The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พันธะโคเวเลนต์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ing Ing, 2022-09-20 10:55:07

พันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์

Keywords: เคมี,น่าสนใจ

พันธะโคเวเลนต์

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 พันธะเคมี วิชาเคมี 1 ว31221 ชั้นมัธยมปีที่ 4

จัดทำโดย

นางสาวธิดารัตน์ ศรีษะสม เลขที่ 24
นางสาวพิมพ์ปันหยา จุฬามณี เลขที่ 28

นางสาวภควดี ทวีวัฒนา เลขที่ 30
นางสาววรัณญา หนูพันธ์ เลขที่ 33

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3

คำนำ

E - B O O K เ ล่ ม นี้ จั ด ทำ ขึ้ น เ พื่ อ เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ร า ย วิ ช า เ ค มี โ ด ย ผู้ เ ขี ย น จั ด ทำ เ รื่ อ ง
พันธะโคเวเลนต์ซึ่งเป็นเนื้อหาเบื้องต้นในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

โดยข้อมูลใน E-BOOK เล่มนี้ได้สืบค้นมาจากหนังสือเรียนรายวิชาเคมีชั้น
มัธยมศึกษาปีที่4 เเละความรู้จากเรียนในชั้นเรียน

ผู้เขียนขอขอบคุณผู้เเต่งเเละผู้เรียบเรียงหวังว่า E-BOOK เล่มนี้จะเป็นประโยชน์
ต่ อ ผู้ ที่ เ ข้ า ม า ศึ ก ษ า

คณะผู้จัดทำ
นางสาว ธิดารัตน์ ศรีษะสม
นางสาว พิมพ์ปันหยา จุฬามณี
นางสาว ภควดี ทวีวัฒนา
นางสาว วรัณญา หนูพันธ์

สารบัญ หน้า

พันธะโคเวเลนต์ 1
2
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
การเขียนสูตรเคมีและแสดงพันธะโคเวเลนต์ 3
ธาตุกับการเกิดพันธะโคเวเลนต์ 4
การเขียนสูตรของสารประกอบโคเวเลนต์ 6
การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ 7
พลังงานพันธะและความยาวพันธะ 10
รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ 14
มุมระหว่างพันธะในโมเลกุลโคเวเลนต์ 18
สภาพขั้วของโมเลกุล 20
บรรณานุกรม

1

พันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์ (covalent bonding) เป็นพันธะเคมีที่เกิดจากอะตอมของโลหะมี
การนำอิเล็กตรอนมาใช้ร่วมกัน ซึ่งสารประกอบโคเวเลนต์อาจเกิดจากอะตอมของ
อโลหะชนิดเดียวกันหรือต่างกันชนิดกันก็ได้

1.1 ชนิดของพันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างอะตอมของธาตุอโลหะกับอโลหะ ซึ่ง
อโลหะมีพลังงานไอออไนเซชันสูง จึงเสียอิเล็กตรอนได้ยาก ดังนั้นการเกิด
พันธะโคเวเลนต์จึงไม่มีอะตอมใดให้อิเล็กตรอนแก่อีกอะตอมหนึ่ง แต่จะมีการใช้
เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน เพื่อให้แต่ละอะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8
ตามกฎออกเตต

พันธะโคเวเลนต์แบ่งออกเป็น 3 ชนิด


1.พันธะเดี่ยว (single bond) เกิดจากอะตอมของอโลหะมาสร้างพันธะกันมีการ

ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่
2.พันธะคู่ (double bond) เกิดจากอะตอมของอโลหะมาสร้างพันธะกันมีการใช้
อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่
3.พันธะสาม (triple bond) เกิดจากอะตอมของอโลหะมาสร้างพันธะกันมีการใช้
อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่

2

1.2.การเขียนสูตรเคมีแสดงพันธะโคเวเลนต์

สูตรเคมี หมายถึง สัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อแสดงว่าสารประกอบนั้นประกอบด้วยธาตุ
ชนิดใดบ้าง อย่างละกี่อะตอม แบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้

1.สูตรโมเลกุล เป็นสูตรที่สามารถบอกจำนวนและธาตุที่เป็นองค์ประกอบใน
โมเลกุลได้แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพันธะกันระหว่าง
อะตอมในโมเลกุล

2.สูตรอย่างง่าย เป็นสูตรที่แสดงให้ทราบว่าสารประกอบนั้น ประกอบด้วยธาตุ
ชนิดใดบ้างและมีอัตราส่วนของอะตอมเป็นเท่าใด

3.สูตรโครงสร้าง เป็นสูตรที่สามารถบอกจำนวนและธาตุที่เป็นองค์ประกอบใน
โมเลกุลได้และสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพันธะกันระหว่างอะตอม
ในโมเลกุลด้วย การเขียนสูตรโครงสร้างจะยึดอะตอมกลางเป็นหลัก ซึ่งการเขียน
สูตรโครงสร้างมี 2 ลักษณะ ดังนี้

1.) สูตรโครงสร้างแบบจุด (electron dot formula) หรือ สัญลักษณ์แบบจุด
ของลิวอิส (Lewis formula) จะใช้จุดหรือกากบาทเพื่อแสดงจำนวนเวเลนซ์
อิเล็กตรอนของธาตุนั้นๆ ซึ่งอะตอม 2 อะตอมมาใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน จะนำจุด
มาวางใกล้กันบริเวณตรงกลางระหว่างอะตอมทั้งสอง โดยเรียกอิเล็กตรอนที่
ใช้ร่วมกันว่า อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ (bond pair electron) ส่วนอิเล็กตรอนที่
เหลือกระจายอยู่รอบๆ อะตอม เรียยกอิเล็กตรอนที่เหลือว่า อิเล็กตรอนคู่โดด
เดี่ยว (lone pair electron)

3

2.) สูตรโครงสร้างแบบเส้น (line structure formula) จะใช้เส้นแทนพันธะโค
เวเลนต์หรืออิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 1 คู่ สูตรแบบเส้นเป็นการกำหนดขึ้นมาพื่อ
ให้เขียนสูตรโครงสร้างได้ง่ายขึ้น โดยใช้เส้นตรง 1 เส้น (-) แทน อิเล็กตรอนที่
ใช้ร่วมกัน 1 คู่ ใช้เส้นตรง 2 เส้น ( = ) แทน อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน 2 คู่

1.3 ธาตุกับการเกิดพันธะโคเวเลนต์

ธาตุที่มาสร้างพันธะเป็นพันธะโคเวเลนต์ ดังนี้
1.ธาตุอโลหะรวมตัวกับธาตุอโลหะ จะสร้างพันธะโคเวเลนต์เสมอ เพราะ
พลังงานไอออไนเซซันสูง ดังนั้นจึงเสียอิอิเล็กตรอนได้อยาก เพื่อให้มีเวเลนต์
อิเล็กตรอนครบ 8 อะตอม
2. พันธะกึ่งโลหะรวมตัวกับธาตุโลหะ เป็นธาตุกึ่งโลหะ เช่น B Si As Sb เเละ Ge
จัดเป็นธาตุที่มีไอออไนเซชันสูงเช่นกัน ดังนั้น จึงสาามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์
กับธาตุอโลหะได้

3.ธาตุโลหะรวมตัวกับธาตุอโลหะ โลหะบางชนิดที่มีพลังงานไออไนเซชันสูง
เช่น Be Sn และ Hg ก็สามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุอโลหะได้

4

1.4 การเขียนสูตรของสารประกอบโคเวเลนต์

จากลักษณะการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุ สามารถใช้ข้อมูลนี้มาช่วยในการ
เขียนโครงสร้างของสารประกอบโคเวเลนต์ได้ ดังนี้



1. เลือกอะตอมกลาง โดยอะตอมกลางต้องเป็นธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี
น้อยที่สุด
2. เลือกรูปแบบของอะตอมกลางที่เหมาะสม
3. เลือกรูปแบบของอะตอมที่อยู่รอบข้าง
4. รวมอะตอมกลางกับอะตอมรอบข้างเข้าไว้ด้วยกัน
5. เปลี่ยนจากจุดเส้นโดยอิเล็กตรอน 2 ตัว จะมี่ค่าเท่ากับเส้นที่สร้างพันธะกัน
1 เส้น

สูตรของสารประกอบโคเวเลนต์ที่ควรรู้จัก มีดังนี้

1.โมเลกุลที่เป็นไปตามกฎออกเตต การเกิดสารประกอบโคเวเลนต์นั้น ธาตุจะพยายาม
ปรับตัวให้มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 8 และอะตอมกลางมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบไม่
ขาดไม่เกิน

2.โมเลกุลที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตต มีจำนวนอิเล็กตรอนไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
โดยบางชนิดมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 8 ส่วนบางชนิดกลับมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน
มากกว่า 8

5

พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ (Co-ordinate covalent bond)
เป็นพันธะโคเวเลนต์ประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากการที่อะตอมหนึ่งไปใช้อิเล็กตรอนคู่
โดดเดี่ยวของอีกอะตอมหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ใช้ร่วมกัน แต่พันธะชนิดนี้ก็มีสมบัติ
เหมือนกับการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันทุกอย่าง

กรดออกซี คือกรดที่เกิดจาก H + อโลหะ + O
การเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของกรดออกซี
1. เขียนอะตอมกลาง
2. เขียนออกซิเจนล้อมรอบอะตอมกลาง
3. เขียนไฮโดรเจนต่อจากออกซิเจน
4. เขียนเส้นแสดงพันธะเดี่ยวหรือพันธะคู่หรือพันธะสาม และถ้าเกิน

แสดงว่ามีพันธะโคออร์ดิเนต โคเวเลนต์

6

1.5 การเขียนสูตรเเละเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์

การเขียนสูตรโมเลกุลของสารประกอบโคเวเลนต์ให้เขียนสัญลักษณ์ของธาตุ
ที่เป็นองค์ประกอบ โดยเขียนสัญลักษณ์ของธาตุที่เป็นอะตอมกลางและตาม
ด้วยธาตุที่ล้อมรอบ

การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์มีหลักการดังนี้

สารประกอบโคเวเลนต์ที่มีโมเลกุลประกอบด้วยธาตุ 2 ชนิด ให้เรียกชื่อธาตุที่อยู่
ด้านหน้าก่อน แล้วตามด้วยธาตุที่อยู่ด้านหลัง และเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น
ไ-ด์ (-ide)

ตัวอย่างการเรียกชื่อ

7

การระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุล จะระบุด้วย
ภาษากรีดังตารางต่อไปนี้

ตาราง:จำนวนอะตอมในภาษากรีกที่ใช้เรียกสาร

ข้อควรจํา ในการเขียนสูตรของสารโคเวเลนต์ให้เขียนสัญลักษณ์ของธาตุอโลหะที่มี
ความเป็นโลหะน้อยไปหามาก หรือเรียงลําดับจากค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี้ น้อยไปหา
มาก ดังนี้ B Si C P N H Se S I Br

1.6 พลังงานพันธะเเละความยาวพันธ


โมเลกุลของสารที่มาสร้างพันธะโคเวเลน
ต์ต้องมีพลังงานพันธะเเละความยาว
พันธะที่เหมาะสมจึงจะเกิดเป็นสารประกอบโคเวเลนต์

1.พลังงานพันธะ

เป็นพลังงานปริมาณน้อยที่สุดที่ใช้ในการสลายพันธะโคเวเลนต์หรือเป็นพลังงาน
ปริมาณน้อยที่สุดที่คายออกมาเมื่อเกิดการสร้างพันธะโคเวเลนต์ ตัวอย่าง เช่น
การสร้างพันธะของเเก๊สไฮโดเจน (H2)

H(g) + H(g) H (g) + 436 kJ

2

8

2.ความยาวพันธะ คือระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมที่เกิดพันธะโคเวเลนต์
กัน อะตอมของธาตุคู่เดียวกันถ้าอยู่ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกันอาจมีความยาว
พันธะต่างกันได้ ดังนั้นในการกําหนดความยาวพันธะ จึงคิดจากค่าเฉลี่ย จึงเรียก
ว่า ความยาวพันธะเฉลี่ย

ข้อสังเกตุเกี่ยวกับความยาวพันธะเคมี

-12

1. ความยาวพันธะมีหน่วยเป็น พิโกเมตร (pm= 10 m)

2. ความยาวพันธะจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพันธะและ
พลังงานพันธะ

3. การเปรียบเทียบคยาวยาวพันธะที่เกิดจากคู่ของอะตอมชนิดเดียวกัน
จะมีลำดับความยาวพันธะ ดังนี้ พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม

4. พันธะที่เกิดจากคู๋ของอะตอมชนิดเดียวกัน ความยาวพันจะแปรผัน
พลังงานพันธะ

ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของพันธะกับความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
ธาตุบางชนิดสามารถเกิดพันธะได้ทั้งพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม พันธะ
แต่ละชนิดจะมีความสัมพันธ์ระหว่างความยาวพันธะและพลังงานพันธะคล้ายกัน
เช่น

ชนิดของพันธะ พลังงานพันธะ
C-C 348
C-H 413
C=C 614

9

ปรากฎการณ์เรโซแนนซ์

การที่สารชนิดหนึ่งมีพันธะในโมเลกุลเป็นพันธะเดี่ยวสลับกับพันธะคู่ เช่น ใน
โมเลกุลของ SO2จะมีพันธะเดี่ยวสลับกับพันธะคู่ ซึ่งความยาวพันธะของทั้งสอง
ไม่น่าจะเท่ากัน พันธะเดี่ยวจะมีความยาวพันธะมากกว่าพันธะคู่ แต่โดยข้อเท็จ
จริงความยาวพันธะของทั้งคู่ยาวเท่ากัน และเป็นความยาวพันธะที่ไม่ใช่ค่าของ
พันธะเดี่ยวหรือพันธะคู่ แต่จะมีความยาวพันธะมากกว่าพันธะคู่ และน้อยกว่า
พันธะเดี่ยว ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการที่อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะของทั้งสอง
พันธะ สามารถเคลื่อนที่สลับไปมาระหว่างพันธะทั้งสอง จึงเกิดการเฉลี่ยการใช้
อิเล็กตรอนร่วมในพันธะเป็นข้างละ 1 1⁄2 คู่ ปรากฎการณ์ดังกล่าว
เรียกว่า เรโซแนนซ์ ดังโครงสร้างต่อไปนี้

10

1.7.รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์

การจัดเรียงอะตอมต่างๆ ในโมเลกุลโคเวเลนต์แต่ละชนิดจะมีลักษณะและ
ตำแหน่งที่ตั้ง ทำให้โมเลกุลมีรูปร่างของโมเลกุลมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง
จะมีความสัมพันธ์กับสมบัติของสารประกอบ ดังนั้น การศึกษารูปร่างของโมเลกุล
เพื่อใช้ในการอธิบายสมบัติของสารโคเวเลนต์นั่นเอง

การบอกรูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ต้องอาศัยปัจจัยที่สำคัญ 2 ปัจจัย ดังนี้

1.ความยาวของพันธะ (bond length) คือระยะทางระหว่าง
นิวเคลียสของอะตอมคู่ที่สร้างพันธะโคเวเลนต์ระหว่างกัน

2.มุมพันธะ (bond angle) คือมุมที่เกิดขึ้นเมื่ออะตอม 2 อะตอมมาสร้าง
พันธะกับอะตอมกลาง

การทำนายรูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์สามารถทำได้ดังนี้

1. เลือกอะตอมกลาง ซึ่งเป็นอะตอมที่สร้างพันธะมากที่สุด
2. นับจำนวนพันธะที่อะตอมกลางสร้างได้

3. นับจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่อยู่ล้อมรอบอะตอมกลางนั้น

4. แรงจากอิเล็กตรอนที่สร้างพันธะและไม่ได้สร้างพันธะ จะทำให้โมเลกุล
มีรูปร่างแบบต่างๆ โดยรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
ดังนี้

11

1.กลุ่มที่ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่อะตอมกลาง

เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณารูปร่างจึงพิจารณาสารประกอบที่มีธาตุประกอบ
เพียง 2 ชนิด โดยสมมติให้ A เป็นอะตอมกลางเเละ X เป็นอะตอมที่อยู่ล้อมรอบ
โดยทั่วไปสูตรโมเลกุลของสารปนะกอบจะเป็น AX โดยที่ n เป็นจำนวนอะตอมที่อยู่
ล้อมรอบอะตอมกลางเเละ n มีความจำเป็น 2 ถึง 6

โมเลกุลที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ซึ่งเป็นไปได้ 5 แบบดังนี้

1. เส้นตรง (Linear : AB2) ได้แก่โมเลกุลที่มีจํานวนพันธะ 1 หรือ 2 พันธะ
- โมเลกุลที่มีจํานวนพันธะ 1 พันธะ จะมีรูปร่างเป็นเส้นตรง เช่น HCl , N
- โมเลกุลที่มีอะตอมกลางเกิดพันธะ 2 พันธะ และไม่มีอิเล็กตรอนคู่ 2
โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง เช่น และมีมุมระหว่างพันธะ 180 องศา

2. สามเหลี่ยมแบนราบ (Trigonal Planar : AB3 ) ได้แก่โมเลกุลที่
อะตอมกลางมี 3 พันธะ ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มุมระหว่างพันธะ 120
องศา เช่น BF 3 , SO3

3. ทรงสี่หน้า ( Tetrahedral : AB4 ) ได้แก่โมเลกุลที่อะตอมกลางมี 4
พันธะ ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มุมระหว่างพันธะ 109.5 องศา เช่น
CH 4

12

4. ปิระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม ( Bipyramid Triangular : AB5 ) ได้แก่
โมเลกุลที่อะตอมกลางมี 5 พันธะ ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มุมระหว่าง
พันธะ 90 องศา และ 120 องศา เช่น PCl5

5. ทรงแปดหน้า ( Octahedral : AB6) ได้แก่โมเลกุลที่อะตอมกลางมี
6 พันธะ ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มุมระหว่างพันธะ 90 องศา เช่น SF6

2.กลุ่มที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่อะตอมกลาง

ในโมเลกุลโคเวเลนต์บางโมเลกุลที่อะตอมกลางยังไม่สร้างพันธะเหลืออยู่ เรียก
อิเล็กตรอนนี้ว่า อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ซึ่งตามปกติอิเล็กตรอนจะส่งแรงผลัก
ระหว่างกัน โดยเรียงลำดับความแรงของแรงผลักได้ ดังนี้

อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวกับ อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
กับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ กับอิเล็กตรอนคู่ร่วม


พันธะ

13

รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์

E0 E1 E2 E3

AB2 เส้นตรง งอ งอ เส้นตรง
ที(T)
AB3 เเบนราบ พีระมิดฐ.
ทรงสี่หน้า แบนราบ

AB4 ทรงสี่หน้า บิดเบี้ยว

AB5 พีระมิดฐ. พีระมิดฐ.

AB6 ทรงแปดหน้า

หมายเหตุ A คือ อะตอมกลาง
B คือ ตัวล้อมรอบ
E คือ Lone pair

14

1.8 มุมะหว่างพันธะในโมเลกุลโคเวเลนต์

มุมพันธะ (bond angle) คือมุมที่เกิดขึ้นเมื่ออะตอม 2 อะตอม มาสร้างพันธะกับ
อะตอมกลาง โดยมุมพันธะจากมากหรือน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้เเก่
อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่อยู่รอบอะตอมกลาง รูปร่างของโมเลกุล จำนวนพันธะที่
อยู่รอบอะตอมกลาง เเละค่าอิเล็กตรอนโทรเนกาติวิตี

1.โมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่ที่โดดเดี่ยวเเต่มีอิเล็กตรอนคู่
ร่วมพันธะ

พิจารณาจากจำนวนพันธะ หากโมเลกุลใดมีพันธะที่ล้อมรอบอะตอมกลางมาก
โมเลกุลนั้นจะมีพันธะน้อย

2.โมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มีรูปร่างเเบบ
เดียวกันเเต่มีพันธะรอบอะตอมเเตกต่างกัน

โมเลกุลของสารเหล่านี้จะมีมุมพันธะเท่ากันเสมอ

15

3.โมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มีรูปร่างเเบบ
เดียวกันเเต่มีพันธะรอบอะตอมเเตกต่างกัน

โมเลกุลของสารเหล่านี้จะมีมุมพันธะเท่ากันเสมอ

4.โมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว

ให้พิจารณาจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โดยโมเลกุลใดมีจำนวนอิเล็กตรอนโดด
เดี่ยวที่อยู่ล้อมรอบอะตอมกลางมาก โมเลกุลนั้นจะมีมุมพันธะน้อย

16

5.โมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีรูปร่างเหมือนกัน

โดยอะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่เท่ากัน เเต่มีอะตอมกลางไม่เหมือน
กันหรืออะตอมที่มาสร้างพันธะด้วยไม่เหมือนกันโมเลกุลเหล่านี้จะมีมุมพันธะต่างกัน
การพิจารณามุมพันธะของโมเลกุลเหล่านี้เเบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้

1. โมเลกุลโคเวเลนต์มีรูปร่างเหมือนกัน เเต่มีอะตอมกลางไม่เหมือนกัน เนื่องจาก
ขนาดของมุมขึ้นอยู่กับเเรงผลักของโมเลกุลที่มีเเรงผลักของอิเล้กตรอนบริเวณ
อะตอมกลางมากโมเลกุลจะมีขนาดโมเลกุลใหญ่

2. โมเลกุลโคเวเลนต์มีรูปร่างเหมือนกัน เเต่มีอะตอมที่ล้อมรอบที่ไม่หเหมือนกัน ให้
พิจารณาจากค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีของอะตอมที่ล้อมรอบ โดยอะตอมที่ล้อมรอบที่
มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า

17

การเปรียบเทียบมุมพันธะ

ขั้นตอนการเปรียบเทียบ
1. หา n (n คือตัวแปรที่สมมุติขึ้นมา)

n = พันธะ + Lone pair

2. เปรียบ n n มากมุมเล็ก, n น้อยมุมใหญ่

3. กรณี n เท่ากันให้ดู Lone pair

Lone pair มากมุมเล็ก
Lone pair น้อยมุมใหญ่

18

1.9 สภาพขั้วของโมเลกุล

สภาพขั้วที่พบในโมเลกุลโคเวเลนต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ สภาพ
ขั้วของพันธะ ซึ่งเป็นผลต่างของค่า EN ของธาตุที่มาสร้างพันธะกัน และ สภาพ
ขั้วของโมเลกุล ซึ่งเป็นผลรวมของสภาพขั้วของพันธะ

1.สภาพขั้วของพันธะ เป็นการพิจารณาสภาพขั้วเฉพาะคู่ของธาตุ
ที่มาสร้างพันธะกันโดยแบ่งสภาพขั้วอกกเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. พันธะไม่มีขั้ว เป็นพันธะที่เกิดจากธาตุชนิดเดียวกันมาสร้างพันธะ
ร่วมกัน จึงทำให้มีการกระจายของอิเล็กตรอนเท่าๆกันระหว่าง 2
อะตอม

2. พันธะมีขั้ว เป็นพันธะที่เกิดจากธาตุต่างชนิดกันสร้างพันธะร่วมกัน
ทำให้มีการกระจายของอิเล็กตรอนไม่เท่ากันระหว่าง 2 อะตอม โดย
ด้านอโลหะที่มีค่า EN สูงกว่าจะมีการกระจายตัวของอิเล็กตรอนสูง
จะมีสภาพเป็นประจุลบ ส่วนด้านอโลหะที่มีค่า EN ต่ำกว่าจะมีการก
ระจายตัวของอิเล็กตรอนน้อย จะมีสภาพเป็นประจุบวก

19

2.สภาพขั้วของโมเลกุล เป็นผลรวมของสภาพขั้วของพันธะแบบเวกเตอร์ ซึ่ง
ในการพิจารณาว่าโมเลกุลใดเป็นโมเลกุลแบบมีขั้วและไม่มีขั้วนั้น สามารถ
พิจารณาได้ 2 กรณี ดังนี้

1. โมเลกุลเพียง 2 อะตอม พิจารณาได้ดังนี้

ถ้าโมเลกุลที่พิจารณามีเพียง 2 อะตอมและทั้ง 2 อะตอมเป็นธาตุ
ชนิดเดียวกัน โมเลกุลนั้นจะไม่มีขั้ว เช่น H2 O 2
ถ้าโมเลกุลที่พิจารณามีเพียง 2 อะตอม และทั้ง 2 อะตอมเป็นธาตุ
ต่างกันชนิดกัน โมเลกุลนั้นจะมีขั้ว เช่น HF HCl

2. โมเลกุลที่มีตั้งแต่ 3 อะตอมขึ้นไปพิจารณาได้ ดังนี้

วาดรูปร่างของโมเลกุลที่ต้องการพิจารณาให้ถูกต้อง

เขียนลูกศรแสดงสภาพขั้วของพันธะ

หาแรงลัพธ์ของสภาพขั้วแบบเวกเตอร์โดย ถ้าแรงลัพธ์ไม่เป็น 0
แสดงว่า โมเลกุลนั้นเป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ถ้าแรงลัพธ์เป็น 0 แสดง
ว่า โมเลกุลนั้นเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว

20

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (ม.ป.ป.).เ คมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1 ตามผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.

พงศธร นันทรเนศ เเละคณะ หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 เล่ม 1
กรุงเทพมหานครฯ :สำนักพิมพ์สกสค.ลาดพร้าว


Click to View FlipBook Version