The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-04 09:38:24

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

นวัตกรรมและเทคโนโลยี

จัดทาโดย
นางสาวดาวประกาย ไกรรตั น์ รหสั 646550028-3

เสนอ
ดร.กฤษฏาพันธ์ พงษ์บริบรู ณ์

รายงานนีเ้ ป็นสว่ นหน่งึ ของวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยี
หลักสตู รประกาศนยี บัตรบัณฑติ วชิ าชพี ครู
วิทยาลัยบณั ฑติ เอเชยี
2565

คาํ นาํ
รายงานฉบับนี้เป็นสว่ นของรายวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยีโดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อให้ทราบถึงความรู้
เบื้องต้นเก่ียวกบั สารสนเทศ และไดศ้ ึกษาอย่างเขา้ ใจเพื่อเป็นประโยชน์กบั การเรยี น
ผู้จดั ทําหวังวา่ รายงานเล่มนีจ้ ะเป็นประโยชนก์ บั ผู้อา่ นหรือนกั เรยี น นักศกึ ษา ที่กาํ ลงั หาข้อมูลเร่ืองน้ีอยู่
หากมีข้อเสนอแนะ หรือข้อผิดพลาดประการใด ผ้จู ดั ทําขอน้อมรับไวแ้ ละขออภัยมา ณ ทนี ี้ดว้ ย

ดาวประกาย ไกรรัตน์
ผู้จัดทํา

สารบัญ เรอ่ื ง

หน้า

นวตั กรรมทางการศึกษา
- ความหมายของ นวตั กรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศึกษา
- .เปาู หมายของเทคโนโลยกี ารศกึ ษา
- แนวคิดพืน้ ฐานของนวตั กรรมทางการศึกษา

นวัตกรรมทางการศกึ ษาตา่ งๆ ท่ีกลา่ วถงึ กนั มากในปจั จุบัน
- E-Learning
- M-Learning

แนวโน้มการเปล่ยี นแปลงท่ีสาํ คญั ทเี่ กิดจากเทคโนโลยี
ปัญหาและอุปสรรคในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา
สภาพปัจจุบนั และปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยกี ารศกึ ษาในประเทศไทย
สารสนเทศ

- ความรทู้ ัว่ ไปเก่ียวกับสารสนเทศ
- ความหมายและความสาํ คัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
- ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ
- สาเหตุทีท่ าํ ใหเ้ กิดสารสนเทศ
ข้อมูล
- ความหมายของคําว่า ข้อมลู
- กรรมวธิ กี ารจดั การขอ้ มลู
- บทบาทความสาํ คัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ลักษณะสําคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
องค์ประกอบสารสเทศที่ใชค้ อมพิวเตอร์
หลกั เกณฑ์การประเมินผลลพั ธ์หรือผลผลติ
อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet)
- อนิ เตอรเ์ น็ตในประเทศไทย
- บรกิ ารบนอนิ เตอรเ์ น็ต
- สือ่ การเรยี นการสอนสมยั ใหม่

- ประโยชน์และคุณคา่ ต่อครูผู้สอน
ตวั อยา่ งส่อื การเรยี นการสอนสมยั ใหม่

- E-Leaning หรือบทเรยี นออนไลน์
- E-Book หรือหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
ข้อสอบท้ายบท
บรรณานุกรม

ความหมายของนวตั กรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา

“นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็น
การพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มอี ยูแ่ ล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนํา นวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้
การทาํ งานนัน้ ได้ผลดมี ีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสงู กว่าเดมิ ทง้ั ยังชว่ ย ประหยดั เวลาและแรงงานได้ด้วย”

“นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทําส่ิงใหม่ขึ้นมา
ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนําแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากส่ิงที่มีอยู่
แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทําให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทําในสิ่งท่ีแตกต่างจากคนอ่ืน
โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดข้ึนรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และ
ถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ท่ีทําให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาข้ึนมา
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph
Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปท่ีการสร้างสรรค์ การ
วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนําไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
(Technological Innovation) เพ่ือประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถใน
การเรียนรู้และนาํ ไปปฎิบัติให้เกดิ ผลไดจ้ ริงอกี ดว้ ย (พันธุอ์ าจ ชัยรตั น์ , Xaap.com)

คําว่า “นวัตกรรม” เป็นคําท่ีค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คํานี้ เป็นศัพท์บัญญัติของ
คณะกรรมการพจิ ารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจาก
คาํ กริยาวา่ innovate แปลว่า ทําใหม่ เปล่ียนแปลงให้เกิดส่ิงใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คําว่า “นวกรรม” ต่อมา
พบว่าคาํ น้มี คี วามหมายคลาดเคล่ือน จึงเปลี่ยนมาใช้คําว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กํา) หมายถึงการนํา
ส่ิงใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทําอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดีย่ิงขึ้น ดังน้ันไม่ว่าวงการหรือ
กิจการใด ๆ ก็ตาม เมอ่ื มกี ารนาํ เอาความเปล่ียนแปลงใหมๆ่ เข้ามาใช้เพือ่ ปรบั ปรงุ งานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้
ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานําเอามาใช้ ก็เรียกว่ า “นวัตกรรมการศึกษา”
(Educational Innovation) สําหรับผู้ท่ีกระทํา หรือนําความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น
“นวตั กร” (Innovator)

ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนําวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติ
หลังจากไดผ้ า่ นการทดลองหรือได้รับการพฒั นามาเปน็ ข้ัน ๆ แลว้ เร่ิมตงั้ แตก่ ารคิดค้น (Invention) การพัฒนา
(Development) ซง่ึ อาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนําไปปฏิบัติ
จริง ซึง่ มีความแตกตา่ งไปจากการปฏบิ ตั เิ ดมิ ทเ่ี คยปฏิบตั ิมา

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทําให้ใหม่ขึ้นอีกคร้ัง(Renewal) ซึ่งหมายถึง
การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่
การขจัดหรือลม้ ลา้ งส่งิ เก่าใหห้ มดไป แตเ่ ปน็ การ ปรบั ปรงุ เสริมแตง่ และพฒั นา

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ไดใ้ ห้ความหมาย “นวัตกรรม” ไวว้ า่ หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ท่ีแปลกไป
จากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและส่ิง
ทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นท่ีเชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติ ทําให้ระบบก้าวไปสู่
จดุ หมายปลายทางไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพขึ้น

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษเอง
ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสําเร็จหรือไม่
มากน้อยเพยี งใดกต็ ามท่เี ป็นไปเพือ่ จะนําส่ิงใหม่ ๆ เขา้ มาเปลี่ยนแปลงวิธีการท่ีทําอยู่เดิมแล้ว กับอีกระดับหนึ่ง
ซง่ึ วงการวิทยาศาสตร์แหง่ พฤตกิ รรม ได้พยายามศึกษาถึงท่ีมา ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบท่ีมีอยู่ต่อกลุ่ม
คนท่ีเกี่ยวข้อง คําว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง ส่ิงท่ีได้นําความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสําเร็จและแผ่
กวา้ งออกไป จนกลายเปน็ การปฏิบัตอิ ย่างธรรมดาสามญั (บญุ เก้อื ควรหาเวช , 2543)

นวตั กรรม แบ่งออกเปน็ 3 ระยะ คอื

ระยะที่ 1 มีการประดษิ ฐ์คดิ คน้ (Innovation) หรอื เป็นการปรุงแตง่ ของเก่าใหเ้ หมาะสมกับกาลสมัย

ระยะท่ี 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทาอยู่ในลักษณะของโครงการ
ทดลองปฏบิ ตั กิ อ่ น (Pilot Project)

ระยะที่ 3 การนาเอาไปปฏิบตั ใิ นสถานการณท์ วั่ ไป ซ่ึงจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์

1.ความหมายของนวัตกรรมการศกึ ษา

“นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้
การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมี
ประสทิ ธผิ ลสูงกว่าเดมิ เกดิ แรงจูงใจในการเรยี นด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้
อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซ่ึงมีท้ังนวัตกรรมที่ใช้กันอย่าง
แพร่หลายแล้ว และประเภทที่กาลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนท่ีใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ (
Hypermedia ) และอินเทอรเ์ นต็ [Internet] เหล่านี้ เปน็ ตน้ (วารสารออนไลน์ บรรณปญั ญา.htm)

“นวตั กรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนาเอาสิ่งใหม่ซ่ึงอาจจะ
อยู่ในรปู ของความคดิ หรือการกระทา รวมท้งั ส่ิงประดษิ ฐก์ ต็ ามเขา้ มาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะ
เปล่ียนแปลงส่ิงท่ีมีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น ทาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการ
เรยี นรู้ได้อยา่ งรวดเรว็ เกดิ แรงจงู ใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และ
อนิ เตอรเ์ นต็ เหล่าน้ีเป็นตน้

2.ความหมายของเทคโนโลยี

ความเจริญในด้านต่างๆ ท่ีปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลอง
ประดษิ ฐค์ ดิ ค้นส่ิงต่างๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เม่ือศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นา
ออกเผยแพร่ใช้ในกิจการด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพใน
กิจการต่างๆ เหล่าน้ัน และวิชาการท่ีว่าด้วยการนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึง
เรยี กกนั ว่า “วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์” หรอื นิยมเรยี กกนั ทั่วไปว่า “เทคโนโลยี” (boonpan edt01.htm)

เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เคร่ืองมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ท่ีนาเอา
เทคโนโลยีมาใช้ เรียกว่านักเทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)

เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี
(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนําวิธีการ มาปรับปรุง
ประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ
อปุ กรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)

สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คําจํากัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการ
พัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนํามาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้าง
เสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนใหด้ ยี ิง่ ขึ้น (boonpan edt01.htm)

ดร.เปร่ือง กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้ส่ือการ
สอน ให้กวา้ งขวางข้ึนท้ังในดา้ นบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการเรียนการสอน
(boonpan edt01.htm)

Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เคร่ืองมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทํางานอย่างเป็น
ระบบ ใหบ้ รรลุผลตามแผนการ (boonpan edt01.htm)

นอกจากน้ีเทคโนโลยีทางการศกึ ษา เปน็ การขยายแนวคิดเก่ยี วกบั โสตทศั นศึกษา ให้กว้างขวางย่ิงข้ึน
ท้งั น้ี เนอ่ื งจากโสตทศั นศกึ ษาหมายถงึ การศึกษาเก่ียวกับการใช้ตาดหู ฟู ัง ดงั น้นั อุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการ
ใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คําว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยีทางการศึกษา มี
ความหมายทีก่ วา้ งกวา่ ซ่ึงอาจจะพิจารณาจาก ความคดิ รวบยอดของเทคโนโลยีไดเ้ ปน็ 2 ประการ คือ

1.ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดน้ี เทคโนโลยีทางการศึกษา
หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เคร่ืองฉายภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ
มาใช้สําหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เคร่ืองมือเหล่าน้ี มักคํานึงถึงเฉพาะการควบคุมให้
เครอื่ งทาํ งาน มักไมค่ ํานงึ ถงึ จิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกส่ือ
ให้ตรงกับเนื้อหาวิชา ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามความคิดรวบยอดน้ี ทําให้บทบาทของ
เทคโนโลยีทางการศกึ ษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์เท่าน้ัน ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น
ๆ เข้าไปด้วย ซงึ่ ตามความหมายน้ีกค็ อื “โสตทศั นศึกษา” น่นั เอง

2.ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนําวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา
กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เคร่ืองยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิ ตกรรม
ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวศิ วกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนมิใช่เพียง
การใช้เครื่องมืออุปกรณ์เท่าน้ัน แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียง
อยา่ งเดยี ว (boonpan edt01.htm)

3.เปาู หมายของเทคโนโลยกี ารศึกษา
1. การขยายพสิ ยั ของทรัพยากรของการเรยี นรู้ กลา่ วคอื แหลง่ ทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้หมายถึงแต่เพียงตํารา
ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนมี
โอกาสเรยี นจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนร้คู รอบคลุมถงึ เร่อื งตา่ งๆ เชน่
1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สําคัญซ่ึงได้แก่ ครู และวิทยากรอ่ืน ซ่ึงอยู่นอกโรงเรียน เช่น
เกษตรกร ตํารวจ บรุ ุษไปรษณยี ์ เปน็ ตน้

1.2 วสั ดุและเครือ่ งมือ ได้แก่ โสตทศั นวัสดอุ ปุ กรณต์ ่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เคร่ืองวิดีโอเทป ของ
จรงิ ของจาํ ลองสงิ่ พิมพ์ รวมไปถงึ การใชส้ ่อื มวลชนตา่ งๆ

1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมน้ันการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเน้ือหา แก่ผู้เรียนปัจจุบันนั้น
เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองได้มากทสี่ ดุ ครูเป็นเพยี ง ผวู้ างแผนแนะแนวทางเท่าน้ัน

1.4 สถานท่ี อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ท่ีทําการรัฐบาล ภูเขา แม่น้ํา
ทะเล หรือสถานทีใ่ ด ๆ ท่ีช่วยเพ่ิมประสบการณ์ที่ดแี ก่ผเู้ รียนได้

2.การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นช้ัน และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัดการศึกษา
ตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนําเอาระบบการเรียน
แบบตัวตอ่ ตวั มาใช้ แต่แทนทจ่ี ะใช้ครสู อนนักเรียนทีละคน เขากค็ ดิ ‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซึ่งทําหน้าท่ีสอน ซ่ึง
เหมือนกับครมู าสอน นักเรยี นจะเรยี นด้วยตนเอง จากแบบเรยี นด้วยตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่อง
สอนหรอื สือ่ ประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรอื เรว็ กท็ ําได้ตามความสามารถของผูเ้ รยี นแตล่ ะคน

3.การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีกา รที่เป็น
วิทยาศาสตร์ ท่ีเชื่อถือได้วา่ จะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเปูาหมายได้ เน่ืองจากกระบวนการของ
วิธรี ะบบ เปน็ การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบของงานหรือของระบบ อยา่ งมีเหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบ
ทํางาน ประสานสมั พนั ธ์กันอย่างมปี ระสิทธภิ าพ

4.พัฒนาเคร่ืองมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ท่ีใช้ในการศึกษา หรือการเรียนการ
สอนปจั จบุ นั จะต้องมีการพฒั นา ใหม้ ศี ักยภาพ หรือขีดความสามารถในการทํางานให้สูงย่งิ ขนึ้ ไปอกี

4.แนวคดิ พนื้ ฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ปัจจัยสําคัญท่ีมีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพ้ืนฐานทางการศึกษาที่เปล่ียนแปลงไป
อันมผี ลทําให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาท่ีสาํ คัญๆ พอจะสรปุ ได้4 ประการ คือ

1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้
ความสําคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้
มุ่งจดั การศึกษาตามความถนดั ความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน
ได้แก่ การจดั ระบบหอ้ งเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมท่ีเกิดขึ้นเพื่อ
สนองแนวความคิดพนื้ ฐานน้ี เช่น
•การเรยี นแบบไม่แบ่งชน้ั (Non-Graded School)
•แบบเรียนสําเร็จรปู (Programmed Text Book)
•เครือ่ งสอน (Teaching Machine)
•การสอนเปน็ คณะ (TeamTeaching)
•การจัดโรงเรยี นในโรงเรยี น (School within School)
•เครอ่ื งคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

2. ความพรอ้ ม (Readiness) เดิมทเี ดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเร่ิมเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซ่ึงเป็นพัฒนาการตาม
ธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้าง
ขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเช่ือกันว่า
ยาก และไมเ่ หมาะสมสําหรับเด็กเล็กก็สามารถนํามาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมท่ีตอบสนองแนวความคิดพ้ืนฐานนี้
ได้แก่ ศนู ยก์ ารเรยี น การจดั โรงเรียนในโรงเรยี น นวตั กรรมทีส่ นองแนวความคดิ พนื้ ฐานดา้ นน้ี เช่น
•ศนู ยก์ ารเรยี น (Learning Center)
•การจดั โรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
•การปรบั ปรุงการสอนสามชัน้ (Instructional Development in 3 Phases)

3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพ่ือการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัย
ความสะดวกเปน็ เกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวชิ า ทกุ วันนอกจากนั้นกย็ งั จัดเวลาเรียนเอาไว้
แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของ
แต่ละวิชาซ่ึงจะใชเ้ วลาไม่เท่ากนั บางวชิ าอาจใช้ช่วงส้ันๆ แต่สอนบ่อยคร้ัง การเรียนก็ไม่จากัดอยู่แต่เฉพาะ
ในโรงเรยี นเทา่ นัน้ นวัตกรรมท่ีสนองแนวความคดิ พืน้ ฐานด้านน้ี เชน่

•การจดั ตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)

•มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)

•แบบเรยี นสาเรจ็ รปู (Programmed Text Book)

•การเรียนทางไปรษณีย์

4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทําให้มีสิ่งต่างๆ ที่คน
จะต้องเรียนรู้เพิ่มข้ึนมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจําเป็นต้อง
แสวงหาวิธกี ารใหม่ที่มีประสิทธภิ าพสงู ข้นึ ทงั้ ในดา้ นปจั จยั เกย่ี วกับตวั ผเู้ รยี น และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมใน
ดา้ นนีท้ เ่ี กิดข้นึ เชน่

•มหาวทิ ยาลัยเปิด

•การเรยี นทางวิทยุ การเรียนทางโทรทศั น์

•การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรยี นสาํ เรจ็ รปู

•ชดุ การเรยี น

นวตั กรรมทางการศึกษาทีส่ ําคัญของไทยในปจั จบุ นั (2546)

นวตั กรรม เป็นความคิดหรอื การกระทาํ ใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เช่ียวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิดและทํา
สิ่งใหม่อยู่เสมอ ดังน้ันนวัตกรรมจึงเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ สิ่งใดที่คิดและทํามานานแล้ว ก็ถือว่าหมด
ความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีส่ิงใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีส่ิงที่เรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา
หรือนวัตกรรมการเรยี นการสอน อยู่เป็นจํานวนมาก บางอย่างเกิดข้ึนใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว
แต่ก็ยงั คงถอื วา่ เปน็ นวัตกรรม เนอื่ งจากนวัตกรรมเหลา่ นัน้ ยังไมแ่ พรห่ ลายเป็นที่รจู้ ักทว่ั ไปในวงการศกึ ษา

5. นวตั กรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กลา่ วถึงกันมากในปัจจบุ ัน

E-learning

ความหมาย e-Learning เปน็ คําทีใ่ ชเ้ รียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่มีช่ือภาษาไทยท่ีแน่ชัด และมีผู้
นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง ให้คํานิยาม E-Learning หรือ Electronic
Learning ว่า หมายถึง “การเรียนผ่านทางส่ืออิเลคทรอนิกส์ซ่ึงใช้การ นําเสนอเน้ือหาทางคอมพิวเตอร์ในรูป
ของสอ่ื มลั ติมีเดยี ไดแ้ ก่ ขอ้ ความอิเลคทรอนิกส์ ภาพน่ิง ภาพกราฟิก วิดีโอ ภาพเคล่ือนไหว ภาพสามมิติฯลฯ”
เช่นเดียวกับ คุณธิดาทิตย์ จันคนา ท่ีให้ความ หมายของ e-learning ่าหมายถึงการศึกษาท่ีเรียนรู้ผ่าน
เครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่งการ
เรียนรู้สองประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียนเอง และ การตอบสนองใน ความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล(เวลาท่ีแต่ละบุคคลใช้ในการเรียนรู้)การเรียนจะกระทําผ่านส่ือบนเครือข่ายอิ นเตอร์เน็ต โดย
ผสู้ อนจะนาํ เสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทําการศึกษาผ่านบริการ World Wide Web หรือเว็บไซด์ โดยอาจ
ให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะท่ีมีการ เรียนรู้ ู้ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ
ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์น้ีสามารถ กระทํา ผ่าน
เคร่อื งมือสองลักษณะคอื

1. แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน หรือ ส่งใน
ลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room
2. แบบ Non real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเล็คทรอนิคเมลล์ WebBoard News-
group เปน็ ตน้

ความหมายของ e-Learning ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนคําถามท่ีถูกถามบ่อย (Frequently Asked Question :
FAQ) ในเว็บ www.elearningshowcase.com ให้นิยามว่า e-Learning มีความหมาย เดียวกับ
Technology-based Learning นน้ั คือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบท่ี สําคัญ ความหมาย
ของ e-Learning ครอบคลมุ กว้างรวมไปถงึ ระบบโปรแกรม และขบวนการท่ี ดําเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษา
ที่ใช้ ค้ อมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็นเครื่องมือหลักการศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และ
การศึกษาท่ีใช้ การทํางานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลคทรอนิค ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะ
ของการส่งเน้ือหาของบทเรียนผ่านทาง อุปกรณ อ์ ิเลคทรอนิค ซึ่งรวมท้ังจากในระบบอินเตอร์เน็ต ระบบ
เครือข่ายภายใน (Intranets) การ ถา่ ยทอดผา่ นสญั ญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม อย่างไรก็ตาม e-Learning จะ
มีความหมายในขอบเขต ที่แคบกว่าการศึกษาแบบทางไกล (Long distance learning) ซึ่งจะรวมการเรียน
โดยอาศยั การส่ง ข้อความหรือเอกสารระหว่างกันและชั้นเรียนจะเกิดขึ้นในขณะที่มีการเขียนข้อความส่งถึงกัน
การนิยามความหมายแก่ e-learning Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมี
ความแตกต่างกัน ตามแต่องค์กร บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคํา ว่า e-
Learning ที่มีการใช้มาตั้งแต่ปี คศ. 1998 ในที่สุดก็จะเปลี่ยนไปเป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับท่ีมี
เปล่ียนแปลงคําเรียกของ e-Business

เมื่อกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-based Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของ
Technology-based Learning n่ีมีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เนต อินทราเนต และ เอ็ซทราเนต
(Extranet) พบว่าจะมีระดับ การจัดการที่แตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ ประกอบด้วย
บทเรียนท่ีมีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัดแบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ คะแนนผลการทดสอบ
(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน(bookmarks) แต่ถ้าเป็น Online Learning ท่ีสูงข้ึนอีก
ระดับหนง่ึ โปรแกรมของการเรียนจะประกอบด้วยภาพเคล่ือนไหว แบบ จําลอง สื่อที่เป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ
กลุ่มสนทนาทั้งในระดับเดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ที่ปรึกษาแบบออนไลน์ ( Online
Mentoring) จดุ เชอ่ื มโยงไปยังเอกสารอ้างองิ ทมี่ ีอยู่ ในบริการของเวบ็ และการสื่อสารกับระบบที่บันทึกผลการ
เรียน เป็นต้น

การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต
(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถและ
ความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอ่ืนๆ

จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพื่อนร่วมช้ันเรียนทุกคน สามารถติดต่อ
ปรึกษา แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียนในช้ันเรียนปกติ โดยอาศัยเคร่ืองมือการ
ติดตอ่ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสําหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุก
สถานท่ี (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึง e-Learning คนส่วนใหญ่จะหมายเฉพาะถึง การเรียนเน้ือหา
หรือสารสนเทศซ่ึงออกแบบมาสําหรับการสอนหรือการอบรม ซ่ึงใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology)
ในการถ่ายทอดเนอื้ หา และเทคโนโลยรี ะบบการบริหารจดั การการเรียนรู้ (Learning Management System)
ในการบริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้เรียนและงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนจาก e-Learning น้ี
สามารถศึกษาเน้ือหาในลักษณะออนไลน์ นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนําเสนอโดย
อาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive
Technology)จากความหมายที่คนส่วนใหญ่นิยาม e-Learning น้ัน จําเป็นต้องทําความเข้าใจให้ชัดเจนว่า e-
Learningไม่ใช่เพยี งแคก่ ารสอนในลกั ษณะเดมิ ๆ และนําเอกสารการสอนมาแปลงให้อยู่ในรูปดิจิตัล และนําไป
วางไว้บนเว็บ หรือระบบบริหารจัดการการเรียนรู้เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน
หรือการอบรมที่ใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้เกิดความยืดหยุ่นทางการเรียนรู้ (flexible
learning) สนับสนุนการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนใน
ลักษณะตลอดชีวิต (life-long learning) ซึ่งอาศัยการเปล่ียนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของ
ท้ังกระบวนการในการเรียนการสอนด้วย นอกจากนี้ e-Learning ไม่จําเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ
คณาจารยส์ ามารถนําไปใชใ้ นลักษณะการผสมผสาน (blended) กบั การสอนในชัน้ เรยี นได้

ลักษณะสาํ คัญของ e-Learning (Feature of e-Learning)

ลกั ษณะสําคญั ของ e-Learning ที่ดี ควรจะประกอบไปดว้ ยลักษณะสําคัญ 4 ประการ ดังนี้

1. ทุกเวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึง
เน้ือหาการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นไดจ้ รงิ ในที่น้ีหมายรวมถึง การท่ผี เู้ รยี นสามารถเรยี กดูเนือ้ หาตามความสะดวกของ
ผเู้ รียน เช่น ผูเ้ รยี นมีการเขา้ ถึงเครอื่ งคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อกับเครือข่ายได้อยา่ งยืดหยนุ่

2. มัลติมีเดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนําเสนอเน้ือหาโดยใช้ประโยชน์จากสื่อ
ประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผู้เรียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการจดจําและ/หรือการ
เรียนรไู้ ดด้ ขี ้ึน

3. การเชื่อมโยง (Non-linear) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนําเสนอเนื้อหาในลักษณะท่ีไม่เป็นเชิง
เส้นตรง กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเน้ือหาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหาการเช่ือมโยง
ที่ยืดหยุน่ แก่ผู้เรียน นอกจากนี้ยังหมายถึงการออกแบบให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามจังหวะ(pace) การเรียน
ของตนเองดว้ ย เชน่ ผู้เรียนทเ่ี รยี นชา้ สามารถเลือกเนื้อหาทต่ี ้องการเรียนซ้ําได้บ่อยครั้งผู้เรียนที่เรียนดีสามารถ
เลือกทีจ่ ะข้ามไปเรยี นในเน้ือหาทต่ี อ้ งการไดโ้ ดยสะดวก

4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบ(มีปฏิสัมพันธ์)
กบั เน้อื หา หรือกับผูอ้ ืน่ ได้ กล่าวคือ

4.1) e-Learning ควรต้องมีการออกแบบกิจกรรมซึ่งผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับเน้ือหา
(InteractiveActivities) รวมทั้งมีการจัดเตรียมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความ
เขา้ ใจด้วยตนเองได้

4.2) e-Learning ควรต้องมีการจัดหาเครื่องมือในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการติดต่อส่ือสาร
(Collaboration Tools) เพ่ือการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับผู้สอน วิทยากรผู้เช่ียวชาญ
หรือเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคํานึงถึงการให้ผลปูอนกลับท่ีทันต่อเหตุการณ์
(ImmediateResponse) ซึ่งอาจหมายถึง การท่ีผู้สอนต้องเข้ามาตอบคําถามหรือให้คําปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่าง
สม่ําเสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การท่ี e-Learning ควรต้องมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล
และการประเมนิ ผล ซงึ่ สามารถใหผ้ ลปูอนกลับโดยทันทีแก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของแบบทดสอบก่อน
เรียน (pre-test) หรือ แบบทดสอบหลังเรียน (posttest) ก็ตาม

1.เนื้อหา (Content)

เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสําคัญท่ีสุดสําหรับ e-Learning คุณภาพของการเรียนการสอนของ e-
Learningและการที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนในลักษณะนี้หรือไม่อย่างไร สิ่งสําคัญท่ีสุดก็คือ
เน้ือหาการเรยี นซง่ึ ผสู้ อนได้จัดหาให้แกผ่ เู้ รยี น ซึ่งผู้เรยี นมีหนา้ ที่ในการใช้เวลาสว่ นใหญ่ศกึ ษาเน้ือหาด้วยตนเอง
เพ่ือทําการปรับเปล่ียน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น
วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลด้วยตัวของผู้เรียนเอง คําว่า “เน้ือหา” ในองค์ประกอบแรกของ e-
Learning นี้ ไม่ได้จํากดั เฉพาะสื่อการสอน และ/หรือ คอร์สแวร์ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงส่วนประกอบสําคัญอ่ืน
ๆ ที่ e-Learning จําเปน็ จะตอ้ งมีเพ่อื ให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ เช่น คําแนะนําการเรียน ประกาศสําคัญต่าง ๆ
ผลปูอนกลับของผสู้ อน เปน็ ตน้

2.ระบบบรหิ ารจดั การการเรยี นรู้ (Learning Management System)

องค์ประกอบท่ีสําคัญมากเช่นกันสําหรับ e-Learning ได้แก่ ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ ซ่ึงเป็น
เสมือนระบบท่ีรวบรวมเคร่ืองมือซ่ึงออกแบบไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอน
ออนไลน์น่ันเอง ซ่ึงผู้ใช้ในท่ีนี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วยสอน
(course manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผู้สอนในการบริหารจัดการด้านเทคนิคต่าง ๆ (network
administrator)ซ่งึ เครื่องมือและระดับของสิทธิในการเข้าใช้ท่ีจัดหาไว้ให้ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การ
ใช้งานของแต่ละกลุ่ม ตามปรกติแล้ว เครื่องมือท่ีระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ต้องจัดหาไว้ให้กับผู้ใช้ ได้แก่
พื้นที่และเครื่องมือสําหรับการช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหาบทเรียน พ้ืนท่ีและเคร่ืองมือสําหรับการทํา
แบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกับแฟูมข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ที่
สมบูรณ์จะจัดหาเคร่ืองมือในการติดต่อส่ือสารไว้สําหรับผู้ใช้ระบบไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของ ไปรษณีย์

อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหาองค์ประกอบพิเศษ
อนื่ ๆ เพอื่ อํานวยความสะดวกให้กบั ผู้ใช้
3.โหมดการติดตอ่ สื่อสาร (Modes of Communication)

องค์ประกอบสําคัญของ e-Learning ท่ีขาดไม่ได้อีกประการหน่ึง ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถ
ตดิ ต่อสอ่ื สารกบั ผูส้ อน วิทยากร ผู้เช่ียวชาญอ่ืน ๆ รวมท้ังผู้เรียนด้วยกัน ในลักษณะที่หลากหลาย และสะดวก
ต่อผู้ใช้ กล่าวคือ มีเคร่ืองมือที่จัดหาไว้ให้ผู้เรียนใช้ได้มากกว่า 1 รูปแบบ รวมท้ังเคร่ืองมือนั้นจะต้องมีความ
สะดวกในการใชง้ าน (user-friendly) ด้วย ซงึ่ เคร่อื งมอื ที่ e-Learning ควรจัดหาใหผ้ ู้เรยี น ได้แก่

3.1 การประชุมทางคอมพวิ เตอร์
ในท่ีน้ีหมายถึง การประชุมทางคอมพิวเตอร์ท้ังในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบต่างเวลา

(Asynchronous) เช่น การแลกเปล่ียนข้อความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ท่ีรู้จักกันในช่ือของ
เวบ็ บอร์ด (Web Board) เปน็ ต้น หรอื ในลกั ษณะของการติดต่อส่ือสารแบบเวลาเดียวกัน(Synchronous) เช่น
การสนทนาออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในช่ือของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการ
ถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการ
นําไปใชด้ ําเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ผ้สู อนสามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อท่ีเก่ียวข้องกับเน้ือหาในคอร์ส ซ่ึง
อาจอย่ใู นรูปของการบรรยาย การสมั ภาษณ์ผู้เชย่ี วชาญ การเปดิ อภิปรายออนไลน์ เป็นต้น
3.2 ไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบสําคัญเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้สอนหรือ
ผเู้ รยี นอืน่ ๆ ในลกั ษณะรายบคุ คล การส่งงานและผลปูอนกลับให้ผเู้ รียน ผสู้ อนสามารถให้คําแนะนําปรึกษาแก่

ผู้เรียนเป็นรายบุคคล ทั้งนี้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่าง
ตอ่ เนือ่ ง ทง้ั นีผ้ ู้สอนสามารถใชไ้ ปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในการให้

ความคิดเห็นและผลปูอนกลบั ท่ีทนั ต่อเหตกุ ารณ์

4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ

องคป์ ระกอบสุดทา้ ยของ e-Learning แตไ่ ม่ไดม้ ีความสําคัญน้อยทีส่ ดุ แต่อย่างใด ได้แก่ การ
จดั ให้ผูเ้ รยี นไดม้ ีโอกาสในการโต้ตอบกบั เนอื้ หาในรูปแบบของการทาํ แบบฝึกหดั และแบบทดสอบความรู้

4.1 การจดั ใหม้ แี บบฝกึ หัดสําหรับผเู้ รยี น

เนื้อหาท่ีนําเสนอจําเป็นต้องมีการจัดหาแบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียนเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ ท้ังนี้
เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสําคัญ ดังนั้น
ผู้เรียนจึงจําเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีแบบฝึกหัดเพ่ือการตรวจสอบว่าตนเข้าใจและ รอบรู้ในเรื่องท่ีศึกษาด้วย
ตนเองมาแล้วเป็นอย่างดีหรือไม่ อย่างไร การทําแบบฝึกหัดจะทําให้ผู้เรียนทราบได้ว่าตนน้ันพร้อมสําหรับการ
ทดสอบ การประเมินผลแล้วหรือไม่

M-Learning

m-Learningหรือ Mobile-Learning หลักการก็คือทําให้ผู้เรียนสามารถที่จะนําเอาบทเรียนมา
วางไว้บนมือถือและเรียกดูได้ตลอดเวลาทุกที่ พร้อมท้ัง สามารถที่จะรับส่งข้อมูลได้เม่ือจําเป็นและมีสัญญาณ
จากเครอื ขา่ ยโทรคมนาคม นอกจากน้ัน จะต้องสามารถทํางานได้ท้ังสองทาง เปล่ียนแปลงบทเรียนส่งการบ้าน
หรือวิเคราะห์คะแนนจาก แบบฝึกหัดได้เช่นกัน การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการ
สอนท่ีอาศัยสื่อหลายๆชนิดผสมผสานกัน ต้ังแต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียนการ สอน และเหตุการณ์ท่ี
เหมาะสมเพื่อสร้างรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมสําหรับ กลุ่มเปูาหมาย Global learning บทเรียนใน
รูปแบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคล่ือนไหว ทําให้ น่าสนใจและง่ายต่อการทําความเข้าใจ
เป็นส่ือการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิต ระบบ Online Learning เป็นการเรียนรู้ด้วย
ตนเองผ่านเทคโนโลยี Internet ซึ่งจะนําเสนอ บทเรียน ในรูปแบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง
ภาพเคลอ่ื นไหว และตัวอักษร ทําให้ บทเรยี น มีความนา่ สนใจ และง่าย ต่อการทาํ ความเข้าใจ เน่ืองจากผู้เรียน
Online Learning สามารถเรียนรู้ทุกเรื่องราวได้ทุกท่ีทุกเวลา จึงทําให้ Online Learning เป็นสื่อการเรียนรู้
ออนไลน์ สมบูรณ์แบบท่ีสอดคล้องกับ ความต้องการและวิถีชีวิต Mentored learning บทบาทของผู้สอนใน
E-Learning จะเปล่ียนไปเป็นผู้ให้คําแนะนํา (Guide) เป็นผู้ฝึก (Coach) เป็นผู้อํานวยความสะดวก
(Facilitator) และเป็นพ่ีเลี้ยง (Mentor) ต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ในขณะท่ีบทบาทของผู้เรียนจะ
เปล่ียนแปลง

ความหมายของ M – Learning

การให้คําจํากัดความของ Mobile Learning สามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน จากราก ศัพท์ที่นํามา
ประกอบกนั คือ

1. Mobile (Devices) หมายถือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่น หรือแสดงภาพที่
พกพาตดิ ตวั ไปได้

2. Learning หมายถึงการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากบุคคลปะทะ กับส่ิงแวดล้อม
จึงเกิดประสบการณ์ การเรียนรเู้ กิดข้ึนได้เม่ือมีการแสวงหาความรู้ การพัฒนาความรู้ ความสามารถของบุคคล
ให้มีประสิทธิภาพดีข้ึน รวมไปถึงกระบวนการสร้างความเข้าใจ และ ถ่ายทอดประสบการณ์ท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
บุคคล

เม่ือพิจารณาจากความหมายของคําทั้งสองแล้วจะพบว่า Learning นั่นคือแก่นของM - learning เพราะเป็น
การใช้เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งก็คล้ายกับ E – Learning ท่ีเป็นการใช้เครือข่าย
อนิ เทอร์เนต็ เพื่อใหเ้ กิดการเรียนรู้

นอกจากนมี้ ีผู้ใชค้ าํ นิยามของ M - Learning ดังตอ่ ไปน้ี

ริว (Ryu, 2007) หัวหน้าศูนย์โมบายคอมพิวต้ิง (Centre for Mobile Computing) ที่ มหาวิทยาลัยแมสซี่
เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า M- learning คือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เกิดข้ึนเมื่อผู้เรียนอยู่
ระหวา่ งการเดินทาง ณ ท่ีใดกต็ าม และเม่อื ใดก็ตาม

เกด็ ส์ (Geddes, 2006) ก็ให้ความหมายว่า M- learning คือการได้มาซึ่งความรู้และทักษะผ่านทางเทคโนโลยี
ของเคร่อื งประเภทพกพา ณ ท่ใี ดก็ตาม และเมือ่ ใดก็ตาม ซ่งึ ส่งผลเกดิ การ เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม

วัตสัน และไวท์(Watson & White, 2006) ผู้เขียนรายงานเร่ือง M- learning ในการศึกษา (mLearning in
Education) เน้นว่า M- learning หมายถึงการรวมกันของ 2 P คือ เป็นการเรียนจาก เคร่ืองส่วนตัว
(Personal) และเป็นการเรียนจากเคร่ืองที่พกพาได้ (Portable) การท่ีเรียนแบบส่วนตัว นั้นผู้เรียนสามารถ
เลือกเรียนในหัวข้อท่ีต้องการ และการท่ีเรียนจากเคร่ืองที่พกพาได้นั้นก่อให้เกิด โอกาสของการเรียนรู้ได้ ซึ่ง
เครื่องแบบ Personal Digital Assistant (PDA) และโทรศัพท์มือถือน้ัน เป็นเคร่ืองท่ีใช้สําหรับ M- learning
มากทส่ี ุด

ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งสามารถจัดเป็นประเภทของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้ 3 กลุ่ม
ใหญ่ หรือจะเรยี กว่า 3Ps

1. PDAs (Personal Digital Assistant) คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กหรือขนาด
ประมาณฝุามือ ที่รู้จักกันทั่วไปได้แก่ Pocket PC กับ Palm เคร่ืองมือส่ือสารในกลุ่มน้ียังรวมถึง PDA Phone
ซึ่งเป็นเคร่ือง PDA ที่มีโทรศัพท์ในตัว สามารถใช้งานการควบคุมด้วย Stylus เหมือนกับ PDA ทุกประการ
นอกจากน้ียังหมายรวมถึงเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอ่ืนๆ เช่น lap top, Note book และ Tablet PC อีก
ด้วย

2. Smart Phones คอื โทรศพั ทม์ อื ถอื ทบี่ รรจุเอาหนา้ ที่ของ PDA เข้าไปด้วยเพียงแต่ไม่มี Stylus
แตส่ ามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดีของอุปกรณ์กลุ่ม นี้คือมีขนาดเล็ก
พกพาสะดวกประหยัดไฟ และราคาไม่แพงมากนัก คําว่าโทรศัพท์มือถือ ตรงกับ ภาษาอังกฤษ ว่า hand
phone ซ่ึงใช้คําน้ีแพร่หลายใน Asia Pacific ส่วนในอเมริกา นิยมเรียกว่า Cell Phone ซึ่งย่อมาจาก
Cellular telephone ส่วนประเทศอ่ืนๆ นยิ มเรยี กวา่ Mobile Phone

3. IPod, เคร่ืองเล่น MP3 จากค่ายอ่ืนๆ และเครื่องที่มีลักษณะการทํางานที่คล้ายกัน คือ เคร่ือง
เสียงแบบพกพก iPod คือชื่อรุ่นของสินค้าหมวดหนึ่งของบริษัท Apple Computer, Inc ผู้ผลิต เครื่อง
คอมพิวเตอร์แมคอินทอช iPod และเคร่ืองเล่น MP3 นับเป็นเครื่องเสียงแบบพกพาท่ีสามารถ รับข้อมูลจาก
คอมพวิ เตอร์ด้วยการต่อสาย USB หรือ รับด้วยสัญญาณ Blue tooth สําหรับรุ่นใหม่ๆ มีฮาร์ดดิสก์จุได้ถึง 60
GB. และมชี อ่ ง Video out และมีเกมสใ์ หเ้ ลือกเล่นได้อีกด้วย

เคร่อื งเล่น MP3

สําหรบั พัฒนาการของ m-Learning เป็นพัฒนาการนวตั กรรมการเรยี นการสอนมาจากนวัตกรรมการเรียนการ
สอนทางไกล หรือ d-Learning (Distance Learning) และการจัดการเรียนการ

สอนแบบ e-Learning (Electronic Learning) ดงั ภาพประกอบต่อไปนี้

M - Learning น้นั เกดิ ข้ึนไดโ้ ดยไร้ขอ้ จาํ กดั ด้านเวลา และสถานท่ี เพียงแค่ผู้เรียนมีความ พร้อมและเครื่องมือ
อีกทั้งเครอื ขา่ ยมีเน้ือหาท่ตี ้องการ จึงจะเกดิ การเรยี นร้ขู น้ึ และจะได้ผลการ เรียนรู้ที่ปรารถนา หากขาดเน้ือหา
ในการเรยี นรู้ วิธีการน้นั จะกลายเป็นเพียงการส่ือสาร กับเครอื ข่าย ไร้สายน่นั เอง

กระบวนการเรยี นรูแ้ บบ M – Learning

กระบวนการเรียนรแู้ บบ M – Learning มดี ว้ ยกันทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังน้ี

ขน้ั ที่ 1 ผู้เรียนมีความพรอ้ ม และเครอ่ื งมอื

ข้ันที่ 2 เช่ือมตอ่ เข้าสู่เครือขา่ ย และพบเนอ้ื หาการเรียนทตี่ ้องการ

ขั้นที่ 3 หากพบเน้ือหาจะไปยังขน้ั ที่ 4 แต่ถ้าไมพ่ บจะกลบั เข้าสขู่ ั้นท่ี 2

ขั้นท่ี 4 ดาํ เนนิ การเรียนรู้ ซง่ึ ไมจ่ ําเป็นที่จะต้องอยูใ่ นเครือข่าย

ข้นั ท่ี 5 ไดผ้ ลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์

แนวโน้มการเปลย่ี นแปลงท่ีสาคญั ทเ่ี กดิ จากเทคโนโลยี

แนวโน้มการเปล่ยี นแปลงของสังคมโลก เทคโนโลยสี ารสนเทศทําให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไป
อย่างรวดเร็ว ทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนอง ด้วยเหตุนี้ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ
การเมอื ง และสงั คม ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทําให้เกิดแนวโน้มการเปล่ียนแปลงท่ี
สาํ คญั หลายดา้ น แนวโนม้ ทส่ี ําคัญทเ่ี กิดจากเทคโนโลยที ่สี ําคญั และเป็นท่ีกลา่ วถงึ กันมาก ดงั น้ี

1) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้สังคมเปล่ียนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ
สภาพของสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วสองคร้ัง จากสังคมความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่มี
การเพาะปลูกและสร้างผลิตผลทางการเกษตร ทําให้มีการสร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความ
จําเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรม ทําให้สภาพความ
เปน็ อยขู่ องมนษุ ยเ์ ปล่ียนแปลงมาเป็นสังคมเมือง มีการรวมกลุ่มอยู่อาศัยเป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเป็นฐานการ
ผลิต สังคมอุตสาหกรรมได้ดําเนินการมาจนถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สังคมสารสนเทศ การดําเนินธุรกิจใช้
สารสนเทศอย่างกว้างขวาง เกิดคําใหม่ว่า ไซเบอร์สเปซ มีการดําเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูดคุยผ่าน
อนิ เทอรเ์ น็ต การซ้อื สินคา้ และบรกิ าร ฯลฯ

2) เทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ เทคโนโลยแี บบตอบสนองตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน เช่น การ
ดโู ทรทัศน์ วิทยุ เมือ่ เราเปิดเครอ่ื งรบั โทรทศั น์หรอื วทิ ยุ เราไม่สามารถเลอื กตามความต้องการได้ หากไม่พอใจก็
ทําได้เพียงเลือกสถานีใหม่ แนวโน้มจากนี้ไปจะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะท่ีเรียกว่า on demand เราจะมี
โทรทัศน์และวิทยุแบบเลือกดู เลือกฟังได้ตามความต้องการ หากระบบการศึกษาจะมีระบบ education on
demand คือสามารถเลือกเรียนตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เป็นหนทางที่เป็นไปได้
เพราะเทคโนโลยมี ีพัฒนาการทีก่ ้าวหน้าจนสามารถนําระบบสื่อสารมาตอบสนองตามความต้องการของมนษุ ย์

3) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้เกิดสภาพการทํางานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลา เม่ือการสื่อสาร
ก้าวหน้าและแพร่หลายขึ้น การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทําให้มีปฏิสัมพันธ์ได้ เกิดระบบการประชุมทางวีดิทัศน์
ระบบประชุมบนเครอื ข่าย ระบบโทรศกึ ษา ระบบการคา้ บนเครือขา่ ย ลกั ษณะของการดาํ เนินงานเหล่านี้ ทําให้
ผใู้ ชข้ ยายขอบเขตการดําเนินกจิ กรรมไปทุกหนทุกแห่งตลอด 24 ช่ัวโมง เราจะเห็นจากตัวอย่างที่มีมานานแล้ว
เช่น ระบบเอทีเอ็ม ทําให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตัวผู้รับบริการมากข้ึน และด้วย
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าข้ึน การบริการจะกระจายมากย่ิงข้ึนจนถึงที่บ้าน ในอนาคตสังคมการทํางานจะกระจาย
จนงานบางงานอาจนง่ั ทาํ ทบี่ ้านหรอื ที่ใดก็ได้ และเวลาใดกไ็ ด้

4) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศรษฐกิจโลก ระบบ
เศรษฐกิจซ่ึงแต่เดิมมีขอบเขตจํากัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการ
หมนุ เวียนแลกเปลยี่ นสนิ ค้า บรกิ ารอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเอ้ืออํานวยให้การ
ดําเนินการมีขอบเขตกว้างขวางมากย่ิงข้ึน ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกเช่ือมโยงและมีผลกระทบต่อ
กัน

5) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้องค์กรมีลักษณะผูกพันหน่วยงานภายในเป็นแบบเครือข่ายมากข้ึน แต่
เดมิ การจดั องคก์ รมีการวางเปน็ ลาํ ดบั ขั้น มีสายการบังคับบัญชาจากบนลงล่าง แต่เมื่อการสื่อสารแบบสองทาง
และการกระจายข่าวสารดีข้ึน มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเป็นกลุ่มงาน มีการเพิ่มคุณค่า
ขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดโครงสร้างขององค์กรจึงปรับเปล่ียนจากเดิม และมีแนวโน้มที่จะ
สร้างองค์กรเป็นเครือข่ายท่ีมีลักษณะการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจจะมีขนาดเล็กลง และ
เชื่อมโยงกันกบั หน่วยธุรกิจอื่นเปน็ เครอื ข่าย โครงสรา้ งขององคก์ รจึงเปล่ียนแปลงไปตามกระแสของเทคโนโลยี

6) เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดการวางแผนการดําเนินการระยะยาวข้ึน อีกท้ังยังทําให้วิถีการ
ตัดสินใจรอบคอบมากขึ้น แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้เลือกได้น้อย เช่น มีคําตอบเดียว ใช่ และ
ไม่ใช่ แตด่ ว้ ยข้อมลู ขา่ วสารท่ีสนับสนุนการตัดสินใจ ทําให้วิถีความคิดในการตัดสินปัญหาเปลี่ยนไป ผู้ตัดสินใจ
มีทางเลือกไดม้ ากและมคี วามรอบครอบในการตัดสินปญั หาได้ดขี ึ้น

7) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีบทบาทท่ีสําคัญในทุกวงการ ดังนั้นจึงมีผลต่อการ
เปล่ียนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม การศึกษาเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมาก ลองนึกดูว่าขณะนี้
เราสามารถชมข่าว ชมรายการทีวี ท่ีส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ท่ัวโลก เราสามารถรับรู้
ข่าวสารได้ทันที เราใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารระหว่างกัน และติดต่อกับคนได้ท่ัวโลก จึงเป็นที่แน่
ชัดว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นสังคมโลกมาก
ขึ้น

ปญั หาและอปุ สรรคในการใช้นวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สภาพปัจจุบันและปัญหาการใชเ้ ทคโนโลยีการศกึ ษาในประเทศไทย

จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการจึงทําให้กระบวนการจัดการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
อย่างต่อเน่ือง ดังน้ันเทคโนโลยีการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสื่อวัสดุอุปกรณ์ประเภทต่างๆรวมท้ังเทคนิควิธีการและ
แหล่งสนับสนุนการเรียนรู้ต้องเปล่ียนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน คอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีอิทธิพลและมีบทบาท
ตอ่ การจัดการศึกษาอยา่ งเดน่ ชัดมากยิ่งขน้ึ และดูเหมือนว่าจะเปน็ ส่ือทนี่ ่าสนใจและเปน็ สือ่ ท่ีต้องการของหลาย
ฝุายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกๆระดับ ท้ังน้ีสังคมคาดหวังว่าส่ือยุคใหม่หรือนวัตกรรมทางการสอนที่
แปลกใหม่และมีความหลากหลายเหล่าน้ันจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนรู้และ
การจัดการศึกษาโดยรวมในท่ีสุด หากมองย้อนหลังสักหน่อย จะพบว่าเราเร่ิมจาก การไม่มี อยากมี แล้วได้มี
ติดตามด้วยใช้ไม่ค่อยเป็น แล้วก็ใช้เป็นกันมากขึ้น แต่ได้ประโยชน์ มีแก่นสารสาระหรือไม่เป็นเรื่องน่าคิด
ส่วนมากจะเข้าลักษณะใช้เป็น แต่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ ดูท่ีกลุ่มเยาวชนก็แล้วกันว่าเขากําลังทําอะไรกันอยู่กับ
อินเตอร์เน็ต เสียเวลาและทรัพยากรไปเท่าไร และได้อะไรตอบแทนกลับมา ส่วนมากจะเข้าข่ายไร้สาระ
มากกวา่

ปัญหาทีพ่ บในการใชน้ วตั กรรมการศกึ ษา

1. ปัญหาด้านบุคลากร บุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตส่ือประกอบการจัดกิจกรรม
บุคลากรขาดประสบการณ์ในการใช้ส่ือนวัตกรรมทางการศึกษา ไม่เข้าใจและรู้จักวิธีการใช้นวัตกรรมที่ทาง
โรงเรียนจัดทําข้ึน ขาดความชํานาญในการใช้นวัตกรรม ขาดสื่อประกอบการเรียน บุคลากรส่วนใหญ่ให้ความ
ร่วมมือในการใช้นวัตกรรม แต่ขาดความต่อเนื่องแนวทางแก้ไข คือ สร้างความตระหนัก ความรับผิดชอบใน
ส่วนท่ียังบกพร่องทางนวัตกรรมของบุคลากร ส่งเสริมให้เข้าร่วมการอบรมสัมมนา ส่งเสริมให้เกิดการศึกษา
ดว้ ยตนเอง เพอ่ื ใหค้ วามรแู้ ละประสบการณ์ในการใชส้ อ่ื นวัตกรรมทางการศกึ ษาที่มากข้ึน

2. ปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ และงบประมาณ เก่ียวกับนวัตกรรม คือ ขาดงบประมาณในการพัฒนา
นวตั กรรม ขาดวสั ดุ – อุปกรณ์และงบประมาณที่จะพัฒนาสื่อนวัตกรรม การจัดหา การใช้ การดูแลรักษาและ
ขาดงบจดั หาส่ือทันสมัย แนวทางการแก้ไข เพ่ิมงบประมาณให้เพียงพอ ให้หน่วยงานที่มีส่วนเก่ียวข้องจัดหา
งบประมาณสนับสนุน สํานักงานเขตพื้นท่ีต้องช่วยดูแลและให้ความช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณได้ เพ่ือใช้ใน
การพฒั นานวตั กรรมให้มีคณุ ภาพดียิง่ ขน้ึ และระดมทรพั ยากรท่มี ใี นทอ้ งถ่ิน มาช่วยสนบั สนุน

3. ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และสถานท่กี ารใช้นวตั กรรม สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไปยังไม่เหมาะสม
กับการใช้ส่ือ เน่ืองจากความยุ่งยากและไม่คล่องตัว มีสถานท่ีไม่เป็นสัดส่วน ไม่มีห้องท่ีใช้เพื่อเก็บรักษาส่ือ
นวตั กรรมเปน็ การเฉพาะ ทาํ ใหก้ ารดูแลทาํ ไดย้ ากและขาดการพฒั นาทีต่ ่อเน่ือง แนวทางการแก้ไข คือ ใช้สื่อ
นวัตกรรมตามความเหมาะสมของเนื้อหาวิชาตามความยากง่ายของเน้ือหา จัดทําห้องสื่อเคลื่อนที่ แบ่งสื่อไป
ตามห้องให้ครรู ับผิดชอบ ควรจดั หาห้องเพ่อื การน้ีเป็นการเฉพาะ

4. ปัญหาด้านสภาพการเรียนการสอน เด็กมีความแตกต่างกันด้านสติปัญญา และด้านร่างกาย
ปัญหาครอบครวั แตกแยก เด็กอาศยั อยกู่ บั ญาติ มเี น้อื หาวิชาท่ีมากและสาระ การเรียนการสอนแต่ละครั้งไม่
ต่อเนอ่ื ง นกั เรยี นบางคนไมส่ บายใจในกจิ กรรม และทําไมจ่ รงิ จังจึงมีผลต่อการจัดกิจกรรม นักเรียนต้องเข้าคิว
รอนานกับนวตั กรรมบางชนิด และสภาพการเรียนการสอน ครูยังยึดวิธีการสอนแบบเดิม คือ บรรยายหน้า
ช้ันเรียน แตสว่ นใหญ่มีแนวโนม้ ในการพฒั นาท่ีดขี ้นึ ครยู งั ไม่มีการนําสอื่ นวัตกรรมมาใชใ้ นการจัดการเรียนการ
สอนอย่างต่อเน่ือง แนวทางการแก้ไข คือ จัดกลุ่มให้เพื่อนช่วยเพื่อน คอยกํากับแนะนําช่วยเหลือ จัดครูเข้า
สอนตามประสบการณ์ความถนัด ควรจัดอบรมเพื่อให้ความรู้ จัดทํานวัตกรรมที่มีโอกาสเป็นไปได้ และสร้าง
การมีส่วนร่วมจากชุมชน สอนเพิ่มเติมนอกเวลา และจัดการสอนแบบรวมช้ัน โดยใช้กระบวนการเรียนการ
สอนตามช่วงช้นั

5. ปัญหาด้านการวัดผลและประเมินผล คือ บุคลากรขาดความรู้ในการท่ีจะนําส่ือนวัตกรรมมาใช้ใน
การวัดผลและประเมินผล นักเรียนที่ไม่ค่อยสนใจหรือไม่ชอบกิจกรรมก็จะมีผลต่อการจัดผลประเมินผล ขาด
นวัตกรรมส่ือคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต การวัดประเมินผล ครูส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการทําแบบทดสอบ แบบ
ปรนยั แนวทางการแก้ไข จดั ทาํ แบบสอบถามสุ่มเป็นรายบุคคล เพศชาย หญิง เน้นนักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง
และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จัดแบบทดสอบที่หลากหลาย ท้ังแบบปรนัย และอัตนัย และประเมินผลตาม
สภาพจริง ประเมินผลงานจากแฟูมสะสมงาน

ปญั หา อุปสรรค การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารของสถานศกึ ษา

1. ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาจํานวนหน่ึงที่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง
และคอมพวิ เตอร์ยังไม่มีหรือมีแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และท่ีมีอยู่ก็ขาดการบํารุงรักษา รวมท้ังไม่อยู่ใน
สภาพทใี่ ชก้ ารได้ แสดงใหเ้ ห็นว่าโครงสร้างพืน้ ฐานเพอื่ การศกึ ษาโดยเฉพาะคสู่ ายโทรศพั ทย์ ังมีบริการไม่ทั่วถึง
อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานศึกษาเหล่าน้ีอยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังนั้นสถานศึกษาต้องรีบดําเนินการเพราะเป็น
พื้นฐานท่จี าํ ไปสู่ระบบอินเทอร์เนต็

2. ดา้ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
เพือ่ พัฒนาทักษะวชิ าชพี ครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจํานวนไม่พอกับความต้องการที่ครูจะใช้ แสดงให้เห็น
ว่าครูยังต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเป็นจํานวนมาก และสถานศึกษาก็ต้อง
จัดหาคอมพวิ เตอรใ์ ห้เพียงพอตอ่ ความต้องการของครู

3. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการ
ทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูล
สารสนเทศท่ีเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการ
สอ่ื สารเพื่อให้เกดิ ความตระหนักและเหน็ ความสาํ คญั ของการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารท่ีจะนํามา
พัฒนาการบริหารจดั การและการบรกิ ารทางการศึกษา

4. ด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของครู
ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความต่อเนื่อง บางคนใน 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปเข้ารับการฝึกอบรม
ดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเลย แสดงให้เห็นว่า ครูได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารยังไมท่ ั่วถงึ เพราะมีครูอกี จาํ นวนหน่ึงที่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการอบรม
ด้านการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารเลย

ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา

“นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏบิ ัติ หรอื สงิ่ ประดิษฐใ์ หม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือ
เป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งข้ึน เม่ือนํา นวัตกรรมมาใช้จะ
ชว่ ยให้การทํางานน้นั ได้ผลดมี ีประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลสงู กว่าเดมิ ทัง้ ยังชว่ ย ประหยัดเวลาและแรงงานได้
ด้วย”

“นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทําสิ่ง
ใหม่ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนําแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จาก
สิ่งท่ีมอี ยู่แลว้ มาใช้ในรูปแบบใหม่ เพ่อื ทําให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทําในส่ิงท่ีแตกต่างจาก
คนอ่นื โดยอาศยั การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity)
และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ท่ีทําให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดน้ีได้ถูกพัฒนาข้ึน
มาในช่วงต้นศตวรรษท่ี 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph
Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การ
วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนําไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
(Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถใน
การเรียนร้แู ละนําไปปฎบิ ตั ใิ ห้เกิดผลได้จรงิ อีกดว้ ย (พนั ธอ์ุ าจ ชยั รัตน์ , Xaap.com)

คําว่า “นวัตกรรม” เป็นคําทคี่ ่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คําน้ี เป็นศัพท์บัญญัติของ
คณะกรรมการพจิ ารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจาก
คาํ กรยิ าว่า innovate แปลว่า ทําใหม่ เปล่ียนแปลงให้เกิดส่ิงใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คําว่า “นวกรรม” ต่อมา
พบว่าคําน้ีมคี วามหมายคลาดเคล่ือน จึงเปล่ียนมาใช้คําว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กํา) หมายถึงการนํา
ส่ิงใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพ่ิมเติมจากวิธีการที่ทําอยู่เดิม เพ่ือให้ใช้ได้ผลดีย่ิงข้ึน ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือ
กจิ การใด ๆ ก็ตาม เมือ่ มกี ารนาํ เอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพ่ือปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้
ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานําเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา”
(Educational Innovation) สําหรับผู้ท่ีกระทํา หรือนําความเปล่ียนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น
“นวตั กร” (Innovator)

ทอมสั ฮวิ ช์ (Thomas Hughes) ไดใ้ ห้ความหมายของ “นวตั กรรม” ว่า เป็นการนําวิธีการใหม่
ๆ มาปฏิบตั ิหลงั จากไดผ้ า่ นการทดลองหรือไดร้ ับการพัฒนามาเปน็ ขั้น ๆ แล้ว เร่มิ ตั้งแต่การคิดค้น (Invention)
การพัฒนา (Development) ซ่ึงอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึง
นาํ ไปปฏิบัติจริง ซงึ่ มีความแตกตา่ งไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบตั ิมา

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทําให้ใหม่ข้ึนอีกคร้ัง
(Renewal) ซ่งึ หมายถึง การปรับปรุงส่ิงเกา่ และพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การ
น้นั ๆ นวตั กรรม ไมใ่ ช่การขจัดหรือลม้ ลา้ งสงิ่ เก่าให้หมดไป แต่เปน็ การ ปรบั ปรงุ เสรมิ แตง่ และพฒั นา

ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ (2521 : 14) ไดใ้ ห้ความหมาย “นวัตกรรม” ไวว้ า่ หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่แปลกไป
จากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ข้ึนมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่ง
ทั้งหลายเหล่าน้ีได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติ ทําให้ระบบก้าวไปสู่
จดุ หมายปลายทางไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพข้ึน

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ใน
ภาษาองั กฤษเอง ความหมายกต็ า่ งกนั เปน็ 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็น
ผลสาํ เร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามทเี่ ป็นไปเพ่ือจะนําสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการท่ีทําอยู่เดิมแล้ว
กับอีกระดับหน่ึงซึ่งวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรม ได้พยายามศึกษาถึงที่มา ลักษณะ กรรมวิธี และ
ผลกระทบท่ีมีอยู่ต่อกลุ่มคนท่ีเก่ียวข้อง คําว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งท่ีได้นําความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้า
มาใชไ้ ด้ผลสําเร็จและแผก่ วา้ งออกไป จนกลายเปน็ การปฏิบัตอิ ย่างธรรมดาสามญั (บญุ เก้ือ ควรหาเวช , 2543)

นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 มกี ารประดษิ ฐค์ ดิ คน้ (Innovation) หรอื เป็นการปรงุ แตง่ ของเกา่ ใหเ้ หมาะสมกับกาลสมยั

ระยะท่ี 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทําอยู่ในลักษณะของโครงการทดลอง
ปฏบิ ตั กิ อ่ น (Pilot Project)

ระยะท่ี 3 การนําเอาไปปฏบิ ตั ใิ นสถานการณท์ ัว่ ไป ซ่ึงจดั ว่าเป็นนวัตกรรมขัน้ สมบูรณ์

1.ความหมายของนวตั กรรมการศกึ ษา

“นวตั กรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวตั กรรมทจ่ี ะช่วยให้การศึกษา และ
การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม
เกดิ แรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้
นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทท่ีกําลัง
เผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์
เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่าน้ี เป็นต้น
(วารสารออนไลน์ บรรณปญั ญา.htm)

“นวตั กรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนําเอาส่ิงใหม่ซ่ึงอาจจะอยู่ใน
รูปของความคิดหรือการกระทํา รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังท่ีจะ
เปล่ยี นแปลงส่ิงทมี่ อี ยูเ่ ดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ทาํ ให้ผู้เรยี นสามารถเกิดการเรียนรู้ได้
อยา่ งรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์
ช่วยสอน การใชว้ ีดิทศั นเ์ ชงิ โตต้ อบ(Interactive Video) สอื่ หลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้
เปน็ ตน้

2.ความหมายของเทคโนโลยี

ความเจริญในด้านต่างๆ ท่ีปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลอง
ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นําออก
เผยแพรใ่ ช้ในกิจการด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการต่างๆ
เหล่าน้ัน และวิชาการท่ีว่าด้วยการนําความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึงเรียกกันว่า
“วิทยาศาสตร์ประยกุ ต”์ หรือนิยมเรียกกันท่วั ไปว่า “เทคโนโลยี” (boonpan edt01.htm)

เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เคร่ืองมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ท่ีนําเอา
เทคโนโลยีมาใช้ เรยี กวา่ นกั เทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)

เทคโนโลยที างการศกึ ษา (Educational Technology) ตามรปู ศัพท์ เทคโน (วิธกี าร) + โลยี(วิทยา)
หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนําวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของ
การศึกษาให้สูงข้ึนเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ
(boonpan edt01.htm)

สภาเทคโนโลยที างการศึกษานานาชาติได้ให้คาํ จาํ กัดความของ เทคโนโลยีทางการศกึ ษา วา่ เป็นการพัฒนาและ
ประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนํามาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือสร้างเสริม
กระบวนการเรียนร้ขู องคนให้ดีย่ิงข้นึ (boonpan edt01.htm)

ดร.เปรอ่ื ง กุมทุ ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของเทคโนโลยีการศกึ ษาวา่ เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้
สื่อการสอน ให้กว้างขวางข้ึนท้ังในด้านบุคคล วัสดุเคร่ืองมือ สถานที่ และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการเรียน
การสอน (boonpan edt01.htm) Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็น
แผนการหรือวธิ ีการทาํ งานอยา่ งเปน็ ระบบ ให้บรรลุผลตามแผนการ (boonpan edt01.htm)

นอกจากนีเ้ ทคโนโลยที างการศึกษา เป็นการขยายแนวคดิ เกย่ี วกับโสตทศั นศึกษา ให้กว้างขวางย่ิงขึ้น
ทั้งนี้ เนือ่ งจากโสตทัศนศกึ ษาหมายถงึ การศกึ ษาเกย่ี วกับการใช้ตาดูหูฟัง ดงั นัน้ อุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการ
ใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คําว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยีทางการศึกษา มี
ความหมายท่ีกว้างกวา่ ซึ่งอาจจะพจิ ารณาจาก ความคดิ รวบยอดของเทคโนโลยไี ด้เปน็ 2 ประการ คอื

1.ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการศึกษา
หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ
มาใช้สําหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคํานึงถึงเฉพาะการควบคุมให้
เคร่อื งทํางาน มกั ไม่คาํ นึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อ
ให้ตรงกับเน้ือหาวิชา ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามความคิดรวบยอดน้ี ทําให้บทบาทของ
เทคโนโลยที างการศกึ ษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์เท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อ่ืน
ๆ เขา้ ไปด้วย ซง่ึ ตามความหมายน้กี ็คอื “โสตทศั นศกึ ษา” นน่ั เอง

2.ความคดิ รวบยอดทางพฤตกิ รรมศาสตร์ เปน็ การนําวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา กระบวนการ
กลมุ่ ภาษา การสือ่ ความหมาย การบรหิ าร เคร่อื งยนตก์ ลไก การรบั รูม้ าใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์

และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปล่ียนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนมิใช่เพียงการใช้เครื่องมือ
อุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว
(boonpan edt01.htm)

3.เปูาหมายของเทคโนโลยกี ารศึกษา

1.การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้หมายถึงแต่เพียงตํารา
ครู และอุปกรณ์การสอน ท่ีโรงเรียนมีอยู่เท่าน้ัน แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนมี
โอกาสเรยี นจากแหลง่ ความรทู้ ก่ี ว้างขวางออกไปอีก แหลง่ ทรัพยากรการเรยี นรู้ครอบคลุมถงึ เร่ืองต่างๆ เชน่

1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สําคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซ่ึงอยู่นอกโรงเรียน เช่น
เกษตรกร ตํารวจ บรุ ุษไปรษณีย์ เป็นตน้

1.2 วสั ดแุ ละเครอ่ื งมือ ไดแ้ ก่ โสตทศั นวสั ดุอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เคร่ืองวิดีโอเทป ของ
จรงิ ของจําลองส่ิงพมิ พ์ รวมไปถึงการใชส้ ่อื มวลชนตา่ งๆ

1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเนื้อหา แก่ผู้เรียนปัจจุบันนั้น
เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดศ้ ึกษาค้นคว้าด้วยตนเองไดม้ ากทีส่ ุด ครเู ปน็ เพยี ง ผู้วางแผนแนะแนวทางเทา่ นัน้

1.4 สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทําการรัฐบาล ภูเขา แม่นํ้า
ทะเล หรอื สถานทใี่ ด ๆ ท่ีชว่ ยเพมิ่ ประสบการณท์ ่ดี แี กผ่ ้เู รยี นได้

2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัดการศึกษา
ตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนําเอาระบบการเรียน
แบบตัวตอ่ ตวั มาใช้ แตแ่ ทนที่จะใช้ครสู อนนักเรียนทลี ะคน เขากค็ ิด ‘แบบเรยี นโปรแกรม’ ซึ่งทําหน้าท่ีสอน ซึ่ง
เหมือนกบั ครมู าสอน นักเรียนจะเรียนดว้ ยตนเอง จากแบบเรยี นดว้ ยตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่อง
สอนหรอื สื่อประสมหลายๆ อยา่ ง จะเรียนชา้ หรอื เรว็ ก็ทําได้ตามความสามารถของผเู้ รียนแตล่ ะคน

3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีการท่ีเป็น
วิทยาศาสตร์ ทเ่ี ชือ่ ถอื ได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเปูาหมายได้ เน่ืองจากกระบวนการของ
วิธรี ะบบ เปน็ การวิเคราะหอ์ งค์ประกอบของงานหรือของระบบ อยา่ งมีเหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบ
ทํางาน ประสานสมั พันธ์กันอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

4.พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา หรือการเรียนการ
สอนปจั จุบันจะต้องมกี ารพฒั นา ใหม้ ีศกั ยภาพ หรอื ขีดความสามารถในการทํางานให้สงู ยง่ิ ข้นึ ไปอีก

4.แนวคดิ พืน้ ฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา

ปัจจัยสําคัญทีม่ ีอทิ ธพิ ลอย่างมาก ต่อวิธกี ารศกึ ษา ได้แก่แนวความคิดพืน้ ฐานทางการศึกษาทเี่ ปล่ยี นแปลงไป
อนั มผี ลทําให้เกดิ นวตั กรรมการศึกษาท่สี าํ คัญๆ พอจะสรปุ ได4้ ประการ คือ

1. ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสาํ คญั ใน
เร่อื งความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไวอ้ ย่างชัดเจนซ่งึ จะเหน็ ได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มงุ่ จัดการศึกษา
ตามความถนดั ความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเปน็ เกณฑ์ ตัวอยา่ งท่ีเหน็ ไดช้ ัดเจนไดแ้ ก่ การ
จัดระบบหอ้ งเรยี นโดยใช้อายเุ ปน็ เกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเปน็ เกณฑ์บ้าง นวตั กรรมทเ่ี กิดขน้ึ เพื่อสนอง
แนวความคดิ พ้ืนฐานน้ี เช่น

• การเรียนแบบไม่แบง่ ชน้ั (Non-Graded School)

• แบบเรยี นสาํ เรจ็ รูป (Programmed Text Book)

• เครือ่ งสอน (Teaching Machine)

• การสอนเปน็ คณะ (TeamTeaching)

• การจัดโรงเรียนในโรงเรยี น (School within School)

• เคร่อื งคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

2. ความพรอ้ ม (Readiness) เดิมทเี ดียวเชื่อกันวา่ เดก็ จะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซ่งึ เป็น
พฒั นาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจบุ นั การวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรยี นรู้ ช้ใี หเ้ ห็นวา่ ความพร้อมในการเรยี น
เปน็ สง่ิ ที่สรา้ งขนึ้ ได้ ถ้าหากสามารถจดั บทเรยี น ให้พอเหมาะกบั ระดบั ความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาท่ี
เคยเชื่อกันวา่ ยาก และไม่เหมาะสมสําหรบั เด็กเล็กก็สามารถนํามาให้ศกึ ษาได้ นวตั กรรมทตี่ อบสนอง
แนวความคดิ พน้ื ฐานนี้ไดแ้ ก่ ศูนย์การเรยี น การจดั โรงเรียนในโรงเรยี น นวตั กรรมทส่ี นองแนวความคิดพืน้ ฐาน
ด้านน้ี เชน่

• ศนู ย์การเรียน (Learning Center)

• การจัดโรงเรียนในโรงเรยี น (School within School)

• การปรับปรงุ การสอนสามชน้ั (Instructional Development in 3 Phases

3. การใช้เวลาเพ่ือการศึกษา แตเ่ ดิมมาการจัดเวลาเพอื่ การสอน หรอื ตารางสอนมักจะจัดโดยอาศยั
ความสะดวกเปน็ เกณฑ์ เช่น ถอื หนว่ ยเวลาเป็นชว่ั โมง เทา่ กันทุกวชิ า ทุกวันนอกจากนนั้ กย็ งั จดั เวลาเรียนเอาไว้
แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปจั จุบนั ไดม้ ีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กบั ลักษณะของ
แตล่ ะวชิ าซง่ึ จะใชเ้ วลาไม่เทา่ กัน บางวิชาอาจใช้ชว่ งสน้ั ๆ แตส่ อนบอ่ ยครั้ง การเรยี นกไ็ ม่จาํ กัดอยู่แตเ่ ฉพาะใน
โรงเรียนเทา่ นัน้ นวัตกรรมทสี่ นองแนวความคดิ พืน้ ฐานด้านน้ี เช่น

•การจัดตารางสอนแบบยดื หยุ่น (Flexible Scheduling)
•มหาวทิ ยาลัยเปดิ (Open University)
•แบบเรียนสาํ เรจ็ รูป (Programmed Text Book)
•การเรยี นทางไปรษณีย์

4. ประสิทธภิ าพในการเรยี น การขยายตัวทางวิชาการ และการเปล่ียนแปลงของสังคม ทําให้มีส่ิงต่างๆ ท่ีคน
จะต้องเรยี นร้เู พิ่มข้นึ มาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจบุ ันยังไม่มปี ระสทิ ธิภาพเพียงพอจึงจําเป็นตอ้ ง
แสวงหาวธิ กี ารใหม่ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพสงู ขึน้ ท้งั ในดา้ นปจั จัยเก่ียวกับตวั ผเู้ รยี น และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมใน
ดา้ นน้ที ี่เกิดขึ้น เชน่

•มหาวิทยาลยั เปดิ
•การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทศั น์
•การเรยี นทางไปรษณีย์ แบบเรียนสําเรจ็ รปู
•ชุดการเรยี น

นวตั กรรมทางการศึกษาทสี่ าคัญของไทยในปจั จบุ ัน(2546)

นวตั กรรม เป็นความคดิ หรอื การกระทาํ ใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิดและทํา
สิ่งใหม่อยู่เสมอ ดังน้ันนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนใหม่ได้เร่ือยๆ สิ่งใดที่คิดและทํามานานแล้ว ก็ถือว่าหมด
ความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีส่ิงใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีสิ่งท่ีเรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา
หรอื นวตั กรรมการเรียนการสอน อยูเ่ ปน็ จาํ นวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว
แต่ก็ยังคงถือวา่ เปน็ นวัตกรรม เนอื่ งจากนวัตกรรมเหล่านั้นยงั ไม่แพรห่ ลายเปน็ ท่รี ูจ้ ักทว่ั ไป ในวงการศกึ ษา

5. นวตั กรรมทางการศกึ ษาต่างๆ ท่ีกล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน

E-learning

ความหมาย e-Learning เปน็ คําทีใ่ ชเ้ รียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่มีช่ือภาษาไทยที่แน่ชัด
และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง ให้คํานิยาม E-Learning หรือ
Electronic Learning ว่า หมายถึง “การเรียนผ่านทางส่ืออิเลคทรอนิกส์ซึ่งใช้การ นําเสนอเน้ือหาทาง
คอมพิวเตอร์ในรูปของส่ือมัลติมีเดียได้แก่ ข้อความอิเลคทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ ภาพเคล่ือนไหว
ภาพสามมิติฯลฯ”เช่นเดียวกับ คุณธิดาทิตย์ จันคนา ท่ีให้ความ หมายของ e-learning ่าหมายถึงการศึกษาท่ี

เรยี นร้ผู ่านเครอื ขา่ ยอินเตอร์เน็ตโดยผ้เู รยี นรจู้ ะเรียนรู้ ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎี
แห่งการเรียนรู้สองประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียนเอง และ การตอบสนองใน ความ
แตกตา่ งระหว่างบคุ คล(เวลาท่แี ตล่ ะบคุ คลใชใ้ นการเรียนร)ู้ การเรียนจะกระทําผ่านสื่อบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
โดยผู้สอนจะนําเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทําการศึกษาผ่านบริการ World Wide Web หรือเว็บไซด์ โดย
อาจให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะที่มีการ เรียนรู้ ้ใู นสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ
ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์น้ีสามารถ กระทํา ผ่าน
เครอ่ื งมอื สองลกั ษณะคือ

1. แบบ Real-time ได้แกก่ ารสนทนาในลกั ษณะของการพิมพข์ ้อความแลกเปลีย่ นข่าวสารกนั หรือ ส่งใน
ลกั ษณะของเสียง จากบริการของ Chat room

2. แบบ Non real-time ไดแ้ ก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบรกิ าร อิเลค็ ทรอนิคเมลล์ WebBoard News-
group เปน็ ตน้

ความหมายของ e-Learning ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนคําถามที่ถูกถามบ่อย (Frequently Asked
Question : FAQ) ในเว็บ www.elearningshowcase.com ให้นิยามว่า e-Learning มีความหมาย เดียวกับ
Technology-based Learning น้นั คือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบที่ สําคัญ ความหมาย
ของ e-Learning ครอบคลมุ กว้างรวมไปถึงระบบโปรแกรม และขบวนการที่ ดําเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษา
ที่ใช้ ้คอมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็นเคร่ืองมือหลักการศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และ
การศึกษาท่ีใช้ การทํางานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลคทรอนิค ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะ
ของการส่งเน้ือหาของบทเรียนผ่านทาง อุปกรณ ์อิเลคทรอนิค ซึ่งรวมท้ังจากในระบบอินเตอร์เน็ต ระบบ
เครอื ข่ายภายใน (Intranets) การ ถ่ายทอดผ่านสัญญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม อย่างไรก็ตาม e-Learning จะ
มีความหมายในขอบเขต ที่แคบกว่าการศึกษาแบบทางไกล (Long distance learning) ซึ่งจะรวมการเรียน
โดยอาศยั การสง่ ขอ้ ความหรือเอกสารระหว่างกันและชั้นเรียนจะเกิดข้ึนในขณะที่มีการเขียนข้อความส่งถึงกัน
การนิยามความหมายแก่ e-learning Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมี
ความแตกต่างกัน ตามแต่องค์กร บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคํา ว่าe-
Learning ท่ีมีการใช้มาต้ังแต่ปี คศ. 1998 ในท่ีสุดก็จะเปล่ียนไปเป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับที่มี
เปล่ยี นแปลงคําเรยี กของ e-Business

เม่ือกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-based Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของ
Technology-based Learning nีม่ ีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เนต อินทราเนต และ เอ็ซทราเนต
(Extranet) พบว่าจะมีระดับ การจัดการท่ีแตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ ประกอบด้วย
บทเรียนที่มีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัดแบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ คะแนนผลการทดสอบ
(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน(bookmarks) แต่ถ้าเป็น Online Learning ที่สูงข้ึนอีก
ระดบั หนง่ึ โปรแกรมของการเรียนจะประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว แบบ จําลอง ส่ือท่ีเป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ
กลุ่มสนทนาท้ังในระดับเดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ท่ีปรึกษาแบบออนไลน์ ( Online
Mentoring) จดุ เช่ือมโยงไปยงั เอกสารอา้ งองิ ทมี่ ีอยู่ ในบริการของเวบ็ และการสื่อสารกับระบบท่ีบันทึกผลการ
เรียน เป็นต้น

การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต
(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถและ
ความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซ่ึงประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอ่ืนๆ
จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพ่ือนร่วมช้ันเรียนทุกคน สามารถติดต่อ
ปรึกษา แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียนในช้ันเรียนปกติ โดยอาศัยเคร่ืองมือการ
ติดตอ่ สอื่ สารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสําหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุก
สถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึง e-Learning คนส่วนใหญ่จะหมายเฉพาะถึง การเรียนเน้ือหา
หรือสารสนเทศ

ซึ่งออกแบบมาสําหรับการสอนหรือการอบรม ซ่ึงใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการถ่ายทอด
เน้ือหา และเทคโนโลยีระบบการบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System)ในการบริหาร
จัดการการเรยี นร้ขู องผ้เู รียนและงานสอนดา้ นตา่ งๆ โดยผเู้ รียนท่ีเรียนจาก e-Learning นีส้ ามารถศึกษาเนื้อหา
ในลักษณะออนไลน์ นอกจากน้ี เนื้อหาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนําเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยี
มัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)จาก
ความหมายทค่ี นส่วนใหญ่นยิ าม e-Learning น้นั จาํ เปน็ ต้องทําความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนว่า e-Learningไม่ใช่เพียง
แค่การสอนในลักษณะเดิม ๆ และนําเอกสารการสอนมาแปลงให้อยู่ในรูปดิจิตัล และนําไปวางไว้บนเว็บ หรือ
ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน หรือการอบรมท่ีใช้
เคร่ืองมอื ทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศ เพ่ือให้เกดิ ความยดื หย่นุ ทางการเรียนรู้ (flexible learning) สนับสนุน

การเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนในลักษณะตลอดชีวิต (life-
long learning) ซ่ึงอาศัยการเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของทั้งกระบวนการในการ
เรียนการสอนด้วย นอกจากน้ี e-Learning ไม่จําเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ คณาจารย์สามารถ
นําไปใชใ้ นลักษณะการผสมผสาน (blended) กบั การสอนในชัน้ เรียนได้

ลกั ษณะสาคญั ของ e-Learning (Feature of e-Learning)
ลกั ษณะสาํ คญั ของ e-Learning ที่ดี ควรจะประกอบไปด้วยลกั ษณะสาํ คัญ 4 ประการ ดังน้ี
1. ทกุ เวลาทุกสถานท่ี (Anywhere, Anytime) หมายถงึ e-Learning ควรต้องชว่ ยขยายโอกาสในการเข้าถึง
เนือ้ หาการเรยี นรู้ของผ้เู รียนไดจ้ รงิ ในทน่ี ี้หมายรวมถึง การทีผ่ ู้เรียนสามารถเรยี กดูเน้อื หาตามความสะดวกของ
ผู้เรยี น เชน่ ผ้เู รียนมกี ารเขา้ ถึงเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ท่ีเช่ือมต่อกบั เครือขา่ ยได้อยา่ งยืดหยนุ่
2. มัลติมีเดยี (Multimedia) หมายถงึ e-Learning ควรตอ้ งมีการนําเสนอเน้ือหาโดยใช้ประโยชน์จากส่ือ
ประสมเพ่ือชว่ ยในการประมวลผลสารสนเทศของผู้เรียนเพ่ือใหเ้ กิดความคงทนในการจดจาํ และ/หรอื การ
เรยี นร้ไู ด้ดขี ึน้
3. การเช่ือมโยง (Non-linear) หมายถึง e-Learning ควรตอ้ งมีการนําเสนอเน้ือหาในลักษณะท่ไี ม่เปน็ เชงิ
เสน้ ตรง กล่าวคอื ผูเ้ รยี นสามารถเขา้ ถึงเนือ้ หาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหาการเชือ่ มโยง

ที่ยืดหยุ่นแกผ่ ู้เรียน นอกจากน้ยี ังหมายถงึ การออกแบบให้ผเู้ รยี นสามารถเรียนไดต้ ามจังหวะ(pace) การเรียน
ของตนเองด้วย เช่น ผเู้ รยี นทเี่ รียนชา้ สามารถเลือกเนื้อหาท่ีต้องการเรยี นซํ้าไดบ้ อ่ ยครงั้ ผูเ้ รยี นทเี่ รยี นดีสามารถ
เลอื กทีจ่ ะข้ามไปเรยี นในเน้อื หาทีต่ ้องการไดโ้ ดยสะดวก

4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถงึ e-Learning ควรตอ้ งมีการเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นโต้ตอบ(มีปฏิสมั พนั ธ์)
กบั เนื้อหา หรือกบั ผู้อื่นได้ กล่าวคือ

4.1) e-Learning ควรตอ้ งมีการออกแบบกจิ กรรมซ่ึงผูเ้ รยี นสามารถโต้ตอบกับเน้ือหา
(InteractiveActivities) รวมทง้ั มกี ารจัดเตรยี มแบบฝึกหัดและแบบทดสอบใหผ้ ู้เรยี นสามารถตรวจสอบความ
เขา้ ใจด้วยตนเองได้

4.2) e-Learning ควรตอ้ งมีการจดั หาเคร่อื งมือในการใหช้ ่องทางแก่ผู้เรยี นในการ
ตดิ ตอ่ สอ่ื สาร(Collaboration Tools) เพอ่ื การปรกึ ษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเหน็ กบั ผสู้ อน วทิ ยากร
ผู้เชีย่ วชาญ หรือเพอ่ื น ๆ ร่วมชน้ั เรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบน้ี จะต้องคํานงึ ถงึ การให้ผลปอู นกลับที่ทนั ต่อ
เหตกุ ารณ์ (ImmediateResponse) ซง่ึ อาจหมายถึง การที่ผู้สอนต้องเข้ามาตอบคําถามหรอื ให้คําปรึกษาแก่
ผ้เู รยี นอยา่ งสมาํ่ เสมอและทนั เหตุการณ์ รวมถึง การท่ี e-Learning ควรตอ้ งมีการออกแบบใหม้ กี ารทดสอบ
การวัดผล และการประเมนิ ผล ซง่ึ สามารถให้ผลปอู นกลับโดยทันทีแกผ่ ู้เรียน ไม่ว่าจะอยู่ในลกั ษณะของ
แบบทดสอบกอ่ นเรียน (pre-test) หรือ แบบทดสอบหลังเรียน (posttest) กต็ าม

1.เนอ้ื หา (Content)

เนอื้ หาเปน็ องคป์ ระกอบสาํ คัญท่สี ดุ สาํ หรับ e-Learning คณุ ภาพของการเรียนการสอนของ e-
Learningและการทผี่ เู้ รยี นจะบรรลุวตั ถปุ ระสงค์การเรียนในลักษณะน้หี รือไม่อยา่ งไร สงิ่ สาํ คญั ทส่ี ดุ ก็คอื
เน้ือหาการเรียนซึ่งผู้สอนได้จัดหาใหแ้ กผ่ ้เู รียน ซึ่งผเู้ รียนมีหนา้ ท่ีในการใชเ้ วลาสว่ นใหญ่ศึกษาเน้ือหาด้วยตนเอง
เพอ่ื ทาํ การปรบั เปลย่ี น (convert) เนอ้ื หาสารสนเทศที่ผ้สู อนเตรียมไว้ใหเ้ กิดเปน็ ความรู้ โดยผ่านการคิดค้น
วเิ คราะห์อย่างมหี ลกั การและเหตุผลด้วยตวั ของผู้เรียนเอง คําวา่ “เนือ้ หา” ในองค์ประกอบแรกของ e-
Learning น้ี ไมไ่ ด้จํากัดเฉพาะสือ่ การสอน และ/หรือ คอร์สแวร์ เทา่ นน้ั แต่ยังหมายถงึ ส่วนประกอบสาํ คัญอืน่
ๆ ที่ e-Learning จาํ เป็นจะต้องมีเพ่อื ให้เนอื้ หามีความสมบูรณ์ เชน่ คําแนะนาํ การเรียน ประกาศสําคญั ต่าง ๆ
ผลปูอนกลบั ของผสู้ อน เป็นต้น

2.ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System)

องค์ประกอบท่ีสําคัญมากเชน่ กนั สาํ หรับ e-Learning ไดแ้ ก่ ระบบบรหิ ารจัดการการเรยี นรู้ ซึง่
เปน็ เสมือนระบบทร่ี วบรวมเครือ่ งมือซ่ึงออกแบบไวเ้ พ่ือให้ความสะดวกแกผ่ ู้ใช้ในการจดั การกับการเรยี นการ
สอนออนไลนน์ ัน่ เอง ซงึ่ ผใู้ ช้ในท่ีน้ี แบ่งได้เป็น 4 กล่มุ ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผ้เู รียน (students) ผู้ชว่ ย
สอน(course manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผ้สู อนในการบริหารจดั การดา้ นเทคนคิ ตา่ ง ๆ (network
administrator)ซึ่งเครือ่ งมือและระดับของสทิ ธใิ นการเข้าใช้ทจ่ี ัดหาไว้ใหก้ จ็ ะมีความแตกตา่ งกันไปตามแตก่ าร
ใชง้ านของแต่ละกลุม่ ตามปรกตแิ ลว้ เครอ่ื งมือทีร่ ะบบบรหิ ารจัดการการเรยี นรูต้ ้องจดั หาไว้ใหก้ บั ผู้ใช้ ได้แก่
พื้นท่ีและเคร่ืองมือสาํ หรบั การช่วยผูเ้ รียนในการเตรยี มเน้ือหาบทเรยี น พนื้ ท่ีและเครื่องมือสําหรบั การทํา
แบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกบั แฟมู ขอ้ มูลต่าง ๆ นอกจากนีร้ ะบบบริหารจัดการการเรียนรู้ท่ี
สมบรู ณ์จะจัดหาเคร่ืองมอื ในการตดิ ต่อส่ือสารไวส้ าํ หรบั ผู้ใชร้ ะบบไมว่ า่ จะเปน็ ในลักษณะของ ไปรษณีย์
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-mail) เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหาองค์ประกอบพิเศษ
อ่นื ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้

3.โหมดการติดตอ่ สื่อสาร (Modes of Communication)

องค์ประกอบสาํ คญั ของ e-Learning ทขี่ าดไมไ่ ด้อกี ประการหนงึ่ กค็ ือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถ
ตดิ ต่อส่อื สารกับผสู้ อน วิทยากร ผู้เชย่ี วชาญอ่นื ๆ รวมท้ังผู้เรียนดว้ ยกนั ในลักษณะทีห่ ลากหลาย และสะดวก
ตอ่ ผูใ้ ช้ กล่าวคอื มีเคร่ืองมือท่ีจัดหาไวใ้ หผ้ ้เู รยี นใช้ได้มากกว่า 1 รูปแบบ รวมท้งั เคร่ืองมือนนั้ จะตอ้ งมคี วาม
สะดวกในการใชง้ าน (user-friendly) ดว้ ย ซ่งึ เครอ่ื งมอื ท่ี e-Learning ควรจัดหาให้ผเู้ รยี น ไดแ้ ก่

3.1 การประชุมทางคอมพิวเตอร์

ในที่น้ีหมายถึง การประชุมทางคอมพวิ เตอรท์ งั้ ในลักษณะของการติดต่อส่ือสารแบบต่างเวลา(Asynchronous)
เชน่ การแลกเปลีย่ นข้อความผ่านทางกระดานข่าวอเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรือ ทรี่ ู้จักกนั ในชื่อของเว็บบอร์ด (Web
Board) เปน็ ต้น หรอื ในลกั ษณะของการติดต่อสอ่ื สารแบบเวลาเดยี วกัน(Synchronous) เช่น การสนทนา
ออนไลน์ หรอื ที่คุ้นเคยกันดีในช่อื ของ แชท็ (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจดั ให้มกี ารถ่ายทอด
สญั ญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เปน็ ต้น ในการนําไปใช้
ดาํ เนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน ผสู้ อนสามารถเปิดสัมมนาในหวั ข้อที่เกยี่ วข้องกบั เนื้อหาในคอรส์ ซ่งึ อาจอยู่
ในรปู ของการบรรยาย การสัมภาษณ์ผูเ้ ช่ียวชาญ การเปิดอภปิ รายออนไลน์ เปน็ ตน้

3.2 ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ (e-mail)

ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เปน็ องค์ประกอบสาํ คญั เพื่อใหผ้ ้เู รียนสามารถตดิ ต่อสื่อสารกับผ้สู อนหรอื
ผเู้ รียนอนื่ ๆ ในลักษณะรายบุคคล การสง่ งานและผลปอู นกลับให้ผู้เรยี น ผสู้ อนสามารถใหค้ ําแนะนาํ ปรกึ ษาแก่
ผู้เรียนเป็นรายบคุ คล ท้งั นเ้ี พ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรยี นอยา่ ง
ต่อเน่อื ง ท้งั น้ีผสู้ อนสามารถใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในการให้ความคิดเห็นและผลปอู นกลบั ทที่ ันต่อ
เหตกุ ารณ์

4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ

องคป์ ระกอบสดุ ท้ายของ e-Learning แต่ไม่ไดม้ คี วามสาํ คญั น้อยทีส่ ดุ แต่อย่างใด ได้แก่ การจดั ให้
ผ้เู รียนไดม้ ีโอกาสในการโต้ตอบกับเน้อื หาในรูปแบบของการทําแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบความรู้

4.1 การจัดให้มีแบบฝกึ หดั สําหรับผู้เรยี น

เน้อื หาทนี่ ําเสนอจาํ เปน็ ต้องมีการจดั หาแบบฝึกหดั สาํ หรบั ผู้เรียนเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจ

ไว้ดว้ ยเสมอ ทัง้ นเี้ พราะ e-Learning เป็นระบบการเรยี นการสอนซ่งึ เนน้ การเรียนรู้ด้วยตนเองของผเู้ รยี นเปน็
สําคญั ดังนน้ั ผเู้ รียนจึงจาํ เปน็ อย่างย่ิงท่ีจะต้องมีแบบฝกึ หัดเพือ่ การตรวจสอบวา่ ตนเข้าใจและรอบรใู้ นเรื่องท่ี
ศกึ ษาด้วยตนเองมาแลว้ เป็นอย่างดีหรือไม่ อย่างไร การทําแบบฝกึ หดั จะทาํ ใหผ้ ู้เรียนทราบไดว้ า่ ตนนนั้ พร้อม
สําหรบั การทดสอบ การประเมินผลแลว้ หรอื ไม่

M-Learning

m-Learningหรอื Mobile-Learning หลักการก็คือทําใหผ้ ้เู รยี นสามารถที่จะนําเอาบทเรียนมา
วางไว้บนมือถือและเรยี กดูได้ตลอดเวลาทกุ ที่ พร้อมทง้ั สามารถทจ่ี ะรับส่งข้อมลู ได้เม่ือจาํ เป็นและมีสญั ญาณ
จากเครือข่ายโทรคมนาคม นอกจากนนั้ จะต้องสามารถทาํ งานได้ท้ังสองทาง เปล่ยี นแปลงบทเรียนส่งการบา้ น
หรอื วเิ คราะห์คะแนนจาก แบบฝกึ หดั ไดเ้ ชน่ กัน การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการ
สอนทอี่ าศัยสือ่ หลายๆชนดิ ผสมผสานกนั ตั้งแต่ดา้ นเทคโนโลยี กจิ กรรมการเรียนการ สอน และเหตุการณ์ที่
เหมาะสมเพอ่ื สร้างรูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี หมาะสมสาํ หรับ กลุ่มเปูาหมาย Global learning บทเรยี นใน
รูปแบบของการผสมผสานระหวา่ งวดิ ีโอ เสยี ง ภาพเคล่ือนไหว ทําให้ น่าสนใจและงา่ ยต่อการทําความเขา้ ใจ
เปน็ ส่อื การเรียนร้ทู ่ีสอดคล้องกบั ความต้องการและวถิ ีชวี ติ ระบบ Online Learning เปน็ การเรยี นร้ดู ว้ ย
ตนเองผ่านเทคโนโลยี Internet ซ่ึงจะนาํ เสนอ บทเรียน ในรปู แบบของการผสมผสานระหวา่ งวดิ โี อ เสยี ง
ภาพเคล่อื นไหว และตวั อักษร ทาํ ให้ บทเรยี น มีความน่าสนใจ และง่าย ต่อการทําความเข้าใจ เน่ืองจากผูเ้ รียน

Online Learning สามารถเรียนรทู้ ุกเรอ่ื งราวได้ทุกท่ีทุกเวลา จึงทาํ ให้ Online Learning เป็นสื่อการเรียนรู้
ออนไลน์ สมบรู ณแ์ บบทส่ี อดคล้องกับ ความต้องการและวิถชี ีวติ Mentored learning บทบาทของผ้สู อนใน E-

Learning จะเปลยี่ นไปเป็นผู้ใหค้ าํ แนะนาํ (Guide) เปน็ ผู้ฝึก (Coach) เปน็ ผู้อาํ นวยความสะดวก (Facilitator) และเป็นพเ่ี ล้ียง
(Mentor) ตอ่ กระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รียน ในขณะทบี่ ทบาทของผูเ้ รยี นจะเปลีย่ นแปลง

ความหมายของ M – Learning

การให้คาํ จํากัดความของ Mobile Learning สามารถแยกพจิ ารณาไดเ้ ป็น 2 สว่ น จากราก ศพั ท์ท่ีนาํ มา
ประกอบกัน คือ

1. Mobile (Devices) หมายถอื อปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ หรือ โทรศพั ท์มือถือ และเครื่องเลน่ หรือแสดง
ภาพที่พกพาตดิ ตัวไปได้

2. Learning หมายถงึ การเรียนรู้ เปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนั เนื่องมาจากบุคคลปะทะ กับ
สิ่งแวดล้อมจึงเกิดประสบการณ์ การเรยี นรเู้ กิดขนึ้ ได้เมื่อมีการแสวงหาความรู้ การพัฒนาความรู้ ความสามารถ
ของบุคคลให้มีประสิทธิภาพดีขึน้ รวมไปถึงกระบวนการสรา้ งความเขา้ ใจ และ ถ่ายทอดประสบการณ์ทเ่ี ป็น
ประโยชนต์ อ่ บคุ คล เมื่อพจิ ารณาจากความหมายของคาํ ท้ังสองแลว้ จะพบวา่ Learning น่นั คอื แก่นของM -
learning เพราะเปน็ การใชเ้ ทคโนโลยีเครือขา่ ยไรส้ ายเพ่ือใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ซ่ึงกค็ ล้ายกับ E – Learning ทเ่ี ปน็
การใช้เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตเพื่อให้เกิดการเรียนรู้

นอกจากนีม้ ผี ้ใู ชค้ านิยามของ M - Learning ดังตอ่ ไปนี้

ริว (Ryu, 2007) หัวหน้าศูนย์โมบายคอมพิวตงิ้ (Centre for Mobile Computing) ท่ี มหาวทิ ยาลยั แมสซี่
เมอื งโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า M- learning คือกจิ กรรมการเรียนรู้ ท่ีเกดิ ขึ้นเมือ่ ผเู้ รยี นอยู่
ระหว่างการเดนิ ทาง ณ ที่ใดก็ตาม และเมื่อใดกต็ าม

เกด็ ส์ (Geddes, 2006) กใ็ ห้ความหมายวา่ M- learning คอื การได้มาซง่ึ ความร้แู ละทักษะผ่านทางเทคโนโลยี
ของเคร่ืองประเภทพกพา ณ ท่ีใดกต็ าม และเมอื่ ใดก็ตาม ซ่ึงสง่ ผลเกดิ การ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

วัตสัน และไวท(์ Watson & White, 2006) ผูเ้ ขยี นรายงานเร่อื ง M- learning ในการศึกษา (mLearning in
Education) เนน้ วา่ M- learning หมายถงึ การรวมกันของ 2 P คอื เป็นการเรียนจาก เครอ่ื งสว่ นตวั
(Personal) และเป็นการเรียนจากเครื่องท่ีพกพาได้ (Portable) การท่ีเรียนแบบสว่ นตวั นั้นผ้เู รยี นสามารถ
เลือกเรียนในหวั ข้อท่ตี ้องการ และการท่ีเรียนจากเคร่อื งท่พี กพาได้นน้ั ก่อให้เกิด โอกาสของการเรียนรู้ได้ ซงึ่
เครอ่ื งแบบ Personal Digital Assistant (PDA) และโทรศัพทม์ ือถือนั้น เปน็ เคร่ืองที่ใช้สําหรบั M- learning

มากท่สี ุดในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนซงึ่ สามารถจดั เป็นประเภทของอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้
3 กลมุ่ ใหญ่ หรือจะเรียกวา่ 3Ps

1. PDAs (Personal Digital Assistant) คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กหรือขนาด ประมาณฝาุ
มอื ทร่ี ้จู กั กันท่ัวไปได้แก่ Pocket PC กับ Palm เคร่ืองมือส่อื สารในกลุ่มน้ยี ังรวมถงึ PDA Phone ซง่ึ เป็น
เครอื่ ง PDA ทม่ี โี ทรศัพท์ในตัว สามารถใชง้ านการควบคุมดว้ ย Stylus เหมือนกบั PDA ทุกประการ นอกจากนี้
ยังหมายรวมถงึ เครอ่ื งคอมพวิ เตอรข์ นาดเล็กอืน่ ๆ เชน่ lap top, Note book และ Tablet PC อกี ดว้ ย

2. Smart Phones คอื โทรศพั ท์มือถือ ทบี่ รรจเุ อาหน้าท่ีของ PDA เขา้ ไปดว้ ยเพยี งแต่ไมม่ ี Stylus
แต่สามารถลงโปรแกรมเพ่ิมเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดขี องอปุ กรณ์กล่มุ นี้คอื มขี นาดเลก็
พกพาสะดวกประหยดั ไฟ และราคาไมแ่ พงมากนัก คาํ ว่าโทรศพั ท์มอื ถือ ตรงกบั ภาษาองั กฤษ ว่า hand
phone ซึ่งใช้คํานี้แพร่หลายใน Asia Pacific ส่วนในอเมริกา นิยมเรียกวา่ Cell Phone ซึ่งยอ่ มาจาก
Cellular telephone สว่ นประเทศอ่นื ๆ นยิ มเรยี กวา่ Mobile Phone

3. IPod, เคร่อื งเล่น MP3 จากค่ายอน่ื ๆ และเครือ่ งท่มี ลี ักษณะการทํางานท่คี ลา้ ยกัน คอื เคร่ือง
เสยี งแบบพกพก iPod คือชื่อรุ่นของสินคา้ หมวดหนง่ึ ของบรษิ ทั Apple Computer, Inc ผูผ้ ลิต เครอ่ื ง
คอมพวิ เตอร์แมคอินทอช iPod และเครื่องเล่น MP3 นับเป็นเครื่องเสยี งแบบพกพาทส่ี ามารถ รบั ขอ้ มูลจาก
คอมพวิ เตอรด์ ว้ ยการต่อสาย USB หรอื รับด้วยสญั ญาณ Blue tooth สําหรบั รนุ่ ใหม่ๆ มฮี ารด์ ดสิ ก์จุได้ถึง 60
GB. และมีช่อง Video out และมเี กมสใ์ หเ้ ลือกเล่นได้อกี ดว้ ย

เครื่องเล่น MP3

สาํ หรบั พฒั นาการของ m-Learning เปน็ พัฒนาการนวตั กรรมการเรยี นการสอนมาจากนวตั กรรมการเรียนการ
สอนทางไกล หรอื d-Learning (Distance Learning) และการจัดการเรยี นการ สอนแบบ e-Learning
(Electronic Learning) ดงั ภาพประกอบตอ่ ไปนี้
M - Learning น้ันเกิดขึ้นได้โดยไรข้ ้อจาํ กัด ดา้ นเวลา และสถานท่ี เพยี งแคผ่ เู้ รียนมีความ พร้อมและเครื่องมือ
อกี ท้ังเครือขา่ ยมีเน้อื หาทีต่ อ้ งการ จงึ จะเกดิ การเรียนรู้ขึน้ และจะไดผ้ ลการ เรียนรทู้ ปี่ รารถนา หากขาดเนื้อหา
ในการเรยี นรู้ วิธกี ารนัน้ จะกลายเป็นเพยี งการสื่อสาร กับเครือขา่ ย ไรส้ ายนน่ั เอง

กระบวนการเรยี นรู้แบบ M – Learning
กระบวนการเรยี นรู้แบบ M – Learning มดี ว้ ยกันทั้งหมด 5 ขนั้ ตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ผู้เรียนมคี วามพร้อม และเครื่องมือ
ขน้ั ที่ 2 เชื่อมต่อเขา้ สเู่ ครอื ข่าย และพบเนื้อหาการเรียนท่ตี ้องการ
ขั้นที่ 3 หากพบเน้ือหาจะไปยังขัน้ ท่ี 4 แต่ถ้าไมพ่ บจะกลับเขา้ สขู่ ้ันท่ี 2
ข้นั ที่ 4 ดาํ เนินการเรยี นรู้ ซง่ึ ไมจ่ าํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งอยูใ่ นเครอื ข่าย
ขัน้ ท่ี 5 ไดผ้ ลการเรียนรตู้ ามวัตถุประสงค์

แนวโน้มการเปล่ยี นแปลงที่สาคญั ที่เกิดจากเทคโนโลยี
แนวโนม้ การเปล่ยี นแปลงของสังคมโลก เทคโนโลยสี ารสนเทศทาํ ให้การกระจายข้อมลู ขา่ วสารเปน็ ไป

อย่างรวดเร็ว ทุกทิศทาง และมรี ะบบตอบสนอง ดว้ ยเหตนุ ้ีผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกจิ
การเมือง และสงั คม ผลของความกา้ วหนา้ ทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศทาํ ให้เกิดแนวโน้มการเปลีย่ นแปลงที่
สําคัญหลายดา้ น แนวโนม้ ท่สี ําคญั ท่ีเกดิ จากเทคโนโลยที ส่ี ําคญั และเปน็ ทก่ี ล่าวถึงกันมาก ดังน้ี

1) เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทาํ ใหส้ ังคมเปลี่ยนจากสงั คมอตุ สาหกรรมมาเป็นสงั คมสารสนเทศ สภาพ
ของสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วสองครง้ั จากสังคมความเปน็ อยแู่ บบเร่รอ่ นมาเป็นสังคมเกษตรที่มีการ
เพาะปลูกและสรา้ งผลติ ผลทางการเกษตร ทาํ ให้มกี ารสร้างบ้านเรอื นเปน็ หลักแหลง่ ต่อมามีความจําเปน็ ต้อง
ผลิตสนิ คา้ ใหไ้ ด้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึงต้องหนั มาผลิตแบบอตุ สาหกรรม ทําให้สภาพความเปน็ อยูข่ อง
มนษุ ย์เปล่ียนแปลงมาเปน็ สงั คมเมือง มีการรวมกลมุ่ อยู่อาศยั เปน็ เมือง มอี ุตสาหกรรมเป็นฐานการผลติ สงั คม
อุตสาหกรรมได้ดําเนนิ การมาจนถงึ ปัจจบุ นั และเขา้ สสู่ งั คมสารสนเทศ การดําเนนิ ธุรกิจใช้สารสนเทศอย่าง

กว้างขวาง เกดิ คําใหมว่ า่ ไซเบอรส์ เปซ มกี ารดาํ เนินกิจกรรมตา่ งๆ เชน่ การพูดคยุ ผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ การซื้อ
สนิ คา้ และบริการ ฯลฯ

2) เทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ เทคโนโลยีแบบตอบสนองตามความต้องการของผู้ใชแ้ ต่ละคน เชน่ การ
ดูโทรทัศน์ วิทยุ เมือ่ เราเปิดเครื่องรบั โทรทศั นห์ รือวทิ ยุ เราไมส่ ามารถเลือกตามความต้องการได้ หากไม่พอใจก็
ทาํ ไดเ้ พียงเลอื กสถานีใหม่ แนวโนม้ จากนไ้ี ปจะมกี ารเปลี่ยนแปลงในลกั ษณะทเ่ี รียกว่า on demand เราจะมี
โทรทัศนแ์ ละวิทยุแบบเลอื กดู เลอื กฟังไดต้ ามความต้องการ หากระบบการศึกษาจะมรี ะบบ education on
demand คือสามารถเลือกเรียนตามตอ้ งการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เปน็ หนทางท่เี ปน็ ไปได้
เพราะเทคโนโลยมี พี ัฒนาการท่ีก้าวหน้าจนสามารถนําระบบสอ่ื สารมาตอบสนองตามความตอ้ งการของมนุษย์

3) เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทําให้เกิดสภาพการทาํ งานแบบทกุ สถานท่ี และทุกเวลา เม่อื การส่ือสาร
ก้าวหน้าและแพร่หลายข้นึ การโตต้ อบผา่ นเครือข่ายทําให้มปี ฏิสมั พันธ์ได้ เกดิ ระบบการประชมุ ทางวดี ทิ ัศน์
ระบบประชุมบนเครอื ข่าย ระบบโทรศึกษา ระบบการค้าบนเครอื ข่าย ลักษณะของการดําเนนิ งานเหลา่ น้ี ทาํ ให้
ผใู้ ช้ขยายขอบเขตการดําเนินกจิ กรรมไปทกุ หนทุกแห่งตลอด 24 ชว่ั โมง เราจะเห็นจากตัวอย่างทม่ี ีมานานแลว้
เช่น ระบบเอทเี อ็ม ทําให้การเบกิ จา่ ยไดเ้ กือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตวั ผู้รบั บรกิ ารมากขึ้น และด้วย
เทคโนโลยที ีก่ า้ วหนา้ ขึน้ การบรกิ ารจะกระจายมากยิ่งข้ึนจนถึงทบี่ า้ น ในอนาคตสังคมการทาํ งานจะกระจาย
จนงานบางงานอาจนง่ั ทาํ ท่บี ้านหรอื ทใี่ ดกไ็ ด้ และเวลาใดก็ได้

4) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาํ ใหร้ ะบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบทอ้ งถิน่ ไปเปน็ เศรษฐกจิ โลก ระบบ
เศรษฐกิจซึ่งแต่เดมิ มขี อบเขตจํากดั ภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ท่ัวโลกจะมกี ระแสการ
หมนุ เวียนแลกเปลีย่ นสนิ ค้า บรกิ ารอย่างกวา้ งขวางและรวดเรว็ เทคโนโลยสี ารสนเทศมสี ว่ นเอื้ออํานวยให้การ
ดําเนนิ การมีขอบเขตกวา้ งขวางมากยิ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจของทกุ ประเทศในโลกเชื่อมโยงและมผี ลกระทบต่อ
กนั

5) เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทาํ ให้องค์กรมลี ักษณะผกู พันหน่วยงานภายในเปน็ แบบเครอื ข่ายมากขึ้น แต่
เดิมการจัดองค์กรมีการวางเป็นลาํ ดบั ขั้น มีสายการบงั คับบัญชาจากบนลงลา่ ง แตเ่ ม่ือการสื่อสารแบบสองทาง
และการกระจายขา่ วสารดีขนึ้ มกี ารใชเ้ ครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ในองค์กรผกู พันกนั เป็นกลุ่มงาน มกี ารเพ่ิมคุณคา่
ขององค์กรดว้ ยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจดั โครงสรา้ งขององค์กรจึงปรบั เปลี่ยนจากเดิม และมแี นวโน้มท่จี ะ
สรา้ งองค์กรเป็นเครือขา่ ยทม่ี ีลกั ษณะการบงั คบั บัญชาแบบแนวราบมากข้นึ หนว่ ยธรุ กจิ จะมขี นาดเลก็ ลง และ
เชื่อมโยงกนั กับหนว่ ยธรุ กิจอ่ืนเปน็ เครือข่าย โครงสรา้ งขององค์กรจงึ เปล่ยี นแปลงไปตามกระแสของเทคโนโลยี

6) เทคโนโลยสี ารสนเทศ ก่อใหเ้ กิดการวางแผนการดําเนนิ การระยะยาวขน้ึ อกี ทั้งยังทาํ ใหว้ ิถีการ
ตัดสนิ ใจรอบคอบมากข้ึน แต่เดิมการตัดสนิ ปัญหาอาจมีหนทางใหเ้ ลอื กไดน้ ้อย เชน่ มคี ําตอบเดียว ใช่ และ
ไม่ใช่ แตด่ ้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนนุ การตัดสนิ ใจ ทาํ ให้วิถคี วามคิดในการตัดสนิ ปัญหาเปลี่ยนไป ผตู้ ัดสนิ ใจ
มีทางเลือกไดม้ ากและมคี วามรอบครอบในการตดั สนิ ปญั หาไดด้ ขี ึ้น

7) เทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ เทคโนโลยีเดียวทมี่ ีบทบาททสี่ าํ คญั ในทุกวงการ ดังนัน้ จงึ มผี ลต่อการ
เปลีย่ นแปลงทางสังคม วฒั นธรรม ศีลธรรม การศกึ ษาเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมาก ลองนึกดูว่าขณะน้ี
เราสามารถชมข่าว ชมรายการทวี ี ที่สง่ กระจายผา่ นดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทวั่ โลก เราสามารถรับรู้
ขา่ วสารไดท้ ันที เราใช้เครือข่ายอนิ เทอร์เนต็ ในการส่ือสารระหว่างกัน และตดิ ต่อกบั คนได้ทั่วโลก จึงเปน็ ท่ีแน่
ชัดวา่ แนวโนม้ การเปลี่ยนแปลงทางวฒั นธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมลี ักษณะเป็นสงั คมโลกมาก
ข้นึ

ปัญหาและอปุ สรรคในการใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา

สภาพปัจจุบนั และปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยกี ารศกึ ษาในประเทศไทย

จากความเจริญกา้ วหนา้ ทางวิทยาการจึงทําใหก้ ระบวนการจัดการศึกษาต้องเปลย่ี นแปลงตามไป
ดว้ ยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ดังนนั้ เทคโนโลยีการศึกษาไมว่ า่ จะเป็นสื่อวสั ดุอปุ กรณป์ ระเภทตา่ งๆรวมทง้ั เทคนิควธิ กี าร
และแหล่งสนบั สนนุ การเรยี นร้ตู อ้ งเปลยี่ นแปลงตามไปดว้ ยเชน่ กัน คอมพวิ เตอร์ ไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลและมี
บทบาทต่อการจดั การศึกษาอย่างเด่นชัดมากยิ่งข้ึน และดเู หมอื นวา่ จะเป็นสื่อท่นี ่าสนใจและเป็นสอื่ ที่ต้องการ
ของหลายฝาุ ยที่เก่ยี วข้องกับการจดั การศึกษาทุกๆระดบั ทง้ั น้สี งั คมคาดหวงั วา่ สื่อยุคใหม่หรอื นวตั กรรม
ทางการสอนท่ีแปลกใหมแ่ ละมีความหลากหลายเหลา่ นั้นจะช่วยเสรมิ สรา้ งประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล
ทางการเรยี นรู้และการจดั การศกึ ษาโดยรวมในท่สี ดุ หากมองย้อนหลงั สกั หน่อย จะพบว่าเราเรมิ่ จาก การไมม่ ี
อยากมี แลว้ ไดม้ ี ติดตามด้วยใชไ้ ม่ค่อยเปน็ แลว้ ก็ใช้เป็นกนั มากข้นึ แต่ได้ประโยชน์ มแี ก่นสารสาระหรอื ไมเ่ ป็น
เร่ืองน่าคดิ ส่วนมากจะเข้าลกั ษณะใช้เป็น แต่ไมค่ ่อยได้ประโยชน์ ดูทีก่ ลุ่มเยาวชนกแ็ ล้วกันวา่ เขากําลงั ทาํ อะไร
กนั อยู่กับอนิ เตอรเ์ น็ต เสยี เวลาและทรัพยากรไปเทา่ ไร และได้อะไรตอบแทนกลบั มา ส่วนมากจะเขา้ ข่ายไร้
สาระมากกวา่

ปญั หาทีพ่ บในการใชน้ วตั กรรมการศกึ ษา

1. ปัญหาดา้ นบุคลากร บุคลากรขาดความร้คู วามเข้าใจในการผลิตสื่อประกอบการจัดกจิ กรรม บคุ ลากร
ขาดประสบการณ์ในการใชส้ อ่ื นวตั กรรมทางการศึกษา ไมเ่ ข้าใจและรู้จักวิธีการใชน้ วัตกรรมท่ที างโรงเรยี น

จัดทาํ ข้ึน ขาดความชํานาญในการใช้นวตั กรรม ขาดส่ือประกอบการเรยี น บคุ ลากรสว่ นใหญ่ใหค้ วามรว่ มมือใน
การใช้นวตั กรรม แต่ขาดความต่อเน่ืองแนวทางแก้ไข คือ สร้างความตระหนัก ความรับผดิ ชอบในส่วนท่ยี ัง
บกพร่องทางนวตั กรรมของบุคลากร สง่ เสรมิ ให้เข้าร่วมการอบรมสัมมนา สง่ เสรมิ ให้เกิดการศกึ ษาดว้ ยตนเอง
เพื่อให้ความร้แู ละประสบการณ์ในการใชส้ ื่อนวัตกรรมทางการศึกษาทม่ี ากขึน้

2. ปญั หาด้านวสั ดุ อปุ กรณ์ และงบประมาณ เกีย่ วกับนวัตกรรม คือ ขาดงบประมาณในการพฒั นา
นวัตกรรม ขาดวสั ดุ – อปุ กรณแ์ ละงบประมาณทจ่ี ะพัฒนาสือ่ นวัตกรรม การจัดหา การใช้ การดแู ลรกั ษาและ
ขาดงบจัดหาสอื่ ทนั สมัย แนวทางการแกไ้ ข เพ่ิมงบประมาณให้เพยี งพอ ให้หน่วยงานท่มี ีส่วนเก่ยี วขอ้ งจัดหา
งบประมาณสนับสนนุ สํานักงานเขตพ้ืนที่ตอ้ งชว่ ยดูแลและใหค้ วามชว่ ยเหลอื จดั สรรงบประมาณได้ เพ่ือใชใ้ น
การพัฒนานวตั กรรมให้มีคุณภาพดียงิ่ ข้ึน และระดมทรัพยากรที่มใี นท้องถ่ิน มาชว่ ยสนับสนุน

3. ปัญหาดา้ นสภาพแวดลอ้ ม และสถานทก่ี ารใชน้ วตั กรรม สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไปยังไม่เหมาะสมกบั
การใช้สอื่ เนอื่ งจากความยุ่งยากและไม่คล่องตัว มสี ถานท่ีไม่เปน็ สดั ส่วน ไมม่ หี ้องที่ใช้เพอื่ เก็บรกั ษาสือ่
นวัตกรรมเป็นการเฉพาะ ทําใหก้ ารดแู ลทําไดย้ ากและขาดการพฒั นาทีต่ อ่ เนื่อง แนวทางการแก้ไข คือ ใชส้ อ่ื
นวัตกรรมตามความเหมาะสมของเน้ือหาวิชาตามความยากง่ายของเน้ือหา จัดทําห้องสื่อเคล่อื นท่ี แบง่ ส่ือไป
ตามห้องใหค้ รรู ับผิดชอบ ควรจดั หาห้องเพื่อการนเี้ ปน็ การเฉพาะ

4. ปญั หาดา้ นสภาพการเรยี นการสอน เดก็ มีความแตกต่างกนั ดา้ นสติปญั ญา และด้านรา่ งกาย ปญั หา
ครอบครวั แตกแยก เดก็ อาศัยอย่กู บั ญาติ มีเน้อื หาวิชาทม่ี ากและสาระ การเรยี นการสอนแตล่ ะครัง้ ไม่
ต่อเนื่อง นักเรียนบางคนไมส่ บายใจในกิจกรรม และทําไม่จรงิ จังจึงมผี ลต่อการจดั กิจกรรม นักเรยี นต้องเขา้ ควิ
รอนานกบั นวตั กรรมบางชนิด และสภาพการเรยี นการสอน ครูยังยึดวิธกี ารสอนแบบเดิม คอื บรรยายหน้า
ชั้นเรียน แตส่วนใหญม่ แี นวโนม้ ในการพฒั นาท่ีดีข้ึน ครูยงั ไม่มีการนาํ สือ่ นวตั กรรมมาใชใ้ นการจัดการเรยี นการ
สอนอย่างต่อเนื่อง แนวทางการแกไ้ ข คือ จัดกลมุ่ ใหเ้ พื่อนช่วยเพอ่ื น คอยกํากับแนะนําชว่ ยเหลอื จัดครูเขา้
สอนตามประสบการณ์ความถนดั ควรจัดอบรมเพื่อใหค้ วามรู้ จัดทาํ นวตั กรรมท่มี ีโอกาสเป็นไปได้ และสรา้ ง
การมีส่วนรว่ มจากชมุ ชน สอนเพิม่ เติมนอกเวลา และจัดการสอนแบบรวมชนั้ โดยใชก้ ระบวนการเรยี นการ
สอนตามช่วงชนั้

5. ปัญหาด้านการวดั ผลและประเมินผล คือ บคุ ลากรขาดความร้ใู นการทจ่ี ะนําสือ่ นวัตกรรมมาใชใ้ นการ
วัดผลและประเมนิ ผล นักเรียนทีไ่ ม่ค่อยสนใจหรือไม่ชอบกิจกรรมกจ็ ะมผี ลต่อการจดั ผลประเมินผล ขาด
นวัตกรรมสอ่ื คอมพวิ เตอร์ อินเตอร์เน็ต การวดั ประเมินผล ครูส่วนใหญย่ งั ใช้วธิ กี ารทําแบบทดสอบ แบบ
ปรนยั แนวทางการแก้ไข จดั ทาํ แบบสอบถามสุ่มเป็นรายบุคคล เพศชาย หญงิ เนน้ นกั เรียนได้ฝึกปฏบิ ตั จิ ริง

และสรา้ งองค์ความรดู้ ้วยตนเอง จดั แบบทดสอบท่หี ลากหลาย ทัง้ แบบปรนยั และอัตนยั และประเมินผลตาม
สภาพจรงิ ประเมนิ ผลงานจากแฟูมสะสมงาน

ปัญหา อุปสรรค การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา

1. ดา้ นการกระจายโครงสรา้ งพ้ืนฐานเพื่อการศึกษา มสี ถานศกึ ษาจํานวนหน่ึงทีโ่ ทรศพั ท์ยังเข้าไม่ถงึ
และคอมพิวเตอร์ยงั ไม่มีหรือมีแต่ไมเ่ พยี งพอต่อความตอ้ งการ และทมี่ ีอยู่ก็ขาดการบํารงุ รักษา รวมทั้งไม่อยู่ใน
สภาพทีใ่ ช้การได้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ โครงสรา้ งพ้ืนฐานเพ่ือการศึกษาโดยเฉพาะคสู่ ายโทรศัพทย์ ังมีบริการไม่ทั่วถึง
อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานศึกษาเหลา่ น้ีอยู่ในท้องถิ่นทหี่ ่างไกล ดังนัน้ สถานศกึ ษาตอ้ งรบี ดําเนินการเพราะเป็น
พื้นฐานท่ีจาํ ไปสู่ระบบอินเทอรเ์ น็ต

2. ดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพฒั นาการเรียนรู้ ครใู ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการ
สือ่ สารเพ่ือพัฒนาทักษะวชิ าชพี ครนู ้อยมาก และคอมพิวเตอรม์ ีจาํ นวนไม่พอกบั ความต้องการทคี่ รูจะใช้ แสดง
ให้เห็นวา่ ครูยงั ต้องได้รับการพัฒนาดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อกี เปน็ จํานวนมาก และสถานศึกษาก็
ต้องจัดหาคอมพวิ เตอรใ์ หเ้ พียงพอต่อความตอ้ งการของครู

3. ดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบรหิ ารจัดการและใหบ้ ริการ
ทางการศกึ ษา สถานศกึ ษายังขาดรปู แบบระบบสารสนเทศ ผู้บรหิ ารใหม้ คี วามรูค้ วามเข้าใจในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในระดับเบ้ืองต้น แสดงใหเ้ หน็ ว่าสถานศกึ ษายังไม่มีระบบข้อมลู
สารสนเทศท่เี ปน็ รปู ธรรมทชี่ ัดเจน ผู้บรหิ ารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารเสนเทศและการ
ส่ือสารเพ่ือให้เกิดความตระหนักและเหน็ ความสาํ คัญของการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารท่จี ะนาํ มา
พัฒนาการบรหิ ารจัดการและการบริการทางการศึกษา

4. ดา้ นการผลติ และพฒั นาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของครู
ดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยงั ขาดความต่อเน่ือง บางคนใน 3 ปที ่ีผ่านมายังไม่เคยไปเขา้ รับการฝึกอบรม
ด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารเลย แสดงให้เหน็ ว่า ครไู ดร้ ับการพัฒนาดา้ นการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสือ่ สารยังไม่ท่วั ถงึ เพราะมีครูอีกจํานวนหนึ่งที่ในรอบ 3 ปีทผ่ี ่านมายงั ไมเ่ คยได้รบั การอบรม
ด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารเลย

ความรู้ทั่วไปเกย่ี วกับสารสนเทศ

ในภาวะปัจจุบันท่ที ั่วทุกมุมโลกมีการเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะ
เปน็ ประเทศด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหรือประเทศที่พฒั นาแล้วก็ตาม ตา่ งอยใู่ นภาวะท่ีต้องมี
การปรับตวั กันอย่างมาก ประเทศไทยกเ็ ช่นเดยี วกันฉะนัน้ จึงถอื ได้วา่ เราทุกคนน้นั ต่างดําเนินชีวติ อยู่ใน
ชว่ งเวลาของการเปลีย่ นแปลง โดยเฉพาะรูปแบบทางสงั คมท่ีเกิดข้นึ ตา่ งมคี วามต้องการทีจ่ ะรับทราบข้อมูล
ข่าวสาร และพึง่ พาอาศยั ข้อมูลสารสนเทศในการดํารงชวี ิตประจําวันมากขน้ึ ทุกวนั ซง่ึ กเ็ ป็นผลสืบเนือ่ งมาจาก
แรงผลกั ดันของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรอื ทเ่ี รยี กกนั ว่า IT

นอกจากนี้ ถอื ได้ว่าระบบคอมพวิ เตอรแ์ ละระบบส่ือสารโทรคมนาคมท่ที ันสมัยจะ
กอ่ ให้เกิดการปฏิวตั ทิ างเทคโนโลยีแลว้ ยงั สง่ ผลกระทบในวงกวา้ งต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรม และ
กิจกรรมระหวา่ งประเทศ เปรียบเสมอื นในช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลงใชเ้ ครื่องจักร ไอน้ําในงานอตุ สาหกรรม และ
ถือได้วา่ เปน็ ยคุ ที่สามท่ีพฒั นาตอ่ เนอื่ งมาจาก ยคุ เกษตรกรรม และ ยุคอตุ สาหกรรม

ปจั จบุ นั เทคโนโลยสี ารสนเทศไดส้ รา้ งการเปลย่ี นแปลงในทุกระดับ ต้ังแตร่ ะบบสงั คม
องค์การธรุ กจิ และปจั เจกชน โดยเทคโนโลยีสารสนเทศกระตนุ้ ให้เกิดการปรบั รูปแบบ ความสัมพันธภ์ ายใน
สงั คม การแขง่ ขนั และความร่วมมือทางธุรกิจ ตลอดจนกจิ กรรมการดาํ รงชวี ติ ของบคุ คลใหแ้ ตกต่างจากอดีต
ดงั นัน้ บคุ คลทุกคนในฐานะสมาชิกของสงั คมสารสนเทศ (Information Society) จงึ จาํ เป็นต้องมีความรู้
ทักษะ และความเขา้ ใจถงึ ศักยภาพของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เพ่ือให้สามารถดาํ รงชีวติ และประกอบธรุ กจิ อย่าง
มปี ระสิทธภิ าพในอนาคต


Click to View FlipBook Version