The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-04 09:38:24

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี

เทคโนโลยีสารสนเทศมผี ลเก่ยี วข้องกบั ทุกเรื่องในชีวิตประจําวัน บทบาทเหล่านี้มแี นวโนม้ ทีส่ ําคญั มากยงิ่ ข้ึน
ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหมจ่ ึงควรเรียนรู้ และเขา้ ใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่อื จะได้เปน็ กาํ ลงั สําคัญ
ในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกดิ ประโยชน์ต่อประเทศตอ่ ไป

ความหมายและความสําคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เทคโนโลยสี ารสนเทศ มาจากคําภาษาองั กฤษวา่ Information Technology และมีผนู้ ยิ มเรียก
ทบั ศพั ท์ยอ่ วา่ IT สุชาดา กรี ะนนั ท์ (2541) ใหค้ วามหมายว่า เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยที กุ
ด้านท่ีเข้ารว่ มกนั ในกระบวนการจดั เกบ็ สรา้ ง และสอ่ื สารสนเทศ ครรชิต มาลยั วงศ์ (2539) กล่าวว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบดว้ ยเทคโนโลยีที่สาํ คัญสองสาขาคือ เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ และ เทคโนโลยี
ส่อื สารโทรคมนาคม โดยทว่ั ไปแลว้ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะครอบคลุมถงึ เทคโนโลยีต่างๆ ที่เกย่ี วข้องกบั การ
บันทึก จดั เกบ็ ประมวลผลสืบคน้ ส่งและรบั ข้อมูลในรปู ของสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ ซ่งึ รวมถึงเคร่ืองมือและอุปกรณ์
ต่างๆ เชน่ คอมพวิ เตอร์ อุปกรณจ์ ดั เกบ็ บันทึกและคน้ คืน เครอื ข่ายสอื่ สาร ข้อมูล อปุ กรณส์ อ่ื สารและ
โทรคมนาคม รวมทั้งระบบทีค่ วบคุมการทํางานของอุปกรณ์เหล่านี้

ครรชติ มาลยั วงศ์ (2541) กลา่ วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสําคัญ ดังนี้

1. สามารถจัดเกบ็ ข้อมลู จากจดุ เกดิ ได้อยา่ งรวดเรว็
2. สามารถบนั ทึกข้อมูลจาํ นวนมากๆไวใ้ ช้งานหรือไวอ้ า้ งองิ การดาํ เนินงานหรอื การตัดสนิ ใจ

ใดๆ
3. สามารถคํานวณผลลพั ธต์ ่างๆไดร้ วดเรว็
4. สามารถสร้างผลลัพธไ์ ด้หลากหลายรปู แบบ
5. สามารถส่งสารสนเทศ ขอ้ มูล หรอื ผลลัพธท์ ่ีไดจ้ ากท่ีหน่งึ ไปยังอีกที่หนงึ่ ไดอ้ ย่างรวดเรว็

ระบบสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศ (Information Sstemy : IS) หมายถงึ ระบบท่ีไดน้ ําเอาเทคโนโลยดี า้ นคอมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยกี ารส่อื สารโทรคมนาคมมาใช้ในการรวบรวม บันทกึ และประมวลผลข้อมูล เพ่ือใชใ้ นการวางแผน
และ ประกอบการตดั สินใจภายในองค์กร เพื่อให้การดําเนนิ งานขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ
บรรลุเปูาหมาย ซึง่ ระบบจะประกอบด้วยบุคลากร ซอฟตแ์ วร์ ฮารด์ แวร์ ระบบเครือข่าย และฐานข้อมูล

ในระบบสารสนเทศจะประกอบดว้ ยกระบวนการอยู่ 3 อย่าง คือ Input (การนําข้อมลู เข้า) Processing
(การประมวลผล) และ Output (การแสดงผล) ซง่ึ ทั้ง 3 กระบวนการนีจ้ ะทําหน้าที่ในการเปล่ียนขอมูลดิบท่ี
เข้ามาทางด้าน Input ให้เป็นสารสนเทศที่ออกมาทาง Output และจะยอนกลบั (Feedback) ไปยงั Input
เพอื่ ใหม้ กี าร ประเมินผลการทํางาน

วิวฒั นาการของสารสนเทศ

อดตี มนุษยย์ งั ไม่มภี าษาที่ใช้สําหรบั การสอ่ื สาร เม่ือเกิดมีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกดิ ขนึ้ ก็ไมส่ ามารถ
ถ่ายทอด หรือเผยแพร่แกบ่ ุคคลอ่ืน หรอื สังคมอนื่ ได้ อย่างถกู ต้องตรงกนั ระหวา่ งผสู้ ง่ สารกบั ผรู้ ับสาร จงึ มกี าร
คิดใช้สญั ลักษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย ทําหน้าทส่ี ่อื ความหมายแทนเหตุการณ์ดังกลา่ ว จึงมกี ารใชก้ ฎ
และสูตร (Rule & Formulation) มาใชเ้ พื่ออธิบายเหตกุ ารณ์ดงั กลา่ วว่าเกิดมาจากสาเหตใุ ด หรอื เกดิ มาจาก
สารใดผสมกบั สารใด เปน็ ต้น จากนน้ั เม่ือ มนุษย์มภี าษา สาํ หรบั การสอื่ สารแลว้ ก็เกิดมีข้อมลู (Data) เก่ียวกับ
เหตกุ ารณ์ดังกลา่ ว เกดิ ขน้ึ มามากมาย ท้งั จากภายในสังคมเดียวกัน หรอื จากสงั คมอ่ืนๆ เพื่อให้ไดค้ ําตอบที่
ถูกต้อง ทําให้ต้องมกี ารวิเคราะห์ หรือประมวลผล ข้อมูลให้มีสถานภาพเปน็ สารสนเทศ (Information) ที่จะ
เป็นประโยชนต์ อ่ ผู้ใช้ หรือผู้บรโิ ภค เมือ่ ผู้บรโิ ภคมีการสะสม เพิ่มพนู สารสนเทศมากๆเขา้ และมกี ารเรยี นรู้
(Learning) จนเกิดความเข้าใจ (Understanding) ก็จะเป็นการพฒั นา สารสนเทศทีม่ ีอยู่ในตนเองเป็นองค์
ความรู้ (Knowledge) เนอื่ งจากมนุษย์เปน็ ผู้ที่มีสติ (สมั ปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตแุ ละผล
(Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยูก่ จ็ ะมีการพฒั นาความร้เู ปน็ ปญั ญา (Wisdom) ในท่สี ุด ดังแสดงได้ ตาม
ภาพขา้ งลา่ งน้ี

สาเหตุท่ีทาํ ให้เกดิ สารสนเทศ

1. เม่ือมีวทิ ยาการความรู้ หรือสงิ่ ประดิษฐ์ หรอื ผลติ ภัณฑ์ใหมๆ่ พรอ้ มกันนัน้ ก็จะเกิด สารสนเทศมา
พร้อมๆ กันด้วย จากนนั้ กจ็ ะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกยี่ วกบั วทิ ยาการความรู้ หรอื
ส่ิงประดิษฐ์ ผลติ ภัณฑ์ ชนิดน้ันๆไปยัง แหล่งต่างๆ ที่เกย่ี วข้อง

2. เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เปน็ เคร่ืองมือสาํ คัญในการผลติ สารสนเทศ เนอ่ื งจากมี ความสะดวกในการ
ปอู น ขอ้ มูล การปรบั ปรุงแก้ไข การทาํ ซํ้า การเพ่ิมเตมิ ฯลฯ ทําให้มีความ สะดวกและงา่ ยต่อการผลิต
สารสนเทศ

3. เทคโนโลยีสื่อสารยคุ ใหมม่ ีความเรว็ ในการสื่อสารสงู ข้นึ สามารถเผยแพรส่ ารสนเทศ จากแหลง่ หน่ึง
ไปยัง สถานทีต่ ่างๆ ทั่วโลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณท์ ่เี กิดขึน้ จรงิ อีกทง้ั สามารถส่งผ่านขอ้ มูลได้อย่าง
หลากหลาย รปู แบบ พรอ้ มๆ กันในเวลาเดยี วกนั

4. เทคโนโลยีการพมิ พ์ทม่ี คี วามสามารถในการผลิตสารสนเทศสงู ขน้ึ สามารถผลิตสารสนเทศได้ครง้ั ละ
จํานวน มากๆ ในเวลาสัน้ ๆ มีสสี นั เหมือนจริง ทําใหม้ ีปรมิ าณสารสนเทศใหม่ๆ เกดิ ขน้ึ อยู่ตลอดเวลา

5. ผู้ใชม้ ีความจําเปน็ ต้องใชส้ ารสนเทศเพื่อการศึกษา เพือ่ การค้นคว้าวจิ ัย เพอ่ื การ พัฒนาคณุ ภาพชวี ิต
เพื่อการ ตดั สินใจ เพื่อการแก้ไขปัญหา เพ่อื การปฏิบตั งิ าน หรือปรับปรงุ ประสทิ ธิภาพการปฏิบตั งิ าน, การ
บรหิ ารงาน ฯลฯ

6. ผู้ใชม้ ีความตอ้ งการใชส้ ารสนเทศ เพือ่ ตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งทอ่ี ยู่ของสารสนเทศ
ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศทีม่ าจากตา่ งประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่างหลากหลาย หรอื
ต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเรว็ เป็นตน้
ความหมายของคําว่า ขอ้ มลู
จากการศึกษาพบวา่ มีผู้ให้คาํ นยิ ามของคาํ ว่าข้อมลู ไว้ หลากหลาย เช่น

 ขอ้ มลู คือ ข้อเท็จจรงิ ภาพ (Images) หรือเสียง (Sounds) ทีอ่ าจจะ(หรอื ไม่) แกไ้ ขปัญหา
(Pertinent) หรอื เปน็ ประโยชนต์ ่อการปฏิบัตงิ าน (Alter 1996 : 28)

 ขอ้ มูล คือ ตัวแทนของข้อเทจ็ จรงิ ตวั เลข ขอ้ ความ ภาพ รูปภาพ หรอื เสยี ง (Nickerson 1998 : 10-
11)

 ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่แทนเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดข้นึ ภายในองค์การ หรือส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพก่อนทจ่ี ะ
มีการจัด ระบบใหเ้ ป็นรปู แบบท่คี นสามารถเขา้ ใจ และนาํ ไปใชไ้ ด้ (Laudon and Laudon 1999 :8)

 ข้อมลู คือ ข้อเท็จจรงิ หรือการอภปิ รายปรากฏการณ์อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ (Haag, Cummings and
Dawkins 2000 : 31)

 ข้อมูล คือ ส่งิ ประกอบไปด้วยข้อเทจ็ จรงิ และสญั ลักษณ์ (Figures) ทม่ี ีความสมั พันธ์ (ไม่มีความหมาย
หรือมี ความหมายน้อย) กบั ผู้ใช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

 ข้อมลู คือ คําอธบิ ายพ้ืนฐานเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ กจิ กรรม หรือธุรกรรม ซ่งึ ไดร้ บั การบันทึก
จําแนก และ เกบ็ รักษาไว้ โดยทยี่ ังไม่ได้เกบ็ ให้เป็นระบบ เพ่ือท่จี ะให้ความหมายอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ท่ี
แน่ชัด (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)

 ขอ้ มลู ประกอบไปด้วยข้อเทจ็ จรงิ (Raw Facts) เช่น ชือ่ ลูกค้า ตวั เลขเกี่ยวกับจํานวนชว่ั โมงทท่ี าํ งาน
ในแตล่ ะ สปั ดาห์ ตวั เลขเก่ยี วกบั สนิ คา้ คงคลงั หรอื รายการสง่ั ของ (Stair and Reynolds 2001 : 4)

 ขอ้ มูล คือ ข้อเทจ็ จริง ที่ใชแ้ ทนเหตกุ ารณท์ ี่เกดิ ข้ึน และได้รับการรวบรวม หรือปูอนเข้าระบบ (เลาว์
ดอน และ เลาวด์ อน 2545 : 6)

 ข้อมลู คือ ข้อเท็จจรงิ หรอื สงิ่ ทีก่ อ่ หรือยอมรบั ว่าเปน็ ข้อเท็จจรงิ (ขอ้ เทจ็ จริง หมายถงึ ข้อความ หรือ
เหตกุ ารณท์ ่ี เปน็ มา หรอื ท่ีเป็นอยู่จรงิ (ราชบณั ฑิตยสถาน 2539 : 134) สําหรบั ใช้เป็นหลกั อนุมานหา
ความจริง หรอื การคาํ นวณ (หน้าเดียวกัน)

 ขอ้ มลู คือ ข้อความจริงเกี่ยวกับเรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความท่ีทาํ ให้ผ้อู า่ นทราบ
ความเป็น ไป หรอื เหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ (สุชาดา กรี ะนันท์ 2542 : 4)

 ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่ในชีวิตประจาํ วนั เกีย่ วกับบคุ คล ส่ิงของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ทอี่ าจเปน็
ตัวเลข ตวั อกั ษร ข้อความ ภาพ หรอื เสยี งก็ได้ (จติ ติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 3)

 ข้อมลู คือ ข้อมูลดบิ (Raw Data) ทยี่ ังไม่มีความหมายในการนําไปใชง้ าน และถกู รวบรวมจากแหล่ง
ต่างๆ ทง้ั ภาย ใน และภายนอกองค์การ (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล 2545 : 40)

 ข้อมลู คือ ข้อเทจ็ จริง เก่ียวกับเหตุการณ์ หรอื ขอ้ มลู ดิบท่ียังไมผ่ า่ นการประมวลผล ยงั ไมม่ ีความหมาย
ในการ นาํ ไปใชง้ าน ข้อมลู อาจเป็นตวั เลข ตัวอกั ษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรอื ภาพเคลือ่ นไหว
(ทพิ วรรณ หล่อสวุ รรณรตั น์ 2545 : 9)

 ข้อมลู คือ ตวั อักษร ตัวเลข หรือสญั ลกั ษณ์ใดๆ (นิภาภรณ์ คําเจรญิ 2545 : 14)

ความหมายของคําว่า ข้อมูล

จากการศึกษาพบว่ามีผ้ใู ห้คํานิยามของคําวา่ ข้อมูลไว้ หลากหลาย เช่น

 ข้อมูล คือ ข้อเทจ็ จริง ภาพ (Images) หรอื เสียง (Sounds) ที่อาจจะ(หรือไม่) แก้ไขปัญหา
(Pertinent) หรอื เปน็ ประโยชน์ต่อการปฏิบตั งิ าน (Alter 1996 : 28)

 ขอ้ มลู คือ ตัวแทนของข้อเท็จจริง ตวั เลข ขอ้ ความ ภาพ รปู ภาพ หรือเสียง (Nickerson 1998 : 10-
11)

 ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงทแี่ ทนเหตุการณ์ทีเ่ กิดข้นึ ภายในองค์การ หรือสิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพก่อนท่จี ะ
มกี ารจัด ระบบให้เป็นรปู แบบทคี่ นสามารถเข้าใจ และนาํ ไปใช้ได้ (Laudon and Laudon 1999 :8)

 ขอ้ มูล คือ ข้อเท็จจริง หรือการอภปิ รายปรากฏการณอ์ ยา่ งใดอย่างหนง่ึ (Haag, Cummings and
Dawkins 2000 : 31)

 ข้อมลู คือ สง่ิ ประกอบไปดว้ ยขอ้ เท็จจริง และสญั ลกั ษณ์ (Figures) ที่มคี วามสัมพันธ์ (ไม่มีความหมาย
หรือมี ความหมายน้อย) กบั ผู้ใช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

 ขอ้ มูล คือ คาํ อธบิ ายพื้นฐานเก่ียวกบั สงิ่ ของ เหตุการณ์ กจิ กรรม หรือธรุ กรรม ซ่งึ ได้รับการบนั ทกึ
จาํ แนก และ เก็บรกั ษาไว้ โดยทย่ี ังไม่ได้เกบ็ ใหเ้ ปน็ ระบบ เพือ่ ทจ่ี ะให้ความหมายอย่างใดอยา่ งหน่งึ ที่
แน่ชัด (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)

 ขอ้ มูล ประกอบไปดว้ ยข้อเทจ็ จรงิ (Raw Facts) เช่น ชอ่ื ลูกคา้ ตวั เลขเกยี่ วกบั จาํ นวนช่วั โมงทท่ี าํ งาน
ในแตล่ ะ สัปดาห์ ตวั เลขเกย่ี วกับสนิ คา้ คงคลัง หรือรายการสง่ั ของ (Stair and Reynolds 2001 : 4)

 ข้อมลู คือ ข้อเทจ็ จรงิ ที่ใชแ้ ทนเหตกุ ารณท์ เี่ กิดขน้ึ และได้รับการรวบรวม หรือปอู นเขา้ ระบบ (เลาว์
ดอน และ เลาวด์ อน 2545 : 6)

 ข้อมูล คือ ข้อเท็จจรงิ หรือสิง่ ทก่ี อ่ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจรงิ (ขอ้ เทจ็ จรงิ หมายถึง ข้อความ หรอื
เหตกุ ารณท์ ี่ เปน็ มา หรือที่เป็นอยจู่ ริง (ราชบณั ฑิตยสถาน 2539 : 134) สาํ หรับใช้เป็นหลกั อนมุ านหา
ความจริง หรือการคาํ นวณ (หน้าเดียวกนั )

 ขอ้ มลู คือ ข้อความจริงเก่ยี วกับเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความท่ีทําให้ผู้อ่านทราบ
ความเป็น ไป หรอื เหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขนึ้ (สุชาดา กรี ะนนั ท์ 2542 : 4)

 ข้อมูล คือ ข้อเท็จจรงิ ทมี่ อี ยู่ในชวี ิตประจําวนั เกีย่ วกับบุคคล ส่ิงของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ทอ่ี าจเปน็
ตัวเลข ตัวอักษร ข้อความ ภาพ หรอื เสียงก็ได้ (จติ ติมา เทียมบุญประเสรฐิ 2544 : 3)

 ขอ้ มูล คือ ข้อมูลดิบ (Raw Data) ทยี่ งั ไมม่ ีความหมายในการนาํ ไปใชง้ าน และถูกรวบรวมจากแหล่ง
ตา่ งๆ ทัง้ ภาย ใน และภายนอกองคก์ าร (ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนันทน์ และไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล 2545 : 40)

 ขอ้ มูล คือ ข้อเท็จจริง เก่ยี วกับเหตุการณ์ หรือขอ้ มูลดบิ ทีย่ ังไม่ผา่ นการประมวลผล ยังไม่มีความหมาย
ในการ นาํ ไปใชง้ าน ขอ้ มูลอาจเป็นตัวเลข ตวั อกั ษร สญั ลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือภาพเคลื่อนไหว
(ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์ 2545 : 9)

 ขอ้ มูล คือ ตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลกั ษณใ์ ดๆ (นิภาภรณ์ คําเจรญิ 2545 : 14)

สรุป ข้อมูล คือ ขอ้ เท็จจริงเกี่ยวกับเรอ่ื งตา่ งๆ ท่ีมลี ักษณะเป็นตวั เลข ตวั อักษร สัญลักษณ์ ภาพ เสยี ง กลนิ่
หรอื มี ลักษณะประสมกัน

เราสามารถแบ่งขอ้ มลู ออกเป็น 4 ชนิด ดงั น้ี (Alter 1996 : 151-152, Stair and Reynolds 2001 : 5)

1. ขอ้ มูลที่เป็นอักขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอกั ษร (Letters)
เครือ่ งหมาย (Sign) และ สญั ลักษณ์ (Symbol)

2. ข้อมลู ท่ีเป็นภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรปู ภาพ (Pictures)

3. ขอ้ มลู ที่เป็นเสยี ง (Audio Data) ไดแ้ ก่ เสยี ง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise) และเสยี งท่ี
มรี ะดบั (Tones) ต่างๆ เชน่ เสียงสงู เสยี งตาํ่ เป็นต้น

4. ขอ้ มลู ท่ีเป็นภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ได้แก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or Pictures)และ วีดิ
ทศั น์ (Video)นอกจากนัน้ ยังพบวา่ มขี ้อมูลในลักษณะของกลิน่ (Scent) และข้อมูลในลักษณะท่ีมีการ
ประสมประสานกัน เชน่ มกี ารนาํ เอาข้อมูลทั้ง 4 ชนดิ มารวมกันเรียกวา่ สอ่ื ประสม (Multimedia)
แต่ถ้ามีการ

5. ประสมข้อมลู ที่เปน็ กลน่ิ เขา้ ไปดว้ ย เราเรยี กว่า Multi-scented

กรรมวธิ กี ารจดั การข้อมูล

การจัดการข้อมูลใหม้ คี ุณค่าเป็นสารสนเทศ กระทาํ ได้โดยการเปลย่ี นแปลงสถานภาพของข้อมูล ซงึ่ มี
วธิ กี าร หรือ กรรมวิธดี ังต่อไปนี้ (Kroenke and Hatch1994 : 18-20)การรวบรวมข้อมลู

(Capturing/gathering/collecting Data) ทีต่ อ้ งการจากแหล่งตา่ งๆ โดยการเคร่ืองมอื ช่วยคน้ ทเ่ี ปน็
บตั รรายการ หรือ OPAC แลว้ นาํ ตวั เล่มมาพิจารณาวา่ มรี ายการใดที่สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ได้ การ
ตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเนอื้ หาของข้อมลู ทห่ี ามาได้ ในประเด็นของ ความ
ถกู ต้องและความแมน่ ยาํ ของเนอ้ื หา ความสอดคล้องของตาราง, ภาพประกอบ หรือแผนท่ี กบั เน้ือหาการ
จดั แยกประเภท/จัดหมวดหมู่ขอ้ มูล (Classifying Data) เม่อื ผ่านการตรวจสอบความถูกตอ้ ง สอดคล้องกัน
ของเน้ือหาแลว้ นําข้อมูลต่างๆ เหล่าน้นั มาแยกออกเปน็ กอง หรือกลมุ่ ๆ ตามเรื่องราวที่ปรากฏในเนอ้ื หา
จากนนั้ กน็ ําแต่ละกอง หรือกล่มุ มาทําการเรียงลําดบั /เรียบเรยี งขอ้ มูล (Arranging/sorting Data) ให้เปน็ ไป
ตามความเหมาะสมของเน้ือหาวา่ จะเรมิ่ จากหวั ข้อใด จากน้ันควรเป็นหวั ข้ออะไรหากมีขอ้ มลู เกยี่ วกบั ตวั เลข
จะต้องนําตัวเลขนั้นมาทําการวิเคราะห์หาคา่ ทางสถิติท่เี ก่ียวข้อง หรอื ทําการ คํานวณข้อมูล (Calculating
Data) ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธอ์ อกเสียก่อน

1. หลังจากน้ันจึงทาํ การสรปุ (Summarizing/conclusion Data) เน้อื หาในแต่ละหัวข้อ
2. เสร็จแล้วทําการจัดเก็บ หรือบนั ทึกข้อมลู (Storing Data) ลงในสอ่ื ประเภทตา่ งๆ เช่น ทําเปน็ รายงาน

หนงั สอื บทความตีพมิ พ์ในวารสาร หนงั สือพมิ พ์ หรอื ลงในฐานขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ (แผ่นดิสก์ ซีดี-รอม
ฯลฯ)
3. จดั ทําระบบการค้นคืน เพื่อความสะดวกในการจัดเกบ็ และค้นคืนสารสนเทศ (Retrieving Data) จะได้
จดั เก็บและคน้ คนื สารสนเทศอยา่ งถูกต้อง แม่นยาํ รวดเรว็ และตรงกบั ความต้อง
4. ในการประมวลผลเพอื่ ให้ได้มาซงึ่ สารสนเทศ จักต้องมีการสําเนาขอ้ มูล (Reproducing Data) เพ่อื
ปอู งกัน ความเสยี หายท่ีอาจเกดิ ขึ้นกับข้อมูล ทั้งจากสาเหตุทางกายภาพ และระบบการจัดเกบ็ ข้อมูล
5. จากนน้ั จงึ ทาํ การการเผยแพร่ หรอื สื่อสาร หรือกระจายข้อมลู (Communicating/disseminating
Data) เพอ่ื ใหผ้ ลลัพธท์ ไ่ี ด้ถึงยังผู้รบั หรือผู้ที่เกย่ี วข้อง

การจัดการขอ้ มูลให้มสี ถานภาพเปน็ สารสนเทศ (Transformation Processing) ในความเปน็ จรงิ แลว้ ไม่
จาํ เปน็ ท่ี จะต้องทาํ ครบ ทัง้ 10 วิธกี าร การที่จะทาํ กี่ขั้นตอนนน้ั ขึ้นอยกู่ ับ ขอ้ มูลทีน่ ําเข้ามาในระบบการ
ประมวลผล หากข้อมูลผา่ น ขั้นตอน ท่ี 1 หรอื 2 มาแลว้ พอมาถึงเรา เราก็ทําขัน้ ตอนที่ 3 ตอ่ ไปได้ทันที แต่
อย่างไรก็ตามการให้ไดม้ าซ่งึ ผลลัพธ์ท่ีมี คุณค่า จักต้องทําตามลาํ ดบั ดังกลา่ วข้างตน้ ไม่ควรทําขา้ มขน้ั ตอน
ยกเว้นขั้นตอนท่ี 5 และข้ันตอนที่ 6 กรณที ี่เป็นข้อมูล เกยี่ วกบั ตัวเลขก็ทําขั้นตอนท่ี 5 หากข้อมูลไม่ใช่ตัวเลข
อาจจะขา้ มขัน้ ตอนที่ 5 ไปทําขน้ั ตอนที่ 6 ได้เลย เปน็ ต้น ผลลพั ธ์ หรอื ผลผลิตทไ่ี ดจ้ ากการประมวลผล หรือ
กรรมวิธจี ดั การข้อมูล ปรากฏแกส่ ังคมในรูปของส่อื ประเภทต่างๆ เชน่ เป็น หนังสือ วารสาร หนังสอื พิมพ์ ซดี ี-

รอม สไลด์ แผ่นใส แผนที่ เทปคลาสเซท ฯลฯ แต่อยา่ งไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า ผลผลติ หรือผลลัพธ์น้ันจะ
มสี ถานภาพเป็นสารสนเทศเสมอไป
บทบาทความสําคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ

ความก้าวหนา้ ทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาํ ใหม้ ีการพฒั นาคิดค้นส่งิ อํานวยความ
สะดวกสบายตอ่ การดําชวี ิตเปน็ อนั มาก เทคโนโลยไี ด้เข้ามาเสริมปัจจยั พืน้ ฐานการดํารงชวี ติ ไดเ้ ปน็ อย่างดี
เทคโนโลยที ําใหก้ ารสรา้ งท่ี พักอาศยั มีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสนิ ค้าและให้บริการตา่ ง ๆ เพ่อื
ตอบสนองความต้องการของมนุษยม์ ากขนึ้ เทคโนโลยที าํ ให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินคา้ ไดเ้ ปน็ จาํ นวน
มากมรี าคาถูกลง สินค้าไดค้ ุณภาพ เทคโนโลยที าํ ใหม้ ี การติดต่อสือ่ สารกันไดส้ ะดวก การเดินทางเช่ือมโยงถึง
กันทาํ ให้ประชากรในโลกตดิ ต่อรับฟงั ข่าวสารกันไดต้ ลอดเวลา

พัฒนาการของเทคโนโลยีทําให้ชีวติ ความเป็นอยูเ่ ปล่ียน ไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมกี าํ เนิดมา
ประมาณ 4600 ล้านปี เช่อื กันว่าพัฒนาการตามธรรมชาตทิ ําใหเ้ กดิ สง่ิ มชี วี ิตถอื กําเนนิ บนโลกปร ะมาณ 500
ลา้ นปที แ่ี ลว้ ยุค ไดโนเสารม์ ีอายอุ ย่ใู นช่วง 200 ล้านปี สงิ่ มชี ีวติ ท่เี ปน็ เผ่าพันธ์ุมนษุ ย์ ค่อย ๆ พัฒนามา
คาดคะเนว่าเม่ือหา้ แสนปีทแ่ี ล้ว มนุษยส์ ามารถสง่ สญั ญาณทา่ ทางสื่อสารระหวา่ งกันและพัฒนามาเป็นภาษา
มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสอื และจารึก ไวต้ ามผนกึ ถ้า เมอื่ ประมาณ 5000 ปที ่แี ลว้ กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้
เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนงั สอื ทใ่ี ช้ แทนภาษาพูด และจากหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์พบวา่
มนษุ ย์สามารถจัดพิมพห์ นังสือไดเ้ มือ่ ประมาณ 5000 ปีที่ แล้ว กลา่ วได้วา่ ฐานทางประวัตศิ าสตรพ์ บวา่ มนุษย์
สามารถจดั พิมพห์ นังสือไดเ้ มื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปที แี่ ลว้ เทคโนโลยเี ร่ิมเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทําใหก้ าร
สอ่ื สารด้วยข้อความและภาษาเพ่มิ ขนึ้ มาก เทคโนโลยพี ัฒนามาจนถึง การสื่อสารกนั โดยสง่ ข้อความเปน็ เสยี ง
ทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณรอ้ ยกวา่ ปีที่แล้ว และเมอื่ ประมาณหา้ สบิ ปที ี่แลว้ กม็ ีการส่งภาพโทรทศั น์และ
คอมพวิ เตอร์ทําให้มีการใช้สารสนเทศในรปู แบบขา่ วสารมากขึน้ ในปัจจบุ นั มสี ถานทีว่ ิทยุ โทรทัศน์
หนังสอื พิมพ์ แ ละสื่อตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในการกระจา่ ยขา่ วสาร มกี ารแพรภ่ าพทางโทรทศั นผ์ ่านดาวเทยี มเพื่อ
รายงานเหตุการณส์ ด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีไดเ้ ข้ามามีบทบาทอยา่ งมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยี
รวดเรว็ ขนึ้ เมอ่ื มกี ารพัฒนาอุปกรณท์ างด้านคอมพวิ เตอรแ์ ละส่วนประกอบ จะเหน็ ไดว้ ่าในช่วงส่หี า้ ปที ผี่ ่านมา
จะมผี ลิตภณั ฑใ์ หม่ ซึ่งมีคอมพวิ เตอรเ์ ข้าไปเกีย่ วขอ้ งให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ลักษณะสาํ คัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยพืน้ ฐานของเทคโนโลยียอ่ มมปี ระโยชนต์ อ่ การพัฒนาประเทศชาติใหเ้ จริญกา้ วหน้าได้ แต่
เทคโนโลยี สารสนเทศเป็นเรือ่ งท่ีเกีย่ วข้องกบั วถิ ีความเป็นอย่ขู องสงั คมสมยั ใหม่อย่มู าก ลักษณะเดน่ ทส่ี าํ คญั
ของเทคโนโลยี สารสนเทศมีดังนี้

- เทคโนโลยสี ารสนเทศชว่ ยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทาํ งาน ในการ
ประกอบการ ทางด้านเศรษฐกจิ การค้า และการอุตสาหกรรม จําเปน็ ตอ้ งหาวธิ ีในการเพิ่มผลผลติ ลดตน้ ทนุ
และเพ่ิมประสิทธิภาพ ในการทํางานคอมพวิ เตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทําใหเ้ กิดระบบอัตโนมัติ เรา
สามารถฝากถอนเงินสดผา่ นเคร่อื ง เอทเี อ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถใหบ้ ริการไดด้ ีขึ้น ทาํ ใหก้ ารบริการ
โดยรวมมีประสทิ ธิภาพ ในระบบการจดั การ ทุกแหง่ ต้องใช้ขอ้ มลู เพ่อื การดาํ เนินการและการตดั สนิ ใจ ระบบ
ธรุ กจิ จึงใช้เครือ่ งมอื เหล่านช้ี ว่ ยในการทาํ งาน เช่น ใช้ ในระบบจดั เกบ็ เงนิ สด จองต๋ัวเครื่องบิน เปน็ ตน้

- เทคโนโลยีสารสนเทศเปล่ียนรปู แบบการบริการเปน็ แบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล
และการใช้ ข้อมลู ไดด้ ี การบริการต่าง ๆ จึงเนน้ รปู แบบการบรกิ ารแบบกระจาย ผู้ใชส้ ามารถสั่งซอื้ สนิ ค้าจากที่
บา้ น สามารถ สอบถามข้อมุลผ่านทางโทรศพั ท์ นิสติ นกั ศึกษาบางมหาวทิ ยาลัยสามารถใช้คอมพวิ เตอร์
สอบถามผลสอบจากทบ่ี ้านได้

- เทคโนโลยีสารสนเทศเปน็ ส่งิ ทจ่ี าํ เปน็ สําหรับการดําเนนิ การในหน่วยงานตา่ ง ๆ ปจั จบุ นั ทุก
หน่วยงานตา่ ง พฒั นาระบบรวบรวมจดั เก็บขอ้ มลู เพ่ือใชใ้ นองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จดั ทาํ
ด้วยระบบ ระบบเวช ระเบยี นในโรงพยาบาล ระบบการจัดเกบ็ ข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็นความสําคญั
ท่จี ะนําเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้

- เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ พฒั นาการด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทําใหช้ ีวติ
ความ เป็นอยู่ของคนเก่ยี วข้องกับเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จาก การพมิ พ์ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ การใช้ตารางคาํ นวณ
และใช้ อปุ กรณ์สอ่ื สารโทรคมนาคมแบบต่างๆ เป็นตน้

ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ

การกําเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณหา้ สิบกวา่ ปที ่ีแลว้ เปน็ ก้าวสาํ คญั ทนี่ ําไปสู่ยุสารสนเทศ
ในช่วง แรกมีการนาํ เอาคอมพิวเตอรม์ าใช้เปน็ เครื่องคาํ นวณ แต่ตอ่ มาได้มีความพยายามพัฒนาใหค้ อมพิวเตอร์
เปน็ อุปกรณ์ สาํ คญั สาํ หรับการจัดการข้อมลู เม่ือเทคโนโลยีอิเล็กทรอนกิ ส์ไดก้ ้าวหนา้ มากขึน้ ทําให้สามารถ
สรา้ งคอมพิวเตอร์ทีม่ ี ขนาดเล็กลง แตป่ ระสทิ ธิภาพสงู ขึ้น สภาพการใชง้ านจงึ ใชง้ านกันอย่างแพร่หลาย ผล
ของเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมีต่อ ชวี ิตความเป็นอยู่และสงั คมจึงมีมาก มีการเรยี นรู้และใช้สารสนเทศกันอยา่ ง
กว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยรวมกลา่ วได้ดังน้ี

- การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตทดี่ ขี ึ้น สภาพความเป็นอยขู่ องสังคมเมือง มีการพฒั นาใช้
ระบบส่ือสาร โทรคมนาคม เพอ่ื ตดิ ตอ่ ส่ือสารให้สะดวกขน้ึ มกี ารประยุกตม์ าใชก้ ับเคร่ืองอํานวยความสะดวก
ภายในบา้ น เช่น ใช้ ควบคมุ เครอื่ งปรับอากาศ ใชค้ วบคุมระบบไฟฟูาภายในบ้าน เป็นต้น

- เสริมสร้างความเทา่ เทยี มในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยสี ารสนเทศทําใหเ้ กดิ การ
กระจายไป ทวั่ ทุกหนแห่ง แม้แตถ่ นิ่ ทุรกนั ดาร ทาํ ให้มกี ารกระจายโอการการเรยี นรู้ มกี ารใชร้ ะบบการเรยี น
การสอนทางไกล การ กระจายการเรียนรไู้ ปยังถ่ินห่างไกล นอกจากน้ีในปจั จบุ นั มีความพยายามท่ีใช้ระบบการ
รักษาพยาบาลผา่ นเครือขา่ ย ส่อื สาร

สารสนเทศกบั การเรยี นการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมกี ารนําคอมพิวเตอร์และ เครื่องมือ
ประกอบชว่ ยในการเรยี นรู้ เชน่ วีดิทัศน์ เครอ่ื งฉายภาพ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอ ร์ช่วยจัด
การศึกษาจัดตารางสอน คํานวณระดบั คะแนน จดั ชนั้ เรยี น ทํารายงานเพื่อใหผ้ ู้บริหารได้ทราบถงึ ปัญหาและ
การ แก้ปัญหาในโรงเรยี น ปจั จบุ นั มกี ารเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรยี นมากข้ึน

- เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั ส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจาํ เป็นต้องใช้
สารสนเทศ เช่น การดแู ลรักษาปุา จาํ เป็นต้องใชข้ ้อมลู มกี ารใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมลู สภาพ
อากาศ การพยากรณ์ อากาศ การจําลองรปู แบบสภาวะส่งิ แวดล้อมเพื่อปรบั ปรุงแก้ไข การเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู
คณุ ภาพนาํ้ ในแม่น้ําาตา่ ง ๆ การ ตรวจวดั มลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาชว่ ย ท่ี
เรียกวา่ โทรมาตร เป็นต้น

- เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การปูองกันประเทศ กจิ การทางด้านการทหารมีการใชเ้ ทคโนโลยี อาวธุ
ยุทโธปกรณ์สมัยใหมล่ ว้ นแต่เกี่ยวขอ้ งกับคอมพวิ เตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบปูองกันภัย ระบบเฝาู
ระวังทม่ี ี คอมพิวเตอร์ควบคมุ การทาํ งาน การผลติ ในอตุ สาหกรรม และการพาณชิ ยกรรม การแข่งขันทางด้าน
การผลติ สนิ ค้าอตุ สาหกรรม จําเปน็ ตอ้ งหาวิธีการในการผลิตใหไ้ ดม้ าก ราคาถกู ลงเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์เขา้
มามีบทบาทมาก มีการใช้ขอ้ มลู ขา่ วสารเพ่ือการบรหิ ารและการจดั การ การดําเนินการและยงั รวมไปถงึ การ
ให้บริการกับลูกค้า เพอ่ื ให้ซื้อสินคา้ ได้ สะดวกขึ้น

- การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา นับว่าเป็นเรื่องทีน่ า่ คดิ วา่ เม่ือนกั คดิ จากโลกตะวนั ตกมอง
ความสขุ จากหลัก คาํ สอนของพระพุทธศาสนา แต่ปญั หาของคณะสงฆม์ ิได้อยู่ท่ีศาสนธรรม เพราะถึงอยา่ งไรก็
คงไม่เลอื นหาย แตจ่ ะไป ผสมอยใู่ นศาสตร์อ่ืน ในอนาคตผูท้ ่ี รูธ้ รรมะจะเปน็ ชาวบ้านมากกว่าพระ ดังทีใ่ น
ปจั จบุ ันนักพดู ธรรมะ นักเขยี นด้าน พระพุทธศาสนามมี ากกว่าพระภิกษุ โดยเฉพาะในประเทศไทยพระทท่ี าํ
หนา้ ทอี่ ธิบายธรรมะใหก้ บั คนรนุ่ ใหม่ได้เร่ิมมี น้อยลง

องค์ประกอบระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพวิ เตอร์
ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การทใ่ี ชค้ อมพวิ เตอร์ (Computer-based information

systems CBIS)มอี งค์ประกอบทสี่ าํ คญั 6 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ (hardware) ซอฟต์แวร์ (software)
ฐานขอ้ มลู (database) เครอื ข่าย (network) กระบวนการ (procedure) และคน (people)
-ฮารด์ แวร์ (Hardware)ไดแ้ ก่ อุปกรณ์ทีช่ ่วยในการปูอนข้อมูล ประมวลจัดเกบ็ และ ผลิต เอาท์พทุ ออกมาใน
ระบบสารสนเทศ
-ซอฟต์แวร์ (Software) ได้แก่โปรแกรมคอมพิวเตอรท์ ่ีชว่ ยให้ฮาร์ดแวร์ทาํ งาน
-ฐานข้อมลู (Database) คอื การจัดระบบของแฟูมข้อมลู ซึ่งเก็บข้อมลู ท่ีเก่ียวข้องกนั
-เครือข่าย (Network)คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกนเพื่อช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันและช่วย
การติดต่อสือ่ สาร
-กระบวนการ (Procedure) ไดแ้ ก่ นโยบาย กลยุทธ์ วิธกี าร และกฎระเบยี บตา่ งๆ ในการใช้ระบบสารสนเทศ

-คน (People) เป็นองคป์ ระกอบทส่ี ําคัญทีส่ ดุ ในระบบสารสนเทศ ซงึ่ ได้แก่ บคุ คลท่ีเก่ียวข้องใน
ระบบสารสนเทศ เช่น ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนาระบบ ผดู้ แู ลระบบ และผใู้ ช้ระบบ

ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ
ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency)

1. ระบบสารสนเทศทําให้การปฏิบตั งิ านมคี วามรวดเรว็ มากข้ึน โดยใชก้ ระบวนการประมวลผลขอ้ มลู ซ่งึ จะทาํ
ให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรุงข้อมลู ให้ทันสมยั ได้อยางรวดเรว็ ระบบสารสนเทศช่วยในการ
จดั เก็บข้อมูลทม่ี ีขนาดใหญ่หรือมปี ริมาณมากและชว่ ยทาํ ใหก้ ารเข้าถงึ ข้อมลู (access) เหลา่ นัน้ มีความรวดเรว็
2. ชว่ ยลดตน้ ทนุ การทรี่ ะบบสารสนเทศชว่ ยทาํ ให้การปฏิบัตงิ านทเี่ ก่ียวข้องกับข้อมูลซ่งึ มีปรมิ าณมากมีความ
สลบั ซับซอ้ นใหด้ าํ เนินการได้โดยเรว็ หรือการชว่ ยใหเ้ กิดการตดิ ต่อสือ่ สารได้อยางรวดเรว็ ทาํ ใหเ้ กดิ การ
ประหยัดตน้ ทนุ การดําเนินการอย่างมาก
3. ชว่ ยใหก้ ารตดิ ต่อสอ่ื สารเป็นไปอย่างรวดเร็วการใช้เครอื ขา่ ยทางคอมพิวเตอรท์ าํ ให้มีการตดิ ตอ่ ได้ท่ัวโลก
ภายในเวลาท่ีรวดเร็วไม่วาจะเปน็ การติดต่อระหวา่ งเครื่องคอมพิวเตอรก์ บั เครื่องคอมพิวเตอรด์ ้วยกนั
(machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรอื คนกับเครื่องคอมพวิ เตอร์ (human to
machine) และการตดิ ตอ่ สื่อสารดงั กล่าวจะทําใหข้ ้อมลู ที่เป็นทัง้ ข้อความ เสียง ภาพน่งิ และภาพเคลือ่ นไหว
สามารถส่งได้ทันทีความรเู้ บ้อื งต้นเก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
4. ระบบสารสนเทศช่วยทาํ ให้การประสานงานระหว่างฝุายต่างๆเป็นไปไดด้ ว้ ยดีโดยเฉพาะหากระบบ
สารสนเทศนั้นออกแบบ เพ่ือเอือ้ อํานวยใหห้ นว่ ยงานทง้ั ภายในและภายนอกที่อยใู่ นระบบของซัพพลายทงั้ หมด
จะทําให้ผทู้ ่ีมีส่วนเกี่ยวข้องทัง้ หมดสามารถใช้ข้อมูลรว่ มกนั ได้ และทาํ ให้การประสานงาน หรอื การทําความ
เข้าใจเปน็ ไปได้ดว้ ยดียง่ิ ขนึ้

ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness)
ระบบสารสนเทศชว่ ยในการตัดสนิ ใจ ระบบสารสนเทศท่ีออกแบบสําหรบั ผบู้ ริหาร เช่น ระบบ

สารสนเทศท่ีช่วยในการสนับสนนุ การตัดสนิ ใจ (Decision support systems) หรือระบบสารสนเทศสาํ หรับ
ผบู้ รหิ าร (Executive support systems) จะเอื้ออาํ นวยใหผ้ ู้บริหารมขี ้อมลู ในการประกอบการตัดสนิ ใจได้ดี
ข้ึน อนั จะสง่ ผลให้การดําเนนิ งานสามารถบรรลวุ ัตถปุ ระสงคไ์ วไ้ ด้

ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลติ สินค้า/ บรกิ ารทีเ่ หมาะสมระบบสารสนเทศจะชว่ ยทําให้
องค์การทราบถงึ ข้อมูลทเ่ี กยี่ วข้องกับต้นทุน ราคาในตลาดรูปแบบของสนิ คา้ /บริการที่มีอยู่ หรือช่วยทําให้
หนว่ ยงานสามารถเลือกผลิตสนิ คา้ /บริการที่มีความเหมาะสมกบั ความเชยี่ วชาญ หรอื ทรัพยากรที่มีอยู่ ระบบ
สารสนเทศช่วยปรบั ปรงุ คณุ ภาพของสินคา้ / บริการให้ดีข้นึ ระบบสารสนเทศทาํ ให้การติดต่อระหว่างหนว่ ยงาน
และลูกคา้ สามารถทําไดโ้ ดยถกู ต้องและรวดเร็วข้ึน ดงั น้นั จงึ ชว่ ยใหห้ น่วยงานสามารถปรับปรุงคุณภาพของ
สินคา้ / บริการใหต้ รงกบั ความตอ้ งการของลูกค้าได้ดีขึน้ และรวดเร็วข้ึนดว้ ย

ลักษณะสารสนเทศทดี่ ี

เนื้อหา (Content)
ความสมบรู ณค์ รอบคลุม (completeness)
ความสัมพนั ธ์กับเรื่อง (relevance)
ความถูกต้อง (accuracy)
ความเชื่อถือได้ (reliability)
การตรวจสอบได้ (verifiability)

รูปแบบ (Format)
ชดั เจน (clarity)
ระดบั รายละเอียด (level of detail)
รปู แบบการนาํ เสนอ (presentation)
ส่ือการนําเสนอ (media)
ความยดื หย่นุ (flexibility)
ประหยดั (economy)

เวลา (Time)
ความรวดเร็วและทันใช้ (timely)
การปรบั ปรุงใหท้ นั สมัย (up-to-date)
มีระยะเวลา (time period)

กระบวนการ (Process)
ความสามารถในการเข้าถึง (accessibility)
การมีสว่ นรว่ ม (participation)
การเชือ่ มโยง (connectivity

เทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม

เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ใชใ้ นการติดตอ่ ส่ือสารรับ/ส่งขอ้ มูลจากท่ีไกล ๆ เป็นการส่งของข้อมูล
ระหว่างคอมพวิ เตอรห์ รือเคร่ืองมือท่ีอยูห่ ่างไกลกัน ซ่งึ จะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมลู หรือสารสนเทศไปยงั ผู้ใชใ้ น
แหลง่ ตา่ ง ๆ เป็นไปอยา่ งสะดวก รวดเร็ว ถกู ต้อง ครบถ้วน และทนั การณ์ ซง่ึ รปู แบบของข้อมูลที่รบั /สง่ อาจ
เปน็ ตัวเลข (Numeric Data) ตวั อักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice)
เทคโนโลยีท่ีใช้ในการส่ือสารหรือเผยแพรส่ ารสนเทศ ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบโทรคมนาคมท้งั ชนดิ มสี าย
และไร้สาย เชน่ ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วทิ ยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทศั น์ เคเบลิ้ ใยแก้วนํา
แสง คลน่ื ไมโครเวฟ และดาวเทยี ม เปน็ ตน้

นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจาแนกตามลกั ษณะการใช้งานไดเ้ ป็น 6 รปู แบบ ดังน้ีต่อไปนี้ คือ

1. เทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทยี มถา่ ยภาพทางอากาศ, กลอ้ งดิจิทัล, กล้องถ่ายวดี ที ศั น์,
เครื่องเอกซเรย์ ฯลฯ

2. เทคโนโลยที ใ่ี ชใ้ นการบันทึกข้อมลู จะเปน็ ส่ือบนั ทึกข้อมูลต่าง ๆ เชน่ เทปแม่เหล็ก, จานแมเ่ หลก็ ,
จานแสงหรือจานเลเซอร์, บตั รเอทีเอ็ม ฯลฯ

3. เทคโนโลยีทีใ่ ชใ้ นการประมวลผลขอ้ มูล ไดแ้ ก่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ท้งั ฮารด์ แวร์ และซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยีท่ใี ช้ในการแสดงผลขอ้ มลู เชน่ เคร่ืองพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยที ่ใี ชใ้ นการจดั ทาํ สําเนาเอกสาร เชน่ เคร่ืองถา่ ยเอกสาร, เคร่อื งถา่ ยไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยสี ําหรับถา่ ยทอดหรือส่ือสารข้อมูล ไดแ้ ก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เชน่ โทรทัศน์,

วิทยกุ ระจายเสียง, โทรเลข, เทเลก็ ซ์ และระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ท้งั ระยะใกลแ้ ละไกล

ลักษณะของข้อมลู หรือสารสนเทศทส่ี ง่ ผา่ นระบบคอมพิวเตอรแ์ ละการสือ่ สาร ดังนี้

ขอ้ มลู หรือสารสนเทศท่ีใช้กนั อยทู่ ั่วไปในระบบสื่อสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลกั ษณะของสญั ญาณเปน็ คลืน่
แบบต่อเน่ืองทเ่ี ราเรียกวา่ "สญั ญาณอนาลอก" แตใ่ นระบบคอมพิวเตอรจ์ ะแตกตา่ งไป เพราะระบบ
คอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟูาสูงต่ําสลบั กัน เป็นสัญญาณท่ีไมต่ ่อเนือ่ ง เรียกว่า "สญั ญาณดิจติ อล" ซึ่ง
ขอ้ มูลเหลา่ นน้ั จะสง่ ผ่านสายโทรศัพท์ เมือ่ เราต้องการส่งข้อมลู จากคอมพิวเตอร์เครอ่ื งหนึ่งไปยังเครื่องอ่นื ๆ
ผา่ นระบบโทรศัพท์ กต็ ้องอาศัยอปุ กรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซึ่งมชี อ่ื เรยี กว่า "โมเดม็ " (Modem)

หลักเกณฑก์ ารประเมินผลลัพธ์ หรือผลผลติ
(Criterias to Evaluated Outputs)

ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสาํ หรับอีกคนหนึง่ (Nickerson 1998 : 11) การทจี่ ะบง่ บอกวา่ ผลผลติ
หรือ ผลลัพธม์ คี ุณค่า หรือสถานภาพเปน็ สารสนเทศ หรือไมน่ น้ั เราใชห้ ลักเกณฑ์ต่อไปน้ีประกอบการพจิ ารณา

1. ความถกู ต้อง (Accuracy) ของผลผลติ หรอื ผลลัพธ์
2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent)
3. ทนั กับความต้องการ (Timeliness)

การพิจารณาความถูกต้องดูที่เน้ือหา (Content) ของผลผลติ โดยพิจารณาจากขัน้ ตอนของการประมวลผล
(Process; verifying, calculating) ข้อมลู สาํ หรับการตรงกับความต้องการ หรอื ทันกับความตอ้ งการ มีผ้ใู ช้
ผลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพจิ ารณา หากผใู้ ช้เห็นวา่ ผลผลติ ตรงกับความต้องการ หรือผลผลติ สามารถตอบ
ปัญหา หรือแก้ไขปัญหา ของผูใ้ ช้ได้ และสามารถเรียกมาใชไ้ ดใ้ นเวลาทเี่ ขาต้องการ (ทนั ตอ่ ความต้องการใช)้

เราจงึ จะสรปุ ได้ว่า ผลผลิต หรือ ผลลัพธ์นั้นมีสถานภาพ เป็นสารสนเทศ

คณุ ภาพ หรือคณุ คา่ ของสารสนเทศ ขนึ้ อยูก่ ับขอ้ มูล (Data) ทน่ี ําเขา้ มา (Input) หากข้อมูลท่ีนาํ เข้ามา
ประมวลผล เป็นขอ้ มลู ที่ดี ผลลัพธท์ ่ีได้ก็จะมีคณุ ภาพดี หรอื มคี ุณคา่ ผู้ใช้ หรือผูบ้ ริโภคสามารถนาํ มาใช้
ประโยชนไ์ ด้ แตห่ ากขอ้ มลู ท่ี นําเขา้ มาประมวลผลไมด่ ี ผลผลติ หรือผลลัพธก์ ็จะมคี ุณภาพไม่ดี หรือไมม่ คี ุณคา่
สมดง่ั กับวลที ีว่ ่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถ้านาํ ขยะเข้ามา ผลผลิต (ส่ิงท่ไี ดอ้ อกไป)
ก็คือขยะนัน่ เอง
เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใช้ชีวติ ในสงั คมปัจจุบนั
ในภาวะปัจจบุ นั นนั้ สารสนเทศได้กลายเปน็ ปัจจยั พ้ืนฐานปัจจัยทีห่ ้า เพิ่มจากปัจจยั สป่ี ระการทมี่ นุษย์เราขาด
เสียมไิ ดใ้ นการดํารงชีวติ ประจําวนั ไมว่ า่ จะเปน็ สารสนเทศที่จาํ เป็น ในการประกอบธรุ กจิ ในการคา้ ขาย การ
ผลิตสินคา้ และบริการ หรือการให้บรกิ ารสังคม การจัดการทรพั ยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึง
เร่ืองเบา ๆ เร่ืองไร้สาระบ้าง เชน่ สภากาแฟที่สามารถพบได้ทกุ แห่งหนในสงั คม เร่ืองสาระบันเทงิ ในยาม
พักผ่อน ไปจนถงึ เรื่องความเป็นความตาย เชน่ ข่าวอทุ กภัย วาตภัย หรอื การทาํ รัฐประหารและปฏวิ ัติ เป็นต้น

ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลตา่ ง ๆ ตง้ั แตน่ ักวชิ าการ นักธรุ กิจ นกั สงั คมศาสตร์ นกั เศรษฐศาสตร์ จนกระท่งั
ผูน้ ําตา่ ง ๆ ในโลก ดงั เช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา
สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรทสี่ ําคญั ทสี่ ดุ อย่างหนง่ึ ในปัจจบุ ัน และในยุคสงั คมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21
สารสนเทศจะกลายเปน็ ทรพั ยากรที่สําคัญทสี่ ุดเหนือส่งิ อืน่ ใด กล่าวกนั สน้ั ๆ สารสนเทศกาํ ลงั จะกลายเปน็ ฐาน
แหง่ อาํ นาจอันแท้จริงในอนาคต ท้ังในทางเศรษฐกจิ และทางการเมือง

ในสมยั สงั คมเกษตรน้ัน ปจั จยั พนื้ ฐานในการผลิตทสี่ ําคญั ได้แก่ ทด่ี นิ แรงงาน และทนุ ทรัพย์ ต่อมาในสังคม
อุตสาหกรรม การผลติ ตอ้ งพ่งึ พาปจั จยั พน้ื ฐานเพิม่ เติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิง่ สารสนเทศ
สังคมเกษตรและสงั คมอตุ สาหกรรมต้องพง่ึ พาการใชท้ รพั ยากรท่มี ีอยอู่ ย่างจาํ กดั อนั ไดแ้ ก่ ทดี่ ิน พลังงาน และ
วสั ดุ เปน็ อย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านัน้ อยา่ งฟุมเฟือยและขาดความระมดั ระวงั ก็ไดส้ รา้ ง
ปัญหาส่งิ แวดลอ้ มท่รี นุ แรงมาก ซ่ึงกําลงั คุกคามโลกรวมทง้ั ประเทศไทย ตง้ั แตป่ ญั หาการแปรปรวนของสภาพ
ดนิ ฟูาอากาศ ภัยธรรมชาติทน่ี ับวนั จะเพ่ิมความถี่และรนุ แรงขนึ้ ปัญหาการบ่อนทําลายความสมดุลทาง
นิเวศวทิ ยาทั้งปุาดงดบิ ปาุ ชายเลน ปุาตน้ นํ้าลําธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพษิ แมน่ าํ้ ลําคลองท่ีเต็มไปดว้ ย
สารพษิ เจือปน ตลอดจนถึงปัญหาวิกฤตทิ างจราจรและภัยจากควนั พิษในมหานครทกุ แห่งท่วั โลก

ในทางตรงกันขา้ ม ขบวนการผลิต การเกบ็ และถา่ ยทอดสารสนเทศ อาศัยการใชว้ สั ดแุ ละพลงั งานน้อยมาก
และไม่มีผลเสยี ต่อภาวะแวดล้อมหรอื มเี พยี งเล็กน้อยมาก ยง่ิ กวา่ นัน้ สารสนเทศจะสามารถชว่ ยใหก้ จิ กรรมการ
ผลติ และการบริการตา่ ง ๆ เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถชว่ ยใหก้ ารผลิตทางอุตสาหกรรมใช้
วัตถดุ ิบ และพลังงานน้อยลง มมี ลภาวะน้อยลง แตส่ นิ คา้ มีคุณภาพดีข้นึ คงทนมากขนึ้ ปัญหาวกิ ฤตทิ างจราจร
ในบางดา้ นก็สามารถผ่อนปรนได้ดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ เช่น ในการชว่ ยตดิ ต่อสื่อสารทางธรุ กจิ ตา่ งๆ โดย
ไมจ่ ําเปน็ ต้องเดนิ ทางด้วยตนเองดงั เช่นแต่ก่อน จงึ อาจกล่าวได้วา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะมสี ่วนอย่างมาก ใน
การนําสงั คม สวู่ วิ ฒั นาการอกี ระดับหนึ่ง ท่ีอาจเรยี กได้วา่ เป็นสังคมสารสนเทศ อันเป็นสงั คมที่พงึ ปรารถนาและ
ยั่งยืนยิง่ ขึ้น

นั่นจึงเปน็ เหตุผลทวี่ ่าสังคมต่าง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวส่สู ังคมสารสนเทศอยา่ งหลีกเล่ยี งไม่ได้ ไมเ่ รว็ กช็ า้
และน่นั หมายความวา่ สังคมจะตอ้ งพง่ึ พาเทคโนโลยสี ารสนเทศ อยา่ งแนน่ อน ไมว่ ่าเราจะยอมรับหรือไม่กต็ าม
มิใชเ่ พียงแตเ่ พ่ือสรา้ งขดี ความสามารถในเชงิ แขง่ ขันในสนามการค้าระหวา่ งประเทศ แตเ่ พือ่ ความอยู่รอดของ
มนุษยชาติ และเพอื่ คุณภาพชีวติ ท่ดี ีข้นึ อีกตา่ งหากดว้ ย

เทคโนโลยสี ารสนเทศ คอื เทคโนโลยีคโู่ ลกในต้นศตวรรษที่ 21 และเปน็ แรงกระตนุ้ และเป็นปัจจัยรองรับ
ขบวนการโลกาภิวัตน์ ทก่ี ําลังผนวกสงั คมเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นอันหนงึ่ เดียวกนั กบั สังคมโลก

อนั ทจ่ี ริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใชใ้ นประเทศไทยเปน็ เวลาช้านานมาแล้ว เปน็ ตน้ วา่ เรามีการใช้โทรศัพท์ตง้ั แต่
รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั เมือ่ ปี พ.ศ. 2414 เพยี งแต่วา่ การใชเ้ ทคโนโลยีน้ียงั ไม่
แพร่กระจายทว่ั ประเทศและยังไม่อยใู่ นระดับสงู เมื่อเทียบกับอกี หลาย ๆ ประเทศในโลก

กลา่ วกนั อยา่ งสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยที เ่ี กี่ยวขอ้ งกับการจดั หา วเิ คราะห์ ประมวล จัดการ
และจัดเก็บ เรียกใช้หรอื แลกเปล่ียน และเผยแพรส่ ารสนเทศ ด้วยระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไมว่ ่าจะอยู่ในรปู แบบ
ของรปู เสียง ตวั อักษร หรือภาพเคล่ือนไหว รวมไปถึงการนําสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบตั ติ ามเนื้อหาของ
สารสนเทศน้นั เพื่อให้บรรลุเปาู หมายของผ้ใู ช้ การจดั หา วิเคราะห์ ประมวล และจดั การกับขา่ วสารข้อมลู
จาํ นวนมหาศาล จงึ ขาดเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เสยี มิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปลี่ยนขอ้ มูลข่าวสาร อย่าง
รวดเรว็ ทนั เวลา ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย และมปี ระสิทธิภาพ ก็จําเปน็ ต้องอาศัยเทคโนโลยโี ทรคมนาคม และ
ท้ายสดุ สารสนเทศที่มี จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์จากการบรโิ ภค อย่างกวา้ งขวางตามแตจ่ ะต้องการและอย่าง
ประหยดั ที่สดุ กต็ ้องอาศัยทงั้ สองเทคโนโลยขี า้ งตน้ ในการจัดการและการส่อื หรือขนยา้ ยจากแหล่งข้อมูล

สารสนเทศ สูผ่ ู้บรโิ ภคในทีส่ ุด

ฉะน้ัน เทคโนโลยีสารสนเทศจึงครอบคลมุ ถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลกั อนั ไดแ้ ก่ คอมพวิ เตอรท์ ้งั ฮารด์ แวร์
ซอฟตแ์ วร์ และฐานข้อมลู โทรคมนาคมซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีระบบส่อื สารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน)์
ทง้ั ระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงเทคโนโลยดี ้านอิเลก็ ทรอนิกส์ตา่ ง ๆ อาทิ เทคโนโลยโี ทรทศั นค์ วาม
คมชัดสงู (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแกว้ นาํ แสง (fibre optics) สาร
ก่ึงตวั นํา (semiconductor) ปญั ญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อปุ กรณ์อตั โนมตั ิสํานกั งาน (office
automation) อปุ กรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อปุ กรณ์อัตโนมัตใิ นโรงงาน (factory
automation) เหล่านี้ เป็นต้น

นอกจากการเป็นเทคโนโลยีทไี่ มท่ ําลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมนั เอง) ต่อสิง่ แวดล้อมแลว้
คณุ สมบตั ิโดดเดน่ อื่น ๆ ที่ทาํ ใหม้ ันกลายเปน็ เทคโนโลยี ยทุ ธศาสตรส์ าํ คัญแห่งยคุ ปจั จบุ ันและในอนาคตกค็ ือ
ความสามารถในการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ กิจกรรม อาทิโดย

1. การลดตน้ ทนุ หรอื คา่ ใช้จ่าย
2. การเพม่ิ คุณภาพของงาน
3. การสรา้ งกระบวนการหรือกรรมวิธใี หม่ ๆ
4. การสร้างผลิตภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ ข้ึน

ฉะนัน้ โอกาสและขอบเขตการนาํ เทคโนโลยีนม้ี าใช้ จงึ มีหลากหลายในเกือบทุก ๆ กิจกรรมกว็ า่ ได้ ไม่ว่าจะ
เป็นการปกครอง การใหบ้ รกิ ารสงั คม การผลติ ทัง้ ภาคเกษตร อตุ สาหกรรม และบรกิ าร รวมถงึ การคา้ ทัง้
ภายในและระหวา่ งประเทศอีกดว้ ย โดยพอสรุปได้ดงั ต่อไปน้ี

ภาคสงั คม การบริหารและปกครอง การให้บริการพ้ืนฐานของรฐั การบริการสาธารณสุข การบริการการศกึ ษา
การให้บริการข้อมลู และสาระบันเทิง การอนุรักษส์ ง่ิ แวดล้อม การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ การบรรเทาสา
ธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอุตนุ ิยม ฯลฯ

ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การปาุ ไม้ การประมง การสํารวจและขดุ เจาะนํา้ มนั และ กา๊ ซธรรมชาติ การสาํ รวจ
แร่และทรัพยากรธรรมชาตทิ ั้งบนและใตผ้ วิ โลก การก่อสร้าง การคมนาคมทงั้ ทางบก นาํ้ และอากาศ การค้า

ภายในและระหวา่ งประเทศ อุตสาหกรรมการผลติ อุตสาหกรรมบรกิ าร อาทิ ธุรกิจการท่องเทย่ี ว การเงิน การ
ธนาคาร การขนสง่ และ การประกันภยั ฯลฯ

ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยกุ ตใ์ ช้ของเทคโนโลยดี งั กล่าว ล้วนเกิดจากคณุ สมบตั ิพเิ ศษหลาย ๆ ประการ
ของเทคโนโลยีกล่มุ น้ี อนั สบื เน่อื งจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีทมี่ อี ัตราสูงและอยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดหลาย
ทศวรรษท่ีผ่านมา ววิ ัฒนาการทางเทคโนโลยีนสี้ ง่ ผลให้

 ราคาของฮาร์ดแวร์และอปุ กรณ์ รวมท้งั คา่ บริการ สําหรับการเก็บ การประมวล และการแลกเปลย่ี น
เผยแพร่สารสนเทศมกี ารลดลงอยา่ งต่อเนื่องและรวดเรว็

 ทาํ ใหส้ ามารถนําพาอปุ กรณต์ ่าง ๆ ท้ังคอมพิวเตอรแ์ ละ โทรคมนาคมตดิ ตามตวั ได้ เนอ่ื งจากได้มี
พฒั นาการการย่อสว่ นของชิน้ ส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการสอื่ สารระบบไร้สาย

 ประการท้าย ท่จี ัดว่าสาํ คัญท่ีสดุ กว็ ่าได้คือ ทาํ ใหเ้ ทคโนโลยีตา่ ง ๆ เชน่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละ
การส่ือสารมงุ่ เข้าสจู่ ดุ ทใี่ กลเ้ คียงกัน (converge)

ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มน้ี จงึ ให้ความสาํ คญั ต่อ
เทคโนโลยีนี้มากกวา่ เทคโนโลยีอืน่ ๆ ทจ่ี ัดเป็นเทคโนโลยยี ทุ ธศาสตร์สําคญั อีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลมุ่ ประเทศ
OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรยี บเทียบ ศักยภาพ
ของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลมุ่ สาํ คญั ในปัจจบุ นั คือ เทคโนโลยชี วี ภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ
เทคโนโลยีนวิ เคลยี ร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเดน็ ผลกระทบสาํ คัญ 5 ประเด็น ได้แก่

(1) การสร้างผลิตภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ
(2) การปรับปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภัณฑ์และบริการ
(3) การยอมรบั จากสงั คม
(4) การนําไปใชป้ ระยุกตใ์ นภาค/สาขาอ่ืน ๆ
(5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพสงู สุดในทกุ
ๆ ประเด็น
ครอื ข่ายคอมพวิ เตอรแ์ ละอินเตอรเ์ นต็
1.เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์

การแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ระหว่างคอมพิวเตอรใ์ นอดีตจะใชว้ ิธบี ันทกึ ข้อมูลลงในแผ่นดิสกแ์ ละส่งไปยงั
ปลายทางโดยอาศัยผู้ส่งดสิ ก์ เรียกการติดต่อส่อื สารแบบน้ีว่า เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ทมี่ ีคนเปน็ สือ่ รับ-ส่ง
ข้อมูล

1.1 ความหมายขององค์ประกอบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์
เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การเชอื่ มต่อคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณต์ ่อพ่วงเข้าดว้ ยกันโดยใช้

สอื่ กลางตา่ งๆ เช่น สายสัญญาณ คล่ืนวทิ ยุ เปน็ ต้น เพ่ือทําใหส้ ามารถส่ือสาร แลกเปลย่ี นขอ้ มลู และใช้
ทรัพยากรรว่ มกนั ไก้

เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 6 ประเภท
1. เครือขา่ ยเฉพาะท่ี หรือ แลนด์
2. เครือขา่ ยนครหลวง หรอื แมน
3. เครอื ขา่ ยบรเิ วณกว้าง หรือแวน
4. เครือขา่ ยภายในองค์กร หรืออินทราเน็ต
5. เครอื ขา่ ยภายนอกองค์กร หรเื อ็กทราเน็ต
6. เครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต

เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์มอี งค์ประกอบพ้นื ฐาน 2 ส่วนหลัก คือ องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ และ
องคป์ ระกอบด้านซอฟตแ์ วร์ โดยองค์ประกอบด้านฮารด์ แวร์ หมายถงึ
อุปกรณ์ทใ่ี ชง้ านและเชือ่ มตอ่ ภายในเครอื ข่าย เชน่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ แปนู พิมพ์
สายสญั ญาณ เปน็ ตน้ สว่ นองคป์ ระกอบด้านซอฟต์แวร์ หมายถงึ ระบบปฏบิ ตั กิ าร
หรือโปรแกรมตา่ งๆ ท่ีใช้สนับสนนุ การทํางานและให้บริการดา้ นตา่ งๆ เพื่ออํานวย
ความสะดวกให้แกผ่ ู้ใช้ให้สามารถติดต่อส่ือสารผ่านเครือข่ายได้

1.2 การเลอื กใช้ฮารด์ แวร์ของระบบเครือขา่ ยขนาดเลก็
การตดิ ตงั้ เครือขา่ ยขนาดเล็ก มีจุดประสงคเ์ พ่ือใช้งานภายในบ้านหรอื ในสํานักงาน

ขนาดเล็ก เพ่ือใหส้ ามารถใชท้ รพั ยากรรว่ มกนั ได้ เช่น ข้อมูล เครอ่ื งพิมพ์ สแกนเนอร์
เปน็ ตน้

1. อปุ กรณใ์ นระบบเครอื ข่ายขนาดเล็ก มีหลายชนดิ ไดแ้ ก่ การ์ดแลน ฮบั สวิตซ์
โมเดม็ เราเตอร์ สายสัญญาณ ซง่ึ อุปกรณ์แตล่ ะชนิดมีคณุ สมบัติแตกตา่ งกันดงั น้ี

1.1 การด์ แลน เป็นอปุ กรณท์ ี่ทําหน้าท่ี ที่รับสง่ ขอ้ มูลจากคอมพิวเตอร์
เครื่องหนึง่ ไปสคู่ อมพิวเตอร์อกี เครื่องหน่ึงโดยผา่ นสายแลน

1.2 ฮับ เป็นอุปกรณ์ทท่ี ําหนา้ ท่ีเสมือนกับชุมทางขอ้ มลู หนา้ ท่ีเปน็ ตัวกลางคอยสง่ ขอ้ มลู ให้
คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย และเป็นตวั กระจายสญั ญาณ

1.3 สวทิ ช์ เปน็ อปุ กรณร์ วมสญั ญาณเช่นเดียวกับฮบั แตต่ า่ งจากฮับ คือ
การรบั สง่ ข้อมูลจากคอมพิวเตอรเ์ คร่ืองหนึ่งนัน้ จะไม่กระจายไปยงั ทุกเคร่ือง เน่อื งจากสวิทช์
จะรับกล่มุ ขอ้ มูลมาตรวจสอบกอ่ นวา่ เปน็ ข้อมูลเคร่ืองใด แล้วสง่ ข้อมลู น้นั ไปยังปลายทาง
อยา่ งอัตโนมตั ิ

1.4 โมเดม็ เปน็ อุปกรณ์ที่ทําหน้าที่แปลงสญั ญาณเพื่อใหสามารถส่งผา่ นสายโทรศัพท์
หรอื ใยแกว้ นาํ แสงได้

1.5 อปุ กรณ์จดั เส้นทางหรือ เราเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการเช่ือมโยงเครอื ข่าย
หลายเครอื ข่ายเข้าดว้ ยกนั การส่งขอ้ มลู จงึ มีหลายเสน้ ทาง และทําหน้าเลือกเสน้ ทางทเ่ี หมาะสมทีส่ ดุ ในการ
สง่ ผา่ นขอ้ มูล เพือ่ เปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ

1.6 สายสญั ญาณ เปน็ อปุ กรณ์ทท่ี ําหน้าทีเ่ ป็นส่ือกลางในการรับส่งข้อมลู

2. การเชอ่ื มตอ่ ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก
การเชอื่ มต่อระบบเครือขา่ ยขนาดเล็กท่ใี ชก้ นั ในปจั จุบนั มี 2 แบบหลกั ๆ คือ การเชอื่ มตอ่ เครอื ข่าย

ระยะใกล้ การเชอื่ มตอ่ เครือข่ายระยะไกล
2.1 การเชื่อมตอ่ เครือข่ายระยะใกล้
หากมีคอมพิวเตอรใ์ นระบบเครือขา่ ยไมเ่ กินสองเครือ่ ง อุปกรณใ์ นระบบเครือข่ายนอกจากเครื่อง

คอมพวิ เตอร์แลว้ ยงั ต้องมีการ์ดแลนดแ์ ละสายสัญญาณ โดยไมต่ ้องใช้ฮับและสวิตซ์
การตดั สินใจซอื้ ฮับและสวิตซ์ มาใชจ้ ะต้องคํานึงถึงเรือ่ งการขยายระบบเครอื ขา่ ยในอนาคตดว้ ย

ควรเลือกฮบั และสวติ ซท์ ีส่ ามารถรับรองจํานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไดเ้ ท่ากบั จํานวนท่ีคาดวา่ จะมใี นอนาคต

2.2 การเช่ือมต่อเครือข่ายระยะไกล จากข้อจํากดั ของเครือข่ายท่ีใชส้ ายแลนด์ทไี่ ม่สามารถ
เดนิ สายใหม้ คี วามยาวมากกว่า 100 เมตรได้ จึงต้องหาทางเลอื กสาํ หรับระบบ เครือข่ายระยะไกล

ในกรณีทเ่ี ครอื ขา่ ยมีการรับสง่ ข้อมลู จาํ นวนมาก ควรเลือกใช้เราเตอร์เพอื่ ช่วยลดปัญหา
ความหนาแน่นของข้อมูลในเครอื ขา่ ย แต่เน่ืองจากเราเตอร์มีราคาแพงจึงต้องประเมนิ ความคุ้มคา่ หากต้องการ
จดั ซ้ือมาใช้งาน

แบบท่ี 1 คอื ตอ้ งติดตงั้ เคร่ืองทวนสัญณาณ ไวท้ ุกๆระยะ 100

แบบท่ี 2 คือ ใช้โมเดม็ หมุนโทรศัพทเ์ ข้าหากนั เมื่อต้องการเชือ่ มต่อ และเมื่อเสร็จสนิ้ ธุรกจิ แล้วก็
ยกเลิกการเช่ือมต่อ แตค่ วามเร็วทไี่ ด้จะไดแ้ ค่เพียงความสามารถของสายโทรศัพท์

แบบท่ี 3 คือ เปน็ เทคโนโลยรี ะบบเครอื ข่ายที่มีประสิทธภิ าพมากทส่ี ดุ ในปัจจบุ ันสายสญั ญาณที่
เลือกใช้คือสายใยแกว้ นาํ แสง สามารถสง่ ข้อมลู ได้ระยะทางไกลและมีความเรว็ สูง รวมถึงความปลอดภัยของ
ขอ้ มูล

แบบท่ี 4 คอื ใชจ้ ดุ เชื่อมตอ่ แบบไร้สาย เป็นการเชือ่ มตอ่ โดยใชส้ ัญาณวทิ ยทุ างอากาศแทนการใช้
สายโทรศัพท์ เพอื่ ลดปัญหาจากการใชส้ ายสัญญาณ เหมาะสาํ หรับการตดิ ต้งั ในพ้นื ที่ท่ีมีขนาดจาํ กัด

แบบท่ี 5 คือ เทคโนโลยี G.SHDSL ซงึ่ เปน็ หนึ่งในเทคโนโลยตี ระกลู DSL เปน็ เทคโนโลยโี มเด็มท่ี
ทําใหค้ ูส่ ายทองแดงธรรมดากลายเปน็ ส่ือสญั ญาณดจิ ิทลั ความเร็วสงู โดยใชเ้ ทคนคิ การเข้ารหัสสญั ญาณข้อมูล
ในยา่ นความถ่ีที่สูงกวา่ การใชง้ านโทรศพั ท์โดยทัว่ ไป ทําให้สามารถส่งข้อมลู ในขณะเดยี วกันกบั การใชง้ าน
โทรศพั ท์ได้

แบบท่ี 6 คือ เทคโนโลยแี บบ ethernet overVDSLเป็นเทคโนโลยรี ะบบเครือข่ายแบบล่าสดุ ที่
สามารถติดต้ังใช้งานไดเ้ อง จึงทาํ ใหม้ ตี น้ ทนุ ต่ําโยสามารถเช่ือมต่อกับสายโทรศัพท์ทั่วไป

1.3 การเลอื กใช้ซอฟต์แวรข์ องระบบเครอื ขา่ ยขนาดเล็ก
สามารถเลอื กใชร้ ะบบปฏบิ ัติการแบบเครือขา่ ย( Network OS ) เป็นระบบปฎิบัติการสําหรับออกแบบ

และจดั การงานดา้ นการส่ือสารระหว่างคอมพิวเตอร์ภายในเครอื ขา่ ยให้สามารถใชท้ รัพยากรร่วมกนั ได้ ปจั จุบนั
ระบบปฏิบัตกิ ารเครือขา่ ยจะใชห้ ลกั การประมวลผลแบบไคลเอนตเ์ ซิร์ฟเวอร์ คือการจัดการข้อมูลและ
โปรแกรมทํางานอยู่บนเคร่ืองเซริ ์ฟเวอรแ์ ละส่วนประกอบอ่ืนๆของระบบปฎบิ ัติการเครือขา่ ยจะทํางานอยู่บน
เครอื่ งไคลเอนด์ เช่นการประมวลผล การตดิ ต่อกับผู้ใช้ เป็นต้น

ปัจจุบันซอฟต์แวรส์ าํ หรบั ระบบเครือขา่ ยขนาดเล็ก มีใหเ้ ลือกใช้งานหลายโปรแกรม เช่น
1. ระบบปฏิบตั กิ ารลินุกซ์ เซ็นต์โอเอส เรยี กยอ่ วา่ CentOS เป็นซอฟซแ์ วร์เปดิ เผยโคด้ ผใู้ ช้สามารถ
ดาวนโ์ หลดไปใช้งาน หรอื แก้ไขไดโ้ ดยไมต่ อ้ งจ่ายคา่ ลขิ สิทธ์ิ แตผ่ ู้ดแู ลระบบต้องเรยี นร้รู ะบบก่อนใช้งาน
สามารถเรียนรู้ผา่ นทางเว็บไซตต์ า่ งๆ
2. ระบบปฏบิ ตั ิการวินโดวส์ เซิรฟ์ เวอร์ ปัจจบุ นั ถูกพฒั นาเปน็ Windows Server 2008 ออกแบบ
เพอื่ สนบั สนนุ ระบบเครือข่าย แอพพลเิ คชนั่ และบริการอืน่ ๆ ท่มี ีความทนั สมัยบนเวบ็ ไซต์ และยงั เพมิ่
ประสทิ ธิภาพใหร้ ะบบปฏิบตั ิการพน้ื ฐาน เช่น ระบบเคร่อื งมอื เว็บ เทคโนโลยีเวอรช์ วลไลเซชนั เพ่มิ คุณภาพ
ความปลอดภยั เครื่องมือจัดการช่วยประหยัดเวลาและทรพั ยากรอื่นๆ ไดม้ ากขน้ึ โดยมคี ุณสมบัตดิ งั น้ี

1.สร้างโครงสร้างพ้ืนฐานทีม่ ั่นคงสาํ หรบั ภาระงานของเซิร์ฟเวอร์

2.เวอร์ชวลไลเซชัน ซึ้งเป็นเทคโนโลยกี ารสรา้ งระบบเสมือนจรงิ ท่ีมีรากฐานจากระบบ

3. มรี ะบบการจัดการดูแลเวบ็ ระบบวิเคราะห์ปัญหา เครอื่ งมอื พัฒนา

4.ระบบความปลอดภัย ได้รับการพฒั นาให้มีความทนทานมากขึ้น พร้อมท้งั ผสานการใช้เทคโนโลยี

ด้าน IDA หลายชิน้

ระบบสบื คน้ เครือขา่ ยเพื่อการเรียนรู้

การประยกุ ตใ์ ช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การศกึ ษา
การประยุกต์ใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศในปจั จุบัน ได้มีการนาํ มาใช้ในหลายสาขาวชิ าชีพ ทงั้ ในด้าน

การศกึ ษา ดา้ นธุรกิจอตุ สาหกรรม ด้านการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพื่ออํานวยความสะดวกใน
การประกอบธรุ กิจ การทาํ งาน การศึกษาหาความรู้ ทําให้คณุ ภาพชวี ติ ของคนในสงั คมปัจจุบนั ดขี ้ึน นอกจากนี้
หน่วยงานราชการต่างๆ กน็ าํ เทคโนโลยสี ารสนเทศและ ระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาอาํ นวยความสะดวกให้กับ
ประชาชน ในการตดิ ต่อประสานงานกบั ทางราชการ และในธรุ กจิ เอกชนทางดา้ นการโรงแรม และการ
ทอ่ งเท่ียว ก็ให้บรกิ ารข้อมลู ข่าวสาร และบริการลกู ค้าผ่านทางระบบอนิ เทอร์เน็ต ทําได้อย่างสะดวกรวดเร็วทนั
เหตุการณ์
การประยุกตใ์ ชใ้ นงานด้านการศกึ ษา

เทคโนโลยีสารสนเทศทนี่ ํามาใชส้ าํ หรบั การเรยี นการสอน เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หลาย
อยา่ ง สอนดว้ ยสอื่ อปุ กรณ์ท่ีทันสมยั หอ้ งเรียนสมยั ใหม่ มอี ุปกรณว์ ิดีโอโปรเจคเตอร์ (Video Projector)มี
เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ มรี ะบบการอ่านข้อมลู อิเล็กทรอนกิ สแ์ บบต่าง ๆ รปู แบบของส่ือทีน่ าํ มาใชใ้ นด้านการเรยี น
การสอน ก็มหี ลากหลาย ข้นึ อยูก่ ับความเหมาะสมในการนาํ มาใช้ เชน่ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน อิเล็กทรอนิกสบ์ คุ
วดิ โี อเทเลคอนเฟอเรนซ์ ระบบวิดีโอออนดีมานด์ การสบื ค้นข้อมลู ในคอมพวิ เตอร์ และระบบอนิ เทอร์เน็ต เปน็
ตน้

1. คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน เป็นการนาํ เอาเทคโนโลยี รวมกับการออกแบบโปรแกรมการสอน
มาใช้ชว่ ยสอน ซึ่งเรยี กกันโดยทั่วไปวา่ บทเรยี น CAI ( Computer - Assisted Instruction ) การจัดโปรแกรม
การสอน โดยใช้คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ในปจั จบุ นั มักอยู่ในรูปของสื่อประสม (Multimedia) ซง่ึ หมายถึง
นาํ เสนอได้ท้ังภาพ ข้อความ เสยี ง ภาพเคลื่อนไหวฯลฯ โปรแกรมชว่ ยสอนนเี้ หมาะกับการศึกษาดว้ ยตนเอง
และเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนสามารถโตต้ อบ กบั บทเรียนได้ตลอด จนมผี ลปูอนกลับเพ่อื ให้ผ้เู รียนรู้ บทเรียนได้
อย่างถูกต้อง และเข้าใจในเน้ือหาวิชาของบทเรยี นนั้นๆ

2. การเรยี นการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลัก เป็นการจัดการเรียน ท่ีมสี ภาพการเรียนต่างไปจาก
รปู แบบเดมิ การเรียนการสอนแบบน้ี อาศัยศักยภาพและความสามารถของเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ซงึ่ เป็นการ
นําเอาสือ่ การเรียนการสอน ท่ีเปน็ เทคโนโลยี มาช่วยสนับสนุนการเรยี นการสอน ให้เกิดการเรยี นรู้ การสบื ค้น
ข้อมลู และเชื่อมโยงเครือขา่ ย ทาํ ให้ผู้เรียนสามารถเรยี นได้ทกุ สถานท่่ีและทกุ เวลา การจัดการเรียนการสอน
ลักษณะนี้ มีช่ือเรียกหลายชอ่ื ไดแ้ ก่ การเรยี นการสอนผา่ นเว็บ (Web-based Instruction) การฝกึ อบรมผา่ น

เว็บ (Web-based Trainning) การเรยี นการสอนผา่ นเวิล์ดไวดเ์ วบ็ (www-based Instruction) การสอนผา่ น
สื่อทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-learning) เป็นต้น

3. อิเล็กทรอนิกสบ์ คุ คือการเกบ็ ข้อมูลจํานวนมากด้วยซดี ีรอม หนึ่งแผน่ สามารถเก็บข้อมลู
ตวั อักษรไดม้ ากถงึ 600 ลา้ นตัวอกั ษร ดังน้นั ซีดรี อมหนึง่ แผน่ สามารถเกบ็ ขอ้ มูลหนังสอื หรอื เอกสารได้
มากกวา่ หนังสือหนงึ่ เลม่ และท่ีสาํ คัญคือการใช้กบั คอมพวิ เตอร์ ทาํ ให้สามารถเรียกค้นหาขอ้ มลู ภายในซีดรี อม
ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยใช้ดัชนี สบื คน้ หรอื สารบัญเรื่อง ซดี รี อมจึงเปน็ สื่อท่ีมบี ทบาทต่อการศึกษาอย่างยิง่ เพราะ
ในอนาคตหนงั สือต่าง ๆ จะจัดเก็บอยู่ในรูปซดี ีรอม และเรียกอา่ นดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ ทเี่ รียกวา่
อิเลก็ ทรอนกิ ส์บุค ซดี ีรอมมขี ้อดคี ือสามารถจัดเก็บ ข้อมลู ในรูปของมลั ติมเี ดีย และเมื่อนําซดี รี อมหลายแผน่ ใส่
ไว้ในเครื่องอ่านชดุ เดียวกัน ทําให้ซีดรี อมสามารถขยายการเก็บข้อมลู จาํ นวนมากย่ิงขน้ึ ได้

4. วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ หมายถึงการประชุมทางจอภาพ โดยใชเ้ ทคโนโลยีการสอ่ื สารที่
ทนั สมัย เปน็ การประชุมรว่ มกันระหวา่ งบคุ คล หรือคณะบุคคลทีอ่ ยตู่ ่างสถานท่ี และหา่ งไกลกันโดยใชส้ อ่ื
ทางดา้ นมลั ติมเี ดีย ท่ใี ห้ท้ังภาพเคลอ่ื นไหว ภาพนง่ิ เสยี ง และขอ้ มูลตวั อักษร ในการประชุมเวลาเดยี วกัน และ
เปน็ การส่อื สาร 2 ทาง จึงทาํ ให้ ดูเหมือนวา่ ได้เข้ารว่ มประชุมรว่ มกนั ตามปกติ ด้านการศึกษาวดิ โี อเทคเลคอน
เฟอเรนซ์ ทาํ ให้ผเู้ รยี นและผู้สอนสามารถติดต่อส่ือสารกนั ได้ ผา่ นทางจอภาพ โทรทศั นแ์ ละเสียง นักเรียนใน
ห้องเรียน ที่อยหู่ ่างไกลสามารถเห็นภาพและเสียง ของผู้สอนสามารถเห็นอากับกริ ยิ าของ ผ้สู อน เห็นการ
เคล่อื นไหวและสีหน้าของผู้สอนในขณะเรียน คุณภาพของภาพและเสียง ขึน้ อยู่กับความเรว็ ของชอ่ งทางการ
สื่อสาร ทใี่ ช้เชอื่ มต่อระหวา่ งสองฝั่งท่ีมีการประชมุ กัน ได้แก่ จอโทรทศั นห์ รือจอคอมพิวเตอร์ ลาํ โพง
ไมโครโฟน กล้อง อปุ กรณเ์ ข้ารหสั และถอดรหสั ผ่านเครือข่ายการส่ือสารความเร็วสูงแบบไอเอสดีเอ็น (ISDN)

5. ระบบวดิ โี อออนดีมานด์ (Video on Demand) เปน็ ระบบใหมท่ ี่กําลงั ไดร้ ับความนิยมนาํ มาใช้ ใน
หลายประเทศเช่น ญป่ี ุนและสหรัฐอเมรกิ า โดยอาศัยเครือข่ายคอมพวิ เตอรค์ วามเรว็ สูง ทําใหผ้ ชู้ มตาม
บา้ นเรอื นตา่ ง ๆ สามารถเลือกรายการวดิ ที ัศน์ ท่ตี นเองต้องการชมได้โดยเลือกตามรายการ (Menu) และเลือก
ชมได้ตลอดเวลา วิดโี อออนดีมานด์ เปน็ ระบบท่ีมีศนู ย์กลาง การเก็บขอ้ มูลวีดทิ ัศน์ไวจ้ าํ นวนมาก โดยจดั เกบ็ ใน
รปู แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ (Video Server) เมือ่ ผใู้ ชต้ ้องการเลอื กชมรายการใด กเ็ ลือกไดจ้ ากฐานข้อมลู ท่ี
ต้องการ ระบบวดิ โี อ ออนดมี านดจ์ งึ เปน็ ระบบท่จี ะนาํ มาใช้ ในเรือ่ งการเรยี นการสอนทางไกลได้ โดยไม่มี
ขอ้ จํากัดดา้ นเวลา ผู้เรียนสามารถเลือกเรียน ในสิ่งทตี่ นเองตอ้ งการเรียนหรอื สนใจได้

6. การสบื ค้นข้อมลู (Search Engine) ปจั จบุ ันได้มีการกลา่ วถงึ ระบบการสืบค้นขอ้ มูลกันมาก
แม้แตใ่ นเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต ก็มกี ารประยุกต์ใชไ้ ฮเปอร์เท็กซ์ในการสบื ค้นขอ้ มลู จนมีโปรโตคอลชนิดพเิ ศษท่ี
ใช้กนั คือ World Wide Web หรือเรียกว่า www. โดยผใู้ ช้สามารถเรียกใชโ้ ปรโตคอล http เพอ่ื เชื่อมโยงเขา้
สู่ระบบไฮเปอร์เทก็ ซ์ ซึ่งเปน็ ฐานขอ้ มลู ในอนิ เทอรเ์ น็ต ไฮเปอร์เท็กซ์มลี กั ษณะเปน็ แบบมัลติมเี ดยี เพราะ
สามารถสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทเี่ ก็บได้ทั้งภาพ เสียง และตวั อักษร มีระบบการเรียกค้นทีม่ ี
ประสทิ ธิภาพ โดยใชโ้ ครงสรา้ งดัชนีแบบลาํ ดบั ช้ันภมู ิ โดยทวั่ ไป ไฮเปอรเ์ ท็กซจ์ ะเป็นฐานขอ้ มูลที่มีดัชนสี ืบคน้
แบบเดินหน้า ถอยหลงั และบันทึกร่องรอยของการสบื ค้นไว้ โปรแกรมทีใ่ ชใ้ นการสร้างไฮเปอร์เท็กซม์ ีเปน็

จํานวนมาก สว่ นโปรแกรมที่มีชื่อเสียงไดแ้ ก่ HTML Compossor FrontPage Marcromedia DreaWeaver
เปน็ ต้น ปจั จุบันเราใชว้ ิธีการสืบคน้ ข้อมลู เพ่ือนาํ ข้อมลู ที่ได้ไปใช้ประกอบในการทําเอกสารรายงานตา่ ง ๆ ได้
อยา่ งสะดวกและรวดเรว็

7. อนิ เทอร์เนต็ คือเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ซึ่งประกอบดว้ ยเครือข่ายยอ่ ย และเครือข่ายใหญ่
สลับซับซอ้ นมากมาย เช่ือมต่อกนั มากกว่า 300 ล้านเครื่องในปัจจบุ นั โดยใชใ้ นการตดิ ต่อสือ่ สาร ข้อความ
รูปภาพ เสยี งและอืน่ ๆ โดยผ่านระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ทมี่ ผี ู้ใช้งานกระจายกันอยูท่ ่ัวโลก ปัจจุบนั ได้มี
การนาํ ระบบอินเทอร์เน็ต เข้ามาใชใ้ นวงการศึกษากันทว่ั โลก ซ่งึ มปี ระโยชน์ในดา้ นการเรียนการสอนเปน็ อย่าง
มาก
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นงานทะเบียนของสถานศกึ ษา

1. งานรับมอบตวั ทําหน้าท่ตี รวจสอบหลักฐานทนี่ ักศึกษานาํ มารายงานตวั จากน้นั ก็จดั เก็บ
ประวตั ภิ มู หิ ลังนกั ศึกษา เช่น ภูมิลําเนา บิดามารดา ประวัติการศึกษา ทุนการศึกษา ไวใ้ นแฟูมเอกสารขอ้ มูล
ประวัตินกั ศึกษา

2. งานทะเบียนเรยี นรายวิชา ทาํ หน้าทจี่ ัดรายวชิ าที่ตอ้ งเรียนให้กั บนักศึกษา ในแต่ละภาค
เรยี นทุกชัน้ ปี ตามแผนการเรียนของแตล่ ะแผนก แล้วจัดเก็บไวใ้ นแฟูมข้อมลู ผลการเรียน

3. งานประมวลผลการเรียน ทําหน้าท่นี าํ ผลการเรยี นจากอาจารย์ผสู้ อนมาประมวลในแต่ละ
ภาคเรยี น จากน้นั ก็จดั เก็บไว้ในแฟูมเอกสารข้อมูลผลการเรียน และแจง้ ผลการเรยี นให้ผู้ทเี่ กยี่ วข้องทราบ

4. งานตรวจสอบผ้จู บการศึกษา ทาํ หน้าทต่ี รวจสอบรายวิชา และผลการเรยี น ท่นี กั ศึกษา
เรยี นต้งั แตเ่ รม่ิ ตน้ จนกระทั่งจบหลกั สตู ร จากแฟูมเอกสาร ข้อมลู ผลการเรียน ว่าผา่ นเกณฑก์ ารจบหรือไม่

5. งานสง่ นักศึกษาฝึกงาน ทําหนา้ ทหี่ าข้อมลู จากสถานท่ฝี ึกงาน ในแต่ละแห่งวา่ สามารถ
รองรับจํานวน นกั ศึกษาทจี่ ะฝึกงานในรายวชิ าตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็นจาํ นวนเท่าใด จากนัน้ กจ็ ัดนักศึกษา ออกฝึกงาน
ตามรายวิชา ใหส้ อดคล้องกบั จาํ นวนทสี่ ถานประกอบการต้องการ
ที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/403422 [03/09/2558]

การสบื ค้น และรบั สง่ ข้อมูล แฟม้ ข้อมูล และสารสนเทศเพื่อใช้ในการจดั การเรยี นรู้

กระบวนการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ

การทําขอ้ มูลใหเ้ ป็นสารสนเทศที่จะเปน็ ประโยชน์ต่อการใช้งาน จําเปน็ ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาชว่ ย

ในการดาํ เนินการ เร่มิ ตั้งแตก่ ารรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดาํ เนนิ การประมวลผลข้อมูลให้กลายเปน็
สารสนเทศ และการดแู ลรักษาสารสนเทศ เพ่ือการใชง้ าน มกี ระบวนการ 3 ข้นั ตอน ดังนี้

1. การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล

1.1 การรวบรวมข้อมลู เปน็ เร่อื งของการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ซึ่งมีจาํ นวนมาก และต้องเก็บให้ได้อย่าง

ทันเวลา เชน่ ข้อมูลการลงทะเบียนเรยี นของนักเรียน ข้อมูลประวัตบิ ุคลากร ปจั จบุ ันมเี ทคโนโลยชี ่วยในการ

จัดเกบ็ อยูเ่ ป็นจํานวนมาก เช่น การปอู นข้อมลู เขา้ เครื่องคอมพิวเตอร์ การอ่านข้อมูลจากรหสั แทง่ การตรวจใบ
ลงทะเบยี นที่มกี ารฝนดินสอดําในตําแหน่งตา่ ง ๆ เปน็ วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เช่นกนั

1.2 การตรวจสอบข้อมูล เม่ือมีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลแล้วจําเป็นต้องมีการตรวจสอบขอ้ มูล เพอ่ื
ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ข้อมลู ทีเ่ ก็บเข้าในระบบจะต้องมีความนา่ เช่อื ถือ หากพบท่ผี ดิ พลาดตอ้ งแก้ไข การ
ตรวจสอบข้อมูลมหี ลายวิธี เชน่ การใชผ้ ู้ปูอนข้อมูลสองคนปอู นข้อมลู ชุดเดยี วกัน เขา้ เครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ ลว้
เปรยี บเทยี บกนั หรอื ตั้งกฎเกณฑใ์ ห้คอมพิวเตอรต์ รวจสอบ

2. การประมวลผลขอ้ มูล ประกอบดว้ ยกิจกรรมดงั ต่อไปนี้
2.1 การจดั กลุม่ ข้อมูล ขอ้ มูลท่จี ดั เกบ็ จะต้องมกี ารแบง่ แยกกลุ่ม เพ่ือเตรยี มไวส้ ําหรบั การ ใช้งาน

การแบ่งแยกกลมุ่ มีวธิ ีการที่ชัดเจน เชน่ ขอ้ มูลในโรงเรยี นมีการแบ่งเป็นแฟมู ประวตั ินักเรียน และแฟูม
ลงทะเบยี น เพ่ือความสะดวกในการคน้ หา

2.2 การจัดเรยี งข้อมูล เม่ือจัดแบ่งกลุม่ เปน็ แฟมู แล้ว ควรมกี ารจัดเรียงข้อมลู ตามลาํ ดบั ตัวเลข
หรือตวั อักษร หรือเพอ่ื ให้เรียกใชง้ านได้งา่ ย ประหยัดเวลา ตวั อย่างการจัดเรียงข้อมูล เชน่ การจัดเรยี งบัตร
ขอ้ มูลผ้แู ต่งหนงั สือ ในตบู้ ัตรรายการของหอ้ งสมุดตามลาํ ดับตัวอักษร การจัดเรยี งช่ือคนในสมุดรายนามผู้ใช้
โทรศพั ทต์ ามลําดบั ตัวอักษร

2.3 การสรปุ ผล บางครง้ั ข้อมูลท่จี ัดเก็บมจี าํ นวนมาก จาํ เป็นต้องมีการสรุปผลหรือสรุปรายงาน เพ่ือ
นําไปใชป้ ระโยชน์ ข้อมลู ทสี่ รุปได้น้อี าจส่ือความหมายได้ดีกวา่ เช่น สถติ จิ ํานวนนักเรยี นแยกตามชน้ั เรยี นแต่
ละชน้ั

2.4 การคํานวณข้อมลู ท่ีเก็บรวบรวมมีเปน็ จํานวนมากข้อมลู บางส่วน เป็นข้อมลู ตัวเลขทส่ี ามารถ
นําไปคาํ นวณ เพือ่ หาผลลพั ธ์บางอย่างได้ ดังนัน้ การสรา้ งสารสนเทศจากขอ้ มูลจึงอาศัยการคํานวณข้อมลู ทเ่ี ก็บ
ไว้ด้วย เชน่ การคํานวณเกรดเฉล่ยี ของนักเรยี นแต่ละคน

3. การดูแลรักษาข้อมลู ประกอบดว้ ยกิจกรรมต่อไปน้ี
3.1 การเกบ็ รกั ษาข้อมูล การเกบ็ รักษาข้อมลู หมายถึง การนําข้อมลู มาบนั ทกึ เกบ็ ไวใ้ นสือ่ บันทกึ

ตา่ ง ๆ เช่น แผ่นบนั ทกึ ข้อมลู นอกจากน้ียังรวมถงึ การดูแล และทาํ สําเนาขอ้ มูล เพื่อใหใ้ ช้งานตอ่ ไปในอนาคต
ได้

3.2 การทาํ สาํ เนาข้อมลู การทาํ สําเนาเพ่อื ทจี่ ะนาํ ขอ้ มูลเกบ็ รกั ษาไว้ หรือนาํ ไปแจกจ่ายในภายหลงั
จึงควรคํานึงถงึ ความจแุ ละความทนทานของส่ือบนั ทึกข้อมูล

3.3 การสอื่ สารและเผยแพร่ขอ้ มูล ขอ้ มูลต้องกระจายหรือสง่ ต่อไปยังผู้ใชง้ านทหี่ ่างไกลได้ง่าย การ
ส่อื สารขอ้ มูลจึงเปน็ เรอ่ื งสําคัญและมีบทบาทท่ีสําคัญยิ่งท่ีจะทําให้การส่งขา่ วสารไปยงั ผู้ใช้ ทาํ ไดร้ วดเร็วและ
ทนั เวลา

3.4 การปรบั ปรงุ ข้อมูล ข้อมูลทีจ่ ดั เก็บไว้มีจุดประสงค์ที่จะเรียกใชง้ านไดต้ ่อไป ดงั นนั้ ข้อมลู จึงตอ้ งมี
การปรบั ปรงุ ใหท้ ันสมยั อย่ตู ลอดเวลา และจัดเก็บอยา่ งเปน็ ระบบเพื่อการคน้ หาได้อย่างรวดเร็ว

การจัดการขอ้ มูลด้วยคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการประมวลผลขอ้ มูลด้วยเครื่องอเิ ล็คทรอนิคส์ แบง่ ได้ก่ีวิธี อะไรบ้าง

การประมวลผลข้อมูลด้วยเคร่ืองอเิ ล็กทรอนิกส์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 วธิ ี ดังนี้
1. ขนั้ เตรยี มข้อมูล

เป็นการจดั เตรยี มขอ้ มลู ที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการประมวลผล แบง่ เป็นขน้ั ตอนย่อย ๆ
4 วิธี ดงั นี้

1.1 การลงรหสั คอื การใช้รหสั แทนขอ้ มูลจริง ทาํ ใหข้ ้อมูลอยู่ในรปู แบบทีส่ ะดวกแกก่ าร
ประมวลผล ทําใหป้ ระหยัดเวลาและเนอื้ ที่ รหสั อาจเปน็ ตัวเลขหรอื ตวั อักษรก็ได้ เชน่ ข้อมลู เก่ยี วกับเพศ ให้
รหสั 1 แทนเพศชาย รหัส 2 แทนเพศหญิง เป็นต้น

1.2 การตรวจสอบ เปน็ การตรวจสอบความถูกต้องและความเปน็ ไปได้ของข้อมลู และปรบั ปรุงแก้ไข
เทา่ ท่จี ะทําไดห้ รอื คัดข้อมูลท่ีไม่ตอ้ งการออกไป เชน่ คําตอบบางคาํ ตอบขดั แย้งกนั ก็อาจดูคําตอบจากคําถาม
ข้ออ่ืน ๆ ประกอบ แล้วแก้ไขตามความเหมาะสม

1.3 การแยกประเภทข้อมลู คือการแยกประเภทขอ้ มูลออกตามลกั ษณะงานเพ่อื สะดวกในการ
ประมวลผลต่อไป เชน่ แยกตามคณะวิชา แยกตามเพศ แยกตามอายุ เปน็ ตน้

1.4 การบันทกึ ข้อมลู ลงส่ือ หมายถึง การจัดเตรยี มข้อมลู ให้อยู่ในสอื่ หรืออุปกรณ์ท่ีอยใู่ นรปู ที่
เครือ่ งคอมพวิ เตอร์สามารถเข้าใจ และนาํ ไปประมวลได้ เช่น บนั ทกึ ข้อมลู ลงในจานแมเ่ หล็ก หรอื เทปแม่เหล็ก
เพ่ือนําไปประมวลผลด้วยเครอ่ื งคอมพวิ เตอรต์ ่อไป

2. ขั้นตอนการประมวลผล คอื เปน็ การนาํ เอาโปรแกรมที่เขียนข้ึน มาใช้เพอื่ โดยนําขอ้ มลู ที่เตรยี มไว้
แลว้ เข้าเคร่อื ง แตก่ ่อนทเ่ี ครือ่ งจะทาํ งานตอ้ งมีโปรแกรมส่ังงาน ซง่ึ โปรแกรมเมอร(์ Processing) เป็นผู้เขียน
เครอ่ื งคอมพิวเตอร์จะทําการประมวลผลจนกระท่ังได้ผลลัพธอ์ อกมาและยงั คงเก็บไว้ในเครอ่ื งขั้นตอนต่าง ๆ
อาจเป็นดังน้ี

2.1 การคํานวณ ได้แก่ การคํานวณทางคณิตศาสตร์ เชน่ การบวก ลบ คณู หาร และทาง
ตรรกศาสตร์ เชน่ การเปรียบเทยี บคา่ ต่าง ๆ

2.2 การเรียงลําดบั ข้อมูล เช่น เรยี งข้อมูลจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อยหรือเรยี งตามตัวอักษร
A ถึง Z เป็นตน้

2.3 การสรุป เปน็ การรวบรวมข้อมลู ท่มี ีอย่ทู ง้ั หมดใหอ้ ยู่ในรปู แบบสนั้ ๆ กะทัดรดั ตามต้องการ เชน่
การสรุปรายรบั รายจ่าย หรอื กําไรขาดทนุ

2.4 การเปรยี บเทียบ เพอื่ พจิ ารณาเทยี บเคยี งใหเ้ หน็ ลกั ษณะท่เี หมือนกันและต่างกัน
3. ขนั้ ตอนการแสดงผลลพั ธ์ เปน็ งานทไี่ ดห้ ลงั จากผ่านการประมวลผลแล้วเป็นขัน้ ตอนในการแปล
ผลลัพธท์ ี่เกบ็ อยู่ในเคร่ือง ให้ออกมาอยูใ่ นรปู ที่สามารถเข้าใจง่ายไดแ้ ก่ การนําเสนอในรูปแบบรายงาน เชน่
แสดงผลสรปุ ตารางรายงานการบัญชี รายงานทางสถิติ รายงานการวเิ คราะหต์ ่าง ๆ หรืออาจแสดงดว้ ยกราฟ
เช่น แผนภมู ิ หรือรปู ภาพสรุปข้นั ตอนการประมวลผลดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์

ระบบฐานข้อมลู
ฐานขอ้ มูลเปน็ การจดั เกบ็ ข้อมูลอย่างเปน็ ระบบ ทาํ ให้ผู้ใช้สามารถใชข้ ้อมลู ทเ่ี กี่ยวข้องในระบบงานตา่ ง ๆ

รว่ มกันได้ โดยที่จะไมเ่ กิดความซ้ําซอ้ นของข้อมลู และยังสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมลู ด้วย อีกท้ัง
ข้อมูลในระบบกจ็ ะถกู ต้องเชอ่ื ถือได้ และเป็นมาตรฐานเดยี วกัน โดยจะมีการกาํ หนดระบบความปลอดภยั ของ
ขอ้ มลู ขนึ้

นับไดว้ า่ ปัจจบุ นั เป็นยคุ ของสารสนเทศ เปน็ ท่ียอมรบั กันวา่ สารสนเทศเปน็ ข้อมูลทีผ่ ่านการกลน่ั กรองอยา่ ง
เหมาะสม สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชนอ์ ย่างมากมาย ไมว่ ่าจะเป็นการนํามาใช้งานดา้ นธรุ กิจ การบริหาร และ
กจิ การอื่น ๆ องค์กรที่มีข้อมูลปริมาณมาก ๆ จะพบความยุ่งยากลาํ บากในการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนการนํา
ขอ้ มลู ที่ตอ้ งการออกมาใชใ้ ห้ทันต่อเหตกุ ารณ์ ดงั นัน้ คอมพวิ เตอร์จงึ ถูกนาํ มาใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ช่วยในการจัดเกบ็
ข้อมูล การประมวลผลข้อมูล ซง่ึ ทาํ ให้ระบบการจดั เกบ็ ข้อมูลเปน็ ไปไดส้ ะดวก ทงั้ น้โี ปรแกรมแตล่ ะโปรแกรม
จะตอ้ งสร้างวธิ ีควบคมุ และจัดการกับข้อมูลขนึ้ เอง ฐานขอ้ มูลจงึ เข้ามามีบทบาทสาํ คัญอย่างมาก โดยเฉพาะ
ระบบงานตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้คอมพิวเตอร์ การออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูล จึงต้องคาํ นึงถงึ การควบคมุ และ
การจดั การความถูกต้องตลอดจนประสิทธิภาพในการเรียกใช้ข้อมลู ดว้ ย

ความรูพ้ ้นื ฐานเกี่ยวกับระบบฐานขอ้ มลู
ความหมายของระบบฐานข้อมลู

ฐานขอ้ มลู (Database) หมายถึง กล่มุ ของข้อมลู ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ นั นํามาเก็บรวบรวมเขา้ ไว้
ด้วยกนั อย่างมรี ะบบและข้อมูลทปี่ ระกอบกนั เป็นฐานข้อมูลนั้น ต้องตรงตามวตั ถปุ ระสงค์การใช้งานขององค์กร
ดว้ ยเชน่ กัน เช่น ในสํานกั งานก็รวบรวมข้อมลู ตั้งแต่หมายเลขโทรศพั ท์ของผ้ทู ม่ี าติดตอ่ จนถึงการเก็บเอกสาร
ทุกอย่างของสํานักงาน ซง่ึ ข้อมลู ส่วนน้จี ะมีส่วนท่สี มั พนั ธ์กันและเปน็ ทต่ี ้อง

การนาํ ออกมาใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไปภายหลงั ข้อมูลนน้ั อาจจะเก่ยี วกบั บคุ คล สิง่ ของสถานท่ี หรือเหตกุ ารณ์ใด ๆ
กไ็ ด้ท่ีเราสนใจศึกษา หรืออาจไดม้ าจากการสงั เกต การนบั หรือการวดั กเ็ ปน็ ได้ รวมท้ังขอ้ มลู ทีเ่ ปน็ ตวั เลข
ขอ้ ความ และรปู ภาพต่าง ๆ กส็ ามารถนํามาจัดเก็บเปน็ ฐานข้อมูลได้ และทีส่ าํ คัญข้อมลู ทุกอย่างต้องมี
ความสมั พันธก์ ัน เพราะเราต้องการนํามาใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไปในอนาคต
นยิ ามและคําศัพท์พ้นื ฐานเกยี่ วกบั ระบบฐานข้อมลู
บิท (Bit) หมายถงึ หน่วยของขอ้ มูลที่มขี นาดเลก็ ทสี่ ดุ
ไบท์ (Byte) หมายถงึ หนว่ ยของข้อมูลท่ีกิดจากการนําบิทมารวมกันเปน็ ตัวอักขระ (Character)
เขตข้อมูล (Field) หมายถงึ หนว่ ยของข้อมลู ทีป่ ระกอบขึ้นจากตัวอกั ขระต้ังแตห่ น่ึงตวั ขึน้ ไปมารวมกันแล้วได้
ความหมายของส่ิงใดสิง่ หนง่ึ เชน่ ชื่อ ทีอ่ ยู่ เปน็ ต้น

ระเบียน (Record) หมายถงึ หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนเอาเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตขอ้ มลู มา
รวมกนั เพ่อื เกิดเปน็ ข้อมลู เรือ่ งใดเร่ืองหน่ึง เช่น ข้อมลู ของนกั ศึกษา 1 ระเบยี น (1 คน) จะประกอบด้วย

• รหัสประจาํ ตัวนักศึกษา 1 เขตข้อมูล
• ช่ือนกั ศึกษา 1 เขตข้อมลู
• ท่ีอยู่ 1 เขตข้อมูล

แฟมู ข้อมูล (File) หมายถึงหนว่ ยของข้อมูลทเ่ี กดิ จากการนาํ ขอ้ มลู หลาย ๆ ระเบยี นท่เี ปน็ เร่อื ง
เดยี วกันมารวมกนั เช่น แฟูมขอ้ มูลนักศึกษา แฟูมข้อมลู ลกู คา้ แฟูมข้อมลู พนักงาน

ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล
จากการจัดเก็บข้อมลู รวมเปน็ ฐานข้อมลู จะก่อให้เกิดประโยชน์ดงั น้ี
1. สามารถลดความซ้ําซ้อนของข้อมลู ได้

การเก็บข้อมลู ชนิดเดยี วกันไวห้ ลาย ๆ ท่ี ทาํ ให้เกิดความซาํ้ ซอ้ น (Redundancy) ดังน้นั การนําข้อมลู มา
รวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะชาวยลดปญั หาการเกิดความซ้ําซ้อนของข้อมูลได้ โดยระบบจัดการฐานข้อมลู
(Database Management System : DBMS) จะช่วยควบคุมความซํ้าซ้อนได้ เนื่องจากระบบจัดการ
ฐานขอ้ มูลจะทราบไดต้ ลอดเวลาวา่ มขี ้อมลู ซํ้าซ้อนกนั อยู่ที่ใดบา้ ง
2. หลกี เล่ยี งความขดั แย้งของข้อมลู ได้

หากมกี ารเก็บข้อมูลชนดิ เดียวกนั ไว้หลาย ๆ ท่ีและมีการปรบั ปรุงขอ้ มลู เดียวกันน้ี แต่ปรบั ปรุงไม่ครบทุกที่
ที่มีข้อมลู เก็บอยู่ก็จะทําใหเ้ กดิ ปญั หาข้อมูลชนิดเดยี วกนั อาจมคี ่าไม่เหมือนกนั ในแตล่ ะท่ีทีเ่ ก็บข้อมลู อยู่ จงึ ก่อ
ใให้เกดิ ความขัดแย้งของข้อมูลขนึ้ (Inconsistency)
3. สามารถใชข้ อ้ มูลรว่ มกันได้

ฐานขอ้ มลู จะเปน็ การจัดเก็บข้อมูลรวมไวด้ ว้ ยกนั ดังนน้ั หากผูใ้ ช้ต้องการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลท่ีมาจาก
แฟูมข้อมลู ตา่ งๆ ก็จะทําไดโ้ ดยงา่ ย
4. สามารถรักษาความถูกต้องเชือ่ ถอื ไดข้ องข้อมลู

บางครงั้ พบว่าการจดั เกบ็ ขอ้ มูลในฐานข้อมูลอาจมีข้อผิดพลาดเกดิ ขน้ึ เช่น จากการท่ีผู้ปอู นขอ้ มูลปูอน
ขอ้ มูลผิดพลาดคือปอู นจากตวั เลขหนึ่งไปเป็นอีกตัวเลขหนง่ึ โดยเฉพาะกรณีมีผ้ใู ชห้ ลายคนต้องใช้ข้อมลู จาก
ฐานข้อมลู ร่วมกนั หากผใู้ ชค้ นใดคนหน่งึ แก้ไขข้อมูลผิดพลาดก็ทาํ ให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบตามไปดว้ ย ในระบบ
จัดการฐานข้อมูล (DBMS) จะสามารถใสก่ ฎเกณฑเ์ พื่อควบคุมความผิดพลาดที่เกดข้ึน
5. สามารถกาํ หนดความป็นมาตรฐานเดยี วกันของข้อมลู ได้

การเก็บข้อมลู รว่ มกนั ไว้ในฐานข้อมลู จะทาํ ให้สามารถกาํ หนดมาตรฐานของขอ้ มูลไดร้ วมทงั้ มาตรฐานต่าง
ๆ ในการจัดเกบ็ ข้อมูลใหเ้ ป็นไปในลกั ษณะเดียวกันได้ เชน่ การกําหนดรปู แบบการเขียนวันที่ ในลกั ษณะ วนั /
เดอื น/ปี หรือ ปี/เดือน/วนั ท้ังนจ้ี ะมีผูท้ ี่คอยบริหารฐานข้อมลู ที่เราเรยี กว่า ผบู้ รหิ ารฐานข้อมูล (Database
Administrator : DBA) เปน็ ผกู้ ําหนดมาตรฐานต่างๆ
6. สามารถกาํ หนดระบบความปลอดภัยของข้อมลู ได้

ระบบความปลอดภยั ในที่น้ี เป็นการปอู งกนั ไม่ให้ผ้ใู ชท้ ี่ไม่มสี ทิ ธิมาใช้ หรือมาเหน็ ข้อมูลบางอย่างในระบบ
ผู้บรหิ ารฐานข้อมลู จะสามารถกาํ หนดระดบั การเรียกใช้ขอ้ มูลของผใู้ ช้แตล่ ะคนได้ตามความเหมาะสม
7. เกดิ ความเป็นอสิ ระของข้อมลู

ในระบบฐานขอ้ มูลจะมตี วั จดั การฐานข้อมูลที่ทาํ หน้าทเ่ี ปน็ ตวั เชื่อมโยงกบั ฐานข้อมูล โปรแกรมตา่ ง ๆ อาจ
ไมจ่ าํ เปน็ ต้องมโี ครงสร้างข้อมูลทุกคร้งั ดงั นัน้ การแก้ไขข้อมูลบางครง้ั จึงอาจกระทาํ เฉพาะกบั โปรแกรมท่ี
เรยี กใชข้ ้อมูลทีเ่ ปลี่ยนแปลงเทา่ น้นั สว่ นโปรแกรมที่ไมไ่ ดเ้ รียกใชข้ อ้ มูลดงั กล่าว กจ็ ะเปน็ อสิ ระจากการ
เปลยี่ นแปลง

โปรแกรมฐานข้อมลู ทนี่ ยิ มใช้
โปรแกรมฐานข้อมูล เป็นโปรแกรมหรือซอฟแวร์ทชี่ ว่ ยจัดการข้อมูลหรอื รายการตา่ ง ๆ ท่ีอยู่ในฐานข้อมลู

ไม่ว่าจะเป็นการจดั เกบ็ การเรียกใช้ การปรบั ปรงุ ข้อมูล

โปรแกรมฐานขอ้ มลู จะช่วยให้ผู้ใชส้ ามารถคน้ หาข้อมลู ได้อยา่ งรวดเรว็ ซงึ่ โปรแกรมฐานข้อมมลู ทน่ี ิยมใชม้ ี
อย่ดู ว้ ยกนั หลายตัว เชน่ Access, FoxPro, Clipper, dBase, FoxBase, Oracle, SQL เปน็ ตน้ โดยแตล่ ะ
โปรแกรมจะมีความสามารถต่างกนั บางโปรแกรมใชง้ ่ายแต่จะจาํ กดั ขอบเขตการใช้งาน บ่งโปรแกรมใช้งาน
ยากกว่า แตจ่ ะมคี วามสามารถในการทาํ งานมากกวา่

โปรแกรม Access นับเป็นโปรแกรมทน่ี ิยมใช้กนั มากในขณะน้ี โดยเฉพาะในระบบฐานขอ้ มูลขนาดใหญ่
สามารถสร้างแบบฟอร์มทตี่ ้องการจะเรยี กดูข้อมลู ในฐานข้อมลู หลงั จากบันทึกข้อมูลในฐานขอ้ มูลเรยี บร้อย
แลว้ จะสามารถค้นหาหรือเรียกดขู ้อมลู จากเขตข้อมลู ใดก็ได้ นอกจากนี้ Access ยังมีระบบรกั ษาความ
ปลอดภัยของข้อมูล โดยการกําหนดรหสั ผ่านเพ่ือปูองกนั ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบไดด้ ว้ ย

โปรแกรม FoxPro เปน็ โปรแกรมฐานข้อมูลทม่ี ีผู้ใช้งานมากท่ีสดุ เนื่องจากใชง้ า่ ยท้ังวธิ กี ารเรียกจากเมนู
ของ FoxPro และประยกุ ต์โปรแกรมขน้ึ ใชง้ าน โปรแกรมที่เขียนดว้ ย FoxPro จะสามารถใช้กลบั dBase คาํ สงั่
และฟังก์ชัน่ ตา่ ง ๆ ใน dBase จะสามารถใช้งานบน FoxPro ได้ นอกจากนใ้ี น FoxPro ยงั มเี คร่ืองมือช่วยใน
การเขียนโปรแกรม เชน่ การสรา้ งรายงาน

โปรแกรม dBase เปน็ โปรแกรมฐานข้อมูลชนดิ หนึ่ง การใช้งานจะคลา้ ยกับโปรแกรม FoxPro ข้อมลู
รายงานท่ีอยู่ในไฟลบ์ น dBase จะสามารถสง่ ไปประมวลผลในโปรแกรม Word Processor ได้ และแมแ้ ต่
Excel ก็สามารถอ่านไฟล์ .DBF ท่ีสรา้ งขึน้ โดยโปรแกรม dBase ไดด้ ว้ ย

โปรแกรม SQL เป็นโปรแกรมฐานข้อมลู ท่ีมีโครงสร้างของภาษาทเ่ี ขา้ ใจง่าย ไมซ่ บั ซอ้ น มีประสทิ ธิภาพ
การทาํ งานสงู สามารถทาํ งานทีซ่ บั ซอ้ นได้โดยใช้คําสง่ั เพียงไม่ก่คี ําสั่ง โปรแกรม SQL จงึ เหมาะทีจ่ ะใช้กับระบบ
ฐานข้อมูลเชงิ สมั พนั ธ์ และเป็นภาษาหน่งึ ทมี่ ผี ้นู ิยมใชก้ นั มาก โดยทัว่ ไปโปรแกรมฐานขอ้ มลู ของบริษัทต่าง ๆ ที่
มีใช้อยู่ในปัจจบุ ัน เช่น Oracle, DB2 ก็มักจะมีคาํ สัง่ SQL ท่ตี ่างจากมาตรฐานไปบ้างเพ่ือใหเ้ ป็นจุดเด่นของแต่
ละโปรแกรมไป

อินเทอรเ์ น็ต (Internet)
เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องท่ัวโลก สามารถ

ตดิ ต่อสือ่ สารถึงกันได้ โดยใช้มาตรฐานในการรบั ส่งข้อมูลทเี่ ป็นหนงึ่ เดยี ว หรอื ท่ีเรียกวา่ โปรโตคอล (Protocol) ซึ่ง
โปรโตคอล ทใี่ ชบ้ นระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet

Protocol)

พฒั นาการของอนิ เทอร์เน็ต
ปี พ.ศ. 2500 (1957) โซเวียดได้ปล่อยดาวเทียม Sputnik ทําให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหาที่

อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น ค.ศ. 2512 (1969) กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเส่ียงทางการทหาร และความ
เปน็ ไปไดใ้ นการถูกโจมตี ดว้ ยอาวุธปรมาณู หรือนวิ เคลียร์ การถกู ทําลายล้าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ และระบบการ
สื่อสารข้อมูล อาจทําให้เกิดปัญหาทางการรบ และในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีหลากหลายมากมายหลาย
แบบ ทําให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้ จึงมีแนวความคิด ในการวิจัยระบบที่
สามารถเช่ือมโยงเคร่ืองคอมพิวเตอร์ และแลกเปล่ียนข้อมูล ระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ ตลอดจนสามารถ
รับส่งขอ้ มูลระหวา่ งกนั ได้อยา่ งไมผ่ ดิ พลาด แม้วา่ คอมพวิ เตอรบ์ างเครื่อง หรือสายรับส่งสัญญาณ เสียหายหรือ
ถูกทําลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกัน (DoD = Department of Defense) ได้ให้ทุนที่มีช่ือว่า DARPA (Defense Advanced
Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr. J.C.R. Licklider ได้ทําการทดลอง ระบบเครือข่ายท่ีมีชื่อว่า
DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Projects Agency Network) และต่อมาได้
พฒั นาเปน็ INTERNET ในทีส่ ุด

อินเทอรเ์ นต็ ในตา่ งประเทศ

อินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet (Advanced Research Projects Agency Network) ซ่ึงเป็นหน่วยงานที่
สงั กดั กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense – DoD)

- ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ARPA ไดถ้ ูกกอ่ ตัง้ และได้ถูกพฒั นาเรอื่ ยมา
- ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝุาย ซึ่งหน่ึงในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy
และเปล่ียนช่ือจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปล่ียนแปลงนโยบาย
บางอย่าง และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)น้ีเองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่งเข้าหา
กันเป็นคร้ังแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และ
มหาวทิ ยาลยั ยูทาห์ เครอื ขา่ ยทดลองประสบความสาํ เร็จอยา่ งมาก ดงั น้นั ในปคี .ศ.1975

(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายท่ีใช้งานจริง ซ่ึง DARPA ได้โอนหน้าท่ีรับผิดชอบ
โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency – ปัจจุบันคือ Defense
Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทํางานท่ีรับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC
(Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet,
IETF (Internet Engineering Task Force) พฒั นามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซงึ่ เป็นการทาํ งานโดยอาสาสมัคร ทง้ั ส้นิ

- ค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนํา TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับ
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทําให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระท่ัง
ปจั จุบนั จงึ สังเกตไุ ดว้ ่า ในเครื่องคอมพวิ เตอร์ทุกเคร่ืองท่ีจะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ
TCP/IP คือขอ้ กําหนดท่ีทําให้คอมพวิ เตอรท์ วั่ โลก ทกุ platform คุยกนั รเู้ รอ่ื ง และสือ่ สารกันได้อยา่ งถกู ตอ้ ง

- การกําหนดช่ือโดเมน (Domain Name System) มีข้ึนเมื่อ ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบ
กระจาย (Distribution database) อยใู่ นแตล่ ะเครอื ขา่ ย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทําฐานข้อมูลของ
ตนเอง จึงไม่จําเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ http://www.yonok.ac.th จะ
ไปที่ตรวจสอบวา่ มชี ื่อนี้ หรือไม่ ที่http://www.thnic.co.th ซึง่ มีฐานขอ้ มูลของเว็บท่ีลงท้ายด้วย th ท้ังหมด เป็นต้น-
DARPA ได้ทําหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบดแู ลระบบ internet เรือ่ ยมาจนถึง

- ค.ศ.1980 (พ.ศ.2533) และให้ มูลนธิ วิ ิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation NSF) เขา้ มาดแู ลแทน
ร่วม กับอีกหลายหนว่ ย

อนิ เตอร์เนต็ ในประเทศไทย

- พ.ศ. 2530 ประเทศไทยไดม้ กี ารเช่อื มโยงเครอื ข่ายเตอร์เน็ตครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยง
กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบัน
เทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
เน่ืองจากการสง่ ขอ้ มูลลา่ ชา้

- พ.ศ. 2535 ศนู ย์เทคโนโลยอี ิเลก็ ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectect) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย สถาบนั เทคโนโลยีแหง่ เอเชยี (AIT) มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมมือกันเช่าสายโทรศัพท์เพ่ือต่อพ่วงคอมพิวเตอร์แต่ละสถาบันเข้าด้วยกัน โดย
เรียกเครือข่ายสมัยนั้นวา่ “เครอื ข่ายไทยสาร“

- พ.ศ. 2537 เครือข่ายไทยสารเติบโตข้ึนเรื่อยๆ และมีหน่วยงานต่างๆของราชการเข้ามาเช่ือมต่อใน
เครือข่ายมากข้ึนเร่ือยๆ และต่อมาทางหน่ว ยงานเอกชนมีคว ามต้องการใช้บริการมากขึ้น
การสื่อสารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่บิษัทต่างๆ หรือบุคคล
ทั่วไปที่สนใจ โดยเรียกบริษัทเอกชนที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ว่า ISP (Internet Service
Provider) ใความเปน็ จรงิ ไม่มีใครเปน็ เจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกําหนด
มาตรฐานใหมต่ ่าง ๆ ผ้ตู ดิ สนิ ว่าสง่ิ ไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รบั การยอมรบั คอื ผ้ใู ช้ ที่กระจายอยู่ท่ัวทุกมุมโลก
ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านัน้ และจะใชต้ อ่ ไปหรอื ไม่เทา่ น้ัน สว่ นมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น
TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามน้ันต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การ
จะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไมใ่ ช่เร่อื งง่ายนัก

หลักการทาํ งานของอนิ เทอร์เนต็

การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็น
มาตรฐานของการเช่ือมต่อกําหนดไว้ โปรโตคอลท่ีเป็นมาตรฐานสําหรับการเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP
(Transmission Control Protocol/Internet Protocol)

เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องท่ีเช่ือมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจําเคร่ือง
ท่ีเรียกว่า IP Address เพ่ือเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อ่ืนๆ ในเครือข่าย ซ่ึง IP ในท่ีนี้ก็คือ
Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง IP address ถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหน่ึงขนาด 32 บิต ใน 1
ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อ

ความงา่ ยแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด (.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนน้ีจึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ ต้ังแต่ 0
จนถึง 255 เท่านั้น เช่น IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต คือ 203.183.233.6
ซง่ึ IP Address ชุดนจ้ี ะใช้เป็นท่ีอย่เู พอื่ ติดตอ่ กบั เครือ่ งคอมพิวเตอรอ์ ืน่ ๆ ในเครือข่าย

บริการบนอินเตอร์เน็ต

บรกิ ารค้นข้อมลู World Wide Web

การนําเสนอข้อมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาข้ึนมาในช่วงปลายปี 1989 โดย
ทมี งานจากห้องปฏิบัตกิ ารทางจุลภาคฟสิ กิ ส์แหง่ ยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือท่ีรู้จักกัน ใน
นาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มี การ
พัฒนาภาษาท่ีใช้สนับสนุน การเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ (Web Document) จากเครื่อง
แม่ข่าย (Server) ไปยังสถานท่ีต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML (Hypertext Markup
Language)

การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (WebPage) เป็นท่ีนิยมกันอย่างสูงใน
ปัจจุบนั ไม่เฉพาะขอ้ มูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะเข้าถึง
กลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลท่ีนําเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ
ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนาเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW
เติบโตเป็นหน่ึง ในรูปแบบบริการ ท่ีได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอินเทอร์เน็ต ซ่ึงลักษณะเด่นของการ
นําเสนอข้อมูลเว็บเพจ คือ สามารถเช่ือมโยงข้อมูลไปยังจุดอ่ืนๆ บนหน้าเว็บได้ ตลอดจนสามารถเช่ือมโยงไป
ยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นท่ีมาของคําว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถ มากกว่า
ข้อความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารน้ันๆ ด้วยตนเอง
ตลอดเวลาทีม่ ีการใชง้ าน

ส่อื การเรียนการสอนสมยั ใหม่
ความหมายของสื่อการเรยี นการสอน

สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ส่ิงต่างๆ ท่ีเป็นบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการ ซ่ึง
เป็นตัวกลางทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนที่กําหนดไว้ได้อย่างง่ายและ
รวดเร็วเปน็ เครอื่ งมือและตัวกลางซง่ึ มีความสําคญั ในกระบวนการเรียนการสอนมีหน้าทีเ่ ปน็ ตัวนําความต้องการ

ของครูไปสู่ตัวนักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นผลให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมาย
การเรียนการสอนได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม นักการศกึ ษาเรียกชื่อการสอนด้วยชอื่ ต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การสอน
โสตทัศนปู กรณ์ เทคโนโลยกี ารศึกษา สอ่ื การเรียนการสอนสอื่ การศกึ ษา เปน็ ต้น

ส่ือการเรยี นการสอนสมัยใหม่ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางที่มีความสําคัญในกระบวนการเรียนรู้ใน
ยุคโลกาภิวัฒน์หรือในยุคท่ีเต็มไปด้วย ICT เทคโนโลยีสารสนเทศและส่ือสารต่างๆ โดยเครื่องมือเหล่านี้ช่วย
สร้างสีสันดึงดูดใจ เปิดโลกการเรียนรู้กว้างไกลต่อผู้เรียนมากยิ่งข้ึน ซ่ึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงถึงตัว
ผู้เรียนเองทําให้ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปล่ียนแปลงวิธีการเรียนรู้ พฤติกรรมในที่น้ีหมายถึง
ลักษณะในการเรียนจะมีความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น เพราะส่ิงที่เห็นอยู่นั้นถือเป็นส่ิงท่ีแปลกใหม่และ
แปลกตาสําหรบั เดก็ นักเรยี น โดยสื่อการเรียนการสอนทค่ี รูนาํ มาสอนส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นส่ิงท่ีทันสมัยมีการ
พฒั นาไปตามการเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ อย่างไมห่ ยุดยั้ง ซ่ึงครูผู้สอนหรือนักวิชาการจะเรียกช่ือสื่อการสอนเหล่าน้ี
แตกต่างกนั ออกไป อยา่ งเช่น โสตทศั นูปกรณ์ สื่อการเรยี นการสอน เทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ ต้น

ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ ่าท้งั สือ่ การเรยี นการสอนและสอื่ การเรียนการสอนสมัยใหม่มคี วามหมายที่ใกล้เคียง
กันจะแตกต่างกันตรงท่ีเครื่องมือที่ใช้เป็นตัวกลางในการเรียนการสอนน้ันไม่เหมือนกัน ในส่วนของส่ือการ
เรียนการสอนแบบเดิมน้ันจะเป็นส่ือที่ไม่หลากหลาย อาจจะไม่มีความทันสมัย ไม่น่าสนใจ อย่างเช่น ภาพ
เสียง หรือส่ืออะไรที่เก่าๆ แต่สําหรับส่ือการเรียนการสอนสมัยใหม่น้ันส่วนมากแล้วจะเป็นสื่อท่ีมีการนํา
นวัตกรรมเทคโนโลยี ITC ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความสนใจ อยากท่ีจะเรียนมากขึ้น อย่างเช่น
สือ่ CAI บทเรยี นออนไลน์ ส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ เปน็ ตน้
หลักเกณฑก์ ารพิจารณาเลอื กสือ่ การเรยี นการสอนสมัยใหม่

การเลือกส่ือการเรียนการสอนเพ่ือนํามาใช้ประกอบการ สอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธภิ าพนน้ั เป็นสงิ่ สาํ คัญย่ิง โดยในการเลือกส่ือ ผู้สอนจะต้องต้ังวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการเรียน
ให้แน่นอนเสียก่อน เพื่อใช้วัตถุประสงค์นั้นเป็นตัวชี้นําในการเลือกสื่อการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม
นอกจากนยี้ งั มีหลักการอ่ืนๆ เพ่อื ประกอบการพจิ ารณา คอื
1. สื่อนัน้ ตอ้ งมคี วามสัมพนั ธก์ บั เนอ้ื หาในบทเรยี นและตรงกบั จุดมงุ่ หมายทจ่ี ะสอน
2. เลือกสื่อทีม่ เี นือ้ หาถูกตอ้ ง ทันสมยั นา่ สนใจ และเป็นสอื่ ทีจ่ ะใหผ้ ลตอ่ การเรียนการสอนมากที่สุด ช่วยให้
ผเู้ รียนเขา้ ใจในเนื้อหาวชิ าน้นั ๆ ไดด้ เี ปน็ ลาํ ดบั ขน้ั ตอน
3. เป็นสอื่ ท่เี หมาะสมกับวยั ระดบั ชั้น ความรู้ และประสบการณข์ องผู้เรยี น
4. ส่ือน้ันควรสะดวกในการใช้ มวี ธิ ใี ช้ไม่ซับซ้อนยงุ่ ยากจนเกนิ ไป
5. ต้องเปน็ ส่ือทม่ี ีคุณภาพเทคนคิ การผลิตที่ดี มีความชดั เจนและเปน็ จรงิ
6. มรี าคาไมแ่ พงจนเกนิ ไป หรือถา้ จะผลติ เองกค็ วรคมุ้ กบั เวลาและการลงทุน

ในการเรียนการสอนน้ัน วัตถุประสงค์ของการเรียนนับเป็นสิ่งสําคัญย่ิงท่ีผู้สอนจะต้องกําหนดไว้
เพื่อเป็นหลักว่า จะสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์ด้านใดบ้างจากบทเรียนน้ัน ทั้งน้ีเพ่ือท่ีจะ
สามารถเลือกสอื่ การเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมกบั วิธีการสอนแต่ละอย่างดว้ ย
ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าของสอื่ การเรยี นการสอน

สอื่ การเรยี นการสอนสามารถใชป้ ระโยชน์ไดท้ งั้ กบั ผเู้ รยี นและผู้สอนดงั ต่อไปนี้

ประโยชน์และคุณคา่ ต่อครูผสู้ อน

ส่ือการเรียนการสอนสามารถช่วยการเรียนการสอนของครูได้ดีมากซ่ึงเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากทีเดียวแถมยังช่วยให้ครูมีความรู้มากข้ึนในการจัดหาแหล่ง
วิทยาการท่ีเป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการสอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรร มการ
เรียนรู้และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้มากทีเดียวส่ือการสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทํา
กิจกรรมหลายๆรูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏ
การ เป็นต้น ช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนและยังช่วยในการขยายเน้ือหาท่ี
เรียนทําให้การสอนง่ายขึ้นและยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอนนักเรียนจะได้มีเวลาในการทํากิจกรรมการ
เรียนมากขนึ้ จากขอ้ มูลเราจะไดเ้ ห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอนซ่ึงทําให้เรามองเห็นถึงความสําคัญ
ของสอ่ื สารมีประโยชน์และมีความจําเป็นสามารถช่วยพฒั นาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยัง
มขี อ้ เสนอแนะอีกมากมายอยา่ งเช่น

1. เปน็ การชว่ ยใหบ้ รรยากาศในการสอนน่าสนใจมากยง่ิ ขึ้น ทาํ ให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนมากกว่า
วิธกี ารท่ีเคยใชก้ ารบรรยายแตเ่ พยี งอย่างเดยี ว

2. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในการเตรียมเนื้อหา เพราะบางคร้ังอาจให้ผู้เรียนศึกษาจากเนื้อหาจาก
ส่ือได้บา้ ง
3. เป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนต่ืนตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นส่ือการสอน ตลอดจน
คิดค้นเทคนคิ วิธกี ารตา่ งๆ เพือ่ ให้การเรยี นร้นู า่ สนใจยิ่งขึ้น

ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ต่อตวั ผูเ้ รยี น
1. เป็นสิ่งท่ีช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทําให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเน้ือหาบทเรียนที่
ยงุ่ ยากซับซ้อนไดง้ า่ ยขนึ้ ในระยะเวลาอันสน้ั
2. สอื่ จะชว่ ยกระตุ้นและสร้างความสนใจใหก้ ับผเู้ รยี น ทาํ ให้เกิดความสนกุ และไมร่ ู้สกึ เบื่อหน่าย
3. การใช้ส่อื จะทาํ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามเขา้ ใจตรงกันและเกดิ ประสบการณร์ ว่ มกนั ในวิชาทเ่ี รียน
4. ช่วยใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอนมากย่ิงขึน้ ทําให้เกิดมนุษยสัมพันธ์
5. ทําให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงครูผู้สอนท่ีนําส่ือมาใช้ในการสอนและจากสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงทางสังคม
และวัฒนธรรม
6. เทคโนโลยีสารสนเทศของสื่อการเรียนการสอนทําให้เด็กสามารคิดแยกแยะได้และมีความคิดรวบยอดเป็น
อย่างเดยี วกนั
7. ส่ือการเรียนการสอนสมัยใหม่สามารถเอาชนะข้อจํากัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ด้ังเดิมของ
ผู้เรียนคือเม่ือใช้ส่ือการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซ่ึงมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกันหรือ
สามารถเปลี่ยนมุมมองทศั นคติไปจากเดิมได้
8. ทําให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเร่ืองต่าง ๆ มากข้ึน เช่นการอ่าน ความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์
ทศั นคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ
9. เป็นการสร้างแรงจูงใจ เรา้ ความสนใจใหเ้ ด็กสนใจในการเรียนอีกคร้ัง เปน็ การนาํ สิง่ ทอี่ ยูไ่ กลมาศกึ ษาได้
10. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นไดม้ ปี ระสบการณ์จากรูปธรรมสูน่ ามธรรม
11. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น เรียนรู้ได้ดีข้ึนจากประสบการณ์ที่มี
ความหมายในรูปแบบต่างๆ เรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง เรียนรู้ได้ง่ายและเข้าใจได้ชัดเจน เรียนรู้ได้มากข้ึนและ
เรยี นรู้ไดใ้ นเวลาที่จํากดั
12. เปน็ การนําส่งิ ทีเ่ กิดขน้ึ ในอดีตมาศึกษาไดแ้ ละช่วยกระตุน้ ความสนใจของผเู้ รียนดว้ ย
13. ชว่ ยให้จดจําไดน้ าน เกิดความประทับใจและมน่ั ใจในการเรยี นและการสอนของครูผู้สอน
14. ช่วยให้ผูเ้ รยี นไดค้ ิดและแก้ปญั หาเปน็ และตัดสินใจได้
หลกั การใช้สือ่ การเรียนการสอน

การใช้สื่อการเรียนการสอนน้ันอาจจะใช้เฉพาะข้ันตอนใดข้ันตอนหนึ่งของการสอน หรือจะใช้ในทุก
ข้ันตอนก็ได้ ดงั น้ี

1. ข้ันนําเข้าสูบ่ ทเรยี น เพื่อกระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความสนใจในเน้ือหาท่ีกําลังจะเรียนหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ
การเรยี นในคร้ังกอ่ น แต่มใิ ชส่ ่ือทเี่ นน้ เนอื้ หาเจาะลกึ อย่างแท้จริง เป็นส่ือท่ีง่ายในการนําเสนอในระยะเวลาอัน
สั้น

2. ขั้นดําเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นข้ันสําคัญในการเรียนเพราะเป็นข้ันท่ีจะให้ความรู้
เนื้อหาอย่างละเอียดเพ่ือสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ต้องมีการจัดลําดับข้ันตอนการใช้สื่อให้เหมาะสมและ
สอดคลอ้ งกบั กจิ กรรมการเรยี น

3. ข้ันวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ ส่ือในขั้นนี้จึงเป็นสื่อท่ีเป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนได้ขบคิดโดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้
สอ่ื เองมากทสี่ ุด

4. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นข้ันของการเรียนการสอนเพ่ือการยํ้าเน้ือหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจท่ีถูกต้อง
และตรงตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ีต้ังไว้ ควรใช้เพียงระยะเวลาสน้ั ๆ

5. ขั้นประเมินผู้เรียน เป็นการทดสอบความสามารถของผู้เรียนว่าผู้เรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียนถูกต้องมากน้อย
เพียงใด สว่ นใหญ่แลว้ จะเปน็ การประเมินจากคาํ ถามจากเนอ้ื หาบทเรียนโดยอาจจะมีภาพประกอบด้วยก็ได้

ตัวอย่างสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่
1.ส่ือ CAI

คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรอื ซีเอไอ (CAI)
คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนหรอื โปรแกรมชว่ ยสอน คือสือ่ ทีใ่ ชใ้ นการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับส่ือการสอน
อน่ื ๆ เช่น วดิ ีโอช่วยสอน บตั รคาํ ชว่ ยสอน โปสเตอร์ แตค่ อมพวิ เตอร์ช่วยสอนจะดกี วา่ ตรงท่ีตัวส่ือการสอน ซึ่ง
ก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคําสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคําถามหรือ
ไมเ่ ชน่ นนั้ คอมพิวเตอรก์ จ็ ะเปน็ ฝุายปอู นคําถาม

หมายถึง การนําคอมพิวเตอร์มาเป็นเคร่ืองมือสร้างให้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือให้ผู้เรียนนําไป
เรยี นดว้ ยตนเองและเกดิ การเรียนรู้ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เน้ือหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะ
ของการนําเสนออาจมีท้ังตัวหนงั สอื ภาพกราฟกิ ภาพเคลื่อนไหว สีหรือเสยี งเพอ่ื ดงึ ดูดใหผ้ ู้เรียนเกิดความสนใจ
มากยิ่งข้ึนรวมทั้งการแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนและยังมีการ

จัดลําดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละคนนอกจากนั้น คอมพิวเตอร์ช่วย
สอนเองยงั มลี ักษณะทเี่ รยี กวา่ “บทเรยี นสาํ เรจ็ รูป” แต่เป็นบทเรียนสําเร็จรูปโดยการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์เป็น
ตัวกลางแทนสงิ่ พมิ พ์หรือสือ่ ประเภทต่างๆทาํ ใหบ้ ทเรียนสําเร็จรูปในคอมพิวเตอร์มีศักยภาพเหนือกว่าบทเรียน
สําเร็จรปู ในรูปแบบอืน่ ๆทัง้ หมดโดยเฉพาะมีความสามารถท่ีเกือบจะแทนครูท่ีเป็นมนุษย์ได้

คุณลักษณะสาํ คญั ของคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI)

คุณลกั ษณะทเ่ี ป็นองค์ประกอบสําคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4 ประการ ไดแ้ ก่
1. สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระท่ีได้รับการเรียบเรียง ทําให้ผู้เรียนเกิดการ

เรียนรู้ หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามท่ีผู้สร้างได้กําหนดวัตถุประสงค์ไว้ การนําเสนออาจเป็นไปใน
ลักษณะทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทติวเตอร์ เช่นการอ่าน จํา ทํา
ความเขา้ ใจ ฝึกฝน ตวั อยา่ ง การนาํ เสนอในทางออ้ มได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทเกมและการจําลอง

2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualization) การตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
คือลกั ษณะสําคัญของคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน บคุ คลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์
ช่วยสอน เป็นสื่อประเภทหน่ึงจึงต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะที่ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่าง
บุคคลใหม้ ากที่สุด

3. การโต้ตอบ (Interaction) คือการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการ
เรียน การสอนรปู แบบท่ดี ที ีส่ ุดก็คอื เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้มปี ฏิสัมพนั ธก์ ับผู้สอนได้มากที่สุด

4.การให้ผลปูอนกลับโดยทันที (Immediate Feedback) ผลปูอนกลับหรือการให้คําตอบนี้ถือเป็น
การ เสริมแรงอย่างหน่ึง การให้ผลปูอนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึงการท่ีคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่
สมบูรณ์จะต้องมีการ ทดสอบหรอื ประเมินความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาหรือทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์
ทีก่ ําหนดไว้

ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI)
1. ช่วยให้ผู้เรียนท่ีเรียนอ่อน สามารถใช้เวลานอกเวลาเรียนในการฝึกฝนทักษะ และเพ่ิมเติมความรู้ เพื่อ
ปรบั ปรงุ การเรียนของตน

2. ผเู้ รียนสามารถนําคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนไปใชใ้ นการเรียนด้วยตนเองในเวลา และสถานท่ที สี่ ะดวก
3. คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนสามารถที่จะจูงใจผ้เู รียนใหเ้ กิดความกระตือรือร้น สนุกสนานไปกบั การเรยี น

ขอ้ พงึ ระวังของการใช้คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
* ผูส้ อนจะตอ้ งมคี วามพรอ้ ม ความชาํ นาญในการสอนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
* ผูส้ อนควรมกี ารวางแผน และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนให้รอบคอบ ก่อนนําคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้
อย่างเหมาะสม
* การผลิตคอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีได้มาตรฐานเป็นสิ่งสําคัญมาก หากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไม่ได้รับการ
ออกแบบอย่างเหมาะสม จะทาํ ให้ผ้เู รียนรสู้ กึ เบื่อหน่ายและไมต่ ้องการใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนน้นั ๆ
* ผู้ที่สนใจสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรท่ีคํานึงเวลาในการผลิตว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีได้มาตรฐานนั้น
ต้องใชเ้ วลาเทา่ ไร

ตวั อย่างของคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน หรือ CAI
1.การสอน (TutorialInstruction) เป็นโปรแกรมทีเ่ สนอเนือ้ หาความรเู้ ปน็ เนือ้ หาย่อย ๆ แก่ผู้เรียนใน

รปู แบบของข้อความ ภาพ เสียง หรือทุกรูปแบบรวมกัน แล้วให้ผู้เรียนตอบคําถามเมื่อผู้เรียนให้คําตอบแล้ว
คําตอบน้ันจะได้รับการวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลปูอนกลับทันทีแต่ถ้าผู้เรียนตอบคําถามนั้นซ้ําและยังผิดอีก ก็จะมี
การให้เนื้อหาเพื่อทบทวนใหม่จนกวา่ ผู้เรียนจะตอบถูกแล้วจงึ ตดั สินใจว่าจะยังคงเรียนเนื้อหาในบทน้ันอีก หรือ
จะเรียนในบทใหมต่ ่อไป

2.การฝึกหัด (Drills and Practice) เป็นโปรแกรมฝึกหัดที่ไม่มีการเสนอเนื้อหาความรู้แก่ผู้เรียนก่อน
แต่จะมีการให้คําถามหรือ ปัญหาที่ได้คัดเลือกมาจากการสุ่ม หรือออกแบบมาโดยเฉพาะโดยการนําเสนอ
คําถาม หรือปญั หาน้นั ซ้าํ แล้วซ้ําเลา่ เพอ่ื ให้ผู้เรียนตอบแล้วมีการให้คําตอบท่ีถูกต้อง เพื่อการตรวจสอบยืนยัน
แกไ้ ขและพร้อมกบั ใหค้ ําถามหรือปัญหาต่อไปอีก จนกว่าผู้เรียนจะสามารถตอบคําถามหรือแก้ปัญหานั้นจนถึง
ระดับที่น่าพอใจ ดังน้ันในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกหัดนี้ ผู้เรียนจึงจําเป็นต้องมีความคิดรวบยอดและมี
ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองราว และกฎเกณฑ์เก่ียวกับเร่ืองนั้น ๆเป็นอย่างดีมาก่อน แล้วจึงจะสามารถตอบ
คําถาม หรือแก้ปญั หาได้

3.การจําลอง (Simulation) เป็นโปรแกรมที่จําลองความเป็นจริงโดยตัดรายละเอียดต่าง ๆหรือนํา
กจิ กรรมท่ใี กล้เคยี งกบั ความเป็นจรงิ มาให้ผู้เรยี นไดศ้ กึ ษาน้ันเป็นการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้พบเห็นภาพจําลอง
ของเหตุการณ์ เพ่ือการฝึกทักษะและการเรียนรู้ได้ โดยไม่ต้องเส่ียงภัย หรือเสียค่าใช้จ่ายมากนักโปรแกรมนี้

มิใช่เป็นการสอนเหมือนกับโปรแกรมการสอนแบบธรรมดาซึ่งเป็นการเสนอเน้ือหาความรู้ แล้วจึงให้ผู้เรียนทํา
กจิ กรรมแต่เปน็ เพยี งการแสดงใหผ้ ูเ้ รียนได้ชมเทา่ นัน้

4. เกมเพื่อการสอน (Instructional Games) โปรแกรมชนิดนี้กําลังเป็นที่นิยมกันมากเนื่องจากเป็นสิ่ง
ที่กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ได้โดยง่ายเพ่ิมบรรยากาศในการเรียนรู้ให้ดีย่ิงข้ึนและช่วยมิให้ผู้เรียน
เกิดอาการเหม่อลอยหรือฝันกลางวัน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเรียนเนื่องจากมีการแข่งขันจึงทําให้ผู้เรียนต้องมี
การตน่ื ตวั อยูเ่ สมอ

5. การค้นพบ (Discovery) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองให้
มากท่ีสุดโดยการเสนอปัญหาให้ผู้เรียนลองผิดลองถูกหรือโดยวิธีการจัดระบบเข้ามาช่วย โปรแกรม
คอมพวิ เตอร์ จะใหข้ อ้ มลู แก่ผเู้ รียนเพ่อื ช่วยในการคน้ พบจนกว่าจะได้ข้อสรปุ ที่ดีท่ีสดุ

6. การแก้ปัญหา (Problem-Solving) เป็นการให้ผู้เรียนฝึกการคิด การตัดสินใจโดยมีการกําหนด
เกณฑ์ให้ แลว้ ให้ผ้เู รยี นพิจารณาไปตามเกณฑ์น้ันโปรแกรมเพ่ือการแก้ปัญหาแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ โปรแกรม
ท่ใี ห้ผ้เู รยี นเขียนเองและโปรแกรมทีม่ ผี ู้เขยี นไวแ้ ลว้ เพอ่ื ช่วยผเู้ รยี นในการแก้ปัญหาโดยที่คอมพิวเตอร์จะช่วยใน
การคดิ คํานวณ และหาคําตอบที่ถูกตอ้ งให้

7. การทดสอบ (Tests) การใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์เพอ่ื การทดสอบมิใช่เป็นการใช้เพียงเพ่ือปรับปรุง
คุณภาพของแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ของผู้เรียนเท่านั้นแต่ยังช่วยให้ผู้สอนมีความรู้สึกที่ เป็นอิสระจากการ
ผูกมดั ทางกฎเกณฑ์ต่าง ๆเก่ียวกบั การทดสอบได้อกี ดว้ ย

การนําไปใช้
สื่อการเรียนการสอนนับว่าเป็นปัจจัยสําคัญอย่างยิ่งท่ีจะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

การเรียนรู้ได้หรือเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญสื่อการเรียนการสอนประเภท “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” เองนับว่าเป็น
สอ่ื ประเภทหนงึ่ ท่ีให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสูง ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคุณสมบัติในการนําเสนอ
แบบหลายส่ือ (Multimedia) ด้วยคอมพิวเตอร์และการเรียนท่ีใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือเป็นเพิ่ม
ความน่าสนใจให้แกผ่ เู้ รยี น โดยนําเสนอในรปู แบบตา่ งๆเชน่ ภาพ เสียง กราฟฟิกต่างๆ โดยเนน้ ให้ผู้เรียนได้เกิด
การเรียนรดู้ ้วยตนเอง

การประเมิน

ประเมนิ วา่ หลังจากนักเรียนใช้โปรแกรมนี้แล้วบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้หรือไม่วิธีการประเมินผลส่วนนี้
กระทําโดยผู้เรียนทําแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้โปรแกรมเพื่อวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนถ้าผลการ
ทดสอบออกมาติดลบแสดงว่าหลังจากการใช้โปรแกรมผู้เรียนไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยจําเป็นต้องมีการปรับปรุง
วัตถุประสงค์ใหม่เพราะโปรแกรมที่สร้างไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้ังไว้นอกจากน้ียังประเมินในส่วนของ
โปรแกรมและการทํางานว่าการใช้โปรแกรมกับเน้ือหารวิชานี้เหมาะสมหรือไม่เจตคติของผู้เรียนต่อการใช้
โปรแกรมเป็นอย่างไรวิธีการใช้โปรแกรมง่ายยากอย่างไรวิธีการสอนบทเรียนความถูกต้องของเน้ือหาเอกสาร
ประกอบการติดต่อกับผู้เรียนเป็นอย่างไรการประเมินผลเป็นอย่างไรการประเมินผลส่วนน้ีจะใช้แบ บสอบถาม
จากขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนทก่ี ลา่ วมาทัง้ หมดข้างตน้ นี้

2. E-Leaning หรอื บทเรยี นออนไลน์
คําว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะหรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเน้ือหานั้น

กระทําผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทาง
สญั ญาณโทรทัศน์หรือ สญั ญาณดาวเทยี ม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้นซึง่ การเรยี นลักษณะน้ีไดม้ กี ารนําเข้าสู่ตลาด
เมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based
Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือการเรียนด้วยวีดีโอ
ผ่านออนไลน์

ดร. สุรสทิ ธิ์ วรรณไกรโรจน์ ผู้อํานวยการโครงการการเรียนรแู้ บบออนไลนแ์ ห่ง สวทช. ได้ให้คําจํากัด
ความของ บทเรยี นออนไลน์ (Online) e-Learning (อีเลิร์นนิง) คือ การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-learning
(อีเลิร์นน่ิง) การศึกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet)
เป็นการเรยี นรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียน
ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอ่ืนๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser
โดยผ้เู รยี น ผ้สู อน และเพ่ือนร่วมช้ันเรยี นทกุ คน สามารถตดิ ตอ่ ปรึกษา แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้
เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ ส่ือสารท่ีทั นสมัย เช่น e-mail,
webboard, chat) จึงเป็นการเรียนสําหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานท่ี (Learn for all :
anyone, anywhere and anytime)
สามารถนําไปใชป้ ระกอบกับการเรียนการสอน ได้ 3 ระดับ ดังน้ี

1. สื่อเสริม (Supplementary) กล่าวคือนอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว
ผูเ้ รยี นยงั สามารถศึกษาเน้อื หาเดียวกนั นีใ้ นลกั ษณะอ่ืนๆ เช่น จากเอกสาร (ชีท)ประกอบการสอน จากวิดีทัศน์
(Videotape) ฯลฯ การใช้ e-Learning ในลักษณะน้ีเท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการจัดหาทางเลือกใหม่อีกทาง
หนึ่งสาํ หรบั ผ้เู รยี นในการเขา้ ถึงเนือ้ หาเพ่ือใหป้ ระสบการณ์พิเศษเพิ่มเตมิ แกผ่ ้เู รียนเท่านั้น

2. สื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนํา e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพ่ิมเติมจากวิธีการ
สอนในลักษณะอนื่ ๆ เช่นนอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้วผู้สอนยังออกแบบเนื้อหาให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษา
เน้ือหาเพ่มิ เตมิ จาก e-Learning ในความคิดของผเู้ ขียน

3. สื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนํา e-Learning ไปใช้ในลักษณะ
แทนท่กี ารบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์ ในปัจจุบัน e-Learning ส่วนใหญ่
ในตา่ งประเทศจะได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นส่ือหลักสําหรับแทนครูในการสอนทางไกล
ดว้ ยแนวคดิ ท่ีวา่ มัลตมิ เี ดยี ท่ีนําเสนอทาง e-Learning สามารถช่วยในการถ่ายทอดเน้ือหาได้ใกล้เคียงกับการ
สอนจริงของครูผสู้ อนโดยสมบรู ณไ์ ด้

การเตรยี มความพร้อมของผเู้ รยี น สาํ หรับการเรียนแบบ e – Learning
- สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ และใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี
- เพือ่ การเรียนเนือ้ หาบทเรียนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ควรใชง้ านอนิ เทอร์เนต็ ทม่ี คี วามเรว็ ไม่ตาํ่ กว่า 256 K
- ผู้เรียนจะต้องวางแผนการเรียน แบ่งเวลาในการเรียน ควบคุมการเรียนให้เป็นไปตามความพร้อมและ

ความสามารถของตนเองควบคู่ไปกับตารางการเรยี นการสอนของทางสถาบัน

การประเมนิ
เนื้อหาต้องมีความถูกต้อง วิธีการสอนหรือการเสนอเน้ือหาความมุ่งหมายชัดเจนตรงตามวัตถุประสงค์ มี

ความชัดเจนและตามตรรกะ เหมาะสมกับผู้เรียนส่งเสริมในการคิดสร้างสรรค์ตอบสนองความต้องการของ
ผู้เรียนเหมาะสมกับสถานการณ์ เวลา และเหตุการณ์ช่วยบูรณาการประสบการณ์ในอดีตผู้เรียนสามารถ
ควบคมุ ได้เทคนิควธิ กี าร การแสดงผลงา่ ยต่อการใชง้ าน มคี วามแนน่ อนเชื่อถอื ได้

3. E-Book หรอื หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์
อีบุ๊ค (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เป็นคําภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคําว่า electronic book
หมายถึง หนังสอื ท่สี ร้างขนึ้ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็น
แฟมู ข้อมลู ทสี่ ามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอรท์ ้ังในระบบออฟไลนแ์ ละออนไลน์
คุณลักษณะของหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์สามารถเช่อื มโยงจุดไปยงั ส่วนต่างๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจน
มีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง
ภาพเคลอ่ื นไหว แบบทดสอบ และสามารถส่ังพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเคร่ืองพิมพ์ได้ อีกประการหน่ึงที่
สําคัญกค็ อื หนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์สามารถปรบั ปรงุ ขอ้ มูลให้ทันสมยั ไดต้ ลอดเวลา ซ่งึ คณุ สมบัติเหล่านี้จะไม่มีใน
หนังสือธรรมดาท่ัวไป

หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์ เป็นหนังสือที่จัดทําด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องพิมพ์เนื้อหาสาระ
ของหนังสือบนกระดาษหรือจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเปิดอ่านได้จากจอภาพของ
เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เหมือนกับเปิดอ่านจากหนังสือโดยตรง ท้ังนี้สามารถนําเสนอข้อมูลได้ทั้งตัวอักษรหรือ
ตัวเลข เรียกว่า ไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext) และถ้าหากข้อมูลน้ันรวมถึงภาพ เสียง และภาพเคล่ือนไหวจะ
เรียกว่า ไฮเปอร์มีเดีย (hypermedia)โดยการประสานเช่ือมโยงสัมพันธ์ของเนื้อหาท่ีอยู่ในแฟูมเดียวกัน หรือ
อยู่คนละแฟูม เข้าด้วยกัน ทําให้ผู้ใช้ สามารถค้นหาข้อมูลท่ีต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพซึ่ง
ผู้เรยี นสามารถท่ีจะเลอื กเรยี นได้ตามความต้องการไม่จํากดั เวลาและสถานที่
โครงสร้างหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-Book Construction)

ลักษณะโครงสร้างของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะมีความคล้ายคลึงกับหนังสือท่ัวไปท่ีพิมพ์ด้วยกระดาษ
หากจะมีความแตกต่างที่เหน็ ไดช้ ดั เจนก็คือกระบวนการผลติ รูปแบบ และวิธกี ารอ่านหนังสือ
สรปุ โครงสร้างทัว่ ไปของหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย
1. หน้าปก (Front Cover)
2. คํานาํ (Introduction)
3. สารบญั (Contents)
4.สาระของหนงั สือแตล่ ะหน้า (Pages Contents)
5. อา้ งอิง (Reference)
6.ดัชนี (Index)

7. ปกหลงั (Back Cover)

หนา้ ปก หมายถงึ ปกด้านหน้าของหนังสอื ซึง่ จะอยสู่ ว่ นแรก เปน็ ตัวบง่ บอกว่าหนังสือเล่มนี้ช่ืออะไร ใครเป็น
ผูแ้ ตง่

คํานาํ หมายถึง คาํ บอกกล่าวของผูเ้ ขยี นเพอ่ื สรา้ งความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั ขอ้ มูล และเรอ่ื งราวต่างๆ ของ
หนังสือเล่มนั้น

สารบัญ หมายถึง ตัวบ่งบอกหัวเรื่องสําคัญที่อยู่ภายในเล่มว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง อยู่ท่ีหน้าใดของ
หนงั สอื สามารถเช่อื มโยงไปสหู่ น้าต่างๆ ภายในเลม่ ได้

ประโยชน์

1. ช่วยให้ผู้เรียนสามารถย้อนกลับเพื่อทบทวนบทเรียนหากไม่เข้าใจ และสามารถเลือกเรียนได้ตามเวลาและ
สถานที่ทต่ี นเองสะดวก
2. การตอบสนองที่รวดเร็วของคอมพิวเตอร์ท่ีให้ทั้งสีสัน ภาพ และเสียง ทํา ให้เกิดความต่ืนเต้นและไม่เบ่ือ
หนา่ ย
3. ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีประสิทธิภาพในแง่ท่ีลดเวลาลดค่าใช้จ่าย สนองความ
ตอ้ งการและความสามารถของบคุ คล มีประสทิ ธผิ ลในแงท่ ี่ทํา ใหผ้ เู้ รยี นบรรลุจดุ ม่งุ หมาย
4. สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข เพ่ิมเติมข้อมูลได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทําให้สามารถปรับปรุงบทเรียนให้
ทนั สมยั กบั เหตุการณไ์ ดเ้ ป็นอย่างดี
5. เสริมสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้มีเหตุผล มีความคิดและทัศนะที่เป็น Logical เพราะการโต้ตอบกับเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ผู้เรียนจะต้องทํา อย่างมีข้ันตอน มีระเบียบ และมีเหตุผลพอสมควรเป็นการฝึกลักษณะนิสัยที่ดี
ใหก้ บั ผเู้ รียน
6. ครมู เี วลาติดตามและตรวจสอบความกา้ วหน้าของผู้เรียนแตล่ ะคนได้มากข้ึน
7. ช่วยพัฒนาทางวชิ าการ
4. Tablet หรอื เคร่อื งคอมพิวเตอร์สําหรับพกพา
แท็บเลต็ คอมพิวเตอร์ หรือ แท็บเลต็

"แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกส้ันๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet" คือ "เครื่อง
คอมพิวเตอร์ท่ีสามารถใช้ในขณะเคล่ือนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทํางานเป็นอันดับแรก มี

คีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนท่ีแปูนพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุม
ถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแปูนพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุน
หรอื แบบสไลดก์ ต็ าม"

สรุป

ปัจจุบันนี้เริ่ม มีการใช้ Tablet PC ในแวดวงการศึกษากันอย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ในรัฐจอร์เจีย
ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงข้ันลงทุนซื้อ Table PC แจกให้กับนักเรียนเพื่อใช้แทนหนังสือในรูปแบบเดิมๆ ทั้งนี้
เพราะTablet PC จะช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์หนังสือและตําราเรียนได้อย่างมากมาย อีกท้ังยัง
ทาํ ให้การปรบั ปรงุ เนือ้ หาตาํ ราเรียนสามารถทําได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องรอหนังสือเป็นเล่มๆ หมดแล้วค่อย
พิมพ์ใหม่แบบเดิมๆ อีกต่อไป เพราะหนังสือต่างๆ ท่ีอยู่บน Tablet PC นั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือ
อเิ ลคทรอนคิ ส์ท่ีถกู เก็บไว้ในรปู ดิจติ อล จึงสามารถแก้ไขเพ่มิ เตมิ ได้ตลอดเวลา

Tablet PC หน่ึงเครื่องน้ันสามารถบรรจุหนังสือได้เปน็ พันๆ เล่ม โดยผอู้ า่ นสามารถเลือกเล่มไหนข้ึนมาอ่าน
ก่อนก็ได้ ความสามารถพิเศษอีกอย่างหน่ึงของTablet PC คือการเช่ือมโยงครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา
เข้าด้วยกนั ผ่านทางระบบอินเตอรเ์ น็ต ทําให้ข้อจํากัดเรื่องสถานท่ใี นการเรียนการสอนหมดไป ครูอาจารย์ และ
นักเรียนนักศกึ ษา สามารถอยู่กันคนละที่แต่เข้ามาเรียนพร้อมกันแบบเห็นหน้าเห็นตาผ่านทางกล้องที่ถูกติดต้ัง
มาบนTablet PC ได้ จึงทําให้การเรยี นการสอนทางไกลเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และเข้าไปถึงกลุ่มคนทุกช้ันไม่
ว่าจะอยู่ในชนบทหา่ งไกลแคไ่ หนก็ตาม

สําหรับในประเทศไทย สถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยบางแห่งเร่ิมมีการแจก Tablet PC ให้กับ
นักศึกษาใหม่แล้ว แต่การนําไปประยุกต์ใช้ยังไม่มีทิศทางท่ีชัดเจนแน่นอนเพราะยังต้องอาศัยการพัฒนา
โปรแกรมมารองรับรวมทงั้ เนอื้ หาตําราในรปู แบบ E-Book ทีจ่ ะต้องมจี ํานวนมากกว่าน้ี ในขั้นนี้ Tablet PC ใน
ไทยจึงอาจเป็นได้แค่เครื่องมือท่ีไว้จูงใจนักศึกษาหรือสร้างภาพลักษณ์ทันสมัยให้กับมหาวิทยาลัยก่อน แต่ใน
อนาคต เมื่อราคาจําหน่ายของ Tablet PC ถูกลงกว่าน้ีจะมีจํานวนของหนังสือตําราเรียนต่างๆ ทยอยเข้าสู่E-
Book มากข้ึน รวมท้ังจะมีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อรองรับการอ่าน E-Book แบบไทย ๆ มากขึ้น เมื่อถึงเวลา
นั้นTablet PC จะกลายเป็นช่องทางใหม่ ที่เปล่ียนรูปโฉมการเรียนการสอนและการกระจายความรู้ให้เข้าถึง
คนไทยไดอ้ ยา่ งมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

การนําเอา Tablet มาใช้เพื่อการศึกษาเป็นเรื่องท่ีควรดําเนินการไปพร้อมกับพัฒนาการเรียนการสอน
แต่ไมใ่ ชเ่ พียงการตั้งงบประมาณเพื่อจัดหาตัว Tablet แต่จะต้องพัฒนาเน้ือหา ระบบควบคุมและอบรมการใช้

งานระบบท่ีรองรับเหล่าน้ีแก่บุคลากรในระบบการศึกษาด้วย ไม่เช่นน้ันก็จะเป็นเพียงช่องทางการแสวงหา
ผลประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างอกี ช่องทางหน่งึ เท่านน้ั
5. กระดานอัจฉรยิ ะ INTERACTIVE BOARD
Interactive Board หรือกระดานอัจฉริยะ เป็นกระดานระบบสัมผัสท่ีมีหน้าจอขนาดใหญ่ ทําหน้าท่ีเป็น
หนา้ จอโปรเจคเตอร์คอมพวิ เตอร์ (computer projector screen) ซึ่งสามารถควบคุมโดยการสัมผัสหรือเขียน
บนหน้าจอแทนการใชเ้ มาส์หรอื คยี บ์ อรด์

หลกั การทํางาน
ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบคือ คอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ โปรแกรม และกระดานอัจฉริยะ

โดยคอมพิวเตอร์จะถูกต่อเข้ากับโปรเจคเตอร์และกระดานอัจฉริยะ ซึ่งสามารถต่อผ่านสาย USB ไปยัง
คอมพิวเตอร์ หรือบางรนุ่ สามารถเชือ่ มต่อผา่ นทาง บลูทธู หรอื อินฟราเรด (Wireless) สําหรับโปรเจคเตอร์จะ
แสดงผลจากภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังกระดานอัจฉริยะ การกระทําบนหน้าจอแสดงผลท่ีผิวกระดาน
อัจฉริยะจะมีการรับส่งสัญญาณข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ผ่านการเชื่อมต่อสาย USB หรือการเช่ือมต่อแบบ
Wireless และแปรผลผ่านโปรแกรมท่ีติดต้ังไว้ทําให้สามารถควบคุมการทํางาน ระบบคอมพิวเตอร์ผ่านการ
สัมผัสท่ีผิวกระดานอัจฉริยะได้ทันที จะขาดส่ิงใดส่ิงหนึ่งไปมิได้โดยเด็ด ขาด กระดานอัจฉริยะ หรือ
Interactive White Board นั้นจะทําให้เราสามารถที่จะคอนโทรลหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ ปากกา, นิ้ว
มือ, และอุปกรณ์อ่ืน ๆ สัมผัสไปท่ีกระดานอัจฉริยะ หรือ Interactive White Board ซึ่งจะอํานวยความ
สะดวกให้กับผู้ใช้งานคือไม่ต้องเดินไปท่ีคอมพิวเตอร์ ในการที่จะเล่ือนเมาส์ เพ่ือคลิกหรือ พิมพ์ส่วนใหญ่
กระดานอัจฉริยะ หรอื Interactive White Board นน้ั จะแบ่งการทํางานออกเปน็ สองสว่ น

ส่วนแรก คือ ในส่วนของหน้าจอระบบปฏิบัติการ ( Operating System ) ชนิดต่าง ๆ ในที่นี้จะขอ
ยกตัวอย่างเป็น ระบบปฏิบัติการวินโดส์ ซ่ึงในการทํางานของกระดานจะสามารถสัมผัสไปที่ตัวกระดานได้เลย
โดยใช้ นว้ิ มอื หรือ อปุ กรณ์เสริมตา่ ง ๆ

ส่วนที่สอง คือ ในส่วนของหน้าจอไวท์บอร์ดในส่วนนี้จะเปรียบเหมือนกระดานดําหรือกระดาน ไวท์
บอร์ด นั่นเองต่างกันตรงที่กระดานดําหรือกระดานไวท์บอร์ดน่ัน จะต้องใช้ ชอร์ค หรือ ปากกาเมจิกใช้ในการ
เขียน และไม่สามารถท่ีจะบันทึกส่ิงที่เขียนเอาไว้ในรูปแบบไฟล์คอมพิวเตอร์ได้ ตรงจุดน้ีเองซ่ึงเป็นข้อดีของ

กระดานอจั ฉริยะ หรือ Interactive White Board เพราะว่าสามารถท่ีจะใช้นิ้วหรือปากกาในการเขียนได้แล้ว
ยังสามารถท่ีจะบันทึก ทุกสิ่งที่เราเขียนลงไปเก็บไว้ท่ีคอมพิวเตอร์ได้เลย นอกจากน้ันกระดานอัจฉริยะ หรือ
Interactive White Board บางยี่ห้อ ยังสามารถที่จะแปลงตัวเขียนให้เป็น ตัวพิมพ์ ได้ทันที และยังสามารถที่
จะบนั ทกึ เสียงได้อีกด้วย แล้วก็สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานใหม่ได้ทันที และยังสามารถใช้ในการประชุมระหว่าง
ตึก หรือการเรยี นการสอนระหวา่ งตกึ ไดอ้ ีกดว้ ย
ข้อดีสําหรบั ผูเ้ รียนทีใ่ ช้สอื่ กระดานอัจฉรยิ ะ (Activboard)
1. ผเู้ รียนสามารถเรียนรูเ้ พ่มิ เติมดว้ ยตนเองได้
2.ไม่เป็นกําแพงก้ันทางด้านความคิดและความสามารถของผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้สื่อ ทดสอบ
ความสามารถของผเู้ รยี นได้
3. ชว่ ยให้การเรยี นสนุกสนาน เสมอื นมีคณุ ครคู นใหมเ่ พ่มิ ข้นึ
4. มกี ระบวนการทางเทคนิคภายในส่ือ สามารถทาํ ใหผ้ ู้เรียน เรียนรู้จากนามธรรมเป็นรปู ธรรมได้ อย่างสมบูรณ์
5. ชว่ ยประหยัดเร่ืองของการบนั ทกึ ข้อมลู ได้

ข้อดีสําหรบั ผูส้ อนท่ใี ชส้ อื่ กระดานอจั ฉรยิ ะ (Activboard)
1. มีบทบาทในการช่วยครูผู้สอนได้มากกว่าท่ีคิด เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้ก่อนล่วงหน้าได้ ถ้ามีปัญหาก็
สามารถซกั ถามภายในห้องเรยี น หรือส่งทางสือ่ ได้รวดเร็ว
2. ช่วยครผู ู้สอนคน้ คว้าความรู้อื่น ๆ เพอื่ นํามาเพมิ่ พนู ความรู้กบั ผเู้ รยี น ให้มากขึน้ กว่าเดิม โดยใช้เวลาสอนเท่า
เดมิ แตผ่ เู้ รยี น เรยี นร้มู ากกวา่ เดิม
3. สามารถใช้ประเมนิ ผลการเรยี นไดอ้ ย่างรวดเร็ว

จะเหน็ วา่ ประโยชน์ของกระดานอจั ฉริยะ (Active board) เป็นส่ือไฮเทคที่มีประโยชน์มากสําหรับ
โลกของการศึกษาในปัจจุบัน และอนาคต

ความเหมาะสมในการนําไปใช้
โดยทั่วไปถูกใช้ในห้องเรียนและห้องบรรยายหรือห้องประชุมเทคโนโลยี สามารถให้คุณเขียนหรือ

ควบคุมผ่านการสัมผัสบนหน้าจอโดยตรง เช่น การพริ้นภาพ เซฟข้อมูลลงคอมพิวเตอร์หรือส่งข้อมูลผ่าน
เครือข่าย กระดานอัจฉริยะถูกใช้ในหลายๆโรงเรียน แทนกระดานไวท์บอร์ดแบบเดิม นอกจากน้ีกระดาน
อัจฉริยะ ทําให้ครูสามารถบันทึกการสอนได้และใส่ข้อมูลไว้ เพ่ือให้นักเรียนสามารถนําไปใช้ศึกษาได้หลังจาก
เลกิ ช้ันเรยี นแล้ว ซึ่งส่งิ นี้เป็นกลวิธที มี่ ปี ระสิทธแิ ละใช้ไดผ้ ล

เทคโนโลยีกระดานอจั ฉรยิ ะสามารถแบง่ ออกได้ดังน้ี
1.เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบอิเล็กโตรแมกเนติก ( Electromagnetic Interactive Board) เป็น
เทคโนโลยีท่ใี ชค้ ล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟูาในการทํางาน
2.เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบอินฟราเรด (Infrared Interactive Board)เป็นเทคโนโลยีท่ีใช้คลื่น
อนิ ฟราเรดในการรับจุดตดั
3.เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบดีวีทีที ( DVTT Interactive Board ) กระดานอัจฉริยะแบบดีวีทีที น้ันจะ
ประกอบไปด้วยที่ส่งสัญญาณอินฟราเรดและ อุปกรณ์แปลงสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณอนาล็อคและ
สัญญาณอนาล็อคกจ็ ะแปลงเปน็ สัญญาณดจิ ติ อลอกี ที
4.เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบ ทัชเซ้นซิทีฟ ( Touch Sensitive Interactive Board)เทคโนโลยีกระดาน
อัจฉริยะแบบTouch Sensitive ถกู สร้างขึ้นดว้ ยผิวหนา้ ท่มี คี วามแข็งแรงทนทาน

สรุปสําหรับส่ือการเรียนการสอนสมัยใหม่ ผู้เรียนสามารถใช้ไอซีทีเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ตลอด
ชวี ิตโดยมีจดุ ม่งุ หมายคอื

1. การรู้เทคโนโลยีและการรู้สารสนเทศ ในระดับพื้นฐานเพื่อสามารถเข้าถึงและสามารถใช้ไอซีทีเพื่อการ
คน้ คว้า รวบรวม และประมวลผลจากแหล่งต่าง ๆ และเพอื่ เการสร้างองค์ความร้ใู หม่
2. บรู ณาการความรดู้ า้ นเทคโนโลยีและทักษะการจัดการสารสนเทศเพ่ือพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์
การแกป้ ัญหา และการทํางานเป็นทมี

3. กระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาคุณค่า ทัศนคติ และจริยธรรมในเชิงบวกในการใช้ไอซีทีซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการ
เรยี นรูต้ ลอดชวี ติ และกระบวนการคดิ อย่างวเิ คราะห์
4. ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเข้าถึง ใช้ และเรียนรู้ทักษะไอซีทีในการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยหลักสูตร
พื้นฐาน
5. ตอ้ งจัดให้ผเู้ รียนทุกคนมีโอกาสในการใช้และพัฒนาความรู้ไอซีทีในทุกสาขาวิชา และเพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนมี
การใช้ไอซีทใี หม้ ากขึน้
6. กระบวนการเรียนการสอนต้องไม่จัดเฉพาะในชั้นเรียนเท่าน้ัน ผู้เรียนควรมีโอกาสสัมผัสโลกภายนอกผ่าน
เครือขา่ ยไอซีที การรไู้ อซที ี และมีการพัฒนาการของทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ ไอซีทีตามความต้องการของแตล่ ะคน
7. นักเรียนทุกคนที่เรียนจบช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และปีท่ี 6 สามารถใช้โปรแกรมประมวลคําและตารางการ
คํานวณได้ นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 สามารถเขียนโปรแกรมได้ นักเรียนทุกคนในโรงเรียนท่ีมีนักเรียน


Click to View FlipBook Version