1
เรอื่ ง ผู้นำในดวงใจ
จอมพล สฤษด์ิ ธนะรชั ต์
จัดทำโดย
นายเจษฎากร จันตา รหสั นกั ศกึ ษา 436307001
รายงานนเี้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของวิชา ภาวะผนู้ ำทางการบริหารภาครัฐ 2137212
คณะมนุษยศ์ าสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ สาขารฐั ประศาสนศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎยะลา
ภาคการศึกษา ที่ 2 ปกี ารศึกษา2564
2
คำนำ
รายงานฉบับน้ีจัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาวะ ผู้นำทางการบริหารภาครัฐ (2137212)
เร่อื ง ผู้นำในดวงใจ จอมพล สฤษด์ิ ธนะรชั ต์ เพ่ือให้ได้ศึกษาหาความร้ปู ระวัติ บทบาทหน้าที่ และความสำคัญ
ของผนู้ ำ โดยไดศ้ ึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเช่น หนงั สอื ห้องสมดุ และแหล่งความรู้จากเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างย่ิงว่าการจัดทำรายงานฉบับน้ีจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ ผู้ที่สนใจ
ศึกษา เกี่ยวกับผู้นำในดวงใจ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา
ณ โอกาสนีด้ ว้ ย
นายเจษฎากร จนั ตา
ผู้จดั ทำ
สารบัญ 3
เรอื่ ง หน้า
คำนำ
สารบญั
ปฐมวยั และการศึกษา
รบั ราชการทหาร
บทบาททางการเมอื ง
ชวี ิตสว่ นตวั
เกยี รตยิ ศและรางวัลท่ีไดร้ บั
อ้างอิง
4
ปฐมวัยและการศึกษา
จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ มีชื่อแต่แรกเกิดว่า สิริ ธนะรัชต์ เกิดเม่ือวันท่ี 16 มิถุนายน พ.ศ. 2451
ที่บ้านปากคลองตลาด ตำบลพาหุรัด จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือ ปากคลองตลาด แขวงวังบูรพาภิรมย์
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร) เป็นบุตรของพันตรี หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) กับจันทิพย์
จันทรสาขา (สกลุ เดิม: วงษห์ อม) มีพ่ีชายรว่ มบิดามารดาชอื่ สวสั ดิ์ ธนะรัชต์ มารดามีเชอ้ื สายลาวจากมุกดาหาร
สว่ นบดิ าเป็นชาวพระตะบองซงึ่ อาจมเี ช้ือสายเขมร
ขณะสฤษด์ิอายุได้ 3 ปี จันทิพย์ได้พาบุตรชายท้ังสองกลับจังหวัดมุกดาหารอันเป็นบ้านเดิมเพื่อหนี
หลวงเรืองเดชอนันต์ท่ีมีอนุภริยาจำนวนมาก ระหว่างทางสวัสดิ์บุตรชายคนโตตายระหว่างทางด้วยไข้ป่า
หลังจอมพลสฤษดิ์ได้พำนักอยู่บ้านเดิมของมารดาจนมีอายุได้ 7 ปี บิดาก็รับไปเรียนหนังสือต่อท่ี
กรุงเทพมหานครส่วนจันทิพย์สมรสใหม่กับหลวงพิทักษพ์ นมเขต (สหี ์ จันทรสาขา) มบี ุตร คือ สง่า จันทรสาขา
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, สงวน จันทรสาขา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม และ
ดร.สุรจติ ต์ จันทรสาขา ประธานสภาวฒั นธรรมจงั หวัดมุกดาหาร ซึ่งเปน็ พ่ีนอ้ งต่างบิดาของสฤษด์ิ
สฤษด์ิเร่ิมการศึกษาช้ันตน้ ทจี่ ังหวัดมุกดาหาร จากน้ันเขา้ รบั การศึกษาต่อท่ีโรงเรียนวัดมหรรณพาราม
ในปี พ.ศ. 2462 ไดเ้ ข้าเรียนทโ่ี รงเรียนนายรอ้ ยทหารบก จนกระท่ังสำเร็จการศึกษาเม่ือปี พ.ศ. 2471 ต่อมา
ได้เข้ารับราชการเป็นนักเรียนทำการนายร้อย กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เม่ือวันท่ี 1
เมษายน พ.ศ. 2472
กระทง่ั ไดร้ บั พระราชทานยศรอ้ ยตรเี มื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472
5
รบั ราชการทหาร
ต่อมาใน พ.ศ. 2476 เกิดกบฏบวรเดช นำโดยพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช
ร้อยตรสี ฤษดิ์ ธนะรชั ต์เปน็ หนง่ึ ในผบู้ ังคับหมวดปราบปรามกบฏของฝ่ายรฐั บาล ทม่ี ีพันเอกหลวงพิบลู สงคราม
เป็นผูบ้ ังคบั บญั ชา หลงั จากรัฐบาลได้รบั ชยั ชนะ ได้รบั พระราชทานยศร้อยโท เม่ือปี พ.ศ. 2477 จากนั้นอีก 1
ปคี ือในวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2478 กไ็ ด้เล่ือนยศเป็นรอ้ ยเอก
ใน พ.ศ. 2484 ร้อยเอก สฤษดิ์ ธนะรชั ต์ เข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพาขณะท่ีดำรงตำแหน่ง
ผู้บังคบั การกองทพั ทหารราบที่ 33 จงั หวดั ลำปาง มียศเป็นพนั ตรี ซ่ึงไดร้ ับพระราชทานเมื่อวันท่ี 1 เมษายน
พ.ศ. 2483 จากนน้ั ในวนั ท่ี 15 กนั ยายน พ.ศ. 2486 จงึ ได้รบั พระราชทานยศ พนั โท จนชว่ งปลาย
สงครามโลกคร้ังท่สี อง เม่ือวนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 จงึ ไดเ้ ลอื่ นยศเป็นพันเอก ตำแหน่งผบู้ งั คับการกรม
ทหารราบที่ 13 และผูบ้ งั คับการจงั หวดั ทหารบกลำปาง
6
หลังสงครามโลกคร้ังท่ีสองสงบลง มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจทางการเมือง โดยก่อนหน้าน้ัน เมื่อ
พ.ศ. 2487 อำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เริ่มเสื่อมถอยลง[19] หลังจากลาออกจาก
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พันเอกสฤษด์ิ ธนะรัชต์ กลับเติบโตข้ึนโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการ
กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซ่งึ เป็นหนว่ ยกำลงั สำคัญ
ผูน้ ำสามเส้า
พ.ศ. 2490 คณะนายทหารนำโดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ รัฐประหารโค่นรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์
ธำรงนาวาสวสั ดิ์ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชตเ์ ขา้ รว่ มคณะรัฐประหาร เปน็ การกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหน่ึงของจอม
พล ป. พิบูลสงคราม อย่างไรก็ดี การเมืองในช่วงนั้นเป็น "การเมืองสามเส้า" โดยผู้มีอำนาจสูงสุดในเวลานั้น
สามคน ไดแ้ ก่ จอมพล ป., สฤษดแ์ิ ละ พล.ต.อ. เผ่า จอมพล ป. วางตวั ใหส้ ฤษดแ์ิ ละเผ่าคานอำนาจกนั
7
บทบาททางการเมือง
ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงกลาโหม และเป็นรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงกลาโหม
ในวันที่ 10 สิงหาคม พ .ศ. 2 50 0 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อันเปน็ รัฐบาลชุดสุดท้ายของจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม แตห่ ลังจากน้นั 10 วันก็ลาออก สาเหตเุ ก่ียวขอ้ งกบั การ
เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เม่ือวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 มีการเดินประท้วงของประชาชน
จำนวนมากเรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ลาออก
เม่ือสถานการณล์ ุกลาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งต้ังให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์เปน็ ผู้บญั ชาการ 3 เหล่า
ทัพ เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์สั่งไม่ให้ทหารทำอันตรายประชาชนที่เดินขบวนชุมนุม
ประท้วง และเป็นผู้นำประชาชนเข้าพบจอมพล ป. ท่ีทำเนียบ ทำให้กลายเป็นขวัญใจของประชาชนทันที จน
ได้รับฉายาในตอนน้ันว่า "วีรบุรุษมัฆวานฯ“ จากเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูล
สงครามขาดความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองแล้ว จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ จึงประกาศลาออกจาก
ตำแหนง่ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหมคงเหลอื แตต่ ำแหนง่ ผ้บู ญั ชาการทหารบกเพยี งอยา่ งเดียว
8
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารย่ืนคำขาดต่อจอมพล ป.
พิบูลสงครามให้รัฐบาลลาออก เขาพูดผ่านวิทยุยานเกราะถึงผูช้ ุมนุมในเหตุการณ์นี้ โดยมีประโยค "พบกันใหม่
เม่ือชาติต้องการ" วันท่ี 15 กนั ยายน พ.ศ. 2500 ประชาชนพากันลกุ ฮือเดินขบวนบกุ เข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อ
ไม่พบจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงพากันไปบ้านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูล
สงคราม ก็กำลังเตรียมจับกุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในข้อหากบฏ แต่ไม่ทัน ในคืนวันท่ี 16 กันยายน พ.ศ.
2500 จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ นำกำลังรัฐประหารรัฐบาล แล้วต้ังพจน์ สารสินขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
หลงั จากรฐั บาลพจน์ สารสินจดั การเลอื กต้งั เป็นที่เรียบร้อย พลโท ถนอม กิตติขจร ก็รับตำแหนง่ นายกรัฐมนตรี
เมื่อวันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2501 แต่กาลต่อมา ได้เกิดความวุ่นวายจากความขัดแย้งระหว่างสมาชิกพรรคท่ี
เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับรัฐมนตรีขึ้นในรัฐบาลพลโทถนอม กิตติขจร และพลโทถนอม กิตติขจรก็ไม่
สามารถควบคุมสถานการณ์ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์จึงเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วร่วมมือกับพลโท
ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง โดยในวันท่ี 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 จอม
พลสฤษดิ์ อาศัยอำนาจหัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งประหารชีวิตประชาชน 6 ราย จอมพลสฤษดิ์ ยังอาศัยอำนาจ
ตามมาตรา 17 ประหารชวี ติ ประชาชนอกี 5 ราย
9
นายกรัฐมนตรี
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเม่ือวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 หลัง
รัฐประหารรฐั บาลจอมพลถนอม กิตตขิ จร
ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ประกาศยกเลิกสถาบันทางการเมืองต่าง
ๆ เช่น พรรคการเมือง โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" นโยบาย ได้แก่ การออกกฎหมาย
เลิกการเสพและจำหน่ายฝิ่น กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล กฎหมายปรามการค้า
ประเวณี ตลอดจนการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มีการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศฉบับท่ี 1 (พ.ศ.
2504–2509) มีการสร้างสาธารณูปโภคสำคัญ เช่น ไฟฟ้า, ประปา, ถนน ให้กระจายไปทั่วท้ังในเมืองและ
ชนบท ซง่ึ เรียกว่า
10
ชีวติ สว่ นตัว
เขามอี นภุ รรยารวม 81 คน เขาได้ฉายาวา่ "จอมพลผา้ ขาวมา้ แดง“ หมายถึง เวลาจะมี
เพศสัมพนั ธ์กบั อนภุ รรยามักโพกผา้ ขาวม้าแดงไว้ท่ีเอว
11
เกียรติยศและรางวลั ท่ไี ดร้ ับ
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก สฤษดิ์ ธนะรัช ต์ ได้รับพระราชทานยศ
"นายกองใหญ่" ในฐานะนายกรัฐมนตรีและมีฐานะเป็นประธานกรรมการและผู้บัญชาการกองอาสารักษา
ดนิ แดน เม่อื วนั ท่ี 11 มีนาคม พ.ศ. 2503
เคร่ืองราชอสิ รยิ าภรณ์ไทย
12
จอมพล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ (16 มิถุนายน พ.ศ.2451 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506) เป็นนายกรัฐมนตรี
ไทยคนที่ 11, รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงกลาโหม, ผบู้ ัญชาการทหารบก และอธบิ ดกี รมตำรวจ
ในคราวรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเขาเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร โดยไม่มีผู้รับ
สนองพระบรมราชโองการ ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีคำเรียกรูปแบบการปกครองว่า "ระบบพ่อ
ขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ" การดำรงตำแหน่งของเขาก่อให้เกิด "ระบอบสฤษดิ์–ถนอม–ประภาส" ที่กินเวลา
เกือบสองทศวรรษ
จอมพลสฤษดิ์มีอนุภรรยาจำนวนมาก จอมพล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่
อสัญกรรมเมื่อวันท่ี 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเร้ือรัง และอีก
หลายโรค สิริอายุ 55 ปี หลงั เขาถึงแก่อสัญกรรม มรดกมูลค่า 2,874 ล้านบาทเป็นคดีพิพาท รัฐบาลจอมพล
ถนอมสง่ั ยึดทรพั ย์เขา 604 ลา้ นบาท
13
อา้ งองิ
www.th.wikipedia
วกิ ิพีเดยี
สารานุกรมเสรที ่ที ุกคนแกไ้ ขได้