ชนเผา่ ไตหย่า
ประวตั ิความเปน็ มาของชนเผา่ ไตหยา่
ไตหย่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองหย่า หรือ ในภาษาจีนเรียกตำบลโมซา (Mosha County) อำเภอซินผิง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำแดง หรือที่ไตหย่าเรียกว่าแม่น้ำต๋าวซึ่งห่างจากคุนหมิงเมือง
หลวงของมณฑลยูนนาน ประมาณ 117 กิโลเมตร (ในอดีตจะใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 7 วัน) จาก
วิทยานิพนธ์ของกริช สอิ้งทอง(2545)เสนอว่ามีข้อมูลเอกสารประวัติศาสตร์ระบุว่า ปี พ.ศ.2470
ศาสตราจารย์แบคเทล ผู้ปกครองแก้ว ใจมา และคณะ ได้เดินทางจากจังหวัดเชียงรายไปเมืองหย่า
สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเผยแพร่คริสตศาสนา ทำให้มีชาวไตหย่าบางส่วนเปลี่ยนจากการนับถือผีมา
นับถือศาสนาคริสต์และด้วยสภาพความเป็นอยู่ของชาวไตหย่าในขณะนั้นที่มีความเป็นอยู่ท่ีลำบากจากอยู่
ภายใตก้ ารปกครองของจีนศาสตราจารย์แบคเทลจึงชกั ชวนใหอ้ พยพเขา้ มาอยู่ในประเทศไทย โดยครั้งแรก
มาพำนักที่บ้านหนองกลม ปัจจุบันคือ บ้านสันธาตุในอำเภอแม่สาย จากนั้นอพยพมาที่สันป่าสักซึ่งต่อมา
เปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านสันป่าสักขวาง หลังจากตั้งหมู่บ้านได้ไม่นาน ก็มีชาวไตหย่าอพยพมาอยู่เพิ่ม จึงมี
บางส่วนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านน้ำบ่อขาว ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ชาวไตหย่า คือ กลุ่ม
คนที่อพยพมาจากเมืองหย่า หรือซินผิงมณฑลยูนนาน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐ
ประชาชนจนี ชาวจีนเรียกคนไทกล่มุ น้ีวา่ ฮวาเยา่ ไต แปลวา่ ไทเอวลาย ชาวไตหยา่ บางส่วนได้อพยพมายัง
สิบสองปันนา บางส่วนเข้าสู่พม่าและไทย มีประชากร 60,000 คน พูดภาษาไต ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มภาษา
คำ-ไต ตระกลู ภาษาไท-กะได
วิถชี วี ติ ของชนเผ่าไตหย่า
การดำเนินชีวติ ของชาวไตหยา่ ในปจั จุบันมกี ารเปลีย่ นแปลงไปตามยุคสมัย ในอดีตไตหยา่ มชี ือ่ เสียงเรื่อง
การทอเส่อื กก ท้ังนี้เน่อื งจากเมือ่ เดินทางอพยพมาสู่ประเทศไทยได้มีชายผหู้ น่ึงชื่อวา่ เลาหล่ายนำหัวต้นกก
แชน่ ำ้ ในกระบอกไมไ้ ผ่มาด้วย ระหวา่ งทางภรรยาของเลาหล่ายไดเ้ อาหัวกกท้ิงไปถึง 3 ครงั้ เพราะสมั ภาระ
ทหี่ าบมาหนกั เลาหลา่ ยกจ็ ะเก็บมาทกุ ครัง้ จนครง้ั สุดทา้ ยครอบครวั อานแตนไดเ้ ป็นผูเ้ กบ็ และนำหัวเสอื่ กก
มาถงึ ประเทศไทย เมื่อถึงประเทศไทยไดเ้ พาะหวั กกไว้ถึง 3 ปจี งึ มเี ส้นกกเพียงพอสำหรบั ทอเปน็ เสอื่ ผนื แรก
โดยครอบครัวอานแตนเป็นผอู้ อกแบบฟืมในการทอเส่ือดว้ ยตอ่ มาหวั กกไดแ้ พร่ขยายเพ่มิ มากขึ้นชาวไตหย่า
จึงไดป้ ลกู กกกนั เกือบทุกครัวเรอื นในชว่ งแรกการทอเสื่อถือเป็นอาชพี เฉพาะของชาวไตหย่าจนถกู เรยี กว่า
“สาดไตหย่า” มีการประดษิ ฐ์ทำฟืมให้สามารถทอเสื่อขนาดตา่ ง ๆ กันต่อมามีการจ้างคนพ้นื เมืองมาชว่ ย
ทอเสอื่ และมีการจำหนา่ ยหัวกกออกไปจึงทำใหอ้ าชพี การทอเส่อื ได้แพรก่ ระจายไปทวั่ จังหวัดเชียงราย (จไุ ร
รัตน์ และเลหล้า 2552) ในปัจจุบัน แม้ไตหยา่ จะไมไ่ ด้ทอเสื่อเป็นอาชีพแลว้ แต่การทอเสอ่ื ลายสองท่มี คี วาม
ประณีตก็ยงั ถือเปน็ อตั ลกั ษณห์ นึ่งของไตหยา่ ในประเทศไทย
การแต่งกาย
ผู้ชายไตหย่าจะสวมกางเกงสีดำหรือสีครามคล้ายกางเกงขาก๊วย เสื้อสีเดียวกับกางเกง เรียกว่า เสื้อฮี
ลักษณะเป็นเสื้อคอจีนแขนยาว ผ่าหน้าติดกระดุมผ้า ปลายแขนแต่งดว้ ยแถบผ้าสีแดงหรือสีฟ้า สวมหมวก
ผ้าทรงกลมกลางศีรษะโล่ง ติดภู่ห้อยด้านข้างซ้าย ในปัจจุบันมีการปรับรูปแบบของเสื้อเพื่อใส่ในช่วย
อากาศรอ้ นเป็นแบบเสือ้ แขนกดุ ตกแต่งดว้ ยเม็ดเงิน
ผู้หญิง เครื่องแต่งกายของสตรีทีจ่ ะสวมผ้าซิ่น 2 ผืนซ้อนกันเป็นผ้าพื้นมีดำ ประดับด้วยผ้าริว้ สีต่าง ๆ เย็บ
เป็นแถบรอบชายซิ่น ขณะสวมใส่จะรั้งผ้าซิ่นด้านซ้ายขึน้ ปล่อยชายดา้ นขาวห้อยตำ่ ลงมา นอกจาชายเสื้อ
และผ้าซิ่นจะประดบั ด้วยริ้วผ้าสีต่าง ๆ แล้วยังใช้เม็ดเงินสอยเย็บติดกับชายเสื้อ สาบเสื้อ และขอบแขนเปน็
ลวดลายต่าง ๆ
ศาสนาและความเช่ือ
ชาวไตหย่าในประทศไทยกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาศริสต์ ประเพณีกรรมสำคัญต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับวัน
สำคัญของศาสนาคริสต์ ส่วนชาวไตหย่าที่อยู่ในประเทศจีนยังคงนับถือผี มีแม่มด ย่ามด เป็นผู้ประกอบ
พิธกี รรมต่าง ๆ
ประเพณแี ละวัฒนธรรม
ประเพณีและวัฒนธรรมตา่ ง ๆ ท่ีสำคญั ของชาวไตหย่าจะขึ้นอยกู่ ับวันสำคญั ของศาสนาคริสต์เนอ่ื งจากชาว
ไตห่ ย่าส่วนมากจะนับถือศาสนาคริสต์
ภาษา
ชาวไตหย่ามีภาษาพูดเป็นของตัวเองที่ฟังแล้วคล้ายคลึงกับภาษาไทลื้อและภาษาไทยองแต่จากการไม่มี
ตัวอกั ษรในการจดบนั ทึกจึงทำใหภ้ าษามกี ารเปล่ียนแปลงและสูญหายไปมาก
ชนเผา่ บซี ู
วิถชี วี ิตของชนเผา่ บซี ู
บีซูที่ดอยชมภูส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม ปลูกข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าวเหนียวและอื่นๆ มีส่วนน้อยที่
ออกไปทำงานนอกหมูบ่ ้าน พื้นที่หมู่บ้านของบีซูดอยชมภู เป็นเขตป่าสงวน มีการกันพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นป่า
ชุมชน คนบีซูรักป่า และมีกฎห้ามคนหมู่บ้านอื่นทำลายป่า คนบีซูสามารถเข้าไปเก็บของป่าได้ เก็บเห็ดได้
พื้นที่ทำกินของคนบซี ู จะไม่ขายให้คนนอกกลุ่ม แต่จะใหล้ ูกหลานทำกนิ สืบทอดกันไปในครัวเรือน ในการ
ปกครองชุมชน มีพ่อหลวงดูแล เมื่อเกิดการทะเลาะวิวาทกัน พ่อหลวงเป็นผู้ตักเตือนหรือลงโทษ โดยการ
ปรับเงินเข้าหมู่บ้าน 400-500 บาท มีการตั้งกฎเกณฑ์ข้อตกลงในชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย เช่น
ผู้ใดยงิ ปืนยามวิกาล จะถูกปรบั นัดละ 500 บาท และสว่ นใหญค่ นในชมุ ชนจะฟังกัน
ประเพณีและเทศกาลของชนเผ่าบซี ู
•การตายและการทำศพ
ในอดีตเมื่อมีคนเสียชวี ติ ในชุมชน จะไม่ให้เด็กและผูห้ ญิงออกจากบ้านชาว ผู้ทำหน้าที่จัดพิธีศพจเป็นกลมุ่
ผู้ชาย ใช้การฝังศพเป็นหลัก เชื่อว่าจะต้องฝังศพผู้ตายภายใน 24 ชั่วโมง การเลือกสถานทำพิธีเสี่ยง
ทายจากไข่ ถ้าโยนไข่ หรือใข่หลุดมือแล้วแตกที่ไหนจะทำพิธีฝังศพ ณ ตำแหน่งนั้น แต่ถ้าเมื่อโยนและไข่
ไม่แตกต้องหาที่ฝังใหม่ พิธีการเสี่ยงทายด้วยไข่นี้มีชื่อเรียกตาม ภาษาบีซูว่า ยา-อู-จัน โดยผู้ทำพิธีนั้นไม่
จำเปน็ ตอ้ งเปน็ หมอผี แต่ต้องเปน็ ผทู้ ี่รแู้ ละเข้าใจพิธี อาจเป็นคนเฒา่ คนแก่ (ลกั ษณะเดยี วกับสัปเหร่อ) โดย
จะเรยี กว่าผู้นำทาง ในภาษาบซี ู เรียกว่า แก-บา-หนำ-ฮู ส่วนในปจั จบุ ันน้ัน ใช้การเผาศพและพิธีแบบคน
พนื้ เมือง
•ประเพณเี ซ่นไหว้บรรพชน
ในบ้านจะมีหิง้ ผีและแต่ละบ้านไหว้เฉพาะผีสายตระกลู ทตี่ นเองถอื เรยี กวา่ “อังบาองั ตาองั แด” ในอดีตการ
ไหวผ้ ีในบา้ น แบ่งเป็น 2 สว่ นคือ
1.ผีบรรพบุรุษหรือผีพ่อแม่ปู่ย่า จะตั้งหิ้งบริเวณเขตของที่นอน หิ้งผีประจำบ้านถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยใน
อดีตใช้การแบ่งพื้นที่นอนและพื้นที่บ้านด้วยการใช้ไม้กั้น โดยห้ามคนภายนอกที่ไม่ใช่คนในบ้านข้ามเขต
เข้าไปในบริเวณที่นอน หากข้ามไปจะถือว่าผิดผี แม้จะนับถือผีข้างพ่อ แต่เมื่อญาติฝ่ายผีแม่ตายและมีลูก
สาวที่เปลีย่ นไปถือผีฝา่ ยชายแลว้ ก็ต้องตามใหม้ ารว่ มงานไหว้ผดี ้วยเช่นกัน
2. การไหว้ผยี ุมแปง (เตาไฟ) ในสมัยก่อน ลักษณะบา้ นบซี ูเปน็ บ้านหลงั ใหญ่ มีเตาไฟอยใู่ นเรอื น บรเิ วณนีม้ ี
การต้ังหิ้งยุมแปงเป็นที่ศกั สทิ ธข์ิ องแต่ละครัวเรือน เปน็ ของทีร่ ักษาคนในเรือนหลงั น้ัน ๆ แตห่ ากทำอะไรผิด
ไม่ถูกใจผีที่รักษาบ้านหลังนั้น ๆ ผีอาจลงโทษคนในบ้านได้ จึงมีการไหว้หิ้งยุมแปงในเดือน 8 ของทุกปี
และจะทำการไหว้ยุมแปงทุกครั้งที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ปัจจุบันเมื่อมีการใช้แก็สหุงต้มเข้ามาแทนที่ทำให้
เตาไฟกลางบ้านหายไป แต่บีซูส่วนหนึ่งยังคงนับถือยุมแปงดังเดิม แม้จะไม่ตั้งหิ้ง ก็มีการไหว้บอกกล่าว
ต่อยมุ แปงในสว่ นพื้นทีเ่ ตาไฟหรอื ท่ีประกอบอาหาร
ศาสนาและความเช่ือของชนเผ่า
บซี ู
บีซูนับถือศาสนาพุทธและมีความผูกพันแน่นแฟ้นกับวัดและพระสงฆ์ และมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ
ศาสนกจิ ตามขนบประเพณดี งั้ เดิม บิดามารดานิยมให้บุตรหลานทเี่ ป็นชายบวชเรียน ถา้ เป็นผู้ใหญ่จะบวช
ให้พ่อแม่ ถ้าเป็นเด็กจะบวชเพื่อเรียนหนังสือ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีการทำบุญในหมู่บ้าน
เช่นเดียวกันคนไทยทางเหนือ ในขณะเดียวกันก็ยังคงนับถือผีด้วยเช่นกัน มีทั้งผีหมู่บ้าน ผีในป่า ผีในถ้ำ
ในทุ่งนาและผีบรรพบุรุษ บีซูเรียกผีที่ดูแลหมู่บ้านหรือเสื้อบ้านว่า ‘อังจาว’ ซึ่งมีผู้ช่วยชื่อ ‘ม้า’ (maa)
หมายถงึ ม้า มหี นา้ ท่ีดูแลผมี ้าท่เี ป็นหวั หนา้ ของม้า ซง่ึ ชาวบา้ นบีซจู ะใหค้ วามเคารพนบั ถอื อังจาวเป็นอย่าง
มากโดยเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองหมู่บ้านของตนให้ปลอดจากอันตรายได้ ดังนั้นคนบีซูจึงมี
ประเพณีที่สำคัญคือประเพณีไหว้หอเสื้อบ้านที่เรียกกันว่า “อังจาวไว” โดยมีบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ประกอบ
พิธกี รรมในหมู่บา้ น เรียกวา่ ปู่ตงั้
ภาษาของชนเผ่าบีซู
จัดอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto – Burmese family) ซึ่งตามหลักภาษาศาสตร์เรียกภาษากลุ่มนี้
วา่ ภาษาโลโลใต้ (Southern Loloish) ภาษาบซี ูเป็นภาษาท่ีเพิง่ มนี ักภาษาศาสตรค์ น้ พบเมือ่ ไม่นานมานี้
การแตง่ กายของชนเผ่าบีซู
ชาวบีซูไม่ได้สวมใส่เส้ือผ้าตามอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับหลายกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
ในประเทศไทย ที่เสื้อผ้าตามอัตลักษณ์มีไว้เพื่อเสดงออกถึงตัวตนเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ทางสังคม ส่วนในชีวิตประจำวันนั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าทั่วไปตามสมัยนิยมเป็นหลัก โดยเสื้อผ้าตามอัต
ลักษณท์ างชาติพนั ธข์ุ องชาวบีซู มีรายละเอยี ดดงั นี้
ชุดผู้ชาย ตัวเสื้อทำจากผ้าฝ้ายสีแดงน้ำหมาก คอจีน ผ่าหน้า ป้ายด้านขวาของผู้สวมใส่ แขนเสื้อ
ทรงกระบอกยาว ชายเสื้อขลิบผ้าสีน้ำเงิน กระดุมเสื้อทำมาจากกะลามะพร้าว มีหอยเบ้อประดับตัวเสื้อ
ส่วนกงเกงเป็นทรงขากวา้ ง สดี ำหรอื สนี ้ำเงิน ส่วนของผา้ โพกหัวนยิ มใชส้ แี ดง
ชุดของผูห้ ญิง ตัวเสื้อเป้นผ้าฝ้ายสีน้ำเงินคอจนี ตัวเสื้อคลุมป้ายด้านซ้ายของผู้สวมใส่ เสื้อแขนกระบอก
ยาว คอเสื้อและชายเส้ือตกแต่งลายปักสีแดงและหอยเบี้ย สวมผ้าถุงสีเขียวทอลายแดงสลับดำคาดกลาง
(เครอื ขา่ ยส่ือชนเผา่ พื้นเมือง รว่ มกบั สภาชนเผ่าพ้นื เมอื งแหง่ ประเทศไทย
ชนเผ่าขมุ
ประวัติความเป็นมาของชนเผา่ ขมุ
ขมุ เป็นชาวเขากลุ่มเล็ก ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย บริเวณชายแดนจังหวัดเชียงรายและน่ าน
เปน็ กลมุ่ ชาติพันธุ์ทมี่ ถี ่นิ ฐานบรเิ วณตอนเหนอื ของเอเชียตะวันออกเฉียงใตม้ ายาวนาน ต้งั แตบ่ รเิ วณทางใต้
ของประเทศจีน ทางภาคเหนือของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม จนถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว ซึง่ มชี าวขมอุ ยเู่ ปน็ จำนวนมากท่ีสุด
วิถีชีวติ ของชนเผ่าขมุ
ดั้งเดิมนั้นคนขมุจะมีวิถีการผลิตแบบยังชีพ มีการปลูกข้าวไร่ เพราะพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็เอื้อให้ทำการ
เพาะปลูกข้าวไร่ การปลูกพืชพาณิชย์เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และส่วนใหญ่แล้วลูกหลานรุ่นหลังมักจะ
ทำงานภายในพื้นท่แี ละตา่ งจงั หวัด เพอ่ื หารายไดม้ าจุนเจือครอบครัว ตวั อย่างของคนขมุบ้านหว้ ยเอียน มี
การประกอบอาชีพคา้ ขายตามตลาดนดั ทุกวันพธุ โดยจะนำเอาของป่าในพ้ืนท่ี พืชผกั สตั ว์เล็กสัตว์น้อยไป
ขาย ซึ่งในตลาดก็จะพบของป่าที่มาจาก "หล่ายหน้า" หรือฝั่งลาวด้วย อีกทั้งภายในหมู่บ้านยังมีร้านค้า
ขายของชำ ด้วยเพราะหมู่บ้านตั้งอยู่บนเส้นทางแห่งการท่องเที่ยว จึงทำให้พวกเขาต้องปรับตัวเองและ
ยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือน ที่ไม่ได้ยึดติดกับอัตลักษณ์เดิม แต่ชาวขมุยังมีการแสวงหารายได้จาก
หลากหลายชอ่ งทาง หรอื "ความหลากหลายในการดำรงชพี " เปน็ ต้น
ศาสนาและความเช่ือของชนเผา่ ขมุ
กลุ่มชนขมุยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีภายในกลุ่มบนความเชื่อ 2 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้ความเช่ือ
เกีย่ วกบั บรรพบุรุษหรอื สง่ิ เหนือธรรมชาติ นับเป็นความเช่อื ด้งั เดมิ ของคนขมทุ ่ีมกี ารจำแนกได้เปน็
1.ความเชื่อในเรื่องของบรรพบุรุษ ความเชื่อเกี่ยวกับพญาเจือง วีรบุรุษผู้กล้าหาญ โดยจะมีการประกอบ
พิธีกรรมในช่วงเทศกาลปีใหมข่ มุ
2.ความเช่ือในเรือ่ งของจิตวิญญาณบรรพบรุ ุษในระดบั ครอบครัว เช่น ผีปู่ ผีย่า ซึ่งคนขมุเชื่อว่ามอี ิทธิพลที่
จะช่วยคุ้มครองลูกหลาน สมาชิกในครอบครัวจึงมีการแสดงออกผ่านการเซ่นไหว้ ในยามที่สมาชิกใน
ครอบครวั เกิดการเจ็บป่วย
3.ความเชอ่ื ในเรื่องของส่งิ เหนอื ธรรมชาติ เชน่ ขวญั เจ้าที่ จะมกี ารประกอบพธิ กี รรมเช่นการเรียกขวัญ การ
สู่ขวญั การเลยี้ งผีตน้ น้ำ เป็นต้น
ความเชอ่ื ในเรอ่ื งศาสนาสากล
ปัจจุบันนี้คนขมุหันมายอมรับนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์มากขึ้นและลดการประกอบพิธีกรรมรูป
แบบเดมิ ท่กี ่อนหนา้ น้ันเวลาที่มีการเจบ็ ปว่ ยเกิดขนึ้ มกั จะมกี ารซื้อควายมาเลี้ยง ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
การปรับเปล่ียนอตั ลกั ษณ์ทางความเช่ือจึงถือเป็นความหลากหลายในการดำรงชพี แบบหน่งึ และมีลักษณะที่
ผสมผสานกัน เช่น เมื่อมีการขึ้นบ้านใหม่ ก็จะเอาพระสงฆ์ ปู่จารย์หรืออาจารย์ประกอบพิธีบ้านใกล้เรือน
เคียง หรือที่ตนรู้จักมาประกอบพิธีกรรมด้วย และเมื่อมีคนเสียชีวิตในหมู่บ้านก็จะทำพิธีฝังศพ โดยมีผู้นำ
ศาสนาครสิ ตม์ าประกอบพธิ ีกรรมให้ นอกจากน้แี ล้วในพิธกี รรมแตง่ งานก็จะมีการนำเอาผู้อาวโุ สในหมู่บ้าน
มาเป็นผปู้ ระกอบพธิ ี
การแตง่ กาย
ชาวขมุ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำหรือคล้ำเข้ม ในชีวิตประจำวันจะพบการแต่งกายแบบขมุเฉพาะกลุ่ม
หญิงมีอายุ ส่วนผู้ชายและเด็กรุ่นใหม่จะนิยมแต่งกายแบบคนเมือง นอกจากนี้ ชาวขมุบางถิ่นจะแต่งกาย
คล้ายกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ เช่น ขมุบ้านห้วยเย็นและบ้านห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย นุ่งซิ่นสีคล้ำลงลาย
แบบลาวและโพกผ้าสีแดง ส่วนขมุที่อำเภอทุ่งช้างและเชียงกลาง จังหวัดน่าน ใช้ซิ่นลายขวางแบบไทลื้อ
และสวมเสื้อหนาตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ตกแต่งด้วยด้ายสีและเหรียญเงิน ใส่กำไลเงินที่คอแบบแม้วและกำไล
ข้อมอื
ภาษาของชนเผ่าขมุ
ชาวขมุจะมีภาษาพูดเป็นของตนเองตามสำเนียงเสียงท้องถิ่นและจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มส่วนใหญ่
แล้วจะสามารถสอ่ื สารกนั ไดอ้ ย่างเขา้ ใจ เพราะมกี ารเรยี นรทู้ างภาษาระหวา่ งกัน