CCYYTTOOKKIINNIINN
ไซโทไคนิน
รายชื่อสมาชิก
นางสาวธฤษฏา หงษ์ทอง เลขที่ 2
นางสาวธมลวรรณ สระทองทา เลขที่ 5
นางสาวณัฐกานต์ กลิ่นหอม เลขที่ 12
นางสาวณัชฌา เพ็ชร์ชนะ เลขที่ 19
นางสาวภีมวัศนันทน์ อิทธิตระการ เลขที่ 21
นางสาวกนกพิชญ์ เหลืองทอง เลขที่ 24
นางสาวรสิตา วริศวรโชติ เลขที่ 35
นางสาวศศิวิมน ทิมปราง เลขที่ 39
นางสาววาสนา บูระภาพ เลขที่ 42
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 1
การค้นพบสารไซโทไคนินในพืช
ปี ค.ศ.1913 Gottlieb Haberlant นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย
ได้พบสารที่สกัด ได้จากท่ออาหารของพืชหลายชนิด สามารถกระตุ้น
การแบ่งเซลล์ของคอร์กเคมเบียม (cork cambium) และกระตุ้นการ
สมานแผลของหัวมันฝรั่งได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบสารที่
มีผลต่อการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของพืช
ปี ค.ศ.1940 Johannes van Overbeek ได้ค้นพบว่าน้ำมะพร้าว
อ่อนประกอบด้วยสารที่มีผลกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของ พืชอยู่ในปริมาณ
มาก ปี ค.ศ.1950 Folke Skoog และผู้ร่วมงานแห่งมหาวิทยาลัย
วิสคอนซิน ได้รายงานผลการทดลองการนำเอาเซลล์เนื้อเยื่อของท่อ
อาหารไปวางบนเซลล์เนื้อ เยื่อของพิท (pith) ของมะเขือเทศ พบว่า
เนื้อเยื่อพิทแบ่งเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว
ปี ค.ศ.1950 F.C. Steward ได้ค้นพบเทคนิคในการเลี้ยง
เนื้อเยื่อโดยใช้น้ำมะพร้าวผสมลง ในอาหารเลี้ยงเชื้อ เพื่อกระตุ้
นการเแบ่งเซลล์ สารที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์เขา เรียกว่าไซโทไคนิน
(cytokinin) ปี ค.ศ.1954 Carlos Miller ได้พบสารที่สกัดได้จาก DNA
ในสเปอร์มของปลาเฮอร์ริง (harring-sperm DNA) เขาแยกสารได้
6-furfurylaminopurine และตั้งชื่อสารนี้ ว่าไคนี ทิน (kinetin) แต่
สารไคนีทินไม่สามารถพบได้ในพืช การพบสารไคนีทีนถือว่าสำคัญ
มากเนื่องจากเป็นสารที่สามารถ กระตุ้นการแบ่งเซลล์ของพืชได้
ปี ค.ศ.1964 Letham และ Carlor Miller แยกสารได้ จาก
เอ็นโดสเปอร์มของข้าวโพดซึ่งมี โครงสร้างคล้ายสารอะดีนีน เช่น
เดียวกันกับสารไคนีทิน และปี ค.ศ.1974 Letham ได้ตั้งชื่อสามัญ
ของสารที่แยก ได้จากเอ็นโดสเปอร์มของเมล็ดข้าวโพดว่า "Zeatin"
และ" Zeatin riboside"
กระบวนการ สังเคราะห์ไซโทไคนินในพืช (cytokinin
biosynthesis pathway)แหล่งสร้างไซโทไคนินในพืชจะ อยู่
บริเวณอวัยวะอ่อนของพืช เช่น ผล เมล็ด ใบ และ ที่บริเวณ ปลาย
ราก การสร้างไซโทไคนินจะมีผลโดย ตรงต่ออวัยวะส่วนนั้น
ยกเว้นการสร้างที่บริเวณราก ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการสร้างไซโท
ไคนินอิสระ ในพืช โดยไซโทไคนินจะเคลื่อน ย้ายจากรากไป ยัง
บริเวณยอดโดยผ่านไปทางท่อน้ำ
กลไกการทำงานของไซโทไคนิน
ไซโตไคนินมีบทบาทสำคัญคือควบคุมการแบ่งเซลล์ และ
ไซโตไคนินที่เกิดในสภาพธรรมชาตินั้นเป็นอนุพันธ์ของอะดีนีนทั้งสิ้น
ดังนั้นงานวิจัยเกี่ยวกับกลไกการทำงานจึงมีแนวโน้มในความสัมพันธ์กับ
กรดนิวคลีอิค กลไกการทำงานของไซโตไคนินยังไม่เด่นชัดเหมือน
กับออกซิน และจิบเบอเรลลิน แต่ไซโตไคนินมีผลให้เกิดการสังเคราะห์
RNA และโปรตีนมากขึ้นในเซลล์พืช ผลการทดลองบางรายงานกล่าวว่า
หลังจากให้ไซโตไคนินกับเซลล์พืชแล้วจะเพิ่มปริมาณของ m-RNA, t-
RNA และ r-RNA
การศึกษากลไกการทำงานของไซโตไคนิน ในช่วง
ทศวรรษ 1960 ได้เน้นไปในแง่ที่ว่าไซโตไคนินอาจจะส่งผลของฮอร์โมน
ผ่าน t-RNA บางชนิด เนื่องจากมีการค้นพบว่ามีกลุ่มไซโตไคนินปรากฏ
อยู่ร่วมกับ t-RNA หลายชนิด ทั้ง t-RNA ของซีรีน (Serine) และไธโร
ซีน (Thyrosine) มีอะดีนีนเบสซึ่งมี side chain และมีคุณสมบัติเป็นไซ
โตไคนินซึ่งมีประสิทธิภาพสูง ยิ่งไปกว่านั้นในกรณี อะดีนีนซึ่งมี
คุณสมบัติของไซโตไคนินจะอยู่ถัดจากแอนติโคดอน (Anticodon) ของ
t-RNA จึงเป็นที่เชื่อกันว่าการปรากฏของไซโตไคนินบน t-RNA อาจจะ
จำเป็นต่อการเกาะกันของโคดอน (Codon) และแอนติโคดอนระหว่าง
m-RNA และ t-RNA บนไรโบโซม ซึ่งสมมุติฐานที่ว่าไซโตไคนิน
ควบคุมกระบวนการ Translation ผ่านทาง t-RNA จึงได้รับความเชื่อกัน
มากในขณะนั้น
สารสังเคราะห์ที่มีสมบัติ
คล้ายไซโทไคนิน
สารสังเคราะห์ที่มีสมบัติคล้ายไซโทไคนิน
เช่น 6-benzylaminopurine(BA),thidiazuron(TDZ) มีการนำมาใช้
เพื่อช่วยเร่งการแตกตาข้างของพืชรวมทั้งนำความรู้เกี่ยวกับการทำงาน
ร่วมกันของออกซิน และไซโทไคนินมาใช้ในการตัดแต่งกิ่งเพื่อ
ควบคุมทรงพุ่มของไม้ของดอกไม้ประดับและไม้ผลบางชนิด
การใช้ประโยชน์
ในทางการค้าใช้เพิ่มผลผลิตของพืชเศรษฐกิจ ผลผลิตของฝ้าย
เพิ่มขึ้น 5-10% เมื่อแช่ในไซโตไคนินตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด
ทำให้เกิดการสร้างคลอโรพลาสต์มากขึ้น ซึ่งเป็นการ
เปลี่ยนแปลงทางคุณภาพอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อ Callus ได้รับแสง
และไซโตไคนิน Callus จะกลายเป็นสีเขียว เพราะพลาสติ
คเปลี่ยนเป็นคลอโรพลาสต์ได้ โดยการเกิดกรานาจะถูกกระตุ้น
โดยไซโตไคนิน
ทำให้พืชทั้งต้นเจริญเติบโต
กระตุ้นการงอกของเมล็ดพืชบางชนิด
กระตุ้นการแบ่งเซลล์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลล์
กระตุ้นการเจริญของตาช้าง
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ การพัฒนาของแกมีโท
ไฟต์
แหล่งอ้างอิง
https://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359311/PPHY10_hor
https://www.phtnet.org/2015/07/152/
https://hmong.in.th/wiki/Cytokinin