วชิ าวิทยาศาสตร์ (ว21101)
ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 1
ใบความรู้ท่ี 9 หน่วยที่ 3 การดำรงชวี ิตของพชื
เร่อื ง โครงสร้างของดอก
จดั ทำโดย
นายประเสริฐ นำชยั
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ใบความรู้ท่ี 9 หน่วยท่ี 3 การดำรงชีวิตของพชื
เรือ่ ง โครงสร้างของดอก
ดอกเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช ดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ก้านดอก
ฐานรองดอก หน้าที่สำคัญของดอกคือ การสืบพันธุ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อละอองเกสรตัวผู้ตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย
เกสรตัวผู้เข้าไปผสมกับไข่ในรังไข่ของเกสรตัวเมีย เรียกว่าการปฏิสนธิ เกิดเป็นต้นอ่อนอยู่ภายในเมล็ด ถ้ามี
สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมมาก จะเจรญิ เตบิ โตเป็นพชื ต้นใหมต่ ่อไป
ภาพ : shutterstock.com
ดอกของพชื แต่ละชนิดแตกตา่ งกันในหลายมติ ิ ไม่วา่ จะเปน็ สี รปู รา่ ง ขนาด และโครงสร้างของดอก บา้ งก็
มีกลีบหลายชั้นบางชนิดดอกแยกเกสรเพศผู้กับตัวเมียอย่างชัดเจน แต่ยังอยู่ในดอกเดียวกัน แต่บางชนิดอาจ
แยกกันอยู่คนละดอกคนละต้น หรือแมแ้ ตบ่ านไม่พร้อมกัน ซงึ่ ไมว่ า่ จะเปน็ รูปแบบใดโครงสร้างของดอกพืชน้ันก็ถูก
ออกแบบมาให้เปน็ อวยั วะสบื พนั ธุข์ องพืช
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชมีการทำงานคล้ายกับสัตว์ กล่าวคือต้องมีการรวมตัวกันของเซลล์
สืบพันธุ์ของเพศเมียและเพศผู้ ซึ่งเกิดขึ้นในดอกดอกนั้นจึงจะพรอ้ มและเริ่มกระบวนการต่อไปเพื่อขยายพันธ์ุ และ
แม้ว่าดอกไม้แต่ละสายพันธุ์จะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันแต่โครงสร้างหลักๆของดอกมีอยู่ 4 ส่วน ได้แก่ กลีบ
เล้ยี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย
1. ส่วนประกอบของดอก
เกสรเพศเมยี
เกสรเพศผู้
กลบี ดอก
กลบี เลย้ี ง
ภาพ : shutterstock.com
1. กลีบเล้ยี ง (sepal) เปน็ กลีบรองดอกมักมสี เี ขียวโดยมลี กั ษณะเป็นวง
2. กลีบดอก (petal) อยู่ถัดเข้าไปจากกลบี เล้ยี ง มกั มสี สี วยงาม และมีกล่ินหอม
3. เกสรตวั ผู้ (stamen) มลี ักษณะคลา้ ยหลอดอนั เล็กๆ มสี ขี าว ปลายหลอดจะมีอับละอองเรณูสีเหลืองอยู่
ละอองเรณูมีรปู รา่ งค่อนข้างกลม เกสรตัวผู้อยู่ถัดจากกลบี ดอกเขา้ มาข้างในดอก กา้ นของเกสรตัวผู้อาจจะติดกบั
กลบี ดอกหรือแยกออกมาตา่ งหากก็ได้ อาจมีเกสรตวั ผตู้ ัง้ แตห่ นึ่งอันไปจนถึงหลาย ๆ อนั
4. เกสรตวั เมยี (pistil) เปน็ สว่ นท่อี ยู่ตรงกลางของดอก ประกอบด้วยรงั ไข่ท่ีอย่ลู า่ งสุดบริเวณฐานรองดอก
ภายในรังไข่บรรจุไข่อ่อนเล็ก ๆ ไว้ เหนือรังไข่จะเป็นท่อยาว เรียกว่า ก้านชูเกสรตัวเมยี ในท่อของก้านชูเกสรจะมี
นำ้ เหนียว ๆ หรือขนเลก็ ๆ น้จี ะชว่ ยยึดเกาะละอองเรณูให้เข้ามาผสมกบั ไข่ในรังไข่ของเกสรตัวเมยี
สว่ นสำคัญของดอก
โครงสร้างหลักของดอกไม้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ชั้นกลีบเลี้ยง (Calyx) ชั้นกลีบดอก
(Corolla) ชั้นเกสรเพศผู้ (Androecium) และชั้นเกสรเพศเมยี (Gynaecium) ซึ่งเรียงตัวจากชั้นนอกสุดเข้าสู่ดา้ น
ในของดอกไม้ โดยส่วนประกอบทั้ง 4 ตงั้ อยบู่ นฐานรองดอกที่บริเวณปลายสดุ ของกา้ นชดู อก ดังน้ี
ภาพ : shutterstock.com
1. ชั้นกลีบเลี้ยง (Calyx) หรือวงของกลีบเลี้ยงประกอบด้วยกลีบเลี้ยง (Sepal) ที่เป็นโครงสร้างห่อหุ้ม
ด้านนอกสุดของตัวดอก มักมีสีเขียวคล้ายส่วนของใบไมจ้ ากการมีองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์อยู่ภายใน ซึ่งทำให้
กลบี เลี้ยง นอกจากทำหน้าที่ป้องกนั อันตรายให้แก่สว่ นโครงสรา้ งภายในของดอกไม้แล้ว ยงั สามารถสังเคราะห์แสง
(Photosynthesis) เพื่อสร้างสารอาหารให้แก่พืชอีกด้วย กลีบเลี้ยงส่วนใหญ่จะหมดหน้าที่และหลุดร่วงไปจากต้น
เมื่อดอกไม้บานเต็มที่แล้วในพืชดอกบางชนิดวงของกลบี เลีย้ งอาจมีสีสันสดใส เพื่อทำหน้าที่ลอ่ แมลงให้เข้ามาผสม
เกสรเชน่ เดียวกับกลบี ดอก อีกทงั้ ในพชื บางชนิดยังมี “ริ้วประดบั ” (Epicalyx) หรอื กลีบสเี ขียวขนาดเล็กท่ีเรียงตัว
เปน็ วงบริเวณใต้กลบี เล้ียง เชน่ ทป่ี รากฏในดอกชบา และพ่รู ะหง เปน็ ต้น
2. ชั้นกลีบดอก (Corolla) หรือวงของกลีบดอกประกอบด้วยกลีบดอก (Petal) ที่เป็นส่วนโครงสร้างอยู่
ถัดเข้ามาจากกลีบเลี้ยง มักมีสีสันสวยงามจากรงควัตถุประเภทต่าง ๆ เช่น แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) หรือแอน
โทไซยานิน (Anthocyanin) ในพืชดอกบางชนดิ อยา่ งดอกพดุ ตาน กลีบดอกนนั้ สามารถเปลยี่ นสีได้ หรือในพืชบาง
ชนิด กลีบดอกอาจมีกลิ่นหอมผสมผสานอยู่ด้วย จากการมีทั้งต่อมกลิ่นและต่อมน้ำหวานตรงบริเวณโคนของกลีบ
ดอก ซง่ึ ทำหน้าที่ช่วยดึงดดู แมลงให้เขา้ มาผสมเกสร นอกจากน้ี ยงั มี “วงกลีบรวม” (Perianth) ทปี่ รากฏขึ้นในพืช
ซึ่งวงของกลบี เลย้ี งและกลบี ดอกมลี ักษณะคลา้ ยคลึงกนั จนแยกไมอ่ อก อย่างเชน่ ในจำปี จำปา บัวหลวง และทิวลิป
เป็นตน้
3. ช้ันเกสรเพศผู้ (Androecium) ประกอบดว้ ยเกสรเพศผู้ (Stamen) ทำหน้าทสี่ รา้ งเซลล์สืบพนั ธุเ์ พศผู้
ซงึ่ ในพืชสว่ นใหญ่มักมีจำนวนมากและเรียงตวั เป็นวง โดยเกสรเพศผูม้ ีท้ังส่วนที่แยกออกจากกันเป็นอิสระและส่วน
ของเกสรที่มีโครงสร้างติดกันหรืออาจเชื่อมติดกับส่วนอื่น ๆ ของดอกไม้ อย่างเช่นในดอกเข็มและดอกลำโพง ซ่ึง
เกสรเพศผูจ้ ะเช่ือมติดกบั ส่วนของกลีบดอก หรือที่พบในดอกรักและดอกเทยี นที่เกสรเพศผู้มโี ครงสร้างติดกับเกสร
เพศเมยี เกสรเพศผมู้ ีองคป์ ระกอบสำคัญ 2 ส่วน คอื
1. อับเรณู (Anther) หรืออับเกสรเพศผู้ มีลักษณะเป็นแท่งกลมยาว 2 พู ภายในประกอบด้วย
“ถุงเรณู” (Pollen Sac) ขนาดเล็ก 4 ถุง ซึ่งบรรจุละอองเรณู (Pollen Grain) ที่มีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็กสี
เหลืองจำนวนมาก ผิวของเรณูนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช เมื่อดอกเจริญเต็มที่แล้ว ถุงละอองเรณูจะแตก
ออก ทำให้ละอองเรณูปลิวไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย เพื่อสร้างสเปิร์ม (Sperm) ที่ใช้ในการผสมพันธุต์ ่อไป ใน
พืชแต่ละชนดิ จำนวนของเกสรเพศผจู้ ะมีจำนวนมากนอ้ ยแตกตา่ งกันไป แตโ่ ดยท่วั ไปแล้ว พืชโบราณหรอื พืชช้ันต่ำ
มักมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ส่วนพืชท่ีมีวิวัฒนาการสูงเกสรจะมีจำนวนลดลง
2. กา้ นชูเกสรเพศผู้ (Filament) คือ ส่วนโครงสรา้ งทที่ ำหนา้ ทีช่ ูอับเรณู มีลักษณะโครงสรา้ ง
เป็นเสน้ ทีอ่ าจอย่รู วมกนั เป็นกลมุ่ หรอื แยกจากกันเป็นอสิ ระ มีขนาดและความยาวแตกต่างกนั ไปตามชนิดของพชื
4. ชนั้ เกสรเพศเมยี (Gynaecium) ประกอบดว้ ยเกสรเพศเมีย (Pistil) อยดู่ ้านในสุดของดอก เป็นส่วน
โครงสรา้ งที่พฒั นามาจากใบ เพ่ือทำหนา้ ทส่ี ร้างเซลล์สบื พันธุเ์ พศเมีย ในพืชแตล่ ะชนิด เกสรเพศเมยี อาจมเี พียง
หน่ึงหรอื อาจมจี ำนวนมากขน้ึ อยู่กับชนดิ พันธ์พุ ืช เกสรเพศเมียมีองคป์ ระกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
1. ยอดเกสรเพศเมยี (Stigma) คือ ส่วนทม่ี ีลักษณะโปร่งพองออกมาเป็นตุ่มแผ่แบนเป็นแฉก ๆ
เป็นพแู ละมนี ้ำหวานเหนียวค้นหรือขนคอยจบั ละอองเรณูท่ีลอยมาติด
2. กา้ นชูเกสรเพศเมีย (Style) คือ ส่วนที่มีลักษณะเปน็ เส้นหรอื กา้ นขนาดเล็กที่เชอ่ื มต่อจาก
ยอดเกสรตัวเมยี ลงสรู่ งั ไข่ เพื่อเป็นเส้นทางใหส้ เปิร์มเคล่ือนตัวเข้ามาปฏสิ นธกิ ับไข่
3. รงั ไข่ (Ovary) คอื ส่วนของกระเปาะพองโตทย่ี ดึ หรืออาจฝงั อยกู่ ับฐานรองดอก
(Receptacle) ภายในมีลักษณะเป็นห้องขนาดเล็กเรียกว่า “โลคุล” (Locule) ซึ่งภายในโลคุลประกอบด้วยออวุล
(Ovule) ท่ีมหี น้าทีส่ ร้างไข่ (Egg) บรรจอุ ยู่ แตล่ ะหนว่ ยของเกสรเพศเมยี ท่มี โี ลคลุ ที่ห่อหุม้ ไข่ไว้ภายในเรียกว่า “คาร์
เพล” (Carpel) โดยใน 1 โลคลุ อาจมี 1 คาร์เพล หรอื หลายคาร์เพลตามชนิดของดอกไม้ เมอ่ื เกดิ การปฏสิ นธิ รังไข่
จะเจรญิ ไปเปน็ ผล ขณะทอี่ อวุลจะเจรญิ ไปเป็นสว่ นของเมล็ดน่ันเอง
2. ประเภทของดอก
การจำแนกพชื ดอก เม่ือใชอ้ งค์ประกอบของดอกไม้เปน็ เกณฑ์ จะแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คอื ดอกสมบูรณ์
หรือดอกครบส่วน และดอกไม่สมบูรณ์หรือดอกไม่ครบส่วน แต่เมื่อใช้เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมียเป็นเกณฑ์
จะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ดอกสมบรู ณเ์ พศ และดอกไม่สมบูรณเ์ พศ
การจำแนกพชื ดอกโดยใช้ ส่วนประกอบของดอกไม้เป็นเกณฑ์ แบ่งได้เปน็ 2 ชนิด คือ
1. ดอกสมบูรณ์ หรือดอกครบส่วน หมายถึง ดอกที่มีส่วนประกอบครบทั้ง 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบ
ดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน เช่น ดอกบานบุรี ชบา กุหลาบ ต้อยติ่ง บัวหลวง อัญชัน
ผักบุ้ง พรกิ มะเขอื เปน็ ตน้
2. ดอกไม่สมบูรณ์ หรือดอกไม่ครบส่วน หมายถึง ดอกที่มีส่วนประกอบของดอกไม่ครบทั้ง 4 ส่วน อาจ
ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปในดอกเดยี วกัน เชน่ ดอกมะละกอ ตำลงึ ฟกั ทอง แตงกวา บวบ เฟื่องฟ้า กลว้ ยไม้ บานเย็น
หน้าววั เป็นตน้
การจำแนกพชื ดอกโดยใช้ เกสรตัวผูแ้ ละเกสรตัวเมยี เป็นเกณฑ์ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนดิ คือ
1. ดอกสมบรู ณเ์ พศ หมายถึง ดอกท่ีมที ้งั เกสรตวั ผู้ และเกสรตวั เมียอยภู่ ายในดอกเดยี วกัน เชน่ ดอกชบา
มะมว่ ง กุหลาบ บัว ต้อยตง่ิ ผกั บงุ้ ถว่ั มะเขือ เปน็ ตน้
2. ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ หมายถึง ดอกที่มเี กสรตัวผแู้ ละเกสรตัวเมียอยคู่ นละดอก เชน่ ดอกตำลงึ ฟกั ทอง
มะละกอ ขา้ วโพด มะยม เปน็ ต้น
ขอ้ สรุปเก่ียวกับประเภทของดอก
- ดอกครบสว่ นเป็นดอกสมบูรณ์เพศเสมอ ดอกไม่ครบสว่ นอาจเปน็ ดอกสมบรู ณ์เพศหรือไมส่ มบูรณ์เพศก็
ได้
- ดอกสมบรู ณ์เพศ อาจจะเป็นดอกครบส่วนหรอื ดอกไมค่ รบส่วนก็ได้ ดอกไม่สมบูรณเ์ พศ ต้องเปน็ ดอกไม่
ครบสว่ นเสมอ