The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.1 ภาคเรียนที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฤทธิเดช สกุลซ้ง, 2022-11-06 06:02:26

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.1 ภาคเรียนที่ 2

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.1 ภาคเรียนที่ 2

ใบความรู้
เร่ือง การเลา่ เรื่องจากการฟงั และดู

การเลา่ เรอ่ื ง คือ การถ่ายทอดประสบการณ์ ทัง้ ความคิด จินตนาการ ความรู้สึก ความต้องการและ
เจตนารมณข์ องผ้เู ลา่ เพ่ือให้ผูฟ้ ังรบั รู้และเกิดการตอบสนอง มสี ัมฤทธิ์ผลตามจดุ มุ่งหมายของผูเ้ ล่า การเลา่ เรือ่ ง
อาจใชว้ ธิ กี ารพดู หรือเขียนกไ็ ด้

จุดมุ่งหมายของการเล่าเรอื่ ง
การเล่าเรือ่ งมีจดุ มุ่งหมายสำคัญ ดงั นี้
๑. เพื่อความเพลดิ เพลนิ เช่น การเลา่ นิทาน การเลา่ เรอ่ื งขำขนั เป็นตน้
๒. เพอ่ื ให้ความรู้และอธบิ ายหลักเกณฑ์หรอื ข้อเสนอแนะต่าง ๆ
๓. เพื่อการสัง่ สอน อบรม ขอร้อง ขอความเหน็ ใจ
๔. เพอ่ื การเชิญชวนหรือชกั ชวนในเชิงการประชาสัมพันธ์
๕. เพอ่ื ปลกุ ใจ ชักจงู ใจ
๖. เพอื่ ใหผ้ ู้ฟงั หรือผู้อ่านเกิดจินตนาการ
๗. เพื่อแสดงความคิดเห็นและเสยี ดสีสงั คม

วิธีการพดู เลา่ เรื่อง
การเลา่ เรอ่ื งเปน็ การสอ่ื ความคิดระหวา่ งผเู้ ล่าและผ้ฟู งั ผู้เล่าทดี่ ีจงึ ควรเปน็ ผู้ท่มี ีความสามารถในการ

ถ่ายทอดความคิดใหแ้ กผ่ ฟู้ ังได้ดี โดยวิธกี ารทีเ่ หมาะสม
๑) คุณสมบัติของผู้เล่าเรอ่ื งท่ีดี ผู้เลา่ เร่อื งทดี่ ีควรมีคณุ สมบัติ ดงั นี้
๑. มบี ุคลิกภาพดี
๒. มีความจำดี รอบรเู้ กย่ี วกับเร่ืองท่เี ล่า
๓. นำ้ เสยี งชัดเจน ออกเสียงได้ถูกต้องตามอกั ขรวธิ ี
๔. มีอารมณด์ แี ละรกั ษาอารมณใ์ หป้ กตมิ นั่ คงได้
๕. มีมารยาทดี รู้จักกาลเทศะ
๖. มไี หวพริบ ปฏิภาณ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ได้
๗. มีความเช่ือมั่นในตนเอง สามารถแสดงท่าทาง อากัปกิริยาประกอบการเลา่ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
๘. ใชจ้ ิตวทิ ยาในการเข้าถึงผฟู้ ังกลุ่มตา่ ง ๆ ตลอดทั้งสมารถประเมินผฟู้ ังได้
๒) ข้ันตอนการพดู เล่าเร่ือง มดี งั น้ี
๑. การเลือกเรอื่ ง จะตอ้ งเลือกเน้อื หาให้เหมาะสมกบั กลมุ่ ของผู้ฟงั
๒. การใชน้ ้ำเสยี ง ตอ้ งเล่าให้ดังพอไดย้ นิ กันทั่วถึง ใชน้ ำ้ เสียงสอดคล้องกับอารมณ์ของเร่ืองที่เล่า
๓. การใชส้ หี นา้ ทา่ ทาง ผเู้ ล่าควรปรบั เปลย่ี นสีหน้าทา่ ทางให้สอดคล้องกับอารมณ์ของเร่อื ง
๔. การสร้างอารมณ์ ผู้เลา่ ควรสร้างอารมณ์ให้สอดคลอ้ งกบั เนื้อเรื่อง
๕. การใช้อปุ กรณ์ เรอื่ งบางเรื่องจะตอ้ งใชอ้ ปุ กรณป์ ระกอบการเล่า เช่น เสยี งประกอบ ภาพประกอบ

หุน่ จำลอง เปน็ ต้น

๖. การวิเคราะหผ์ ฟู้ ัง หลกั ทว่ั ไปในการวิเคราะหผ์ ู้ฟัง คอื คำนงึ ถงึ เพศ วยั ระดบั การศึกษา อาชพี
และรสนิยม การวเิ คราะห์ผ้ฟู ังจะทำให้ผู้พูดเลอื กเร่ืองได้สอดคล้องกับความต้องการของผฟู้ ัง

แผนการจัดการเรียนรู้

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ การอา่ นตีความจากนิทาน

รหัสวิชา ท ๒๑๑๐๒ ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ภาคเรียนท่ี ๒ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรแู้ ละความคดิ เพ่อื นำไปใชต้ ดั สินใจแกป้ ัญหาในการ

ดำเนนิ ชวี ติ และมีนสิ ัยรกั การอ่าน

ตวั ชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๕ ตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจากบริบท

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การอ่านตคี วาม คอื การอา่ นเพอ่ื พยายามเข้าใจความหมาย และถอดความรู้สึกอารมณ์สะเทอื นใจ จาก

ข้อความท่ีผเู้ ขยี นสอ่ื ใหอ้ ่านอาจจะตีความหมายได้ตรงกับความมุ่งหมายหรือเจตนา ของผเู้ ขียนกไ็ ด้ หรือบางครง้ั
อาจจะเข้าใจความหมายตามวธิ ขี องตนเอง โดยอาศัยพน้ื ความรเู้ ดิม ความสนใจ ประสบการณ์ ระดับสติปัญญา
และวัย

สาระการเรยี นร/ู้ เนื้อหาย่อย
ความรู้ (K)
นกั เรียนมคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกับความหมายและหลักการอา่ นตีความ
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถอธิบายเกยี่ วกบั หลกั การอ่านตีความได้
คุณลักษณะองั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรียนสามารถนำความรเู้ รือ่ งหลักการการอ่านตีความไปใช้เป็นแนวทางอ่านตคี วามในงานเขียนแต่

ละประเภทได้

จดุ เนน้ สกู่ ารพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขยี นได)้
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณและทักษะในการแก้ไขปญั หา

(Critical Thinking and Problem Solving)

ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทีมและภาวะผ้นู ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะด้านการสือ่ สาร สารสนเทศและรูเ้ ท่าทันสอ่ื (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing and ICT

Literacy)

ทักษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง (Change)

การประเมนิ ผลรวบยอด
ภาระงาน/ชน้ิ งาน

ใบงาน “อ่านตคี วามจากนิทาน”

กิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ

ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรียนพรอ้ มยกตัวอยา่ งคำวา่ “แกะดำ” จากน้นั ถามนักเรียนถงึ ความหมายที่
นกั เรียนร้จู กั มา เมอื่ นักเรียนรว่ มกันตอบคำถามแลว้ ครูจึงอธบิ ายใหน้ ักเรียนเขา้ ใจในเรอ่ื งการตคี วามแล้วจึงโยงเข้า
สูบ่ ทเรียนในขนั้ ตอ่ ไป (K)

ขน้ั สอน
๑. ครูอธิบายเนอื้ หาการอา่ นตีความ โดยอธบิ ายในส่วนของความหมาย จุดมงุ่ หมายของการอ่าน

ตีความ หลกั การและวธิ กี ารอา่ นตคี วาม (K)
๒. ครใู ห้นกั เรยี นทำใบงาน เร่อื ง อ่านตคี วามจากนิทาน โดยใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาเนื้อหานทิ านเรื่อง

สตกิ เกอรค์ นโง่ (K, P)

๓. ครูขอตวั แทนนกั เรียน ๒ คนออกมานำเสนองาน และเมอ่ื นักเรยี นนำเสนองานจบครูให้
ข้อเสนอแนะเพอื่ ให้นกั เรยี นปรบั ปรงุ และพัฒนาการอา่ นจบั ใจความตอ่ ไป (K, P)

ข้ันสรปุ
ครูให้นักเรียนร่วมกันสรปุ การทำใบงาน “อ่านตีความจากนิทาน” ซงึ่ เปน็ ใบงานทใ่ี ห้นกั เรียนแตล่ ะ

คนได้อา่ นตีความนทิ านท่คี รกู ำหนดไดอ้ ย่างถูกต้อง สะท้อนผลวา่ นกั เรยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจเก่ยี วกับการอา่ น

ตคี วาม และสามารถนำความรูไ้ ปเปน็ แนวทางในการอา่ นตีความเรอ่ื งอ่นื ๆ ได้
(K, P, A)

การวัดผลประเมนิ ผล เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ

วิธกี าร ใบงาน เรอ่ื ง “อ่านตีความจาก ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
นิทาน” รอ้ ยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงาน เร่ือง “อ่านตีความจากนิทาน” ใช้
วิธกี ารวดั ผลจากการทำใบงานของนกั เรยี นแตล่ ะคน
โดยมปี ระเดน็ ในการวัดผล ได้แก่ มีความร้คู วาม
เขา้ ใจการอ่านตคี วาม สามารถอธบิ ายหลกั การอา่ น
ตีความ ความถกู ต้องของการอา่ นตคี วาม การเรยี บ
เรียงถ้อยคำและความถกู ต้องของการใชภ้ าษา
จากนนั้ นำผลการประเมนิ ไปเป็นข้อมลู ในการ
ปรบั ปรงุ เพ่ือพฒั นานกั เรียนและการจดั การเรยี นการ
สอนของครใู นครัง้ ตอ่ ๆ ไป

สือ่ การเรียนรู้
ใบความรู้ การอ่านตีความ

ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรอื ผ้ทู ่ไี ด้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงช่ือ................................................................

(...............................................................)
วันที.่ ........../...................../...........

บนั ทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปัญหา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชือ่ .................................................
(นายฤทธิเดช สกลุ ซ้ง)
วนั ท่ี............../......................./..............

แบบประเมินใบงาน ชั้น ม.๑
เรอื่ ง “อา่ นตคี วามจากนทิ าน”

รายการประเมนิ

ที่ ชอ่ื -สกุล ๑. ความ ู้รความเ ้ขาใจการอ่าน รวม สรปุ ผล
ีตความ
๒. สามารถอธิบายหลักการอ่าน
ีตความ
๓. ความ ูถก ้ตองของการอ่าน
ีตความ
๔. การเรียบเ ีรยง ้ถอยคำ
๕. ความ ูถก ้ตองของการใช้ภาษา

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม ๑๐ จงึ จะถอื ว่า
ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ผ่าน
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไมผ่ ่าน
ปรับปรงุ

เกณฑก์ ารประเมินใบงาน
เรือ่ ง “การอา่ นตีความจากนทิ าน”

รายการประเมิน ระดับคะแนน

๑. ความรู้ความเขา้ ใจการ ๒๑
อ่านตีความ
๒. สามารถอธิบายหลักการ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจการอา่ นตีความ ไมม่ คี วามรคู้ วามเข้าใจการอา่ น
อ่านตีความ
๓. ความถูกตอ้ งของการอา่ น เป็นอย่างดี ตคี วามเท่าที่ควร
ตคี วาม
๔. การเรยี บเรยี งถ้อยคำ สามารถอธบิ ายหลักการอา่ น ไม่สามารถอธิบายหลกั การอา่ น

๕. ความถูกตอ้ งของการใช้ ตคี วามไดอ้ ย่างถูกต้อง ตคี วามได้
ภาษา
สามารถอ่านตีความได้ถูกตอ้ งตาม ไมส่ ามารถอ่านตคี วามได้ถกู ต้อง

หลักการ ตามหลักการ

สามารถเรียบเรยี งถ้อยคำและ เรยี บเรียงประโยคได้อยา่ งสบั สน

ประโยคไดอ้ ย่างถูกตอ้ งตามหลกั ถึงเน้ือความทีต่ อ้ งการอธบิ าย

ภาษาไทย

สามารถใชค้ ำได้อย่างถกู ต้องและ ใช้คำไมถ่ ูกตอ้ งและเหมาะสมกับ

เหมาะสมกบั เนอื้ หา เนือ้ หา

การอา่ นตคี วาม

ความหมาย
การอ่านตีความ คอื การอ่านเพ่ือพยายามเขา้ ใจความหมาย และถอดความรูส้ กึ อารมณ์สะเทือนใจ จาก

ขอ้ ความท่ีผเู้ ขยี นสอื่ ใหอ้ า่ นอาจจะตีความหมายได้ตรงกบั ความมุ่งหมายหรือเจตนาของผ้เู ขยี นกไ็ ด้ หรอื บางคร้งั
อาจจะเข้าใจความหมายตามวธิ ีของตนเอง โดยอาศัยพ้ืนความรเู้ ดมิ ความสนใจประสบการณ์ ระดบั สตปิ ญั ญา และ
วัย
จุดม่งุ หมายของการอ่านตีความ

การอ่านตีความมีจดุ มุง่ หมายเพื่อพจิ ารณาขอ้ ความหรอื เรื่องนน้ั ๆ มีความหมายทีแ่ ทจ้ รงิ ว่าอยา่ งไรและ
สามารถที่จะอธบิ ายถงึ เจตนา และความคดิ ของผ้เู ขยี นได้อยา่ งชัดเจนการตคี วามจากการอ่านจะแตกตา่ งกันไปดว้ ย
สาเหตุหลายประการ ได้แก่

๑. ความสามารถของแต่ละบุคคล
๒. วัย เพราะความรู้สกึ นึกคดิ ความซาบซึ้ง ความสนใจ ตลอดจนความรยู้ ่อมแตกต่างกันไปตามวัยต่าง ๆ
กนั ทั้ง ท่เี ปน็ เร่ืองเดยี วกนั
๓. ประสบการณ์ เน่ืองจากความเข้าใจและความซาบซงึ้ ในเหตุการณต์ า่ ง ๆ ไม่เหมือนกันเพราะคนทไ่ี มเ่ คย
ประสบกบั เหตกุ ารณ์ใด ก็จะขา้ ใจและซาบซงึ้ น้อยกว่าคนทม่ี ีประสบการณเ์ รอ่ื งนั้นมาแล้ว
๔. ความเขา้ ใจถ้อยคา ซง่ึ หมายถงึ ความหมายของคำ ซงึ่ เป็นสว่ นสำคัญของการตคี วามหากไมเ่ ข้าใจถ้อยคำ
ก็จะตคี วามไดไ้ มถ่ กู ตอ้ งและไมล่ ึกซ้งึ
๕. ความสามารถในการเปรียบเทียบกับเรอ่ื งอน่ื หมายถงึ ความเข้าใจและสามารถนาไปเก่ยี วข้องกับ
ข้อความอ่นื ท่มี คี วามสมั พันธ์กัน ไมว่ า่ จะเปน็ การตคี วามตามตวั อกั ษร ตีความตามเนื้อหาหรอื ตคี วามตามนา้ เสียงก็
ตาม ตวั อย่าง เช่น
เหน็ ชา้ งข้ี อย่าข้ีตามชา้ ง ตีความตามตัวอกั ษร : อันมลู ช้างน้ันขนาดใหญก่ วา่ มูลคน ฉะน้นั อย่าทาตามชา้ ง
ตคี วามหมายเนื้อหา : ใหร้ จู้ ักประมาณตน หรอื ทำสง่ิ ใดตามอัตภาพ
ตีความตามนำ้ เสยี ง : ทำอะไรควรดูตามฐานะของตนเอง ไมค่ วรตามอย่างคนที่มีฐานะดีกวา่
๖. ความสามารถในการใชถ้ ้อยคำ คำบรรยายขอ้ ความของการตีความ ซึง่ บางคนเข้าใจเร่อื งได้ดี แต่อธบิ าย
ไม่ได้ เพราะไม่สามารถบรรยายใหด้ ีดังทต่ี นรูแ้ ละเขา้ ใจได้

หลักการอา่ นตคี วาม
๑. จับใจความเรอ่ื งท่ีอานอย่างละเอยี ด
๒. ทำความเขา้ ใจข้อความที่อ่านว่าผู้สง่ สารตอ้ งการจะสื่ออะไร
๓. ศึกษาความหมายของคำ ข้อความท่ีมีความหมายแฝง
๔. ดบู รบิ ทขอ้ ความทอี่ ่านเพือ่ ใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของผสู้ ง่ สาร
๕. ทำความเขา้ ใจกบั ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ประสบการความหมายของสัญลกั ษณ์ ความเชอื่ ประเพณี

วิธีการอ่านตคี วาม
๑. อ่านเร่ืองใหล้ ะเอยี ดแลว้ พยายามจบั ประเดน็ สำคญั ใหไ้ ด้

๒. ขณะท่ีอา่ นตอ้ งพยายามคดิ หาเหตผุ ลและใคร่ครวญอยา่ งรอบคอบ และนำมาประมวลเข้ากับ ความคิด
ของตนเองว่าขอ้ ความหรือเรื่องนน้ั ๆ มคี วามหมายถงึ สิ่งใด

๓. ทำความเข้าใจกับถ้อยคำบางคำที่มีความสำคญั ตลอดจนคำแวดลอ้ มหรอื บริบทประกอบดว้ ยเพื่อเข้าใจ
ความหมายไดช้ ัดเจนขึ้น

๔. เรยี บเรียงถ้อยคำทีจ่ ะใช้บรรยายให้มีความหมายชัดเจน

๕. จบั แตใ่ จความสำคญั ของเรอ่ื งนนั้ ดว้ ยความรู้ความคดิ อยา่ งมีเหตุผล

ใบงาน
เรอ่ื ง การอ่านตคี วามจากนทิ าน

คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นอา่ นนทิ านต่อไปน้พี ร้อมตคี วามจากเรื่องทอ่ี า่ น

นทิ านเรื่อง สติกเกอร์คนโง่

ท่ีรา้ นแหง่ หน่ึงในหมบู่ ้าน รา้ นทไ่ี ด้ชือ่ วา่ ขายทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ ง จนมีคนพูดกนั เล่นๆวา่ หากอยากไดไ้ มจ้ ม้ิ ฟนั หรอื
เรือรบกส็ ามารถหาซ้ือไดจ้ ากร้านน้ีตรงเคาเตอรจ์ ่ายเงนิ นอกจากถ่านไฟฉายและยาอมขนมขบเคี้ยวแล้ว ยงั มีกลอ่ ง
ใสส่ ินค้ากล่องเล็กๆกลอ่ งหนึง่ ต้ังอยู่ ดจู ากฝ่นุ ที่จบั และจำนวนสินค้าทย่ี งั วางเตม็ กล่องกค็ งพอดูออกวา่ เปน็ สินคา้ ท่ี
ไม่มใี ครสนใจยง่ิ มตี วั หนงั สือเขียนไวท้ ก่ี ลอ่ งว่า สติ๊กเกอรค์ นโง่ ยิ่งทำใหไ้ มม่ ใี ครอยากยุ่งกบั สนิ คา้ กล่องนีแ้ ลว้ วันหนงึ่
กม็ ีเด็กชายคนหน่งึ ชอื่ จ้อยเข้ามาถามถงึ สนิ ค้าตวั น้ี หลังจากที่ดอ้ ม ๆ มอง ๆ อยู่หลายวัน
“มนั ใชอ้ ย่างไร” เด็กชายจอ้ ยถามคนขาย
“งา่ ยมาก” คนขายตอบพลางหยิบสต๊กิ เกอรข์ น้ึ มาใหจ้ ้อยดู มันเป็นสตกิ๊ เกอรด์ วงกลมๆสสี ม้ ๆ ขา้ งในมีตวั หนงั สือ
เขียนวา่ โง่คำเดียวแคน่ ้นั “ถา้ เราอยากหายโงใ่ นเรือ่ งใดกจ็ งเอาสต๊ิกเกอรน์ ้ีไปแปะไว้ เช่นถ้าอยากหายโงเ่ ร่อื งทำ
ครัวกเ็ อาไปติดประตูครัว อยากหายโง่ในตำราเรยี นเล่มไหน ก็เอาสต๊กิ เกอร์คนโงไ่ ปติดไว้ ง่าย ๆ แค่นี้เอง ”
คนในรา้ นได้ยินคนขายพูดคำว่าโง่ กห็ นั มามองทันที ค่าทีไ่ ม่เคยมีใครซ้อื สติก๊ เกอร์ประหลาดๆนี้เลย เหตุการณน์ ี้
เปน็ เรอ่ื งประหลาดแนน่ อน
“แล้วมนั จะหายโง่จริงๆหรือ แผ่นหน่ึงมกี ดี่ วง” เด็กชายจอ้ ยสง่ เงินให้
“หนง่ึ ร้อยดวง” คนขายทอนเงิน “หายโง่แนน่ อนไอห้ น”ู
เด็กชายจ้อยเดนิ ถือสติ๊กเกอร์ออกจากรา้ นไป ผู้คนพากนั ซบุ ซิบกัน แทบทุกคนลงความเหน็ ว่าเด็กชายจ้อยนน้ั ท่าจะ
เปน็ เดก็ โงจ่ รงิ ๆ เพราะหลงไปซื้อของบ้าๆบอๆไร้สาระอยา่ งนี้
เดก็ ชายจ้อยแกะสต๊ิกเกอรด์ วงแรกเอามาตดิ ทีเ่ สาไฟข้างถนนที่เขาเดินผ่าน “ฉนั ไมเ่ ข้าใจเรือ่ งไฟฟา้ ท่ีครสู อนเลย”
แล้วก็ติดท่รี ถจักรยานของเขา “ใครหนอประดิษฐ์มันข้ึนมา จักรยานช่างเป็นพาหนะทยี่ อดเยยี่ มจรงิ ๆ”
เม่ือถงึ บา้ นเด็กชายจ้อยกต็ ิดสติก๊ เกอรบ์ นหนงั สือแทบทุกเลม่ เขาติดลงทว่ี ่าวจฬุ าตัวทลี่ ุงจอมเหลาไม้ทำใหเ้ ขา ก็
เขาไมร่ ้อู ะไรเกี่ยวกบั ว่าวจฬุ าเลยนี่ และไมท่ นั จะข้ามคนื ดี ของในบ้านของเดก็ ชายจอ้ ยถกู ตดิ ไว้ รุ่งเช้า เป็นดังที่
คาดเม่ือเดก็ ชายจอ้ ยเดินไปโรงเรียน เขาก็ถกู เด็กในโรงเรียนลอ้ เลียนเอาทนั ทีท่ีทกุ คนมองเห็นสตก๊ิ เกอร์ทตี่ ิดอยู่
ตามกระเปา๋ และรองเท้า เดก็ บางกลมุ่ ถึงกบั ร้องตะโกนตอ่ เปน็ ทอดๆวา่ ไอ้โง่ ไอโ้ ง่ ไอ้โง่

แมเ้ ร่อื งนถ้ี งึ ครผู ปู้ กครอง และครูกไ็ ดก้ ำราบเด็กท่ีกลน่ั แกลง้ เด็กชายจ้อย แต่เอาเขา้ จรงิ ๆครูแทบท้งั โรงเรยี นก็คิด
เหมือนกับเดก็ พวกนน้ั ว่าเดก็ ชายจ้อยเปน็ เด็กโง่
...

ย่ีสิบหา้ ปีผ่านไป

เดก็ ชายจอ้ ยเตบิ โตเป็นด็อกเตอรจ์ ้อยผมู้ ปี รญิ ญาเอกถงึ สามใบ ทุกวนั นด้ี ็อกเตอร์จอ้ ยเปน็ อาจารย์พิเศษใน
มหาวิทยาลยั หลายแห่ง เขาไดร้ ับรางวัลนกั วิจยั ดเี ดน่ สีป่ ตี ิดตอ่ กัน สำหรบั แวดวงการศึกษาแล้วดอ็ กเตอร์จอ้ ยไดร้ บั
การยอมรับวา่ เขาเป็นนกั วิจยั ท่ีฉลาดทีส่ ุดคนหนงึ่ ของประเทศ
ถ้าใครจะสงั เกตเสียหนอ่ ยวา่ บนแฟ้มเอกสารที่ดอ็ กเตอร์จอ้ ยถือเดินไปมาระหว่างบรรยายในการประชมุ ระดับชาติ
ตรงด้านหน้าแฟม้ มสี ตกิ๊ เกอร์ที่ติดมานานจนสซี ีดแล้วดวงหนึ่ง และถงึ แม้จะขาดหลดุ ลยุ่ ไปเกอื บหมดแต่ถา้ จะอา่ น
จริงๆกค็ งแกะเป็นคำออกมาได้ว่า “โง”่
ดอ็ กเตอรจ์ อ้ ยมกั ให้สัมภาษณ์เสมอว่าเขาเติบโตรำ่ เรยี นหนังสอื และประสบความสำเร็จในชีวิตมาได้ด้วยสต๊กิ เกอร์
วเิ ศษนี้
“ทุกคร้ังท่ผี มเหน็ คำนีต้ ดิ อยู่ทไ่ี หน มันทำให้ผมร้ตู ัวเองวา่ ยงั โง่อยู่ และเม่ือผมรูว้ า่ ตวั เองโง่ ผมก็พยายามศึกษาเรอื่ ง
นัน้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นบญั ชี ศลิ ปะ เคร่ืองยนต์ ตอนเด็กๆ ผมมีสติ๊กเกอร์วิเศษน้ีหลายร้อยดวง เด็กคนอ่ืนเก็บตงั ค์ไว้ซ้ือ
ของเลน่ แตผ่ มเก็บตังคเ์ พ่ือซ้อื สต๊กิ เกอรค์ นโง่มาใชต้ ลอดวัยเดก็ ตอ่ ใหถ้ งึ ทกุ วนั นี้ผมกย็ งั จนิ ตนาการเห็นสต๊กิ เกอร์
คำนีต้ ดิ อยู่บนเรอ่ื งทผ่ี มไม่เข้าใจตลอดเวลา”

(นิทานลา้ นบรรทัด : ประภาส ชลศรานนท์)

อ่านตีความไดว้ ่า.......................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

แผนการจดั การเรยี นรู้

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ๑๑ คำพงั เพย

รหัสวิชา ท ๒๑๑๐๒ ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๑
ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๑ ชัว่ โมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ

ภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษาและรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ิของชาติ

ตวั ชว้ี ัด
ท ๔.๑ ม.๑/๖ จำแนกและใช้สำนวนที่เปน็ คำพงั เพยและสุภาษิต

สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด

คำพังเพย คอื การกล่าวเปรียบเทียบ(อุปมา) ต่อเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขึน้ มีทมี่ าจากคำกล่าวตอ่ ๆกันมาช้า

นานจากเหตุการณ์ในวถิ ีชวี ิตของคนรุ่นก่อน ๆ ซ่งึ มีความหมายแฝง มีลักษณะคล้ายภาษิต เพื่อเป็น

ขอ้ คิดหรอื แสดงความคิดเหน็ ท่ัว ๆ ไป หรอื อาจเป็นการกล่าวเปรยี บเปรยอะไรบางอย่างโดยมไิ ดม้ ุ่งเน้นการสอนใจ

หรืออาจเปน็ การกลา่ วกระทบเสียดสกี ไ็ ด้

สาระการเรียนรู้/เนื้อหาย่อย
ความรู้ (K)

นักเรยี นมีความรูค้ วามเขา้ ใจในเรื่องคำพังเพย
ทักษะ / กระบวนการ (P)

นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายคำพงั เพยได้
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

นกั เรียนสามารถนำความรเู้ รอ่ื งคำพังเพย ไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชวี ิตประจำวันได้

จุดเนน้ สูก่ ารพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )

ทักษะดา้ นการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)

ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความรว่ มมือ การทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะด้านการสอื่ สาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทันส่ือ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT

Literacy)

ทักษะอาชพี และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปลย่ี นแปลง (Change)

การประเมนิ ผลรวบยอด

ชิน้ งานหรอื ภาระงาน
ใบงาน “คำพังเพยเผยวจี”

กิจกรรมการเรียนรู้
ขัน้ นำ

๑. ครูชแู ผ่นภาพใหน้ กั เรียนสังเกตเป็นคำพงั เพยวา่ อย่างไรจากนนั้ ให้นกั เรียนร่วมกันตอบคำถาม (K)
๒. ครูอธิบายให้นักเรยี นเข้าใจว่าจากภาพทีค่ รูให้ดูน้ันคือภาพคำพงั เพย “กนิ ปูนร้อนท้อง” พรอ้ ม

บอกความหมายและเขา้ สู่บทเรียนในขนั้ ตอ่ ไป (K)
ขัน้ สอน
๑. ครูอธบิ ายเนื้อหาเรอ่ื งคำพงั เพยให้นกั เรยี นฟัง โดยอธบิ ายในส่วนของความหมาย และ

ตัวอย่างคำพังเพยรว่ มดว้ ย (K)
๒. ครใู หน้ ักเรยี นทำใบงาน “คำพังเพยเผยวจี” ซึง่ เปน็ ใบงานทใี่ หน้ ักเรยี นสงั เกตภาพพรอ้ มบอกคำ

พงั เพยและความหมายให้ถกู ตอ้ ง จากนนั้ ครูและนักเรียนรว่ มกันเฉลยใบงาน (K, P)
ข้ันสรุป
ครใู ห้นกั เรยี นร่วมกันสรปุ การทำใบงาน “คำพังเพยเผยวจี” ซึง่ เปน็ ใบงานที่ให้นกั เรยี น

แตล่ ะคนได้สงั เกตภาพพร้อมบอกคำพงั เพยและความหมายใหถ้ ูกต้อง สะท้อนผลวา่ นกั เรียนมคี วามร้คู วามเข้าใจ
เก่ยี วกับคำพังเพย และสามารถนำความรไู้ ปเปน็ แนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

(K, P, A)

การวัดผลประเมนิ ผล เกณฑก์ ารประเมิน

วิธกี าร เครอ่ื งมือ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
รอ้ ยละ ๕๐
ประเมินใบงาน “คำพงั เพยเผยวจี” ใช้วธิ กี ารวัดผล ใบงาน เร่ือง คำพงั เพยเผยวจี
จากการทำใบงานของนักเรียนแต่ละคนโดยมีประเดน็
ในการวัดผล ได้แก่ มีความรคู้ วามเข้าใจเรื่องคำ
พงั เพย สามารถอธบิ ายความหมายของคำพงั เพย
ความถูกต้องของความหมาย การเรยี บเรยี งถ้อยคำ
และความสะอาดเรยี บร้อย จากนัน้ นำผลการประเมนิ
ไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุงเพ่ือพัฒนานกั เรียนและ
การจดั การเรยี นการสอนของครใู นคร้ังตอ่ ๆ ไป

สอื่ การเรยี นรู้
ใบความรู้ คำพงั เพย

ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผ้ทู ่ีได้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงชอ่ื ................................................................
(...............................................................)
วนั ท่ี.........../...................../...........

บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วันท่ี............../......................./..............

แบบประเมินใบงาน ชน้ั ม.๑
เรื่อง “คำพังเพยเผยวจี”

รายการประเมิน

ท่ี ชอ่ื -สกลุ ๑. ีมความ ู้รความเ ้ขาใจ รวม สรุปผล
เรื่องคำพังเพย
๒. อ ิธบายความหมาย
ของคำพังเพยไ ้ด
๓. ความ ูถก ้ตองของ
ความหมาย
๔. การเรียบเรียง
้ถอยคำ
๕. ความสะอาด
เรียบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไมผ่ ่าน

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้นึ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื วา่
ผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคุณภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น
๕-๖ คะแนน ผ่าน
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ า่ น
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
ปรับปรุง

เกณฑก์ ารประเมนิ ใบงาน
เรอ่ื ง “คำพงั เพยเผยวจี”

รายการประเมิน ระดับคะแนน
๒๑
๑. มีความรคู้ วามเขา้ ใจเรือ่ ง
คำพงั เพย มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจคำพังเพยเปน็ ไมม่ ีความรคู้ วามเข้าใจคำพงั เพย
อยา่ งดี เท่าทค่ี วร

๒. อธบิ ายความหมายของคำ สามารถอธิบายความหมายคำ ไม่สามารถอธบิ ายความหมายคำ
พงั เพยได้
พงั เพยแตล่ ะสำนวนได้อย่างถกู ตอ้ ง พังเพยแต่ละสำนวนไดอ้ ย่าง
๓. ความถูกตอ้ งของ
ความหมาย ถกู ต้อง
๔. การเรียบเรียงถ้อยคำ
สามารถบอกความหมายของคำ สามารถบอกความหมายของคำ
๕. ความสะอาดเรียบรอ้ ย
พงั เพยไดถ้ ูกต้อง พงั เพยได้ถกู ตอ้ ง

สามารถเรยี บเรยี งถ้อยคำในการ ไมส่ ามารถเรยี บเรยี งถ้อยคำในการ

บอกความหมายคำพังเพยไดอ้ ยา่ ง บอกความหมายคำพังเพยได้

ถกู ต้อง

ใบงานมคี วามสะอาดเรียบรอ้ ย ใบงานสกปรกมรี อยเปอ้ื นดำ

ใบความรู้
เรือ่ ง คำพังเพย

คำพงั เพย เปน็ การกล่าวเปรียบเทยี บ(อปุ มา) ต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดขนึ้ มที ีม่ าจากคำกล่าวตอ่ ๆ กันมาชา้ นาน

จากเหตุการณ์ในวิถชี ีวิตของคนรุ่นกอ่ น ๆ ซงึ่ มคี วามหมายแฝง มีลกั ษณะคล้ายภาษติ เพือ่ เป็น

ขอ้ คิดหรือแสดงความคิดเห็นทวั่ ๆไป หรอื อาจเปน็ การกลา่ วเปรียบเปรยอะไรบางอย่างโดยมิไดม้ ุ่งเนน้ การสอนใจ

หรืออาจเป็นการกล่าวกระทบเสียดสกี ็ได้

ตัวอย่างคำพังเพย
กินปนู ร้อนทอ้ ง : คำพังเพยนีม้ าจากตกุ๊ แก วา่ กนั ว่า ตกุ๊ แกทกี่ ินปูน (ปนู แดงทีก่ ินกบั หมากพลู ) มกั จะทำ

อาการกระวนกระวาย ส่งเสียงรอ้ งแกรก็ ๆ เหมอื นอาการร้อนทอ้ งหรอื ปวดทอ้ ง จึงนำเอามาเปรยี บกันคนทีท่ ำพริ ุธ
หรอื ทำอะไรไวไ้ มอ่ ยากให้ใครรูแ้ ต่เผอิญมใี ครไปแคะได้ หรือเรยี บเคยี งเข้าหนอ่ ยทัง้ ๆ เขาไม่ไดเ้ จตนาเจาะจงแต่

ตัวเอง กแ็ สดงอาการเป็นเชิงเดอื ดรอ้ นออกมาให้เขารู้ สำนวนนม้ี กั พดู กนั วา่ " ตกุ๊ แกกินปนู รอ้ นทอ้ ง "
ขนมพอผสมกบั นำ้ ยา : ทม่ี าของคำพังเพยนเี้ ขา้ ใจวา่ มาจาก " ขนมจนี น้ำยา " ที่เราเคยรบั ประทานกัน

มาแล้ว คือ ขนมจีนกบั น้ำยาจะตอ้ งผสมใหเ้ ข้ากันหรอื ไดส้ ว่ นพอเหมาะ จึงจะรับประทานอรอ่ ยเรียกวา่ เวลาตัก

นำ้ ยาราดขนมลงบนขนมจีน ต้องกะส่วนให้พอลงคลกุ ผสมกับขนมจนี ได้พอเหมาะหรือใหม้ ีสัดสว่ นเขา้ กันพอดที ั้ง
สองฝา่ ย เม่ือรบั ประทานแล้วเกดิ อร่อยไม่ใชว่ า่ ขนมจีนอร่อย หรอื น้ำยาอร่อยแต่อรอ่ ยดว้ ยกนั ท้งั สองอยา่ ง เรียกว่า

" พอดกี ัน " จงึ เกิดเป็นสำนวนท่ตี คี วามหมายเอาว่าทงั้ สองฝา่ ยต่างพอดีกันจะว่าขา้ งไหนดกี ไ็ มไ่ ด้
ไก่กนิ ขา้ วเปลือก : สำนวนคำพังเพยประโยคน้ี ถา้ พดู ใหเ้ ตม็ ความก็ตอ้ งพดู ว่า " ตราบใดทไ่ี ก่ยงั กนิ

ข้าวเปลอื กอยู่ ตราบนัน้ คนเราก็ยงั อดกินสินบนไมไ่ ด " เข้าใจว่าเปน็ คำพังเพยของจีน ๆ เอามาใช้เป็นภาษาของเขา

กอ่ น แลว้ ไทยเราเอามาแปลเปน็ ภาษาไทยใช้กันอยู่มากในสมัยกอ่ น ๆ
โค่นกล้วยอย่าไวห้ น่อ : สำนวนน้ี มีประโยคตอ่ ท้ายสัมผสั กันดว้ ยว่า " ฆ่าพ่ออยา่ ไวล้ ูก " แต่เรามกั พูดส้นั ๆ

ว่า " โคน่ กลว้ ยอย่าไว้หน่อ " หมายความว่าจะคิดกำจดั ศัตรู ปราบพวกคนพาลใหห้ มดส้ินทีเดียวแล้ว กต็ ้องปราบให้
เรียบอย่าใหพ้ รรคพวกของมนั เหลอื ไว้เลยแม้แตค่ นเดยี ว มฉิ ะนัน้ พวกทเี่ หลอื นจ้ี ะกลบั ฟืน้ ฟูกำลังขึ้นมาเป็นศตั รกู ับ
เราภายหน้าได้อีก ทำนองเดียวกบั ท่วี า่ ถ้าเราจะขุดตอไม้ทิ้ง เราก็ต้องขุดท้งั รากทั้งโคนมนั ออกให้หมดอย่าใหเ้ หลือ

ไวจ้ นมันงอกข้ึนมาภายหลงั ไดอ้ กี
จ้าวไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด : เป็นสำนวนเปรยี บเปรยถงึ คนท่ีเรร่ ่อนไมม่ ีท่อี ย่ปู ระจำเปน็ หลักแนน่ อน

ใบงาน
เรือ่ ง “คำพงั เพยเผยวจี”

คำชแี้ จง ให้นกั เรียนสงั เกตภาพต่อไปน้พี ร้อมบอกคำพงั เพยและความหมายใหถ้ ูกตอ้ ง

คำพังเพย..................................................... คำพงั เพย.....................................................
ความหมาย.................................................. ความหมาย..................................................
..................................................................... .....................................................................

คำพงั เพย.................................................... คำพงั เพย....................................................
ความหมาย.................................................. ความหมาย..................................................
..................................................................... .....................................................................

คำพังเพย.................................................... คำพงั เพย....................................................
ความหมาย.................................................. ความหมาย..................................................
..................................................................... .....................................................................

แผนการจัดการเรียนรู้

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๑๐ ภาษาเขยี น

รหสั วิชา ท ๒๑๑๐๒ ชื่อรายวิชา ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๑
ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ

ภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ

ตัวช้วี ัด
ท ๔.๑ ม.๑/๔ วิเคราะห์ความแตกตา่ งของภาษาพดู และภาษาเขยี น

สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
ภาษาเขยี น คอื ภาษาท่เี ครง่ ครัดต่อการใช้ถ้อยคำและคำนงึ ถึงหลักภาษาเพื่อใช้ส่ือสารใหถ้ กู ตอ้ งและใช้

ในการเขยี นมากกวา่ การพูด ต้องใชถ้ อ้ ยคำสภุ าพ เขยี นใหเ้ ป็นประโยค เลอื กใช้ถ้อยคำเหมาะกับบุคคลและ
กาลเทศะ

สาระการเรยี นร้/ู เน้ือหาย่อย
ความรู้ (K)

นกั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาเรอื่ งภาษาเขยี น
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นกั เรยี นสามารถอธบิ ายลกั ษณะของคำภาษาเขียนได้
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

นกั เรยี นสามารถนำความรเู้ รอื่ งภาษาเขียนไปใชเ้ พ่ือการส่ือสารในชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

จุดเนน้ สูก่ ารพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)
ทักษะด้านการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทกั ษะดา้ นความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการส่ือสาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั สื่อ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT

Literacy)

ทักษะอาชีพ และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปลีย่ นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด

ภาระงาน/ชิน้ งาน
ใบงาน เร่อื ง “ภาษาเขยี น”

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้ันนำ

ครูสนทนากบั นกั เรียนเร่ืองงานเขยี นที่เรามักได้อา่ นในชีวติ ประจำวัน โดยใหน้ ักเรียน จากนัน้ ครสู รุป
ให้นกั เรียนเข้าใจเก่ยี วกับภาษาเขยี นแล้วจึงโยงเข้าสูบ่ ทเรยี นในข้นั ตอ่ ไป (K)

ข้นั สอน
๑. ครูใหค้ วามร้เู รื่อง “ภาษาเขียน” ในส่วนของความหมายและลักษณะของภาษาเขียนพร้อม

ยกตัวอยา่ งภาษาเขยี นให้นกั เรียนเกดิ ความรคู้ วามเข้าใจมากยง่ิ ขน้ึ จากน้ันทดสอบความเข้าใจของนักเรยี นผ่าน

โปรแกรม Plicker (K)
๒. ครูให้นักเรยี นทำใบงานเรือ่ ง “ภาษาเขียน” ซง่ึ เปน็ ใบงานที่ให้นกั เรียนแต่ละคนได้เขยี นประโยค

ในภาษาเขียนใหถ้ กู ต้อง (K, P)
๓. ครูและนักเรยี นเฉลยคำตอบร่วมกัน โดยทค่ี รอู ธิบายท่ีมาของคำตอบว่าเหตุใดจงึ ตอบเชน่ นัน้ (K,

P)

ขั้นสรุป
ครูสรปุ การทำใบงานเรอื่ ง “ภาษาเขียน” ว่าโดยภาพรวมแล้วนักเรียนสามารถทำใบงานไดอ้ ย่าง

ถูกต้องด้วยการนำความรูท้ ่ไี ดร้ บั จากครูมาเปน็ แนวทางในการเขยี นประโยคของภาษาพดู ได้ ซ่งึ สะท้อนให้
เหน็ ว่านักเรยี นเกดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองทคี่ รูสอนเป็นอย่างดี และจากการทำใบงานนักเรยี นสามารถนำความรู้
เรอ่ื งภาษาเขียนไปใช้เพือ่ การสือ่ สารในชีวติ ประจำวันได้อย่างถูกต้อง (K, P, A)

การวัดผลประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมิน

วิธีการ เครื่องมอื ผ่านเกณฑ์การประเมิน
รอ้ ยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงาน เร่อื ง “ภาษาเขยี น” ใช้วิธีการวัดผล ใบงาน เร่อื ง “ภาษาเขยี น”
จากการทำใบงานของนักเรยี นแต่ละคน โดยมี
ประเดน็ ในการวัดผล ได้แก่ มคี วามรู้ความเข้าใจเร่ือง
ภาษาเขียน สามารถอธบิ ายลักษณะของภาษาเขยี น
ได้ ความถกู ต้องของประโยค ความถูกต้องของ
เนือ้ หาและความสะอาดเรียบร้อย จากนน้ั นำผลการ
ประเมินไปเปน็ ข้อมูลในการปรับปรุงเพอื่ พฒั นา
นกั เรียนและการจดั การเรียนการสอนของครูในครง้ั
ตอ่ ๆ ไป

สื่อการสอน
๑. ใบความรเู้ รือ่ ง ภาษาเขียน
๒. แบบทดสอบทส่ี ร้างผา่ นโปรแกรม Plicker

ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ สถานศกึ ษาหรือผ้ทู ่ไี ดร้ ับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงชือ่ ................................................................
(...............................................................)
วันท่.ี ........../...................../...........

บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วันท่ี............../......................./..............

แบบประเมินใบงาน ช้ัน ม.๑
เรอื่ ง “ภาษาเขยี น”

รายการประเมิน

ท่ี ชอ่ื -สกุล ๑. ีมความ ู้รความเ ้ขาใจเรื่องภาษา รวม สรปุ ผล
เ ีขยน
๒. สามารถอ ิธบายลักษณะของภาษา
เ ีขยนไ ้ด
๓. ความ ูถก ้ตองของประโยค
๔. ความ ูถก ้ตองของเ ้ืนอหา
๕. ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไม่ผา่ น

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเต็ม ๑๐ จงึ จะถือวา่
ผ่านเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผ่าน
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ผา่ น
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรบั ปรุง

เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน
เร่อื ง “ภาษาเขยี น”

รายการประเมนิ ระดบั คะแนน

๒๑

๑. มคี วามร้คู วามเขา้ ใจเรื่อง นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเร่ือง นักเรียนไม่มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ
ภาษาเขยี นเป็นอยา่ งดี เร่ืองภาษาเขียนเท่าทค่ี วร
ภาษาเขยี น

๒. สามารถอธบิ ายลักษณะของ นักเรยี นสามารถอธิบายลกั ษณะของ นกั เรียนไมส่ ามารถอธบิ ายลักษณะ
ภาษาเขียนได้ถูกตอ้ ง ของภาษาเขียนได้ถูกตอ้ ง
ภาษาเขียนได้

๓. ความถูกตอ้ งของประโยค นกั เรียนเขยี นประโยคที่เป็นภาษา นกั เรยี นไมส่ ามารถเขียนประโยค
เขยี นไดถ้ ูกตอ้ ง ภาษาเขยี นไดถ้ กู ตอ้ ง

๔. ความถูกตอ้ งของเนื้อหา นกั เรยี นเขียนภาษาเขยี นไดถ้ ูกตอ้ ง นกั เรียนไมส่ ามารถเขียนภาษา
ตามเนือ้ หาทก่ี ำหนด เขยี นได้ถกู ต้องตามเนอื้ หาท่ี

กำหนด

๕. ความสะอาดเรียบรอ้ ย ตัวหนังสอื อา่ นง่าย สะอาดและ ตัวหนังสืออา่ นยาก ใบงานยบั และ
เรยี บร้อย มีรอยเปือ้ น

ใบความรู้ เร่ือง ภาษาเขยี น

ภาษาเขียน เป็นภาษาทเี่ ครง่ ครดั ตอ่ การใช้ถอ้ ยคำและคำนึงถงึ หลกั ภาษา เพอ่ื ใช้ในการส่อื สารให้

ถกู ตอ้ งและใช้ในการเขียนมากกว่าการพดู ต้องใช้ถ้อยคาสุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลอื กใช้ถ้อยคำ
เหมาะกับบคุ คลและกาลเทศะ เป็นภาษาทใ่ี ช้ในพิธกี ารและเปน็ ทางการ ไมใ่ ช้คำฟุ่มเฟอื ยหรอื การเล่นคำ
จนกลายเป็นการพูดหรอื การเขียนเล่นๆ การเขยี นใชใ้ นโอกาสท่ีมกี ารบันทึกขอ้ ความจากการฟงั
การแสดงความคิดเหน็ แสดงความต้องการ เสนอความร้ใู นรปู แบบต่างๆ ได้แก่ การบันทึกรายงาน
การประชุม การเขยี นบรรยายเหตุการณ์จากประสบการณ์ การเขียนบทความ สารคดี จดหมาย
ย่อความ เรยี งความ เอกสารประกอบการพูด การกล่าวรายงาน กลา่ วคำปราศรยั เปน็ ต้น

ลกั ษณะของภาษาเขียน
๑. เขียนตามภาษาพูดที่พดู ในชวี ิตประจำวนั เหมาะสมกบั ลกั ษณะวถิ ีชวี ิต ความเป็นอยู่ของบุคคล เช่น

การเขียนบันทึกส่วนตัว บันทกึ ความรจู้ ากการอา่ น การเขียนเร่ืองสน้ั นวนยิ าย นิทาน อตั ชีวประวตั ิ เปน็ ต้น
๒. เขยี นโดยใชภ้ าษาทก่ี ลัน่ กรองถ้อยคำอย่างละเมยี ดละไม มีความประณีตในการใช้ภาษา ใช้ภาษาท่ี

ถูกตอ้ งตามพจนานกุ รม ตามรูปแบบ ตามระเบยี บ และตามขนบธรรมเนยี มของภาษา

ตัวอยา่ ง

๑. ภาษาเขยี นใช้ถ้อยคำตามแบบแผนที่กำหนด เชน่

ภาษาเขยี น ภาษาพดู

สง่ จดหมายทางไปรษณีย์ ส่งจดหมาย

สัปดาห์หน้า อาทิตยห์ นา้

ตกั บาตร ใส่บาตร

ฌาปนกิจศพ เผาศพ

มากมาย มาก

รบั ประทาน กิน

๒. ภาษาเขยี นอาจตัดถ้อยคำสำนวนทอ่ี ธิบายขยายความออกได้ เชน่

"ช่วยกันดูแลบา้ นเรอื นให้สะอาดและเปน็ ระเบียบเรียบร้อย ไม่สกปรก รกรงุ รงั "

(ถ้าเปน็ ภาษาเขยี นให้ตดั ข้อความทข่ี ดี เส้นใตอ้ อก)

๓. ภาษาเขยี นจะไมใ่ ชค้ ำลงท้ายที่แสดงความรู้สึก เชน่ ซิ นะ ละ เถอะ ฯลฯ

หรือคำแสดงการเรียกขาน หรอื คำขานรับ เชน่ คะ ขา จ๋า ครบั ฯลฯ

๔. คำบางคำในภาษาเขยี น เชน่ คำที่มีความหมายเป็นคำถาม และคำสรรพนามบางคำยังคง

สะกดตามท่เี คยใช้กันมา ไม่สะกดตามการออกเสยี งในปัจจุบนั เชน่

ภาษาเขียน ภาษาพดู
หรอื ร,ึ เหรอ, เรอะ
อยา่ งนี้ ยังงี้, ง้ี
เท่าไร เทา่ ไหร่
เขา เค้า
อย่างไร ยงั ไง, ไง
เม่อื ไร เมือ่ ไหร่
ไหม มยั๊ , มะ
ฉัน ช้นั
ผม พ้ม

๕. คำในภาษาเขียนจะไมใ่ ชค้ ำยอ่ ตดั คำ เช่น ภาษาพดู
ภาษาเขียน มหาลยั . หมาลยั
มหาวทิ ยาลยั กนิ , หม่ำ, เจี๊ย, อ้ำ, สวาปาม, แดก
รบั ประทาน โทรฯ
โทรศัพท์ กม., กก.
กโิ ลเมตร, กโิ ลกรัม

นักเรยี นเข้าใจหรอื ยังคะ

ใบงาน
เรอื่ ง ภาษาเขยี น

คำช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาภาษาพูดที่กำหนด แลว้ เปลย่ี นเป็นภาษาเขยี นใหถ้ ูกตอ้ งและ
เหมาะสม

ภาษาพดู ภาษาเขียน

๑. สมรกั ษข์ ่ีรถเครอ่ื งไปทำงาน
๒.สมชาติมีใบขบั ขีแ่ ลว้ หรอื ยงั
๓.สมศรีเขา้ นอนเวลา ๒ ท่มุ
๔.เมื่อเรือ่ งเป็นอย่างงี้ แล้วเธอจำทำยังไง
๕.สมชายยืนคอยรถเมลอ์ ยหู่ นา้ โรงเรียน
๖.เขาเปน็ คนข้ีเกยี จทำงาน
๗.หญงิ แก่กำลงั เดินข้ามถนน
๘.ฉนั มแี บงกย์ ่สี ิบหลายใบ
๙.สมหมายกนิ อาหารไมเ่ ป็นเวลา
๑๐.คณุ แม่พาลกู ไปดหู นัง

แผนการจัดการเรยี นรู้

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑๐ ภาษาพดู

รหสั วิชา ท ๒๑๑๐๒ ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของ

ภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัตขิ องชาติ

ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๔ วเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งของภาษาพดู และภาษาเขียน

สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
ภาษาพูด คอื ภาษาทใี่ ช้พดู จากันไม่พิถีพิถันในการใชห้ ลกั ภาษามากนักสร้างความรู้สกึ ที่เปน็ กันเอง ใช้

ในหมู่เพอื่ นฝงู ในครอบครัว ในการเขยี นนวนิยายและการตดิ ตอ่ สอื่ สารกันอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ

สาระการเรียนรู้/เน้อื หาย่อย
ความรู้ (K)

นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเนื้อหาเร่อื งภาษาพูด
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของคำภาษาพูดได้
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

นักเรียนสามารถนำความรเู้ ร่ืองภาษาพดู ไปใช้เพือ่ การส่ือสารในชีวติ ประจำวันได้
อย่างถูกตอ้ ง

จุดเน้นส่กู ารพฒั นาคุณภาพผู้เรียน
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขยี นได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทักษะดา้ นการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความรว่ มมือ การทำงานเป็นทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทักษะดา้ นการสือ่ สาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสือ่ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT

Literacy)

ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปลยี่ นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด

ภาระงาน/ชนิ้ งาน
ใบงาน เร่อื ง “วจนี ั้นสำคัญนัก”

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ

ครูยกคำประพนั ธ์จากนริ าศภเู ขาทอง ดังน้ี
ถงึ บางพูดพูดดเี ปน็ ศรศี ักด์ิ มคี นรักรสถอ้ ยอรอ่ ยจิต

แม้พูดชวั่ ตวั ตายทำลายมิตร จะชอบผดิ ในมนษุ ยเ์ พราะพดู จา
จากน้นั ใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เห็นวา่ กล่าวถงึ เรอ่ื งใดเป็นสำคญั จากนั้นครสู รุปใหน้ กั เรียน
เขา้ ใจเกีย่ วกับการพูดแลว้ จึงโยงเขา้ สูบ่ ทเรียนในข้ันต่อไป (K)

ขัน้ สอน
๑. ครใู ห้ความรู้เร่ือง “ภาษาพดู ” ในสว่ นของความหมายและลักษณะของภาษาพดู พร้อมยกตวั อยา่ ง

ภาษาพูดให้นักเรียนเกดิ ความรคู้ วามเข้าใจมากยิง่ ขึน้ จากนนั้ จึงทดสอบความร้คู วามเข้าใจด้วยการทำข้อสอบผา่ น
โปรแกรม Kahoot (K)

๒. ครใู หน้ กั เรียนทำใบงานเร่อื ง “วจนี ้ันสำคัญนกั ” ซ่งึ เปน็ ใบงานที่ให้นักเรียนแต่ละคนได้เขียน

ประโยคในภาษาพดู ใหถ้ กู ต้อง (K, P)
๓. ครแู ละนกั เรยี นเฉลยคำตอบรว่ มกัน โดยท่ีครูอธิบายทม่ี าของคำตอบว่าเหตใุ ดจงึ ตอบเช่นน้นั (K,

P)
ขั้นสรปุ
ครูสรปุ การทำใบงานเร่อื ง “วจีนนั้ สำคญั นกั ” วา่ โดยภาพรวมแล้วนักเรยี นสามารถทำใบงานไดอ้ ย่าง

ถูกตอ้ งดว้ ยการนำความรู้ท่ไี ด้รบั จากครมู าเป็นแนวทางในการเขียนในภาษาพูดได้

ซง่ึ สะทอ้ นให้เห็นว่านักเรยี นเกดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจในเรอื่ งทค่ี รูสอนเป็นอยา่ งดี และจากการทำใบงานนกั เรยี น
สามารถนำความร้เู รือ่ งภาษาพดู ไปใช้เพ่ือการส่อื สารในชีวิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง (K, P, A)

การวดั ผลประเมินผล เกณฑ์การประเมนิ

วิธีการ เคร่ืองมอื ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ
รอ้ ยละ ๕๐
ประเมินใบงาน เรือ่ ง “วจนี นั้ สำคญั นัก” ใช้วิธกี าร ใบงาน เร่อื ง “วจีน้ันสำคัญนกั ”
วดั ผลจากการทำใบงานของนักเรียนแต่ละคน โดยมี
ประเด็นในการวดั ผล ไดแ้ ก่ มีความรู้ความเข้าใจเร่ือง
ภาษาพดู สามารถอธบิ ายลักษณะของภาษาพูดได้
ความถกู ตอ้ งของประโยค ความถกู ตอ้ งของเนื้อหา
และความสะอาดเรยี บรอ้ ย จากนน้ั นำผลการประเมนิ
ไปเปน็ ข้อมูลในการปรับปรงุ เพื่อพฒั นานักเรียนและ
การจัดการเรียนการสอนของครูในคร้งั ตอ่ ๆ ไป

สือ่ การสอน
๑. ใบความรู้เร่อื ง ภาษาพูด
๒. แบบทดสอบท่ีสร้างผ่าน Kahoot

ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรือผู้ท่ีไดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................................
(...............................................................)
วันท่.ี ........../...................../...........

บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปัญหา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงช่อื .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซง้ )
วันท.ี่ ............./......................./..............

แบบประเมินใบงาน ชั้น ม.๑
เร่อื ง “วจนี ั้นสำคัญนัก”

รายการประเมิน

ที่ ชอ่ื -สกุล ๑. ีมความ ู้รความเ ้ขาใจเ ่ืรองภาษาพูด รวม สรุปผล
๒. สามารถอ ิธบาย ัลกษณะของภาษา
พูดไ ้ด
๓. ความ ูถก ้ตองของประโยค
๔. ความ ูถก ้ตองของเ ื้นอหา
๕. ความสะอาดเรียบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไม่ผา่ น

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐ จึงจะถอื วา่
ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การตัดสินระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมิน

๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ผ่าน
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไม่ผา่ น
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
ปรบั ปรุง

เกณฑก์ ารประเมินใบงาน
เรอ่ื ง “วจนี ้นั สำคญั นกั ”

รายการประเมิน ระดับคะแนน

๒๑

๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเรอื่ ง นกั เรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเรอ่ื ง นักเรยี นไมม่ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจ
ภาษาพดู เปน็ อยา่ งดี เร่อื งภาษาพูดเทา่ ทค่ี วร
ภาษาพูด

๒. สามารถอธิบายลกั ษณะของ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายลักษณะของ นกั เรยี นไมส่ ามารถอธบิ ายลักษณะ
ภาษาพูดไดถ้ กู ต้อง ของภาษาพูดได้ถูกต้อง
ภาษาพูดได้

๓. ความถูกต้องของประโยค นกั เรียนเขียนประโยคท่เี ป็นภาษา นกั เรยี นไมส่ ามารถเขยี นประโยค
พดู ได้ถกู ต้อง ภาษาพูดไดถ้ ูกต้อง

๔. ความถูกต้องของเน้ือหา นักเรียนเขียนภาษาพูดได้ถูกตอ้ ง นักเรียนไมส่ ามารถเขยี นภาษาพูด
ตามเน้อื หาทก่ี ำหนด ไดถ้ ูกต้องตามเนอ้ื หาท่ีกำหนด

๕. ความสะอาดเรยี บร้อย ตวั หนังสืออ่านงา่ ย สะอาดและ ตวั หนงั สอื อา่ นยาก ใบงานยบั และ

เรยี บร้อย มรี อยเปอื้ น

ใบความรู้ เรอ่ื ง ภาษาพดู

ภาษาพูด เป็นภาษาทใ่ี ช้พูดจากันไมพ่ ิถีพิถันในการใชห้ ลักภาษามากนักสรา้ งความรู้สึกที่เปน็

กันเอง ใช้ในหมเู่ พือ่ นฝูง ในครอบครวั ในการเขยี น นวนยิ ายและ การติดต่อสือ่ สาร

กนั อยา่ งไม่เป็นทางการ การใช้ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเอง สภุ าพ คำนึงถึงบคุ คลและ

กาลเทศะ ใชใ้ นโอกาสที่มีการสนทนาสมั ภาษณ์ อภิปราย พดู รายงาน โต้วาที การซือ้ ขาย ฯลฯ

ซ่งึ เป็นโอกาสท่ผี ูพ้ ดู และผู้ฟังไดส้ อื่ สารกันโดยตรง

ลักษณะของภาษาพูด

๑. ภาษาพูดเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มหรอื เฉพาะวัย เชน่

ภาษาพดู ภาษาเขียน

วยั โจ๋ วัยรนุ่

เจง๋ เยี่ยมมาก

แหว้ ผดิ หวัง

เด้ยี ง พลาดและเจบ็ ตวั

มั่วน่มิ ทำไมจ่ รงิ จังและปิดบัง

๒. ภาษาพูด มกั เป็นภาษาไทยแท้ คอื ภาษาชาวบ้าน เข้าใจง่าย เปน็ ภาษากึง่ แบบแผน

ภาษาพูด ภาษาเขยี น

ผวั เมยี สามภี รรยา

ดาราหนัง ดาราภาพยนตร์

ปอดลอย หวาดกลวั

๓. ภาษาพดู มักเปลยี่ นแปลงเสยี งสระและเสียงพยญั ชนะ รวมท้ังนยิ มตัดคำใหส้ ้ันลง

ภาษาพูด ภาษาเขยี น

เร่ิด เลิศ

เพ่ พี่

จิงอะป่าว จริงหรือเปล่า

บง่ ตง บอกตรงๆ

๔. ภาษาพดู สามารถแสดงอารมณข์ องผู้พูดได้ดีกว่าภาษาเขยี น คือ มีการเน้นระดบั เสียงของ

คำให้สูง – ต่ำ – ส้ัน - ยาว ได้ตามตอ้ งการ

ภาษาพดู ภาษาเขยี น
ตาย ต๊าย
บา้ บ๊า
ใช่ ชา่ ย
เปล่า ปล่าว

๕. ภาษาพูดนยิ มใชค้ ำช่วยพูดหรือคำลงทา้ ย เพ่ือช่วยให้การพดู นั้นฟังสภุ าพและไพเราะ
ยิ่งข้ึน เชน่ ไปไหนคะ ไปตลาดค่ะ รบี ไปเลอะ ไม่เปน็ ไรหรอก น่ังน่ิงๆ ซิจ๊ะ

นักเรียนเข้าใจหรือยงั คะ

ใบงาน
เรอื่ ง วจนี น้ั สำคัญนัก

คำช้แี จง ให้นักเรยี นบอกความหมายในภาษาพูดพรอ้ มแต่งประโยคใหเ้ หมาะสม

ภาษาพดู ความหมาย ประโยค

1. วยั โจ๋
2. เจง๋
3. แห้ว
4. ลำไย
5. กิน
6. แบงก์
7. เร่ิด
8. เมืองนอก
9. จอย
10. เกือก
11. ผอ.
12. ไอตมิ
13. มหาลยั
14. จิ๊บจ๊อย
15. ตังค์

แผนการจัดการเรียนรู้

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๔ รปู แบบการเขียนยอ่ ความ

รหสั วิชา ท ๒๑๑๐๒ ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑
ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๑ ช่วั โมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขยี นส่อื สาร เขียนเรยี งความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน

รปู แบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

ตัวชีว้ ัด
ท ๒.๑ ม.๑/๕ เขียนย่อความจากเร่อื งท่อี า่ น

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
รปู แบบการเขยี นยอ่ ความ คือ การเก็บใจความสำคัญของเร่อื งมาเรยี บเรียงใหมใ่ หส้ ั้น กระชับ

แต่มีใจความสำคญั ครบถ้วนสมบูรณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เม่ือไร อยา่ งไร นำมาเรียบเรยี งใหม่ใหเ้ ป็นสำนวน
ภาษาของตนเอง โดยลกั ษณะการเขียนย่อความของงานเขียนแตล่ ะประเภทจะมีลักษณะทแี่ ตกตา่ งกนั ซงึ่ ผูเ้ ขยี น
ตอ้ งทำความเข้าใจรปู แบบการเขียนแตล่ ะประเภท

สาระการเรยี นรู้/เน้ือหาย่อย
ความรู้(K)
นกั เรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องรปู แบบการเขียนย่อความ
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถจำแนกรปู แบบการเขยี นยอ่ ความได้อยา่ งถูกต้อง
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรียนสามารถนำความรู้เรอ่ื งรูปแบบการเขยี นยอ่ ความไปเปน็ แนวทางในการเขยี นย่อความตาม

รูปแบบการเขียนย่อความในการเรียนระดับตอ่ ไปได้

จดุ เน้นสู่การพัฒนาคณุ ภาพผ้เู รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทักษะด้านการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา

(Critical Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการสอื่ สาร สารสนเทศและรูเ้ ท่าทันสือ่ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT

Literacy)

ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง (Change)

การประเมนิ ผลรวบยอด
ชิ้นงานหรอื ภาระงาน
ใบงาน เร่อื ง รูปแบบการเขยี นยอ่ ความ

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ

ครกู ล่าวทักทายนักเรยี น แลว้ ครูใช้คำถาม “ขอ้ ความบนกระดาน นกั เรยี นทราบหรอื ไมว่ ่าเป็นการ
เขียนประเภทใด” จากน้นั ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นโต้ตอบกบั ครู (K)

ขนั้ สอน

๑. ครแู จกใบความรูใ้ ห้ความรู้กับนกั เรยี น เร่ือง รปู แบบการเขียนย่อความ จากนัน้ ครูอธิบาย
ความหมายของการเขียนยอ่ ความ รูปแบบของการย่อความประเภทตา่ ง ๆ และครูยกตวั อย่างการเขยี นย่อความ

เพ่ือใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจถึงความหมายและรปู แบบของการเขียนยอ่ ความมากยิง่ ขึ้น (K)
๒. ครใู หน้ ักเรียนทำใบงาน เรือ่ ง รปู แบบการเขียนยอ่ ความ โดยใหน้ กั เรยี นจับครู่ ปู แบบการเขียนย่อ

ความประเภทตา่ ง ๆ มาใหถ้ กู ต้อง (K, P, A)

๓. ครูให้นักเรียนออกมานำเสนอหน้าช้ันเรียน โดยเลือกจากสญั ลักษณท์ ี่ครูทำไวด้ า้ นหลงั ใบงาน
จำนวน ๑ คน จากนนั้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั เสนอแนะรายละเอียดเพิม่ เติม (P, A)

ข้ันสรปุ
ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรปุ ใบงาน “รปู แบบการเขียนย่อความ” เปน็ ใบงานที่ให้นกั เรียนจบั คู่รปู แบบ

การเขียนยอ่ ความประเภทตา่ ง ๆ ใหถ้ ูกตอ้ ง จากการทำใบงานนักเรียนสามารถปฏบิ ัตไิ ดอ้ ย่างถกู ต้อง สะทอ้ นผลได้

วา่ นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในความหมาย สามารถบอกรูปแบบการเขยี นเขยี นย่อความได้ และสามารถนำ

ความรูท้ ไ่ี ด้จากการเรยี น เร่อื ง การเขยี นย่อความ ไปเปน็ แนวทางในการเขียนย่อความตามรปู แบบการเขยี นย่อ
ความในการเรยี นระดบั ต่อไปได้ (K, P, A)

การวดั ผลประเมินผล

วธิ กี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ

ประเมินใบงาน เรอ่ื ง รูปแบบการเขยี นย่อความ ใชว้ ธิ ี ใบงาน เรื่อง รปู แบบการเขยี นย่อ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ

วัดผลจากการทำใบงานของนกั เรยี นแต่ละคน โดยมี ความ รอ้ ยละ ๕๐

ประเดน็ ในการวดั ผล ได้แก่ มคี วามรูค้ วามเขาใจ

เร่ืองรปู แบบการเขยี นยอ่ ความ สามารถอธิบาย

รูปแบบการเขยี นย่อความ จำแนกรปู แบบการเขยี น

ยอ่ ความ การใชภ้ าษาและความสะอาดเรียบร้อย

จากน้ันนำผลการประเมนิ มาเป็นข้อมูลในการ

ปรบั ปรงุ และพฒั นานักเรียน และการจดั การเรียน

การสอนของครใู นครัง้ ตอ่ ๆ ไป

ส่อื การเรียนรู้
ใบความรู้เร่ือง รปู แบบการเขียนย่อความ

ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงช่อื ................................................................
(...............................................................)
วนั ท่.ี ........../...................../...........

บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปัญหา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธิเดช สกลุ ซง้ )
วนั ที่............../......................./..............

แบบประเมินใบงาน ช้นั ม.๑
เร่อื ง “รปู แบบการเขยี นยอ่ ความ”

รายการประเมิน

ท่ี ชอ่ื -สกลุ ความ ู้รความเขาใจเ ่ืรอง ูรปแบบการ รวม สรุปผล
เ ีขยนย่อความ
สามารถอธิบาย ูรปแบบการเขียนย่อ
ความ
จำแนก ูรปแบบการเ ีขยนย่อความ
การใช้ภาษา
ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไม่ผ่าน

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื วา่
ผา่ นเกณฑ์

ใบความรู้
เรื่อง การเขยี นย่อความ

การเขียนย่อความ คือ การเก็บใจความสำคญั ของเรือ่ งมาเรยี บเรยี งใหมใ่ หส้ ัน้ กระชบั
แต่มีใจความสำคัญครบถว้ นสมบรู ณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไร แลว้ นำความคิดหลัก
มาเรียบเรยี งใหม่ให้เปน็ สำนวนภาษาของตนเอง

รปู แบบของการเขยี นยอ่ ความ

1. เรื่องที่ย่อความเรยี งรอ้ ยแก้ว เชน่ นิทาน ตำนาน บทความ ประวัติ บทความ ฯลฯ ต้องบอกประเภท ช่อื เรือ่ ง
ชอ่ื ผแู้ ต่ง ทมี่ า ดงั นี้
ตัวอย่าง

นิทานเร่ือง .................................................. ของ ....................................................
จาก ............................หน้า...............................ความวา่ .........................................................

2. เรือ่ งท่ยี ่อเปน็ ประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์ ระเบียบคำส่ัง ตอ้ งบอกประเภท ชอื่ เรือ่ ง ผอู้ อกหนังสือ ผ้รู ับ
วันเดือนปีท่ีออกหนงั สือ ดังน้ี
ตัวอย่าง

คำส่ังเรื่อง............................ของ...................................ถึง....................ลงวนั ท่ี..........................
ความว่า......................................................................................................................................................

3. เรื่องทีย่ อ่ เปน็ จดหมาย ใหบ้ อกว่าเปน็ จดหมายของใคร ถงึ ใคร เร่อื งอะไร ลงวนั ท่ีเทา่ ไร ดังนี้
ตัวอย่าง

จดหมายของ...................................ถงึ ...............................เรือ่ ง..................................
ความว่า........................................................................................................................................

4. เรื่องทีย่ ่อเป็นหนังสอื ราชการ ตอ้ งบอกว่าเปน็ หนังสอื ราชการของหน่วยงานใด ถึงใคร เร่อื งอะไร เลขที่เทา่ ไร
ดงั นี้ ตัวอยา่ ง

หนังสือราชการของ...........................ถงึ ...........................เรือ่ ง...............................................
เลขที่...................................ลงวันที.่ ...................................ความว่า........................................................

5. เรื่องที่ย่อเป็นพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท โอวาท สนุ ทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรยั ต้องบอกประเภท
ผู้กล่าว แสดงแก่ใคร เร่ืองอะไร เนื่องในโอกาสใด สถานท่ี วนั ที่ ดงั น้ี
ตวั อยา่ ง

คำปราศรยั ของ.........................แก.่ ...................................เรอื่ ง................................................
เนือ่ งใน....................................ณ.............................วันท.่ี ...................ความวา่ ........................................

ใบงาน
เร่อื ง รูปแบบของการเขียนยอ่ ความ

คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นจับครู่ ูปแบบของการเขียนย่อความประเภทต่าง ๆ มาใหถ้ ูกตอ้ ง

1. ยอ่ ความเรียงรอ้ ยแก้ว บอกว่าเป็นหนงั สอื ราชการจากหน่วยงานใด
ถงึ ใคร เรื่องอะไร เลขท่เี ทา่ ไร ลงวนั ท่เี ท่าไร
2. ยอ่ ประกาศ แจง้ ความ
แถลงการณ์ ระเบยี บคำสง่ั บอกประเภท ผกู้ ล่าว แสดงแก่ใคร เร่อื งอะไร
เนือ่ งในโอกาสใด สถานท่ี วนั ท่ี
กำหนดการ
บอกประเภทของคำประพันธ์ ชื่อเรอื่ ง ผูแ้ ตง่
3. ยอ่ จดหมาย ท่มี า หนา้ ใด

4. ย่อหนงั สือราชการ บอกประเภท ช่ือเร่ือง ผอู้ อกหนงั สอื ผู้รบั วนั
เดือนปที ีอ่ อกหนงั สอื
5. ย่อพระราชดำรัส
พระบรมราโชวาท โอวาท บอกว่าเปน็ จดหมายของใคร ถงึ ใคร เร่ืองอะไร
สนุ ทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรยั ลงวนั ทเ่ี ทา่ ไร

6. ยอ่ บทรอ้ ยกรองหรือคำประพันธ์ บอกประเภท ชื่อเรอ่ื ง ชอื่ ผู้แต่ง ทม่ี า หนา้ ใด

ช่อื .....................................................................................................................ช้นั ....................เลขที่...................

แผนการจดั การเรยี นรู้

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๕ สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากวรรณคดีเรอ่ื งราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา

รหัสวิชา ท ๒๑๑๐๒ ชื่อรายวิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑ ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคุณค่า

และนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จริง

ตวั ชว้ี ัด
ท ๕.๑ ม.๑/๔ สรุปความร้แู ละข้อคดิ จากการอา่ นเพอ่ื ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากวรรณคดี คือ การอ่านวรรณคดีท่ใี ห้ความสำคญั ในสว่ นของการพจิ าณา คำ

ประพันธโ์ ดยจบั ใจความในส่วนของความรแู้ ละข้อคดิ ท่ปี รากฏในเรือ่ ง โดยควรอ่านต้งั แตต่ น้ จนจบเร่ืองแล้วทำ
ความเขา้ ใจเน้ือเรอ่ื งเพอื่ จบั ใจความสำคัญ หรอื ประเด็นสำคญั ท่ผี ู้เขียนตอ้ งการให้ความรแู้ ละขอ้ คิดกับผ้อู ่าน

สาระการเรยี นร้/ู เน้ือหาย่อย
ความรู้ (K)

๑. นกั เรียนมคี วามร้คู วามเข้าใจเนอื้ หาวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา
๒. นกั เรยี นมีความรคู้ วามเขา้ ใจหลักการสรปุ ความรูแ้ ละข้อคิด

ทักษะ/กระบวนการ (P)

๑. นักเรยี นสามารถอธิบายหลกั การสรปุ ความรแู้ ละข้อคดิ ของวรรณคดีได้
๒. นกั เรียนสามารถสรุปความรูแ้ ละข้อคิดจากวรรณคดเี ร่ืองราชาธริ าช ตอนสมงิ พระรามอาสาได้

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความร้ทู ไ่ี ดจ้ ากการสรปุ ความร้แู ละข้อคดิ จากวรรณคดีเร่อื งราชาธิราช ตอนสมงิ พระราม

อาสาไปใช้เป็นแนวทางในการสรปุ ความร้แู ละข้อคิดจากวรรณคดีเรือ่ งอน่ื ๆ ได้

จุดเนน้ สกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รยี น
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)

ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork
and Leadership)

ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและร้เู ท่าทนั สื่อ (Communications, Information, and
Media Literacy)

ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (Computing and ICT

Literacy)

ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทกั ษะการเปล่ยี นแปลง (Change)

การประเมนิ ผลรวบยอด
ภาระงาน/ช้นิ งาน

ใบงาน “วิเคราะห์ความรู้ พิจารณาขอ้ คิดจากราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา”

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขนั้ นำ
๑. นักเรยี นรว่ มกนั ทบทวนวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมงิ พระรามอาสา (K)
๒. ครถู ามคำถามนักเรยี นว่าตัวละครในเรอื่ งตวั ใดทคี่ วรเอาเปน็ แบบอย่าง จากน้นั ให้นักเรียนรว่ มกนั

แสดงความคิดเห็น (K, P, A)
ขนั้ สอน
๑. ครอู ธิบายเนือ้ หาเร่ือง การสรุปความร้แู ละขอ้ คิดจากวรรณคดี โดยอธิบายในสว่ นของความหมาย

หลักการและวธิ ีการสรปุ ความรู้และขอ้ คดิ จากวรรณคดี (K)
๒. ครใู หน้ กั เรยี นทำใบงาน “วเิ คราะห์ความรู้ พจิ ารณาข้อคิดจากราชาธิราช ตอนสมิงพระราม

อาสา” โดยให้นกั เรยี นอ่านเนอื้ เรอื่ งในหนงั สือวรรณคดแี ละวรรณกรรมและพิจารณาว่าปรากฏความรแู้ ละขอ้ คดิ
ใดบ้าง (K, P)

๓. ครใู ห้ตวั แทนนักเรยี น ๒ คนออกมานำเสนอผลงาน ซึ่งในขณะทนี่ ักเรียนนำเสนองานจบครจู ะให้
ขอ้ เสนอแนะเพ่อื ให้กำลงั ใจและชีแ้ นะแนวทางการทำใบงานอย่างถกู ต้อง (K, P)

ขน้ั สรปุ
ครูใหน้ กั เรียนร่วมกันสรปุ การทำใบงานเรอ่ื ง “วิเคราะหค์ วามรู้ พจิ ารณาข้อคิดจากราชาธริ าช ตอน

สมงิ พระรามอาสา” ซึง่ เปน็ ใบงานทใี่ ห้นักเรียนแต่ละคนไดว้ เิ คราะห์ในสว่ นของความรู้และข้อคิดที่ปรากฏใน

ราชาธริ าช ตอนสมิงพระรามอาสา สะทอ้ นผลว่านกั เรยี นมคี วามร้คู วามเขา้ ใจเก่ียวกับการสรุปความรแู้ ละข้อคิด
วรรณคดเี ร่อื งราชาธิราช ตอนสมิงพระราม และสามารถนำความรูไ้ ปเป็นแนวทางในการวิเคราะห์วรรณคดีเรอ่ื ง
ราชาธิราช ตอนสมงิ พระรามอาสาและวรรณคดเี รื่องอ่ืน ๆ ได้ (K, P, A)

การวดั ผลประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมนิ

วธิ กี าร เคร่ืองมือ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ร้อยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงาน เรือ่ ง “วิเคราะห์ความรู้ พิจารณา ใบงาน เร่อื ง วิเคราะหค์ วามรู้
ข้อคิดจากราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา” ใช้ พจิ ารณาข้อคิดจากราชาธิราช
วธิ ีการวัดผลจากการทำใบงานของนักเรยี นแต่ละคน ตอนสมิงพระรามอาสา
โดยมปี ระเดน็ ในการวัดผล ไดแ้ ก่ มีความรูค้ วาม
เข้าใจการสรปุ ความรู้และข้อคดิ จากวรรณคดี
สามารถอธิบายความรู้และข้อคิดจากวรรณคดี
เขียนสรปุ ความรแู้ ละข้อคดิ จากวรรณคดตี รงประเดน็
การใช้ภาษาและความสะอาดเรียบรอ้ ย จากนั้นนำผล
การประเมนิ ไปเปน็ ข้อมูลในการปรับปรุงเพ่ือพัฒนา
นักเรียนและการจดั การเรยี นการสอนของครใู นครง้ั
ตอ่ ๆ ไป

สอ่ื การเรยี นรู้
๑. หนงั สอื เรยี น วรรณคดีและวรรณกรรม ม. ๑
๒. ใบความรู้ การสรุปความร้แู ละขอ้ คิดจากวรรณคดี

ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................................
(...............................................................)
วนั ท่.ี ........../...................../...........

บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
๒. ปญั หาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปญั หา
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงช่อื .................................................
(นายฤทธิเดช สกุลซง้ )
วันท.ี่ ............./......................./..............

แบบประเมินใบงาน ม.๑
เร่ือง “วิเคราะห์ความรู้ พิจารณาข้อคิดจากราชาธริ าช ตอนสมงิ พระรามอาสา”

รายการประเมนิ

ท่ี ชอ่ื -สกลุ ๑. ีมความ ู้รความเ ้ขาใจการสรุปความ ู้ร รวม สรปุ ผล
และ ้ขอคิดจากวรรณค ีด
๒. สามารถอ ิธบายความ ู้รและ ้ขอคิด
จากวรรณค ีดไ ้ด
๓. เ ีขยนส ุรปความ ู้รและ ้ขอคิดจาก
วรรณค ีดตรงประเ ็ดน
๔. สามารถใ ้ชภาษาไ ้ด ูถก ้ตอง
๕. ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผา่ น

๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขนึ้ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐ จงึ จะถอื วา่
ผา่ นเกณฑ์


Click to View FlipBook Version