The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.3 ภาคเรียนที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฤทธิเดช สกุลซ้ง, 2022-11-06 06:07:06

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.3 ภาคเรียนที่ 2

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.3 ภาคเรียนที่ 2

แผนการจดั การเรยี นรู้

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9 เรอื่ ง ระดับภาษา

รหัสวิชา ท ๒๓๑๐2 ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓
ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 2 ช่วั โมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลงั ของ

ภาษา ภมู ิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ

ตวั ชว้ี ัด
ท 4.๑ ม. ๓/3. วิเคราะห์ระดบั ภาษา

สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ชั่วโมงท่ี 1
ระดบั ภาษา คอื การแบ่งใช้ภาษาออกเป็นระดับต่าง ๆ ให้เหมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และ

ความสัมพันธ์ระหวา่ งผสู้ ง่ และผรู้ ับสาร โดยคำนึงถึงสถานภาพทางสงั คม ประสบการณ์ และความรู้ของผรู้ ับสาร
ผู้ใช้ภาษาจงึ ควรเลือกใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมตามสัมพันธภาพของบคุ คล หรอื โอกาสและสถานที่ เพอ่ื ให้การส่ือสาร
นั้นสัมฤทธิผลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

ชัว่ โมงที่ 2
ความแตกต่างของระดบั ภาษา คอื ส่งิ ไม่เหมอื นกัน ต่างกนั หรอื แปลกออกไปของภาษา

ในระดับภาษาท่มี รี ปู แบบลดหล่นั ลงไปตามโอกาส กาลเทศะ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคล
ซง่ึ ความแตกตา่ งเปน็ ส่งิ ท่ที ำใหเ้ ราสามารถแยกแยะภาษาในแต่ละระดับได้

สาระการเรียนร้/ู เนอื้ หายอ่ ย
ชั่วโมงที่ ๑

ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจความหมายและประเภทของระดบั ภาษา

ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายและจำแนกประเภทของระดับภาษาได้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

นกั เรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนเรือ่ ง ระดบั ภาษา ไปเปน็ แนวทางใน
การเรยี นระดับตอ่ ไป

ช่วั โมงท่ี ๒

ความรู้ (K)
นกั เรียนมีความรูค้ วามเข้าใจเกยี่ วกับความแตกต่างของระดับภาษา

ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรยี นสามารถจำแนกภาษาในระดบั ต่าง ๆ ไดถ้ ูกต้อง

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนเรือ่ ง ความแตกตา่ งระดบั ภาษา ไปเปน็ แนวทางในการ

เรียนระดับต่อไป

จดุ เน้นสู่การพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )

Reading (อา่ นออก)

(W) Riting (เขียนได)้

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทักษะด้านการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและทักษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical Thinking and
Problem Solving)

ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)

ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีมและภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการสือ่ สาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั ส่ือ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (Computing and ICT

Literacy)

ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ช้ินงานหรือภาระงาน

ชว่ั โมงท่ี 1
ใบงาน เรอื่ ง ระดบั ภาษา

ชวั่ โมงท่ี 2
ใบงาน เรอ่ื ง ความแตกตา่ งของระดบั ภาษา

กิจกรรมการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี 1
ขน้ั นำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน แล้วให้นักเรียนทำกิจกรรม “จีบแอล” เพื่อเตรียมความพร้อมให้

นกั เรยี นสนใจและมสี มาธใิ นการเรียน จากนน้ั ครใู ช้คำถาม “นกั เรยี นคดิ ว่าการสือ่ สารกบั บุคคล
มกี ารใชภ้ าษาที่แตกต่างกนั หรอื ไม”่ แลว้ ครูยกตัวอยา่ ง “เมื่อนกั เรียนสนทนากบั พอ่ แม่ นักเรยี น
พูดเหมือนพดู กับเพือ่ นหรอื ไม่” “เมอื่ นกั เรียนสนทนากบั คุณครู นกั เรียนพูดเหมือนพูดกบั เพอ่ื นหรือไม่” และ “เมอื่
นักเรียนสนทนากับผู้ว่าราชการจังหวัด นักเรียนพูดเหมือนพูดกับเพื่อนหรือไม่” จากนั้นให้นักเรียนแสดงความ
คดิ เห็นโตต้ อบกับครู (K)

ขนั้ สอน
๑. ครแู จกใบความรแู้ ละให้ความรู้เร่อื ง ระดบั ภาษา จากน้ันครอู ธิบายความหมายของระดบั ภาษา

ประเภทของระดับภาษา และครยู กตวั อย่างภาษาในระดบั ต่าง ๆ ให้นกั เรยี นดู เพื่อให้นักเรียนเข้าใจระดบั ภาษา
มากขนึ้ (K)

๒. ครใู ห้นกั เรียนทำใบงาน เรอื่ ง ระดบั ภาษา โดยให้นักเรยี นบอกความหมายของระดับภาษาว่า
หมายถึงอะไร และจบั คู่ประเภทของภาษาในระดับต่าง ๆ (K, P)

๓. ครูให้นกั เรียนออกมานำเสนอหนา้ ชั้นเรยี นโดยครูจะสุ่ม เพื่อเป็นการแลกเปลีย่ นเนอ้ื หาซึง่ กัน
และกัน จากนน้ั ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ (P, A)

ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปใบงาน “ระดบั ภาษา” เปน็ กจิ กรรมทีใ่ ห้นักเรยี นบอกความหมายของ

ระดับภาษาว่าหมายถงึ อะไร และจับค่ปู ระเภทของภาษาในระดบั ต่าง ๆ จากการทำกิจกรรมนักเรยี นสามารถ
ปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สะทอ้ นผลได้วา่ นกั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจในความหมายและประเภทของระดับภาษา
สามารถจำแนกภาษาในระดบั ต่าง ๆ และสามารถนำความรู้
ท่ีไดจ้ ากการเรยี นเรื่อง ระดับภาษา ไปเปน็ แนวทางในการเรียนระดับตอ่ ไป (K, P, A)

ช่ัวโมงท่ี 2
ข้ันนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน แล้วให้นักเรียนดูข้อความบนกระดาน จากนั้นให้นักเรียนบอกว่า

ข้อความต่อไปนี้จัดอยู่ในภาษาระดับใด และครูใช้คำถาม “นักเรียนคิดว่าภาษาแต่ละระดับแตกต่างกันหรือไม่”
แล้วใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ โตต้ อบกบั ครู

ข้นั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความรู้ เรื่อง ความแตกต่างของระดับภาษา จากนั้นครูอธิบาย

ความหมาย ความแตกตา่ งของระดับภาษา จากน้ันครูยวั ตัวอยา่ งภาษาในระดับต่าง ๆ ใหน้ ักเรยี นดูเพ่อื ให้นักเรียน
เขา้ ใจมากยิง่ ข้ึน (K)

๒. ครูให้นกั เรยี นทำใบงาน เร่อื ง ความแตกต่างของระดบั ภาษา โดยใหน้ กั เรียนยกตวั อย่างการใช้
ภาษาในระดบั ต่าง ๆ มาใหถ้ ูกต้อง (K, P)

๓. ครใู ห้นกั เรียนออกมานำเสนอหน้าชัน้ เรียนโดยครจู ะสุม่ เพอื่ เปน็ การแลกเปล่ียนเน้อื หาซึ่งกนั
และกนั จากนั้นครแู ละนักเรียนร่วมกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ (P, A)

ขน้ั สรปุ
ครูและนักเรยี นร่วมกันสรปุ ใบงาน “ความแตกต่างของระดบั ภาษา” เป็นกจิ กรรม

ท่ีให้นกั เรยี นยกตวั อยา่ งการใชภ้ าษาในระดบั ต่าง ๆ มาใหถ้ กู ต้อง จากการทำกิจกรรมนกั เรยี นสามารถปฏิบตั ิได้
อย่างถูกต้อง สะท้อนผลได้วา่ นกั เรียนมคี วามรู้ความเขา้ ใจในความหมายและความแตกตา่ ง
ของระดบั ภาษา สามารถจำแนกภาษาในระดับต่าง ๆ และสามารถนำความรูท้ ี่ได้จากการเรียน

เรื่อง ความแตกตา่ งของระดับภาษา ไปเปน็ แนวทางในการเรยี นระดับตอ่ ไป (K, P, A)

การวดั ผลประเมนิ ผล เกณฑก์ ารประเมิน
ชัว่ โมงที่ 1
ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
วธิ กี าร เครอื่ งมอื รอ้ ยละ ๕๐

ประเมนิ ใบงานเรอื่ ง ระดบั ภาษา ใช้วธิ วี ดั ผล ใบงานเรอื่ ง ระดับภาษา
จากการทำใบงานของนกั เรียนแตล่ ะคน โดยมี
ประเดน็ ในการวดั ผล ได้แก่ ความถูกตอ้ งของ
ความหมายและประเภทของระดับภาษา
(ประเดน็ ของแตล่ ะคน) จากน้ันนำผลการ
ประเมนิ มาเปน็ ขอ้ มลู ในการปรับปรุงและ
พฒั นานักเรียน และการจดั การเรียนการสอน
ของครใู นครั้งต่อ ๆ ไป

ชัว่ โมงท่ี ๒ เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน

วิธีการ ใบงานเรือ่ ง ความแตกต่างของระดบั ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
ภาษา ร้อยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงานเรือ่ ง ความแตกต่างของระดบั
ภาษา ใช้วิธีวดั ผลจากการทำใบงานของ
นักเรียนแต่ละคน โดยมปี ระเด็นในการวดั ผล
ไดแ้ ก่ ความถกู ต้องของระดบั ภาษา ความยาว
ของตัวอย่างทนี่ ำมาครบตามทค่ี รูกำหนด
และผลงานสะอาดเรียบร้อย (ประเด็นของแต่
ละคน) จากนน้ั นำผลการประเมนิ มาเป็น
ข้อมูลในการปรับปรงุ และพัฒนานักเรียน
และการจดั การเรยี นการสอนของครใู นคร้ัง
ตอ่ ๆ ไป

ส่ือการเรียนรู้
ชวั่ โมงท่ี 1
๑. ใบความรู้ เรือ่ ง ระดับภาษา
๒. ใบงาน เร่ือง ระดบั ภาษา
3. กิจกรรม “จบี แอล”
ช่ัวโมงท่ี 2
1. ใบความรู้เรื่อง ความแตกต่างของระดบั ภาษา
2. ใบงานเรื่อง ความแตกตา่ งของระดบั ภาษา

ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ สถานศกึ ษาหรือผทู้ ่ไี ด้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................

ลงชอ่ื ................................................................
(...............................................................)
วนั ท่ี.........../...................../...........

บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชื่อ.................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซ้ง)

วนั ที.่ ............./......................./...............

ใบความรู้ เรือ่ ง ระดบั ภาษา

ระดบั ภาษา หมายถึง การแบ่งใช้ภาษาออกเปน็ ระดับตา่ ง ๆ ให้เหมาะสมกับโอกาส กาลเทศะ และ
ความสมั พันธร์ ะหวา่ งผ้สู ่งและผูร้ บั สาร โดยคำนึงถงึ สถานภาพทางสงั คม ประสบการณ์ และความรู้ของผู้รับสาร
ผู้ใช้ภาษาจึงควรเลือกใช้ภาษาใหเ้ หมาะสมตามสมั พันธภาพของบคุ คล หรอื โอกาสและสถานท่ี เพอื่ ให้การส่ือสาร
นน้ั สัมฤทธผิ ลอย่างมปี ระสิทธภิ าพ

ประเภทของระดบั ภาษา

๑. ระดับพิธีการ ใช้ส่ือสารกนั ในทป่ี ระชมุ ท่ีจัดขึ้นอยา่ งเป็นทางการ ได้แก่ การประชมุ รฐั สภา การกลา่ ว

อวยพร การกลา่ วตอ้ นรับ การกล่าวรายงานในพธิ มี อบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดดุ ีหรือการกลา่ ว
เพ่อื จรรโลงใจให้ประจกั ษ์ในคุณความดี การกล่าวปดิ พธิ ี เป็นต้น ผู้สง่ สารระดบั นี้
มกั เป็นคนสำคัญสำคัญหรอื มีตำแหนง่ สงู ผู้รับสารมกั อยใู่ นวงการเดียวกันหรือเปน็ กล่มุ คนสว่ นใหญ่ สมั พนั ธภาพ
ระหว่างผสู้ ่งสารกบั ผรู้ ับสารมีต่อกนั อยา่ งเป็นทางการ ส่วนใหญผ่ สู้ ง่ สารเปน็ ผ้กู ลา่ วฝ่ายเดียว ไมม่ กี ารโตต้ อบ ผู้
กลา่ วมักตอ้ งเตรยี มบทหรอื วาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมกั นำเสนอด้วยการอ่านตอ่ หนา้ ท่ปี ระชุม

๒. ภาษาระดับทางการ ใชบ้ รรยายหรืออภปิ รายอย่างเป็นทางการในทีป่ ระชมุ หรือใชใ้ นการเขียน

ขอ้ ความทปี่ รากฏต่อสาธารณชนอยา่ งเป็นทางการ หนงั สือทใ่ี ชต้ ิดตอ่ กับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผสู้ ง่ สารและ
ผูร้ ับสารมักเปน็ บุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดบั นเ้ี ป็นการสื่อสารให้ไดผ้ ลตามจดุ ประสงค์โดยยึดหลัก
ประหยดั คำและเวลาใหม้ ากท่สี ุด

๓. ภาษาระดับกง่ึ ทางการ คล้ายกับภาษาระดบั ทางการ แตล่ ดความเป็นงานเปน็ การลงบ้าง เพ่ือให้เกิด

สมั พันธภาพระหวา่ งผู้ส่งสารและผ้รู ับสารซงึ่ เป็นบุคคลในกลมุ่ เดียวกนั จะเปน็ ภาษาท่ผี สมภาษาพูดกบั ภาษาเขยี น
มักใช้ในการประชมุ กล่มุ หรือการอภปิ รายกลุ่ม การบรรยายในชัน้ เรียน ขา่ ว บทความในหนงั สอื พิมพ์ เนื้อหามกั
เปน็ ความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชวี ิตประจำวนั
กจิ ธุระต่างๆ รวมถงึ การปรึกษาหารอื รว่ มกนั

๔. ภาษาระดับสนทนา (ไม่เป็นทางการ) ภาษาระดบั นีม้ กั ใชใ้ นการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรอื กลุ่ม

บคุ คลไม่เกนิ ๔-๕ คนในสถานที่และท่ีไมใ่ ช่สว่ นตัว อาจจะเปน็ บุคคลทค่ี นุ้ เคยกนั
การเขียนจดหมายระหวา่ งเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนงั สือพิมพ์ โดยทว่ั ไปจะใช้ถอ้ ยคำ
สำนวนที่ทำให้รู้สึกคนุ้ เคยกันมากกวา่ ภาษาระดับทางการหรือภาษาท่ีใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนอื้ หาเป็นเร่อื งท่วั ๆ ไป
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธรุ ะต่าง ๆ รวมถงึ การปรกึ ษาหารอื หรือรว่ มกนั

๕. ภาษาระดบั กนั เอง (ภาษาปาก) ภาษาระดบั นี้มกั ใชก้ ันในครอบครัวหรือระหว่างเพอื่ นสนทิ สถานที่

ใช้มักเป็นพ้ืนที่สว่ นตวั เนอ้ื หาของสารไมม่ ขี อบเขตจำกดั มักใชใ้ นการพูดจากัน ไมน่ ิยมบนั ทึกเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร
ยกเว้น นวนิยายหรอื เรอื่ งสั้น

ใบงาน เร่ือง ระดบั ภาษา

➢ คำชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเขียนความหมายของระดับภาษามาให้สมบูรณ์

ระดบั ภาษา

หมายถึง................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

....................................................................................................

➢ คำชแี้ จง ให้นักเรยี นจบั คู่ประเภทระดบั ภาษา ดังตอ่ ไปน้ี

ใช้บรรยายหรืออภิปรายอยา่ ง ระดับกึ่งทางการ

เปน็ ทางการ ใช้ส่ือสารกันใน
งานพิธีตา่ ง ๆ เรียกอกี อย่างว่า

“ภาษาแบบแผน”

ใชใ้ นการประชมุ กล่มุ หรือการ ระดับทางการ
อภิปรายกลมุ่ ยอ่ ย หรอื ใช้ ระดับไมเ่ ปน็ ทางการ
สนทนากบั บคุ ลที่ไม่คุ้นเคย

เรยี กอกี อย่างว่า
“ภาษากึ่งแบบแผน”

ใชก้ นั ในครอบครัวหรอื ระหวา่ ง
เพอื่ นสนทิ มกั ในพ้นื ท่ีสว่ นตัว

เรยี กอีกอยา่ งวา่ “ภาษาปาก”

ชือ่ ...............................................................................ชนั้ ม.๓ เลขที่..............

ใบความรู้ เรอ่ื ง ความแตกต่างของระดับภาษา

ความแตกต่างของระดับภาษา หมายถึง สิ่งไม่เหมือนกัน ต่างกัน หรือแปลกออกไปของภาษาในบุคคล
ซง่ึ ความแตกต่างเป็นส่งิ ทท่ี ำให้เราสามารถแยกแยะภาษาในแต่ละระดับได้

ระดบั ภาษา บคุ คลและโอกาสที่ใช้ สมั พนั ธภาพระหว่างผพู้ ูด ลกั ษณะของสาร

พธิ ีการ ใชใ้ นที่ประชุมท่ีจัดขึ้น เป็นทางการ - มลี กั ษณะเป็นพิธรี ีตอง
อย่างเป็นพิธกี าร เช่น การ - ถอ้ ยคำเลือกเฟ้นอยา่ ง
ทางการ เปิดประชมุ การกล่าวอวย ไพเราะ มกั เตรยี มบทมา
ล่วงหน้า
ก่งึ ทางการ พร การกลา่ วปราศรยั ใชถ้ อ้ ยคำตรงไปตรงมา มงุ่ สู่
จดุ หมายอยา่ งรวดเร็ว มักมี
สนทนา ใชใ้ นการบรรยาย หรอื เป็นผ้อู ยใู่ นวงการ หรืออาชพี ศัพทท์ างเทคนคิ
(ไม่เป็น อภปิ รายอยา่ งเป็นทางการ เดียวกัน ติดต่อกันทางด้านธรุ กจิ
ทางการ) หนงั สือราชการ หนงั สอื ใน และการงาน เนือ้ หาเก่ียวกับความรู้ทวั่ ไป
การแสดงความคิดเห็นเชงิ
กันเอง วงการธุรกิจ วชิ าการ เรอ่ื งเก่ียวกับธุรกิจ
(ระดบั ปาก)
ใช้ในการประชมุ กลุ่มเลก็ ผู้พดู คุ้นเคยกนั มากกวา่ ระดบั -เป็นเรอื่ งทว่ั ๆ ไปใน
ทางการ ชีวติ ประจำวนั ไมจ่ ำกัดอยใู่ น
การบรรยายในหอ้ งเรียน เร่ืองวชิ าการ
ขา่ วและบทความใน - อาจมีถอ้ ยคำที่ใช้กนั เฉพาะ
หนังสือพมิ พ์ กลุ่ม

ใชใ้ นการสนทนาไม่เกนิ คุน้ เคยแต่ไมถ่ งึ กบั เปน็ เพอ่ื นสนิท -ไมม่ ขี อบเขตจำกัด
๔-๕ คน ที่เป็นการ -ไม่นิยมบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณ์
ส่วนตัว อักษร อาจมคี ำคะนอง

การเขียนจดหมายระหว่าง
เพอ่ื น การรายงานขา่ ว

และเสนอบทความใน
หนังสอื พมิ พ์

ใชก้ ันภายในครอบครวั คุ้นเคยสนทิ สนมมาก
ระหวา่ งเพ่ือนสนิท
สถานที่ใช้มกั เป็นท่ีสว่ นตัว

ใบงาน เรื่อง ความแตกตา่ งของระดับภาษา

➢ คำชแ้ี จง ให้นักเรียนยกตวั อยา่ งภาษาในระดบั ต่าง ๆ มาระดับละ ๒ ตวั อย่าง ตวั อย่างละไม่
ตำ่ กวา่ 3 บรรทดั

ภาษาระดบั พิธีการ
ตัวอย่าง

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

ภาษาระดับทางการ
ตวั อยา่ ง

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

ภาษาระดบั กึง่ ทางการ
ตวั อย่าง

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................

แบบประเมนิ ใบงาน เรอื่ ง คำทบั ศพั ท์

ช่อื .........................................แ..บ...บ..ป..ร..ะ.เ.ม..ิน..ใ..บ..ง..า.น....เ.ร.่อื..ง...ร.ะ..ดชับั้นภามษ.๓า เลขท่ี..............

ใบงาน เนร่อืกั เงรยีคนวชา้นั มมแัธตยกมตศ่าึกงษขาอปงที ร่ี 3ะด/บั 4ภาษา

➢ คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ งภาษาในระดบั ต่าง ๆ มาระดบั ละ ๒ ตัวอยา่ ง ตัวอย่างละไม่
ต่ำกว่า 3 บรรทดั

ภาษาระดบั ไม่เปน็ ทางการ
ตัวอย่าง

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

ภาษาระดับกันเอง (ภาษาปาก)
ตัวอยา่ ง

....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

แบบประเมนิ ใบงาน เรื่อง ระดับภาษา
นักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3

ความถูกตอ้ งของ

รายชือ่ ความหมายและประเภทของ รวม สรปุ ผล

ระดับภาษา (5 คะแนน)

543 2 1 ผา่ น ไม่ผ่าน

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คือ ๒.๕ คะแนนขนึ้ ไป จากคะแนนเตม็ ๕ จึงจะถอื วา่
ผา่ นเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสินระดับคุณภาพ ผลการประเมนิ

5 คะแนน ดมี าก ผ่าน
4 คะแนน ดี ผา่ น
2.5 - 3 คะแนน ผา่ น
2 คะแนน ปานกลาง ไม่ผา่ น
1 คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรบั ปรุง

แบบประเมนิ ใบงาน เรอื่ ง ความแตกต่างของระดบั ภาษา
นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3

รายการประเมนิ

ชอ่ื -สกุล ความ ูถก ้ตองของระ ัดบภาษา รวม สรุปผล
ความยาวของ ัตวอย่างท่ีนำมาครบ

ตาม ่ีทครูกำหนด
ผลงานสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ 6 ผา่ น ไมผ่ ่าน

หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ต้องได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื 3 คะแนนขึน้ ไป จากคะแนนเตม็ 6 จงึ จะถอื ว่า
ผา่ นเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมนิ

6 คะแนน ดมี าก ผา่ น
4 - 5 คะแนน ดี ผา่ น
ผ่าน
3 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ า่ น
1 - 2 คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรับปรุง
๐ คะแนน

แผนการจัดการเรยี นรู้

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 เรื่อง สรปุ เนื้อหาและวเิ คราะห์คณุ คา่ จากบทพากย์เอราวณั

รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ ชื่อรายวิชา ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลา 3 ชั่วโมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทย

อย่างเห็นคณุ ค่าและนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตจริง

ตัวชว้ี ัด

ท 5.๑ ม. ๓/๑. สรปุ เน้อื หาวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรมทอ้ งถิน่ ในระดับทย่ี ากยิ่งขึ้น
ท 5.1 ม. 3/๒. วเิ คราะหว์ ถิ ไี ทยและคุณค่าจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ีอา่ น

สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ชว่ั โมงที่ ๑

การถอดคำประพนั ธ์ คือ การเกบ็ ความจากคำประพนั ธ์มาเขียนใหม่เป็นภาษารอ้ ยแกว้
ทส่ี ละสลวย โดยตอ้ งคงเนอ้ื ความเดมิ ไว้ ซงึ่ ก่อนทน่ี กั เรียนจะสรปุ เนือ้ หาจากวรรณคดไี ด้นน้ั จำเปน็ จะตอ้ งถอด
ความจากร้อยกรองเป็นร้อยแกว้ เสยี กอ่ น เพื่อใหส้ ะดวกต่อการสรุปเนือ้ หาวรรณคดี

ช่ัวโมงที่ ๒
สรปุ เนอ้ื หาวรรณคดี คือ การสรปุ เร่ืองราวจากการฟังหรือการอ่าน ผู้ฟังหรอื ผู้อ่านจะต้องจบั ใจความ

และสรปุ ใจความสำคัญของเรื่อง เพอ่ื ทจี่ ะเปน็ พ้นื ฐานของการพูด หรือการเขยี นสรุปความตอ่ ไป โดยจะต้องจบั
ประเดน็ ใหไ้ ด้วา่ ใคร ทำอะไร ทีไ่ หน เมอ่ื ไร อย่างไร

ชั่วโมงท่ี 3

การวเิ คราะห์คณุ ค่าจากวรรณคดี คอื การพิจารณา แยกแยะและประเมินค่า โดยแสดงความคิดเหน็
อภิปรายขอ้ เท็จจรงิ ให้ผู้อ่นื ทราบวา่ ใครเปน็ ผแู้ ตง่ เปน็ เรื่องเกยี่ วกบั อะไร มีประโยชนอ์ ย่างไร มปี ระโยชน์ตอ่ ใคร ผู้

วเิ คราะห์มคี วามเห็นอย่างไร เรอ่ื งทอี่ ่านมคี ณุ ค่าด้านใด และแต่ละดา้ นสามารถนำไปประยุกต์ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อ
ชวี ติ ประจำวนั อย่างไร

สาระการเรียนร/ู้ เนอ้ื หาย่อย
ชว่ั โมงที่ ๑

ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลกั การถอดคำประพนั ธ์

ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นักเรียนสามารถถอดคำประพันธ์จากบทพากย์เอราวัณได้ถูกตอ้ งตามหลักการ

คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

นักเรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนไปเปน็ แนวทางในการถอดคำประพนั ธว์ รรณคดเี ร่อื งอ่ืน

ๆ ในอนาคตได้

ชว่ั โมงที่ ๒

ความรู้ (K)

นักเรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจในการสรปุ เนือ้ หาวรรณคดี

ทักษะ/กระบวนการ (P)

นกั เรยี นสามารถสรปุ เนือ้ หาจากบทพากยเ์ อราวณั ไดถ้ ูกต้องตามหลักการ

คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

นกั เรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรยี นไปเป็นแนวทางในการเขยี นสรปุ เนอ้ื หาจากวรรณคดเี รื่อง

อื่น ๆ ในการเรยี นระดับต่อไปได้

ช่ัวโมงที่ 3

ความรู้ (K)

นกั เรยี นมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในหลักการวิเคราะห์คุณค่าจากวรรณคดี

ทักษะ/กระบวนการ (P)

นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์คุณค่าจากบทพากยเ์ อราวัณไดถ้ ูกตอ้ ง คุณลักษณะอัน

พึงประสงค์ (A)

นกั เรยี นสามารถนำความรู้จากการเรยี นไปเป็นแนวทางในวเิ คราะห์คณุ ค่าในวรรณคดีเรื่องอ่นื ๆ

ในการเรียนระดบั ตอ่ ไปได้

จดุ เน้นสูก่ ารพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขียนได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทกั ษะด้านการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา (Critical Thinking and
Problem Solving)

ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทักษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทกั ษะด้านความร่วมมอื การทำงานเป็นทีมและภาวะผ้นู ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะด้านการสอื่ สาร สารสนเทศและรู้เท่าทันส่อื (Communications, Information, and
Media Literacy)

Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing and ICT

ทักษะอาชพี และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปลีย่ นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ช้นิ งานหรอื ภาระงาน

ช่ัวโมงที่ ๑
กิจกรรมถอดถอ้ ย รอ้ ยเรยี ง

ชั่วโมงท่ี ๒
ใบงานเร่อื ง สรปุ เนือ้ หาจากบทพากยเ์ อราวณั

ชั่วโมงท่ี 3

ใบงานเร่ือง วิเคราะหค์ ุณค่าจากบทพากยเ์ อราวัณ

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงท่ี ๑
ขน้ั นำ

ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรียน แลว้ ครูให้นักเรยี นดแู ผ่นภาพในมอื แลว้ ครูใชค้ ำถาม “นักเรยี นคดิ วา่ ตวั
ละครเรอื่ งนี้ คอื ใคร จากเรือ่ งอะไร” จากน้นั ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเหน็ โตต้ อบ

กบั ครู (K)
ขั้นสอน
๑. ครแู จกใบความรู้และให้ความรกู้ บั นักเรยี น เรอ่ื ง การถอดคำประพนั ธ์ จากน้ันครูอธบิ าย

ความหมายของการถอดคำประพนั ธ์ หลักการถอดคำประพันธ์ และครูยกตัวอยา่ งการถอดคำประพันธใ์ ห้นักเรยี นดู
เพ่อื ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจหลกั การถอดคำประพนั ธม์ ากขึ้น (K)

๒. ครใู หแ้ บง่ นักเรยี นออกเปน็ 5 กลุ่ม กลมุ่ ละ 5 คน ทำกิจกรรมถอดถ้อยรอ้ ยเรยี งโดยให้
นักเรียนถอดคำประพนั ธจ์ ากบทพากย์เอราวัณทค่ี รูกำหนดให้ถกู ตอ้ งตามหลักการถอดคำประพันธ์ (K, P)

๓. ครใู ห้นกั เรยี นออกมานำเสนอหน้าช้ันเรียนทุกกลุ่ม เพอื่ เป็นการแลกเปลีย่ นเน้อื หาซ่งึ กนั และ

กนั จากนน้ั ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเสนอแนะรายละเอียดเพมิ่ เติม (P, A)
ขนั้ สรปุ

ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปกจิ กรรม “ถอดถ้อย รอ้ ยเรยี ง” เป็นกจิ กรรมท่ีใหน้ กั เรยี นถอดคำ
ประพนั ธ์จากบทพากยเ์ อราวณั ใหถ้ ูกต้องตามหลักการ จากการทำกิจกรรมนักเรียนสามารถปฏบิ ตั ิได้อยา่ งถูกตอ้ ง
สะท้อนผลไดว้ ่านักเรยี นมีความร้คู วามเข้าใจในหลักการถอดคำประพนั ธ์ และสามารถถอดคำประพนั ธ์ให้ถูกตอ้ ง

ตามหลกั การได้ และสามารถนำความรทู้ ี่ไดจ้ ากการเรียนเรือ่ ง
การถอดคำประพนั ธ์ ไปเป็นแนวทางในการถอดคำประพันธจ์ ากวรรณคดีเรื่องอ่นื ๆ ในอนาคตได้

(K, P, A)

ชัว่ โมงท่ี ๒
ขนั้ นำ
ครูกลา่ วทกั ทายนักเรยี น แลว้ ครูเปดิ วิดีโอ “ตำนานสัตวห์ ิมพานต์ ตอน ช้างเอราวัณ” แลว้ ครใู ช้

คำถาม “นักเรียนเคยไดย้ นิ ชื่อชา้ งเอราวณั หรือไม”่ และ “นักเรียนทราบหรอื ไม่ว่าช้างเอราวัณมีลักษณะเปน็
อยา่ งไร” จากนนั้ ให้นกั เรียนแสดงความคดิ เห็นโต้ตอบกบั ครู (K)

ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความรู้กบั นักเรยี นเร่ือง สรุปเน้อื หาวรรณคดี จากนั้นครูอธบิ าย

ความหมายของการสรปุ เน้ือหา หลักการสรปุ เน้ือหา และครูยกตวั อยา่ งการสรปุ เนื้อหาวรรณคดี เพื่อใหน้ กั เรยี น
เขา้ ใจการสรปุ เน้ือหาท่ีถกู ตอ้ งตามหลกั การมากยงิ่ ข้นึ (K)

๒. ครใู ห้นักเรียนทำใบงาน เรอื่ ง สรุปเน้ือหาจากบทพากยเ์ อราวณั โดยใหน้ ักเรียนเขยี นสรปุ
เน้อื หาจากบทพากย์เอราวัณท่ีครูพาถอดคำประพันธม์ าให้ถูกต้องตามหลักการ (K,P)

๓. ครูใหน้ กั เรียนออกมานำเสนอหน้าชัน้ เรยี น โดยเลือกจากการสุ่มจากสญั ลักษณด์ า้ นหลงั ใบงาน
จำนวน 1 คน จากน้นั ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ (P, A)

ข้ันสรปุ
ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปใบงาน “สรปุ เน้ือหาจากบทพากยเ์ อราวัณ” เป็นใบงานท่ีใหน้ กั เรียน

สรุปเน้อื หาวรรณคดีให้ถูกตอ้ งตามหลกั การ จากการทำกิจกรรมนกั เรยี นสามารถปฏิบตั ิได้
อย่างถูกต้อง สะท้อนผลได้ว่านักเรียนมีความรคู้ วามเข้าใจในหลักการสรปุ เนอื้ หาจากวรรณคดี
สามารถสรปุ เน้อื หาจากวรรณคดีไดถ้ กู ตอ้ งตามหลักการ และสามารถนำความรู้จากการเรยี น
เร่ือง การสรุปเนื้อหาจากบทพากย์เอราวัณ เขียนสรุปเน้อื หาจากวรรณคดีเรอ่ื งอนื่ ๆ ในการเรียนระดับตอ่ ไปได้ (K,
P, A)

ช่ัวโมงที่ 3
ขั้นนำ
ครูกล่าวทกั ทายนกั เรยี น แลว้ ครูใช้คำถาม“นกั เรียนคดิ ว่าวรรณคดี สะท้อนวถิ ีชวี ติ

และวฒั นธรรมของคนในสมัยกอ่ นหรอื ไม่ อย่างไร” จากนัน้ ให้นักเรยี นแสดงความคิดเหน็ โต้ตอบ
กับครู (K)

ขน้ั สอน
๑. ครแู จกใบความรู้ ให้ความร้กู บั นักเรยี น เรอื่ ง วิเคราะห์คณุ ค่าจากวรรณคดี จากนั้นครอู ธิบาย

ความหมายของวิเคราะหค์ ุณค่าจากวรรณคดี หลักการวเิ คราะห์คณุ ค่าจากวรรณคดี และครูยกตัวอย่างการ
วเิ คราะหค์ ุณคา่ จากวรรณคดี เพือ่ ใหน้ ักเรียนเข้าใจการวเิ คราะห์คณุ ค่าจากวรรณคดี
ทถ่ี กู ตอ้ งตามหลักการมากยง่ิ ข้ึน (K)

๒. ครูให้นกั เรียนทำใบงาน เร่ือง วิเคราะห์คุณคา่ จากบทพากยเ์ อราวณั โดยให้นกั เรยี นวิเคราะห์
คุณค่าจากบทพากย์เอราวณั ให้ถกู ต้อง (P, K)

๓. ครูใหน้ ักเรยี นออกมานำเสนอหน้าช้ันเรียน โดยเลอื กจากการสมุ่ สัญลักษณ์ด้านหลงั ใบงาน
จำนวน 1 คน จากนนั้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิ่มเติม (P, A)

ขนั้ สรุป
ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปใบงาน วเิ คราะห์คุณค่าจากบทพากย์เอราวัณ เป็นใบงาน

ท่ีใหน้ ักเรยี นวิเคราะห์คณุ คา่ จากวรรณคดีให้ถูกต้องตามหลักการ จากการทำกจิ กรรมนักเรียนสามารถปฏบิ ัติได้
อย่างถูกต้อง สะทอ้ นผลไดว้ า่ นักเรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจในการวเิ คราะหค์ ุณค่าจากบทพากย์เอราวัณ สามารถวิ

เคราะคณุ คา่ จากวรรณคดีไดถ้ ูกต้องตามหลกั การ และสามารถนำความรู้จากการเรียนเร่ือง วเิ คราะห์คณุ ค่าจาก
วรรณคดี ไปเปน็ แนวทางในวิเคราะหค์ ุณค่าในวรรณคดเี รอื่ งอืน่ ๆ ในการเรยี นระดบั ต่อไปได้ (K, P, A)

การวดั ผลประเมินผล เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน
ช่ัวโมงที่ 1 กจิ กรรมถอดถ้อย ร้อยเรยี ง
ผ่านเกณฑ์การประเมิน
วธิ กี าร ร้อยละ ๕๐

ประเมินกิจกรรมถอดถอ้ ย ร้อยเรียง ใช้วิธีวดั ผล
จากการทำกจิ กรรมของนักเรียนแตล่ ะคน
โดยมีประเด็นในการวัดผล ไดแ้ ก่ ถอดความไดต้ รงกับ
ความหมายเดิม จับใจความได้ถูกต้องวา่ ข้อความน้ัน
กลา่ วถึงอะไร สามารถนำคำสามญั ที่มคี วามหมาย
ตรงกนั มาแทนได้ ใช้สรรพนามบุรุษท่ี 1, 2 หรือ 3
ตามบทประพันธ์ และลำดับเนอ้ื ความตามบทเดมิ
(ประเดน็ ของแตล่ ะคน) จากนนั้ นำผลการประเมินมา
เป็นข้อมลู ในการปรบั ปรงุ และพัฒนานกั เรียน และการ
จัดการเรียนการสอนของครูในคร้ังต่อ ๆ ไป

ชัว่ โมงท่ี ๒ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมนิ

วิธีการ ใบงานเร่อื ง สรปุ เนื้อหาจากบท ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
พากยเ์ อราวัณ ร้อยละ ๕๐
ประเมินใบงานเรอ่ื ง สรปุ เนอื้ หาจากบทพากยเ์ อราวณั
ใชว้ ธิ วี ัดผลจากการทำใบงานของนกั เรียนแตล่ ะคน
โดยมปี ระเดน็ ในการวัดผล ไดแ้ ก่ จบั ใจความสำคัญได้
อย่างถกู ต้อง สรุปเนื้อหาไดต้ รงตามคำประพันธ์ เขยี น
สรุปด้วยภาษาที่สละสลวย ไพเราะและเป็นสำนวน
ภาษาของตนเอง ลำดับเรอื่ งราวได้อยา่ งถูกตอ้ ง และ
แทนสรรพนามบรุ ษุ ท่ี 1, 2 และ 3 ได้อย่างถกู ตอ้ ง
(ประเด็นของแต่ละคน) จากน้นั นำผลการประเมินมา
เปน็ ข้อมลู ในการปรับปรงุ และพัฒนานกั เรยี น และการ
จัดการเรียนการสอนของครใู นครงั้ ตอ่ ๆ ไป

ช่ัวโมงท่ี 3 เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ

วธิ ีการ ใบงานเรอ่ื ง วิเคราะหค์ ณุ ค่า ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
จากบทพากย์เอราวัณ ร้อยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงานเรือ่ ง วิเคราะหค์ ุณค่าจากบทพากย์
เอราวณั ใชว้ ิธีวัดผลจากการทำใบงานของนกั เรียน
แต่ละคน โดยมปี ระเด็นในการวัดผล ได้แก่ วเิ คราะห์
คณุ ค่าได้ถกู ตอ้ งตรงตามประเภท เขียนวเิ คราะห์ด้วย
ภาษาทสี่ ละสลวย ลำดับการเขียนได้ถูกตอ้ ง วเิ คราะห์
ดว้ ยความสมเหตุสมผล และผลงานสะอาดเรียบร้อย
(ประเดน็ ของแต่ละคน) จากนั้นนำผลการประเมนิ มา
เป็นขอ้ มูลในการปรบั ปรงุ และพฒั นานกั เรยี น
และการจดั การเรียนการสอนของครใู นครง้ั ตอ่ ๆ ไป

สื่อการเรียนรู้
ชว่ั โมงท่ี ๑
๑. ใบความรู้ เรือ่ ง การถอดคำประพันธ์
๒. ใบงาน เร่ือง “ถอดถอ้ ย รอ้ ยเรียง”
ชั่วโมงท่ี 2
1.ใบความรู้ เร่อื ง สรปุ เนือ้ หาวรรณคดี
2. ใบความรู้ เรื่อง สรุปเนื้อหาจากบทพากยเ์ อราวณั
ช่ัวโมงท่ี 3
๑. ใบความรู้ เร่อื ง การวิเคราะห์คุณค่าจากวรรณคดี
๒. ใบงาน เรือ่ ง วิเคราะหค์ ุณคา่ จากบทพากย์เอราวณั

ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ สถานศกึ ษาหรือผทู้ ีไ่ ด้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ................................................................
(...............................................................)

วนั ท่ี.........../...................../...........

บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชื่อ.................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซ้ง)

วนั ที.่ ............./......................./...............

ใบความรู้
เร่ือง การถอดคำประพันธ์

การถอดคำประพนั ธ์ คอื การเก็บความจากคำประพันธ์มาเขยี นใหมเ่ ป็นภาษาร้อยแก้ว

ที่สละสลวย โดยตอ้ งคงเนอ้ื ความเดิมไว้ ซึ่งก่อนทน่ี ักเรยี นจะสรปุ เนอ้ื หาจากวรรณคดไี ด้นน้ั จำเป็นจะตอ้ งถอด
ความจากร้อยกรองเปน็ ร้อยแกว้ เสียก่อน เพ่อื ให้สะดวกตอ่ การสรุปเน้ือหาวรรณคดี

หลกั การถอดคำประพนั ธ์

หลักการถอดคำประพนั ธ์ ประกอบไปดว้ ย
1. อ่านขอ้ ความนั้นใหจ้ บ จบั ใจความให้ถูกต้องว่าข้อความนัน้ กล่าวถึงอะไร

2. คำศัพท์ต่าง ๆ ต้องหาคำสามัญท่มี ีความหมายตรงกันมาแทน
3. การถอดคำศพั ทไ์ มใ่ ช่อธบิ ายความ จงึ ต้องเขียนให้ตรงกบั ความหมายเดมิ อย่าเพมิ่ ความหมายหรอื

เร่อื งใหม่ให้เกินจากตอนเร่ืองเดิม
4. ตอ้ งถอดความใหไ้ ด้ลกั ษณะเดมิ ของคำประพนั ธน์ น้ั ๆ
5. หากไม่อาจหาคำใดท่ีมีความหมายดแี ละตรงกับคำในบทเดิมก็ไดใ้ ช้คำในบทเดิม

6. ถา้ บทประพนั ธเ์ ป็นรอ้ ยแกว้ ทีม่ ีประโยคซบั ซ้อนยดื ยาวตอ้ งพยายามแยกประโยคนน้ั ออกเปน็ ประโยค
งา่ ย ๆ

7. ถา้ ในบทประพันธ์ใช้สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 2 หรอื 3 ในบทที่ถูกถอดให้คงใช้สรรพนามเดมิ
8. ควรลำดบั เนือ้ ความตามบทเดมิ อย่าสลบั ความเปน็ อย่างอ่นื

ตัวอย่าง เหมือนองค์อมรินทร์
อินทรชติ บนิ เบือนการยนิ เผอื กผอ่ งผิวพรรณ

ทรงคชเอราวัณ
ช้างนริ มติ ฤทธแิ รงแข็งขัน

สสี ังข์สะอาดโอฬาร์

ถอดคำประพันธ์ไดด้ งั น้ี
อินทรชิตแปลงกายเหมอื นพระอินทร์ ทรงช้างเอราวณั ช้างแปลงมีพละกำลงั และแขง็ แรงมาก

มสี ีขาวเผือกเหมอื นสขี องสังข์

ใบความรู้
เรือ่ ง สรปุ เนอื้ หาวรรณคดี

สรุปเนื้อหาวรรณคดี คือ การสรุปเรอื่ งราวจากการฟงั หรือการอา่ น ผู้ฟังหรอื ผ้อู า่ นจะตอ้ ง
จับใจความและสรุปใจความสำคัญของเรอื่ ง เพื่อที่จะเป็นพน้ื ฐานของการพูด หรือการเขียนสรปุ ความต่อไป โดย
จะต้องจบั ประเดน็ ใหไ้ ดว้ า่ ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมอื่ ไร อย่างไร

หลักการสรปุ เนื้อหาวรรณคดี

๑. ต้ังจุดมุง่ หมายในการอ่านหรือฟงั ใหช้ ดั เจน ว่าอา่ นหรือฟงั ไปทำไมและวรรณคดเี รือ่ งนนั้
เป็นเรอื่ งใด

๒. ในกรณที ่อี ่านควรเรื่องราวอย่างครา่ ว ๆ พอเขา้ ใจ และเกบ็ ใจความสำคญั ของแต่ละยอ่ หน้า
ส่วนการฟงั ใหฟ้ งั อยา่ งตงั้ ใจและพยายามจนิ ตนาการเหตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ข้ึนในเรอ่ื ง ซง่ึ ถา้ จะใหด้ ีควรมกี ารจดบันทึก
เหตุการณ์ที่สำคญั ของเรอ่ื งไวด้ ้วย

๓. เมื่ออา่ นจบให้ต้งั คำถามกับตนเองวา่ เรือ่ งทีอ่ ่านมีใคร ทำอะไร ทไี่ หน เม่อื ไหร่และอยา่ งไร
๔. นำสิง่ ทไี่ ด้มาเขยี นหรอื เลา่ สรปุ โดยเรียบเรยี งใจความสำคญั ใหม่ดว้ ยสำนวนของตนเองเพ่อื ใหเ้ กิดความ
สละสลวย
➢ วธิ กี ารสรุปเนื้อหาวรรณคดี

วิธสี รุปเนอื้ หาจากเรอ่ื งที่อ่านข้ึนอยกู่ บั ความชอบว่าจะทำอยา่ งไร เช่น ขดี เสน้ ใต้ หรอื ตีเส้นล้อม
กรอบข้อความสำคัญ การใช้สีตา่ ง ๆ แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การทำบันทกึ ย่อ
ก็เปน็ ขบวนการสว่ นหน่ึงของการสรปุ เนื้อหาทด่ี ีและไดผ้ ล แตผ่ ู้อา่ นควรสรุปเรอ่ื งด้วยภาษาและสำนวนของตนเอง
ไมค่ วรสรุปเรือ่ งดว้ ยการตดั เอาความสำคญั มาเรียงต่อกนั เพราะวธิ นี ้ีอาจทำให้ผอู้ า่ นพลาดสาระสำคัญบางตอนไป
อนั เป็นเหตุใหก้ ารตีความผิดพลาดคลาดเคลือ่ นได้
ตวั อยา่ งการสรปุ เน้อื หา

นทิ านเรื่อง กระต่ายกับเต่า
ณ ป่าใหญแ่ ห่งหนึ่ง กระตา่ ยตวั หน่ึงมกั ชอบโอ้อวดวา่ ตนเป็นผู้ที่วิ่งได้เร็วท่ีสุด อยู่มาวนั หนึ่งกระต่ายเห็น
เต่ากำลงั คลานตว้ มเตยี้ มอย่างช้า ๆ กระตา่ ยจงึ หวั เราะเยาะแล้วพูดวา่ “นเี่ จ้าเต่า ถา้ เจ้าเดินช้าอยา่ งนี้ แลว้ เม่อื ไร
จะกลับถึงบ้านละ่ นี่” เต่าจึงตอบกลับไปในทันทวี ่า “ถงึ ข้าจะเดินช้า แต่ขา้ กก็ ลับถงึ บา้ นทุกวนั เรามาลองวิ่งแข่ง
กนั ม้ัยล่ะ แลว้ ขา้ จะเอาชนะเจ้าใหด้ ”ู กระต่ายนนั้ ม่ันใจว่าเต่าไม่มที างเอาชนะตนได้เปน็ แน่จึงรับคำทา้ วนั รงุ่ ขนึ้
สัตวต์ ่าง ๆ กพ็ ร้อมใจพากันมาดูการวง่ิ แขง่ ขนั ระหว่างกระตา่ ยกบั เต่า เมือ่ การแข่งขันได้เร่ิมขน้ึ กระตา่ ยวิ่งอยา่ งสดุ
ฝีเท้าเพ่อื ไปใหถ้ งึ เส้นชยั สว่ นเตา่ กพ็ ยายามคลานไปเรอื่ ย ๆ ในขณะทกี่ ระตา่ ยวงิ่ ไปจนใกล้จะถงึ เสน้ ชัยแล้วก็คิดว่า
ถึงอย่างไรเสยี ตนกต็ อ้ งเป็นผู้ชนะแนน่ อน กระตา่ ยจงึ นงั่ พักอยใู่ ต้ต้นไมแ้ ละเผลอหลับไป สว่ นเต่ากค็ ลานต้วมเต้ียม
จนมาถึงเส้นชัย กระตา่ ยเมอื่ ตืน่ ข้นึ มาก็มองซ้ายมองขวาแลว้ รบี ว่งิ ไปยังเส้นชัยด้วยความเร็ว แต่ก็สายเกนิ ไปเสีย
แลว้ เพราะสตั ว์ป่าทง้ั หลายกำลังแสดงความยินดีกบั เตา่ ที่เป็นผชู้ นะ

จากนิทานข้างต้นสรปุ เน้อื หาได้วา่

กระต่ายเหน็ เตา่ เดนิ ตว้ มเตยี มจึงหวั เราะเยาะ เตา่ จึงท้ากระตา่ ยวง่ิ แขง่ เมื่อการแข่งขนั ได้เริ่มขน้ึ
กระต่ายว่ิไปจนใกล้ถงึ เสน้ ชัยก็ชะลา่ ใจจึงพกั อย่ใู ต้ต้นไม้และเผลอหลับ เต่าท่ีค่อยคลานจงึ เข้า
เสน้ ชยั และเป็นผู้ชนะ

ใบความรู้
เรอ่ื ง การวเิ คราะห์คุณคา่ ของวรรณคดี

การวเิ คราะหค์ ุณคา่ จากวรรณคดี คือ การพจิ ารณา แยกแยะและประเมินค่า โดยแสดง
ความคิดเหน็ อภิปรายขอ้ เทจ็ จริงให้ผู้อื่นทราบว่าใครเปน็ ผแู้ ตง่ เปน็ เรือ่ งเกย่ี วกบั อะไร มปี ระโยชนอ์ ย่างไร มี
ประโยชน์ต่อใคร ผูว้ ิเคราะห์มีความเห็นอยา่ งไร เรือ่ งทอี่ า่ นมคี ณุ คา่ ด้านใด และแต่ละด้านสามารถนำไปประยกุ ต์ให้
เกิดประโยชนต์ ่อชีวิตประจำวันอย่างไร

หลักการวเิ คราะห์คณุ คา่ จากวรรรคดี

การวิเคราะหค์ ุณค่าของวรรณคดี แบง่ เป็น 4 ประเภท ได้แก่
๑. คณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หา การพจิ ารณาเน้อื หาท่ีใหค้ ุณประโยชน์ ซึง่ ผู้อ่านควรอา่ น

อย่างมวี จิ ารณญาณ หาคณุ ค่าของวรรณคดอี ย่างมีหลักเกณฑ์ สำหรับแนวทางในการวเิ คราะห์คุณค่าด้านเนอื้ หา มี
หลายประการ ดงั นี้

๑.๑ ควรพิจารณาวา่ ผู้แตง่ มีจดุ มงุ่ หมายอยา่ งไร เนอ้ื เร่ืองมแี นวคิดให้คำสอน คติธรรม ข้อเตือนใจ
หรือใหแ้ นวทางในการดำเนินชีวิตอยา่ งไร

๑.๒ พิจารณาภาพสะทอ้ นของสังคม วิถีชีวิตความเปน็ อยู่ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี
ความเชอื่ และคา่ นยิ มต่าง ๆ ในสมัยของผแู้ ตง่

๑.๓ พิจารณาคุณค่าในดา้ นความรู้ท่ีจะชว่ ยเสรมิ สรา้ งสตปิ ญั ญาแกผ่ ู้อ่าน
๒. คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์ คอื ความไพเราะของบทประพันธ์ คำวา่ “วรรณศิลป์” หมายถงึ ลกั ษณะ
ดีเด่นทางด้านวิธแี ตง่ การเลอื กใช้ถอ้ ยคำ สำนวน ลลี า ประโยค และความเรียงตา่ ง ๆ ทป่ี ระณีต งดงาม หรือมี
รสชาตเิ หมาะสมกบั เนือ้ เรอ่ื งเป็นอย่างดี ทำใหค้ นอ่านไดร้ ับผลในทางอารมณ์ความรสู้ กึ เชน่ เกิดความสดชืน่ เบิก
บาน ขบขนั เพลิดเพลิน ขบคิด เศร้าโศก ปลุกใจ หรอื เกิดอารมณต์ ามทผี่ ู้เขียนตอ้ งการสรา้ งใหเ้ กิดข้นึ ในตวั ผู้อา่ น

2.1 การใชถ้ ้อยคำ พจิ ารณาการเลือกใช้คำท่ีสื่ออารมณ์ ความรู้สึกไดอ้ ยา่ งงดงาม เหมาะสมกบั
เน้ือเรื่องและฐานะของตวั ละคร

2.2 การใช้โวหาร ภาพพจน์ พิจารณาถึงสำนวนโวหาร หรอื ภาพพจน์ทท่ี ำใหเ้ กดิ ความรู้สึกคลอ้ ย
ตาม

2.3 การเลน่ เสยี ง พจิ ารณาถงึ เสยี งของคำประพนั ธ์
2.4 ลีลาการประพนั ธ์ พิจารณาจากรสในวรรณคดี
๓. คณุ คา่ ดา้ นสงั คม วรรณคดีและวรรณกรรมจะสะท้อนให้เหน็ สภาพของสังคมและวรรณคดที ี่ดี
สามารถจรรโลงสังคมไดอ้ กี ดว้ ย
4. ขอ้ คิดท่สี ามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ผ้อู า่ นสามารถนำแนวคดิ และประสบการณ์
จากเร่อื งทอ่ี า่ นไปประยุกตใ์ ชห้ รือแกป้ ัญหาในชวี ติ ประจำวันได้

ใบกจิ กรรม
“ถอดถ้อย ร้อยเรยี ง”

คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นถอดคำประพันธจ์ ากบทพากย์เอราวณั ที่ครกู ำหนดใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักการ

ถอดคำประพันธ์

............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
................................................................................................................................................................. ......................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................................... .
............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
................................................................................................................................................................ .......................

ถอดคำประพันธ์
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

ชื่อ.....................................................................................................................ชน้ั ....................เลขท่.ี ..................

ใบงาน
สรปุ เน้อื หาจากบทพากยเ์ อราวัณ

คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนสรุปเนอื้ หาจากบทพากยเ์ อราวัณ

............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
................................................................................................................................................................. ......................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................................... .
............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
................................................................................................................................................................ .......................

........................................................................................................... ............................................................................
............................................................................................................................. ....................................................... ...
............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
.............................................................................................................................................................. .........................
.......................................................................................................... .............................................................................

ช่อื .....................................................................................................................ชั้น....................เลขท่ี...................

ใบงาน
เรื่อง วิเคราะห์คณุ ค่าจากบทพากย์เอราวณั

คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนวิเคราะหค์ ณุ ค่าจากบทพากย์เอราวณั ใหถ้ กู ต้อง พร้อมทง้ั ยกตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ประกอบ

1. คณุ ค่าด้านเนอื้ หา

............................................................................................................................. .........................................
.......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
.................................................................................................................................................................................. .....
..................................................................................

2. คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์

............................................................................................................................................... .......................
............................................................................................................ ...........................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
.......................................................................................................................................................................................
..................................................................................

3. คณุ คา่ ดา้ นสังคม

..................................................................................................................................................................... .
............................................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
................................................................................................................................................. ......................................
.......................................................................................................................................................................................
..................................................................................

4. ขอ้ คดิ ทส่ี ามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั

............................................................................................................................................................. .........
.......................................................................................................................... .............................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
......................................................................................................................................... ..............................................
.......................................................................................................................................................................................
................................................................................

ช่อื .....................................................................................................................ชนั้ ....................เลขที่...................

ชอ่ื -สกลุ

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไมผ่ า่ น ๑. ถอดความได้ตรงกบั ความหมายเดิม แบบประเมนิ กจิ กรรม “ถอดถ้อย ร้อยเรยี ง”
นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
๒. จบั ใจความไดถ้ ูกต้องวา่ ข้อความนัน้
กล่าวถงึ อะไร รายการประเมนิ

๓. สามารถนำคำสามัญทีม่ คี วามหมาย รวม สรุปผล
ตรงกนั มาแทนได้

๔. ใชส้ รรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 2 หรือ 3
ตามบทประพนั ธ์

๕. ลำดับเนอ้ื ความตามบทเดมิ

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื วา่
ผ่านเกณฑ์

แบบประเมินใบงาน สรุปเนอ้ื หาจากบทพากยเ์ อราวณั
นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3

รายการประเมนิ

ชอ่ื -สกุล ๑. ัจบใจความสำ ัคญไ ้ดอย่าง ูถก ้ตอง รวม สรุปผล
๒. ส ุรปเ ้ืนอหาไ ้ดตรงตามคำประพัน ์ธ
๓. เขียนสรุป ้ดวยภาษาที่สละสลวย
ไพเราะ เ ็ปนสำนวนภาษาของตนเอง
๔. ลำ ัดบเ ืร่องราวไ ้ดอย่าง ูถก ้ตอง
๕. แทนสรรพนาม ุบ ุรษที่ 1, 2 และ 3
ไ ้ดอ ่ยาง ูถก ้ตอง

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไมผ่ ่าน

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้นึ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื วา่
ผ่านเกณฑ์

แบบประเมินใบงาน วเิ คราะห์คุณค่าจากบทพากย์เอราวณั
นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3

รายการประเมนิ

ชอ่ื -สกลุ ๑. วิเคราะห์คุณ ่คาไ ้ด ูถก ้ตองตรงตาม รวม สรุปผล
ประเภท
๒. เขียนวิเคราะห์ ้ดวยภาษาที่
สละสลวย
๓. ลำ ัดบการเขียนไ ้ด ูถก ้ตองไ ่ม ัสบสน
๔. วิเคราะห์ ้ดวยความสมเห ุตสมผล
๕. ผลงานสะอาดเรียบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผา่ น

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จึงจะถือวา่
ผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมินกจิ กรรม ถอดถ้อยรอ้ ยเรยี ง

รายละเอียดการประเมิน ระดบั คะแนน

๒๑

๑. ถอดความได้ตรงกับ สามารถถอดใจความได้ตรงกบั สามารถถอดใจความได้ตรงกบั

ความหมายเดมิ ความหมายเดมิ ไมผ่ ิดเพ้ยี นไปจาก ความหมายเดมิ อาจจะมีผิดเพ้ียนไป

คำประพนั ธ์ จากคำประพนั ธบ์ ้างเลก็ นอ้ ย

๒. จับใจความได้ถูกต้องวา่ สามารถจับใจความได้ถกู ต้อง สามารถจับใจความไดว้ า่ ขอ้ ความนนั้

ข้อความนั้นกล่าวถงึ อะไร วา่ ขอ้ ความนั้นกลา่ วถึงอะไร มีใคร กล่าวถงึ อะไร มใี คร ทำอะไร

ทำอะไร ท่ีไหน อย่างไร มใี จความ ทไี่ หน อยา่ งไร แตย่ ังมใี จความสำคญั

สำคัญครบถ้วน ไม่ครบถว้ น

๓. สามารถนำคำสามญั ที่มี สามารถนำคำสามญั ที่มีความหมาย สามารถนำคำสามัญท่มี ีความหมาย

ความหมายตรงกันมาแทนได้ ตรงกนั มาแทนได้ โดยที่ความน้นั ยงั ตรงกนั มาแทนได้ แตค่ วามน้นั อาจ

มีเน้อื ความตามเดมิ มเี น้ือความไมต่ รงตามเดิม

๔. ใช้สรรพนามบุรุษท่ี 1 2 สามารถใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 2 สามารถใชส้ รรพนามบรุ ุษท่ี 1 2

หรอื 3 ตามบทประพันธ์ หรอื 3 ตามบทประพนั ธ์ได้ถูกตอ้ ง หรอื 3 ตามบทประพนั ธ์ได้ แต่

อาจจะมบั สน และใชไ้ ม่ถูกบา้ ง

เล็กน้อย

๕. ลำดบั เนอ้ื ความตามบทเดมิ สามารถลำดับเนอ้ื ความได้ตามบท สามารถลำดบั เนอ้ื ความได้ตามบท

เดมิ ไมส่ ับสน วกไปวนมา เดมิ แตอ่ าจสับสน วกไปวนมาบา้ ง

เกณฑก์ ารประเมินใบงาน สรุปเนอื้ หาจากบทพากย์เอราวัณ

รายละเอยี ดการประเมิน ระดบั คะแนน

๑. จับใจความสำคญั ได้อย่าง ๒๑
ถกู ต้อง
สามารถจับใจความสำคัญไดอ้ ยา่ ง สามารถจับใจความสำคัญได้ สรุปได้
๒. สรปุ เนือ้ หาได้ตรงตามคำ
ประพันธ์ ถกู ตอ้ ง สรุปได้วา่ ใคร ทำอะไร ที่ วา่ ใคร ทำอะไร ทีไ่ หน เม่ือไหร่

๓. เขียนสรุปดว้ ยภาษาที่ ไหน เม่ือไหร่ อย่างไร อย่างไร แตอ่ าจจะไม่ครบถ้วน
สละสลวย ไพเราะและเป็น
สำนวนภาษาของตนเอง สมบูรณ์
๔. ลำดบั เรื่องราวไดอ้ ยา่ ง
ถกู ตอ้ ง สามารถสรปุ เน้ือหาไดต้ รงตามคำ สามารถสรุปเนื้อหาได้ตรงตามคำ

๕. แทนสรรพนามบุรุษที่ 1, 2 ประพันธ์ ไมผ่ ดิ เพยี้ นไปจากเดิม ประพนั ธ์ อาจมีผิดเพี้ยนไปจากเดิม
และ 3 ไดอ้ ย่างถูกต้อง
เลก็ นอ้ ย

สามารถเขียนสรุปด้วยภาษาท่ี สามารถเขียนสรุปด้วยภาษาที่

สละสลวย ไพเราะและเปน็ สำนวน สละสลวย แตอ่ าจเขยี นไม่เป็น

ภาษาของตนเอง สำนวนภาษาของตนเอง

สามารถลำดบั เรือ่ งราวได้เป็นอย่าง สามารถลำดบั เรอ่ื งราวไดเ้ ปน็ อย่างดี

ดี ถกู ต้องตรงตามเน้ือเรอ่ื ง ไม่ ถูกต้องตรงตามเนอื้ เรอ่ื ง แตอ่ าจมี

สับสนวกไปวนมา สบั สนวกไปวนมาบ้าง

สามารถใชส้ รรพนามบุรุษที่ 1 2 สามารถใชส้ รรพนามบรุ ษุ ที่ 1 2

หรอื 3 ตามบทประพนั ธ์ไดถ้ กู ตอ้ ง หรือ 3 ตามบทประพนั ธ์ได้ แต่

อาจจะมับสน และใช้ไมถ่ กู บ้าง

เลก็ นอ้ ย

เกณฑก์ ารประเมินใบงาน วเิ คราะหค์ ณุ คา่ จากบทพากยเ์ อราวณั

รายละเอยี ดการประเมิน ระดบั คะแนน

๒๑

๑. วิเคราะห์คุณคา่ ไดถ้ ูกต้อง สามารถวิเคราะหค์ ุณค่าไดถ้ ูกตอ้ ง สามารถถอดใจความได้ตรงกับ

ตรงตามประเภท ตรงตามประเภท ความหมายเดมิ อาจจะมีผดิ เพย้ี นไป

จากคำประพนั ธ์บ้างเล็กนอ้ ย

๒. เขยี นวิเคราะห์ด้วยภาษาที่ สามารถเขียนวิเคราะห์ดว้ ยภาษาท่ี สามารถเขยี นวิเคราะห์ด้วยภาษาที่

สละสลวย สละสลวย ไพเราะ ใช้คำได้ สละสลวย แตย่ ังไม่ไพเราะ และใช้คำ

เหมาะสมกับการวเิ คราะห์ ไม่ค่อยเหมาะสมกบั การวิเคราะห์

๓. ลำดบั การเขียนไดถ้ กู ตอ้ งไม่ สามารถลำดับการเขียนได้ถูกตอ้ ง สามารถลำดับการเขยี นไดถ้ ูกต้อง แต่

สบั สน ไมส่ บั สน วกไปวกมา อาจมคี วามสับสน วกไปวกมาบา้ ง

๔. วเิ คราะหด์ ้วยความ สามารถวเิ คราะห์คุณคา่ ได้ สามารถวเิ คราะหค์ ุณคา่ ได้

สมเหตุสมผล สมเหตุสมผล ไมเ่ กินความเป็นจริง สมเหตุสมผล แต่อาจเกนิ ความเป็น

และสามารถให้เหตุและผลที่ จริงไปบา้ ง สามารถให้เหตุและผลท่ี

น่าเชอ่ื ถอื ได้ นา่ เชอ่ื ถอื

๕. ผลงานสะอาดเรยี บรอ้ ย ผลงานมคี วามสะอาดเรียบรอ้ ย ไม่ ผลงานมคี วามสะอาดเรียบร้อย มี

มรี อยเป้อื น รอยเป้ือนเล็กน้อย


Click to View FlipBook Version