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางใน การดดำเนินการวิจัยดังนี้ 1. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.1 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ 1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1.3 คุณภาพผู้เรียน (จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) 2. การสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา 3. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ 3.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะทักษะที่ดี 3.3 หลักการในการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.4 รูปแบบของการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ 3.6 ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.7 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.2 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.3. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.4 หลักการสร้างและขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


6 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 1.1 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็น เครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากร บุคคลของชาติให้มีคุณภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติการศึกษาคณิตศาสตร์ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 1) 1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ได้กำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 2) สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวนจริง อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์นิพจน์เอกนาม พหุนาม สมการระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน ลำดับและอนุกรมและการนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิตไปใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจํานวน การดำเนินการ ของจํานวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการและ นําไปใช้ มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูปความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ลำดับ และอนุกรม และ นำไปใช้ มาตรฐาน ค 1.3 ใช้นิพจน์ สมการ และอสม การอธิบายความสัมพันธ์หรือช่วยแก้ปัญหาที่ กําหนดให้ สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับความยาว ระยะทาง น้ำหนัก พื้นที่ปริมาตรและ ความจุ เงินและเวลา หน่วยวัดระบบต่าง ๆ การคาดคะเนเกี่ยวกับการวัด อัตราส่วนตรีโกณมิติ รูปเรขาคณิต และสมบัติของรูปเรขาคณิต การนึกภาพ แบบจำลองทางเรขาคณิต ทฤษฎีบททางเรขาคณิต การแปลงทาง เรขาคณิตในเรื่องการเลื่อนขนาน การสะท้อน การหมุน และการนำความรู้เกี่ยวกับการวัดและเรขาคณิตไปใช้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และนำไปใช้ มาตรฐาน ค 2.2 เข้าใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธ์ ระหว่างรูปเรขาคณิตและทฤษฎีบททางเรขาคณิต และนำไปใช้ สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น เรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งคำถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล การคำนวณค่าสถิติ การนำเสนอและแปลผลสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ หลักการนับเบื้องต้น


7 ความน่าจะเป็น การใช้ความรู้เกี่ยวกับสถิติและความน่าจะเป็นในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ และช่วยในการ ตัดสินใจ มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติและใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา มาตรฐาน ค 3.2 เข้าใจหลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็นและนำไปใช้ 1.3 คุณภาพผู้เรียน (จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) เมื่อนักเรียนเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วนักเรียน ต้องมีคุณภาพ ดังนี้(กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 3) 1. อ่านเขียนตัวเลขตัวหนังสือแสดงจำนวนนับเศษส่วนทศนิยมไม่เกิน 3 ตำแหน่งอัตราส่วน และร้อยละมีความรู้สึกเชิงจำนวนมีทักษะการบวกการลบการคูณการหารประมาณผลลัพธ์และนำไปใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ 2. อธิบายลักษณะและสมบัติของรูปเรขาคณิตหาความยาวรอบรูปและพื้นที่ของรูปเรขาคณิต สร้างรูปสามเหลี่ยมรูปสี่เหลี่ยมและวงกลม หาปริมาตรและความจุของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากและนำไปใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ 3. นำเสนอข้อมูลในรูปแผนภูมิแท่ง ใช้ข้อมูลจากแผนภูมิแท่ง แผนภูมิรูปวงกลมตารางสอง ทางและกราฟเส้นในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจ 2. การสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 หมวดที่ 4 กำหนดแนวทางการศึกษาในมาตรา 22 ว่าการจัดการศึกษายึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่านักเรียน มีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม ศักยภาพ ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูต้องหาวิธีการและรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม และ กิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นต้องมุ่งสนองต่อความต้องการ ความสามารถ ความสนใจของนักเรียนแต่ละคน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อเจตคติผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ตลอดจนความคงทนในการเรียนรู้ของเด็ก เพราะการเรียนการสอนเป็นการนำความรู้ไปสู่เด็กด้วยวิธีการ สื่อ กิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ การจัดเนื้อหา สื่อ อุปกรณ์ กิจกรรมให้มีความสัมพันธ์กันนั้นก็เพื่อให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ในการวางแผน มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรรม นักการศึกษาได้ให้แนวคิด เกี่ยวกับหลักการสอนคณิตศาสตร์ไว้หลายแนวคิด ดังนี้ ยุพิน พิพิธกุล (2545 : 11-12) จึงได้อธิบายหลักการสอนคณิตศาสตร์ที่ครูควรคำนึงถึงไว้ดังนี้ 1. ควรสอนจากเรื่องง่ายไปสู่ยาก เช่นการยกตัวอย่างจะยกเป็นเลขง่ายๆก่อนแล้วไปสู่สัญลักษณ์ 2. เปลี่ยนจากรูปธรรมไปสู่นามธรรมในเรื่องที่สามารถใช้สื่อการเรียนการสอนจากรูปประกอบได้ เช่น การแยกตัวประกอบ 3. สอนให้สัมพันธ์ความคิด เมื่อครูจะทบทวนเรื่องใดก็ควรทบทวนให้หมดรวบรวมเรื่องที่เหมือนการเข้า เป็นหมวดหมู่ เช่น เส้นสัมผัส เส้นขนาน สมบัติของสามเหลี่ยมเท่ากันทุกประการ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและ จดจำได้แม่นยำ 4. เปลี่ยนวิธีสอน ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย ผู้สอนควรจะสอนให้สนุกสนานและน่าสนใจ ซึ่งอาจจะมี กลอน เพลง เกม การเล่าเรื่อง การทำภาพประกอบและการ์ตูน ต้องรู้จักสอดแทรกสิ่งละอันพรรค์ละน้อยให้เป็น บทเรียนน่าสนใจ


8 5. ใช้ความสนใจของผู้เรียนเป็นจุดเริ่มต้น เป็นแรงจูงใจที่จะเรียน ด้วยเหตุนี้ในการสอนจึงมีการนำเข้าสู่ บทเรียนเพื่อเร้าใจเสียก่อน 6. ควรจะคำนึงถึงประสบการณ์เดิมและทักษะเดิมที่ผู้เรียนมีอยู่กิจกรรมใหม่ควรต่อเนื่องจากกิจกรรมเดิม 7. เรื่องที่สัมพันธ์กันก็ควรจะส่วนไปพร้อม ๆ กันเช่น เซตที่เท่ากันกับเซตที่เทียบเท่ากันยูเนียนของเซตกับ อินเตอร์เซกชันของเซต 8. ให้ผู้เรียนมองเห็นโครงสร้างไม่ใช้เน้นเนื้อหา 9. ไม่ควรเป็นเรื่องยากเกินไป ผู้สอนบางคนชอบใช้โจทย์ยากเกิน หลักสูตรซึ่งอาจจะทำให้ผู้เรียนที่เรียน อ่อนท้อถอย แต่ถ้าผู้เรียนที่เก่งก็จะชอบ ควรจะส่งเสริมเป็นรายๆ ไปการสอนต้องคำนึงถึงหลักสูตรและเลือก เนื้อหาเพิ่มเติมให้เหมาะสม 10. สอนให้ผู้เรียนสามารถหาข้อสรุปได้ด้วยตนเอง การยกตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างจนผู้เรียนเห็น รูปแบบจะช่วยให้นักเรียนสรุปได้ ครูอย่ารีบจนเกินไป ควรเลือกวิธีการต่างๆที่สอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา 11. ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ทำได้ ลงมือปฏิบัติจริงและประเมินการปฏิบัติจริง 12. ผู้สอนควรจะมีอารมณ์ขันเพื่อช่วยให้บรรยากาศในห้องเรียนน่าเรียนยิ่งขึ้น สาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์เป็นสาระการเรียนรู้ที่เรียนหนักครูจึงไม่ควรเคร่งเครียดให้ผู้เรียนเรียนด้วยความสนุกสนาน 13. ผู้สอนควรมีความกระตือรือร้นและตื่นตัวอยู่เสมอ 14. ผู้สอนควรหมั่นแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะนำสิ่งที่แปลกและใหม่มาถ่ายทอดให้ประสิทธิภาพ สูงสุด ผู้เรียนและผู้สอนควรจะเป็นผู้ที่มีศรัทธาในอาชีพของตนจึงจะทำให้สอนได้ดี จากหลักการสอนดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ผู้สอนคณิตศาสตร์ควรนำหลักการสอนคณิตศาสตร์ มาเป็นแนวทางในการสอนและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมอันจะส่งผลให้การสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สมศรี อภัย (2553 : 27-28) ได้สรุปหลักสำคัญในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษาไว้ ดังนี้ 1. กำหนดความมุ่งหมายของการเรียนการสอนที่เด่นชัด การเรียนการสอนเป็นกระบวนการที่สัมพันธ์กัน ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องรู้ว่าจะสอนอะไร ครูผู้สอนต้องการจะให้นักเรียนรู้อะไรบ้าง ครูผู้สอนจะต้องบอกให้ นักเรียนรู้ว่าในบทเรียนที่จะได้เรียนนั้นนักเรียนจะต้องเรียนรู้อะไร จะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อทั้งสองฝ่ายทราบสิ่ง ที่จะต้องเรียนรู้แล้ว ครูผู้สอนก็จะได้วางแผนการสอนและจัดประสบการณ์ที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ และ นักเรียนก็จะทำกิจกรรมอย่างมีจุดหมาย 2. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหลาย ๆ วิธี และการใช้วัสดุประกอบการสอนหลายชนิด ในการเรียน เรื่องใดเรื่องหนึ่งครูควรจัดกิจกรรมหลายๆประเภท เพราะว่ากิจกรรมแต่ละประเภทจะให้ความเข้าใจในเรื่องที่ เรียนในระดับแตกต่างกัน นักเรียนแต่ละคนจะได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของ ตนเอง ในทำนองเดียวกันอุปกรณ์การสอนก็ควรมีหลายชนิดเช่น ทั้งที่เป็นของจริง รูปภาพ หรือเครื่องมือ โสตทัศนูปกรณ์อื่นๆ การจัดให้มีกิจกรรมหลายวิธี และการใช้วัสดุอุปกรณ์การสอนหลายอย่าง เช่นการจัดการ เรียนการสอนให้เหมาะสมกับวิธีการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน หรือกล่าวได้ว่าหลักการเรียนการสอนข้อนี้เป็น การประยุกต์วิธีการสอนแบบเชิงปฏิบัติการ 3. การเรียนรู้จากการค้นพบกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนคณิตศาสตร์ควรเป็นสื่อในการช่วยให้นักเรียนได้ ค้นพบมโนมิติ และหลักการทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีครูเป็นผู้ชี้แนะ และช่วยเหลือตั้งแต่จะเริ่มทำกิจกรรมอย่างไร ช่องทางใดจะทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็ว และตลอดจนการอภิปรายและหาข้อสรุปร่วมกันในตอนท้ายของ บทเรียน


9 4. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีระบบ ครูจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนให้มีระบบโดยคำนึงถึงโครงสร้าง ของเนื้อหาเป็นสำคัญ 5. การเรียนรู้มโนมิติทางคณิตศาสตร์ควรเริ่มจากรูปธรรมไปสู่นามธรรม จากทฤษฎีการเรียนรู้ของบรู เนอร์ เพียเจต์ กาเย่ และคนอื่น ๆ เราทราบแล้วว่าการเรียนรู้ของเด็กจะพัฒนาจากความคิดที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ไปสู่ความคิดที่มีวุฒิภาวะ ดังนั้นเด็กควรจะได้เรียนจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก จากสิ่งที่มองเห็นด้วยสายตาไปสู่ สิ่งที่มองเห็นด้วยมโนภาพ 6. การฝึกหัดควรที่จะได้กระทำหลังจากที่นักเรียนเข้าใจหลักการแล้ว การทำแบบฝึกทักษะหัดเป็น กิจกรรมเพื่อความเข้าใจ และเพื่อการเก็บรักษาความรู้ (retention) ดังนั้นการทำแบบฝึกทักษะหัดจะไม่ บรรลุผลถ้าครูให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะหัดหรือการบ้านโดยที่นักเรียนปราศจากความเข้าใจสิ่งที่เรียนมาแล้ว ครูควรจะตรวจสอบและประเมินความเข้าใจของนักเรียนอย่างถี่ถ้วนก่อนจะให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะหัด ต่าง ๆ จากหลักสำคัญในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษาดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้สอน คณิตศาสตร์ควรกำหนดความมุ่งหมายของการเรียนการสอนที่เด่นชัด ครูผู้สอนจะต้องรู้ว่าจะสอนอะไร ครูผู้สอนต้องการจะให้นักเรียนรู้อะไรบ้าง ครูผู้สอนจะต้องบอกให้นักเรียนรู้ว่าในบทเรียนที่จะได้เรียนนั้น นักเรียนจะต้องเรียนรู้อะไร จะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อทั้งสองฝ่ายทราบสิ่งที่จะต้องเรียนรู้แล้ว ครูผู้สอนก็จะได้ วางแผนการสอนและจัดประสบการณ์ที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ และนักเรียนก็จะทำกิจกรรมอย่างมีจุดหมาย 3. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ นวัตกรรมทางการศึกษาที่มีบทบาทและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับครูผู้สอนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วย ให้การจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จคือ แบบฝึกทักษะ ซึ่งช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้เป็นอย่าง ดี แบบฝึกทักษะมักมีชื่อเรียกหลายแบบที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ชุดการฝึก แบบฝึกทักษะ แบบฝึกเสริม ทักษะ เป็นต้น แต่งานวิจัยนี้ผู้วิจัยขอใช้คำว่า แบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะเป็นนวัตกรรมหรือเป็นการสอนอีกแบบหนึ่ง เรียกได้หลายชื่อ เช่น แบบฝึกทักษะ แต่ ความหมายที่เหมือนกันคือเป็นนวัตกรรมการสอนแบบหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพราะแบบฝึกทักษะสามารถสนองความสนใจใคร่รู้และความสามารถของ ผู้เรียนส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ โดยการฝึกทักษะหลายๆด้าน แบบฝึกทักษะทัมีความจำเป็นและ มีประโยชน์มาก จึงมีผู้ให้ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ณัฐชา อักษรเดช (2554 : 19) กล่าวว่าแบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่างมี จุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ทำให้ ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดี และนำการเรียนรู้และความรู้ที่ได้ไปใช้ ในสถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ สุธัญญา รัตนบรรพต (2558 : 48) ได้กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ หมายถึงแบบฝึกทักษะ หรือชุดการสอนที่เป็นแบบฝึกทักษะที่ใช้เป็นตัวอย่างปัญหา หรือคำสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนตอบแบบฝึกทักษะ หรือแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกเสริมทักษะหรือสื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติม หรือเสริมสำหรับให้ ผู้เรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและทักษะเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝึกทักษะอยู่ ท้ายบทเรียนบางวิชา และแบบฝึกทักษะจะมีลักษณะเป็นแบบปฏิบัติ


10 วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2558 : 37) ได้กล่าวไว้ว่าแบบฝึกทักษะ เป็นสื่อการสอนที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ ศึกษาทำความเข้าใจและฝึกฝนจนเกิดความคิดที่ถูกต้องและเกิดทักษะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แบบฝึกทักษะเป็น เครื่องมือสำคัญที่ครูทุกคนใช้ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียน วีณา วโรตมะวิชญ์ (2559 : 2) ได้กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกทักษะว่า วิธีการสอนที่สนุกอีกวิธี หนึ่งคือการให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกทักษะมาก ๆ สิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางการเรียนในเนื้อหาวิชาได้ ดีขึ้นคือแบบฝึกทักษะเพราะผู้เรียนมีโอกาสได้นำความรู้ที่เรียนมาแล้วมาฝึกให้เกิดความรู้ความเข้าใจกว้างมาก ขึ้น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือ เสริมสำหรับให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและทักษะเพิ่มขึ้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่ครูทุกคน ใช้ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะทักษะที่ดี ในการสร้างแบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียน มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งนักการศึกษาหลาย ท่านได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดีไว้ ดังนี้ คณิศร ศรีประไพ (2555 : 25) ได้กล่าวว่า ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีควรเป็นแบบฝึกทักษะ สั้น ๆ ฝึกหลาย ๆ ครั้งมีรูปแบบการฝึกควรฝึกเฉพาะเรื่องเดียวและควรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนพบเห็นอยู่แล้ว คำชี้แจง สั้น ๆ ใช้เวลาเหมาะสม เป็นเรื่องที่ท้าทาย ให้แสดงความสามารถเมื่อผู้เรียนได้ฝึก แล้วก็สามารถพัฒนาตนเอง ได้ดีจึงจะนับว่าเป็นแบบฝึกทักษะที่ดีและมีประโยชน์ บุญนำ เกษี (2556 : 18) ได้กล่าวว่าลักษณะของแบบฝึกทักษะดีควรสร้างเพื่อฝึกทักษะเฉพาะ อย่าง โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับวัย ความสามารถและพัฒนาการของผู้เรียน โดยใช้ภาษาที่ง่าย ชัดเจน มี กิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน มีภาพประกอบ ฝึกตามขั้นเรียงจากง่ายไปหายาก ใช้เวลา ฝึกพอสมควร และมีการประเมินผลใช้แบบฝึกทักษะทักษะเพื่อให้ผู้เรียนได้ประเมินความสามารถของตนเอง จินดา อุ่นทอง (2558 : 72) ได้ศึกษาและพบว่าแบบฝึกทักษะที่ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นที่จะ ทำมีลักษณะดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. สำนวนภาษาง่าย ๆ 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความสนใจ 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ วลีสุมิภันธ์ (2558 : 190) ได้กล่าวถึงลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดีว่าต้องมีลักษณะดังนี้ 1. เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนมาแล้ว 2. เหมาะสมกับระดับวัยและระดับความสามารถของเด็ก 3. มีคำชี้แจงสั้น ๆ ที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้ง่าย คำชี้แจงหรือคำสั่งต้องกะทัดรัด 4. ใช้เวลาเหมาะสม คือ ไม่ใช้เวลานานหรือเร็วเกินไป 5. เป็นที่น่าสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า ลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดีจะต้องเกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนมาแล้ว เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน มีรูปแบบที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากฝึกฝนและต้อง สอดคล้องกับจุดประสงค์


11 3.3 หลักการในการสร้างแบบฝึกทักษะ นิตยา กิจโร (2553 : 40) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ก่อนสร้างแบบฝึกทักษะจำเป็นต้องกำหนดโครงร่างไว้ก่อนว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร แบบฝึกทักษะเกี่ยวกับเรื่องอะไร 2. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3. เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4. แจ้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมย่อยโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของผู้เรียน 5. กำหนดอุปกรณ์ที่ใช้ในแต่ละกิจกรรม 6. กำหนดเวลาและขั้นตอนให้เหมาะสม 7. การประเมินผลอย่างไร ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553 : 35) ได้กล่าวว่าหลักการสร้างแบบฝึกทักษะ ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยา ในการเรียนรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายในการฝึก แบบฝึกทักษะควรเริ่มจากง่ายไปหายาก มีหลายแบบ มีตัวอย่าง ประกอบ ภาพประกอบ และสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง อุษณีย์ เสือจันทร์ (2553 : 26) ได้กล่าวว่าหลักการสร้างแบบฝึกทักษะผู้สร้างต้องศึกษาปัญหา ของเนื้อหาที่นำมาสร้างแบบ1ทักษะโดยนำมาตั้งวัตถุประสงค์ ตลอดจนรูปแบบและวางแผนขั้นตอนการใช้ แบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกทักษะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาและทักษะที่ต้องการฝึก ต้องนำหลักจิตวิทยา การเรียนรู้และจิตวิทยาพัฒนาการมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกทักษะ ก่อนนำไปใช้ควรมีการทดลองใช้ เพื่อหาข้อบกพร่องของแบบฝึกทักษะ กัลยา แข็งแรง (2559 : 412 - 413) ได้กล่าวถึงหลักในการจัดทำแบบฝึกทักษะดังนี้ 1. ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาและพัฒนาการของเด็กและลำดับขั้นของการเรียน เด็กแรกเรียนยังมี ประสบการณ์น้อย แบบฝึกทักษะต้องอาศัยรูปแบบสีสวย จูงใจ และเป็นไปตามลำดับความยากง่ายเพื่อให้เด็ก มีกำลังใจทำ 2. ให้มีจุดมุ่งหมายว่าจะฝึกในด้านใด แล้วจัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ครูจะต้องจัดทํา ล่วงหน้าเสมอ 3. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของเด็ก ถ้าสามารถแยกตามความสามารถและจัดเป็นแบบฝึก ทักษะเพื่อส่งเสริมเด็กแต่ละกลุ่มได้จะดียิ่ง 4. ในแบบฝึกทักษะต้องใช้คำชี้แจงสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจถ้าเด็กยังอ่านไม่ได้ครูต้องชี้แจง ด้วยคำพูดที่ใช้ภาษาง่าย ๆ ให้เด็กสามารถทำตามคำสั่งได้ 5. แบบฝึกทักษะต้องมีความถูกต้อง ครูต้องตรวจพิจารณาดูให้ถี่ถ้วน อย่าให้มีข้อผิดพลาดได้ 6. การให้เด็กทำแบบฝึกทักษะแต่ละครั้งต้องให้เหมาะสมกับเวลาและความสนใจของเด็ก 7. ควรทำแบบฝึกทักษะหลายแบบเพื่อให้เด็กได้เรียนอย่างกว้างขวางและส่งเสริมให้เกิดความคิด 8. กระดาษที่ให้เด็กทำแบบฝึกทักษะต้องเหนียวและทนทานพอสมควร กฤษรา สุวรรณลพ (2559 : 27) ได้กล่าวถึงทฤษฎีที่ใช้เป็นหลักในการสร้างแบบฝึกทักษะดังนี้ 1. หลักความใกล้ชิด การให้สิ่งเร้าและการตอบสนองในเวลาใกล้เคียงกันจะสร้างความพอใจแก่ ผู้เรียนในขณะที่สอนจึงมีการทำกิจกรรมต่อเนื่อง หลังการฝึกมีการถามตอบให้รางวัลชมเชย 2. หลักการฝึกหัด ให้ผู้เรียนฝึกทำซ้ำ ๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่แน่นอน การฝึกให้หยุดพัก เล็กน้อยแล้วจึงให้ฝึกต่อดีกว่าการฝึกต่อเนื่องที่ยาว


12 3. การให้ผู้เรียนทราบผลการทำงานของตนเอง ได้แก่ การตรวจเฉลยคำตอบให้ทราบชี้ให้เห็นสิ่งที่ ถูกต้องสิ่งที่ควรแก้ไข 4. การจูงใจผู้เรียน โดยการจัดแบบฝึกทักษะที่สั้นและเหมาะกับเนื้อหา เวลาและวัยของผู้เรียน จากง่ายไปยาก จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะให้สอดคล้องกับจิตวิทยาและพัฒนาการของ เด็ก และลำดับขั้นของการเรียน ให้มีจุดมุ่งหมายว่าจะฝึกในด้านใดแล้วจัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของเด็ก ใช้คำชี้แจงสั้น ๆ ง่าย ๆ โดยการจัดแบบฝึกทักษะที่สั้นและเหมาะกับเนื้อหา เวลาและวัยของผู้เรียนจากง่ายไปหายาก มีการหาคุณภาพของแบบฝึกทักษะ กระดาษที่ให้เด็กทำแบบฝึก ทักษะต้องเหนียวและทนทานพอสมควรและให้ผู้เรียนทราบผลการทำงานของตนเอง 3.4 รูปแบบของการสร้างแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62) ได้เสนอแนะรูปแบบการสร้างแบบฝึก ทักษะ โดยอธิบายว่า การสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบ ฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลายมิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจ น่าเบื่อหน่าย ไม่ท้าทายให้อยากรู้อยากลอง จึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่น ๆ ก็แล้วแต่ เทคนิคของแต่ละคน ซึ่งจะเรียงลำดับจากง่ายไปหายากดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่าให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่เครื่องหมายถูกหรือผิดตาม ดุลยพินิจของผู้เรียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวคำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ซ้ายมือ โดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับคำถามให้สอดคล้อง กัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อความหรือจะใช้การโยงเส้นก็ได้ 3. แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้เรียนเติม คำหรือข้อความที่ขาดหายไปซึ่งคำหรือข้อความที่นำมาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือกำหนดตัวเลือกให้เติมก็ ได้ 4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบโดยจะมี 2 ส่วนซึ่งจะต้องเป็นประโยคคำถาม ที่สมบูรณ์ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือกคือคำตอบซึ่งอาจจะมี3-5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกทั้งหมดจะ มีตัวเลือกที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วนที่เหลือเป็นตัวลวง 5. แบบอัตนัย คือ ความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบอย่างเสรีตาม ความรู้ความสามารถโดยไม่จำกัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้คำถามในรูปทั่ว ๆ ไปหรือเป็นคำสั่งให้ เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้ 3.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ สําลี รักสุทธิ (ม.ป.ป. : 36-38) กล่าวถึงส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะชนิดต่าง ๆ 1. คำแนะนำการใช้แบบฝึกทักษะ 1.1 สำหรับครู เป็นคำแนะนำเพื่อให้ครูทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แบบฝึกทักษะนั้น ๆ ว่า ครูจะต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง บทบาทของครูเป็นอย่างไร ขณะนักเรียนปฏิบัติครูควรมีบทบาทอย่างไร 1.2 สำหรับนักเรียน เป็นคำแนะนำเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามที่แบบฝึกทักษะ กำหนดไว้ให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนซึ่งจะมีคำชี้แจงคำอธิบายไว้ชัดเจนในการปฏิบัติกิจกรรม 2. แบบทดสอบก่อนเรียนเป็นแบบทดสอบเพื่อประเมินความรู้เดิมของนักเรียน 3. สาระสำคัญเพื่อบอกให้รู้ถึงความสำคัญใจความสำคัญสั้น ๆ ของเรื่องนั้น


13 4. ตัวบ่งชี้เพื่อบอกให้ทราบถึงตัวบ่งชี้ที่เป็นปัญหาที่ต้องใช้สื่อนวัตกรรมชุดนี้ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อบอกให้ทราบว่าผู้เรียนต้องรู้อะไรเป็นอย่างไร 6.เนื้อหาสาระ 7. กิจกรรม 8. สรุป 9. แบบทดสอบหลังเรียน หากนำเข้าไปจัดเป็นรูปเล่มก็จะเพิ่มส่วนอื่นเข้าไปดังนี้ 1. เพิ่มส่วนหน้าประกอบด้วย 1) ปกนอก 2) ปกใน 3) คำนิยม (ไม่มีก็ได้) 4) คำรับรอง (ไม่มีก็ได้) 5) คำนำและ 6) สารบัญ 2. เพิ่มส่วนหลังประกอบด้วย 1) เฉลย 2 ใบความรู้ 3) บรรณานุกรมและ 4) ปกหลัง ดังที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะทักษะมีส่วนประกอบดังนี้ มีคำแนะนำการใช้แบบฝึก ทักษะ แบบทดสอบก่อนเรียน สาระสำคัญ ตัวบ่งชี้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรม สรุปและมี การแบบทดสอบหลังเรียน 3.6 ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกทักษะมีขั้นตอนที่คล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาอื่น ๆ ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ 3.6.1 วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น ปัญหาที่ เกิดขึ้นในขณะทำการสอน ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนักเรียน ผลจากการสังเกตพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นต้น 3.6.2 ศึกษารายละเอียดในหลักสูตรเพื่อวิเคราะห์เนื้อหาจุดประสงค์และกิจกรรม 3.6.3 พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 3.5.1 โดยการสร้างแบบฝึกทักษะและ เลือกเนื้อหาในส่วนที่จะสร้างแบบฝึกทักษะนั้นว่าจะทำเรื่องใดบ้าง กำหนดเป็นโครงเรื่องไว้ 3.6.4 ศึกษารูปแบบของการสร้างแบบฝึกทักษะจากเอกสารตัวอย่าง 3.6.5 ออกแบบแบบฝึกทักษะแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลายและน่าสนใจ 3.6.6 ลงมือสร้างแบบฝึกทักษะในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน ให้สอดคล้อง กับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ 3.6.7 ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ 3.6.8 นำไปทดลองใช้แล้วบันทึกผลเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง 3.7 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะหากเป็นแบบฝึกทักษะที่ดีและมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้ นักเรียน ประสบผลสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดีทำให้ครูลดภาระการสอนลงและผู้เรียนสามารถพัฒนา ตนเองได้อย่างเต็มที่เพิ่มความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดีหากได้มีการฝึกบ่อยครั้งจนชำนาญ และยังช่วย ผู้เรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้จำเป็นต้องมีการสอนต่างจากกลุ่มปกติทั่วไปด้วยการเสริมเพิ่มเติมให้เป็นพิเศษ สุวิทย์มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53-54) ได้สรุปประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้


14 4. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพังโดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้น ได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 8.2 ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง 8.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่างๆของเด็กได้ชัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู สันติภูสงัด (2559 : 175) ได้กล่าวไว้ว่ามากดังต่อไปนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนวิชาทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลด ภาระของผู้สอนได้มาก เพราะแบบฝึกทักษะเป็นสิ่งที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ 2. ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษา แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการใช้ ภาษาได้ดีขึ้น แต่จะต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จากผู้สอนด้วย 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาแตกต่าง กัน การที่ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกทักษะที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาจะช่วยให้ผู้เรียนประสบกับ ความสำเร็จในด้านจิตใจมากขึ้น 4. แบบฝึกทักษะใช้เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 5. แบบฝึกทักษะที่จัดทำขึ้นเป็นรูปเล่ม ผู้เรียนสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวน ด้วยตนเองได้ต่อไป 6. การให้ผู้เรียนทำแบบฝึกทักษะช่วยให้ผู้สอนมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของผู้เรียนได้ ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้นได้ทันท่วงที 7. แบบฝึกทักษะที่จัดทำขึ้นนอกเหนือจากที่อยู่ในหนังสือเรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนอย่าง เต็มที่ 8. แบบฝึกทักษะที่พิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยให้ผู้สอนประหยัดทั้งแรงงาน และในการที่จะ ต้องเตรียมสร้างแบบฝึกทักษะอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาลอกแบบฝึกทักษะจากตำราเรียน ทำให้ มีโอกาสฝึกฝนทักษะต่าง ๆ มากขึ้น 9. แบบฝึกทักษะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพิมพ์ขึ้นเป็นรูปเล่มที่แน่นอนย่อมลงทุน ต่ำกว่าที่จะพิมพ์ในกระดาษไขทุกครั้ง และผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้อย่าง มีระบบและเป็นระเบียบ จากการศึกษาประโยชน์ของแบบฝึกทักษะสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์สำหรับนักเรียนใน การที่จะเสริมสร้างทักษะ ทบทวนความรู้และทำให้เกิดความชำนาญในเนื้อหาวิชาเหล่านั้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยัง มีประโยชน์สําหรับครูเป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระของครู


15 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิมพ์ประภา อรัญมิตร (2552 : 27 ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความรู้ความสามารถที่แสดงถึงความสำเร็จที่ได้จากการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ ซึ่งสามารถ วัดเป็นคะแนนได้จากแบบทดสอบทางภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติหรือทั้งสองอย่าง วุฒิชัย ดานะ (2553 : 27 ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ความสามารถ และทักษะที่ได้รับและพัฒนามาจากการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลหลังจากการ เรียนหรือจากการฝึกอบรม ไข่มุก มณีศรี (2554 : 57) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จในด้าน ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมองหรือประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก การเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลสามารถวัดได้โดยการทดสอบด้วยวิธี ต่าง ๆ กชพร ฤาชา (2555 : 31) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อกระบวนการเรียนการสอนไม่ว่าจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงวิธีสอนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่พึงปรารถนาของครู คือ การสอนนั้นจะต้องทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และสิ่งที่ใช้สำหรับวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สิ่งหนึ่งก็คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากความหมายที่กล่าวมาแล้ว เราอาจจะประมวลความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ว่า คือ ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติอันเกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งอาจวัดได้จากการทดสอบระว่างหรือหลังจัด กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการทดสอบหรือวิธีการอื่น ๆ นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพ ของผู้เรียนแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร คุณภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจน ความรู้ ความสามารถของครูผู้สอนและผู้บริหารอีกด้วย 4.2 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้หลายลักษณะ ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 53 ) ได้กล่าวว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลค้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ เนื้อหาสาระและตาม จุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอบนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ สมนึก ภัททิยธานี (2557 : 73 - 95) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่ผู้เรียน ได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว วิรัช วรรณรัตน์ (2558 : 49) ได้กล่าวว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถของผู้สอบที่ได้จากการเรียนรู้ โดยต้องการทราบว่าผู้สอบมีความรู้อะไรบ้างมากน้อยเพียงใด เมื่อ ผ่านการเรียนไปแล้ว พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2558 : 96) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะและความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้ เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด


16 จากที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัด ความรู้ ความสามารถ ทักษะและสมรรถภาพทางสมอง ที่ได้จากการจัดการเรียนรู้ว่า สำเร็จตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด 4.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักวิชาการศึกษาหลายท่านได้จำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้หลายรูปแบบ ดังนี้ วนิดา เดชตานนท์ (2558 : 9) ได้จำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์ตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยผู้เชี่ยวชาญ มีการทดลองใช้ มีการตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์และแก้ไขจนมีประสิทธิภาพสูง สามารถ นำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง มีมาตรฐานในวิธีการดำเนินการสอบเพื่อจะได้ดำเนินการสอบเหมือนกันหมด ไม่ว่า จะนำแบบทคสอบไปใช้ที่ใด เวลาใด พร้อมทั้งมีมาตรฐานในการตรวจสอบให้คะแนน การแปลความหมายของ คะแนนโดยเทียบกับเกณฑ์ปกติ 2. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อใช้ในชั้นเรียนโดยเฉพาะ และ นำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐาน เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน เพื่อตรวจสอบจุดเด่นจุดด้อยของผู้เรียน เพื่อตัดสินได้ - ตก เป็นต้น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ ครูสร้างขึ้นนี้ โดยปกติจะไม่มีการทดลองใช้เพื่อตรวจสอบความเป็นมาตรฐานเหมือนแบบทดสอบมาตรฐาน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2558 : 36) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้โดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ ข้อเขียน ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาให้ แล้วให้ผู้ตอบเขียน โดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติ ได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้ตอบเขียนตอบ สั้น ๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมือน แบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบคือ แบบทดสอบถูก - ผิด แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบจับคู่ และแบบทดสอบเลือกตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่ว ๆ ไป ซึ่งสร้างโดย ผู้เชี่ยวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือ มีมาตรฐานในการ ดำเนินการสอบ วิธีการให้คะแนนและการแปลความหมายของคะแนน จากที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี 2 ประเภท ได้แก่แบบทดสอบ มาตรฐาน เป็นแบบทคสอบที่สร้างขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์ตามจุดมุ่งหมายที่ กำหนดไว้โดยผู้เชี่ยวชาญ และ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น นิยมใช้มี 6 รูปแบบ ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง ข้อสอบแบบกาถูก - ผิด คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบ มี 2 ตัวเลือก ข้อสอบเติมคำ ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ ข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 หรือ 4 ตัวเลือก 4.4 หลักการสร้างและขั้นตอนการสร้างของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักการสร้างและขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาได้กล่าวถึง หลักการสร้างแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังต่อไปนี้


17 มะลิวัลย์ สมศักดิ์ (2559 : 114) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ 1. ระบุจุดมุ่งหมายในการทดสอบให้ชัดเจนว่าต้องการนำผลการวัดไปใช้ประเมินแบบอิงเกณฑ์หรือ อิงกลุ่ม 2. ระบุวัตถุประสงค์ของการวัด ว่าต้องการวัดพฤติกรรมด้านใด คือ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า 3. ระบุเนื้อหาให้ชัดเจน ทั้งเนื้อหาที่เป็นประเด็นใหญ่และย่อย 4. ทำตารางวิเคราะห์เนื้อหากับจุดมุ่งหมายในการทดสอบ 5. จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหา 6. กำหนดน้ำหนักของเนื้อหา อาจเทียบเป็นร้อยละหรือตารางพัน 7. กำหนดรูปแบบของข้อคำถามว่าจะใช้แบบใด (ปรนัยหรืออัตนัย) 8. เขียนข้อสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในตารางวิเคราะห์เนื้อหาที่จัดทำไว้ 9. ตรวจสอบคุณภาพข้อสอบที่เขียนขึ้น โดยครูผู้สอนและผู้เชี่ยวชาญในด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา การกำหนดสัดส่วน การกำหนดน้ำหนักว่าเหมาะสมหรือไม่ ข้อคำถามแต่ละข้อวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ ต้องการวัดหรือไม่ นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข 10. ทดลองใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพด้านอำนาจจำแนก ความยากง่าย นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข 11. ทดลองใช้ครั้งที่ 2 เพื่อตรวจสอบคุณภาพด้านความเชื่อมั่น 12. จัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 50 - 66) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยดำเนินการตามขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหา และทำตารางกำหนดลักษณะข้อสอบ ขั้นตอนแรกสุดจะต้องทำการ วิเคราะห์ว่าเนื้อหาหรือหัวข้อที่จะสร้างข้อสอบวัดนั้นมีจุดประสงค์ของการสอนหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ว่า อย่างไรบ้าง ทำการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาว่ามีโครงสร้างอย่างไร จัดเขียนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยทุกหัวข้อ พิจารณาความเกี่ยวโยง ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาเหล่านั้นจากนั้นก็จัดทำตารางกำหนดลักษณะข้อสอบ หรือที่เรียกว่าตารางวิเคราะห์หลักสูตร ตารางนี้มี 2 มิติ คือ ด้านเนื้อหา กับด้านสมรรถภาพที่ต้องการวัด และ พิจารณาว่าจะออกข้อสอบทั้งหมดกี่ข้อ เขียนจำนวนข้อลงในช่องรวมช่องสุดท้าย จากนั้นพิจารณาว่า หัวข้อ เรื่องใดสำคัญมากน้อย เขียนลำดับความสำคัญลงไป แล้วกำหนดจำนวนข้อที่จะวัดในแต่ละช่องขึ้นอยู่กับเรื่อง นั้นต้องการให้เกิดสมรรถภาพด้านใดมากน้อยกว่ากัน 2. กำหนดรูปแบบของข้อคำถามและศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ทำการพิจารณาและตัดสินใจว่าจะใช้ข้อ คำถามรูปแบบใด ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ หลักการเขียนข้อคำถาม ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ สมรรถภาพต่าง ๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข้อสอบเพื่อนำมาใช้เป็นหลักในการเขียนข้อสอบ 3. เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบ ใช้ตารางกำหนดลักษณะของข้อสอบที่จัดทำไว้ในขั้นที่เป็นกรอบ ซึ่งทำให้สามารถออกข้อสอบวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อเนื้อหาและทุกสมรรถภาพ ส่วนรูปแบบและเทคนิคใน การเขียนข้อสอบยึดตามที่ศึกษาในขั้นที่ 2 4. ตรวจทานข้อสอบ นำข้อสอบที่ได้เขียนไว้ในขั้นที่ 3 มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยพิจารณา ถึงความถูกต้องตามหลักวิชา พิจารณาว่าแต่ละข้อวัดในเนื้อหาและสมรรถภาพตามตารางกำหนดลักษณะ ข้อสอบหรือไม่ ภาษาที่ใช้เขียนมีความเข้าใจง่ายเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ ตัวถูกตัวลวงเหมาะสมเข้าหลักเกณฑ์


18 หรือไม่ หลังการพิจารณาทบทวนเอง แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล และด้านเนื้อหาสาระพิจารณา ข้อบกพร่อง และเอาข้อวิจารณ์เหล่านั้นมาพิจารณาปรับปรุแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า หลักการสร้างและขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน มีการระบุจุดมุ่งหมายในการทดสอบให้ชัดเจน ระบุวัตถุประสงค์ของการวัด ระบุเนื้อหาให้ชัดเจน ทั้ง เนื้อหาที่เป็นประเด็นใหญ่และย่อย ทำตารางวิเคราะห์เนื้อหากับจุดมุ่งหมายในการท ดสอบ จัดลำดับ ความสำคัญของเนื้อหา กำหนดน้ำหนักของเนื้อหา กำหนดรูปแบบของข้อคำถามแบบปรนัยหรืออัตนัย เขียน ข้อสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ตรวจสอบคุณภาพข้อสอบที่เขียนขึ้นโดยครูผู้สอนและผู้เชี่ยวชาญ ทดลองใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ด้านอำนาจจำแนก ความยากง่าย ทดลองใช้ครั้งที่ 2 เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ด้านความเชื่อมั่น และจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำเนียร แซ่เล่า (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึก ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.62 / 82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 01 3) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 0.6666 หรือร้อยละ 66.67 สูงกว่า 0.50 หรือร้อยละ 50 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ จิระพันธุ์ ปากวิเศษ (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า การ จัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการคูณมีประสิทธิภาพ (E1 / E2) เท่ากับ 82.08 / 81.82 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 และความพึงพอใจต่อการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก พิศุทธ์ปภาณ จินะวงค์ (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุเหร่า ลาดพร้าว ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการคูณสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 82.33 / 83.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ที่กําหนดไว้และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้ แบบฝึกทักษะข้างต้น พบว่า เมื่อนำแบบฝึกทักษะมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนสามารถเกิดการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนได้มองเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาย่อย ผู้เรียนมีโอกาสได้ศึกษาเนื้อหา ได้ตามศักยภาพ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกทั้งแบบฝึกทักษะช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ให้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังสนองต่อความต้องการที่แตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ช่วยฝึกและ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรับผิดชอบในการทำกิจกรรมแบบฝึกทักษะและรู้จักทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น จึงทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะนำรูปแบบการสอนนี้มาใช้ทดลองกับผู้เรียน เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ


19 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย งานวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีโดยผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. แบบแผนการวิจัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้เรียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ทั้งหมด 3 ห้อง จำนวนนักเรียน 68 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้เรียนนักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบยก กลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและ ตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 ชั่วโมง 2. แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 จำนวน 1 ชุด 3. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือตามลำดับ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดู อารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที 4 ผู้วิจัยได้ ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้


20 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ศึกษาหลักสูตรกลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี เกี่ยวกับ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 1.2 ศึกษาองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ตัวชี้วัดนำทาง การอ่าน คิด วิเคราะห์สาระการเรียนรู้สาระสำคัญ สมรรถนะสำคัญ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ชิ้นงาน/ภาระงาน กิจกรรมการเรียนรู้สื่อ/แหล่งเรียนรู้/นวัตกรรม การวัดและประเมินผล แบบประเมินชิ้นงาน แบบสังเกต พฤติกรรมที่แสดงออกตามสมรรถนะของผู้เรียน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์บันทึกข้อเสนอแนะ ของผู้ตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร และบันทึกหลังสอน 1.3 ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะจากตำรา เอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง 1.4 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อกำหนดจุดประสงค์ การเรียนรู้ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะ (A) และสาระการเรียนรู้ 1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ให้ครอบคลุมตามองค์ประกอบ ข้อ 1.2 จำนวน 7 แผน ชั่วโมงสอน 7 ชั่วโมง รวมเวลาที่ใช้ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อพิจารณาตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสมขององค์ประกอบและเนื้อหา ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข เมื่อพิจารณาแล้ว พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม โดยมีค่าเฉลี่ยโดยรวมตั้งแต่ 0.67 - 1.00 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีก ครั้ง พร้อมทั้งประเมินความเหมาะสมแผนการจัดการเรียนรู้ 1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะให้ถูกต้อง เหมาะสม และจัดพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้สอนจริงกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบฝึกทักษะ การสร้างและหาคุณภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที 4 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ตามลำดับ ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หลักสูตรกลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 และศึกษาคู่มือครูรายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน เล่ม 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 2.2 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ รูปแบบ และขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่ มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.3 สร้างแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ชุด ประกอบ ไปด้วย 7 แบบฝึกทักษะ


21 2.4 สร้างแบบประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะ สำหรับเสนอผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินคุณภาพด้าน ความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะและเกณฑ์การแปลความหมาย ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด. 2554) เกณฑ์การให้คะแนน เหมาะสมมากที่สุด ตรวจให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก ตรวจให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง ตรวจให้ 3 คะแนน เหมาะสมน้อย ตรวจให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด ตรวจให้ 1 คะแนน เกณฑ์การแปลความหมาย ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 แปลความว่า เหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 แปลความว่า เหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 - 3.50 แปลความว่า เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51- 2.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อยที่สุด 2.5 นำแบบฝึกทักษะ พร้อมแบบประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ทำการประเมินเพื่อตรวจคุณภาพความเหมาะสม และตรวจสอบความถูกต้องของแบบฝึกทักษะ ด้านเนื้อหาและการนำเสนอ รวมถึงการใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การคิดคำนวณและด้านการ พิมพ์ (ภาคผนวก ง) 2.6 นำแบบฝึกทักษะ ที่ได้แก้ไขและปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ ของแบบฝึกทักษะตามแนวคิดของชัยยงค์ พรหมวงศ์ โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ ทดลองครั้งที่ 1 แบบเดี่ยวจำนวน 3 คน ที่ยังไม่เคยเรียน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ทดลองครั้งที่ 2 แบบกลุ่ม จำนวน 9 คน ที่ยังไม่เคยเรียน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ทดลองครั้งที่ 3 แบบสนาม จำนวน 32 คน ที่ยังไม่เคยเรียน เรื่องการอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 2.7 จัดพิมพ์แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 1 ชุด เป็นฉบับสมบูรณ์ให้เพียงพอ และนำไปใช้กับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรียนที 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี จำนวน 23 คน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การอ่านและการ เขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้


22 3.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู คู่มือประเมินผลการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และ ระบบธรรมชาติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อทราบหลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เวลาเรียน วิเคราะห์ผลลัพธ์ การเรียนรู้ชั้นปี จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ สมรรถนะหลัก สาระการเรียนรู้/เนื้อหา คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล 3.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการสร้างแบบทดสอบ การหาความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่นของแบบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากเอกสารและตำราต่าง ๆ 3.3 สร้างตารางวิเคราะห์เนื้อหาสาระ จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ ผลลัพธ์การเรียนรู้ ชั้นปี เพื่อกำหนดจำนวนข้อสอบที่ต้องการวัดให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการวัด เพื่อใช้เป็นแผน ในการเขียนข้อสอบ 3.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอา รบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน เพื่อให้ผู้เชี่ยว ชาญ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับตัวเลือก และการใช้ ภาษาให้เหมาะสมกับผู้เรียน 3.6 วิเคราะห์ความเที่ยงเชิงเนื้อหาโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของ แบบทดสอบกับจุดประสงค์ของการวัด (IOC) เมื่อพิจารณา พบว่าได้ดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียนเรื่องน้ำ มีค่าตั้งแต่ 0.00 - 1.00 ผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือกข้อสอบ ที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้น ไปไว้ใช้จำนวน 10 ข้อ ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดตรงตามจุดประสงค์ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดตรงตามจุดประสงค์ ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดไม่ตรงตามจุดประสงค์ 3.7 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ฉบับสมบูรณ์ จำนวน 10 ข้อ สำหรับใช้ทดสอบกับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ทั้งก่อนเรียนและหลังการเรียน แบบแผนการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้ระเบียบวิธีการเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว โดยผู้วิจัยใช้วิธีการทดสอบก่อน และหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ดังแผนการทดลอง O1 X O2 เมื่อกำหนดให้ O1 หมายถึง ผลการทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ X หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ O2 หมายถึง ผลการทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ


23 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 23 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบยกกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม 2. ขั้นดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง 3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1 ชี้แจงนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการเรียน จุดประสงค์ในการเรียน และเกณฑ์การประเมินผล การเรียน 3.2 นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทําการทดสอบก่อนเรียน (pre-test) โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 จำนวน 10 ข้อ โดยใช้เวลาทดสอบ 40 นาที 3.3 ดําเนินการสอนกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัยดําเนินการตามแผนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 1 ชุด เป็นเวลา 7 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง 3.4 นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทําแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) โดยใช้แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่ มากกว่า 100,000 จำนวน 10 ข้อ โดยใช้เวลาทดสอบ 40 นาที(ชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน) 3.5 รวบข้อมูล ตรวจให้คะแนน และประเมินผลโดยวิธีการทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิกตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และประสิทธิภาพ (E1/E2) 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีโดยใช้แบบทดสอบแบบที (t-test for dependent samples)


24 สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 หาค่าร้อยละ โดยใช้สูตร = × 100 แทน ร้อยละ แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 1.2 หาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร (สมบูรณ์ สุริยวงค์ และคณะ. 2559 : 157) = ∑ แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 1.3 หาค่าเฉลี่ย ( ̅) โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 123-124) สูตร ̅= ∑ ̅แทน ค่าเฉลี่ย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม แทน จำนวนนักเรียน 1.4 หาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 126) สูตร .D. = √ ∑ 2−(∑ 2) (−1)


25 .D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน คะแนนแต่ละตัว แทน ผลรวม แทน จำนวนนักเรียน 2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 2.1 หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์ E1 /E2 จากสูตร (ชัยพงค์ พรหมวงศ์. 2454 : 491) 1 = ∑ 100 เมื่อ 1 แทน ประสิทธิผลของกระบวนการ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนจากการทำทดสอบท้ายแบบฝึกทักษะ แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบท้ายแบบฝึกทักษะ แทน จำนวนนักเรียน 2 = ∑ 100 เมื่อ 2 แทน ประสิทธิผลของผลลัพธ์ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนจากการทำทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แทน จำนวนนักเรียน 2.2 เปรียบเทียบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตร (ล้วน สายยศ, อังคณา สายยศ. 2558 : 104) = ∑ √ ∑2 − (∑) 2 − 1 เมื่อ แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤติ เพื่อทราบความมี นัยสำคัญ


26 ∑ แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ ∑ 2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ยกกำลังสอง (∑) 2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ทั้งหมด ยกกำลังสอง แทน จำนวนคู่


27 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิกตัวเลข ไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่องการ อ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลข ไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิกตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 2 ขั้นตอน ตามลำดับ ดังนี้ 1. ผลการสร้างและวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิกตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลปรากฏตาม ตามตารางที่ 1 แทน จำนวนนักเรียน ̅แทน ค่าเฉลี่ย . . แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ∑ แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ ∑2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ยกกำลังสอง แทน ระดับนัยสำคัญทางสถิติ ** แทน มีนัยสำคัญสถิติที่ระดับ .05 E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวณการแบบสังเกตพฤติกรรม E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์แบบสังเกตพฤติกรรม


28 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 คะแนน N คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2 ระหว่างเรียน 23 70 63.22 90.31 90.31/94.35 หลังเรียน 23 20 18.87 94.35 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนจากการทำแบบทดสอบท้ายแบบฝึกทักษะ ระหว่างเรียนมีค่าเฉลี่ย 63.22 จากคะแนนเต็ม 70 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 90.31 และคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มี ค่าเฉลี่ย 18.87 จากคะแนนเต็ม 20 คิดเป็นร้อยละ 94.35 แสดงว่า แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 90.31/ 94.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ข้อที่ 1 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและ การเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ผลปรากฏตามตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การทดสอบ N คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ S.D. ∑D ∑D 2 t ก่อนเรียน 23 20 9.87 49.35 1.69 207.00 42849 21.60880** หลังเรียน 23 20 18.87 94.35 1.22 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 2 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 23 คนพบว่า คะแนนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ย 9.87 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 49.35 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย 18.87 จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 94.35 เมื่อทดสอบโดยใช้ค่า t (t-test) ปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยร้อย ละหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานข้อที่ 2


29 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิกตัวเลข ไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานีมีวัตถุประสงค์(1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลข ไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านและการ เขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ประถมศึกษาปีที่ 4 แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการ เขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และประสิทธิภาพ (E1/E2) และแบบทดสอบ แบบที (t-test for dependent samples) ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.31/ 94.35 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 อภิปรายผลการวิจัย จากผลของการวิจัยในครั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ นำสู่การอภิปรายผล ดังนี้ 1. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า แบบฝึกทักษะมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 90.31/ 94.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ที่ตั้งไว้ และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ประภาพร ถิ่นอ่อง. (2560 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบ ฝึกทักษะการบวก ลบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาแบบฝึกทักษะ การบวก ลบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 88.04/82.38 นักเรียนทำแบบฝึกทักษะ การบวก ลบ ระหว่างเรียนได้ถูกต้อง เฉลี่ยร้อยละ 88.04 และนักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนได้เฉลี่ยร้อยละ 82.38 แสดงว่า แบบฝึกทักษะการบวก ลบ ที่ผู้วิจัยพัฒนา มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนด คือ 80/80 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการบวก ลบ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี


30 นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการบวก ลบ โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ จำเนียร แซ่เล่า (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะทักษะคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.62 / 82.31 และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่องการคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 01 3) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 เท่ากับ 0.6666 หรือร้อยละ 66.67 สูงกว่า 0.50 หรือร้อยละ 50 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ จิระพันธุ์ ปากวิเศษ (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการคูณ มีประสิทธิภาพ (E1 / E2) เท่ากับ 82.08 / 81.82 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ โดยใช้แบบฝึก ทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 และความพึง พอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ พิศุทธ์ปภาณ จินะวงค์ (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุเหร่าลาดพร้าว ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการคูณสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 82.33 / 83.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ที่กําหนด ไว้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและ การเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบทดสอบแบบที (t-test for dependent samples) พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 ที่ตั้งไว้ สอดคล้อง กับผลการวิจัยของ จันตรา ธรรมแพทย์ (2560 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการ แก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนณิตศาสตร์ต่ำ ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ต่ำ มีประสิทธิภาพ 80.52/79.84 ซึ่งสูงกว่าเกณท์ 75/75 ที่กำหนดไว้ 2) ความสามารถใน การแก้โจทย์ปัญหากนิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำ หลังการใช้ แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ต่ำ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทข์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สมหมาย ศุภพินิ (2560 : บทคัดย่อ) ที่ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มี ประสิทธิภาพ 76.69/79.61 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ร้อยละ หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุภวัฒน์นามเจริญ (2560 : บทคัดย่อ) ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง


31 เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยปรากฏว่า แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ มีประสิทธิภาพ 84.39/85.59 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ มยุรี พรสุวรรณ (2560 : บทคัดย่อ) ที่ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยปรากฏว่า ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 78. 1 1/77.67 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 ที่ตั้งไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการ สอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .0 1 จากที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า งานวิจัยที่เกี่ยวข้อกับแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เป็นสื่อนวัตกรรมการ เรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามความสามารถของตนเอง มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะกระบวกการ ทางคณิตศาสตร์ ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุปรสงค์ทุกประการ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ในการทำแบบฝึกแต่ละครั้งของนักเรียน ครูผู้สอนจะต้องเฉลยทันทีและชี้แจงข้อบกพร่องใน การที่จะแก้ไข เพื่อให้นักเรียนทราบความสามารถของตนเอง พร้อมทั้งแนะแนวทางแก้ไขและพัฒนา ความสามารถในการเรียนของตนเองให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไป 1.2 การดำเนินการควรทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในคำชี้แจง แต่ครูผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ 1.3 ครูควรกระตุ้นให้กำลังใจและเสริมแรงให้นักเรียนกระตือรือร้นในการกิจกรรมตามแบบฝึก ทักษะวิชาคณิตศาสตร์ 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรเพิ่มชั่วโมงในการจัดการเรียนการสอนให้มากกว่าเดิม 2.2 ควรมีการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.3 ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูผู้สอนควรสังเกตพฤติกรรม นักเรียน ที่มีความสามารถในการเรียนต่ำ อาจจะไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการเรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ


32 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กฤษรา สุวรรณลพ. (2559) เทคโนโลยีทางการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. กัลยา แข็งแรง. (2559) หลักการสร้างแบบฝึก (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. คณิศร ศรีประไพ. (2555). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทยสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน) มหาวิทยาลัยบูรพา. จินดา อุ่นทอง. (2558) การพัฒนาแบบฝึกทักษะการบวกการลบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสารมิตร. จำเนียร แซ่เล่า. (2561). การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านขอนหาด อำเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช ณัฐชา อักษรเดช. (2554). การสร้างแบบฝึกอ่านจับใจความ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. ชุลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. นิตยา กิจโร. (2553). การศึกษาผลการฝึกทักษะการตั้งคำถามของนักเรียนในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และความคิด สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการมัธยมศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. บุณนำ เกษี. (2556). รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพานทองสภาชนูปถัมถ์อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี. ประภาพร ถิ่นอ่อง. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการแยกตัวประกอบของ พหุนามดีกรีสอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา (วิจัยและพัฒนาการศึกษา), บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยนเรศวร. ยุพิน พิพิธกุล. (2545). การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ยุคปฏิรูปการศึกษา, กรุงเทพฯ : บพิทการพิมพ์ วรสุดา บุญยไวโรจน์. (2558) คณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. วลี สุมิภันธ์. (2558) การเปรียบเทียบความสามารถในการเรียงความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรียนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึก. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. นนทบุรี: มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. วีณา วโรตมะวิชญ์. (2559) การสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่ในโรงเรียนประถมศึกษา. เชียงใหม่ : คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.


33 บรรณานุกรม (ต่อ) สันติ ภูสงัด. (2559) แบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ ระคน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ การศึกษามหาบัณฑิต. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมศรี อภัย. (2553). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบจำนวน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ. การศึกษาค้นคว้าอิสระการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุธัญญา รัตนบรรพต. (2558) การพัฒนาแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สุวิทย์ มูลคํา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2550). การพัฒนาผลงานทางวิชาการ สู่การเลื่อนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เคบุ๊คส์. อุษณีย์เสือจันทร์. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง วิธีเรียงสับเปลี่ยนและ วิธีจัดหมู่กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต(สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ


รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ 1. นางชาริณี สุขสันติดิลก ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี 2. นางอมรรัตน์ ชุมอินทอง ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี 3. นางสาวกัลยา มาตรบุตร ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี


ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - แผนการจัดการเรียนรู้ - แบบฝึกทักษะ - แบบทดสอบ


แผนการจัดการเรียนรู้


แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 เวลา 7 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก เวลา 1 ชั่วโมง ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับไม่เกิน 1,000 สอนวันที่ 19 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ค 1.1 ป.2/1 อ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 ตัวชี้วัดนำทาง ด้านความรู้ (K) 1. อ่านตัวเลขไทย ตัวเลขฮินดูอารบิก และตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ได้ 2. เขียนตัวเลขไทย ตัวเลขฮินดูอารบิก และตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ได้ ด้านทักษะกระบวนการ(P) 1. ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์สื่อความหมายได้ 2. ใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรุปผลได้อย่างเหมาะสม ด้านคุณลักษณะ (A) 1. ตั้งใจเรียน 2. มีความรับผิดชอบและทำงานเป็นระเบียบ รอบคอบ คุณลักษณะที่พึงประสงค์(I) 1. มีวินัย 2. มีความรับผิดชอบ การอ่าน คิด วิเคราะห์ อ่านจำนวนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 ได้อย่างถูกต้อง สาระการเรียนรู้ 1. การอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 สาระสำคัญ จำนวนนับไม่เกิน 1,000 เป็นจำนวนที่มีสามหลัก ได้แก่ 101 ถึง 999 สามารถเขียนแสดงด้วยตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ สมรรถนะสำคัญ ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการคิดเป็นระบบ เพื่อการสร้างองค์ความรู้


กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 โดยให้นักเรียนศึกษาคำชี้แจงให้เข้าใจก่อนลงมือ ทำแบบทดสอบ ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ครูสุ่มนักเรียนออกมาเขียนเลขโดดในระบบฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ โดยนักเรียนที่ถูก สุ่มคนแรกเป็นผู้เรียกเพื่อนคนต่อๆ ไป จนครบจำนวน 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาถึงการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแทนจำนวนไม่เกิน 1,000 โดยใช้บัตรตัวเลข และให้นักเรียนดูคลิปวิดีโอจาก https://youtu.be/soJ8viHA1aA 4. ครูอภิปรายเกี่ยวกับจำนวนที่นับต่อจาก 100 คือจำนวนใด จากนั้นครูอธิบายเกี่ยวกับจำนวน 100 – 999 ว่าเป็นจำนวนที่มีสามหลักและอธิบายถึงเลขโดดในแต่ละหลัก 5. ครูนำบัตรตัวเลขไม่เกิน 1,000 ติดบนกระดาน แล้วให้นักเรียนทุกคนช่วยกันบอกว่า เลขโดด ตัวใดอยู่ในหลักใดจนครบทุกตัว จากนั้นครูเขียนตัวเลขไทยและตัวหนังสือแสดงจำนวนดังกล่าวให้ นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนอ่านจำนวนพร้อมๆ กัน 6. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม โดยการหยิบบัตรตัวเลขไทยและตัวเลขฮินดูอารบิกที่มีค่าไม่เกิน 1,000 ครั้งละ 1 บัตร แล้วร่วมกันบอกค่าของจำนวน อ่านค่าของตัวเลขในแต่ละหลักทีละบัตร และแสดงค่า ของตัวเลขโดยใช้ลูกคิด ตารางตัวเลข 7. ครูให้นักเรียนอ่านและเขียนจำนวนนับไม่เกิน 1,000 เป็นตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือหลายๆ จำนวน เช่น 453 541 707 926 8. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ขั้นสรุปผลการเรียน 9. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่า จำนวนนับไม่เกิน 1,000 เป็นจำนวนที่มีสามหลัก ได้แก่ 101 ถึง 999 สามารถเขียนแสดงด้วยตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือ สื่อ/ แหล่งการเรียนรู้/ นวัตกรรม 1. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวน นับที่มากกว่า 100,000 2. บัตรตัวเลขไม่เกิน 1,000 ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย 3. ตารางตัวเลข 4. ลูกคิดหลักเลข (ลูกคิด 7 หลัก) 5. แบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแทน จำนวนนับไม่เกิน 1,000 6. คลิปวิดีโอจาก https://youtu.be/soJ8viHA1aA


การวัดผลและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการอ่าน และการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลข ไทย และตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่ เกิน 1,000 แบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการ อ่านและการเขียนตัวเลข ฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และ ตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่ เกิน 1,000 คะแนนเต็ม 10 คะแนน นักเรียนทำแบบฝึกทักษะได้ 6 คะแนนขึ้นไป อยู่ในระดับ ผ่านเกณฑ์การประเมิน ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องการ อ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวน นับที่มากกว่า 100,000 แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลข ไทย และตัวหนังสือแสดง จำนวนนับที่มากกว่า 100,000 คะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนทำแบบทดสอบได้ 12 คะแนนขึ้นไป อยู่ในระดับ ผ่านเกณฑ์การประเมิน


บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ โรงเรียนเทศบาล ๕ เทศบาลเมืองปัตตานี เทศบาลเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี หน่วยที่1 เรื่อง การอ่านและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย สอนวันที่19 กันยายน พ.ศ. 2565 และตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ดี (A) เก่ง (K) มีสุข (P) นักเรียนตั้งใจเรียนมีความ รับผิดชอบและทำงานเป็น ระเบียบ รอบคอบ นักเรียนสามารถอ่านและเขียน ตัวเลขไทย ตัวเลขฮินดูอารบิก และตัวหนังสือแทนจำนวนนับไม่ เกิน 1,000 ได้ นักเรียนสามารถใช้ภาษาและ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์สื่อ ความหมายและใช้เหตุผล ประกอบการตัดสินใจ และ สรุปผลได้อย่างเหมาะสม ปัญหาและอุปสรรค นักเรียนบางคนยังไม่สามารถเขียนตัวหนังสือแทนจำนวนนับที่ไม่เกิน 1,000 ได้ ข้อเสนอแนะ / วิธีแก้ไข ครูให้นักเรียนคัดตัวหนังสือ ตั้งแต่ 1-10 ลงในสมุด ลงชื่อ ฟาอีซะห์ (นางสาวฟาอีซะห์ แยนา) นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระฯ ความคิดเห็นของฝ่ายบริหาร จัดกิจกรรมได้ดี จัดกิจกรรมเหมาะสม จัดกิจกรรมได้ดี มีความเหมาะสม มีความเหมาะสม ลงชื่อ ลงชื่อ....................................... ลงชื่อ....................................... (นางชาริณี สุขสันติดิลก) (นางอมรรัตน์ ชุมอินทอง) (นางสาวนันทวรรณ คงสีปาน) ห ครูพี่เลี้ยง หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ลงชื่อ………………………………… (นางปิยะภรณ์ ด้วงตุด) ผู้อำนวยการสถานศึกษา


แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง…การอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือ แสดงจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที 4 คำชี้แจง 1. แบบทดสอบฉบับนี้เป็นแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง…การอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย และตัวหนังสือแสดงจำนวนนับ ที่มากกว่า 100,000 โดยมีเวลาทำแบบทดสอบ 40 นาที 2. แบบทดสอบเล่มนี้มีทั้งหมด 10 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน 3. ให้นักเรียนพิจารณาหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว แล้วทำเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในกระดาษคำตอบให้ตรงกับตัวเลือกที่ต้องการ 1. 154,003 อ่านว่าอย่างไร ก. หนึ่งแสนห้าหมื่นสี่พันสาม ข. หนึ่งแสนห้าหมื่นสี่พันสามสิบ ค. หนึ่งล้านห้าหมื่นสี่พันสาม ง. หนึ่งแสนห้าพันสี่ร้อยสาม 2. 17,064,520 อ่านได้อย่างไร ก. สิบเจ็ดล้านหกแสนสี่พันห้าร้อยยี่สิบ ข. สิบเจ็ดล้านหกแสนสี่หมื่นห้าร้อยยี่สิบ ค. สิบเจ็ดล้านหกหมื่นสี่พันห้าร้อยยี่สิบ ง. สิบเจ็ดล้านหกหมื่นสี่ร้อยยี่สิบ 3. จำนวนใดมีเลข 6 อยู่ในหลักหมื่น และอ่านว่า “สองแสนหกหมื่นเก้าพันสองร้อย” ก. 169,201 ข. 169,020 ค. 269,200 ง. 269,201 4. จำนวน 6 ล้าน 4 แสน 8 หมื่น 4 พัน 2 ร้อย 2 สิบ 9 หน่วย เขียนแทนด้วยตัวเลขไทยได้อย่างไร ก. ๒,๔๘๔,๒๒๙ ข. ๖,๘๔๔,๒๒๙ ค. ๖,๔๘๔,๒๒๙ ง. ๒,๘๔๔,๒๒๙ 6. จำนวนในข้อใดอ่านว่า “ สิบเจ็ดล้านห้าแสนหก ” ก. ๑๐๗,๕๐๐,๐๐๖ ข. ๑๗,๐๕๐,๐๐๖ ค. ๑๗,๕๐๐,๖๐๐ ง. ๑๗,๕๐๐,๐๐๖ 7. ตัวเลข 1 ใน 17,302,009 มีค่าเท่าใด ก. 100,000,000 ข. 10,000,000 ค. 1,000,000 ง. 100,000 8. ๓๘,๐๕๒,๐๗๘ หลักสิบล้านคือตัวเลขใด ก. ๐ ข. ๘ ค. ๕ ง. ๓ 5. จำนวนในข้อใดอ่านว่า “สี่แสนห้าหมื่นสามร้อย” ก. 405,300 ข. 453,300 ค. 453,000 ง. 450,300 9. 343,300 เขียนในรูปกระจายได้อย่างไร ก. 3,000,000 + 40,000 + 3,000 + 300 ข. 300,000 + 40,000 + 3,000 + 300 ค. 300,000 + 40,000 + 300 + 30 ง. 300,000 + 4,000 + 300 + 30 10. 600,000 + 50,000 + 3,000 + 400 + 50 มีค่าเท่าไร ก. 653,540 ข. 653,450 ค. 654,530 ง. 654,350


Click to View FlipBook Version