แผนการจัดการเรยี นรู้
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง การเขยี นย่อความ
รหัสวิชา ท ๒๓๑๐2 ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓
ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 4 ช่วั โมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 2.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขียนส่อื สาร เขยี นเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเรื่องราวใน
รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้
อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
ตัวชว้ี ัด
ท 2.๑ ม. ๓/๔. เขียนย่อความ
สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ช่วั โมงท่ี ๑
การเขยี นยอ่ ความ คือ การเกบ็ ใจความสำคญั ของเรื่องมาเรียบเรียงใหม่ใหส้ ้นั กระชบั
แตม่ ใี จความสำคัญครบถ้วนสมบรู ณ์ ว่าใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไร นำมาเรยี บเรียงใหม่ให้เป็นสำนวน
ภาษาของตนเอง
ชว่ั โมงที่ ๒
หลักการเขียนย่อความ คือ แนวทางการเขยี นเก็บใจความสำคัญของเรื่องท่ีไดอ้ า่ นเพอ่ื ให้ไดใ้ จความ
สำคัญท่มี เี น้อื หาสาระครบถ้วนสมบรู ณ์ว่า ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เม่อื ไร อย่างไร และถกู ต้องตามรปู แบบของการย่อ
ความ
ชั่วโมงที่ 3
การเขียนยอ่ ความบทความ คือ การเก็บใจความสำคัญของบทความมาเรียบเรียงใหม่ให้สั้น กระชับ
แต่ใหม้ ีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยนำประเดน็ หลกั ในแต่ละย่อหนา้ มาเรียบเรยี งใหมเ่ ปน็ สำนวนภาษาของตนเอง
ชว่ั โมงที่ 4
การเขียนย่อความพระบรมราโชวาท คอื การเก็บใจความสำคัญของพระบรมราโชวาทใหส้ น้ั กระชบั
ถูกต้อง และได้ใจความมากท่สี ุด โดยจะต้องคงคำราชาศัพทใ์ นพระบรมราโชวาทนั้น ๆ ไว้
สาระการเรียนรู้/เนอ้ื หาย่อย
ชัว่ โมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในรูปแบบของการเขียนย่อความ
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรยี นสามารถจำแนกรปู แบบของการยอ่ ความไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความรจู้ ากการเรยี น ไปเปน็ แนวทางในการเขยี นย่อความ
ตามรูปแบบการเขียนย่อความในการเรยี นระดบั ตอ่ ไปได้
ชว่ั โมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นักเรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจในหลักการเขยี นย่อความ
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถเขียนย่อความได้ถกู ต้องตามหลักการ
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความรูจ้ ากการเรยี นเรอื่ ง หลักการเขยี นย่อความ ไปเป็นแนวทางในการเขยี น
ประเภทอนื่ ๆ ในการเรยี นระดบั ตอ่ ไปได้
ชวั่ โมงที่ 3
ความรู้ (K)
นักเรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจในการเขยี นยอ่ ความบทความ
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถเขียนยอ่ ความบทความได้ถูกตอ้ งตามหลกั การ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
นกั เรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรียนเรอ่ื ง การเขยี นยอ่ ความบทความ ไปเป็นแนวทางในการ
เขียนยอ่ ความนิทาน เร่ืองสั้น หรือเขยี นยอ่ ความวรรณคดีในการเรียนระดับตอ่ ไปได้
ชั่วโมงที่ 4
ความรู้ (K)
นกั เรียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในการเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาทไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การ
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรียนสามารถนำความรจู้ ากการเรียนเร่อื ง การเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท ไปเป็น
แนวทางในการเขยี นย่อความพระราชดำรสั หรอื เขยี นยอ่ ความวรรณคดีทีม่ ีคำราชาศัพท์
ในการเรียนระดับต่อไปได้
จุดเน้นสู่การพฒั นาคุณภาพผ้เู รียน
ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทักษะดา้ นการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและทักษะในการแก้ไขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะดา้ นความรว่ มมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผูน้ ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)
ทักษะดา้ นการส่อื สาร สารสนเทศและรูเ้ ท่าทนั ส่อื (Communications, Information, and
Media Literacy)
ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT
Literacy)
ทกั ษะอาชีพ และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปล่ียนแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ชิ้นงานหรอื ภาระงาน
ชั่วโมงท่ี ๑
ใบงาน เรอื่ ง รูปแบบของการเขยี นย่อความ
ชว่ั โมงท่ี ๒
ใบงาน เรือ่ ง หลกั การเขยี นยอ่ ความ
ชว่ั โมงท่ี 3
ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนยอ่ ความบทความ
ชว่ั โมงท่ี 4
ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นย่อความพระบรมราโชวาท
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชว่ั โมงท่ี ๑
ขั้นนำ
ครูกล่าวทกั ทายนักเรยี น แลว้ ครูใช้คำถาม “ขอ้ ความบนกระดาน นักเรยี นทราบหรอื ไมว่ า่ เปน็
การเขยี นประเภทใด” จากน้ันให้นกั เรียนแสดงความคดิ เหน็ โต้ตอบกับครู (K)
ขั้นสอน
๑. ครูแจกใบความรใู้ ห้ความรกู้ ับนกั เรียน เร่อื ง การเขียนย่อความ จากนัน้ ครูอธิบายความหมาย
ของการเขียนย่อความ รปู แบบของการยอ่ ความประเภทต่าง ๆ และครูยกตวั อย่างการเขยี นยอ่ ความเพ่ือให้
นกั เรียนเข้าใจถงึ ความหมายและรปู แบบของการเขยี นย่อความมากยิง่ ขน้ึ (K)
๒. ครใู หน้ กั เรียนทำใบงาน เรื่อง รูปแบบการเขียนยอ่ ความ โดยใหน้ กั เรยี นจับคูร่ ปู แบบการเขียน
ยอ่ ความประเภทต่าง ๆ มาให้ถกู ตอ้ ง (K, P, A)
๓. ครูให้นักเรยี นออกมานำเสนอหน้าช้นั เรียน โดยเลอื กจากสญั ลกั ษณ์ที่ครูทำไวด้ า้ นหลังใบงาน
จำนวน 1 คน จากน้ันครแู ละนกั เรยี นร่วมกันเสนอแนะรายละเอียดเพิ่มเตมิ (P, A)
ข้นั สรุป
ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรปุ ใบงาน “รปู แบบการเขียนย่อความ” เป็นใบงานทใี่ ห้นกั เรยี นจับคู่
รูปแบบการเขยี นยอ่ ความประเภทตา่ ง ๆ ให้ถูกต้อง จากการทำใบงานนกั เรยี นสามารถปฏิบัติไดอ้ ย่างถกู ต้อง
สะท้อนผลได้ว่านักเรียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจในความหมาย สามารถบอกรปู แบบการเขียนเขยี นย่อความได้ และ
สามารถนำความรู้ท่ีได้จากการเรยี น เรื่อง การเขียนย่อความ ไปเปน็ แนวทางในการเขียนยอ่ ความตามรูปแบบการ
เขียนยอ่ ความในการเรยี นระดบั ต่อไปได้ (K, P, A)
ชว่ั โมงท่ี ๒
ขนั้ นำ
ครกู ล่าวทักทายนกั เรยี น แลว้ ครใู ช้คำถาม“รปู แบบทีน่ ักเรยี นไดเ้ หน็ บนกระดานนนี้ เปน็ รูปแบบ
ของการเขยี นย่อความประเภทใด” จากน้นั ใหน้ ักเรยี นแสดงความคิดเหน็ โต้ตอบกับครู (K)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความร้ใู ห้ความรู้กบั นกั เรยี น เรอ่ื ง หลักการเขียนยอ่ ความ จากนัน้ ครอู ธิบาย
ความหมายของหลกั การเขยี นยอ่ ความ หลกั การในการเขียน และครูยกตัวอย่างการเขยี น
ย่อความตามหลักการ เพือ่ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจการเขียนย่อความทถ่ี ูกตอ้ งตามหลักการมากยง่ิ ขึน้ (K)
๒. ครูใหน้ ักเรียนทำใบงาน เรือ่ ง หลักการเขียนยอ่ ความ โดยใหน้ ักเรียนเขยี นย่อความเรยี งรอ้ ย
แกว้ ที่ครกู ำหนดให้ถกู ต้องตามหลกั การ (K, P, A)
๓. ครใู หน้ ักเรยี นออกมานำเสนอหน้าชน้ั เรียน โดยเลือกจากการสุ่มรายชือ่
จำนวน 1 คน จากนนั้ ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันเสนอแนะรายละเอียดเพม่ิ เตมิ (P, A)
ขนั้ สรุป
ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปใบงาน “หลกั การเขยี นยอ่ ความ” เปน็ ใบงานที่ใหน้ กั เรยี นเขยี นยอ่
ความความเรยี งร้อยแกว้ ให้ถูกตอ้ งตามหลักการ จากการทำกจิ กรรมนกั เรียนสามารถปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างถูกต้อง
สะท้อนผลไดว้ ่านกั เรียนมคี วามรู้ความเข้าใจในหลักการเขียนย่อความ สามารถเขียน
ย่อความไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การ และสามารถนำความรู้จากการเรยี น เร่ือง หลกั การเขียนยอ่ ความ
ไปเป็นแนวทางในการเขียนประเภทอนื่ ๆ ในการเรยี นระดับต่อไปได้ (K, P, A)
ชวั่ โมงท่ี 3
ขน้ั นำ
ครกู ล่าวทักทายนักเรียน แลว้ ครูใช้คำถาม“นกั เรียนคิดว่าการเขียนย่อความบทความ จำเปน็
จะตอ้ งบอกแหล่งที่มาของบทความหรอื ไม่ อยา่ งไร” จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นโตต้ อบกับครู (K)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรูใ้ ห้ความรู้กับนักเรยี น เรือ่ ง การเขียนย่อความบทความ จากนั้นครอู ธบิ าย
ความหมายของการเขียนยอ่ ความบทความ หลักการในการเขียน และครูยกตวั อยา่ ง
การเขียนย่อความบทความ เพอื่ ให้นักเรียนเข้าใจการเขยี นย่อความท่ีถูกตอ้ งตามหลกั การมากย่ิงขน้ึ (K)
๒. ครใู ห้นกั เรยี นทำใบงาน เร่ือง การเขยี นยอ่ ความบทความ โดยใหน้ กั เรียนเขยี นย่อความ
บทความทคี่ รกู ำหนดให้ถูกตอ้ งตามหลักการ (K, P, A)
๓. ครใู หน้ ักเรียนออกมานำเสนอหน้าชัน้ เรยี น โดยเลือกจากการส่มุ สญั ลกั ษณ์ดา้ นหลังใบงาน
จำนวน 1 คน จากน้ันครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพม่ิ เติม (P, A)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรยี นร่วมกันสรุปใบงาน “การเขยี นย่อความบทความ” เป็นใบงานที่ให้นกั เรียนเขียน
ยอ่ ความบทความใหถ้ ูกต้องตามหลักการ จากการทำกิจกรรมนักเรียนสามารถปฏิบตั ไิ ด้อย่างถกู ตอ้ ง สะทอ้ นผลได้
ว่านักเรียนมีความรูค้ วามเข้าใจในหลกั การเขียนย่อความบทความ สามารถเขียนย่อความบทความไดถ้ กู ต้องตาม
หลกั การ สามารถนำความรู้จากการเรียน เรอื่ ง การเขยี นยอ่ ความบทความไปเป็นแนวทางในการเขียนย่อความ
นทิ าน เร่อื งส้ัน หรือเขียนย่อความวรรณคดใี นการเรยี นระดบั ต่อไปได้ (K, P, A)
ชว่ั โมงท่ี 4
ขัน้ นำ
ครกู ล่าวทกั ทายนักเรียน แลว้ ครูใช้คำถาม“หลังจากท่ีนักเรยี นได้เขียนย่อความ
จากบทความแลว้ นักเรียนคิดว่าหากเราต้องย่อความบทความทมี่ คี ำราชาศัพท์เราจะตดั คำราศัพทอ์ อก แล้วนำ
คำพูดของเราใสแ่ ทนหรือไม่ อยา่ งไร” จากนั้นให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็นโต้ตอบกับครู (K)
ขน้ั สอน
๑. ครแู จกใบความรใู้ ห้ความรู้กับนักเรียน เรื่อง การเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท จากนัน้ ครู
อธิบายความหมายของการเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท หลักการในการเขียน และครูยกตวั อย่างการเขียนย่อ
ความพระบรมราโชวาท เพื่อให้นักเรียนเขา้ ใจการเขยี นย่อความทถ่ี ูกตอ้ งตามหลักการมากยง่ิ ขึ้น (K)
๒. ครใู หน้ กั เรียนทำใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท โดยให้นักเรียนเขยี นย่อ
ความพระบรมราโชวาททคี่ รกู ำหนดให้ถูกต้องตามหลักการ (K, P, A)
๓. ครใู หน้ ักเรียนออกมานำเสนอหนา้ ช้ันเรียน โดยเลอื กจากการส่มุ สญั ลกั ษณ์ดา้ นหลงั ใบงาน
จำนวน 1 คน จากนนั้ ครูและนักเรียนรว่ มกันเสนอแนะรายละเอยี ดเพ่ิมเติม (P, A)
ขั้นสรุป
ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ ใบงาน “การเขยี นย่อความพระบรมราโชวาท” เป็นใบงานที่ให้
นกั เรยี นเขยี นย่อความพระบรมราโชวาทให้ถูกต้องตามหลักการ จากการทำกิจกรรมนักเรียนสามารถปฏบิ ตั ิได้
อยา่ งถูกต้อง สะท้อนผลไดว้ ่านักเรียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจในหลกั การเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท สามารถ
เขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาทไดถ้ กู ต้องตามหลักการ และสามารถ
นำความรู้จากการเรยี น เรือ่ ง การเขียนย่อความพระบรมราโชวาท ไปเปน็ แนวทางในการเขยี นยอ่ ความพระราช
ดำรสั หรอื เขียนยอ่ ความวรรณคดที ี่มีคำราชาศพั ท์ในการเรียนระดบั ตอ่ ไปได้ (K, P, A)
การวัดผลประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมนิ
ชวั่ โมงท่ี 1
ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
วิธกี าร เคร่อื งมือ ร้อยละ ๕๐
ตรวจใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นย่อความ ใช้วิธี ใบงาน เร่ือง การเขียนย่อความ
วดั ผลจากการทำใบงานของนักเรียนแตล่ ะคน
โดยมีประเดน็ ในการวดั ผล ได้แก่ ความถูกตอ้ ง
ของรูปแบบการเขียนยอ่ ความ (ประเด็นของ
แต่ละคน) จากนนั้ นำผลการประเมินมาเป็น
ข้อมลู ในการปรบั ปรุงและพัฒนานักเรยี น
และการจัดการเรยี นการสอนของครใู นคร้ัง
ตอ่ ๆ ไป
ชว่ั โมงท่ี ๒ เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ใบงาน เร่ือง หลกั การเขยี นย่อความ
วธิ กี าร ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
รอ้ ยละ ๕๐
ตรวจใบงาน เร่ือง หลกั การเขยี นย่อความ
ใชว้ ิธวี ัดผลจากการทำใบงานของนกั เรียน
แต่ละคน โดยมปี ระเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่
ความถกู ตอ้ งของรูปแบบคำนำหนา้ ย่อความ
ความถกู ต้องของประเด็นสำคญั หรอื ใจความ
สำคัญ ความถกู ต้องของบุรษสรรพนาม
การนำมาเรียบเรยี งใหม่ด้วยสำนวนภาษา
ของตัวเอง และความยาวของการเขยี นยอ่
ความ (ประเด็นของแตล่ ะคน) จากนัน้ นำผล
การประเมนิ มาเปน็ ข้อมูลในการปรบั ปรุงและ
พัฒนานกั เรียน และการจดั การเรียนการสอน
ของครใู นครง้ั ตอ่ ๆ ไป
ชั่วโมงท่ี 3 เกณฑก์ ารประเมิน
วิธกี าร เคร่ืองมือ ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ
รอ้ ยละ ๕๐
ตรวจใบงาน เรือ่ ง การเขียนย่อความบทความ ใบงาน เรอื่ ง การเขยี นย่อความ
ใช้วิธีวดั ผลจากการทำใบงานของนกั เรียนแต่ บทความ
ละคน โดยมีประเด็นในการวัดผล ไดแ้ ก่ ความ
ถูกต้องของรูปแบบคำนำหน้ายอ่ ความ ความ
ถกู ตอ้ งของประเด็นสำคัญหรือใจความสำคญั
ความถกู ตอ้ งของบรุ ษสรรพนาม การนำมา
เรยี บเรียงใหม่ดว้ ยสำนวนภาษาของตัวเอง
และความยาวของการเขยี นยอ่ ความ (ประเดน็
ของแต่ละคน) จากนั้นนำผลการประเมินมา
เปน็ ขอ้ มลู ในการปรบั ปรุงและพัฒนานักเรียน
และการจดั การเรียนการสอนของครูในคร้งั
ตอ่ ๆ ไป
ช่วั โมงท่ี 4 เครื่องมอื เกณฑ์การประเมิน
วิธีการ ใบงาน เร่ือง การเขียนย่อความ ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
พระบรมราโชวาท ร้อยละ ๕๐
ตรวจใบงาน การเขยี นย่อความ
พระบรมราโชวาท ใช้วธิ ีวัดผลจากการทำ
ใบงานของนกั เรียนแตล่ ะคน โดยมปี ระเดน็
ในการวัดผล ไดแ้ ก่ ความถกู ตอ้ งของรปู แบบ
คำนำหนา้ ย่อความ ความถูกตอ้ งของประเดน็
สำคญั หรือใจความสำคญั ความถกู ตอ้ ง
ของบรุ ษสรรพนาม การนำมาเรียบเรยี งใหม่
ด้วยสำนวนภาษาของตวั เอง ความยาว
ของการเขยี นยอ่ ความ และการคงคำราชา
ศพั ท์ในการย่อความ (ประเดน็ ของแต่ละคน)
จากน้ันนำผลการประเมินมาเป็นข้อมูลในการ
ปรบั ปรงุ และพฒั นานกั เรียน และการจดั การ
เรยี นการสอนของครใู นครงั้ ตอ่ ๆ ไป
สื่อการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี ๑
๑. ใบความรู้ เรือ่ ง การเขยี นยอ่ ความ
๒. ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนยอ่ ความ
ชั่วโมงท่ี 2
1. ใบความรู้ เร่ือง หลักการเขยี นย่อความ
2. ใบงาน เร่ือง หลักการเขียนยอ่ ความ
ช่ัวโมงที่ 3
๑. ใบความรู้ เรื่อง การเขียนย่อความบทความ
๒. ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนยอ่ ความบทความ
ช่ัวโมงที่ 4
๑. ใบความรู้ เร่ือง การเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท
๒. ใบงาน เรื่อง การเขียนย่อความพระบรมราโชวาท
ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................
(...............................................................)
วันท่.ี ........../...................../...........
บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซง้ )
วนั ท่ี............../......................./...............
ใบความรู้
เรือ่ ง การเขียนยอ่ ความ
การเขยี นยอ่ ความ คอื การเกบ็ ใจความสำคัญของเรอ่ื งมาเรียบเรียงใหมใ่ หส้ ั้น กระชับ
แต่มใี จความสำคัญครบถว้ นสมบูรณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ทีไ่ หน เม่ือไร อยา่ งไร แลว้ นำความคดิ หลกั
มาเรียบเรยี งใหมใ่ หเ้ ปน็ สำนวนภาษาของตนเอง
รูปแบบของการเขียนยอ่ ความ
1. เร่อื งที่ย่อความเรียงรอ้ ยแก้ว เช่น นิทาน ตำนาน บทความ ประวตั ิ บทความ ฯลฯ ต้องบอกประเภท ชื่อเร่ือง
ช่ือผู้แต่ง ท่ีมา ดงั นี้
ตัวอยา่ ง
นิทานเร่อื ง .................................................. ของ ....................................................
จาก ............................หน้า...............................ความว่า .........................................................
2. เรื่องทยี่ ่อเปน็ ประกาศ แจง้ ความ แถลงการณ์ ระเบียบคำสั่ง ต้องบอกประเภท ชอื่ เรอื่ ง ผู้ออกหนงั สือ ผู้รับ
วนั เดอื นปที ่ีออกหนังสือ ดังน้ี
ตวั อยา่ ง
คำสงั่ เร่ือง............................ของ...................................ถึง....................ลงวันท.่ี .........................
ความว่า......................................................................................................................................................
3. เรอื่ งทย่ี ่อเป็นจดหมาย ให้บอกวา่ เป็นจดหมายของใคร ถงึ ใคร เร่ืองอะไร ลงวันท่เี ท่าไร ดังนี้
ตวั อย่าง
จดหมายของ...................................ถึง...............................เร่อื ง..................................
ความว่า........................................................................................................................................
4. เร่ืองทีย่ อ่ เป็นหนังสือราชการ ต้องบอกวา่ เปน็ หนังสอื ราชการของหนว่ ยงานใด ถงึ ใคร เรอ่ื งอะไร เลขท่ีเท่าไร
ดงั น้ี ตวั อย่าง
หนงั สือราชการของ...........................ถงึ ...........................เรือ่ ง...............................................
เลขท.ี่ ..................................ลงวันท.่ี ...................................ความว่า........................................................
5. เรอ่ื งทย่ี ่อเป็นพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท โอวาท สุนทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรัย ต้องบอกประเภท
ผ้กู ลา่ ว แสดงแกใ่ คร เรือ่ งอะไร เนือ่ งในโอกาสใด สถานที่ วันที่ ดงั น้ี
ตวั อย่าง
คำปราศรัยของ.........................แก่....................................เรือ่ ง................................................
เนือ่ งใน....................................ณ.............................วนั ที.่ ...................ความว่า.......................................
6. เร่อื งท่ยี อ่ เปน็ บทรอ้ ยกรอง ต้องบอกประเภทของคำประพันธ์ ชอ่ื เร่ือง ผู้แตง่ ทม่ี า หน้าใด ดงั น้ี
ตวั อย่าง
โคลงสี่สภุ าพเรอ่ื ง...........................ของ........................ตอน.............................................
จาก................................หนา้ .....................................................ความวา่ ..........................................
ใบความรู้
เรอ่ื ง หลกั การเขยี นยอ่ ความ
หลกั การเขียนยอ่ ความ คอื แนวทางการเขียนเก็บใจความสำคัญของเรื่องท่ไี ด้อา่ นเพ่อื ให้ไดใ้ จความสำคญั ทม่ี ี
เนอ้ื หาสาระครบถว้ นสมบรู ณ์วา่ ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อยา่ งไร และถูกตอ้ งตามรูปแบบของการยอ่ ความ
หลกั การเขียนยอ่ ความ มีดงั น้ี
1. เขียนย่อความตามรปู แบบการเขียนย่อความ
2. จบั ประเดน็ หรือใจความสำคญั ทลี ะย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมปี ระเด็นเพยี งประเดน็ เดียว
3. นำใจความสำคัญมาเรียบเรียงใหมด่ ้วยสำนวนภาษาของตนเอง
4. เมอ่ื นำมาเขียนยอ่ ความจะต้องเปล่ียนบุรุษสรรพนามท่ี 1,2 เป็นสรรพนามบรุ ษุ ท่ี 3
5. ความยาวของการเขียนย่อความ จะต้องย่อใหเ้ หลือ 1 ใน 3 ของเน้ือเร่ืองเดมิ
ขอ้ ควรระวัง ไมค่ วรใชอ้ ักษรย่อในการเขยี นย่อความ และไมค่ วรใช้เครือ่ งหมายต่าง ๆ
ในข้อความที่ยอ่
❖ ตวั อย่าง
เรื่อง เกา้ หรือสบิ
กาลครงั้ หนง่ึ ในทะเลทรายอนั แหง้ แล้ง ชายผูห้ นง่ึ กำลังตอ้ นฝงู อูฐสบิ ตัวเดินทางไปยงั บอ่ น้ำข้างหนา้ เดิน
ไปได้สกั สองสามไมลเ์ ขาก็ขึ้นขหี่ ลงั อูฐตวั หนึง่ แลว้ ก็นบั อูฐท่ีเหลือนับไดเ้ ก้าตวั เขาก็ตะลีตะลานลงจากหลังอูฐเดนิ
กลบั หลงั ไปหาเจา้ ตวั ทห่ี ายไป หาเท่าใดไม่เห็นร่องรอยของมันเลย ใจคิดว่า “อูฐหายไปตวั หนึง่ เสียแล้วแน่ ๆ” จงึ
เลิกหา หนั หน้าเดนิ ไปยังฝงู อูฐขา้ งหน้าอย่างรีบเร่งด้วยความเสยี ดายและกลัดกลุม้ แตแ่ ล้วกลบั ดใี จลิงโลด “โนน่ ไง
... อูฐท้งั สิบตวั เดนิ อยู่ขา้ งหน้าโน่นเอง” เขาขน้ึ ข่หี ลังอูฐตวั หนง่ึ เดินไปได้สกั พักก็ลองนบั จำนวนอูฐดูใหมอ่ ีกคร้ัง
หน่ึง เหลอื เกา้ ตัวอีกแล้ว เขารีบตะกายลงจากหลงั อูฐ พศิ วงงงงวยเตม็ ทหี นั หลงั กลับไปเดินหาตวั ท่หี ายอยา่ งอิด
หนาระอาใจ หาเท่าใดกไ็ ม่พบ
กร็ บี วิ่งกลับไปยังฝูงอูฐข้างหน้าแลว้ ก็นบั ดู แสนประหลาดใจนกั ที่เห็นอูฐสบิ ตัวเดนิ เออ่ื ยเฉอ่ื ย
อยา่ งเกยี จครา้ นอย่ทู งั้ ฝูง เขาเลยโทษความรอ้ นแรงของทะเลทราย แลว้ ก็ข้ึนขอ่ี ูฐตวั ที่เดนิ ร้ังท้ายอยู่
แล้วลงมอื นับจำนวนอฐู ดูอกี เป็นครั้งท่สี าม ไม่เข้าใจเอาเลยจริง ๆ วา่ ทำไมมนั ถงึ หายไปตวั หน่ึงอกี แล้วเขาโดดลง
จากหลงั อูฐแชง่ ดา่ ซาตานไปพลาง นับจำนวนอฐู ไปพลางอย่างเหนื่อยเตม็ ทน “อา้ ว!... นับได้สบิ ตัวอีกแลว้ ” “ดีละ
...ไอ้ผรี ้ายเจา้ เล่ห์” เขาบ่นอบุ อิบ “ขา้ เดนิ ไปเองแลว้ มอี ฐู อยูค่ รบฝูงดกี ว่า จะข่มี นั ไปแลว้ ก็ต้องหายไปอีกตัวหนึ่ง”
นิทานเรอื่ ง เกา้ หรอื สิบ ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดกิ ุล ณ อยธุ ยา จาก หนังสือส่งเสริมการอ่านระดบั
ประถมศึกษา เรอ่ื ง มาหวั เราะกันเถิด หน้า 15 - 16 ความว่า
ในทะเลทราย มีชายเลี้ยงอฐู สบิ ตวั เดินทางไปกินน า เมอ่ื เขาขน้ึ ขห่ี ลังอฐู เขานบั อูฐเหลอื เกา้ ตัว เมอื่ เขา
ลงจากหลังอูฐก็นับไดส้ บิ ตวั เหมือนเดิม เป็นเชน่ นีถ้ ึง 3 ครง้ั เขาโทษวา่ ผรี า้ ยทะเลทรายบันดาลให้เปน็ ไป เขาจงึ ไม่
ยอมขีห่ ลงั อฐู อีกเลย (ที่แทเ้ ขาลมื นับตัวท่ีเขาข่ี)
ใบความรู้
เรอ่ื ง การเขยี นย่อความบทความ
การเขียนย่อความบทความ คอื การเก็บใจความสำคัญของบทความมาเรียบเรียงใหม่ให้สน้ั กระชับ แต่ให้มี
ใจความครบถว้ นสมบูรณ์ โดยนำประเดน็ หลกั ในแต่ละย่อหน้ามาเรยี บเรยี งใหมเ่ ป็นสำนวนภาษาของตนเอง
หลักการเขยี นย่อความบทความ มดี ังนี้
1. เขียนยอ่ ความตามรปู แบบการเขียนย่อความ
2. จบั ประเดน็ หรือใจความสำคญั ทลี ะยอ่ หน้า เพราะในแตล่ ะยอ่ หน้าจะมีประเดน็ เพยี งประเด็นเดยี ว
3. นำใจความสำคญั มาเรยี บเรียงใหมด่ ว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง
4. เม่อื นำมาเขยี นยอ่ ความจะต้องเปลี่ยนบุรุษสรรพนามท่ี 1,2 เปน็ สรรพนามบรุ ุษท่ี 3
5. ความยาวของการเขียนยอ่ ความ จะตอ้ งยอ่ ใหเ้ หลอื 1 ใน 3 ของเน้ือเร่ืองเดิม
ขอ้ ควรระวัง ไมค่ วรใช้อักษรย่อในการเขยี นย่อความ และไม่ควรใช้เคร่อื งหมายต่าง ๆ ในขอ้ ความท่ีย่อ
วธิ กี ารเขยี นยอ่ ความบทความ
1. อา่ นบทความใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งละเอยี ด 1 - 2 เท่ียว เพอื่ ให้เขา้ ใจเรื่องใหต้ ลอด
2. จับประเด็นหรอื ใจความสำคญั ของเร่ือง ในแตล่ ะยอ่ หนา้
3. นำมาเรียบเรยี งใหมด่ ว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง
3. เขยี นขึ้นตน้ ตามรปู แบบ ดังนี้
บทความเรอ่ื ง.................................ของ.............................จาก.......................หนา้ ...............
ความวา่ .........................................................................................................................................
❖ ตวั อย่าง
บทความ เร่ือง เปรียบเทยี บนามสกุลกับชือ่ แซ่
คนเรายังมีอยู่เปน็ อันมาก ซ่ึงยังมไิ ด้สงั เกตวา่ นามสกลุ กบั ชื่อแซข่ องจนี นั้นผดิ กันอยา่ งไร
ผทู้ แี่ ลดแู ต่เผนิ ๆ หรอื ซง่ึ มไิ ดเ้ อาใจใสส่ อบสวนในข้อนี้ มกั จะสำคญั ว่าเหมอื นกันและมีพวกจนี
พวกนิยมจนี พอใจจะกลา่ ววา่ การทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว ทรงพระราชปรารภออกพระราชบัญญตั ิ
นามสกลุ ขน้ึ น้ัน โดยทรงพระราชนยิ มตามประเพณี ช่อื แซข่ องจนี ซึ่งถ้าจะตรองดู
กจ็ ะเห็นวา่ คงจะไมเ่ ป็นเช่นนั้นโดยเหตุทจ่ี ะไดอ้ ธบิ ายต่อไปนี้
แซ่ของจีนน้ัน ตรงกับ “แคลน” ของพวกสกอ๊ ต คือ เปน็ คณะหรอื พวก หรอื ถ้าจะเทยี บทางวัดกค็ ล้าย
สำนัก (เชน่ ที่เราไดย้ ินเขากล่าว ๆ กันอยบู่ ่อย ๆ ว่าคนน้นั เปน็ สำนกั วดั บวรนิเวศ
คนน้ีเป็นสำนกั วดั โสมนสั ดังนเี้ ปน็ ตัวอยา่ ง) ส่วนสกุลนน้ั ตรงกบั คำอังกฤษว่า“แฟมิลี่”ข้อผดิ กันอันสำคญั ในระหวา่ ง
แซก่ ับนามสกุลนั้นกค็ อื ผู้ร่วมแซ่ไมไ่ ด้เปน็ ญาติ สายโลหติ กันกไ็ ด้ แตส่ ่วนผู้รว่ มสกุลน้นั ถา้ ไมไ่ ด้เปน็ ญาติสายโลหิต
ต่อกันโดยแท้แล้วก็รว่ มสกลุ กันไมไ่ ด้ นอกจากท่ีจะรับเปน็ บตุ รบญุ ธรรม
เป็นพิเศษเท่านั้น
(ตัดตอนจากเร่อื งเปรยี บเทยี บนามสกลุ กับช่ือแซ่ จากหนงั สือปกิณกคดี พระราชนิพนธข์ อง
พระบาทสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีศรีสนิ ทรมหาวชริ าวุธพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั ศิลปบรรณาคาร ๒๕๑๕ หน้า ๗๕ -
๗๖)
บทความเร่ือง เปรยี บเทยี บนามสกุลกบั ช่ือแซ่ ของพระบาทสมเด็จพระรามาธบิ ดี
ศรสี ินทรมหาวชริ าวธุ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั คัดจากเร่ืองเปรียบเทียบนามสกุล กบั ช่ือแซ่
จาก หนังสือปกณิ กคดี ความว่า
มคี นจำนวนมากไม่ได้สงั เกตว่านามสกุล กับแซ่ของจนี นั้นตา่ งกนั ผู้ร่วมแซข่ องจนี ไมไ่ ด้เป็นญาติ
สายโลหิตกนั กไ็ ด้ แตเ่ ปน็ คณะหรอื พวกเหมือนสำนักวดั หน่ึง สว่ นร่วมสกลุ ตอ้ งเป็นญาตสิ ายโลหติ กันโดยแท้เท่าน้ัน
เชน่ นั้นก็เป็นบตุ รบุญธรรมที่รบั ไว้เป็นพิเศษ
ใบความรู้
เรื่อง การเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท
การเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท คือ การเกบ็ ใจความสำคัญของพระบรมราโชวาทให้สน้ั กระชบั
ถูกตอ้ ง และได้ใจความมากท่ีสุด โดยจะต้องคงคำราชาศัพท์ในพระบรมราโชวาทน้นั ๆ ไว้ และนำมาเรียบเรยี ง
ใหม่ดว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง
หลกั การเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท มีดังนี้
1. เขยี นยอ่ ความตามรปู แบบการเขียนย่อความ
2. จบั ประเด็นหรอื ใจความสำคัญทลี ะยอ่ หน้า เพราะในแตล่ ะย่อหนา้ จะมปี ระเด็นเพียงประเดน็ เดียว
3. นำใจความสำคัญมาเรียบเรยี งใหมด่ ้วยสำนวนภาษาของตนเอง
4. เม่ือนำมาเขียนยอ่ ความจะตอ้ งเปลี่ยนบรุ ษุ สรรพนามที่ 1,2 เป็นสรรพนามบุรษุ ที่ 3
5. ความยาวของการเขยี นย่อความ จะตอ้ งย่อใหเ้ หลอื 1 ใน 3 ของเนื้อเรื่องเดมิ
6. ในการย่อความ จะต้องคงคำราชาศัพทไ์ ว้ ไมเ่ ปล่ยี นเป็นสำนวนภาษาของตนเอง
ขอ้ ควรระวัง ไม่ควรใช้อกั ษรย่อในการเขยี นยอ่ ความ และไมค่ วรใช้เครอื่ งหมายตา่ ง ๆ ในขอ้ ความที่ย่อ
วธิ ีการเขยี นยอ่ ความพระบรมราโชวาท
1. อ่านบทความใหเ้ ข้าใจอยา่ งละเอยี ด 1 - 2 เที่ยว เพ่อื ให้เข้าใจเรอ่ื งใหต้ ลอด
2. จบั ประเด็นหรือใจความสำคญั ของเร่ือง ในแตล่ ะยอ่ หนา้
3. นำมาเรียบเรยี งใหมด่ ว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง โดยคงคำราชาศพั ท์ไว้
3. เขียนข้นึ ต้นตามรูปแบบ ดังนี้
พระบรมราโชวาทใน.......................พระราชทานแก่.........................เรอ่ื ง.....................
เนอื่ งใน.......................ณ......................... วนั ที่...............................ความว่า.........................................
ตวั อยา่ ง
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบตั ร
แกบ่ ัณฑติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ณ หอประชุมจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั เม่ือวันที่ 9 กรกฎาคม 2540
“ความคดิ นน้ั สำคญั มาก ถอื ได้ว่าเปน็ แม่บทใหญข่ องคำพูดและการกระทำทัง้ ปวง กล่าวคอื ถ้าคนเราคดิ
ดี คดิ ถูกต้อง ทั้งตามหลักวชิ าและคุณธรรม คำพดู และการกระทำกเ็ ปน็ ไปในทางทด่ี ที ่ีเจริญ แต่ถา้ คิดไมด่ ไี มถ่ กู ต้อง
คำพูด และการกระทำกอ็ าจกอ่ ความเสยี หาย ทั้งแกต่ ัวเองและส่วนรวมได้
ด้วยเหตนุ ี้ กอ่ นท่ีบคุ คลจะพดู จะทำสิง่ ใด จำเปน็ ต้องหยดุ คดิ เสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำทจ่ี ะพูด ผิดหรอื ถูก เปน็
คุณประโยชน์หรือเปน็ โทษเสยี หาย เป็นสง่ิ ทค่ี วรพูด ควรกระทำ หรอื ควรงดเว้น เมอ่ื คดิ พิจารณาได้ดงั น้ี ก็จะ
สามารถยบั ยัง้ คำพูดทส่ี มควรหยดุ ยั้ง การกระทำที่ไม่ถูกต้อง พดู และทำแต่สิง่ ทจ่ี ะสัมฤทธิ์ผลเป็นคุณ เป็นประโยชน์
และเป็นความเจริญ”
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่ผู้สำเรจ็
การศกึ ษาจากจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย เนอื่ งในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบตั รแก่บณั ฑติ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
ณ หอประชมุ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั เมื่อวนั ที่ 9 กรกฎาคม 2540
ความวา่
กอ่ นจะพูดหรอื กระทำสิง่ ใด จะต้องคดิ พิจารณาให้รอบคอบถงึ ประโยชน์และโทษเสยี ก่อน เพื่อให้คำพูด
หรอื การกระทำน้นั ไปเป็นในทางทดี่ ี และเจรญิ งอกงาม
ใบงาน
เร่อื ง รูปแบบของการเขียนย่อความ
คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นจับครู่ ูปแบบของการเขยี นยอ่ ความประเภทตา่ ง ๆ มาให้ถกู ต้อง
1. ยอ่ ความเรียงรอ้ ยแก้ว บอกว่าเปน็ หนังสือราชการจากหนว่ ยงานใด
ถึงใคร เร่อื งอะไร เลขที่เทา่ ไร ลงวนั ที่เท่าไร
2. ยอ่ ประกาศ แจ้งความ
แถลงการณ์ ระเบียบคำสง่ั บอกประเภท ผูก้ ล่าว แสดงแกใ่ คร เรื่องอะไร
เนือ่ งในโอกาสใด สถานท่ี วนั ที่
กำหนดการ
บอกประเภทของคำประพนั ธ์ ช่ือเรือ่ ง ผู้แตง่
3. ยอ่ จดหมาย ทม่ี า หน้าใด
4. ย่อหนงั สือราชการ บอกประเภท ชือ่ เรือ่ ง ผอู้ อกหนงั สอื ผรู้ ับ วัน
เดือนปที ่ีออกหนงั สือ
5. ย่อพระราชดำรัส
พระบรมราโชวาท โอวาท บอกว่าเปน็ จดหมายของใคร ถึงใคร เรื่องอะไร
สนุ ทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรยั ลงวันท่เี ทา่ ไร
6. ยอ่ บทรอ้ ยกรองหรือคำประพนั ธ์ บอกประเภท ชอ่ื เรื่อง ชอื่ ผู้แตง่ ท่มี า หน้าใด
ช่อื ...................................................................................................ชั้น....................เลขท.่ี ..................
ใบงาน
เร่ือง หลักการเขียนย่อความ
คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเขียนย่อความจากเรอ่ื งท่คี รูกำหนดใหถ้ ูกต้องตามหลกั การ
เรือ่ งส้ันเรื่อง อยากใหบ้ ้านน้ีมแี ต่รกั
อรวเี ปน็ สาวนอ้ ยร่างโปรง่ ผวิ ขาวและเปน็ ลกู สาวคนเดยี วของนกั ธรุ กจิ ชอ่ื ดัง เธอเกิดในครอบครัวทมี่ ี
ฐานะความเปน็ อยดู่ ี แต่เธอไมม่ คี วามสุขสบายดังฐานะของเธอเลย ชวี ติ ของอรวจี ึงเป็นชีวิตแบบหนง่ึ ในสงั คม
ปัจจุบัน ตอนน้อี รวเี รียนอยู่ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เขานอ้ ยอกนอ้ ยใจตลอดเวลา ถา้ คิดถงึ เรื่องภายในครอบครัวของ
เขา เพราะพ่อแมข่ องอรวีไม่เคยมเี วลาให้เขาเลยแมแ้ ตว่ ันหยุดเรียนก็ยังต้องออกไปพบปะสงั คมภายนอก ปล่อยให้
เธออยูบ่ ้านตามลำพังคนเดียวไมม่ คี นทีจ่ ะปรกึ ษาไม่มีคนคอยถามข่าวการเรียนของเขาเลย อรวตี ืน่ แตเ่ ชา้ ออกจาก
บ้านเพื่อจะไปเรียนหนังสอื โดยทแ่ี ม่กบั พ่อของเขายังไมต่ น่ื นอนเลย พอกลับมาถงึ บ้านก็ไมม่ ีใครอยู่มีแตค่ นใช้เพราะ
พอ่ กับแม่ไปทำงานกวา่ จะกลบั อรวกี ็เขานอนแลว้ ชีวิตของอรวีเปน็ อยา่ งนที้ ุกวนั จนบางคร้ังทำใหอ้ รวไี ม่อยากกลับ
บา้ นเลย เขาไม่เคยมีความสุขเขาอยากมีชีวติ เหมอื นคนปกติ ถึงแมจ้ ะมฐี านะไม่ร่ำรวยแตเ่ ขาขอแคพ่ ่อแม่ลูกอยู่
พร้อมหนา้ กินข้าวด้วยกันแคน่ ้ีก็พอใจแล้ว วันหนง่ึ เขาไปเรยี นตามปกตกิ ม็ ีเพอ่ื นของเขาคนหนง่ึ มาคุยกบั อรวบี อก
ว่าเขาเสียตัวให้กับผ้ชู ายที่พึ่งรูจ้ กั จากการไปเท่ยี วพบั กลางคืน อรวีตกใจมากจากเรีอ่ งท่ไี ด้ฟังทำให้อรวคี ิดได้ว่าไมม่ ี
ทไ่ี หนจะปลอดภยั และอบอนุ่ เท่าบ้านของเขาเองไมม่ ใี ครทีจ่ ะให้ความรกั กับเราเทา่ พ่อกบั แม่
(คัดจากหนงั สืออยากให้บ้านนมี้ ีแตร่ ัก (เรอื่ งสนั้ ) แต่งโดย ประภาศรี เทียนประเสรฐิ ท่มี า แหล่งรวมเร่ือง
ส้ัน หนา้ 15 - 16)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
ช่อื .....................................................................................................................ชนั้ ....................เลขที่...................
ใบงาน
เรื่อง การเขยี นย่อความบทความ
คำชีแ้ จง ให้นกั เรยี นเขยี นยอ่ ความบทความที่ครกู ำหนดให้ถูกตอ้ งตามหลักการ
บทความเรอ่ื ง มนุษยเ์ พนกวนิ ผเู้ ขยี นชวี ติ ดว้ ยปลายเทา้
"เพนกวินเป็นฉายาท่ีรุน่ พี่ต้ังให้ คนเขาก็เรยี กกันตดิ ปากทง้ั เพาะช่าง บางทีถามหาเอกนเี่ ขาไม่รู้นะ แต่ถา้
บอกว่าทเี่ ดินเหมือนเพนกวินน่รี ู้ทนั ที ผมฟังแลว้ ก็ไม่ได้รสู้ กึ เปน็ ปมด้อยอะไรนะ กลบั รู้สึกว่านา่ รักดีด้วยซ้ำ ไมร่ ู้ว่า
จะคิดเป็นปมด้อยให้มันเจ็บปวดไปทำไม เขาไมไ่ ด้มาด่าพอ่ แมห่ รอื บงั คับให้เราทำอะไรสักหนอ่ ย ผมวา่ ถา้ เลือกคิด
ได้ กค็ ดิ ในแงด่ ีดีกว่า มันมีความสขุ กว่าตั้งเยอะ สงั คมบ้านเราไมไ่ ดด้ คู นท่คี วามสามารถ ไมไ่ ดด้ ูทสี่ มอง พอเหน็ วา่
เขาพิการกป็ ฏิเสธลูกเดียว เขาไม่ได้นกึ วา่ คนพกิ ารบางคนน่ีทำงานดีกว่าคนรา่ งกายครบถ้วนอกี แลว้ คนพกิ ารส่วน
ใหญไ่ ม่เรื่องมาก ตรงตอ่ เวลา แล้วกไ็ ม่มีปญั หาทะเลาะววิ าท”
เอกชัย วรรณแกว้ ยังกลา่ วอกี ว่า “ผมวา่ สงั คมควรเปิดใจใหก้ ว้างกว่าทีเ่ ป็นอยู่ ควรจะดทู ค่ี ุณคา่ ในตวั เขา
มากกวา่ ท่ีเห็นจากภายนอก เราก็เหมอื นต้นหญ้าทีอ่ ย่ใู ต้ตน้ ไม้ใหญ่ เป็นธรรมดาเมือ่ คนเดนิ ผา่ นกย็ ่อมต้องสะดุดตา
กับตน้ ไม้ใหญ่กอ่ น เขาไม่ได้มองหรอกวา่ ต้นหญา้ ทอี่ ยขู่ ้าง ๆ มนั จะทำใหด้ นิ ชุม่ รวมทง้ั ช่วยยดึ เกาะหน้าดนิ ตรงโคน
ตน้ ไมใ่ ห้แตกกระจาย ที่พูดอยา่ งนี้ไมไ่ ช่วา่ เราต้องการเปน็ ต้นไม้ใหญ่หรอกนะ แตเ่ ราตอ้ งการทีจ่ ะเป็นหญ้าออ่ นที่
อยู่กับต้นไม้ใหญ่ไดอ้ ยา่ งสมดุล เราเพยี งแตห่ วงั ว่าสักวันหนง่ึ ตน้ ไม้ใหญ่จะยอมเอนกิ่ง
ของตัวเองสกั เล็กน้อย ให้แสงแดดลอดผ่านมาหาเราบา้ ง เพอ่ื ทเ่ี ราจะได้เปน็ ต้นหญ้าท่ีสวยงามกว่าทเ่ี ป็นอยู่” ความ
คิดเหน็ ของเอกทแี่ สดงออกมาอาจเปน็ เสมือนกระบอกเสียงเลก็ ๆ ใหเ้ พอื่ นผู้ขาดโอกาสอีกหลายๆ คน
(คัดจากบทความเร่ือง มนษุ ยเ์ พนกวิน ผู้เขียนชีวิตด้วยปลายเท้า ของปองธรรม สทุ ธสิ าคร จากนติ ยสาร
ฅ คน ปีท่ี 3 ฉบับที่ 10 (34) เดอื นสงิ หาคม พ.ศ.2551 หน้า 22)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................
....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................
ช่อื ....................................................................................................ชน้ั ....................เลขที.่ .................
ใบงาน
เรื่อง การเขยี นย่อความพระบรมราโชวาท
คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนเขยี นยอ่ พระบรมราโชวาทท่ีครกู ำหนดใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักการ
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ในหลวงรชั กาลท่ี 9 เน่ืองในพิธพี ระราชทานปริญญา
บัตร แกบ่ ัณฑติ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ เม่ือวันที่ 22 มิถนุ ายน 2523
“การศึกษาหาความรูจ้ งึ สำคัญตรงทว่ี า่ ต้องศกึ ษาเพื่อใหเ้ กดิ “ความฉลาดรู”้ คอื รู้แลว้ สามารถนำไปใช้
ประโยชน์ไดจ้ ริง ๆ โดยไม่เป็นพษิ เปน็ โทษ การศกึ ษาเพอ่ื ความฉลาดร้มู ีข้อปฏบิ ัตทิ นี่ า่ จะยดึ เปน็ หลักอยา่ งนอ้ ยสอง
ประการ ประการแรกเมื่อจะศกึ ษาสิง่ ใดเร่ืองใดให้รจู้ รงิ ควรจะศกึ ษาให้ตลอด ครบถว้ นทกุ แง่มมุ ไมใ่ ชเ่ รียนร้แู ต่
เพยี งบางสว่ นบางตอน หรอื เพ่งเล็งเฉพาะแตเ่ พยี งบางแงบ่ างมุม อกี ประการหน่งึ ซ่ึงจะตอ้ งปฏบิ ัติประกอบพร้อม
กันไปด้วยเสมอ คอื ตอ้ งพจิ ารณาศกึ ษาเรอื่ งนั้น ๆ ด้วยความคิดจิตใจที่ตงั้ มน่ั เปน็ ปกติ และเทย่ี งตรงเป็นกลาง”
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
ช่อื .....................................................................................................................ชั้น....................เลขท่ี...................
แบบประเมินใบงาน เรอ่ื ง การเขียนย่อความ
นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
รายช่อื ความถกู ตอ้ งของรปู แบบการ รวม สรปุ ผล
เขยี นย่อความ (5 คะแนน) ผา่ น ไมผ่ ่าน
5 43 2 1
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๒.๕ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๕ จึงจะถือวา่
ผา่ นเกณฑ์
เกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคุณภาพ ผลการประเมิน
5 คะแนน ดมี าก ผา่ น
4 คะแนน ดี ผ่าน
2.5 - 3 คะแนน ผ่าน
2 คะแนน ปานกลาง ไม่ผา่ น
1 คะแนน พอใช้ ไมผ่ ่าน
ปรบั ปรุง
ลงชื่อ...............................................................ผูป้ ระเมิน
(นายฤทธิเดช สกุลซ้ง)
วันท.่ี ..........เดือน..............................พ.ศ..................
แบบประเมินใบงาน เรือ่ ง หลักการเขยี นย่อความ
นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
รายการประเมิน
รวม สรุปผล
ชอ่ื -สกลุ ความ ูถก ้ตองของรูปแบบคำนำห ้นา
ย่อความ
ความ ูถก ้ตองของประเ ็ดนสำคัญห ืรอ
ใจความสำคัญ
ความ ูถก ้ตองของบุรษสรรพนาม
การนำมาเรียบเรียงให ่ม ้ดวยสำนวนภาษา
ของ ัตวเอง
ความยาวของการเ ีขยนย่อความ
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไมผ่ ่าน
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื ว่า
ผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑก์ ารตัดสินระดับคุณภาพ ผลการประเมนิ
๙ - ๑๐ คะแนน ดมี าก ผ่าน
๗ - ๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕ - ๖ คะแนน ผ่าน
๓ - ๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
๐ - ๒ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรับปรุง
ลงช่อื ...............................................................ผูป้ ระเมิน
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วนั ท.่ี ..........เดือน..............................พ.ศ..................
แบบประเมินใบงาน เร่อื ง การเขยี นย่อความบทความ
นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3
รายการประเมิน
รวม สรุปผล
ชอ่ื -สกลุ ความ ูถก ้ตองของรูปแบบคำนำห ้นา
ย่อความ
ความ ูถก ้ตองของประเ ็ดนสำคัญห ืรอ
ใจความสำคัญ
ความ ูถก ้ตองของบุรษสรรพนาม
การนำมาเรียบเรียงให ่ม ้ดวยสำนวนภาษา
ของ ัตวเอง
ความยาวของการเ ีขยนย่อความ
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไมผ่ า่ น
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื ว่า
ผ่านเกณฑ์
เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมิน
๙ - ๑๐ คะแนน ดมี าก ผา่ น
๗ - ๘ คะแนน ดี ผา่ น
๕ - ๖ คะแนน ผ่าน
๓ - ๔ คะแนน ปานกลาง ไม่ผ่าน
๐ - ๒ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
ปรับปรงุ
ลงชื่อ...............................................................ผู้ประเมิน
(นายฤทธเิ ดช สกุลซ้ง)
วันที.่ ..........เดอื น..............................พ.ศ..................
แบบประเมินใบงาน เรื่อง การเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท
นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
รายช่อื ความ ูถก ้ตองของรูปแบบคำ รวม สรุปผล
นำหน้า ่ยอความ (12คะแนน)
ความ ูถก ้ตองของประเ ็ดนสำคัญ
หรือใจความสำ ัคญ
ความ ูถก ้ตองของ
บุรษสรรพนาม
การนำมาเรียบเรียงใหม่ ้ดวย
สำนวนภาษาของ ัตวเอง
ความยาวของการเขียน ่ยอความ
การคงคำราชา ัศพ ์ท
ในการ ่ยอความ
21 2 1 2 1 2 1 2 1 2 1 ผ่าน ไมผ่ ่าน
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๖ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม ๑๒ จงึ จะถอื ว่า
ผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑก์ ารตัดสินระดับคุณภาพ ผลการประเมนิ
๙ - ๑๐ คะแนน ดมี าก ผ่าน
๗ - ๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕ - ๖ คะแนน ผ่าน
๓ - ๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
๐ - ๒ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรับปรุง
ลงช่อื ...............................................................ผูป้ ระเมิน
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วนั ท.่ี ..........เดือน..............................พ.ศ..................
รายละเอียดเกณฑ์การประเมิน
ใบงาน เร่ือง การเขยี นยอ่ ความ
รายละเอยี ดเกณฑ์ รายละเอยี ดการให้คะแนน
การประเมิน 5 43 2 1
1. ความถกู ตอ้ ง สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่
รูปแบบการ
ของรูปแบบการ รูปแบบการ รูปแบบการ รูปแบบการ รูปแบบการ เขยี นยอ่ ความ
ไดถ้ ูกตอ้ ง
เขียนย่อความ เขียนย่อ เขยี นยอ่ ความ เขยี นยอ่ ความ เขยี นย่อความ 1 - 2 รูปแบบ
ความได้ ไดถ้ ูกตอ้ ง ได้ถกู ต้อง ได้ถกู ตอ้ ง
ถูกต้องทกุ 5 รปู แบบ 4 รูปแบบ 3 รปู แบบ
ประเภท
รายละเอียดเกณฑ์การประเมิน
ใบกจิ กรรม เร่อื ง หลักการเขียนยอ่ ความ
รายละเอียดเกณฑก์ าร รายละเอยี ดการใหค้ ะแนน
ประเมนิ 2 1
1. ความถกู ต้องของ สามารถเขียนคำข้ึนต้นตามรูปแบบ สามารถเขียนคำขึ้นต้นได้ แตย่ งั ไม่
รูปแบบคำนำหนา้ ยอ่ ความ และประเภทของการยอ่ ความได้ ครบถว้ น สมบรู ณ์
อยา่ งถกู ตอ้ ง
2. ความถกู ต้องของ สามารถจับประเดน็ หรอื ใจความ สามารถจับประเดน็ หรอื ใจความสำคญั ได้
ประเดน็ สำคัญหรอื สำคัญไดอ้ ย่างถกู ต้อง ตรงประเด็น แต่ยังไม่ตรงประเด็นเทา่ ทคี่ วร
ใจความสำคัญ
3. ความถูกต้อง สามารถเปลย่ี นคำบรุ ุษสรรพนาม ไม่สามารถเปล่ียนคำบุรษุ สรรพนาม
ของบุรษสรรพนาม ท่ี 1, 2 เป็นสรรพนามบรุ ษุ ท่ี 3 ท่ี 1, 2 เปน็ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 ได้
4. การนำมาเรยี บเรียง สามารถนำเนอื้ หามาเรียบเรียงใหม่ สามารถนำเน้ือหามาเรยี บเรียงใหมด่ ้วย
ใหม่ดว้ ยสำนวนภาษา ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ภาษาท่ี สำนวนของตนเองได้ แต่ยังใช้ภาษาไม่คอ่ ย
ของตัวเอง ใช้สละสลวย ไพเราะ สละสลวย อ่านแล้วตดิ ขดั ในบางช่วง
5. ความยาวของการเขยี น สามารถเขยี นยอ่ ความให้อยู่ใน สามารถเขียนย่อความให้ส้นั ลงได้ แต่ยังมี
ยอ่ ความ สดั ส่วนที่ไม่เกิน 1 ใน 3 ของ ความยาวทม่ี ากเกนิ 1 ใน 3 ของข้อความ
ข้อความทงั้ หมดได้ ทง้ั หมด
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมนิ
ใบกจิ กรรม เรือ่ ง การเขยี นย่อความบทความ
รายละเอยี ดเกณฑก์ าร รายละเอียดการให้คะแนน
ประเมนิ 2 1
1. ความถกู ต้องของ สามารถเขียนคำขึ้นตน้ ตามรปู แบบ สามารถเขียนคำข้นึ ต้นได้ แต่ยังไม่
รูปแบบคำนำหน้าย่อความ และประเภทของการย่อความได้ ครบถว้ น สมบรู ณ์
อย่างถูกตอ้ ง
2. ความถกู ต้องของ สามารถจับประเด็นหรือใจความ สามารถจับประเดน็ หรอื ใจความสำคัญได้
ประเดน็ สำคัญหรือ สำคญั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ตรงประเด็น แต่ยังไม่ตรงประเดน็ เท่าทคี่ วร
ใจความสำคญั
3. ความถกู ต้อง สามารถเปลย่ี นคำบุรษุ สรรพนาม ไม่สามารถเปลยี่ นคำบรุ ุษสรรพนาม
ของบรุ ษสรรพนาม ที่ 1, 2 เปน็ สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 3 ท่ี 1, 2 เปน็ สรรพนามบุรษุ ที่ 3 ได้
4. การนำมาเรยี บเรียง สามารถนำเน้ือหามาเรยี บเรียงใหม่ สามารถนำเนอื้ หามาเรยี บเรยี งใหมด่ ว้ ย
ใหม่ดว้ ยสำนวนภาษา ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ภาษาที่ สำนวนของตนเองได้ แต่ยังใชภ้ าษาไมค่ ่อย
ของตวั เอง ใชส้ ละสลวย ไพเราะ สละสลวย อ่านแล้วตดิ ขัดในบางชว่ ง
5. ความยาวของการเขยี น สามารถเขยี นยอ่ ความให้อยู่ใน สามารถเขยี นย่อความให้สัน้ ลงได้ แตย่ งั มี
ย่อความ สัดสว่ นทไี่ ม่เกิน 1 ใน 3 ของ ความยาวทีม่ ากเกนิ 1 ใน 3 ของขอ้ ความ
ขอ้ ความท้งั หมดได้ ทั้งหมด
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมนิ
ใบกจิ กรรม เร่ือง การเขียนยอ่ ความพระบรมราโชวาท
รายละเอียดเกณฑ์การ รายละเอยี ดการให้คะแนน
ประเมนิ 2 1
1. ความถูกตอ้ งของ สามารถเขยี นคำขึ้นตน้ ตามรปู แบบ สามารถเขียนคำขึน้ ตน้ ได้ แต่ยงั ไม่
รูปแบบคำนำหนา้ ยอ่ ความ และประเภทของการย่อความได้ ครบถ้วน สมบูรณ์
อย่างถูกตอ้ ง
2. ความถูกตอ้ งของ สามารถจับประเด็นหรือใจความ สามารถจับประเด็นหรอื ใจความสำคัญได้
ประเดน็ สำคญั หรอื สำคญั ได้อยา่ งถกู ต้อง ตรงประเด็น แตย่ ังไมต่ รงประเดน็ เท่าทค่ี วร
ใจความสำคญั
3. ความถูกต้อง สามารถเปลี่ยนคำบุรุษสรรพนาม ไม่สามารถเปลี่ยนคำบุรุษสรรพนาม
ของบุรษสรรพนาม ที่ 1, 2 เปน็ สรรพนามบุรุษที่ 3 ที่ 1, 2 เปน็ สรรพนามบุรุษท่ี 3 ได้
4. การนำมาเรียบเรยี ง สามารถนำเน้ือหามาเรียบเรยี งใหม่ สามารถนำเนือ้ หามาเรียบเรียงใหมด่ ว้ ย
ใหมด่ ว้ ยสำนวนภาษา ดว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง ภาษาท่ี สำนวนของตนเองได้ แต่ยังใช้ภาษาไม่คอ่ ย
ของตัวเอง ใช้สละสลวย ไพเราะ สละสลวย อ่านแลว้ ตดิ ขดั ในบางช่วง
5. ความยาวของการเขยี น สามารถเขียนยอ่ ความใหอ้ ยใู่ น สามารถเขียนย่อความให้ส้ันลงได้ แต่ยงั มี
ยอ่ ความ สัดสว่ นท่ไี ม่เกนิ 1 ใน 3 ของ ความยาวทม่ี ากเกนิ 1 ใน 3 ของขอ้ ความ
ข้อความท้ังหมดได้ ทัง้ หมด
6. การคงคำราชาศพั ท์ สามารถเขียนย่อความโดยไม่เปล่ยี น มีการปรับเปล่ียนคำราชาศัพท์ หรอื
ในการย่อความ รูปคำราชาศพั ทไ์ ด้อย่างถูกต้อง ใชค้ ำราชาศัพท์ไมถ่ กู กับบรบิ ท
แผนการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๔ เร่อื ง การแตง่ คำประพนั ธป์ ระเภทกลอนสุภาพ
รหัสวิชา ท ๒3๑๐2 ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 1 ชว่ั โมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของ
ภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ขิ องชาติ
ตัวช้ีวัด
ท ๔.๑ ม.๒/๓ แตง่ บทร้อยกรอง
สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
การแต่งคำประพันธป์ ระเภทกลอนสุภาพ คอื กลอนสุภาพเปน็ คำประพนั ธ์อกี ชนดิ หนงึ่ ที่ได้รับความนยิ ม
กนั ทว่ั ไป เพราะเปน็ ร้อยกรองชนิดทีม่ คี วามเรียบเรียงง่ายต่อการสือ่ ความหมาย และสามารถสอื่ ได้อยา่ งไพเราะ ซง่ึ
กลอนแปดมีการกำหนดพยางค์และสัมผัส บทหน่ึงมี ๔ วรรค วรรคทหี่ น่งึ เรยี กวรรคสดับ วรรคทสี่ องเรยี กวรรครบั
วรรคทส่ี ามเรยี กวรรครอง วรรคท่สี ีเ่ รยี กวรรคส่ง แต่ละวรรคมแี ปดคำ จึงเรียกวา่ กลอนแปดหรือกลอนสภุ าพ
สาระการเรียนรู/้ เนื้อหายอ่ ย
ความรู้ (K)
นกั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจหลกั การแต่งคำประพนั ธ์ประเภทกลอนสุภาพ
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถแตง่ คำประพันธป์ ระเภทกลอนสุภาพได้
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ่ีได้จากการแตง่ คำประพนั ธ์ประเภทสภุ าพไปใช้เป็นแนวทางในการแตง่ คำ
ประพันธป์ ระเภทอน่ื ๆ ได้
จุดเน้นสกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขยี นได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)
ทกั ษะดา้ นการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา (Critical Thinking and
Problem Solving)
ทักษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะด้านความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork and
Leadership)
ทักษะดา้ นการส่อื สาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั สอ่ื (Communications, Information, and
Media Literacy)
ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (Computing and ICT
Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ภาระงาน/ช้ินงาน
ใบงาน แต่งถอ้ ยรอ้ ยความ
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั นำ
ครูเปิดวดี โี อ “กลอนสุภาพ” จากนนั้ ครใู ชค้ ำถาม “นกั เรยี นเคยไดย้ ินคำประพนั ธป์ ระเภทน้ีหรอื ไม”่
จากนัน้ ครูใหน้ ักเรียนแสดงความคดิ เห็นโตต้ อบกับครู (K, P)
ขน้ั สอน
๑. ครอู ธบิ ายความรู้เรอื่ ง “การแต่งคำประพนั ธ์ประเภทกลอนสุภาพ” โดยอธบิ ายในสว่ นของ
ความหมาย หลกั การ และลกั ษณะฉันทลักษณต์ ามลกั ษณะบงั คบั ของกลอนสภุ าพ (K)
๒. ครใู หน้ ักเรยี นทำกจิ กรรม “กลอนสภุ าพ” โดยใหน้ ักเรยี นในชั้นเรียนรว่ มกนั แตง่
บทร้อยกรองประเภทกลอนแปด โดยให้ชว่ ยกนั แตง่ คนละคำ ซง่ึ ตอ้ งคำนึงถงึ ฉนั ทลักษณ์ของกลอนแปด จากนั้นครู
แจกใบงาน “แต่งถอ้ ยร้อยความ” โดยให้นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ละ 3 – 4 คน แต่งกลอนสภุ าพ
กลมุ่ ละ 3 บท (K, P)
3. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกันอา่ นบทร้อยกรองทน่ี กั เรียนรว่ มกันแตง่ จากนัน้ ครเู สนอแนะรายละเอียด
เพมิ่ เติม
ข้นั สรปุ
ครูให้นักเรยี นรว่ มกันสรปุ การทำกิจกรรมกลอนสภุ าพ และใบงาน แตง่ ถอ้ ยรอ้ ยความ
ซง่ึ เปน็ กิจกรรมทใ่ี หน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มได้ทำกจิ กรรมแต่งกลอนเปน็ เรื่องราวได้อย่างถูกตอ้ ง สะทอ้ นผลว่านกั เรยี นมี
ความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกบั การแต่งคำประพนั ธป์ ระเภทกลอน และสามารถนำความรไู้ ปเปน็ แนวทางในการแตง่ คำ
ประพันธป์ ระเภทอื่น ๆ ได้ (K, P, A)
การวัดผลประเมนิ ผล
วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
ประเมินใบงาน เรือ่ ง แต่งถอ้ ยร้อยความ ใชว้ ธิ ีวัดผลจาก ใบงาน แต่งถอ้ ยร้อยความ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
การทำใบงานของนักเรียนแตล่ ะคน โดยมปี ระเดน็ ในการ รอ้ ยละ ๕๐
วดั ผล ได้แก่ ความรคู้ วามเขา้ ใจหลักการแตง่ คำประพนั ธ์
ประเภทกลอนสุภาพ สามารถอธบิ ายหลักการแตง่ คำ
ประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพได้ ความถูกต้องของ
ฉันทลกั ษณ์ การเลอื กสรรคำ และความไพเราะ
(ประเด็นของแตล่ ะคน) จากน้ันนำผลการประเมนิ
มาเปน็ ขอ้ มูลในการปรับปรงุ และพัฒนานกั เรยี น
และการจดั การเรยี นการสอนของครูในครัง้ ต่อ ๆ ไป
ส่ือการเรยี นรู้
๑. ใบความรู้ การแตง่ คำประพันธป์ ระเภทกลอนสภุ าพ
2. ใบงาน เรอ่ื ง แต่งถ้อยร้อยความ
ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศกึ ษาหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศก์,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................................
(...............................................................)
วนั ที่.........../...................../...........
บนั ทึกผลหลงั การจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธิเดช สกุลซง้ )
วันที่............../......................./...............
เกณฑ์การประเมินใบงาน
เรือ่ ง “แต่งถอ้ ยรอ้ ยความ”
รายการประเมิน ระดับคะแนน
๒๑
ความรู้ความเขา้ ใจหลกั การ มีความรคู้ วามเขา้ ใจหลกั การแต่งคำ ไมม่ คี วามรคู้ วามเข้าใจหลกั การ
แต่งคำประพนั ธป์ ระเภท
กลอนสภุ าพ ประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพเป็น แตง่ คำประพนั ธ์ประเภทกลอน
อยา่ งดี สุภาพเทา่ ท่ีควร
สามารถอธิบายหลกั การแต่งคำ สามารถอธบิ ายหลกั การแตง่ คำ ไมส่ ามารถอธิบายหลกั การแตง่ คำ
ประพันธ์ประเภทกลอนสภุ าพ ประพันธป์ ระเภทกลอนสุภาพได้ ประพนั ธป์ ระเภทกลอนสภุ าพได้
ได้ อย่างถูกต้อง
ความถูกตอ้ งของฉนั ทลักษณ์ แต่งกลอนสภุ าพได้ถูกตอ้ งตาม แต่งกลอนสภุ าพไม่ถกู ตอ้ งตาม
ลักษณะบังคับของนิราศ ลักษณะบงั คบั ๕ จดุ ขึน้ ไป
การเลอื กสรรคำ สามารถเลอื กสรรคำไดถ้ กู ต้องและ มีการเลือกสรรคำไมเ่ หมาะสมกบั
เหมาะสมกับเน้ือหา เนอื้ หา
ความไพเราะ แต่งกลอนสุภาพได้อย่างไพเราะและ แตง่ กลอนสภุ าพไดไ้ ม่ไพเราะ
ตรงประเด็นกับชือ่ เร่อื ง เทา่ ทคี่ วรและมเี น้อื หามไมต่ รง
ประเดน็ กับชอื่ เรอ่ื ง
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้นึ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐ จงึ จะถือวา่
ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ
๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผ่าน
๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น
๕-๖ คะแนน ผ่าน
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
ปรับปรุง
แบบประเมนิ ใบงานชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3
“แตง่ ถอ้ ยร้อยความ”
รายการประเมิน
รวม สรปุ ผล
กลมุ่ ที่/สมาชิก ความ ู้รความเ ้ขาใจการแต่งคำ
ประพันธ์ประเภทนิราศ
สามารถอธิบายห ัลกการแต่งคำ
ประพันธ์ประเภทนิราศไ ้ด
ความ ูถก ้ตองของ ัฉนทลักษณ์
การเลือกสรรคำ
ความไพเราะ
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไมผ่ า่ น
กลุม่ ที่ ๑
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
กลุ่มท่ี ๒
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
กลมุ่ ที่ ๓
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
ใบความรู้
เรอ่ื ง การแตง่ คำประพนั ธ์ประเภทกลอนสุภาพ
ความหมาย
กลอนสภุ าพ เป็นกลอนประเภทหนง่ึ ซงึ่ ลักษณะคำประพันธข์ องภาษาไทย ทเี่ รยี บเรียงเขา้ เป็นคณะ ใช้
ถอ้ ยคำและทำนองเรยี บ ๆ ซง่ึ นับไดว้ า่ กลอนสภุ าพเป็นกลอนหลกั ของกลอนทั้งหมด เพราะเป็นพื้นฐานของกลอน
หลายชนิด หากเข้าใจกลอนสภุ าพ ก็สามารถเข้าใจกลอนอนื่ ๆ ไดง้ ่ายขึน้
ลกั ษณะของคำประพันธ์
บทบทหน่งึ มี ๔ วรรค
วรรคท่หี นง่ึ เรียกวรรคสดบั
วรรคที่สองเรยี กวรรครับ
วรรคทส่ี ามเรยี กวรรครอง
วรรคท่ีสี่เรียกวรรคสง่ แตล่ ะวรรคมีแปดคำ จงึ เรียกวา่ กลอนแปด
การบงั คับสัมผสั
สัมผสั นอก ให้มีสมั ผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำทีส่ ามของวรรคหลังของทุกบาท และใหม้ สี ัมผัส
ระหว่างบาทคอื คำสุดท้ายของวรรคทสี่ องสัมผัสกับคำสุดทา้ ยวรรคทีส่ าม สว่ นสมั ผัสระหว่างบท กำหนดใหค้ ำ
สดุ ทา้ ยของบทแรก สมั ผสั กบั คำสดุ ท้ายวรรคท่ีสองของบทถดั ไป
สมั ผัสใน ไมบ่ ังคับ แตห่ ากจะให้กลอนสละสลวยควรมสี ัมผัสระหวา่ งคำท่ีสามกับคำท่ีส่ี หรือระหว่างคำที่
หา้ กับคำที่หกหรอื คำทีเ่ จ็ดของแตล่ ะวรรค
ข้อบังคับ เรอ่ื งการกำหนดเสยี งวรรณยุกต์ ในคำสุดทา้ ยของแต่ละวรรค มีดงั นี้
คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ใช้เสยี ง สามญั เอก โท ตรี จัตวา แต่ไมน่ ยิ มเสยี งสามญั
คำสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ห้ามใชเ้ สียง สามัญ หรอื ตรี นิยมใช้เสียง จตั วา เป็นส่วนมาก
คำสุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ ห้ามใช้เสยี ง เอก โท จตั วา นิยมใชเ้ สยี ง สามัญ หรือ ตรี
คำสดุ ทา้ ยของวรรคที่ ๔ ห้ามใช้เสียง เอก โท จัตวา นยิ มใช้เสียง สามญั หรือ ตรี
แผนผังกลอนสภุ าพ
ตวั อย่าง กลอนหน่ึงบทส่ีวรรคกรองอักษร
กลอนสุภาพพึงจำมกี ำหนด อาจยงิ่ หย่อนเจด็ หรือเกา้ เข้าหลักการ
วรรคละแปดพยางคน์ ับศพั ท์สนุ ทร
หา้ แห่งคำคล้องจองตอ้ งสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสยี งสูงต่ำต้องเรียงเยยี่ งโบราณ
เปน็ กลอนกานท์ครบครนั ฉนั ท์นเ้ี อย
ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ
ม.ล.บญุ เหลือ เทพสวุ รรณ ประพันธ์
ใบงาน
เรอ่ื ง แตง่ ถอ้ ยรอ้ ยความ
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนแต่ละกลมุ่ แตง่ กลอนสภุ าพ ๒ บท เก่ยี วกบั โรงเรียนพรอ้ มทั้งตงั้ ชือ่ เรอ่ื งให้เหมาะสม
..................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
..................................................................................................
ช่ือ.........................................................................................เลขที่............ ชั้น ...........
แผนการจัดการเรยี นรู้
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 เรือ่ ง การอ่านกาพย์ฉบงั 16
รหัสวิชา ท ๒๓๑๐2 ชอ่ื รายวิชา ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ ภาคเรียนที่ 2 เวลา 1 ชั่วโมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 1.๑ กระบวนการอา่ นสรา้ งความรูแ้ ละความคิด เพือ่ นำไปใชต้ ัดสนิ ใจแกไ้ ขปญั หาในการ
ดำเนนิ ชวี ติ และมีนสิ ยั รักการอา่ น
ตวั ช้วี ัด
ท 1.๑ ม. ๓/1 อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแก้วและบทรอ้ ยกรองได้ถกู ตอ้ ง และเหมาะสมกบั เร่ือง
ที่อ่าน
สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
การอ่านกาพยฉ์ บงั 16 คอื การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ฉบงั 16 เพื่อสอ่ื เนอื้ หา
และอารมณค์ วามรู้สึกท่ีปรากฎไปสู่ผรู้ ับสารด้วยท่วงทำนองทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ มีจังหวะ ลลี า
ซ่ึงการอ่านบทร้อยกรองน้ีจะมีอยู่ 2 ทำนองท่ใี ช้อ่าน ไดแ้ ก่ ทำนองปกตแิ ละทำนองเสนาะ โดยปกติกาพย์ฉบัง 16
มกั ใช้ในการพรรณนาความงามของธรรมชาติ การเดินทางหรือการต่อสู้ ในหนึง่ บท
จะมี 3 วรรค วรรคท่ี 1 มี 6 คำ วรรคท่ี 2 มี 4 คำ และวรรคท่ี 3 มี 6 คำ รวมทงั้ สนิ้ 16 คำ
จงึ เรียกวา่ “กาพยฉ์ บงั 16”
สาระการเรยี นรู้/เนอ้ื หายอ่ ย
ความรู้(K)
นักเรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจในหลักการอา่ นกาพย์ฉบัง 16
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถอา่ นกาพย์ฉบงั 16 ได้ถกู ตอ้ งตามหลกั การ
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรูจ้ ากการเรยี น เรอ่ื ง การอา่ นกาพยฉ์ บัง 16 ไปเป็นแนวทาง
ในการเรยี นระดบั ต่อไปได้
จุดเน้นสูก่ ารพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)
ทกั ษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปัญหา
(Critical Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะดา้ นความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)
ทักษะด้านการสอ่ื สาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทันสื่อ (Communications, Information, and
Media Literacy)
ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT
Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปล่ียนแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ชิ้นงานหรือภาระงาน
กิจกรรม “ทำนองเสนาะ ไพเราะจบั ใจ”
กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
ครกู ลา่ วทกั ทายนกั เรียน แลว้ ใหน้ กั เรยี นดวู ิดโี อ “การอา่ นทำนองเสนาะ กาพยฉ์ บงั 16” จากนัน้
ครใู ช้คำถาม “นักเรียนเคยไดย้ ินการอ่านทำนองเสนาะเช่นนี้หรอื ไม่” และใหน้ กั เรยี น
แสดงความคิดเหน็ โต้ตอบกับครู (K)
ขั้นสอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความร้กู ับนกั เรียน เรื่อง การอา่ นกาพย์ฉบงั 16 จากนั้นครูอธบิ าย
ความหมายของการอ่านบทรอ้ ยกรอง หลักการอ่านกาพย์ฉบงั 16 และครูยกตัวอย่างการอา่ นกาพย์ฉบงั 16 ให้
นักเรียนฟงั และดู เพื่อให้นกั เรยี นเข้าใจในการอา่ นกาพยฉ์ บงั 16 มากขน้ึ (K)
๒. ครใู หน้ ักเรยี นทำกิจกรรม “ทำนองเสนาะ ไพเราะจับใจ” โดยให้นกั เรียนฝึกอ่าน
กาพย์ฉบัง 16 ทงั้ ทำนองปกติและทำนองเสนาะให้ถูกตอ้ งตามหลักการอา่ น (K, P)
๓. ครูให้นักเรียนออกมาอ่านกาพยฉ์ บงั 16 ทำนองปกตแิ ละทำนองเสนาะทีละคน จากนั้นครู
และนักเรียนร่วมกนั เสนอแนะรายละเอียดเพ่มิ เติม (P, A)
ข้นั สรุป
ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรุปกจิ กรรม“ทำนองเสนาะ ไพเราะจับใจ” เปน็ กิจกรรมที่ให้นักเรยี นฝึก
อา่ นกาพย์ฉบงั 16 ทัง้ ทำนองปกติและทำนองเสนาะให้ถกู ต้องตามหลักการอา่ น จากการ
ทำกจิ กรรมนกั เรยี นสามารถปฏิบตั ไิ ด้อย่างถูกต้อง สะทอ้ นผลได้วา่ นกั เรียนมีความรคู้ วามเข้าใจหลกั การอา่ นกาพย์
ฉบัง 16 สามารถอา่ นกาพยฉ์ บัง 16 ไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การ และสามารถนำความร้ทู ี่ได้
จากการเรยี นเรื่อง การอา่ นกาพยฉ์ บัง 16 ไปเป็นแนวทางในการเรียนระดบั ตอ่ ไป (K, P, A)
การวดั ผลประเมินผล
วิธกี าร เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
ประเมินกจิ กรรม “ทำนองเสนาะ ไพเราะจับ กิจกรรม “ทำนองเสนาะ ไพเราะจับ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ใจ” ใช้วิธีวัดผลจากการทำกิจกรรมของ ใจ” รอ้ ยละ ๕๐
นกั เรียนแต่ละคน โดยมปี ระเด็นในการวัดผล
ได้แก่ ความถูกต้องของการท่วงทำนอง
การแบ่งจงั หวะและวรรคคำ ความถูกตอ้ งของ
อา่ นคำ ความถูกต้องของการเออ้ื นเสียง
การสอ่ื อารมณ์ และความถกู ตอ้ งของการอ่าน
รวบคำและไม่ฉีกคำ (ประเด็นของแต่ละคน)
จากน้นั นำผลการประเมินมาเป็นข้อมลู ในการ
ปรับปรุงและพัฒนานักเรียน และการจดั การ
เรียนการสอนของครใู นคร้ังตอ่ ๆ ไป
สือ่ การเรียนรู้
๑. ใบความรู้ เร่อื ง การอา่ นกาพย์ฉบงั 16
๒. วดี โิ อ “การอ่านทำนองเสนาะ กาพย์ฉบัง 16”
ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรอื ผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ................................................................
(...............................................................)
วันท่ี.........../...................../...........
บนั ทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปัญหาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชือ่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซ้ง)
วนั ท่.ี ............./......................./...............
ใบความรู้
เรอ่ื ง การอ่านกาพยฉ์ บัง ๑๖
ร้อยกรอง คอื คำประพนั ธ์ท่ีแตง่ โดยมกี ารบังคบั จำนวนคำ สมั ผัส ฉนั ทลกั ษณ์ ตามแบบแผนของรอ้ ย
กรองแต่ละประเภท ไดแ้ ก่ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน รา่ ย เปน็ ต้น
การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง คือ การอ่านออกเสียงงานเขียนรอ้ ยกรองประเภทต่าง ๆ
เพอ่ื สอ่ื เนอ้ื หาและอารมณ์ความรู้สกึ ที่ปรากฏในบท ไปสผู่ ูร้ ับสารด้วยทำนองที่แตกต่างกนั ซ่ึงการอา่ นน้นั โดดย
ท่ัวไปจะมกี ารอ่านอยู่ 2 ทำนอง ไดแ้ ก่ ทำนองปกติและทำนองเสนาะ
การอา่ นทำนองเสนาะ คือ การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรองประเภทต่าง ๆ ตามทำนอง ลีลาและจังหวะ
ของประพันธน์ น้ั เพื่อให้ผู้อา่ น ผูฟ้ ังเข้าใจถึงความงดงามของภาษา การอา่ นทำนองเสนาะบทร้อยกรองจะมีความ
แตกต่างการไปตามทำนอง ลีลา การทอดเสียงและความสามารถของผอู้ ่าน
การอ่านกาพย์ฉบงั 16 คอื การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองประเภทกาพยฉ์ บงั 16 เพอ่ื ส่ือเนอื้ หาและ
อารมณค์ วามรู้สึกท่ีปรากฎไปสผู่ ้รู บั สารดว้ ยท่วงทำนองท่เี ป็นเอกลกั ษณ์ มจี ังหวะ ลีลา
ซึ่งการอ่านบทรอ้ ยกรองน้ีจะมีอยู่ 2 ทำนองท่ใี ชอ้ า่ น ไดแ้ ก่ ทำนองปกตแิ ละทำนองเสนาะ
กาพย์ฉบัง 16 มักใชใ้ นการพรรณนาความงามของธรรมชาติ การเดนิ ทางหรือการตอ่ สู้ เป็นคำ
ประพนั ธช์ นดิ หนงึ่ ท่ีบังคบั จำนวนคำท่ีใช้ในการแต่ง ในหนึ่งบทจะมี 3 วรรค วรรคที่ 1 มี 6 คำ วรรคที่ 2 มี 4 คำ
และวรรคที่ 3 มี 6 คำ รวมทั้งสิ้น 16 คำ จงึ เรยี กวา่ “กาพย์ฉบงั 16”
หลักการอา่ นกาพยฉ์ บงั ๑๖
1. จะตอ้ งรู้จักฉนั ทลักษณ์ หรอื ลกั ษณะบงั คับของรอ้ ยกรองประเภทนัน้ ซงึ่ กาพยฉ์ บงั 16
มฉี นั ทลกั ษณ์ดงั น้ี
1.1 บทหนึ่งมี ๓ วรรค คอื วรรคแรก (วรรคสดบั ) มี ๖ คำ วรรคทีส่ อง (วรรครับ) มี ๔ คำ
และวรรคที่ ๓ (วรรคสง่ ) มี ๖ คำ รวมทัง้ หมด ๑๖ คำ จงึ เรยี กฉบงั ๑๖
1.2 การส่งสมั ผัส
- สมั ผสั นอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค เปน็ สมั ผัสบังคบั คือ คำสุดท้ายของวรรคแรก (วรรคสดบั )
สัมผสั กับคำสดุ ท้ายของวรรคสอง (วรรครบั )
- สัมผสั ระหว่างบท คอื คำสดุ ทา้ ยของวรรคสาม (วรรคส่ง) สมั ผัสกบั คำสดุ ท้ายของวรรคหนึง่ (วรรค
สดับ) ของบทต่อไป
ฉันทลกั ษณ์กาพยฉ์ บัง 16
2. ตอ้ งรู้จักทำนอง จงั หวะ ลลี า และการวรรคคำ การจะอ่านใหไ้ พเราะไดน้ น้ั ผู้อา่ นจะต้องเขา้ ใจทำนอง
ของบทประพนั ธท์ ่ีอา่ น ซง่ึ กาพย์ฉบงั 16 จะเวน้ จงั หวะการอา่ นทุก ๆ ๒ คำ ดงั นี้
OO/OO/OO OO/OO
OO/ OO/OO
ตัวอยา่ ง
สัตวจ์ ำ / พวกหนง่ึ / สมญา พหุ / บาทา
มีเท้า / อเนก / นับหลาย
เท้าเกิน / กวา่ สี่ / โดยหมาย สองพวก / ภปิ ราย
สัตว์นำ้ / สตั ว์บก / บอกตรง
สตั วาภิธาน (สุนทรภ)ู่
3. ตอ้ งรจู้ ักการเอื้อนเสียง การอ่านทำนองเสนาะให้ไพเราะนนั้ ผู้อ่านจะตอ้ งมกี ารเออ้ื นเสียง เพื่อเปน็ การ
ทอดจงั หวะให้ผู้ฟังเกดิ ความรสู้ ึกซาบซึ้งและเหน็ ถงึ ความงดงามของภาษา ซง่ึ การอา่ น
กาพย์ฉบัง 16 มีหลักในการเอ้อื นเสยี งดงั นี้
OO/OO/OO OO/OO
OO/ OO/OO
- ตำแหนง่ ที่ขีดเสน้ ใต้ .... หากเปน็ อักษรสูง หรือคำที่มีเสยี งสงู ใหเ้ อือ้ นเสียงขนึ้ สูง เว้นแตว่ า่ คำนัน้ เป็น
เสียงสามัญ เอก หรอื เป็นอกั ษรต่ำ หากขน้ึ เสยี งสงู อาจจะทำใหผ้ ดิ เพ้ียนได้ ให้อ่านในน้ำเสียงโทนปกติ และเล่นลูก
อ้ือนด้วยการกดเสียงนั้นให้ลงตำ่ ลง
- ตำแหน่งท่ีที่ขีดเสน้ ใต้ .... จะเป็นตำแหนง่ ที่ต้องลากเสียง หรือเอ้ือนเสียง เพ่อื ให้เกิดความไพเราะใน
บท (ทง้ั น้ขี นึ้ อยู่กบั คำในบทรอ้ ยกรองน้นั ๆ)
ตัวอยา่ ง
พสุธาอาศัยไมม่ ี ราชานารี
อยทู่ ่พี ระแกลแลดู
ปลากะโหโ้ ลมาราหู เหราปลาทู
มีอยูใ่ นน้ำคล่ำไป
ราชาวา้ เหว่หฤทยั วายุพาคลาไคล
มาในทะเลเอกา
แลไปไม่ปะพสธุ า เปล่าใจนัยนา
โพล้เพลเ้ วลาราตรี
4. ตอ้ งรจู้ กั การอ่านรวบคำ หรอื พยางคท์ เ่ี กินจากท่กี ำหนดไวใ้ นฉันทลักษณ์ โดยใหอ้ ่านเรว็ ข้ึนและเสยี งให้
เบาลงกวา่ ปกติจนกวา่ จะถึงคำหรือพยางค์ทตี่ ้องการจงึ ลงเสยี งหนกั
5. ต้องรจู้ ักการอา่ นคำ การอ่านบทร้อยกรองน้ัน ผูอ้ า่ นจะตอ้ งอ่านออกเสยี งให้ถูกตอ้ งตามอักขรวิธี ไมผ่ ิด
สระ ผิดพยญั ชนะ หรอื วรรณยุกต์ เช่น ไก่ เปน็ ก่าย , ครู เปน็ ค,ู ขอ่ น เป็น ค้อน เปน็ ต้น นอกจากน้ี ควรอา่ น
พยญั ชนะ จ/ฉ/ช/ถ/ท/ธ/ศ/ษ/ส ใหช้ ดั เจนถูกต้องตามอักขรวิธใี นภาษาไทย โดยไม่อา่ นเป็นเสียงเสียดแทรกมาก
เกินไปตามภาษาองั กฤษ และจะตอ้ งอา่ นออกเสียงพยญั ชนะ ร/ล/ว คำควบกล้ำ ร/ล/ว ให้ชดั เจน เพราะหากออก
เสยี งไมช่ ัดอาจทำให้ผู้ฟงั เข้าใจความหมายคลาดเคล่อื น
และไม่ไพเราะ
6. รจู้ ักการใสอ่ ารมณ์ การอ่านบทร้อยกรองใหไ้ พเราะ จะต้องรจู้ กั การอ่านใสอ่ ารมณ์ความรสู้ กึ ลงในบทท่ี
อ่าน ซึง่ ผอู้ า่ นจะต้องเข้าใจความหมายทแ่ี ทจ้ รงิ ที่บทประพนั ธ์นัน้ ต้องการจะส่อื ไปยังผ้รู ับสาร เชน่ บทโกรธ ผอู้ ่านก็
ตอ้ งทำน้ำเสยี งดุดนั แขง็ กรา้ ว บทโศกเศรา้ จะเป็นนำเสยี งทแ่ี ฝงไปด้วยความเสยี ใจ คร่ำครวญ เป็นตน้
7. พยายามไมอ่ ่านฉีกคำ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองที่ดนี ัน้ ผ้อู ่านจะตอ้ งใสใ่ จตำแหน่งของสมั ผสั ไม่
อ่านฉกี คำหรอื ฉีกความ เพราะหากอ่านฉีกคำหรือฉีกขอ้ ความอา่ นทำใหเ้ น้ือความเสยี ไปหรอื ผู้ฟังเขา้ ใจความหมาย
คลาดเคลอื่ นได้
แบบฝกึ อ่านกาพย์ยานี 11
พระไชย / สรุ ยิ า / ภมู ี พาพระ / มเหสี
มาท่ี / ในลำ / สำเภา นารี / ที่เยาว์
เสนี / เสนา
ข้าวปลา / หาไป / ไม่เบา วายุ / พยุเพลา
คำ่ เช้า / เปลา่ ใจ
กเ็ อา / ไปใน / เภตรา
เถ้าแก่ / ชาวแม่ / แซ่มา
ก็มา / ในลำ / สำเภา
ตมี า้ / ล่อช่อ / ใบใสเ่ สา
สำเภา / ก็ใช้ / ใบไป
เภตรา / มาใน / น้ำไหล
ทใ่ี น / มหา / วารี
ใบกจิ กรรม
“ทำนองเสนาะ ไพเราะจับใจ”
คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นฝึกอา่ นทำนองเสนาะกาพยฉ์ บงั 16 จากบททีค่ รูกำหนดให้
บทพากย์เอราวณั
๏ อินทรชติ บิดเบือนกายนิ เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวณั
๏ ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน เผอื กผ่องผวิ พรรณ
สสี ังข์สะอาดโอฬาร์
๏ สามสิบสามเศยี รโสภา เศยี รหนึ่งเจ็ดงา
ดงั่ เพชรรตั นร์ ูจี
๏ งาหน่ึงเจ็ดโบกขรณี สระหนึ่งย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
๏ กอหน่งึ เจ็ดดอกดวงมาลย์ ดอกหน่ึงแบ่งบาน
มกี ลีบได้เจด็ กลีบผกา
๏ กลีบหน่ึงมีเทพธิดา เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยลำเพานงพาล
๏ นางหน่งึ ยอ่ มมบี รวิ าร อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรปู นิรมติ มายา
๏ จบั ระบำรำร่ายส่ายหา ชำเลืองหางตา
ทำทดี งั เทพอัปสร
๏ มวี มิ านแก้วงามบวร ทุกเกศกญุ ชร
ดงั เวไชยนั ตอ์ มรินทร์
(บทพากย์เอราวณั : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั )
แบบประเมนิ กจิ กรรม “ทำนองเสนาะ ไพเราะจับใจ”
นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
รายการประเมนิ
รวม สรุปผล
ชอ่ื -สกลุ ความ ูถก ้ตองของท่วงทำนอง
การแบ่ง ัจงหวะและวรรคคำ
ความ ูถก ้ตองของอ่านคำ
ความ ูถก ้ตองของการเอื้อนเ ีสยง การ
่สืออารม ์ณ
ความ ูถก ้ตองของการอ่านรวบคำและ
ไ ่ม ีฉกคำ
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไมผ่ า่ น
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม ๑๐ จงึ จะถือว่า
ผ่านเกณฑ์