The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by annsu.kamkai09, 2021-05-06 04:14:39

วิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์

243

กจิ กรรมการทดลอง เรือง ตวั ต้านทาน

วตั ถุประสงค์
1. เขา้ ใจหลกั การอ่านค่าสีตวั ตา้ นทานไฟฟ้ า
2. สามารถอ่านค่าสีจากตวั ตา้ นทานไฟฟ้ าไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

อปุ กรณ์ทใี ช้ในการทดลอง
1. ตวั ตา้ นทานค่าต่างๆ
ตวั ต้านทานไฟฟ้ า(Resistor)

ทดลอง
1.จากตวั ตา้ นทานสี นําตาล สี แดง สี ส้ม แลว้ อ่านค่าตา้ นทาน ก่อนทดลอง (ตวั อยา่ ง)

อ่านค่าความตา้ นทานดว้ ยตนเองไดผ้ ล = ....................... โอหม์
2.ใหเ้ ลือกตวั ตา้ นทานทีจดั เตรียมใหแ้ ละนาํ ไปทาํ การทดลองลงตามตาราง
3. จากตารางดา้ นล่างใหเ้ ขียนสีในแต่ละแถบสีเพือใหไ้ ดค้ ่าความตา้ นทานตามกาํ หนด และใหล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ

เปลียนค่าสีตามทีเขียนไวเ้ พือดูผลเทียบกบั ทีเขียนไว้

สีแถบสีที 1 สีแถบสีที 2 สีแถบสีที 3

30 โอห์ม
45 โอหม์
53 โอหม์
330 โอหม์
680 โอหม์
940 โอหม์
1.2 กิโลโอห์ม
3.5 กิโลโอห์ม

120 กิโลโอหม์
480 กิโลโอหม์
1000 กิโลโอหม์
1200 กิโลโอหม์

244

3.5 ไฟฟ้ าในชีวติ ประจาํ วนั

ไฟฟ้ าเป็ นสิงทีจาํ เป็ นและมีอิทธิพลมาก
ในชีวิตประจาํ วนั ของเราตงั แต่เกิดจนกระทงั ตาย
เราสามารถนาํ ไฟฟ้ ามาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ
เช่น ด้านแสงสว่าง ดา้ นความร้อน ด้านพลงั งาน
ดา้ นเสียง เป็ นตน้ และการใชป้ ระโยชน์จากไฟฟ้ า
ก็ตอ้ งใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั ตอ้ งเรียนรู้การใชท้ ีถูกวิธี
ต้องรู้วิธีการป้ องกันทีถูกต้อง ในทีนีจะขอกล่าวถึงประเภทของไฟฟ้ า และอุปกรณ์ไฟฟ้ าใน
ชีวติ ประจาํ วนั ทีควรจะรู้จกั

ไฟฟ้ าในชีวติ ประจาํ วนั ทีควรรู้จกั
.เมนสวติ ช์ (Main Switch) หรือสวิตชป์ ระธาน เป็นอุปกรณ์หลกั ทีใชส้ าํ หรับ ตดั ต่อวงจรของ

สายเมน เขา้ อาคาร กบั สายภายใน ทงั หมด เป็ นอุปกรณ์สับปลด วงจรไฟฟ้ าตวั แรก ถดั จากเครืองวดั
หน่วยไฟฟ้ า (มิเตอร์) ของการนาํ ไฟฟ้ า เข้ามาในบ้าน เมนสวิชต์ประกอบด้วย เครืองปลดวงจร
(Disconnecting Means) และเครืองป้ องกนั กระแสเกิน (Overcurrent Protective Device) หน้าทีของเมน
สวิตช์ คือ คอยควบคุมการใชไ้ ฟฟ้ า ให้เกิดความปลอดภยั ในกรณีที เกิดกระแสไฟฟ้ าเกิน หรือ เกิด
ไฟฟ้ าลดั วงจร เราสามารถสบั หรือปลดออกไดท้ นั ที เพือตดั ไม่ใหก้ ระแสไฟฟ้ าไหลเขา้ มายงั อาคาร

.เบรกเกอร์ (เซอร์กิตเบรกเกอร์) หรือ สวิชตอ์ ตั โนมตั ิ หมายถึง อุปกรณ์ทีสามารถใชส้ ับ หรือ
ปลดวงจรไฟฟ้ าได้โดยอตั โนมตั ิ โดยกระแสลดั วงจรนัน ตอ้ งไม่เกินขนาดพิกดั ในการตดั กระแส
ลดั วงจรของเครือง (IC)

. ฟิ วส์ เป็นอุปกรณ์ป้ องกนั กระแสไฟฟ้ าเกินชนิดหนึง โดยจะตดั วงจรไฟฟ้ าอตั โนมตั ิ เมือมี
กระแสไฟฟ้ าไหลเกินค่าทีกาํ หนด และเมอื ฟิ วสท์ าํ งานแลว้ จะตอ้ งเปลียนฟิ วส์ใหม่ ขนาดพิกดั การตดั
กระแสลดั วงจร (IC) ของฟิ วส์ตอ้ งไม่ตาํ กวา่ ขนาดกระแสลดั วงจรทีผา่ นฟิ วส์

. เครืองตดั ไฟรัว หมายถึง สวิชตอ์ ตั โนมตั ิทีสามารถปลดวงจรไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ภายในระยะเวลาที
กาํ หนด เมือมกี ระแสไฟฟ้ ารัวไหลลงดินในปริมาณทีมากกว่าค่าทีกาํ หนดไว้ เครืองตดั ไฟรัวมกั จะใช้
เป็นอุปกรณ์ป้ องกนั เสริมกบั ระบบสายดิน เพอื ป้ องกนั อนั ตรายจากไฟฟ้ าดูด กรณีเครืองใชไ้ ฟฟ้ าทีใชม้ ี
ไฟรัวเกิดขึน

. สายดิน คือสายไฟเส้นทีมีไวเ้ พือให้เกิดความปลอดภยั ต่อการใชไ้ ฟฟ้ า ปลายดา้ นหนึงของ
สายดิน จะตอ้ งมกี ารต่อลงดิน ส่วนปลายอกี ดา้ นหนึง จะต่อเขา้ กบั วตั ถหุ รือเครืองใชไ้ ฟฟ้ า ทีตอ้ งการให้
มีศกั ยไ์ ฟฟ้ าเป็นศนู ยเ์ ท่ากบั พนื ดิน

245

. เตา้ รับ หรือปลกั ตวั เมยี คือ ขวั รับสาํ หรับหวั เสียบ จากเครืองใชไ้ ฟฟ้ า ปกติเตา้ รับจะติดตงั อยู่
กบั ที เช่น ติดอยกู่ บั ผนงั อาคาร เป็นตน้

. เตา้ เสียบ หรือปลกั ตวั ผู้ คือ ขวั หรือหวั เสียบจากเครืองใชไ้ ฟฟ้ าเพือเสียบเขา้ กบั เตา้ รับ ทาํ ให้
สามารถใชเ้ ครืองใชไ้ ฟฟ้ านนั ได้

. เครืองใชไ้ ฟฟ้ าประเภท หมายถึง เครืองใชไ้ ฟฟ้ าทัวไปทีมีความหนาของฉนวนไฟฟ้ า
เพียงพอ สําหรับการใช้งานปกติเท่านัน โดยมักมีเปลือกนอก ของเครืองใช้ไฟฟ้ าทาํ ด้วยโลหะ
เครืองใชไ้ ฟฟ้ าประเภทนี ผผู้ ลติ จาํ เป็นจะตอ้ งมีการต่อสายดินของอปุ กรณ์ไฟฟ้ าเขา้ กบั ส่วนทีเป็ นโลหะ
นนั เพอื ใหส้ ามารถต่อลงดินมายงั ตูเ้ มนสวติ ซ์ โดยผา่ นทางขวั สายดินของเตา้ เสียบ - เตา้ รับ

. เครืองใชไ้ ฟฟ้ าประเภท หมายถึง เครืองใชไ้ ฟฟ้ าทีมีการหุ้มฉนวน ส่วนทีมีไฟฟ้ า ดว้ ย
ฉนวนทีมีความหนาเป็ น เท่าของความหนาทีใชส้ ําหรับเครืองใชไ้ ฟฟ้ าทวั ๆ ไป เครืองใช้ไฟฟ้ า
ประเภทนีไม่จาํ เป็นตอ้ งต่อสายดิน

. เครืองใชไ้ ฟฟ้ าประเภท หมายถงึ เครืองใชไ้ ฟฟ้ าทีใชก้ บั แรงดนั ไฟฟ้ ากระแสสลบั ไม่เกิน
โวลต์ เครืองใชไ้ ฟฟ้ าประเภทนีไมต่ อ้ งมสี ายดิน

การป้ องกนั อนั ตรายจากไฟฟ้ าและการช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบอนั ตรายจากไฟฟ้ า
1. การป้ องกนั อนั ตรายจากไฟฟ้ า
สายไฟฟ้ าและเครืองใชไ้ ฟฟ้ าตามปกติจะตอ้ งมฉี นวนหุม้ และมี

การต่อสายอย่างถูกตอ้ งและแข็งแรง เมือใชไ้ ฟฟ้ าเป็ นระยะเวลานาน
ฉนวนไฟฟ้ าอาจชาํ รุดฉีกขาด รอยต่อหลวม หรือหลุดได้ เมือผใู้ ชไ้ ฟฟ้ า
สมั ผสั ส่วนทีเป็นโลหะจะเกิดกระแสไฟฟ้ าผา่ นร่างกายลงดินอนั ตรายถึง
เสียชีวติ ได้ จึงควรป้ องกนั เบืองตน้ ดงั นีคือ
. ตรวจดูฉนวน รอยต่อ ของสายไฟฟ้ าก่อนใชง้ าน
. ใชไ้ ขควงขนั รอยต่อสายไฟฟ้ ากบั อปุ กรณ์ใหแ้ น่นอยใู่ นสภาพดีพร้อมทีจะใชง้ าน
. การปฐมพยาบาลและการเคลอื นย้ายผ้ปู ระสบอนั ตรายจากไฟฟ้ า
การต่อสายดิน คือ การต่อสายไฟฟ้ าขนาดทีเหมาะสมจากเปลือกโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้ าหรือ
เครืองใชไ้ ฟฟ้ านนั ลงสู่ดิน เพอื ใหก้ ระแสทีรัวออกมาไหลลงสู่ดิน ทาํ ใหผ้ ใู้ ชไ้ ฟฟ้ าปลอดภยั จากการถกู
กระแสไฟฟ้ า
.การต่อสายดินและต่ออุปกรณ์ป้ องกนั กระแสไฟฟ้ ารัว
อปุ กรณ์การป้ องกนั กระแสไฟฟ้ ารัว การเกิดกระแสไฟฟ้ ารัวในระบบจาํ หน่ายไฟฟ้ าทวั ไปนัน
มีโอกาสเกิดขึนไดเ้ นืองจากการใชง้ าน ความเสือมของฉนวนตามอายุการใชง้ านและอุบตั ิเหตุต่าง ๆ ที
อาจจะเกิดขึนได้ กระแสไฟฟ้ ารัว และการเกิดกระแสไฟฟ้ าลดั วงจร (short circuit) นนั ไม่มีผใู้ ดทราบ

246

ล่วงหนา้ ได้ จึงจาํ เป็ นทีจะตอ้ งมีอุปกรณ์ทีใชเ้ ป็ นเครืองบอกเหตุต่าง ๆ ไว้ และทาํ การตดั วงจรไฟฟ้ า
ก่อนทีจะเป็นอนั ตราย วศิ วกรคิดวธิ ีป้ องกนั ไฟฟ้ ารัวไว้ วธิ ี คือ

วิธีที คือ การต่อสายดิน
เมือกระแสไฟฟ้ ารัวไหลลงดินมีปริ มาณมากพอ ทาํ ให้เครื องตัดวงจรทํางานตัดวงจร
กระแสไฟฟ้ าในวงจรนนั ออกไป ทาํ ใหไ้ ม่มีกระแสไฟฟ้ า
วิธีที ใชเ้ ครืองป้ องกนั กระแสไฟฟ้ ารัว
โดยอาศยั หลกั การของการเหนียวนาํ ไฟฟ้ าในหมอ้ แปลงไฟฟ้ า ในสภาวะปกติกระแสไฟฟ้ า
ไหลเขา้ และไหลออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้ าในวงจรเท่ากนั เส้นแรงแม่เหลก็ ทีเกิดขึนในแกนเหล็กจาก
ขดลวดปฐมภูมิทังสองขดเท่ากัน จึงหักล้างกันหมด กระแสไฟฟ้ าในขดลวดทุติยภูมิไม่มี
เมือกระแสไฟฟ้ ารัวเกิดขึน สายไฟฟ้ าทงั สองมกี ระแสไหลไมเ่ ท่ากนั ทาํ ใหเ้ กิดเส้นแรงแม่เหล็กในแกน
เหลก็ เหนียวนาํ ไฟฟ้ าขึนในขดลวดทุติยภูมิส่งสญั ญาณไปทาํ ใหต้ ดั วงจรไฟฟ้ าออก
ผปู้ ระสบอนั ตรายจากกระแสไฟฟ้ าจะเกิดอาการสินสติ (shock) ผทู้ ีอย่ขู า้ งเคียงหรือผทู้ ีพบ
เหตุการณ์จะตอ้ งรีบช่วยเหลืออยา่ งถกู วิธี ดงั นี
ขันแรก ตดั วงจรกระแสไฟฟ้ าออกโดยเร็ว ขันสองแยกผปู้ ่ วยออกด้วยการใช้ฉนวน เช่น
สายยาง ผา้ แห้ง หรือกิงไมแ้ ห้งคลอ้ งดึงผูป้ ่ วยออกจากสายไฟ ห้ามใชม้ ือจับโดยเด็ดขาด ถา้ ผปู้ ่ วย
ไม่หายใจใหร้ ีบช่วยหายใจดว้ ยการจบั ผปู้ ่ วยนอนราบไปกบั พืน ยกศีรษะใหห้ งายขึนเล็กน้อยบีบจมกู
พร้อมเป่ าลมเขา้ ปากเป็ นระยะ ๆ โดยเป่ าให้แรงและเร็ว ประมาณนาทีละ ครัง จนเห็นทรวงอก
กระเพือม ทาํ ต่อไปเรือยๆแลว้ รีบนาํ ส่งโรงพยาบาล ทาํ การพยาบาลโดยการใหอ้ อกซิเจนช่วยในการ
หายใจ และนวดหวั ใจดว้ ย
3.6 การอนุรักษ์พลงั งานไฟฟ้ า
การอนุรักษ์พลงั งาน

ความหมายของการอนุรักษพ์ ลงั งาน คือการผลติ และการใชพ้ ลงั งานอยา่ งมีประสิทธิภาพและ
ประหยดั การอนุรักษพ์ ลงั งานนอกจากจะช่วยลดปริมาณการใชพ้ ลงั งาน ซึงเป็นการประหยดั ค่าใชจ้ ่าย
ในกิจการแลว้ ยงั จะช่วยลดปัญหาสิงแวดลอ้ มทีเกิดจากแหล่งทีใชแ้ ละผลติ พลงั งานดว้ ย

การอนุรักษ์พลังงาน คืออะไร การอนุรักษ์พลังงาน เป็ นวัตถุประสงค์หลักภายใต้
พระราชบญั ญตั ิการส่งเสริมการอนุรักษพ์ ลงั งาน พ.ศ. ทีกาํ หนดใหก้ ลมุ่ เป้ าหมายคือ อาคารควบคุม
และโรงงานควบคุม ต้องจัดเตรี ยมโครงสร้างพืนฐาน เช่น ข้อมูล บุคลากร แผนงาน เป็ นต้น
เพือนาํ ไปสู่การอนุรักษพ์ ลงั งานตามกฎหมายและกิจกรรมการอนุรักษ์พลงั งานนียงั ใชเ้ ป็ นกรอบและ
แนวทางปฏบิ ตั ิในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใชพ้ ลงั งานใหด้ ียงิ ขึน

247

การอนุรักษ์พลงั งานตามกฎหมายต้องทาํ อะไรบ้าง
พระราชบญั ญตั ิการส่งเสริมการอนุรักษพ์ ลงั งาน พ.ศ. ไดก้ าํ หนดให้ผทู้ ีเจา้ ของอาคาร
ควบคุมและโรงงานควบคุม มีหนา้ ทีดาํ เนินการอนุรักษพ์ ลงั งานในเรืองดงั ต่อไปนี
1. จดั ใหม้ ผี รู้ ับผดิ ชอบดา้ นพลงั งานอยา่ งน้อย คน ประจาํ ณ อาคาร ควบคุมและโรงงาน
ควบคุมแต่ละแห่ง
2. ดาํ เนินการอนุรักษพ์ ลงั งานใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานทีกาํ หนดไว้
3. ส่งขอ้ มลู เกียวกบั การผลติ การใชพ้ ลงั งานและการอนุรักษ์พลงั งาน ให้แก่กรมพฒั นาและ
ส่งเสริมพลงั งาน
4. บนั ทึกขอ้ มลู การใชพ้ ลงั งาน การติดตงั หรือเปลยี นแปลงเครืองจกั ร หรืออุปกรณ์ทีมีผลต่อ
การใชพ้ ลงั งานและการอนุรักษพ์ ลงั งาน
5. กาํ หนดเป้ าหมายและแผนอนุรักษพ์ ลงั งานส่งใหก้ รมพฒั นาและ ส่งเสริมพลงั งาน
6. ตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบตั ิตามเป้ าหมายและแผน การอนุรักษพ์ ลงั งาน
รายละเอยี ดและวธิ ีปฏิบตั ิต่าง ๆ ในขอ้ ถึงขอ้ จะประกาศออกเป็ นกฎกระทรวง โดยได้
สรุปสาระสาํ คญั ไวใ้ นหวั ขอ้ เรือง ขนั ตอนการดาํ เนินการอนุรักษพ์ ลงั งานตามกฎหมาย ขนั ตอนทีจะนาํ
คุณไปสู่ความสาํ เร็จในการอนุรักษพ์ ลงั งานและถกู ตอ้ งตามขอ้ กาํ หนดในกฎหมาย
วธิ ีการอนุรักษ์พลงั งานไฟฟ้ า
โดยทวั ไป "เครืองใช้ไฟฟ้ า" ภายในบา้ นมกั มีการใชพ้ ลงั งานสูงแทบทุกชนิด ดงั นนั ผใู้ ชค้ วร
ตอ้ งมีความรู้ และทราบถึงวิธีการใชไ้ ฟฟ้ าอย่างมีประสิทธิภาพ เพือลดค่าไฟฟ้ าภายในบา้ นลง และลด
ปัญหาในเรืองการใชพ้ ลงั งานอยา่ งผดิ วิธีดว้ ย เอกสารนีจะขอกลา่ วถึงเครืองใชไ้ ฟฟ้ าบางชนิดทียงั ไม่ได้
จดั ทาํ เป็นเอกสารเผยแพร่มา ก่อนหนา้ นี

เครืองทาํ นาํ อ่นุ ไฟฟ้ า

248

การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี
1. ควรพิจารณาเลือกเครืองทาํ นาํ อนุ่ ใหเ้ หมาะสมกบั การใชเ้ ป็นหลกั เช่น ตอ้ งการ ใชน้ าํ อุ่น

เพอื อาบนาํ เท่านนั ก็ควรจะติดตงั ชนิดทาํ นาํ อนุ่ ไดจ้ ุดเดียว
2. ควรเลอื กใชฝ้ ักบวั ชนิดประหยดั นาํ (Water Efficient Showerhead) เพราะ สามารถ ประหยดั นาํ

ไดถ้ ึงร้อยละ 25-75
3. ควรเลอื กใชเ้ ครืองทาํ นาํ อนุ่ ทีมถี งั นาํ ภายในตวั เครืองและมีฉนวนหุม้ เพราะ สามารถลดการใช้

พลงั งานไดร้ ้อยละ 10 - 20
4. ควรหลีกเลียงการใชเ้ ครืองทาํ นาํ อุ่นไฟฟ้ าชนิดทีไมม่ ถี งั นาํ ภายในเพราะจะทาํ ใหส้ ิน เปลอื งการ

ใชพ้ ลงั งาน
5. ปิ ดวาลว์ นาํ และสวิตซท์ นั ทีเมอื เลิกใชง้ าน

โทรทัศน์
การเลอื กใช้อย่างถกู วธิ แี ละประหยดั พลงั งาน

1. การเลือกใชโ้ ทรทศั น์ควรคาํ นึงถึงความตอ้ งการใชง้ าน โดยพิจารณาจากขนาดและการใชก้ าํ ลงั ไฟฟ้ า
2. โทรทศั นส์ ีระบบเดียวกนั แต่ขนาดต่างกนั จะใชพ้ ลงั งานต่างกนั ดว้ ย กล่าวคือ โทรทศั น์สีทีมีขนาด
ใหญ่และมีราคาแพงกวา่ จะใชก้ าํ ลงั ไฟมากกว่าโทรทศั น์สี ขนาดเลก็ เช่น

- ระบบทวั ไป ขนาด 16 นิว จะเสียค่าไฟฟ้ ามากกวา่ ขนาด 14 นิว ร้อยละ 5 หรือ
- ขนาด 20 นิว จะเสียค่าไฟฟ้ ามากกว่า ขนาด 14 นิว ร้อยละ 30
- ระบบรีโมทคอนโทรล ขนาด 16 นิว จะเสียค่าไฟฟ้ ามากกวา่ ขนาด 14 นิว ร้อยละ 5
- หรือขนาด 20 นิว จะเสียค่าไฟฟ้ ามากกวา่ ขนาด 14 นิว รอ้ ยละ 34
- โทรทศั น์สีทีมรี ะบบรีโมทคอนโทรลจะใชไ้ ฟฟ้ ามากกว่าโทรทศั นส์ ีระบบทวั ไป ทีมีขนาด
เดียวกนั เช่น
- โทรทศั น์สีขนาด 16 นิว ระบบรีโมทคอนโทรลเสียค่าไฟฟ้ ามากกว่าระบบธรรมดา ร้อยละ 5
- โทรทศั นส์ ีขนาด 20 นิว ระบบรีโมทคอนโทรลเสียค่าไฟฟ้ ามากกว่าระบบธรรมดา ร้อยละ18
3. อยา่ เสียบปลกั ทิงไว้ เพราะโทรทศั นจ์ ะมไี ฟฟ้ าหล่อเลยี งระบบภายในอยตู่ ลอดเวลา นอกจากนนั
อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายในขณะทีฟ้ าแลบได้
4. ปิ ดเมอื ไม่มคี นดู หรือตงั เวลาปิ ดโทรทศั นโ์ ดยอตั โนมตั ิ เพอื ช่วยประหยดั ไฟฟ้ า
5. ไม่ควรเสียบปลกั เครืองเลน่ วดิ ีโอในขณะทียงั ไมต่ อ้ งการใช้ เพราะเครืองเลน่ วดิ ีโอ จะทาํ งานอยู่
ตลอดเวลา จึงทาํ ใหเ้ สียค่าไฟฟ้ าโดยไม่จาํ เป็น
6. พิจารณาเลอื กดูรายการเอาไวล้ ่วงหนา้ ดูเฉพาะรายการทีเลอื กตามช่วงเวลานนั ๆ หากดูรายการ
เดียวกนั ควรเปิ ดโทรทศั นเ์ พียงเครืองเดียว

249
พดั ลม

การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี
พดั ลมตงั โต๊ะจะมีราคาตาํ กว่าพดั ลมตงั พืน และใชพ้ ลงั งานไฟฟ้ าตาํ กว่า ทงั นีเพราะ มีขนาด

มอเตอร์และกาํ ลงั ไฟตาํ กว่า แต่พดั ลมตงั พนื จะใหล้ มมากกว่า ดงั นนั ในการเลอื กใช้ จึงมขี อ้ ทีควรพิจารณา
ดงั นี

1. พิจารณาตามความตอ้ งการและสถานทีทีใช้ เช่น ถา้ ใชเ้ พียงคนเดียวหรือไมเ่ กิน 2 คน
ควรใชพ้ ดั ลมตงั โต๊ะ

2. อยา่ เสียบปลกั ทิงไว้ โดยเฉพาะพดั ลมทีมีระบบรีโมทคอนโทรล เพราะจะมี ไฟฟ้ าไหล
เขา้ ตลอดเวลา เพือหล่อเลียงอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์

3. ควรเลอื กใชค้ วามแรงหรือความเร็วของลมใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการและสถานที
เพราะหากความแรงของลมมากขึนจะใชไ้ ฟฟ้ ามากขนึ

4. เมือไม่ตอ้ งการใชพ้ ดั ลมควรรีบปิด เพือใหม้ อเตอร์ไดม้ กี ารพกั และไม่เสือมสภาพ เร็ว
เกินไป

5. ควรวางพดั ลมในทีมีอากาศถา่ ยเทสะดวก เพราะพดั ลมใชห้ ลกั การดดู อากาศจาก บริเวณ
รอบ ๆ ทางดา้ นหลงั ของตวั ใบพดั แลว้ ปล่อยออกสู่ดา้ นหนา้ เช่น ถา้ อากาศบริเวณรอบ พดั ลมอบั ชืน
กจ็ ะไดใ้ นลกั ษณะลมร้อนและอบั ชืนเช่นกนั นอกจากนีมอเตอร์ยงั ระบายความ ร้อนไดด้ ีขึน
ไม่เสือมสภาพเร็วเกินไป

250
กระตกิ นาํ ร้อนไฟฟ้ า
การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี

1. ควรเลือกซือรุ่นทีมฉี นวนกนั ความร้อนทีมปี ระสิทธิภาพ
2. ใส่นาํ ใหพ้ อเหมาะกบั ความตอ้ งการหรือไมส่ ูงกวา่ ระดบั ทีกาํ หนดไว้ เพราะนอกจากไม่
ประหยดั พลงั งานยงั ก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อกระตกิ
3. ระวงั อยา่ ใหน้ าํ แหง้ หรือปล่อยใหร้ ะดบั นาํ ตาํ กวา่ ขีดกาํ หนด เพราะเมือนาํ แหง้ จะทาํ ใหเ้ กิด
ไฟฟ้ าลดั วงจรในกระติกนาํ ร้อน เป็นอนั ตรายอยา่ งยงิ
4. ถอดปลกั เมอื เลกิ ใชน้ าํ ร้อนแลว้ เพอื ลดการสินเปลืองพลงั งาน ไม่ควรเสียบปลกั ตลอดเวลา
ถา้ ไม่ตอ้ งการใชน้ าํ แลว้ แต่ถา้ หากมคี วามตอ้ งการใชน้ าํ ร้อนเป็นระยะ ๆ ติดต่อกนั เช่น ในสถานที
ทาํ งานบางแห่งทีมนี าํ ร้อนไวส้ าํ หรับเตรียมเครืองดืมตอ้ นรบั แขกกไ็ มค่ วรดึง ปลกั ออกบ่อย ๆ เพราะทุก
ครังเมือดึงปลกั ออกอุณหภมู ขิ องนาํ จะค่อย ๆ ลดลง กระติกนาํ ร้อน ไม่สามารถเก็บความร้อนไดน้ าน
เมอื จะใชง้ านใหม่ก็ตอ้ งเสียบปลกั และเริมทาํ การตม้ นาํ ใหม่ เป็นการสินเปลอื งพลงั งาน
5. ไมค่ วรเสียบปลกั ตลอดเวลา ถา้ ไมต่ อ้ งการใชน้ าํ ร้อนแลว้
6. อยา่ นาํ สิงใดๆ มาปิ ดช่องไอนาํ ออก
7. ตรวจสอบการทาํ งานของอปุ กรณ์ควบคุมอณุ หภมู ใิ หอ้ ยใู่ นสภาพใชง้ านไดเ้ สมอ
8. ไม่ควรตงั ไวใ้ นหอ้ งทีมกี ารปรับอากาศ

เครืองดูดฝ่ ุน
การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี

1. ควรเลอื กขนาดของเครืองตามความจาํ เป็นในการใชง้ าน
. วสั ดุทีเป็นพรมหรือผา้ ซึงฝ่ นุ สามารถเกาะอยา่ งแน่นหนา ควรใชเ้ ครืองทีมีขนาด กาํ ลงั ไฟฟ้ า
มาก (Heavy Duty) ส่วนบา้ นเรือนทีเป็นพืนไมพ้ นื ปนู หรือหินอ่อนทีง่ายต่อการ ทาํ ความสะอาด
เพราะฝ่ นุ ละอองไมเ่ กาะติดแน่น ควรใชเ้ ครืองดูดฝ่ นุ ทีมกี าํ ลงั ไฟฟ้ าตาํ ซึงจะไม่สินเปลอื งการ
ใชไ้ ฟฟ้ า
. ควรหมนั ถอดตวั กรองหรือตะแกรงดกั ฝ่ นุ ออกมาทาํ ความสะอาด เพราะถา้ เกิด
การอดุ ตนั นอกจากจะทาํ ใหล้ ดประสิทธิภาพการดดู ดดู ฝ่ นุ ไมเ่ ต็มที และเพมิ เวลาการดูดฝ่นุ
เป็นการเพมิ ปริมาณการใชไ้ ฟฟ้ าของมอเตอร์ทีตอ้ งทาํ งานหนกั และอาจไหมไ้ ด้
. ควรใชใ้ นหอ้ งทีมีอากาศถา่ ยเทไดด้ ี เพือเป็นการระบายความร้อนของตวั มอเตอร์
. ไม่ควรใชด้ ดู วสั ดุทีมสี ่วนประกอบของนาํ ความชืน และของเหลวต่างๆ รวมทงั สิง ของที
มีคม และของทีกาํ ลงั ติดไฟ เชน่ ใบมีดโกน บุหรี เป็นตน้ เพราะอาจก่อใหเ้ กิดอนั ตราย ต่อส่วนประกอบ
ต่าง ๆ

251

. ควรหมนั ถอดถงุ ผา้ หรือกล่องเก็บฝ่ นุ ออกมาเททิง อยา่ ใหส้ ะสมจนเตม็ เพราะ มอเตอร์ตอ้ ง
ทาํ งานหนกั ขึน อาจทาํ ใหม้ อเตอร์ไหมไ้ ด้ และยงั ทาํ ใหก้ ารใชไ้ ฟฟ้ าสินเปลอื งขึน

. ใชห้ วั ดดู ฝ่ นุ ใหเ้ หมาะกบั ลกั ษณะฝ่ นุ หรือสถานที เช่น หวั ดูดชนิดปากปลาย แหลมจะใชก้ บั
บริเวณทีเป็นซอกเลก็ ๆ หวั ดดู ทีแปรง ใชก้ บั โคมไฟ เพดาน กรอบรูป เป็นตน้ ถา้ ใชผ้ ดิ ประเภท จะทาํ ให้
ประสิทธิภาพการดดู ลดลง สินเปลอื งพลงั งานไฟฟ้ า

. ก่อนดูดฝ่นุ ควรตรวจสอบขอ้ ต่อของท่อดูดหรือชินส่วนต่าง ๆ ใหแ้ น่น
มิฉะนนั อาจเกิดการรวั ของอากาศ ประสิทธิภาพของเครืองจะลดลง และมอเตอร์
อาจทาํ งานหนกั และไหมไ้ ด้

เครืองปรับอากาศ
การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี

1. การเลอื กขนาดเครืองปรับอากาศทีเหมาะสม ขนาดของเครืองปรับอากาศทีใชท้ าํ
ความเยน็ ใหแ้ ก่หอ้ งต่าง ๆ ภายในบา้ น โดยเฉลยี ความสูงของหอ้ ง โดยทวั ไปที 2.5 - 3 เมตร
อาจประมาณคร่าวๆ จากค่าต่อไปนี

- หอ้ งรับแขก หอ้ งอาหาร ประมาณ 15 ตร.ม./ตนั ความเยน็
- หอ้ งนอนทีเพดานหอ้ งเป็นหลงั คา ประมาณ 20 ตร.ม./ตนั ความเยน็
- หอ้ งนอนทีเพดานหอ้ งเป็นพืนของอีกชนั หนึง ประมาณ 23 ตร.ม./ตนั ความเยน็
2. การเลอื กซือเครืองปรับอากาศ
- ควรเลอื กซือเครืองทีมีเครืองหมายการคา้ เป็นทีรู้จกั ทวั ไป เพราะเป็นเครืองทีมี
คุณภาพสามารถเชือถอื ปริมาณความเยน็ และพิจารณาการสินเปลืองพลงั งานไฟฟ้ าของตวั เครืองที
ปรากฏอยใู่ นแคตตาลอ็ คผผู้ ลิตเป็นสาํ คญั
- หากเครืองทีตอ้ งการซือมีขนาดไมเ่ กิน 25,000 บีทีย/ู ชม. ควรเลอื ก
เครืองที ผา่ นการรับรองการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้ าหมายเลข 5 ซึงแสดงวา่ เป็นเครืองทีมี
ประสิทธิภาพสูง ประหยดั พลงั งานไฟฟ้ า โดยมฉี ลากปิดทีตวั เครืองใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ ง
ชดั เจน
- ถา้ ตอ้ งการซือเครืองปรับอากาศทีมขี นาดใหญ่กวา่ 25,000 บีทีย/ู ชม.ใหเ้ ลอื ก เครืองที
มกี ารใชไ้ ฟไม่เกิน 1.40 กิโลวตั ตต์ ่อ 1 ตนั ความเยน็ หรือมคี า่ EER (Energy Efficiency Ratio) ไม่นอ้ ย
กวา่ 8.6 บีทียู ชม./วตั ต์ โดยดจู ากแคตตาลอ็ คผผู้ ลิต

252

3. การใช้งานเครืองปรับอากาศ
การใชง้ านเครืองปรับอากาศอยา่ งถกู ตอ้ ง

ช่วยใหเ้ ครืองทาํ งานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และ
ประหยดั พลงั งานไฟฟ้ า สามารถทาํ โดยวิธีการ
ดงั ต่อไปนี

- ปรับตงั อุณหภมู ขิ องหอ้ งใหเ้ หมาะสม
หอ้ งรับแขก หอ้ งนงั เล่น และหอ้ งอาหาร อาจตงั
อณุ หภมู ไิ ม่ใหต้ าํ กว่า 25 C สาํ หรับหอ้ งนอนนนั อาจตงั อุณหภมู ิสูงกวา่ นีได้ ทงั นี
เพราะร่างกายมนุษยข์ ณะหลบั มไิ ดเ้ คลอื นไหว อีกทงั การคายเหงือก็ลดลง หาก
ปรับอุณหภมู ิ เป็น 26 - 28 C กไ็ มท่ าํ ใหร้ ู้สึกร้อนเกินไป แต่จะช่วยลดการใชไ้ ฟฟ้ า
ไดป้ ระมาณร้อยละ 15 - 20
- ปิ ดเครืองปรับอากาศทุกครังทีเลิกใชง้ าน หากสามารถทราบเวลาทีแน่นอน ควรตงั เวลาการทาํ งาน
ของตวั เครืองไวล้ ว่ งหนา้ เพือใหเ้ ครืองหยดุ เองโดยอตั โนมตั ิ
- อยา่ นาํ สิงของไปกีดขวางทางลมเขา้ และลมออกของคอนเดนซิงยนู ิตจะทาํ ให้
เครืองระบายความร้อนไมอ่ อก และตอ้ งทาํ งานหนกั มากขนึ
- อยา่ นาํ รูปภาพหรือสิงของไปขวางทางลมเขา้ และลมออกของแฟนคอยลย์ นู ิต จะทาํ
ใหห้ อ้ งไมเ่ ยน็
- ควรเปิดหลอดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้ าต่าง ๆ ภายในหอ้ งเฉพาะเท่าทีจาํ เป็นต่อการ
ใชง้ านเท่านนั และปิ ดทุกครังเมือใชง้ านเสร็จ เพราะหลอดไฟและอปุ กรณ์ไฟฟ้ า
บางชนิดขณะ เปิ ดใชง้ าน จะมีความร้อนออกมาทาํ ใหอ้ ณุ หภูมิในหอ้ งสูงขึน
- หลกี เลียงการนาํ เครืองครัว หรือภาชนะทีมผี วิ หนา้ ร้อนจดั เช่น เตา
ไฟฟ้ า กะทะร้อน หมอ้ ตม้ นาํ หมอ้ ตม้ สุกี เขา้ ไปในหอ้ งทีมกี ารปรับอากาศ ควร
ปรุงอาหารในครัว แลว้ จึงนาํ เขา้ มารับประทานภายในหอ้ ง
- ในช่วงเวลาทีไมใ่ ชห้ อ้ งหรือก่อนเปิ ดเครืองปรับอากาศสกั 2 ชวั โมง ควรเปิ ด ประตหู นา้ ต่างทิงไว้
เพอื ใหอ้ ากาศบริสุทธิภายนอกเขา้ ไปแทนทีอากาศเก่าในหอ้ ง จะช่วยลดกลนิ ต่าง ๆ
ใหน้ อ้ ยลงโดยไม่จาํ เป็นตอ้ งเปิ ดพดั ลมระบายอากาศ ซึงจะทาํ ใหเ้ ครืองปรับ อากาศ
ทาํ งานหนกั ขึน
- ควรปิดประตู หนา้ ต่างใหส้ นิทขณะใชง้ านเครืองปรับอากาศ เพือป้ องกนั มิ
ให้ อากาศร้อนจากภายนอกเขา้ มา อนั จะทาํ ใหเ้ ครืองตอ้ งทาํ งานมากขึน
- ไมค่ วรปลกู ตน้ ไม้ หรือตากผา้ ภายในหอ้ งทีมีเครืองปรบั อากาศ เพราะความชืน
จากสิงเหล่านีจะทาํ ใหเ้ ครืองตอ้ งทาํ งานหนกั ขนึ

253

เครืองปรบั อากาศ
การใช้อย่างประหยดั พลงั งานและถูกวธิ ี

- ปิ ดไฟเมอื ไม่ใช้งานเป็นเวลานานกวา่ 15 นาที จะช่วยประหยดั ไฟ โดยไมม่ ผี ล กระทบต่ออายุ
การใชง้ านของอุปกรณ์ เช่น ในช่วงพกั เทียงของสาํ นกั งาน ในหอ้ งเรียน ส่วน ตามบา้ น เช่น ในหอ้ งนาํ
ในครัว เป็นตน้

- เปิ ด - ปิ ดไฟ โดยอตั โนมตั ิ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ตงั เวลาหรือสงั จากระบบควบคุม อตั โนมตั ิ ซึงจะ
ช่วยป้ องกนั การลืมปิ ดไฟหลงั เลิกงานในอาคารสาํ นกั งาน หรือสงั ปิ ดไฟ บริเวณระเบียงทางเดนิ ใน
โรงแรม เป็นตน้

- ใชอ้ ุปกรณ์ตรวจจบั ความเคลือนไหว (Occupancy Sensor) เหมาะกบั หอ้ ง ประชุม หอ้ งเรียน
และหอ้ งทาํ งานส่วนตวั โดยทวั ไปมี 2 ชนิด คือ อนิ ฟราเรด และอลั ตร้า โซ
นิค

ตารางมาตรฐานความสว่าง (มาตรฐาน IES)

ลกั ษณะพืนทใี ชง้ าน ความสวา่ ง (ลกั ซ์)

พืนทที าํ งานทวั ไป 300 - 700

พืนทีส่วนกลาง ทางเดิน 100 - 200

หอ้ งเรียน 300 - 500

ร้านคา้ / ศนู ยก์ ารคา้ 300 - 750

โรงแรม : บริเวณทางเดิน 300

หอ้ งครัว 500

หอ้ งพกั หอ้ งนาํ 100 - 300

โรงพยาบาล : บริเวณทวั ไป 100 - 300

หอ้ งตรวจรักษา 500 - 1,000

บา้ นทีอยอู่ าศยั : หอ้ งนอน 50

หวั เตียง 200

หอ้ งนาํ 100 - 500

หอ้ งนงั เลน่ 100 - 500

บริเวณบนั ได 100

หอ้ งครัว 300 - 500

254

เรืองที แสง

3.7 แสง และคณุ สมบัตขิ องแสง
แสงส่วนใหญ่ทีเราไดร้ ับมาจากดวงอาทิตย์ เป็ นแหล่ง กาํ เนิดแสงทีเกิดขึนเองตามธรรมชาติ

ส่วนแสงจากดวงจนั ทร์ทีเราเห็นในเวลาคาํ คืน เป็ นแสงจากดวงอาทิตยต์ กกระทบผิวดวงจนั ทร์ แลว้
สะทอ้ นมายงั โลก นอกจากแหล่งกาํ เนิดแสงในธรรมชาติแลว้ ยงั มีแหล่งกาํ เนิดแสงทีมนุษยส์ ร้างขึน
เช่น หลอดไฟ ตะเกียง เทียนไข เป็นตน้ แสงมีประโยชน์และเป็นสิงจาํ เป็นต่อสิงมีชีวติ

เมือจุดเทียนไขในหอ้ งมดื เราจะเห็นเปลวเทียนไขสว่าง เนืองจากแสงจากเปลวเทียนไขมาเขา้
ตา ส่วนสิงของอนื ๆ ในหอ้ งทีเราเห็นได้ เป็ นเพราะแสงจากเปลว เทียนไขไปตกกระทบสิงของนัน ๆ
แลว้ สะทอ้ นมาเขา้ ตา แสงทีเคลือนทีมาเขา้ ตาหรือเคลือนทีไปบริเวณใดๆ ก็ตามจะเคลือนทีในแนว
เสน้ ตรง เช่น ถา้ ใหแ้ สงผ่านรู บนกระดาษแข็ง แผ่น ถา้ ช่องของรูบนกระดาษแข็งไม่อย่บู นแนว
เดียวกนั จะมองไม่เห็นเปลวเทียนและหลงั จากปรับแนวช่องทงั สามใหอ้ ย่ใู นแนวเดียวกนั แลว้ สงั เกต
ไดว้ า่ ถา้ ร้อยเชือก และดึงเชือกเป็นเสน้ ตรงเดียวกนั ได้ จะมองเห็นเปลวเทียนไข แสดงว่า "แสงเคลือนที
เป็ นเส้นตรง"เราสามารถเขียนเสน้ ตรงแทนลาํ แสงนีได้ และเรียกเสน้ ตรงนีว่า รังสีของแสง การเขียน
เสน้ ตรงแทนรังสีของแสงนี ใชเ้ ส้นตรงทีมีหวั ลูกศรกาํ กบั เสน้ ตรงนัน โดยเส้นตรงแสดงลาํ แสงเล็กๆ
และหวั ลกู ศรแสดงทิศการเคลือนที กล่าวคือ หวั ลกู ศรชีไปทางใด แสดงว่าแสงเคลอื นทีไปทางนนั
การมองเห็นวตั ถุใด ๆ ต้องมแี สงจากวตั ถุมาเข้าตา ซึงแบ่งได้เป็ น 2 กรณี คอื

1. เมือวตั ถุนนั มแี สงสว่างในตวั เอง จะมแี สงสว่างจากวตั ถเุ ขา้ ตาโดยตรง
2. วตั ถุนนั ไม่มีแสงสว่างในตวั เอง ตอ้ งมีแสงจากแหล่งกาํ เนิดแสงอืนกระทบวตั ถุนัน แลว้
สะทอ้ นเขา้ ตาเมือแสงเคลอื นทีไปกระทบวตั ถุต่างๆ วตั ถุบางชนิดแสงผา่ นไปได้ แต่วตั ถุบางชนิดแสง
ผา่ นไปไม่ได้ เราอาจแบ่งวตั ถุตามปริมาณแสงและลกั ษณะทีแสงผา่ นวตั ถุได้ 3 ประเภท ดงั นี
1. วตั ถุโปร่งใส หมายถึง วตั ถุทีแสงผา่ นไดห้ มดหรือเกือบหมดอยา่ งเป็นระเบียบ เราจึงสามารถ
มองผา่ นวตั ถโุ ปร่งใส และมองเห็นวตั ถุทีอย่อู ีกขา้ งหนึงไดอ้ ยา่ งชดั เจน วตั ถุโปร่งใสมีหลายชนิด เช่น
อากาศ กระจกใส แกว้ ใส่นาํ และแผน่ พลาสติกใส เป็นตน้

255
2. วตั ถุโปร่งแสง หมายถงึ วตั ถทุ ีแสงผา่ นไดอ้ ยา่ งไม่เป็นระเบียบ เมอื เรามองผา่ นวตั ถุ
โปร่งแสง จึงเห็นวตั ถุอีกดา้ นหนึงไม่ชดั เจน เช่น กระดาษชุบนาํ มนั กระจกฝ้ า กระดาษไขหรือ
กระดาษลอกลาย และหมอก เป็นตน้

3. วตั ถุทบึ แสง หมายถึง วตั ถทุ ีแสงผา่ นไปไมไ่ ด้ เช่น ผา้ แผน่ ไม้ แผน่ อะลมู ิเนียม แผ่นสังกะสี
กระดาษหนา เหลก็ และทองแดง เป็นตน้

ดงั ทีไดเ้ รียนมาแลว้ แสง เป็นคลืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ า สามารถเคลือนทีไดโ้ ดยไม่ตอ้ งอาศยั ตวั กลาง
และมกี ารเคลอื นทีแนวเสน้ ตรงในตวั กลางชนิดอืน ๆ จะเคลือนทีผา่ นตวั กลางแต่ละชนิดดว้ ยความเร็ว
ไมเ่ ท่ากนั ตวั กลางใดมีความหนาแน่นมากแสงจะเคลือนทีผา่ นตวั กลางนนั ดว้ ยความเร็วนอ้ ย ถา้ แสง
เคลือนทีผ่านไม่ไดก้ ็เป็ นเพราะวตั ถุมีการดูดกลืน สะท้อนแสง หรือการแทรกสอดของแสง นันคือ
คุณสมบตั ิของแสงทีจะกลา่ วในหน่วยนี

คุณสมบตั ขิ องแสง
คุณสมบัติต่าง ๆ ของแสงแต่ละคุณสมบัตินัน เราสามารถนาํ หลกั การมาใช้ประโยชน์ได้

หลายอยา่ ง เช่น คุณสมบตั ิของการสะทอ้ นแสงของวตั ถุ เรานาํ มาใชใ้ นการออกแบบแผน่ สะทอ้ นแสง
ของโคมไฟ การหักเหของแสงนาํ มาออกแบบแผ่นปิ ดหนา้ โคมไฟ ซึงเป็ นกระจก หรือพลาสติก
เพอื บงั คบั ทิศทางของแสงไฟ ทีออกจากโคมไปในทิศทีตอ้ งการ การกระจายตวั ของลาํ แสงเมือกระทบ
ตวั กลางเรานาํ มาใชป้ ระโยชน์ เช่นใชแ้ ผน่ พลาสติกใสปิ ดดวงโคมเพือลดความจา้ จากหลอดไฟ ต่าง ๆ
การดูดกลนื แสง เรานาํ มาทาํ เตาอบพลงั งานแสงอาทิตยเ์ ครืองตม้ พลงั งานแสง และการแทรกสอดของ
แสง นาํ มาใชป้ ระโยชน์ในกลอ้ งถ่ายรูป เครืองฉายภาพต่าง ๆ จะเห็นว่าคุณสมบตั ิแสงดงั กล่าวก็ได้
นาํ มาใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ของมนุษยเ์ ราทงั นนั

การสะท้อนแสง(Reflection)
การสะทอ้ นแสง หมายถึง การทีแสงไปกระทบกบั ตวั กลางแลว้ สะทอ้ นไปในทิศทางอืนหรือ

สะทอ้ นกลบั มาทิศทางเดิม การสะทอ้ นของแสงนนั ขึนอย่กู บั พืนผิวของวตั ถุดว้ ยว่าเรียบหรือหยาบ
โดยทวั ไปพืนผวิ ทีเรียบและมนั จะทาํ ใหม้ มุ ของแสงทีตกกระทบมีค่าเท่ากบั มุมสะทอ้ นตาํ แหน่งทีแสง
ตกกระทบกบั แสงสะทอ้ นบนพืนผิวจะเป็ นตาํ แหน่งเดียวกนั ดงั รูป ก. ลกั ษณะของวตั ถุดงั กล่าว เช่น
อลมู ิเนียมขดั เงาเหล็กชุบโครเมียม ทอง เงินและกระจกเงาเป็ นตน้ แต่ถา้ หากวตั ถุมีผิวหยาบ แสง
สะทอ้ นกจ็ ะมีลกั ษณะกระจายกนั ดงั รูป ข. เช่น ผนงั ฉาบปูนกระดาษขาว โดยทวั ไปวตั ถุส่วนใหญ่จะ
เป็นแบบผสมขึนอยกู่ บั ผวิ นนั มีความมนั หรือหยาบมากกว่า จะเห็นการสะทอ้ นแสงไดจ้ ากรูป ก. และ
รูป ข.

256

รูป ก.การสะทอ้ นแสงบนวตั ถุผวิ เรียบ รูป ข. การสะทอ้ นแสงผวิ ขรุขระ
กฎการสะท้อนแสง

1. รังสีตกกระทบ เสน้ ปกติและรังสีสะทอ้ นยอ่ มอยบู่ นพืนระนาบเดียวกนั
2. มมุ ในการตกกระทบยอ่ มโตเท่ากบั มุมสะทอ้ น
การหักเหของแสง (Refraction)
การหกั เห หมายถงึ การทีแสงเคลือนทีผา่ นตวั กลางหนึงไปยงั อกี ตวั กลางหนึงทาํ ใหแ้ นวลาํ แสง
เกิดการเบียงเบนไปจากแนวเดิม เช่น แสงผา่ นจากอากาศไปยงั นาํ ดงั แสดงในรูป

รูปแสดงลกั ษณะการเกดิ หกั เหของแสง
สิงทคี วรทราบเกยี วกบั การหักเหของแสง

- ความถขี องแสงยงั คงเท่าเดิม ส่วนความยาวคลนื และความเร็วของแสงจะไม่เท่าเดิม
- ทิศทางการเคลือนทขี องแสงจะอยใู่ นแนวเดิมถา้ แสงตกตงั ฉากกบั ผวิ รอยต่อของตวั กลางจะไม่
อยใู่ นแนวเดิม ถา้ แสงไมต่ กตงั ฉากกบั ผวิ รอยต่อของตวั กลาง
ตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์ของการหกั เหของแสง เช่น แผน่ ปิ ดหนา้ โคมไฟ ซึงเป็นกระจกหรือ
พลาสติก เพือบงั คบั ทิศทางของแสงไฟทีออกจากโคมไปในทิศทางทีตอ้ งการ จะเห็นว่าแสงจาก
หลอดไฟจะกระจายไปยงั ทุกทิศทางรอบหลอดไฟแต่เมอื ผา่ นแผน่ ปิ ดหนา้ โคมไฟแลว้ แสงจะมีทิศทาง
เดียวกนั เช่นไฟหนา้ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ ดงั รูป

257

แสงทีผ่านโคมไฟฟ้ าหน้ารถยนต์มที ศิ ทางเดียวกนั
การกระจายแสง (Diffusion)

การกระจายแสง หมายถงึ แสงขาวซึงประกอบดว้ ยแสงหลายความถีตกกระทบปริซึมแลว้ ทาํ
ใหเ้ กิดการหกั เหของแสง 2 ครัง (ทีผวิ รอยต่อของปริซึม ทงั ขาเขา้ และขาออก) ทาํ ใหแ้ สงสีต่าง ๆ แยก
ออกจากกนั อยา่ งเป็นระเบียบเรียงตามความยาวคลนื และความถี ทีเราเรียกวา่ สเปกตรัม (Spectrum)

รุ้งกนิ นํา เป็ นการกระจายของแสง เกิดจากแสงขาวหักเหผา่ นผิวของละอองนาํ ทาํ ใหแ้ สงสี
ต่างๆ กระจายออกจากกนั แลว้ เกิดการสะทอ้ นกลบั หมดทีผวิ ดา้ นหลงั ของละอองนาํ แลว้ หกั เหออกสู่
อากาศ ทาํ ให้แสงขาวกระจายออกเป็ นแสงสีต่าง ๆ กนั แสงจะกระจายตวั ออกเมือกระทบถกู ผิวของ
ตวั กลาง เราใชป้ ระโยชนจ์ ากการกระจายตวั ของลาํ แสง เมือกระทบตวั กลางนี เช่น ใชแ้ ผ่นพลาสติกใส
ปิ ดดวงโคมเพือลดความจา้ จากหลอดไฟหรือ โคมไฟชนิดปิ ดแบบต่าง ๆ

258

ภาพรุ้งกินนาํ
การทะลผุ ่าน (Transmission)

การทะลุผ่าน หมายถึงการทีแสงพุ่งชนตวั กลางแลว้ ทะลุผา่ นมนั ออกไปอีกดา้ นหนึง โดยที
ความถีไม่เปลยี นแปลงวตั ถทุ ีมีคุณสมบตั ิการทะลุผา่ นได้ เช่น กระจก ผลกึ คริสตลั พลาสติกใส นาํ และ
ของเหลวต่าง ๆ
การดูดกลนื (Absorption)

การดูดกลนื หมายถึง การทีแสงถกู ดูดกลืนหายเขา้ ไปในตวั กลางทวั ไปเมือมีพลงั งานแสงถูก
ดูดกลืนหายเขา้ ไปในวตั ถุใด ๆ เช่น เตาอบพลงั งานแสงอาทิตย์ เครืองตม้ นาํ พลงั งานแสง และยงั นาํ
คุณสมบตั ิของการดดู กลืนแสงมาใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั เช่น การเลอื กสวมใส่เสือผา้ สีขาวจะดูดแสงนอ้ ย
กว่าสีดาํ จะเห็นไดว้ ่าเวลาใส่เสือผา้ สีดาํ อยกู่ ลางแดดจะทาํ ใหร้ ้อนมากกวา่ สีขาว
การแทรกสอด (Interference)

การแทรกสอด หมายถงึ การทีแนวแสงจาํ นวน 2 เสน้ รวมตวั กนั ในทิศทางเดียวกนั หรือหกั ลา้ ง
กนั หากเป็ นการรวมกนั ของแสงทีมีทิศทางเดียวกนั ก็จะทาํ ใหแ้ สงมีความสว่างมากขึน แต่ในทาง
ตรงกนั ขา้ มถา้ หกั ลา้ งกนั แสงกจ็ ะสวา่ งนอ้ ยลด การใชป้ ระโยชน์จากการสอดแทรกของแสง เช่น
กลอ้ งถา่ ยรูป เครืองฉายภาพต่าง ๆ และการลดแสงจากการสะทอ้ น ส่วนในงานการส่องสว่าง จะใชใ้ น
การสะทอ้ นจากแผน่ สะทอ้ นแสง
3.8 เลนส์
การเกดิ ภาพจากกระจกเงาและเลนส์

กระจกเงาราบ คือ กระจกแบนราบ ซึงมีดา้ นหนึงสะทอ้ นแสง ดงั นนั ภาพทีเกิดขนึ จึงเป็น
ภาพเสมอื น อยหู่ ลงั กระจก มีระยะภาพเท่ากบั ระยะวตั ถุ และขนาดภาพเท่ากบั ขนาดวตั ถุ ภาพทีไดจ้ ะ
กลบั ดา้ นกนั จากขวาเป็นซา้ ยของวตั ถุจริง

259

รูปแสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเงาราบ
การหาจาํ นวนภาพทีเกิดจากกระจกเงาราบ 2 บาน วางทาํ มมุ กนั หาไดจ้ ากสูตร
กาํ หนดให้

n = จาํ นวนภาพทีมองเห็น
 = มมุ ทีกระจกเงาราบ 2 บานวางทาํ มุมต่อกนั
ถา้ ผลลพั ธ์ n ทีไดไ้ มล่ งตวั ใหป้ ัดเศษขึนเป็นหนึงได้
ตวั อย่างที 1 กระจกเงาราบ 2 บาน วางนาํ มุม 60 องศาต่อกนั จงหาจาํ นวนภาพทีเกิดขึน
วิธีคิด จากสูตร

=5
= 5 ภาพ
จาํ นวนภาพทีเกดิ จากกระจกเงาราบ 2 บานวางทาํ มมุ ต่อกนั เท่ากบั ภาพ ตอบ
กระจกเงาผวิ โค้งทรงกลม
กระจกเงาผวิ โคง้ ทรงกลม มีอยู่ 2 ชนิด คือ กระจกเวา้ และกระจกนูน
1. กระจกเว้า คือ กระจกทีใชผ้ วิ โคง้ เวา้ เป็นผวิ สะทอ้ นแสง หรือกระจกเงาทีรังสีตกกระทบและ
รังสีสะทอ้ นอยดู่ า้ นเดียวกบั จุดศนู ยก์ ลางความโคง้ ดงั รูป

260

รูปแสดงรังสีตกกระทบและรังสีสะท้อนของกระจกเว้า
2. กระจกนูน คือ กระจกทีใชผ้ วิ โคง้ นูนเป็นผวิ สะทอ้ นแสง และรังสีสะทอ้ นอย่คู นละดา้ นกบั
จุดศนู ยก์ ลางความโคง้ ดงั รูป

รูปแสดงรงั สีตกกระทบและรังสีสะท้อนของกระจกนูน
ภาพทีเกิดจากการวางวตั ถุไวห้ นา้ กระจกโคง้ นนั ตามปกติมีทงั ภาพจริงและภาพเสมือนโดยภาพ
จริงจะอยหู่ นา้ กระจก และภาพเสมอื นจะอยหู่ ลงั กระจก โดยกระจกเวา้ จะใหท้ งั ภาพจริงและภาพเสมอื น
สาํ หรับขนาดของภาพมีทงั ขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุ ขนาดเท่าวตั ถุ และขนาดเลก็ กว่าวตั ถุ ทงั นีขึนอยกู่ บั ระยะ
วตั ถุ ส่วนกระจกนูนจะใหภ้ าพเสมือนทีมีขนาดเลก็ กวา่ วตั ถทุ งั สิน
หมายเหตุ ภาพ (image) เกิดจากการตดั กนั หรือเสมอื นตดั กนั ของรังสีของแสงทีสะทอ้ นมาจากกระจก
หรือหกั เหผา่ นเลนส์ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ
1. ภาพจริง เกิดจากรังสีของแสงตดั กนั จริง เกิดดา้ นหนา้ กระจกหรือดา้ นหลงั เลนส์ ตอ้ งมีฉาก
มารับจึงจะมองเห็นภาพ ลกั ษณะภาพหวั กลบั กบั วตั ถุ มีทงั ขนาดใหญ่กว่าวตั ถุ เท่ากบั วตั ถุ และเลก็ กวา่
วตั ถุ ซึงขนาดภาพจะสมั พนั ธก์ บั ระยะวตั ถุ เช่น ภาพทีปรากฏบนจอภาพยนตร์ เป็นตน้
2. ภาพเสมอื น เกิดจากรังสีของแสงเสมือนตดั กนั ทาํ ใหเ้ กดิ ภาพดา้ นหลงั กระจกหรือดา้ นหนา้
เลนส์ มองเห็นภาพไดโ้ ดยไมต่ อ้ งใชฉ้ ากรับภาพ ภาพมีลกั ษณะหวั ตงั เหมือนวตั ถุ เช่น ภาพเกิดจาก
แว่นขยาย เป็นตน้

261

ตารางแสดงตวั อย่างประโยชน์ของกระจกเว้าและกระจกนูน
กระจกเว้า กระจกนูน

1. ทนั ตแพทยใ์ ชส้ ่องดูฟันผปู้ ่ วย เพอื ใหเ้ ห็นภาพ 1. ใชต้ ิดรถยนตห์ รือรถจกั รยานยนตเ์ พอื ดรู ถที
ของฟันมีขนาดใหญ่กวา่ ปกติ ตามมาขา้ งหลงั และจะมองเห็นมุมทีกวา้ งกวา่
2. ใชใ้ นกลอ้ งจุลทรรศน์เพือช่วยรวมแสงใหต้ กที กระจกเงาราบ
แผน่ สไลด์ เพอื ทาํ ใหเ้ ราเห็นภาพชดั ขึน 2. ใชต้ ิดตงั บริเวณทางเลียวเพอื ช่วยใหเ้ ห็นรถทีวิง
สวนทางหรือออ้ มมาก็ได้

เลนส์
เลนส์ (lens) คือ วตั ถุโปร่งใสทีมผี วิ หนา้ โคง้ ทาํ จากแกว้ หรือพลาสติก เลนสแ์ บ่งออกเป็น 2 ชนิด

ไดแ้ ก่ เลนส์นูนและเลนสเ์ วา้
เลนส์นูน

เลนส์นูน (convex lens) คือ เลนส์ทีมีลกั ษณะหนาตรงกลางและบางทีขอบ ดงั รูป

รูปแสดงลกั ษณะเลนส์นูน

รูปแสดงส่วนสําคญั และรังสีบางรังสีของเลนส์

262
เลนสน์ ูนทาํ หนา้ ทีรวมแสงขนานไปตดั กนั ทีจุด ๆ หนึง ซึงแนวหรือทิศทางของแสงทีเขา้ มายงั
เลนส์สามารถเขียนแทนดว้ ยรังสีของแสง ถา้ แสงมาจากระยะไกลมากเรียกระยะนีว่า " ระยะอนนั ต์"
เช่น แสงจากดวงอาทิตยห์ รือดวงดาวต่างๆ แสงจะส่องมาเป็นรังสีขนาน เมือรังสีของแสงผา่ นเลนส์จะมี
การหกั เหและไปรวมกนั ทีจุด ๆ หนึงเรียกวา่ "จุดโฟกสั (F)" ระยะจากจุดโฟกสั ถงึ กึงกลางเลนส์ เรียกวา่
"ความยาวโฟกสั (f)" และเส้นตรงทีลากผ่านจุดศูนยก์ ลางความโคง้ ของผิวทงั สองของเลนส์เรียกว่า "
แกนมุขสาํ คญั (principal axis)"
ภาพทีเกดิ จากเลนส์นูน
ภาพจากเลนสน์ นู เป็นภาพทีเกิดจากรังสีหกั เหไปพบกนั ทีจดุ ๆ หนึง ซึงมที งั ภาพจริงและ
ภาพเสมือนขึนอยกู่ บั ตาํ แหน่งวตั ถุทีวางหนา้ เลนส์ ดงั รูป

รูปแสดงตวั อย่างภาพจริงและภาพเสมอื นทีเกดิ จากเลนส์นูน

(ก) การเกดิ ภาพเมอื วตั ถุอย่หู ่างเลนส์นูนระยะไกลกว่าความยาวโฟกสั

(ข) การเกดิ ภาพเมอื วตั ถุอย่หู ่างจากเลนส์นูนทรี ะยะใกล้กว่าความยาวโฟกสั
รูปแสดงตวั อย่างการเกดิ ภาพทีตาํ แหน่งต่าง ๆ ของเลนส์นูน

263

เลนส์เว้า
เลนสเ์ วา้ (concave lens) คือ เลนส์ทีมีลกั ษณะบางตรงกลางและหนาทีขอบ ดงั รูป

รูปแสดงลกั ษณะเลนส์เว้าภาพทเี กดิ จากเลนส์เว้า
เมอื แสงส่องผา่ นเลนส์เวา้ รังสีหกั เหของแสงจะกระจายออก ดงั รูป

รูปแสดงภาพทีเกดิ จากเลนส์เว้าเมอื วางวตั ถุทรี ะยะต่าง ๆ
การหาชนดิ และตาํ แหน่งของภาพจากวธิ กี ารคาํ นวณ

การหาตาํ แหน่งภาพทีผา่ นมาใชว้ ธิ ีเขียนแผนภาพของรังสี ยงั มอี ีกวิธีทีใชห้ าตาํ แหน่งภาพคือ วธิ ี
คาํ นวณ ซึงสูตรทีใชใ้ นการคาํ นวณมดี งั ต่อไปนี

สูตร =

264

เมือ m คือ กาํ ลงั ขยายของเลนส์
I คือ ขนาดหรือความสูงของภาพ
O คือ ขนาดหรือความสูงของวตั ถุ

ในการคาํ นวณหาตาํ แหน่งและชนิดของภาพจะตอ้ งมกี ารกาํ หนดเครืองหมาย 1 และ 2 สาํ หรับ
ปริมาณต่างๆ ในสมการ ดงั นี

1. s มเี ครืองหมาย + ถา้ วตั ถอุ ยหู่ นา้ เลนส์ และ s มีเครืองหมาย - ถา้ วตั ถอุ ยหู่ ลงั เลนส์
2. s' มเี ครืองหมาย + ถา้ วตั ถอุ ยหู่ ลงั เลนส์ และ s' มีเครืองหมาย - ถา้ วตั ถอุ ยหู่ นา้ เลนส์
3. f ของเลนส์นูนมเี ครืองหมาย + และ f ของเลนส์เวา้ มเี ครืองหมาย -
ตวั อย่างที 2 วางวตั ถุห่างจากเลนส์นูนเป็นระยะ 12 เซนติเมตร ถา้ เลนส์นูนมคี วามยาวโฟกสั 5
เซนติเมตร จะเกดิ ภาพชนิดใด และทีตาํ แหน่งใด

265

3.9 ประโยชน์ และโทษของแสง
ประโยชน์ของแสง

แสงเป็นพลงั งานรูปหนึงซึงไมต่ อ้ งการทีอยู่ ไม่มีนาํ หนกั แต่สามารถทาํ งานได้ ในแสงอาทิตย์
มีคลืนรังสีหลายชนิดตามทีได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ประโยชน์ทีเราได้รับจากแสงอาทิตย์
มีอยู่ 2 ส่วน คือ ความร้อน และแสงสว่าง ในชีวิตประจาํ วนั เราไดร้ ับประโยชน์จากความร้อน และ
แสงสวา่ งของดวงอาทิตยต์ ลอดเวลา แสงอาทิตยท์ าํ ให้โลกสว่าง เราสามารถทาํ กิจกรรมต่างๆ ไดอ้ ย่าง
สะดวก อาชีพหลายอาชีพตอ้ งใชค้ วามร้อนของแสงอาทิตยโ์ ดยตรง แมต้ อนทีดวงอาทิตยต์ กดิน เราก็ยงั
ไดร้ ับความอบอนุ่ จากแสงอาทิตยท์ ีพนื โลกดูดซบั ไว้ ทาํ ใหเ้ ราไม่หนาวตาย ประโยชน์ของแสงสามารถ
แบ่งไดเ้ ป็น 2 ทาง คือ ประโยชน์ทางตรง และประโยชนท์ างออ้ ม

แสงแดดช่วยทาํ ให้ผ้าทีตากแห้งเร็ว การทํานาเกลอื

1. ประโยชน์จากแสงทางตรง เช่น การทาํ นาเกลือ การทาํ อาหารตากแห้ง การตาก
ผา้ การฆ่าเชือโรคในนําดืม ตอ้ งอาศยั ความร้อนจากแสงอาทิตย์ การแสดงหนังตะลุง และ
ภาพยนตร์ ต้องใชแ้ สงเพือทาํ ให้เกิดเงาบนจอ การมองเห็นก็ถือเป็ นการใชป้ ระโยชน์จากแสง
ทางตรง

2. ประโยชนจ์ ากแสงทางออ้ ม เช่น ทาํ ใหเ้ กิดวฏั จกั รของนาํ (การเกิดฝน) พืชและสตั วท์ ี
เรารับประทาน กไ็ ดร้ ับการถา่ ยทอดพลงั งานมาจากแสงอาทิตย์

โทษของ แสง
1. ถา้ เรามองดแู สงทีมคี วามเขม้ มากเกินไปอาจเกิดอนั ตรายกบั ดวงตาได้
2. เมือแสงทีมีความเข้มสูง โดนผวิ หนังเป็ นเวลานาน ๆ จะทาํ ให้ผิวหนังไหมแ้ ละอาจเป็ น
มะเร็งผวิ หนงั ได้
3. เมือแสงจากดวงอาทิตยส์ ่องลงมาบนโลกมากเกินไป ทาํ ให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็ น
อนั ตรายแก่สิงมีชีวิตได้

266

เรืองที พลังงานความร้อนและแหล่งกาํ เนิด

กจิ กรรมการทดลอง เรือง เมอื แสงผ่านเลนส์

จดุ ประสงค์ เมือจบการทดลองนีแลว้ ผเู้ รียนสามารถ
1. บอกไดว้ ่าเมือแสงผา่ นเลนส์นูน รังสีหกั เหจะเบนเขา้ หากนั
2. บอกไดว้ ่าเมอื แสงผา่ นเลนส์เวา้ รังสีหกั เหจะเบนออกจากกนั
3. บอกไดว้ ่าแวน่ ขยายทาํ หนา้ ทีรวมแสง
4. ใชแ้ วน่ ขยายส่องดูสิงต่าง ๆ ได้

แนวความคดิ หลกั
1. เลนส์นูนมีสมบตั ิรวมแสง
2. เลนส์เวา้ มีสมบตั ิกระจายแสง
3. แว่นขยายมเี ลนส์นนู เป็นส่วนประกอบทีสาํ คญั ทาํ หนา้ ทีรวมแสง และใชส้ ่องดวู ตั ถขุ นาดเลก็
ใหม้ องเห็นภาพขนาดขยายได้

อุปกรณ์การทดลอง

1. กระดาษขาว 2. เลนสน์ ูน
3. เลนสเ์ วา้ 4. กล่องแสง
5. หมอ้ แปลงไฟฟ้ าโวลตต์ าํ 6. สายไฟพร้อมขวั เสียบ
7. แผน่ ช่องแสงทีใหล้ าํ แสง 1 ลาํ 8. แผน่ ช่องแสงทีใหล้ าํ แสง 5 ลาํ
9. แว่นขยาย

267
ขันตอนการทดลอง

1. วางเลนสน์ ูนบนกระดาษขาวซึงอยบู่ นโตะ๊ โดยวางดา้ นราบลงบนกระดาษ แลว้ ลากเสน้ รอบ
เลนส์บนกระดาษ

2. นาํ แผน่ ช่องแสงทีใหล้ าํ แสง 5 ลาํ เสียบทีช่องของกลอ่ งแสง แลว้ ต่อกลอ่ งแสงกบั หมอ้ แปลงไฟ
โวลตต์ าํ ขนาด 12 โวลต์ จากนนั วางกล่องแสงห่างเลนสน์ ูนพอสมควร

3. ใชด้ ินสอจุดบนแนวลาํ แสง แลว้ ขีดเสน้ แสดงแนวรังสีตกกระทบ และรังสีหกั เห
4. ทาํ ซาํ โดยเปลียนมุมของแนวรังสีตกกระทบ เขียนแนวรงั สีตกกระทบ และรังสีหกั เห

5. จดั ลาํ แสง 5 ลาํ จากกลอ่ งแสงใหผ้ า่ นเลนส์นูน สงั เกตแนวลาํ แสงทีผา่ นเลนสน์ ูน เขียนรังสีตก
กระทบ และรังสีหกั เหแทนลาํ แสงทงั สาม

6. ทาํ ซาํ ขอ้ 5 แต่เปลียนเลนสน์ ูนเป็นเลนส์เวา้ และเปลยี นกระดาษขาวเป็นแผน่ ใหม่

7. เปรียบเทียบแนวลาํ แสงทงั หา้ ทีผา่ นเลนสน์ ูนและเลนสเ์ วา้

8. เมือส่องแสงผา่ นเลนส์นูน หรือเลนสเ์ วา้ แลว้ จากนนั ลองทดสอบโดยใชแ้ ว่นขยายรับ
แสงอาทิตยโ์ ดยเริมจากใหแ้ วน่ ขยายอยหู่ ่างพนื 2 เซนติเมตร เพมิ ระยะห่างมากขึนเรือย ๆ สงั เกตความ
สวา่ งบนพืน

268

9. ปรับความสูงของแวน่ ขยายจนไดค้ วามสวา่ งบนพืนสว่างมากทีสุด ทาํ เช่นนีซาํ อีกครัง
แต่เปลยี นเป็นเลนสเ์ วา้

10. ใชแ้ วน่ ขยายส่องดูตวั หนงั สือ ปรับระยะห่างระหว่าง แวน่ ขยายกบั ตวั หนงั สือ สงั เกตการณ์
เปลยี นแปลงของภาพตวั หนงั สือทีมองผา่ นแว่นขยาย

ผลการทดลอง

. จงวาดรูปรงั สีแสงเมือผา่ นเลนสน์ ูนและเลนส์เวา้ เลนส์เว้า
เลนส์นูน

2. เมอื นาํ แว่นขยายไปรับแสงอาทิตย์ จะปรากฏภาพอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

การทดลอง เรืองแยกสีของแสงดวงอาทิตย์

จดุ ประสงค์การทดลอง
เมอื จบการทดลองนีแลว้ ผเู้ รียนสามารถทดลอง และสรุปถึงแสงสีทีประกอบเป็นแสงอาทิตยไ์ ด้

แนวความคดิ หลกั
แสงอาทิตยป์ ระกอบดว้ ยแสงสีต่าง ๆ

269

อปุ กรณ์การทดลอง

1. ปริซึมสามเหลียม
2. ฉากขาว
3. อ่างนาํ
4. กระจกเงา
ขันตอนการทดลอง
1. นาํ ปริซึมสามเหลยี มมารับแสงอาทิตย์ จดั มมุ รับแสงใหเ้ หมาะสมจนเกิดแสงสีต่าง ๆ บนฉาก
สงั เกตแสงทีผา่ นปริซึมออกมา บนั ทึกผล

2. มองผา่ นปริซึมโดยวางปริซึมใหช้ ิดตา และมองดา้ นขา้ งของแท่งปริซึม โดยหนั ไปทางทีสวา่ ง
หา้ มมองไปทีดวงอาทิตย์ บนั ทึกผลสิงทีสงั เกตได้

270
3. เทนาํ ใส่ลงในอา่ งจนเกือบเตม็ แลว้ นาํ กระจกเงาราบจุ่มลงในนาํ ทงั แผน่ โดยกระจกพิงกบั
ขอบอา่ ง

4. นาํ อา่ งนาํ ไปวางรับแสงแดด ขยบั กระจกไปมา เพือใหอ้ ยใู่ นตาํ แหน่งทีเหมาะสม ทีจะให้
แสงอาทิตยต์ กกระทบ แลว้ สะทอ้ นกลบั ขึนมาปรากฏเป็นแถบสีต่างๆ บนแผน่ กระดาษขาวทีรับแสงอยู่
เหนืออา่ ง

ผลการทดลอง สิงทีสงั เกตได้
การทดลอง

1. เมอื นาํ ปริซึมรับแสงจากดวงอาทิตย์

2. เมือมองผา่ นปริซึม

3. เมอื มองทีฉากขาว

271
สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

การทดลองเรือง การเกดิ รุ้งกนิ นาํ

จดุ ประสงค์การทดลอง เมอื จบการทดลองนีแลว้ ผเู้ รียนสามารถ
1. ทดลองและสรุปเกียวกบั การเกิดรุ้งกินนาํ ได้
2. บอกไดว้ า่ เราจะเห็นรุ้งกินนาํ ได้ ตอ้ งหนั หลงั ใหด้ วงอาทิตยเ์ สมอ

แนวความคดิ หลกั
รุ้งกินนาํ เกิดไดเ้ มอื มีแสงอาทิตยผ์ า่ นละอองนาํ จาํ นวนมาก และเกิดก่อนหรือหลงั ฝนตก

อุปกรณ์การทดลอง
กระบอกฉีดนาํ บรรจนุ าํ ประมาณครึงกระบอก

ขันตอนการทดลอง
1. ออกไปกลางแจง้ ยนื หนั หนา้ ใหด้ วงอาทิตย์ แลว้ ฉีดนาํ จากกระบอกนาํ (บรรจุนาํ ประมาณครึงกระบอก)

ใหเ้ ป็นละอองฝอย สงั เกตและบนั ทึกผล

272

2. หลงั จากนนั ยนื หนั หลงั ใหด้ วงอาทิตยแ์ ลว้ ฉีดนาํ สงั เกตละอองนาํ ทีฉีด แลว้ บนั ทกึ ผล

ผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
การทดลอง เรืองการเกดิ เงา
จดุ ประสงค์การทดลอง เมอื จบการทดลองนีแลว้ ผเู้ รียนสามารถ

1. อธิบายการเกิดเงาจากการทดลองได้
2. บอกความสมั พนั ธร์ ะหว่างวตั ถกุ บั เงาจากการทดลองได้
3. นาํ ความรู้เรืองเงาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
แนวความคดิ หลกั
1. เมือมีวตั ถมุ ากนั ทางเดินของแสง แลว้ แสงไมส่ ามารถผา่ นวตั ถุไปอกี ดา้ นหนึง ทาํ ใหเ้ กิดบริเวณมดื
บนฉาก ซึงเรียกวา่ เงา
2. รูปร่างของเงาขึนอยกู่ บั รูปร่างของวตั ถทุ ีทาํ ใหเ้ กิดเงา
3. เงาเปลยี นขนาดและตาํ แหน่งได้
4. ถา้ เงามแี สงตกกระทบบา้ งเรียกวา่ เงามวั

273

5. ถา้ เงาไม่มีแสงตกกระทบเลยเรียกว่า เงามืด
อุปกรณ์การทดลอง

. วตั ถรุ ูปทรงต่างๆ (พลาสติกทรงสีเหลยี ม, กระจกฝ้ า, ดินนาํ มนั , แท่งพลาสติก, ถา่ นไฟฉาย, ลกู บอล)
. ฉากรับแสง
. กล่องแสง
. หมอ้ แปลงไฟฟ้ าโวลตต์ าํ
. สายไฟพร้อมขวั เสียบทงั 2 ปลาย
ขันตอนการทดลอง
. วางกล่องแสงและฉากบนโตะ๊ ใหห้ ่างกนั ประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร ดงั รูป เมอื กล่องแสงทาํ งาน
สงั เกตความสวา่ งบนฉาก
2. นาํ ลกู บอลมาวางระหวา่ งกล่องแสงกบั ฉาก โดยใหอ้ ยใู่ นแนวเดียวกบั หลอดไฟในกลอ่ งแสงและฉาก
สงั เกตความสว่างบนฉาก

3. ค่อย ๆ เลอื นลกู บอลจากกล่องแสงเขา้ หาฉาก สงั เกตความสว่างบนฉาก
4. จดั ลกู บอลใหห้ ่างจากฉากประมาณ 10 เซนติเมตร แลว้ ค่อยเลือนฉากเขา้ หาลกู บอล

274

สงั เกตความสว่างบนฉาก

5. ทาํ ซาํ ขอ้ 2 ถึงขอ้ 4 แต่เปลียนลกู บอลเป็น
ทรงสีเหลยี มผนื ผา้

ผลการทดลอง
………………………………………………………………………………………………………….………
………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………….
สรุปผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………..…….
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………..…….

275

การทดลอง เรืองตากบั การมองเหน็
จุดประสงค์การทดลอง เมือจบการทดลองนีแลว้ ผเู้ รียนสามารถ

. บอกส่วนประกอบของตาทีเกยี วขอ้ งกบั การมองเห็นได้
. ระบุหนา้ ทีของส่วนประกอบของตาทีเกียวขอ้ งกบั การมองเห็นได้
. สรุปจากการทดลองไดว้ า่ การมองดว้ ยตา 2 ขา้ ง ทาํ ใหก้ ะระยะไดด้ ีกวา่ การมองดว้ ยตาขา้ งเดียว
. บอกความสาํ คญั และวธิ ีระวงั รักษาตาได้

แนวความคดิ หลกั
. ส่วนประกอบทีสาํ คญั ของตาทีเกียวกบั การมองเห็นไดแ้ ก่ กระจกตา มา่ นตา รูม่านตา เรตินา
2. ดวงตามคี วามสาํ คญั ต่อการมองเห็น จึงตอ้ งระวงั รักษา

อุปกรณ์การทดลอง
. ภาพประกอบเรือง ส่วนประกอบของตา
2. ดินสอ 2 แท่ง

ขันตอนการทดลอง
. จบั คู่ เพอื สงั เกตนยั น์ตาของเพอื น
. จากนนั เปรียบเทียบกบั ภาพส่วนประกอบของนยั น์ตา
. ครังที 1 ใหผ้ เู้ รียนปิ ดตาซา้ ย แลว้ พยายามเคลือนดนิ สอ 2 แท่ง ทีอยหู่ ่างกนั ประมาณ

เซนติเมตร มาชนกนั โดยพยายามใหป้ ลายดินสอชนกนั บนั ทึกผล

. ครังที 2 ปิ ดตาขวา และทาํ ซาํ เช่นเดียวกบั ขอ้ ที 3 บนั ทึกผล
. ครังที 3 เปิ ดตาทงั สองขา้ ง และทดลองซาํ เช่นเดียวกบั ขอ้ 3 และขอ้ 4 สงั เกตและบนั ทึกผล

276
ผลการทดลอง
………………………………………………………………………………………………………….………
………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………….

สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………..………
………………………………………………………………………………………………………….……….
…………………………………………………………………………………………………………..………

แบบฝึ กหดั บทที

คาํ ชีแจง ใหน้ กั เรียนเลอื กคาํ ตอบ ก. ข. ค. หรือ ง. ทีถกู ทีสุดเพียงคาํ ตอบเดียว
1. พลงั งานในขอ้ ใด จดั เป็น พลงั งานสะอาด
ก. พลงั งานจากถ่านหิน ข. พลงั งานแสงอาทิตย์
ค. พลงั งานจากนาํ มนั เชือเพลงิ ง. พลงั งานชีวภาพ
2. ขอ้ ใด คือ องคป์ ระกอบของแสงอาทิตย์
ก. ความร้อน ข. แสง
ค. ฝ่ นุ ละออง ง. ขอ้ ก. และขอ้ ข. ถกู
3. เซลลส์ ุริยะ ทาํ หนา้ ทีอยา่ งไร
ก. เปลียนพลงั งานไฟฟ้ า เป็นพลงั งานกล ข. เปลียนพลงั งานแสงอาทิตย์ เป็นพลงั งานกล

ค. เปลียนพลงั งานแสงอาทิตย์ เป็นพลงั งานไฟฟ้ า ง. เปลียนพลงั งานกล เป็นพลงั งานไฟฟ้ า
4. อาชีพใด ใชป้ ระโยชน์จากแสงโดยตรง
ก. ทาํ นาเกลือ ข. คา้ ขาย
ค. ทาํ ประมง ง. เลยี งสตั ว์
5. ถา้ หอ้ งเรียนมืด นกั เรียนควรทาํ สิงใดเป็นอนั ดบั แรก
ก. เปิ ดไฟฟ้ า ข. เปิ ดประตู หนา้ ต่าง
ค. ก่อไฟ ง. ออกไปเรียนนอกหอ้ ง

277

6. การแสดงในขอ้ ใด เกียวขอ้ งกบั แสงมากทีสุด
ก. ลาํ ตดั ข. ฟ้ อนรํา
ค. เพลงบอก ง. หนงั ตะลุง
7. พชื ใชแ้ สงแดดปรุงอาหาร -> สตั วก์ ินพืช -> มนุษยก์ ินสตั ว์ ขอ้ ความนีแสดงถงึ เรืองใด
ก. กฎธรรมชาติ ข. การแกแ้ คน้
ค. ความสมดุล ง. การถ่ายทอดพลงั งาน
8. ขอ้ ใด ไม่ ควรปฏบิ ตั ิ
ก. เอานิวชีรุ้งกินนาํ ข. เล่นเงาจากตะเกียง หรือหลอดไฟ
ค. จอ้ งมองดวงอาทิตยน์ าน ๆ ง. ทาครีมกนั แดด เมอื ไปเทียวชายทะเล
9. พลงั งานแสง สามารถเปลยี นเป็นพลงั งานรูปใดได้
ก. พลงั งานกล ข. พลงั งานไฟฟ้ า
ค. พลงั งานเสียง ง. พลงั งานลม
10. ขอ้ ใด กล่าวถกู ตอ้ ง
ก. พลงั งานแสงอาทิตย์ ไม่สร้างมลภาวะ ข. ดวงอาทิตยส์ ่งแสงเฉพาะกลางวนั เท่านนั
ค. โลกเป็นดาวดวงเดียว ทีแสงอาทิตยส์ ่องมาถึง ง. แสงอาทิตยฆ์ ่าเชือโรคไม่ได้

เฉลยแบบทดสอบบทที 12 เรืองงานและพลงั งาน
1. ข . ข . ค . ก . ข . ง . ง . ค 9. ข . ก

278

บทที 13
ดวงดาวกบั ชีวติ

สาระสําคญั
กลุ่มดาวจกั รราศีต่าง ๆ การสงั เกตตาํ แหน่งดาวฤกษ์ และหาดาวจากแผนที ตลอดจนการใช้

ประโยชน์จากกลุม่ ดาวฤกษ์

ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั
1. ระบุชือของกลมุ่ ดาวจกั รราศไี ด้
2. อธิบายวิธีการหาดาวเหนือได้
3. อธิบายการใชแ้ ผนทีดาวได้
4. อธิบายประโยชนจ์ ากกลมุ่ ดาวฤกษต์ ่อการดาํ รงชีวติ ประจาํ วนั ได้

ขอบข่ายเนอื หา
เรืองที 1 กลุม่ ดาวจกั รราศี
เรืองที 2 การสงั เกตตาํ แหน่งของดาวฤกษ์
เรืองที 3 วิธีการหาดาวเหนือ
เรืองที 4 แผนทีดาว
เรืองที การใชป้ ระโยชนจ์ ากกลมุ่ ดาวฤกษ์

279

เรืองที 1 กลุ่มดาวจกั รราศี

ความหมายของ ดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ (Star) หมายถึง ดาวซึงมีแสงสวา่ งในตวั เอง ผลติ พลงั งานไดเ้ องโดยการเปลียนมวล

สารส่วนหนึง (m) ณ แกนกลางของดาวใหเ้ ป็นพลงั งาน (E) ตามสมการ E = mc2 ของไอน์สไตน์ เมือ c
เป็นอตั รเร็วของ แสงซึงสูงเกือบ 300,000 กิโลเมตรต่อวนิ าที การเปลียนมวลเป็ นพลงั งานของดาวฤกษ์
เกิดขึนภายใตอ้ ุณหภูมิทีสูงมากเป็ น 15 ลา้ นเคลวิน ในการหลอมไฮโดรเจนเป็ นฮีเลียม จึงเรียกว่า
ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลยี ร์ดาวทีผลิตพลงั งานเช่นนีไดต้ อ้ งมมี วลมากมหาศาล ดาวฤกษจ์ ึงมมี วลสารมาก
เช่นดวงอาทิตยท์ ีมมี วลประมาณ 2,000 ลา้ นลา้ นลา้ นลา้ นตนั ซึงคิดเป็นมวลกว่า 98% ของมวลของวตั ถุใน
ระบบสุริยะ ดาวฤกษด์ วงอืน ๆ อยไู่ กลมาก แมจ้ ะส่องมองดว้ ยกลอ้ งโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ก็มองเห็น
เป็นเพียงจุดแสง ดาวฤกษเ์ พอื นบา้ นของเรามชี ือว่า “แอลฟา เซนทอรี” (Alpha Centauri) เป็นระบบดาว
ฤกษส์ ามดวง โคจรรอบกนั และกนั อยใู่ นกลมุ่ ดาวคนครึงมา้ ดวงทีอยใู่ กลก้ บั ดวงอาทิตยม์ ากทีสุดชือ
“พร๊อกซิมา เซนทอรี” (Proxima Centauri) อยหู่ ่างออกไป ลา้ นลา้ นกิโลเมตร หรือ . ปี แสง ( ปี
แสง = ระยะทางซึงแสงใชเ้ วลาเดินทางนาน ปี หรือ . ลา้ นลา้ นกิโลเมตร) ดาวฤกษบ์ างดวงมีดาว
เคราะห์โคจรลอ้ มรอบ เช่นเดียวกบั ดวงอาทิตยข์ องเรา เราเรียกระบบสุริยะเช่นนีว่า “ระบบสุริยะอืน”
(Extra solar system)
ความสัมพนั ธ์ระหว่างโลก และดวงอาทติ ย์

ดวงอาทติ ย์ (The Sun) เป็นดาวฤกษใ์ กลโ้ ลกทีสุดอย่ตู รงกลางระบบสุริยะ มีดาวเคราะห์เป็ น
บริวารโคจรลอ้ มรอบ อุณหภูมิทีแกนกลางของดวงอาทิตยส์ ูงถึง ลา้ นเควิน สูงพอทีนิวเคลียสของ
ไฮโดรเจน 4 นิวเคลียสจะหลอมรวมกนั เป็ นนิวเคลียสฮีเลียม 1 นิวเคลียส อุณหภูมิพืนผวิ ลดลงเป็ น
, เคลวิน ดวงอาทิตยม์ ขี นาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง . ลา้ นกิโลเมตร (ประมาณ 109 เท่าของโลก)

โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึงในระบบสุริยะและโคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ป็นวงรี โดยมีระยะทาง
เฉลียห่างจากดวงอาทิตย์ 149,597,870 กิโลเมตร และใช้เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 ปี
เมอื สงั เกตจากพนื โลกจะเห็นดวงอาทิตยข์ ึนทางดา้ นทิศตะวนั ออกและตกทางดา้ นทิศตะวนั ตกทุกวนั
ทงั นีเนืองจากโลกมกี ารหมนุ รอบตวั เองรอบละ วนั อยา่ งไรก็ตามหากติดตามเฝ้ าสังเกตการขึน - ตก
ของดวงอาทิตยเ์ ป็นประจาํ จะพบว่า ในรอบ 1 ปี ดวงอาทิตยจ์ ะปรากฏขึน ณ จุดทิศตะวนั ออก และตก
ณ จุดทิศตะวนั ตกพอดี เพียง 2 วนั เท่านนั คือวนั ที 21 มีนาคม และวนั ที 23 กนั ยายน ส่วนวนั อนื ๆ
การขึน - ตกของดวงอาทิตยจ์ ะเฉียงค่อนไปทางทิศเหนือหรือทางทิศใตบ้ า้ ง โดยในวนั ที 21 มิถุนายน
ดวงอาทิตยจ์ ะขึนทางทิศตะวนั ออกค่อนไปทางทิศเหนือมากทีสุดและตกทางทิศตะวนั ตกค่อนไปทาง
ทิศเหนือมากทีสุด และในวนั ที 22 ธนั วาคม ดวงอาทิตยจ์ ะขึนทางทิศตะวนั ออกค่อนไปทางทิศใตม้ าก
ทีสุดและตกทางทิศตะวนั ตกค่อนไปทางทิศใตม้ ากทีสุด ดงั แสดงในภาพที 1

เสน้ ทางขึน - ตกของดวงอาทิตย์ 280
ทีผา่ นทิศตะวนั ออกและตะวนั ตกพอดี เสน้ ทางขึน - ตกของดวงอาทิตย์
(Vernal & Autumnal Equinoxes) Z เหนือสุด (Summer Solstice)

ภาพที 1 ตาํ แหน่งการขึน - ตกของดวงอาทิตยเ์ ปลยี นแปลงไปทุกวนั ในรอบปี
การทีตาํ แหน่งการขึน - ตกของดวงอาทิตยเ์ ปลียนแปลงไปทุกวนั ในรอบปี เนืองจากการทีโลก
โคจรรอบดวงอาทิตยใ์ น 1 ปี นนั เอง โดยเมอื สงั เกตจากโลกจะสงั เกตเห็นดวงอาทิตยเ์ คลอื นยา้ ยตาํ แหน่ง
ไปในทิศทางเดียวกบั ทิศทางทีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ นันคือเคลือนยา้ ยไปทางทิศตะวนั ออก
ตามกลุม่ ดาว 12 กลุ่ม ทีเรียกว่า กลุ่มดาวจกั รราศี (Zodiac) ตามภาพที 2 ไดแ้ ก่ กลุ่มดาว แกะหรือเมษ
(Aries) ววั หรือพฤษภ (Taurus) คนคู่หรือมิถุน (Gemini) ปูหรือกรกฏ (Cancer) สิงโตหรือสิงห์ (Leo)
ผหู้ ญิงสาวหรือกนั ย์ (Virgo) คนั ชงั หรือตุล (Libra) แมงป่ องหรือพฤศจิก (Scorpius) คนยิงธนูหรือธนู
(Sagittarius) แพะทะเลหรือมกร (Capricornus) คนแบกหมอ้ นาํ หรือกุมภ์ (Aquarius) และปลาหรือมีน
(Pisces) ดวงอาทิตยจ์ ะปรากฎยา้ ยตาํ แหน่งไปทางตะวนั ออกผา่ นกล่มุ ดาวเหล่านี ทาํ ใหผ้ สู้ งั เกตเห็นดาว
ต่าง ๆ บนทอ้ งฟ้ าขึนเร็วกว่าวนั ก่อนเป็ นเวลา 4 นาทีทุกวนั ซึงหมายความว่าใน 1 วนั ดวงอาทิตยจ์ ะมี
การเลือนตาํ แหน่งไป 1 องศาหรือรอบละ 1 ปี นนั เอง

ภาพที 2 กลุม่ ดาว 12 กลมุ่ ในจกั รราศีและการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตยท์ าํ ใหผ้ สู้ งั เกต
เห็นดวงอาทิตยย์ า้ ยตาํ แหน่งไปตามกลุ่มดาว จกั รรราศี

281
ทางเดินปรากฏของดวงอาทิตยผ์ า่ นกลุ่มดาวจกั รราศี เรียกว่า “สุริยวิถี (Ecliptic)” ตาํ แหน่งของ
ดวงอาทิตยบ์ นเสน้ สุริยวิถี ณ วนั ที 21 มีนาคม เรียกว่าจุด “วสนั ตวิษุวตั (Vernal Equinox)” ส่วน
ตาํ แหน่ง ณ วนั ที 23 กนั ยายน เรียกว่าจุด “ศารทวิษุวตั (Autumnal Equinox)” เมือดวงอาทิตยอ์ ยู่ ณ
ตาํ แหน่งทงั สองดงั กลา่ วนี ดวงอาทิตยจ์ ะขึนทางทิศตะวนั ออกและตกทางทิศตะวนั ตกพอดี และช่วงเวลา
กลางวนั จะเท่ากบั กลางคืน เสน้ ทางขึน - ตกของดวงอาทิตยใ์ นวนั วิษุวตั เรียกว่า “เสน้ ศูนยส์ ูตรทอ้ งฟ้ า
(Celestial Eguator)”
ตาํ แหน่งของดวงอาทิตยบ์ นเส้นสุริยวิถี ณ วนั ที 21 มิถุนายน เรียกว่าจุด “คริษมายนั (Summer
Solstice)” ตาํ แหน่งดงั กล่าว ดวงอาทิตยจ์ ะขึนและตกค่อนไปทางเหนือมากทีสุดในซีกโลกเหนือ ช่วงเวลา
กลางวนั จะยาวกวา่ กลางคืนและจะเป็นช่วงฤดรู ้อน (Summer) ตาํ แหน่งของดวงอาทิตยบ์ นเสน้ สุริยวิถี
ณ วนั ที 22 ธนั วาคมเรียกว่า จุด “เหมายนั (Winter Solstice)” ตาํ แหน่งดงั กล่าว ดวงอาทิตยจ์ ะขึนและ
ตกค่อนไปทางใตม้ ากทีสุด ในซีกโลกเหนือ ช่วงเวลากลางคืนจะยาวกว่ากลางวนั และจะเป็นช่วงฤดูหนาว
(Winter)
ฤดูกาลเกิดขึนเนืองจากแกนของโลกเอียงทาํ มุม 23.5 องศากบั เสน้ ตงั ฉากของระนาบวงโคจรของ
โลกรอบดวงอาทิตย์ และขณะทีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ณ วนั ที 21 มถิ นุ ายน ซีกโลกเหนือจึงเป็ น
ฤดูร้อนและซีกโลกใตจ้ ึงเป็นฤดูหนาว ในทางกลบั กนั ณ วนั ที 22 ธนั วาคม ซีกโลกใตก้ ลบั เป็ นฤดูร้อน
ในขณะทีซีกโลกเหนือ เป็นฤดูหนาวดงั แสดงในภาพที 3 การเกิดฤดูกาลเป็นผลเนืองมาจากแต่ละส่วนบน
พนื โลกรับพลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตยไ์ ม่เท่ากนั ในรอบปี

ภาพที 3 : แกนของโลกเอียงทาํ มุม 23.5 องศากบั เสน้ ตงั ฉากของระนาบวงโคจรของโลกรอบดวง
อาทิตยจ์ ึงทาํ ใหเ้ กิดฤดกู าลบนพนื โลก
แสงอาทิตยเ์มือส่องมากระทบวตั ถุจะทาํ ให้เกิด “เงา(Shadow)”ถา้ เอาแท่งไมย้ าว ปักตงั ฉากบนพืนราบ

เมือแสงอาทิตยส์ ่องตกกระทบ จะปรากฏเงาของแท่งไมด้ งั กล่าวทอดลงบนพนื และหากสงั เกตเงาเป็ น
เวลานาน จะเห็นเงามีการเปลยี นแปลงทงั ความยาวและทิศทางของเงาทีทอดลงบนพืน

พจิ ารณาภาพที 4 เมือดวงอาทิตยข์ ึนในตอนเชา้ ดา้ นทิศตะวนั ออก เงาของแท่งไมจ้ ะทอดยาว
ไปทางดา้ นทิศตะวนั ตก ขณะทีดวงอาทิตยเ์ คลอื นทีสูงขึนจากขอบฟ้ าเงาของแท่งไมจ้ ะหดสนั ลงและเงา
เริมเบนเขา้ สู่ทิศเหนือ จนเมอื ดวงอาทิตยป์ รากฏอยบู่ นแนวเมริเดียน (ตาํ แหน่งสูงสุดของดวงอาทิตยบ์ น
ทอ้ งฟ้ าในแต่ละวนั ) เงาของแท่งไมจ้ ะปรากฏสนั ทีสุด และชีในแนวทิศเหนือ - ใตพ้ อดี ในช่วงบ่า

282
ดวงอาทิตยเ์ คลือนทีไปทางทิศตะวนั ตก เงาของแท่งไมจ้ ะปรากฏยาวขึนและเริมเบนออกจากทิศเหนือสู่
แนวทิศตะวนั ออก

ก. ข.

ภาพที 4 (ก) การเปลียนแปลงของเงาของแท่งไม้ เมือดวงอาทิตยอ์ ยู่ ณ ตาํ แหน่งต่าง ๆ บนทอ้ งฟ้ า
(ข) เรขาคณิตของการทอดเงาของแท่งไมบ้ นพนื

เนืองจากตาํ แหน่งการขึน - ตกของดาวอาทิตยแ์ ต่ละวนั แตกต่างกนั ไปในรอบปี ดงั นนั การ
ทอดเงาของแท่งไมใ้ นแต่ละวนั จึงไม่ซอ้ นทับแนวเดิม และมีความยาวของการทอดเงาไม่เท่ากัน
อยา่ งไรก็ตาม ช่วงทีดวงอาทิตยอ์ ยบู่ นแนวเมริเคียนในแต่ละวนั เงาของแท่งไมย้ งั คงสนั ทีสุด และทอด
อยใู่ นแนวทิศเหนือ - ใตเ้ สมอ นอกจากนียงั พบว่า มีบางวนั ในรอบปี ทีดวงอาทิตยม์ ีตาํ แหน่งอย่เู หนือ
ศีรษะพอดี เมอื ดวงอาทิตยป์ รากฏอยใู่ นแนวเมริเคียน เช่น ทีจงั หวดั เชียงใหม่ ดวงอาทิตยม์ ีตาํ แหน่ง
เหนือศีรษะพอดี ในวนั ที 15 พฤษภาคม และวนั ที 30 กรกฎาคม ณ เวลาประมาณเทียงวนั และในวนั
และเวลาดงั กล่าวนีวตั ถุจะไมป่ รากฏเงาทอดลงบนพืนเลย ทีกรุงเทพฯ ดวงอาทิตยอ์ ยเู่ หนือศีรษะเวลา
เทียงวนั ของวนั ที 28 เมษายน และ 16 สิงหาคม

การเปลียนแปลงของเงาของแท่งไมใ้ นรอบวนั มีลกั ษณะคลา้ ยการเดินของ “เข็มชวั โมง”
ของนาฬกิ า ซึงเมอื กาํ หนดสเกลทีเหมาะสมของตาํ แหน่งเงา ณ เวลาต่าง ๆ ในรอบวนั เราจะสามารถ
สร้าง “นาฬิกาแดด (Sundial)” อยา่ งง่ายได้

เราอาจหาตาํ แหน่งการขึน - ตกของดาวอาทิตย์ โดยวดั ค่ามุมทิศ (อาชิมุท) เมือมุมเงยของดวงอาทิตย์
เป็น 0 องศา (ขณะทีดวงอาทิตยป์ รากฏอยทู่ ีขอบฟ้ าพอดี ทางดา้ นตะวนั ออกหรือดา้ นตะวนั ตก) ณ วนั - เดือน
ต่าง ๆ ในรอบปี และเนืองจากดวงอาทิตยม์ ีการเคลือนทีไปตาม เส้นสุริยวิถี ถา้ เรามีเครืองมือทีวดั ได้
อยา่ งแม่นยาํ จะวดั ตาํ แหน่งการขึน - ตกของดวงอาทิตย์ ไดต้ ่างกนั ทุกวนั วนั ละประมาณ 15 ลปิ ดา

หลงั จากดวงอาทิตยข์ ึนแลว้ จะเห็นวา่ มุมเงยของดวงอาทิตยจ์ ะเพมิ ขึนเรือยๆ จนมคี ่าสูงสุดแลว้ ค่อยๆ
ลดตาํ ลงมา ส่วนมุมทิศจะเปลียนค่าทุกตาํ แหน่งทีวดั มุมเงย แสดงว่าดวงอาทิตยม์ ีการเปลียนตาํ แหน่ง
ตลอดเวลา ตารางต่อไปนีแสดงค่ามุมทิศ และมุมเงยของดวงอาทิตยใ์ นเดือนต่าง ๆในรอบปี

283

ตารางที 1 มุมทิศ ขณะขึน - ตกและมมุ เงยสูงสุดของดวงอาทิตย์ วดั ทีกรุงเทพมหานคร ณ วนั - เดือน
ต่าง ๆ ในรอบปี

วนั - เดอื น มุมทิศ (องศา) มมุ เงยสูงสุด ฤดกู าล
ขณะขึน ขณะตก (องศา)

21 มนี าคม 90 270 76
27 เมษายน 76 284 90 ฤดูร้อน
20 พฤษภาคม 70 290 84
22 มิถุนายน 67 293 81

20 กรกฎาคม 69 291 83 ฤดูฝน
16 สิงหาคม 76 284 90
23 กนั ยายน 90 270 76
20 ตุลาคม 100 260 66

20 พฤศจิกายน 110 250 56
22 ธนั วาคม 113 247 52 ฤดหู นาว
20 มกราคม 110 250 56
20 กมุ ภาพนั ธ์ 101 259 67

จากข้อมูลในตารางที 1 จึงเขียนแบบจาํ ลองทรงกลมท้องฟ้ า พร้อมกาํ หนดทิศเหนือ - ใต้
ตะวนั ออก - ตะวนั ตก แลว้ เขียนทางเดินของดวงอาทิตย์ จากค่ามุมอาซิมุท ขณะขึน - ตกและมุมเงย
สูงสุดของดวงอาทิตยใ์ นแต่ละวนั
เหนือศรี ษะ

มุมเงย ตะวนั ตก
ใต้
เหนือ

ตะวนั ออก มมุ ทิศ

ใตเ้ ทา้
ภาพที 5 แบบจาํ ลองทรงกลมทอ้ งฟ้ าทีมเี สน้ ขอบฟ้ าเป็นเสน้ แบ่งครึงทรงกลม บอกตาํ แหน่งดาว

เทียบกบั ขอบฟ้ าเป็น มมุ ทิศ,มุมเงย

284
กล่มุ ดาวและฤดูกาล

มนุษยใ์ นยุคโบราณสามารถสงั เกตตาํ แหน่งการขึน - ตกของดวงอาทิตยแ์ ละการปรากฏของ
กลุ่มดาว สัมพนั ธ์กบั การเปลียนแปลงของฤดูกาล ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถดาํ รงชีวิตอย่ไู ดเ้ ป็ นปกติสุข
โดยการสังเกตดวงอาทิตยแ์ ละกลุ่มดาวทีปรากฏบนทอ้ งฟ้ าหลงั ดวงอาทิตยต์ ก มนุษยส์ ามารถรู้ว่า
เมอื ใดควรเริมเพาะปลกู เมือใดควรเริมเก็บเกียว เมอื ใดควรสะสมอาหารแหง้ เตรียมไวเ้ พอื บริโภค
ในฤดูหนาว มนุษยเ์ ริมรู้จักใช้วตั ถุทอ้ งฟ้ าเป็ นสิงกาํ หนดเวลาได้ โดยเฉพาะอย่างยิงเมือมนุษยเ์ ริม
เปลียนสภาพการดาํ รงชีวิตแบบป่ าเถอื นมาอยใู่ นระดบั ทีเจริญขึน ซึงการดาํ รงชีวิตเน้นทางดา้ นกสิกร
รมหรือเกษตรกรรม มนุษยต์ อ้ งมีความเขา้ ใจอย่างลึกซึงต่อความเปลียนแปลงอยา่ งเป็ นจงั หวะของ
ธรรมชาติเหลา่ นนั มากขึน

เราอาจทาํ การสังเกตการณ์ หรือทาํ การทดลอง เพือศึกษาการขึน - ตกและตาํ แหน่งของดาว
อาทิตยแ์ ละการปรากฏของกลุ่มดาว ณ วนั ใด ๆ ในรอบปี ได้ เมือโลกโคจรรอบดวงอาทิตยค์ รบ 1
รอบ คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตยเ์ คลือนทีปรากฏผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ในจกั รราศี ทงั 12 กลุ่มดัง
ไดก้ ล่าวมาแลว้ ซึงโดยเฉลยี ดวงอาทิตยจ์ ะใชเ้ วลาประมาณ 1 เดือนปรากฏเคลือนทีในกลุ่มดาวแต่ละ
ราศี

ภาพที 6 กลมุ่ ดาวจกั รราศี 12 กลุ่มและตาํ แหน่งโลกขณะทดี วงอาทิตยป์ รากฏผา่ นกล่มุ ดาวเหลา่ นี
ราศีมีชือเกียวกับกลุ่มดาวทีดวงอาทิตยป์ รากฏผา่ นเช่นในยุคปัจจุบนั ดวงอาทิตยป์ รากฏผ่าน

กลุ่มดาวมีนหรือกลุ่มดาวปลา ระหว่างวนั ที 21 มีนาคม - 20 เมษายน เดือนมีนาคมซึงแปลว่า มาถึง
(อาคม) กลมุ่ ดาวปลา (มนี ) แลว้ จึงเป็นช่วงเวลาทีดวงอาทิตยอ์ ยใู่ นกลมุ่ ดาวปลา เป็นตน้ นนั คือคนไทยตงั
ชือเดือนตามกลมุ่ ดาวจกั รราศี

285

ภาพที 7 กลุม่ ดาวฤกษใ์ นจกั รราศีและตาํ แหน่งปรากฏของดวงอาทิตยใ์ นกล่มุ ดาวเมอื มองจากโลก
ตาํ แหน่งปรากฏของดวงอาทิตยใ์ นกลุ่มดาวในจกั รราศี จะสอดคลอ้ งกบั ชือเดือนทงั 12 เดือน

ทีคนไทยไดก้ าํ หนดขึนตงั แต่รัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระปิ ยะมหาราช
เช่นดวงอาทิตยป์ รากฏอย่ใู นกลุ่มดาวราศีตุลในช่วงราวเดือนตุลาคม และในช่วงเดือนดังกล่าวนี
กลุ่มดาวจักรราศีทีปรากฏบนทอ้ งฟ้ าหลงั ดวงอาทิตยต์ กลบั ขอบฟ้ าในตอนหัวคาํ ก็จะเป็ นกลุ่มดาว
แมงป่ อง คนยงิ ธนู แพะทะเล คนแบกหมอ้ นาํ ปลา และแกะ ตามลาํ ดบั จากทิศตะวนั ตกต่อเนืองไปทาง
ทิศตะวนั ออก ดงั นนั ตาํ แหน่งการขึน - ตกของดวงอาทิตยใ์ นรอบปี ฤดูกาลและกลุ่มดาวทีปรากฏบน
ทอ้ งฟ้ าจึงมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ิด

เรืองที 2 การสังเกตตาํ แหน่งของดาวฤกษ์

คนในสมยั โบราณเชือว่า ดวงดาวทงั หมดบนทอ้ งฟ้ าอย่หู ่างจากโลกเป็ นระยะทางเท่า ๆ กนั
โดยดวงดาวเหล่านันถูกตรึงอย่บู นผิวของทรงกลมขนาดใหญ่เรียกว่า “ทรงกลมทอ้ งฟ้ า (Celestial
sphere)” โดยมีโลกอยทู่ ีศนู ยก์ ลางของทรงกลม ทรงกลมทอ้ งฟ้ าหมุนรอบโลกจากทิศตะวนั ออกไปยงั
ทิศตะวนั ตก โดยทีโลกหยดุ นิงอยกู่ บั ที ไม่เคลอื นไหว

นกั ปราชญใ์ นยคุ ต่อมาทาํ การศกึ ษาดาราศาสตร์กนั มากขึน จึงพบว่า ดวงดาวบนทอ้ งฟ้ าอย่หู ่าง
จากโลกเป็นระยะทางทีแตกต่างกนั กลางวนั และกลางคืนเกิดจากการหมนุ รอบตวั เองของโลก มิใช่การ
หมุนของทรงกลมทอ้ งฟ้ า ดงั ทีเคยเชือกนั ในอดีต อยา่ งไรก็ตามในปัจจุบนั นกั ดาราศาสตร์ยงั คงใชท้ รง
กลมทอ้ งฟ้ า เป็นเครืองมอื ในการระบุตาํ แหน่งทางดาราศาสตร์ ทงั นีเป็ นเพราะ หากเราจินตนาการให้
โลกเป็ นศูนยก์ ลาง โดยมีทรงกลมท้องฟ้ าเคลือนทีหมุนรอบ จะทาํ ให้ง่ายต่อการระบุพิกดั หรื อ
เปรียบเทียบตาํ แหน่งของวตั ถุบนทอ้ งฟ้ า และสงั เกตการเคลือนทีของวตั ถเุ หล่านนั ไดง้ ่ายขึน

ภาพที 8 ทรงกลมทอ้ งฟ้ า 286

จนิ ตนาการจากอวกาศ
 หากต่อแกนหมุนของโลกออกไปบนทอ้ งฟ้ าทงั สองดา้ น
เราจะไดจ้ ุดสมมติเรียกว่า “ขวั ฟ้ าเหนือ (North celestial
pole)” และ “ขวั ฟ้ าใต้ (South celestial pole)” โดยขวั ฟ้ า
ทงั สองจะมแี กนเดียวกนั กบั แกนการหมุนรอบตวั เองของ
โลก และขวั ฟ้ าเหนือจะชีไปประมาณตาํ แหน่งของดาว
เหนือ ทาํ ใหเ้ รามองเห็นวา่ ดาวเหนือไม่มกี ารเคลือนที
 หากขยายเสน้ ศนู ยส์ ูตรโลกออกไปบนทอ้ งฟ้ าโดยรอบ
เราจะไดเ้ สน้ สมมติเรียกว่า “เสน้ ศนู ยส์ ูตรฟ้ า (Celestial
equator)” เสน้ ศนู ยส์ ูตรฟ้ าแบ่งทอ้ งฟ้ าออกเป็น “ซีกฟ้ า
เหนือ (Northern hemisphere)” และ “ซีกฟ้ าใต้ (Southern
hemisphere)” เช่นเดียวกบั ทีเสน้ ศนู ยส์ ูตรโลกแบ่งโลก
ออกเป็นซีกโลกเหนือ และซีกโลกใต้

ภาพที 9 เสน้ สมมติบนทรงกลมทอ้ งฟ้ า จนิ ตนาการจากพนื โลก

 ในความเป็นจริง เราไมส่ ามารถมองเห็นทรงกลมทอ้ งฟ้ าได้
ทงั หมด เนืองจากเราอยบู่ นพนื ผวิ โลก จึงมองเห็นทรงกลม
ทอ้ งฟ้ าไดเ้ พียงครึงเดียว และเรียกแนวทีทอ้ งฟ้ าสมั ผสั กบั พนื
โลกรอบตวั เราว่า “เสน้ ขอบฟ้ า (Horizon)” ซึงเป็นเสมือนเสน้
รอบวงบนพนื ราบ ทีมตี วั เราเป็นจุดศนู ยก์ ลาง

 หากลากเสน้ โยงจากทิศเหนือมายงั ทิศใต้ โดยผา่ นจุดเหนือ
ศีรษะ จะไดเ้ สน้ สมมติซึงเรียกวา่ “เสน้ เมริเดียน (Meridian)”

 หากลากเสน้ เชือมทิศตะวนั ออก - ทิศตะวนั ตก โดยใหร้ ะนาบ
ของเสน้ สมมตินนั ตงั ฉากกบั แกนหมนุ ของโลกตลอดเวลา จะ
ได้ “เสน้ ศนู ยส์ ูตรฟ้ า” ซึงแบ่งทอ้ งฟ้ าออกเป็นซีกฟ้ าเหนือ
และซีกฟ้ าใต้ หากทาํ การสงั เกตการณ์จากประเทศไทย ซึงอยู่
บนซีกโลกเหนือ จะมองเห็นซีกฟ้ าเหนือมอี าณาบริเวณ
มากกว่าซีกฟ้ าใตเ้ สมอ

287

การเคลอื นทขี องทรงกลมท้องฟ้ า
เมือมองจากพืนโลกเราจะเห็นทรงกลมทอ้ งฟ้ าเคลือนทีจากทิศตะวนั ออกไปยงั ทิศตะวนั ตก

อยา่ งไรกต็ ามเนืองจากโลกของเราเป็นทรงกลม ดงั นนั มมุ มองของการเคลอื นทีของทรงกลมทอ้ งฟ้ า
ยอ่ มขึนอยกู่ บั ตาํ แหน่งละติจดู (เสน้ รุ้ง) ของผสู้ งั เกตการณ์ เป็นตน้ ว่า

 ถา้ ผสู้ งั เกตการณ์อยบู่ นเสน้ ศนู ยส์ ูตร หรือละติจดู ° ขวั ฟ้ าเหนือก็จะอยทู่ ีขอบฟ้ าดา้ นทิศ
เหนือพอดี (ภาพที 10)

 ถา้ ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ีละตจิ ดู สูงขึนไป เช่น ละติจูด ° ขวั ฟ้ าเหนือกจ็ ะอยสู่ ูงจากขอบฟ้ า
ทิศเหนือ ° (ภาพที 11)

 ถา้ ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ขี วั โลกเหนือ หรือละตจิ ดู ° ขวั ฟ้ าเหนือก็จะอยสู่ ูงจากขอบฟ้ า °
(ภาพที 12)

เราสามารถสรุปไดว้ ่า ถา้ ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ีละติจดู เท่าใด ขวั ฟ้ าเหนือกจ็ ะอยสู่ ูงจากขอบฟ้ าเท่ากบั
ละติจดู นนั

ภาพที 10 ละติจดู 0 N
ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ีเสน้ ศนู ยส์ ูตร (ละตจิ ูด 0)
ดาวเหนือจะอยบู่ นเสน้ ขอบฟ้ าพอดี
ดาวขนึ - ตก ในแนวในตงั ฉากกบั ขอบฟ้ า

ภาพที 11 ละติจดู  N
ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ี กรุงเทพ ฯ (ละติจดู  N)
ดาวเหนือจะอยสู่ ูงเหนือเสน้ ขอบฟ้ าทิศเหนือ 
ดาวขนึ - ตก ในแนวเฉียงไปทางใต้ 

288
ภาพที 12 ละติจูด 90 N
ผสู้ งั เกตการณ์อยทู่ ีขวั โลกเหนือ (ละติจดู 90N)
ดาวเหนือจะอยสู่ ูงเหนือเสน้ ขอบฟ้ า 90
ดาวเคลอื นทีในแนวขนานกบั พนื โลก

ระยะเชิงมุม
ในการวดั ระยะห่างระหวา่ งดวงดาวบนทรงกลมทอ้ งฟ้ านนั เราไม่สามารถวดั ระยะห่างออกมา

เป็ นหน่วยเมตร หรือกิโลเมตรไดโ้ ดยตรง เพราะระยะระหว่างดาวเป็ นทางโคง้ จึงตอ้ งวดั ออกมาเป็ น
“ระยะเชิงมุม (Angular distance)” ตวั อยา่ งเช่น เราบอกว่า ดาว A อยหู่ ่างจาก ดาว B เป็ นระยะทาง 5
องศา หรือบอกว่าดวงจนั ทร์มีขนาดครึงองศา ซึงเป็นการบอกระยะห่างและขนาดเป็นเชิงมมุ ทงั สิน

ภาพที 13 แสดงการวดั ระยะเชิงมมุ ระหว่าวดาว A กบั ดาว B เท่ากบั มุม
ระหวา่ งเสน้ สองเสน้ ทีลากจากตาไปยงั ดาว A และดาว B

ระยะเชิงมมุ ทีวดั ไดน้ นั เป็นระยะห่างทีปรากฏใหเ้ ห็นเท่านนั ทวา่ ในความเป็นจริง ดาว A และ
ดาว B อาจอยหู่ ่างจากเราไม่เท่ากนั หรืออาจจะอยหู่ ่างจากเราเป็นระยะทีเท่ากนั จริง ๆ ก็ได้ เนืองจากดาว
ทีเราเห็นในทอ้ งฟ้ านนั เราเห็นเพยี ง 2 มิติ ส่วนมิติความลกึ นนั เราไมส่ ามารถสงั เกตได้
การวดั ระยะเชิงมุมอย่างง่าย

ในการวดั ระยะเชิงมุมถ้าตอ้ งการค่าทีละเอียดและมีความแม่นยาํ จะต้องใช้อุปกรณ์ทีมี
ความซบั ซอ้ นมากในการวดั แต่ถา้ ตอ้ งการเพียงค่าโดยประมาณ เราสามารถวดั ระยะเชิงมุมไดโ้ ดยใช้
เพียงมือและนิวของเราเองเท่านัน เช่น ถา้ เรากางมือชูนิวโป้ งและนิวกอ้ ยโดยเหยียดแขนให้สุด
ความกวา้ งของนิวทงั สองเทียบกบั มุมบนทอ้ งฟ้ าจะไดม้ ุมประมาณ 18 องศา ถา้ ดาวสองดวงอยหู่ ่างกนั
ดว้ ยความกวา้ งนีแสดงว่า ดาวทงั สองอยหู่ ่างกนั 18 องศาดว้ ย

289

ภาพที 14 การใชม้ ือวดั มุม
ในคืนทีมดี วงจนั ทร์เตม็ ดวง ใหเ้ ราลองกาํ มอื ชูนิวกอ้ ยและเหยยี ดแขนออกไปให้สุด ทาบนิวกอ้ ย
กับดวงจันทร์ เราจะพบว่านิวก้อยของเราจะบังดวงจันทร์ได้พอดี เราจึงบอกได้ว่าดวงจันทร์
มี “ขนาดเชิงมมุ (Angular Diameter)” เท่ากบั ½ องศา โดยขนาดเชิงมมุ ก็คือ ระยะเชิงมุมทีวดั ระหว่าง
ขอบของดวงจนั ทร์นนั เอง ขนาดเชิงมมุ ของวตั ถุขึนอยกู่ บั ระยะห่างของวตั ถุกบั ผสู้ ังเกต และขนาดเส้น
ผา่ นศนู ยก์ ลางจริงของวตั ถนุ นั

ภาพที 15 ขนาดเชิงมมุ
ยกตวั อยา่ ง: ลองจินตนาการภาพลกู บอลวางอยหู่ ่างจากเรา 1 เมตร ใหเ้ ราลองวดั ขนาดเชิงมุม
ของลกู บอล จากนนั เลือนลกู บอลใหไ้ กลออกไปเป็นระยะทาง 3 เท่า ขนาดเชิงมุมจะลดลงเป็น 1 ใน 3
ของขนาดทีวดั ไดก้ ่อนหนา้ นี
ดงั นนั “ค่าขนาดเชิงมมุ ” คือ อตั ราส่วนของ ขนาดจริง ต่อ ระยะห่างของวตั ถุ
กล่มุ ดาว
แมว้ า่ จะมกี ลมุ่ ดาวบนทอ้ งฟ้ าอยถู่ ึง กลุ่ม แต่ในทางปฏิบตั ิมีกลุ่มดาวจกั รราศี 12 กลุ่ม และ
กลุ่มดาวเด่นอืนอีกประมาณเท่ากันทีเหมาะสมสําหรับการเริมต้น กลุ่มดาวเหล่านีก็มิไดม้ ีให้เห็น
ตลอดเวลาเหตุเพราะโลกหมุนรอบตวั เอง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ กลุ่มดาวสว่างแต่ละกลุ่มจะไม่
ปรากฏใหเ้ ห็นเฉพาะเมือกล่มุ ดาวนนั ขึนและตกพร้อมกบั ดวงอาทิตย์

290

ดาวฤกษ์สว่างรอบกล่มุ ดาวหมใี หญ่

ภาพที 16 ดาวฤกษส์ ว่างรอบกลุ่มดาวหมใี หญ่

ในการเริมตน้ ดูดาวนัน เราตอ้ งจบั จุดจากดาวฤกษท์ ีสว่างเสียก่อน แลว้ จึงค่อยมองหารูปทรง
ของกลุ่มดาว สิงแรกทีต้องทาํ ความเขา้ ใจคือ การเคลือนทีของทอ้ งฟ้ า เราจะตอ้ งหาทิศเหนือใหพ้ บ
แลว้ สงั เกตการเคลอื นทีของกล่มุ ดาว จากซีกฟ้ าตะวนั ออกไปยงั ซีกฟ้ าตะวนั ตก เนืองจากการหมนุ ตวั เอง
ของโลก

“กล่มุ ดาวหมใี หญ่ (Ursa Major)” ประกอบดว้ ยดาวสว่างเจ็ดดวง เรียงตวั เป็นรูปกระบวยขนาด
ใหญ่ ดาวสองดวงแรกชาวยโุ รปเรียกว่า “ดาวชี” (The Pointer) หมายถึง ลูกศรซึงชีเขา้ หา “ดาวเหนือ
(Polaris)” อย่ตู ลอดเวลา โดยดาวเหนือจะอย่หู ่างจากดาวสองดวงแรกนนั นบั เป็ นระยะเชิงมุมหา้ เท่า
ของระยะเชิงมุมระหว่างดาวสองดวงนนั ดาวเหนืออยใู่ นส่วนปลายหางของ ”กลุ่มดาวหมีเลก็ (Ursa
Minor)” ซึงประกอบดว้ ยดาวไม่สว่าง เรียงตวั เป็ นรูปกระบวยเลก็ แมว้ ่าดาวเหนือจะมีความสว่างไม่
มากนกั แต่ในบริเวณขวั ฟ้ าเหนือกไ็ มม่ ดี าวใดสวา่ งไปกว่าดาวเหนือดงั นันดาวเหนือจึงมีความโดดเด่น
พอสมควร

เมือเราทราบตาํ แหน่งของดาวเหนือ เราก็จะทราบทิศทางการหมุนของทรงกลมทอ้ งฟ้ า หากเรา
หนั หนา้ เขา้ หาดาวเหนือ ทางขวามือจะเป็นทิศตะวนั ออก และทางซา้ ยมือจะเป็ นทิศตะวนั ตก กลุ่มดาว
ทงั หลายจะเคลอื นทีจากทางขวามอื ขึนไปสูงสุดทางทิศเหนือและไปตกทางซา้ ยมือ ในขนั ตอนต่อไปเรา
จะตงั หลกั ทีกลุ่มดาวหมใี หญ่ วาดเสน้ โคง้ ตาม “หางหมี” หรือ “ดา้ มกระบวย” ต่อออกไปยงั “ดาวดวง
แกว้ (Arcturus)” หรือทีมีชือเรียกอีกชือหนึงว่า “ดาวยอดมหาจุฬามณี” เป็ นดาวสีส้มสว่างมากใน
“กลมุ่ ดาวคนเลียงสัตว์ (Bootes)” และหากลากเสน้ โคง้ ต่อไปอีกเท่าตวั ก็จะเห็นดาวสว่างสีขาวชือว่า
“ดาวรวงขา้ ว (Spica)” อยใู่ นกลุ่มดาวหญิงสาว (Virgo) หรือราศกี นั ย์ กลมุ่ ดาวนีจะมีดาวสว่างประมาณ
7 ดวงเรียงตวั เป็นรูปตวั Y อยบู่ นเสน้ สุริยวิถี

291
กลบั มาทีกลุ่มดาวหมีใหญ่อีกครัง ดาวดวงที 4 และ 3 ตรงส่วนของกระบวย จะชีไปยงั
“ดาวหวั ใจสิงห์ (Regulus)” ใน “กลมุ่ ดาวสิงโต (Leo)” หรือ สิงห์ พงึ ระลกึ ไวว้ า่ กลมุ่ ดาวจกั รราศีจะอยู่
บนเสน้ สุริยวิถีเสมอ ถา้ เราพบกลุ่มดาวราศีหนึง เราก็สามารถไล่หากลุ่มดาวราศีของเดือนอืนซึงเรียง
ถดั ไปได้ เช่น ในภาพที 16 เราเห็นกลุ่มดาวสิงห์ และกลุ่มดาวกนั ย์ เราก็สามารถประมาณไดว้ ่ากลุม่ ดาว
กรกฏ และตุลจะอยทู่ างไหน
สามเหลยี มฤดูหนาว

ภาพที 17 สามเหลียมฤดูหนาว
ในช่วงของหวั คาํ ของฤดหู นาว จะมกี ลุ่มดาวสวา่ งอยทู่ างทิศตะวนั ออก คือ กลุ่มดาวนายพราน
กลุม่ ดาวสุนัขใหญ่ และกลุ่มดาวสุนขั เล็ก หากลากเสน้ เชือม ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) - ดาวสว่างสี
แดงตรงหวั ไหล่ของนายพรานไปยงั ดาวซิริอุส (Sirius) - ดาวฤกษส์ ว่างทีสุดสีขาว ตรงหวั สุนัขใหญ่
และ ดาวโปรซีออน (Procyon) - ดาวสวา่ งสีขาวตรงหัวสุนขั เล็ก จะไดร้ ูปสามเหลียมดา้ นเท่า เรียกว่า
“สามเหลียมฤดูหนาว (Winter Triangle)” ซึงจะขึนในเวลาหวั คาํ ของฤดูหนาว
กลุ่มดาวนายพรานเป็ นกลุ่มดาวทีเหมาะสมกับการเริ มต้นหัดดูดาวมากทีสุด เนืองจาก
ประกอบดว้ ยดาวสว่างทีมีรูปแบบการเรียงตัว (pattern) ทีโดดเด่นจาํ ง่าย และขึนตอนหัวคาํ ของ
ฤดูหนาว จึงเรี ยกว่าเป็ นกลุ่มดาวหน้าหนาว ซึงมกั มีสภาพอากาศดี ท้องฟ้ าใสไม่มีเมฆปกคลุม
เอกลกั ษณ์ของกลุ่มดาวนายพรานก็คือ ดาวสว่างสามดวงเรียงกนั เป็ นเส้นตรง ซึงเรียกว่า “เข็มขัด
นายพราน (Orion’s belt)” อย่ภู ายในกรอบดาว 4 ดวง ทางทิศใตข้ องเข็มขดั นายพราน มีดาวเล็ก ๆ
สามดวงเรียงกัน คนไทยเราเห็นเป็ นรูป “ด้ามไถ” แต่ชาวยุโรปเรียกว่า “ดาบนายพราน (Orion’s
sword)” ทีตรงกลางของบริเวณดาบนายพรานนี ถา้ นาํ กลอ้ งส่องดูจะพบ “เนบิวลา M42” เป็ นกลุ่มก๊าซ
ในอวกาศ กาํ ลงั รวมตวั เป็ นดาวเกิดใหม่ ซึงอย่ตู รงใจกลางและส่องแสงมากระทบเนบิวลา ทาํ ให้เรา
มองเห็น

292
ดาวสว่างสองดวงทีบริเวณหวั ไหล่ดา้ นทิศตะวนั ออก และหวั เข่าดา้ นทิศตะวนั ตกของกลุ่มดาว
นายพราน มีสีแตกต่างกนั มาก ดาวบีเทลจุส มีสีออกแดง แต่ดาวไรเจล (Rigel) มีสีออกนาํ เงิน สีของ
ดาวบอกถึงอายแุ ละอณุ หภูมผิ วิ ของดาว ดาวสีนาํ เงินเป็นดาวทีมอี ายนุ อ้ ย และมีอุณหภูมิสูง 1 - 2 หมืน
เคลวิน ดาวสีแดงเป็นดาวทีมีอายมุ าก และมีอุณหภูมิตาํ ประมาณ 3,000 เคลวิน ส่วนดวงอาทิตยข์ อง
เรามสี ีเหลอื ง เป็นดาวฤกษซ์ ึงมีอายปุ านกลาง และมอี ณุ หภมู ิทีพนื ผวิ ประมาณ 5,800 เคลวิน
ในกล่มุ ดาวสุนขั ใหญ่ (Canis Major) มดี าวฤกษท์ ีสวา่ งทีสุดบนทอ้ งฟ้ ามีชือวา่ ดาวซิริอสุ
(Sirius) คนไทยเราเรียกวา่ “ดาวโจร” (เนืองจากสว่างจนทาํ ใหโ้ จรมองเห็นทางเขา้ มาปลน้ ) ดาวซิริ
อสุ มิไดม้ ีขนาดใหญ่ แต่ว่าอยหู่ ่างจากโลกเพยี ง . ปี แสง ถา้ เทียบกบั ดาวไรเจลในกลุ่มดาวนายพราน
แลว้ ดาวไรเจลมขี นาดใหญ่และมีความสว่างกวา่ ดาวซิริอสุ นบั พนั เท่า หากแต่ว่าอยหู่ ่างไกลถงึ ปี
แสง เมือมองดจู ากโลก ดาวไรเจลจึงมคี วามสว่างนอ้ ยกว่าดาวซิริอสุ
สามเหลยี มฤดูร้อน

ภาพที 18 สามเหลียมฤดรู ้อน
ในช่วงหวั คาํ ของตน้ ฤดูหนาว จะมีกลมุ่ ดาวสว่างทางดา้ นทิศตะวนั ตก คือ กลุ่มดาวพิณ กลุ่มดาว
หงส์ และกลุ่มดาวนกอินทรี หากลากเส้นเชือม ดาววกี า (Vega) – ดาวสว่างสีขาวในกลุ่มดาวพิณไปยงั
ดาวหางหงส์ (Deneb) - ดาวสวา่ งสีขาวในกล่มุ ดาวหงส์ และ ดาวตานกอนิ ทรี (Altair) - ดาวสวา่ งสีขาว
ในกลุ่มดาว นกอินทรี จะได้รูปสามเหลียมด้านไม่เท่าเรี ยกว่า “สามเหลียมฤดูร้ อน (Summer
Triangle)” ซึงอยู่ในทิศตรงขา้ มกบั สามเหลียมฤดูหนาว ขณะทีสามเหลียมฤดูร้อนกาํ ลงั จะตก
สามเหลยี มฤดหู นาวก็กาํ ลงั จะขึน สามเหลียมฤดูร้อนขึนตอนหวั คาํ ของฤดูร้อนของยโุ รปและอเมริกา
ซึงเป็นช่วงฤดูฝนของประเทศไทย ในคืนทีเป็นขา้ งแรมไร้แสงจนั ทร์รบกวน หากสงั เกตใหด้ ีจะเห็นวา่ มี
แถบฝ้ าสวา่ งคลา้ ยเมฆขาวพาดขา้ มทอ้ งฟ้ า ผา่ นบริเวณกลุ่มดาวนกอินทรี กลุ่มดาวหงส์ ไปยงั กลุ่มดาว
แคสสิโอเปี ย (คา้ งคาว) แถบฝ้ าสว่างทีเห็นนนั แทท้ ีจริงคือ “ทางชา้ งเผอื ก (The Milky Way)”


Click to View FlipBook Version