The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thiti528, 2022-03-03 08:21:11

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

ออร์ซเู บลไดแ้ บง่ การเรียนรู้อย่างมคี วามหมายเปน็ 3 ประเภท คอื

1. Subordinate learningเปน็ การเรยี นรโู้ ดยการรบั อยา่ งมคี วามหมาย โดยมีวิธีการ 2 ประการ ไดแ้ ก่
1.1 Deriveration Subsumption เปน็ การเชื่อมโยงสงิ่ ทจี่ ะตอ้ งเรยี นรู้ใหม่กบั หลักการหรอื กฎเกณฑท์ ี่เคยเรยี นรมู้ าแลว้ โดยการได้รบั ขอ้ มลู มาเพิม่ เชน่
เมื่อมีคนบอก แลว้ จะสามารถดูดซมึ เขา้ ไปในโครงสรา้ งทางดา้ นสตปิ ัญญาทม่ี ีอยู่แลว้ นน้ั อยา่ งมคี วามหมาย โดยไมต่ อ้ งอาศยั การท่องจา
1.2 Correlative subsumption เปน็ การเรยี นร้ทู ม่ี ีความหมายเกิดจากการขยาย ความ หรอื ปรับโครงสร้างทางสตปิ ญั ญาท่มี ีมาก่อนใหเ้ ชอ่ื มโยง
กับสิ่งทจ่ี ะเรยี นรูใ้ หม่

2. Superordinate learningเปน็ การเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจดั กลุม่ สิง่ ทเี่ รียนใหม่ใหเ้ ข้ากบั ความคดิ รวบยอดท่ีกวา้ งและครอบคลุม
ความคิดยอดของสิง่ ท่จี ะเรียนรใู้ หม่

3. Combinatorial learningเป็นการเรยี นร้ตู ามหลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆในเชิงผสม ของรายวชิ าคณิตศาสตร์ หรือ วทิ ยาศาสตร์ โดยการใชเ้ หตุผล
หรอื การสงั เกต

การประยกุ ตใ์ ช้

ออซเู บลได้เสนอแนะเกี่ยวกับ Advance organizer : เป็นเทคนคิ ท่ชี ่วยใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรอู้ ยา่ งมีความหมายจากการสอนหรอื บรรยายของครู
โดยการสร้างความเชอื่ มโยงระหว่างความรู้ทมี่ ีมากอ่ นกับข้อมูลใหม่ หรือความคดิ รวบยอดใหม่ ทีจ่ ะต้องเรียน จะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้
อย่างมีความหมายท่ีไม่ต้องท่องจา หลกั การท่ัวไปที่นามาใช้
1.การจดั เรยี บเรยี ง ขอ้ มลู ขา่ วสารทตี่ อ้ งการใหเ้ รียนรู้ ออกเปน็ หมวดหมู่
2.นาเสนอกรอบ หลกั การกวา้ งๆ ก่อนท่ีจะให้เรยี นรใู้ นเรอ่ื งใหม่
3.แบง่ บทเรียนเป็นหวั ข้อทส่ี าคญั และบอกให้ทราบเกี่ยวกบั หัวขอ้ สาคญั ทเ่ี ป็นความคิดรวบยอดใหม่ท่จี ะตอ้ งเรยี น

4.ผสู้ อนอธิบายสิง่ ทจี่ ะตอ้ ง เรียนร้ใู ห้ผเู้ รยี นรับฟังดว้ ยความเข้าใจ โดยผูเ้ รยี นเหน็ ความสัมพันธ์กับโครงสรา้ ง พทุ ธปิ ญั ญาที่ไดเ้ กบ็ ไวใ้ นความทรงจา และจะ
สามารถนามาใชใ้ นอนาคต ในขนั้ ตอนน้ี ผสู้ อนควรสอดแทรกเทคนิคกจิ กรรมทเ่ี หมาะสมนอกเหนอื จากการอธบิ าย เช่น การใช้เกม การทายปัญหา การใหผ้ ู้เรยี น
ตง้ั คาถาม การสาธิต การแสดงสถานการณ์จาลอง เป็นตน้

ออซูเบลถอื ว่า Advance Organizer มีความสาคัญมากเพราะเปน็ วธิ กี ารสรา้ งการเช่ือมช่องวา่ งระหวา่ งความรู้ทผ่ี ู้เรยี นได้รูแ้ ลว้ (ความรู้เดมิ )กบั ความรใู้ หมท่ ไี่ ด้รบั
ทจ่ี าเป็นจะตอ้ ง เรียนร้เู พ่อื ผูเ้ รยี นจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหมไ่ ดด้ ีและจดจาไดไ้ ดด้ ีขน้ึ ฉะนั้นผ้สู อนควรจะใช้เทคนคิ Advance Organizer ชว่ ยผเู้ รยี นในการ
เรยี นรทู้ ง้ั ประเภทการรบั อย่างมคี วามหมายและการคน้ พบอยา่ งมคี วามหมาย

ทฤษฎีสนามของเลวนิ (Lewin's Field Theory)

ประวตั ขิ องเคิรต์ เลวนิ (Kurt lewin)

Brendtro, L.K. และ Mitchell, M. L.(2010, ออนไลน์) กล่าววา่ Kurt Lewin เกดิ เมื่อวันท่ี 9 กันยายน
พ.ศ. 2433. เกิดที่ Mogilno เมืองเยอรมนั ท่ีตอนน้ีเป็นสว่ นหนึ่งของโปแลนด์. เขาเรม่ิ เรยี นแพทยใ์ นปี
1909 ท่ีมหาวทิ ยาลัย Freiburg และในปตี ่อมาเขาเปล่ยี นไปเรยี นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและเข้าเรียนท่ี
มหาวทิ ยาลยั เบอรล์ ิน เขาสาเรจ็ ปริญญาเอกในปี 2459 Lewin รับใช้ในกองทพั เยอรมันในช่วง
สงครามโลกครั้งทหี่ นึ่ง เรมิ่ ตน้ ในปี 1921 เขาทางานภายใต้ Karl Stumpf ทส่ี ถาบนั จติ วิทยาแห่ง
มหาวิทยาลัยเบอร์ลนิ Lewin ยังทางานร่วมกบั Wolfgang Kohler, Max Wertheimer
และนักจิตวิทยาคนอื่น ๆ จากโรงเรียน จิตวทิ ยาเกสตัลท์ .

ในปีพ. ศ. 2475 ลูวินเปน็ ศาสตราจารยเ์ ยีย่ มท่สี แตนฟอร์ดเมอ่ื ฮิตเลอรข์ น้ึ สอู่ านาจ Lewin มีความมองการณไ์ กลที่จะยา้ ยครอบครวั ไป
อยู่ที่สหรฐั อเมรกิ าและเขากต็ ัง้ รกรากทมี่ หาวทิ ยาลัยคอร์แนลเปน็ เวลาสองปี จากน้นั เขาทางานทมี่ หาวทิ ยาลยั ไอโอวาในสถานีวจิ ัย
สวัสดกิ ารเดก็ ไอโอวาจนถึงปีพ. ศ. 2487 ลูวินทางานที่สถาบนั เทคโนโลยแี มสซาชเู ซตส์ (MIT) ซง่ึ เขาได้กอ่ ตง้ั ศนู ย์วิจัยเพ่ือพลวตั ของ
กล่มุ ขณะท่ีอยู่ท่ี MIT Lewin ไดร้ บั การรอ้ งขอให้ชว่ ยในการพัฒนากลยุทธ์เพ่อื จัดการกับอคติทางเช้อื ชาตแิ ละศาสนาอยา่ งมี
ประสิทธิภาพสาหรับคณะกรรมาธกิ ารระหวา่ งเชอ้ื ชาตแิ หง่ รัฐคอนเนตทคิ ัต

Lewin ไดส้ รา้ งการทดลอง 'การเปลี่ยนแปลง' ซง่ึ นาไปส่กู ารฝึกความไวทที่ นั สมัยซ่งึ เปน็ ข้นั ตอนที่ คาร์ลโรเจอร์ส เรยี กวา่
“ สง่ิ ประดษิ ฐ์ทางสงั คมทีส่ าคญั ท่สี ดุ ในศตวรรษนี้” วธิ นี ี้เป็นพน้ื ฐานสาหรับหอ้ งปฏิบตั ิการฝึกอบรมแห่งชาติซง่ึ เป็นองค์กรท่กี ่อต้ัง
ข้นึ ในปี 2490 อันเปน็ ผลโดยตรงจากการทดลอง 'การเปล่ียนแปลง' lewin เป็นทร่ี ู้จกั ในนามนกั เคลือ่ นไหวทางการเมืองและเขามี
สว่ นร่วมอยา่ งมากในการเคล่อื นไหวทางสงั คมนยิ มและสทิ ธิสตรี เขาเสียชวี ติ ในปี 2490

แนวคิดทฤษฎสี นามของเลวนิ (Lewin's Field Theory)

ชาตชิ าย มว่ งปฐม( 2557, ออนไลน์) กลา่ ววา่ Kurt Lewin นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน (1890 - 1947) มีแนวคิดเกี่ยวกบั การเรยี นรู้
เชน่ เดียวกับกลุม่ เกสตลั ท์ ทว่ี ่าการเรียนรู้ เกิดขน้ึ จากการจัดกระบวนการรับรู้ และกระบวนการคดิ เพอื่ การแก้ไขปญั หาแตเ่ ขาไดน้ าเอา
หลกั การทางวิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ เขาเชื่อว่าพฤดกิ รรมมนษุ ยแ์ สดงออกมาอยา่ งมพี ลงั และทิศทาง (Field of
Force) ส่งิ ทีอ่ ยู่ในความสนใจและตอ้ งการจะมพี ลังเป็นบาก ซง่ึ เขาเรียกว่า Life space สิ่งใดทอ่ี ยนู่ อกเหนือความสนใจจะมพี ลงั เปน็ ลบ
และสกุลการ สงั ขท์ อง(2562 ,ออนไลน์) ไดก้ ล่าววา่ ทฤษฎสี นามเน้นเรอ่ื งการจงู ใจ ซึ่งมแี นวคิดที่สาคัญ ดงั นี้

1. อวกาศแห่งชวี ิต เชือ่ วา่ บุคคลแตล่ ะคนตา่ งดารงชวี ิตอยใู่ นสนามอวกาศแหง่ ชีวิตซ่ึงเป็นโลกท่แี ต่ละคนสรา้ งขน้ึ มาไมใ่ ช่โลกจรงิ อวกาศแห่งชวี ิตของ
แต่ละคนมีความแตกต่างกันคนท่มี อี วกาศชวี ติ ตรงกับความเปน็ จริงจะสามารถเผชญิ กับโลกความจริงได้อยา่ งมเี หตผุ ล ซึ่งอาจสรุปวา่ พฤติกรรมของ
คนเราข้นึ อยกู่ ับตวั บุคคลและส่ิงแวดล้อมของแต่ละคนแนวคิดพนื้ ฐานท่สี าคญั เก่ียวกับอวกาศแหง่ ชวี ิต เชื่อวา่ ขนาดหรือลกั ษณะรปู ร่างของอวกาศแห่ง
ชีวิตของแตล่ ะคนไม่มคี วามสาคญั เพราะอวกาศชวี ิตของแต่ละคนจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวจะทาให้มีลกั ษณะอยา่ งไรก็ยงั เป็นอวกาศชีวติ ของคนคนนนั้ ท่ี
ไม่มีอะไรแตกตา่ งกัน

2. เสน้ แทนขนาดและทศิ ทางของแรง (Vector) เปน็ เร่ืองของการใช้ส่วนของเส้นตรงแทนขนาดและทิศทางของแรงท่จี ะผลักดันใหเ้ กิดพฤติกรรม
ตา่ ง ๆ แรงหรอื พลงั ตา่ ง ๆ อาจเกดิ จากภายในเช่นแรงจูงใจ หรืออาจเกิดจากภายนอกบคุ คลก็ได้การเรียนรเู้ กดิ จากการเปล่ยี นแปลงโครงสร้างของ
ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive Structure) ซ่ึงการเปล่ยี นแปลงนเ้ี ปน็ ผลมาจากสภาพความรู้ความเข้าใจ(Cognitive field) หรอื แรงจงู ใจภายใน
ของแตล่ ะบุคคล เชอ่ื วา่ การเรียนร้อู าจเกิดขึ้นจากการเปลยี่ นแรงจงู ใจ หรอื การเปลีย่ นเป้าประสงค์หรอื จดุ หมาย ทฤษฎีน้ีไดพ้ ยายามอธบิ ายพลงั
ตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในสภาวะจิตของแต่ละคนและนาไปสคู่ วามต้องการ ซ่ึงแรงขับจะเปน็ ตัวผลักดันให้พฤตกิ รรมน้นั บรรลุเปา้ หมายท่ีกาหนดไว้

Kurt Lewin ได้กาหนดว่า สง่ิ แวดล้อมรอบตวั มนษุ ย์ จะมี 2 ชนิด คอื
1. สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ (Physical environment) อันไดแ้ ก่ คน สัตว์ ส่งิ ของ สถานที่ สิง่ แวดล้อมอื่นๆ
2. สงิ่ แวดล้อมทางจติ วิทยา (Psychological environment) เปน็ โลกแห่งการรับรูต้ ามประสบการณ์ของแตล่ ะบุคคลซึ่งอาจจะเหมอื นหรือแตกตา่ ง กบั สภาพที่
สงั เกตเห็นโลก หมายถงึ Life space นั่นเองและ Kurt Lewin เสนอแนวคดิ ทฤษฎสี นามว่า หมายถงึ ความสามารถที่จะวิเคราะหแ์ รงตา่ ง ๆ ท่มี ีอยใู่ นสภาวะการท่ี
ต้องการจะเปลี่ยนแปลง เปน็ ความพยายามท่จี ะให้กลุม่ เกดิ การเปลย่ี นแปลง โดยแรงตา่ ง ๆ มอี ิทธิพลตอ่ กันและกันจากแนวความคิดของLewin เช่ือวา่ พฤตกิ รรมเป็น
ผลของแรง 2 ประเภท ซง่ึ มีบทบาทตรงขา้ มกนั คอื แรงตา้ น และ แรงเสรมิ ทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง การนาทฤษฎสี นามไปประยุกต์ใช้อยา่ งถูกตอ้ งจะช่วยให้เข้าใจ
พฤตกิ รรมมากขนึ้ การจะทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมอย่างมีประสิทธภิ าพนน้ั ใช้ 3 กลวิธีดังน้ี
1. เพิม่ ขนาดของแรงเสริม
2. ลดขนาดของแรงตา้ น
3. เพ่ิมขนาดของแรงเสริม ขณะเดยี วกันก็ลดขนาดของแรงต้าน
Kurt Lewin ได้ เสนอแนวทางเพอื่ ดาเนินการเปล่ียนแปลงโดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ละลายพฤติกรรมเดิม
2. การวเิ คราะหป์ ญั หา
3. การต้งั เป้าหมาย
4. การมพี ฤตกิ รรมใหม่
5. การทาใหพ้ ฤติกรรมใหมน่ น้ั คงอยู่

สรุปการเรยี นรู้ของทฤษฎสี นามของเลวนิ ไว้ได้ดงั นี้
1. พฤติกรรมของคนมีพลังและทศิ ทาง ส่งิ ท่ีสนใจและเปน็ ความต้องการจะเปน็ พลงั ทางบวก ส่ิงท่อี ยู่ภายนอก
ความสนใจและความต้องการจะเปน็ พลงั ทางลบ ในชีวติ คนเราขณะใดขณะหน่ึงจะมอี วกาศชีวิต (Life Space)
โดยอวกาศชวี ิตจะประกอบด้วยสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ และสิ่งแวดล้อมทางจติ วิทยา การท่ผี เู้ รียนอยู่ใน
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และทางจิตวทิ ยาทเ่ี หมาะสมจะส่งเสริมการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
2. การเรยี นรู้จะเกิดขน้ึ เมื่อบคุ คลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทาให้ไปสจู่ ุดหมายปลายทางท่ีตนต้องการ
3. บคุ คลจะเกดิ การเรียนรเู้ ม่ือมสี มาธิจดจ่อกับบทเรยี นส่ิงท่เี รยี นรู้

การประยกุ ต์ใช้ทฤษฎใี นการจดั การเรียนการสอน

สกลุ การ สงั ขท์ อง(2562 ,ออนไลน์) ไดก้ ล่าวการนาหลกั การไปประยุกตใ์ ช้ ดังน้ี
1. ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนท่เี ปน็ กันเอง และมีอสิ ระท่ีจะให้ผเู้ รยี นแสดงความคิดเห็นอย่างเตม็ ที่ท้งั ท่ถี ูกและผดิ เพ่อื ให้
ผู้เรยี นมองเหน็ ความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูลและเกิดการหยั่งเห็น
2. เปิดโอกาสให้มกี ารอภปิ รายในชนั้ เรยี นโดยใชแ้ นวทางตอ่ ไปน้ี
-เน้นความแตกตา่ ง
-กระตนุ้ ให้มีการเดาและหาเหตผุ ล
-กระต้นุ ให้ทุกคนมสี ว่ นร่วม
-กระตนุ้ ให้ใชค้ วามคดิ อยา่ งรอบคอบ
-กาหนดขอบเขตไม่ให้อภปิ รายออกนอกประเดน็

3.การกาหนดบทเรียนควรมีโครงสรา้ งทมี่ ีระบบเปน็ ข้ันตอน เน้ือหามีความสอดคล้องต่อเน่ืองกัน
4. คานงึ ถึงเจตคติและความร้สู กึ ของผู้เรยี น พยายามจดั กจิ กรรมทก่ี ระตุน้ ความสนใจของผู้เรยี น มีเนอ้ื หาท่ี
เป็นประโยชน์ ผ้เู รียนนาไปใช้ประโยชน์ไดแ้ ละควรจัดโอกาสให้ผู้เรยี นร้สู กึ ประสบความสาเร็จดว้ ย
5.บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถา่ ยทอดจะเปน็ สงิ่ จูงใจใหผ้ เู้ รยี นมีความศรทั ธาและครจู ะ
สามารถเขา้ ไปอย่ใู น Life space ของผู้เรียนได้

ทฤษฎคี วามยดื หยุ่นทางปัญญา
(Cognitive Flexibility Theory)

Richard Culatta (2564, ออนไลน์) กลา่ วว่า ทฤษฎคี วามยดื หยนุ่ ทางปญั ญาม่งุ เนน้ ไปท่ีธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ในโดเมนท่ีซับซอ้ นและมโี ครงสร้างไมด่ ี
“ด้วยความยดื หยุ่นทางปญั ญา หมายถงึ ความสามารถในการปรบั โครงสร้างความรขู้ องตนเองในหลาย ๆ ด้าน เพอ่ื ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการใน
สถานการณท์ เี่ ปลยี่ นแปลงอยา่ งรนุ แรง

ทฤษฎีนสี้ ่วนใหญเ่ กย่ี วข้องกับการถ่ายทอดความรแู้ ละทักษะนอกเหนอื จากสถานการณก์ ารเรียนรู้เบอื้ งตน้ ดว้ ยเหตุนี้ จงึ เนน้ การนาเสนอขอ้ มลู จากหลาย
มุมมองและการใชก้ รณศี กึ ษาจานวนมากท่นี าเสนอตวั อยา่ งทีห่ ลากหลาย ทฤษฎีนีย้ งั ยืนยนั ว่าการเรียนรูอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพนัน้ ขึ้นอยู่กบั บริบท ดังน้นั การ
สอนจงึ ตอ้ งมคี วามเฉพาะเจาะจงมาก นอกจากนี้ ทฤษฎยี งั เน้นถึงความสาคัญของความรูท้ ส่ี รา้ งขนึ้ ผ้เู รยี นต้องได้รบั โอกาสในการพฒั นาการนาเสนอขอ้ มลู
ของตนเองเพอ่ื เรียนรอู้ ยา่ งถูกตอ้ ง

ประวัติ

Richard Culatta (2564, ออนไลน์) กล่าววา่ ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปญั ญา (Cognitive Flexibility Theory) นาเสนอโดย สปิโร, เฟลโตวชิ และ โคลสัน (Spiro,
Feltovich และ Coulson) ในปี ค.ศ.1988 เปน็ เร่ืองเกย่ี วกบั การเรยี นร้ทู ีเ่ กดิ ข้นึ ของการ "ซบั ซ้อน" และ "โดเมนทม่ี ีโครงสร้างไมด่ ี" โดยพื้นฐานแล้ว มันคือทฤษฎีทม่ี ุง่ มน่ั ทจ่ี ะ
กาหนดวิธีที่จติ ใจมนษุ ย์สามารถรบั และจดั การความรู้ และวธิ ีที่มนั ปรับโครงสรา้ งฐานความร้ทู มี่ อี ยขู่ องเรา ตามขอ้ มลู ใหม่ทไ่ี ดร้ ับ การวจิ ัยเกย่ี วกบั ทฤษฎคี วามยดื หย่นุ ทางปัญญาได้
ค้นหาหลักฐานทางวิทยาศาสตรเ์ กย่ี วกบั การแสดงความร้ภู ายในจิตใจของผู้เรียน ตลอดจนกระบวนการภายในทเ่ี กิดข้ึนตามการเป็นตวั แทนทางจิตทีเ่ ราได้รับ เกยี่ วกับหลกั การ
พืน้ ฐานของทฤษฎคี วามยดื หยุ่นทางปญั ญา Spiro เปน็ ผบู้ กุ เบิกทฤษฎคี วามยดื หยุ่นทางปัญญา (Cognitive Flexibility Theory ) ท่อี ยใู่ นขอบเขตทีม่ โี ครงสร้างไมด่ แี ละความร้ขู ัน้
สงู นี้ และรว่ มกบั เพ่ือนพยายามที่จะปรบั เปลย่ี นการสอนและการเรยี นรูส้ าหรับโลกท่เี ปล่ยี นแปลงตลอดเวลาและซับซ้อน

แนวคิดทฤษฎี

นิจนภา มลู กันทา (2549, ออนไลน์) กล่าววา่ (ตน้ ค.ศ. 1990) ไดเ้ กดิ ทฤษฎใี หมม่ ีชือ่ ว่า ความยดื หยุน่ ทางปญั ญา (Cognitive Flexibility )
ซึง่ เป็นแนวคดิ ที่เชื่อว่า ความรูแ้ ตล่ ะองค์ความรนู้ น้ั มโี ครงสรา้ งทแี่ น่ชัดและสลับซบั ซอ้ นมากนอ้ ยแตกต่างกันไปโดยองค์ความรูบ้ างประเภท
สาขาวชิ า เช่น คณิตศาสตร์หรอื วทิ ยาศาสตร์กายภาพนัน้ ถือวา่ เปน็ องค์ความรปู้ ระเภททมี่ โี ครงสรา้ งตายตัวไม่สลับซบั ซอ้ น (well - structured
knowledge domains) เพราะตรรกะและความเป็นเหตเุ ปน็ ผลทแี่ น่นอนของธรรมชาตขิ ององค์ความรใู้ นขณะเดยี วกันองค์ความรปู้ ระเภทบาง
สาขาวิชา เชน่ จติ วิทยาถือวา่ เปน็ องคค์ วามร้ปู ระเภทท่ีไม่มีโครงสรา้ งตายตัวและสลับซับซ้อน (ill structured knowledge domains) เพราะ
ความไมเ่ ป็นเหตุเปน็ ผลของธรรมชาติขององคค์ วามรู้ อย่างไรก็ตามการแบง่ ลกั ษณะโครงสรา้ งขององคค์ วามรู้ตามประเภทสาขาวชิ าไมส่ ามารถ
เหมารวมไปท้งั องคค์ วามร้ใู นวชิ าหนงึ่ ๆได้ทัง้ หมดบางสว่ นขององค์ความร้บู างประเภทสาขาวิชาทม่ี โี ครงสร้างตายตัวก็สามารถท่จี ะเป็นองคค์ วามรู้
ประเภททไ่ี ม่มีโครงสรา้ งตายตวั ได้เช่นกนั แนวคดิ ในเรือ่ งความยดื หยุ่นทางปญั ญาน้ีสง่ ผลให้เกดิ ความคิดในการออกแบบบทเรียนคอมพวิ เตอร์
ช่วยสอนเพือ่ สนองตอ่ โครงสรา้ งขององคค์ วามรู้ที่แตกตา่ งกันซง่ึ ได้แกแ่ นวคิดในเรื่องการออกแบบบทเรียนแบบสอ่ื หลายมิติ (Hypermedia)
นนั่ เอง

Muhammad Sulong (2555, ออนไลน์) กลา่ วว่า การนาเสนอเนื้อหาบทเรยี นในลักษณะสื่อหลายมติ ิจะตอบสนองต่อวธิ ีการเรยี นรขู้ อง
มนษุ ย์ ในความพยายามทจ่ี ะเช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรูท้ ่มี ีอย่เู ดิมไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากน้ีการนาเสนอเน้ือหาบทเรยี นในลักษณะสอื่
หลายมิตยิ ังสามารถทีจ่ ะตอบสนองความแตกต่างของโครงสรา้ งขององคค์ วามรทู้ ่ีไมช่ ดั เจนหรือมคี วามสลับซับซอ้ นซ่ึงเป็นแนวคิดของ
ทฤษฎคี วามยืดหย่นุ ทางปญั ญาได้อีกดว้ ย โดยการจัดระเบียบโครงสรา้ งการนาเสนอเนื้อหาบทเรียนในลักษณะสอ่ื หลายมติ จิ ะอนญุ าตให้
ผเู้ รยี นสามารถท่ีจะมีอสิ ระในการควบคมุ การเรียนของตน (learner control) ตามความสามารถ ความสนใจ ความถนดั และพืน้
ฐานความรขู้ องตนได้อย่างเตม็ ท่ี แนวคดิ ของทฤษฎที ั้งสองนีก้ จ็ ะมีโครงสร้างของบทเรยี นแบบส่อื หลายมติ ใิ นลกั ษณะโยงใย (เหมอื นใย
แมงมุม) โดยผูเ้ รยี นทกุ คนจะไดร้ บั การเสนอเนอ้ื หาในลาดบั ท่ไี มเ่ หมือนกนั และไม่ตายตวั โดยเนอื้ หาท่ีจะไดร้ บั การนาเสนอจะข้ึนอยู่กบั
ความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผูเ้ รียนเปน็ สาคญั ความแตกตา่ งที่สาคัญ

การประยุกตใ์ ช้

Christopher Pappas (2559, ออนไลน)์ กล่าวว่า ทฤษฎีความยดื หยนุ่ ทางปัญญาประกอบดว้ ย 4 เสาหลัก
ทค่ี วรใชเ้ พื่ออานวยความสะดวกในการประยกุ ต์ใช้รกั ษาความรใู้ นการเรยี นรู้ ได้แก่

1. กจิ กรรมการเรียนร้จู ะต้องนาเสนอเน้ือหา 2. หลกี เล่ยี งการทาให้โดเมนเน้ือหา
ท่ีหลากหลาย เรยี บง่ายเกนิ ไป

3. การสอนควรเป็นแบบ case-based และ 4. แหลง่ ความรูค้ วรมีความเชอ่ื มโยงกนั มากกว่า
เนน้ การสรา้ งองคค์ วามรู้ ท่ีจะแยกส่วน

ตัวอยา่ งเชน่

1. กิจกรรมการเรียนรู้จะต้องนาเสนอเน้ือหาทหี่ ลากหลาย
กจิ กรรมการเรียนรูจ้ ะต้องนาเสนอเน้ือหาที่หลากหลาย นอกจากนี้ ผูเ้ รียนควรสามารถเข้าถึงเน้ือหาการเรียนรู้ จากมุมมองที่หลากหลายและในเวลา
ที่ตา่ งกนั ควรมโี อกาสนาไปใช้ในบรบิ ททแี่ ตกตา่ งกนั และเพอื่ จดุ ประสงค์ท่ีหลากหลาย สร้างการนาเสนอทีแ่ ตกตา่ งของเน้ือหาสาระและค้นหาวิธี
ใหม่ๆ ในการนาไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ โดยธรรมชาติแล้วการเรยี นรูจ้ ะให้ความยดื หยนุ่ ทางปัญญา ผเู้ รยี นออนไลน์มโี อกาสทจ่ี ะเขา้ ถงึ เนอื้ หา eLearning
ไดต้ ลอดเวลา ดังน้ันจงึ ควรไดร้ บั กจิ กรรมการเรยี นรู้ที่หลากหลายและการประเมนิ เพื่อเพมิ่ ความเข้าใจ ซ่งึ ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นออนไลน์นาไปใชใ้ นรปู แบบ
ต่างๆ และดูงานตา่ งๆหรอื หวั ขอ้ จากมมุ มองใหมๆ่ ได้

2. หลกี เลีย่ งการทาให้โดเมนเนื้อหาเรียบง่ายเกินไป และสนบั สนนุ ความรทู้ ่ีขนึ้ กับบรบิ ท
หากหวั ข้อมีความเรยี บง่ายเกนิ ไป ผเู้ รยี นอาจพบวา่ เป็นการยากที่จะเหน็ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งแนวคิดทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั หรือดูภายใต้ "มติ ทิ ีร่ วมกนั เป็นหน่งึ เดยี ว"
นอกจากนี้ยงั ตดั การเช่ือมตอ่ ขอ้ มลู จากบริบทโลกแหง่ ความเปน็ จริงและแบ่งออกเป็นองค์ประกอบท่ีคลมุ เครือ ช่วยใหส้ รา้ งเน้ือหา eLearning ที่มรี ะดับความ
ยากในอุดมคติ หากแนวคิดมคี วามซบั ซ้อนมากขนึ้ ควรแบ่งเน้อื หา eLearning ออกเปน็ โมดูลเลก็ ๆ หรอื ขนั้ ตอนทง่ี า่ ยต่อการแยกแยะ และควรนาเสนอ
สว่ นประกอบแตล่ ะส่วนโดยรวม นอกจากน้ี ให้เน้นยา้ ถึงประโยชนแ์ ละการใชง้ านในโลกแหง่ ความเป็นจริงอยูเ่ สมอ

3. การสอนควรเป็นแบบ case-based และเนน้ การสร้างองค์ความรู้ ไม่ใช่การสง่ ขอ้ มลู
ประสบการณ์อเี ลิรน์ นิงควรเกี่ยวข้องกับความรตู้ ามกรณีและเน้นหนักในการสร้างความรู้ การสง่ ข้อมลู ไมค่ วรเป็นจุดสนใจหลกั ดังนนั้ ควร
จัดเตรียมตัวอย่าง กรณศี กึ ษา และเรื่องราวตา่ งๆใหก้ ับผู้เรยี นออนไลนข์ องคุณ ซ่ึงสามารถช่วยให้สามารถนาข้อมูลไปใชใ้ นบริบทได้ ตรวจสอบให้
แน่ใจวา่ สถานการณ์ของ eLearning มคี วามเกีย่ วข้องและสมจรงิ และรวมตัวอย่างที่หลากหลาย กุญแจสาคัญคือการทาให้ผูเ้ รยี นออนไลน์ไดค้ ดิ
ว่าจะใชค้ วามรนู้ อกสภาพแวดล้อม eLearning ไดอ้ ยา่ งไร นอกจากนยี้ งั ชว่ ยใหม้ องเหน็ ปัญหาหรอื สถานการณ์จากมมุ มองท่แี ตกตา่ งกัน

4. แหลง่ ความร้คู วรมคี วามเชอ่ื มโยงกันมากกวา่ ท่จี ะแยกสว่ น
เนือ้ หาการเรียนรทู้ ง้ั หมดควรประกอบด้วยความรู้ที่เชื่อมโยงถึงกัน แทนท่ีจะแบง่ ส่วนข้อมูล พจิ ารณาทุกแงม่ ุมของหัวข้อเสมอ
เมือ่ ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ตวั อย่างเช่น หากกาลงั สร้างสถานการณ์จาลองeLearningตามงาน ควรรวมทักษะและข้อมูล
ทั้งหมดที่เก่ียวข้องกับงาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนออนไลน์สามารถดูว่าความรู้เชื่อมโยงกันอย่างไรและจัดการข้อมูลเพื่อเอาชนะ
ความทา้ ทาย กล่าวอีกนยั หนงึ่ จะได้ภาพทีส่ มบรู ณ์ ตวั อยา่ งเชน่ สามารถเลอื กไอเดยี หรอื แนวคิดท่ตี ้องการไดต้ ามสถานการณ์

ทฤษฎโี ครงการสรา้ งความรู้

หงหยก (ออกไลน์) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ ทฤษฎีโครงสร้างความร(ู้ Schema Theory ) เปน็ แนวคิดท่เี ช่ือวา่ โครงสรา้ งภายในของความรู้
ที่มนุษยม์ อี ยู่นน้ั จะมลี ักษณะเปน็ โหนดหรอื กลมุ่ ท่ีมีการเชอ่ื มโยงกันอยู่ ในการท่ีมนุษย์เรยี นรู้อะไรใหม่ ๆ นน้ั มนษุ ยจ์ ะนาความรู้
ใหมท่ เี่ พิ่งไดร้ บั นัน้ ไปเช่ือมโยงกับกลุม่ ความรู้ทมี่ ีอย่เู ดิม (pre - existing knowledge) รูเมลฮาร์ทและออโทน่ี (Rumelhart
and Ortony:1997) ไดใ้ ห้นิยามความหมายของคาวา่ "โครงสรา้ งความร"ู้ คือ โครงสรา้ งข้อมลู ภายในสมองของมนุษย์ซึ่ง
รวบรวมความรเู้ กี่ยวกับวตั ถุ ลาดับเหตุการณ์กิจกรรมตา่ ง ๆ เอาไว้ หน้าทขี่ องโครงสรา้ งความร้นู ีก้ ็คอื การนาไปสกู่ ารรบั รูข้ อ้ มูล
(Perception) การรบั ร้ขู ้อมูลนน้ั จะไม่สามารถเกิดขึ้นไดห้ ากขาโครงสรา้ งความรู้ (Schema) ทัง้ นกี้ เ็ พราะการรับรขู้ ้อมลู น้นั เปน็
การสร้างความหมายโดยการถา่ ยโอนความรใู้ หม่เข้ากับความรู้เดิม การับรู้เป็นสงิ่ สาคญั ท่ที าให้เกดิ การเรียนรเู้ น่ืองจากไมม่ กี าร
เรยี นรู้ใดเกิดขน้ึ ได้โดยปราศจากการรบั รู้ นอกจากโครงสรา้ งความรจู้ ะชว่ ยในการรับร้แู ละการเรยี นรู้แล้วนัน้ โครงสร้างความรู้
ยงั ช่วยในการระลึก (Rccall) ถึงสิ่งต่าง ๆ ทเี่ ราเคยเรยี นร้มู า

นักจติ วิทยาทส่ี าคัญ คอื รเู มลฮารท์ และออโทน่ี

ประวัติ

Rumelhart เกดิ ท่ีMitchell, South Dakotaเมอื่ วันท่ี 12 มิถุนายน พ.ศ. 2485 พ่อแม่ของเขาคือ Everett Leroy และ Thelma Theora
(Ballard) Rumelhart [2]เขาเร่มิ การศกึ ษาระดับวทิ ยาลยั ของเขาท่ีUniversity of South Dakota , รับ BA ในด้านจติ วิทยาและ
คณิตศาสตร์ใน 1,963. เขาศึกษาจติ วทิ ยาคณิตศาสตร์ท่ีStanford University , รบั ปริญญาเอกของเขา. ในปี 1967 จาก 1967-1987 เขาทา
หนา้ ทีใ่ นคณะของภาควิชาจิตวิทยาที่ทม่ี หาวิทยาลัยแหง่ แคลฟิ อรเ์ นยี ซานดิเอโก ในปี 1987 เขาย้ายไปท่มี หาวทิ ยาลยั สแตนฟอร์ดดารง
ตาแหน่งศาสตราจารยท์ นี่ นั่ จนถึงปี 1998 Rumelhart ได้รับเลอื กเขา้ สNู่ ational Academy of Sciencesในปี 1991 และได้รับรางวัล
มากมาย รวมถงึ MacArthur Fellowshipในเดือนกรกฎาคม 1987, Warren Medal of the Society of Experimental Psychologists
และAPA Distinguished Scientific Contribution Award Rumelhart ผรู้ ่วมรบั กบั James McClelland ไดร้ บั รางวัลUniversity of
Louisville Grawemeyer Awardในปี 2002 ในดา้ นจิตวทิ ยา

แนวคดิ ของทฤษฎโี ครงสร้างความรเู้ กยี่ วกบั องคป์ ระกอบสาคัญท่สี ง่ ผลต่อความเขา้ ใจในการอา่ นว่ามอี งค์ประกอบอยู่ 3ด้าน คอื
1. พนื้ ความรู้ดา้ นภาษา (Linguistic schema) หมายถึง ความรู้เก่ยี วกบั ตวั อกั ษร การสะกดคา คาศัพท์ โครงสรา้ งไวยากรณ์ และ
สมั พันธภาพในข้อความ
2. พื้นความรู้ดา้ นเนือ้ หา (Content schema) หมายถงึ ความรู้เก่ยี วกับวัฒนธรรม ความรู้รอบตวั ท่ัวไป และความรใู้ นเนอ้ื หาเฉพาะ
ดา้ นตามที่ปรากฎหรือเกีย่ วขอ้ งกบั เน้อื หาในบทอ่าน
3. พ้ืนความรูด้ า้ นโครงสรา้ งบทอ่าน (Formal schema) หมายถึง ความรู้เกย่ี วกบั โครงสรา้ งของงานเขยี นประเภทตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้ในการ
นาเสนอเนอ้ื หาในบทอ่าน ซ่งึ มีอยู่หลายประเกท เชน่ ประเภทบรรยาย (Descriptive) ประเภทเล่าเร่ือง (Narrative)ประเภท
เปรยี บเทยี บ (Comparison)
โครงสร้างความรู้ (Schema) เปน็ คาศพั ทท์ ่นี ักวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อความเขา้ ใจ
(Cognitive sclentists) ใช้เพอื่ อธิบายวา่ คนเราเรียบเรยี งและเกบ็ ขอ้ มลู ในหัวสมองได้อยา่ งไรโครงสรา้ งความรสู้ ะทอ้ นประสบการณ์
ความเข้าใจกรอบความคดิ ทัศนคติ คุณค่า ทักษะและกลวิธที ี่ผู้อ่านนามาใชท้ าความเขา้ ใจสถานการณข์ องเร่ืองทีอ่ า่ น

การประยุกต์ใช้

การจดั การเรียนการสอนอา่ นภาษาองั กฤษที่ชว่ ยส่งเสริมความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษ ของนักเรียนนัน้ ควรจัดกิจกรรมทสี่ ่งเสริม
กระบวนการคดิ เพ่ือชว่ ยใหน้ ักเรยี นรู้และเข้าใจ มองเหน็ กระบวนการสร้างความเขา้ ในการอ่าน เลอื กใชก้ ลวิธกี ารอา่ นต่าง ๆ เชอ่ื มโยง
ความสัมพันธ์พื้นความรู้ และประสบการณ์เดมิ เพอื่ ขยายความรใู้ หมแ่ ละสร้างความเขา้ ใจในการอ่าน นอกจากนีก้ ารจดั การเรียนการสอนอา่ น
ภาษาองั กฤษควรเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรว่ มลงมอื ปฏิบัติกจิ กรรมดว้ ยตนเอง แลกเปลย่ี นความรคู้ วามคิดและบทบาท เพื่อค้นหาคาตอบ
ด้วยตนเอง สิ่งเหลา่ น้จี ะชว่ ยในกาพฒั นาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรยี น ผูว้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาค้นคว้าหลักการและแนวคิด
ทฤษฎกี ารเรียนการสอนท่ีจะช่วยพัฒนาความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษของนักเรียนพบว่า ทฤษฎีและแนวคิดการเรยี นการสอนท่ีให้
ความสาคญั กบั การใช้พืน้ ความรแู้ ละประสบการณเ์ ดิมเพอ่ื การเรียนรสู้ ่งิ ใหม่และวิธีการสอนที่มงุ่ เนน้ กระบวนการเรียนรู้ทส่ี ามารถสง่ เสริม
ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ทฤษฎโี ครงสร้าความรู้ (Schematheory) และแนวคดิ การ
สอนแบบแลกเปลยี่ นบทบาทระหว่างครกู ับนักเรยี น (Reciprocalteaching approach) มีความเหมาะสมในการนามาพัฒนารูปแบบการ
เรียนการสอนเพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษของนักเรยี น

ทฤษฎีการเรยี นร้ขู องกาเย่ (Robert Gange)

ประวตั ขิ องโรเบริ ต์ กาเย่ (Robert Gagne)

โรเบริ ต์ กาเย่ (Robert Gagne) เปน็ นกั ปรชั ญาและจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกา ผู้นาเสนอแนวคิดเกยี่ วกบั ทฤษฎี
การสอนที่มีชื่อวา่ ทฤษฎเี งอื่ นไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) ซงึ่ เป็นทฤษฎแี บบผสมผสานทเ่ี กดิ ขึ้นโดยการนาเอา
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสิง่ เรา้ และการตอบสนอง (S-R Theory) กับทฤษฎีความรู้ (Cognitive Field Theory) ในลกั ษณะ
ของการจดั ลาดับการเรียนรู้ ซ่ึงการที่กาเยเ่ ลือกทจี่ ะผสมผสานแตล่ ะทฤษฎีเข้าด้วยกันน้นั เพราะเชอ่ื วา่ ไม่มีทฤษฎีใด
สามารถอธิบายการเรยี นรู้ของบคุ คลไดโ้ ดยสมบรู ณ์

หลกั การและแนวคดิ

Winita Kaeokham. (2563, ออนไลน)์ กลา่ ววา่ ตามทฤษฎีเงื่อนไขการเรยี นรู้ของกาเยน่ น้ั เชื่อว่า ผลการเรียนรหู้ รอื
ความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษยน์ ้นั สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 5 ประเภทคือ ทักษะทางปญั ญา (Intellectual skill)
กลวิธีในการเรียนรู้ (Cognitive strategy) ภาษาหรอื คาพดู (verbal information) ทกั ษะการเคลื่อนไหว (motor skills)
และเจตคติ (attitude)

โดยผลการเรยี นรู้ท้ังหมดน้ี เกิดข้นึ จากกระบวนการจัดการข้อมลู ในสมองของมนุษย์และอาศยั ข้อมูลท่เี หลา่ นนั้ สาหรับการพิจารณา
ในการแสดงพฤติกรรมตอบสนองตอ่ สง่ิ ใดส่งิ หนงึ่ และในขณะท่กี ระบวนการจัดการภายในสมองกาลังเกดิ ขนึ้ เหตุการณภ์ ายนอก
ร่างกายท้งั หมดตา่ งมีอิทธพิ ลตอ่ การสง่ เสริมหรอื การยบั ย้งั การเรียนรูท้ ี่เกดิ ขน้ึ ภายในด้วย

นรรัชต์ ฝันเชยี ร . (2563, ออนไลน์) ในเรอ่ื งของกระบวนการเรยี นการสอน กาเย่ได้นาเสนอหลกั การสอน 9 ประการ ซงึ่ เป็นหลกั การสอนท่ีนาเสนอ
เนอ้ื หาและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยเน้นใหผ้ ู้เรยี นมปี ฏิสัมพันธ์กับครผู ู้สอนและบทเรียนซ่ึงจะส่งผลดีตอ่ การเรียนรู้ของผ้เู รียน โดยสาหรับหลักการ
สอนทั้ง 9 ประการนน้ั มีดงั น้ี

เร่งเรา้ ความสนใจ บอกวตั ถปุ ระสงค์ ทบทวนความรู้เดมิ
(Gain Attention) (Specify Objective) (Activate Prior Knowledge)

นาเสนอเน้ือหาใหม่ ชแ้ี นะแนวทางการเรียนรู้ กระตุน้ การตอบสนองบทเรียน
(Present New Information) (Guide Learning) (Elicit Response)

ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ทดสอบความรใู้ หม่ สรปุ และนาไปใช้
(Provide Feedback) (Assess Performance) (Review and Transfer)

ทฤษฎีการเรยี นรู้ 8 ขั้นของกาเย่

นรรัชต์ ฝันเชยี ร . (2563, ออนไลน์) กล่าว่า ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของกาเย่มี 8 ขั้นไดแ้ ก่
1. การจงู ใจ (Motivation Phase) การคาดหวงั ของผู้เรยี นเปน็ แรงจงู ในการเรียนรู้
2. การรับรู้ตามเปา้ หมายท่ีตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรยี น จะรับรูส้ ิง่ ท่ีสอดคลอ้ งกบั ความตั้งใจ
3. การปรงุ แตง่ สงิ่ ท่รี บั รไู้ ว้เป็นความจา (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจาระยะสั้นและระยะยาว
4. ความสามารถในการจา (Retention Phase)
5. ความสามารถในการระลึกถงึ สิ่งที่ไดเ้ รยี นรู้ไปแลว้ (Recall Phase)
6. การนาไปประยุกตใ์ ชก้ ับสงิ่ ทีเ่ รยี นรไู้ ปแล้ว (Generalization Phase)
7. การแสดงออกพฤติกรรมทเี่ รยี นรู้ (Performance Phase)
8. การแสดงผลการเรยี นรู้กลบั ไปยงั ผเู้ รียน (Feedback Phase) ผู้เรยี นไดร้ ับทราบผลเร็วจะทาใหม้ ีผลดแี ละประสิทธภิ าพสูง

การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรู้

Winita Kaeokham. (2563, ออนไลน์) กล่าววา่ ทฤษฎีการเรียนรตู้ า่ งๆ สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้เปน็ หลักในการจัดการเรยี นการสอน ได้ ใน
ลกั ษณตา่ งๆ เช่น การจัดสภาพทเ่ี หมาะสมสาหรบั การเรียนการสอน การจงู ใจ กรรับรู้ การเสรมิ แรง การถ่ายโยงการเรยี นรู้ ฯลฯ การจัดสภาพท่ี
เอ้อื ตอ่ การเรียนรู้ สอดคล้องกับทฤษฎกี ารเรียนรู้ เพ่ือเกิดประสิทธภิ าพสูงสุดน้นั จะต้องคานึงถงึ หลกั การท่ีสาคัญอยู่ 4 ประการคอื
1. ให้ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นอย่างกระฉับกระเฉง เช่นการให้เรยี นดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิประกอบกจิ กรรม และเสาะแสวงหาความรูเ้ องไม่

เพียงแต่จะทาใหผ้ เู้ รียนมีความสนใจสงู ข้ึนเทา่ น้นั แต่ ยงั ทาให้ผู้เรยี นตอ้ งตงั้ ใจสังเกตและตดิ ตามด้วยการสังเกต คดิ และใครค่ รวญตาม ซง่ึ
จะมีผลตอ่ การเพ่มิ พูนความรู้
2. ใหท้ ราบผลย้อมกลบั ทนั ที เมอ่ื ให้ผ้เู รยี นลงมืปฏิบัตหิ รอื ตัดสินใจทาอะไรลงไป กจ็ ะมีผลสะทอ้ นกลบั ให้ทราบว่านักเรียนตัดสนิ ใจถูกหรอื ผิด
โดยทนั ทว่ งที
3. ให้ได้ประสบการณแ์ ห่งความสาเร็จ โดยใชก้ ารเสริมแรง เมื่อผเู้ รยี นแสดงพฤติกรรมทีพ่ ึงประสงคห์ รอื ถูกต้อง กจ็ ะมีรางวัลให้ เพอื่ ใหเ้ กิดความ
ภาคภูมใิ จ และแสดงพฤตกิ รรมนน้ั อีก
4. การให้เรยี นไปทีละน้อยตามลาดับขน้ั ตอ้ งให้ผเู้ รียนตอ้ งเรยี นทลี ะน้อยตามลาดับช้นั ทีพ่ อเหมาะกับความสนใจและความสามารถของผู้เรยี น
โดยคานึงถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลเปน็ สาคญั จะทาให้ประสบความสาเรจ็ ในการเรียน และเกดิ การเรียนรทู้ มี่ น่ั คงถาวรข้นึ

บรรณานกุ รม

ชยั วฒั น์ สุทธริ ัตน์. (2552). การประยุกตใ์ ช้ทฤษฎี. เข้าถงึ เมอื่ 10 ธันวาคม 2564. จาก
http://www.nanabio.com/Research/image%20research/research%20work/sign%20%20theory.html

ชโิ นรส ถิน่ วิไลสกุล (2555). ผลกระทบของงานโฆษณาทมี่ ตี อ่ การเรียนรู้ของเยาวชนกรณศี ึกษา:เยาวชนชุมชนสวนอ้อย สบื คน้ เมือ 9 ธันวาคม 2564
จาก http://eresearch.library.ssru.ac.th/handle/123456789/201

ชาตชิ าย ม่วงปฐม (2557). ทฤษฎกี ารเรยี นการสอน. สบื คน้ เม่ือ 10 ธนั วาคม 2564.
จาก http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17c59V53360FeV129B1K.pdf

โทลแมน อซี ี (Tolman E.C.). (2535). ประวตั นิ ักจติ วิทยา. เข้าถงึ เมือ่ 10 ธันวาคม 2564.
จาก https://www.apadivisions.org/division-1/publications/newsletters/general/2015/04/tolman

นิจนภา มลู กันทา. (ออนไลน์. 2021). ทฤษฎีการเรียนรู้การออกแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน.
จาก https://www.gotoknow.org/posts/20914

นิอบิ ณูรอวี บือราเฮง (2558). ผลของการสอนแบบบรู ณาการดว้ ยการสอนแบบห้องเรียนกลบั ด้าน สอ่ื ประสม และนวตั กรรมคณุ ลกษั ณศ์ กึ ษาดา้ นทกั ษะทางสังคมทีม่ ีต่อพฤติกรรมและผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสาระการเรียนรศู้ าสนประวตั ขิ องนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 สืบคน้
เมือ 9 ธันวาคม 2564
จาก https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2016/10633/1/TC1227.pdf

นชุ สทั ธาฉัตรมงคล และ อรรถพล ธรรมไพบูลย์ (2016). ผนู้ าการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวฒั น์สูก่ ารพัฒนาอย่างยั่งยนื . สบื ค้นเม่อื 9 ธนั วาคม 2564. จาก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bahcuojs/article/view

พชิ ศาล พันธ์ุวัฒนา (2562). วธิ สี อนที่พึงประสงค ของวชิ าหลกั การบริหารงานตารวจตามความเหน็ ของนักเรียนนายร้อยตารวจ. สืบคน้ เม่อื 9 ธนั วาคม
2564.
จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view

ฟองน้า ทองอย.ู่ (2559). ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory). สืบค้น 8 ธนั วาคม 2564.
จาก https://prezi.com/tyqvsfcuifqn/gestalt-theory/

มารตุ พฒั ผล. (2561). แนวคิดทฤษฎี. เขา้ ถงึ เมือ่ 10 ธันวาคม 2564.
จาก http://www.curriculumandlearning.com/upload/Coaching/

มารุต พฒั ผล. (2561). การประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎี. เข้าถึงเมือ่ 10 ธันวาคม 2564.
จาก http://www.curriculumandlearning.com/upload/Coaching/

เมย์ มาตาวี (May matavee). (2559). ความหมายกลมุ่ ปญั ญานยิ ม. เขา้ ถงึ เมอื่ 10 ธนั วาคม 2564.
จาก https://mataveeblog.wordpress.com/2016/

มนตช์ ัย เจริญนิตกิ ุล (2558). การพัฒนาความเข้าใจทีค่ งทน เรือ่ ง กจิ กรรมทางเศรษฐกิจในชวี ติ ประจาวัน ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้
รูปแบบการนาเสนอมโนทัศน์กว้างลว่ งหนา้ สืบค้นเมือ 9 ธนั วาคม2564
จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/view/48955/40658

ศุภสนิ นวลจนั ทร.์ (2563). ทฤษฎีการเรยี นรู้กลมุ่ จติ วทิ ยาเกสตัลท์ (Gestalt Psychology). สบื ค้น 9ธันวาคม2564.
จาก https://youtu.be/DnVgKLh1EiI

ศรญั ญา ศรคี าพันธุ์.(2019, ออนไลน)์ ทฤษฎกี ารเรียนรขู้ องออซเู บล สืบค้นเม่อื 10 ธนั วาคม 2564.
จาก https://prezi.com/p/1czo2ddckhv1/presentation/?fbclid=IwAR2s6_HSvrtvDwRqhjmxh1c-xN-
omIQPK6XxMHT_7i0jn5jQirn7PGUfSvk

สุรางค์ โค้วตระกูล, 2541, น. 50 ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต สบื ค้น 9 ธันวาคม 2564.
จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-
1/concepts_of_developmental_psychology/01_6.html?fbclid=IwAR2e7tX9NJQWrgjUHk2Mu8QoYZ7C5iC4pt88-
9pkRKvxe9n8vOdpgQXYnpI

สกุลการ สังขท์ อง (2562). การพัฒนารปู แบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบ MECCAเพอื่ เสรมิ สร้างความสามารถในการอ่านอย่างมีวจิ ารณญาณสาหรบั นักเรยี น
ชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย. สืบคน้ เม่ือ 9 ธันวาคม 2564.
จาก http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/bitstream/123456789/2619/1/57255910.pdf

หงหยก. (ออไลน์). ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ นวปัญญานยิ ม. จาก
https://hongyokyok.wordpress.com/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%
E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81
%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D/

เอษณ ยามาลี, นนั ทา เดชธรรมฤทธ์ิ และ อิสยาภรณ์ พิทยาภรณ์. (2561). การเรียนรู้ภาษาองั กฤษแบบพง่ึ ตนเองกบั ความเขา้ ใจทแี่ ทจ้ รงิ (รายงาน
ผลการวจิ ยั ). กรงุ เทพฯ:มหาวิทยาลยั รังสิต

Chiangmai university. (ออลไลน์). การวิจัยวธิ ีการสอนแบบSQ4Rเพอ่ื สง่ เสริมความเขา้ ใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความสามารถในการเขยี นสรปุ
ใจความสาคัญของนักเรียนในระดับชนั้ ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ
จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2546/teng0546yp_ch2.pdf

(Gredler, 1997) .ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเพยี เจต์.สืบค้น 9 ธนั วาคม 2564. จาก
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension1/concepts_of_developmental_psychology/01_6.htm

Jean Piaget, Biography from http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-
1/concepts_of_developmental_psychology/01_6.html

(Lall and Lall, 1983:45-54) ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเพยี เจต์ สืบคน้ 9 ธันวาคม 2564 site/psychologybkf1/home/citwithya-
phathnakar/thvsdi-phathnakar-thang-sti-payya-khxng-pheiy-cet

Rasol Abdullah Mirzaie, Javad Abbas Tehran, Iran, Javad Hatami (2008). A concept map study of the use of meaningful learning
spaces in Bloom's taxonomy, 9 December 2021
From https://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.412.5040&rep=rep1&type=pdf

นรรชั ต์ ฝนั เชยี ร ขน้ั ตอนการสอน 9 ขัน้ ของกาเย่. สืบค้ันเมอ่ื 15 กรกฎาคม 2563 จาก
https://sites.google.com/site/rawiwandew/khan-txn-kar-sxn-9-khan-khx-ngkaye

นรรัชต์ ฝันเชยี ร ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 8 ขน้ั ของกาเย่ ( Gagne ). สบื ค้นเมอื่ 15 กรกฎาคม 2563 จาก
https://www.trueplookpanya.com/education/content/82909/-teamet

Winita Kaeokham. (02 สิงหาคม 2563). ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลมุ่ ผสมผสานของกานเย (Gagne'seclecticism). เขา้ ถึงไดจ้ าก
http://064winitakaeokham.blogspot.com/2018/07/064-winita-
gagnes-eclecticism.html

ฐิติพงค์ สงั เงิน. (2563). เอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวทิ ยาสาหรับครู. เข้าถงึ เม่อื 2 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก
https://www.baanjomyut.com/library_2/intellectual_development_theory/02.html

กไู อนี นิเฮง็ . (2560). การนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นช้ันเรยี นของทฤษฎพี ัฒนาการ. เขา้ ถึงเมื่อ 2 กุมภาพนั ธ์ 2564. จาก
http://kuinee1149.blogspot.com/2017/04/blog-post_62.html

สุไวบะห์ อิแตแล. (2560).การประยุกต์ใช้ทฤษฎพี ฒั นาการ. เขา้ ถงึ เมือ่ 2 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก
http://suwaibah41734.blogspot.com/2017/02/blog-post_33.html

สมาชกิ ในกลุ่ม

นางสาวฐติ ิมา สมจิต 644194011

นางสาวณัฐนันท์ หอ่ ทอง 644194012

นางสาวนุราาร์ อีตา 644194013

นางสาวนุรฮดู า สาแมหาดี 644194014

นางสาวนูรนาซฮู า เสาะเล๊าะ 644194015

นางสาวนรู อี าน อาแว 644194016

นางสาวพรนภสั นกศรีแกว้ 644194017

นางสาวพรพิมล เพ็งกุล 644194018

นางสาวมนสั วี หนพู รบิ ตา 644194019

นายวิทวัส แก้วสขี าว 644194020

Thang you


Click to View FlipBook Version