หนัง ืสอเส ิรมประสบการณ์ ระบบ
อวยั วะในรา่ งกายมนษุ ย์
Human Body
ระบบย่อยอาหาร
ระบบหมนุ เวยี นเลือด
ระบบหายใจ
ระบบขบั ถา่ ย
ระบบประสาท
ระบบขบั ถ่าย
รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2
กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทตโนโลยี โดย นางสาวรอพิดา หลงเป๊าะ
หนังสือเสรมิ ประสบการณ์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์
ระบบอวยั วะในรา่ งกายมนษุ ย์
Human Body
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โดย นางสาวรอพิดา หลงเป๊าะ
คานา
หนังสือเสริมประสบการณ์เล่มนี้ ได้จัดทาข้ึนเพื่อใช้เป็นสื่อเสริมเพ่ือ
ประกอบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ (ว22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เร่ือง
ระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์ และยังเป็นคู่มือการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของ
นักเรียนอีกด้วย เพราะ หนังสือเสริมประสบการณ์น้ี ผู้สอนได้จัดทาข้ึนเพื่อพัฒนา
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี นให้สูงขึ้น โดยนาไปประกอบการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เต็มตามความสามารถและนาไป
ประยุกต์ใช้ในการดูแลและรักษาสุขภาพของตัวนักเรียน ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่ง
หนังสือเสริมประสบการณ์เล่มนี้ คงจะเป็นประโยชน์ท่ีจะช่วยส่งเสริมนักเรียน และ
ผู้สอนไดใ้ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนเปน็ อยา่ งดี
รอพดิ า หลงเปา๊ ะ
สารบญั หนา้
เร่อื ง
คาช้ีแจง
การใชห้ นังสือเสรมิ ประสบการณ์
เรือ่ ง ระบบอวยั วะในรา่ งกายของมนษุ ย์
หนังสอื เสรมิ ประสบการณ์ทีน่ กั เรียนไดศ้ กึ ษาตอ่ ไปน้ี คอื เรื่องระบบอวยั วะในรา่ งกายของ
มนุษย์จดั ทาขึน้ เพือ่ ใหนกั เรยี นศกึ ษาดว้ ยตนเอง โปรดอา่ นคาแนะนากอนศึกษา ดงั ตอไปน้ี
1. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอื่ ง ระบบอวัยวะในรา่ งกายของมนษุ ย์
2. ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาคาชี้แจง้ ของหนงั สอื เสรมิ ประสบการณ์
3. ให้นกั เรยี นศกึ ษาจุดประสงค์การเรยี นรู้และตวั ช้ีวัดของหนังสือเสริมประสบการณ์
4. ให้นกั เรยี นศกึ ษาคน้ คว้า หาความรดู้ ว้ ยตนเอง
5. ใหน้ กั เรียนตอบคาถามในแบบฝกึ หัด
6. ให้นักเรยี นทาแบบทดสอบแต่ละเรื่องย่อยให้ครบถว้ น พรอ้ มตรวจสอบความถกู ต้อง
7. ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน เรอื่ ง ระบบอวยั วะในร่างกายของมนุษย์
8. นกั เรียนทดี่ ี จะตองซ่ือสตั ยตอตนเองเสมอ จะไม่เปดิ ดคู าตอบกอน
คาแนะนาสาหรบั ครู
1. ใชหนงั สือเสรมิ ประสบการณ์เล่มนี้ประกอบการจัดการเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์
(ว22101) ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 2
2. ใชหนงั สือเสริมประสบการณ์เล่มน้ี เสรมิ สาหรบั นกั เรียนที่เรยี นดี และชว่ ยเหลือ
นักเรียนที่เรียนชาได้เรยี นทันเพอ่ื น
3. กอนเรยี น หนังสอื เสรมิ ประสบการณ์เล่มนี้ ตองใหนักเรยี นทาแบบทดสอบกอนเรยี น
4. ศึกษาหนังสอื เสรมิ ประสบการณต์ ั้งแตแ่ รก ทั้งเนือ้ หาและกจิ กรรมใหเขาใจกอน
5. ใหนักเรียนอา่ นคาชี้แจง้ ในการใช หนังสอื เสรมิ ประสบการณเ์ ลม่ น้ี และปฏิบตั ติ าม
ทุกขั้นตอนทงั้ เนือ้ หา กิจกรรม คาถาม คาตอบ หรอื แบบทดสอบ กอนเรยี น หลงั เรียน
7. นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน
8. ถานกั เรียนไม่ผ่านเกณฑที่ระบุไว ครูควรใหนกั เรียนศกึ ษาเนอ้ื หาใหม่อกี คร้งั แลวทา
แบบทดสอบหลังเรยี นใหผ้ ่านตามเกณฑที่กาหนดไว้
คาแนะนาสาหรบั ผปู้ กครอง
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน
ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสง่ิ มีชวี ิต หน่วยพน้ื ฐานของส่งิ มชี ีวิต การลาเลียงสารเขา้ และออก
จากเซลล์ ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าทีข่ องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนุษยท์ ที่ างาน
สัมพนั ธ์กนั ความสมั พนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ี ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสมั พนั ธก์ ัน
รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตวั ชีว้ ดั
ม.2/1 ระบอุ วัยวะและบรรยายหนา้ ทีข่ องอวยั วะที่ เก่ยี วข้องในระบบหายใจ
ม.2/2 อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช้ แบบจาลอง รวมทั้งอธิบายกระบวนการ
แลกเปล่ียนแก๊ส
ม.2/3 ตระหนกั ถึงความสาคญั ของระบบหายใจ โดยการบอกแนวทางในการดแู ลรักษา
อวยั วะ ในระบบหายใจใหท้ างานเปน็ ปกติ
ม.2/4 ระบอุ วัยวะและบรรยายหนา้ ท่ขี องอวัยวะ ในระบบขบั ถา่ ยในการกาจดั ของเสยี ทางไต
ม.2/5 ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของระบบขับถ่าย ในการกาจัดของเสยี ทางไต โดยการบอก
แนวทางในการปฏบิ ัติตนท่ีช่วยใหร้ ะบบขับถา่ ย ทาหนา้ ท่ไี ด้อย่างปกติ
ม.2/6 บรรยายโครงสร้างและหน้าทขี่ องหัวใจ หลอดเลอื ด และเลอื ด
ม.2/7 อธิบายการทางานของระบบหมุนเวยี นเลือด โดยใช้แบบจาลอง
ม.2/8 ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการ เปรียบเทียบอตั ราการเต้นของหวั ใจ ขณะ
ปกติ และหลังทากจิ กรรม
ม.2/9 ตระหนักถงึ ความสาคญั ของระบบหมุนเวียนเลอื ด โดยการบอกแนวทางในการดแู ล
รกั ษาอวยั วะ ในระบบหมุนเวียนเลือดใหท้ างานเปน็ ปกติ
ม.2/10 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ขี องอวัยวะใน ระบบประสาทสว่ นกลางในการควบคุม
การทางานตา่ ง ๆ ของร่างกาย
ม.2/11 ตระหนกั ถึงความสาคญั ของระบบประสาท โดยการบอกแนวทางในการดแู ลรกั ษา
รวมถงึ การป้องกันการกระทบกระเทอื นและอันตราย ต่อสมองและไขสนั หลงั
ม.2/12 ระบอุ วยั วะและบรรยายหน้าทีข่ องอวัยวะใน ระบบสบื พันธุข์ องเพศชายและเพศหญิง
โดยใช้แบบจาลอง
ม.2/13 อธิบายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและเพศหญิงท่ี ควบคมุ การเปล่ียนแปลงของรา่ งกาย
เมอ่ื เขา้ สู่ วัยหน่มุ สาว
ม.2/14 อธบิ ายการตกไข่การมีประจาเดอื น การปฏสิ นธแิ ละการพฒั นาของไซโกต จนคลอด
เปน็ ทารก
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
คาชแ้ี จง้ เลอื กคาตอบที่ถกู ตอ้ งทีส่ ดุ เพยี งข้อเดียว
1. อวยั วะในขอ้ ใดทาหน้าท่ไี ดห้ ลายระบบ 6. พจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปน้ี
ก. หลอดเลือด
ข. สมอง 1. เซลลเ์ มด็ เลือดแดงสรา้ งจากไขกระดกู
ค. ตอ่ มนา้ ลาย ไมม่ ีนิวเคลียสตลอดชวี ติ
ง. กระเพาะปัสสาวะ
2. เซลล์เม็ดเลอื ดขาวสรา้ งจากไขกระดกู และมา้ ม
2. นกั เรียนรบั ประทานขนมปงั ทาเนย จะมกี าร มีนิวเคลียสตลอดชวี ติ
ย่อยทสี่ ว่ นใดของร่างกาย
3. เกล็ดเลอื ดเปน็ ช้ินส่วนของไซโทพลาซึมทาหน้าท่ี
ก. กระเพาะอาหาร ในการแขง็ ตัวของเลือด
ข. ลาไส้เลก็
ค. กระเพาะอาหารและลาไส้เลก็ ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง
ง. ปาก กระเพาะอาหาร และลาไสเ้ ล็ก
ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3
3. ขอ้ ใดทาให้เอนไซม์อะไมเลสทาหน้าทีไ่ ดด้ ที ีส่ ดุ
ก. คา่ pH 6.0-6.5 อุณหภมู ิ 34 ◦C ค. 1 และ 3 ง. ถูกทุกข้อ
ข. คา่ pH 6.5-7.0 อณุ หภมู ิ 35 ◦C
ค. คา่ pH 7.0-7.2 อุณหภมู ิ 36 ◦C 7. จากภาพ ผนังของลาไส้เลก็ ส่วนยนื่ ออกมา เรียกวา่
ง. คา่ pH 6.4-7.2 อณุ หภมู ิ 37 ◦C
อะไร
4. พจิ ารณาภาพทางเดินอาหารของมนุษย์ แล้ว
ตอบคาถาม (O-net’ 59) ก. Villus
ข. Digestion
ค. Enzyme
ง. Aorta
8. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเกยี่ วกับย่อยบริเวณปากข้างต้น
ก. การยอ่ ยเชิงเคมีโดยใช้เอนไซม์ ในปากจะ
ย่อยแป้ง และโปรตีน
ข. ฟันจะทาหน้าท่ีตดั ฉีก และบดเคี้ยวอาหาร
การย่อยแปง้ ด้วยเอนไซม์อะไมเลสแล้วไดน้ า้ ตาล ใหม้ ีขนาดเล็กลง เรียกการยอ่ ยนว้ี า่ การย่อยเชิงกล
กลโู คส เกดิ ข้นึ ท่สี ว่ นใดของทางเดินอาหาร ค. ปากมกี ระบวนการท่ีทาใหโ้ มเลกุลของ
ก. ก และ ข ข. ก และ ง อาหารมีขนาดเลก็ ลงโดยใช้เอนไซม์ ทริปซิน
ค. ข และ ค ง. ค และ ง ง. ขอ้ ก และ ข กล่าวถูก
5. อวัยวะใดทาหนา้ ทีผ่ ลติ เอนไซมแ์ ละโซเดยี ม 9. ส่วนประกอบใดของเลอื ดท่ที าหน้าท่ชี ่วยทาให้เลือด
ไฮโดรเจนคารบ์ อเนต แขง็ ตวั ในกรณที ีเ่ กดิ บาดแผล
ก. ตบั ข. ถงุ นา้ ดี ก. พลาสมา ข. เซลล์เมด็ เลือดแดง
ค. ตบั ออ่ น ง. ลาไสเ้ ลก็ ค. เกลด็ เลือด ง. เซลล์เมด็ เลอื ดขาว
10. ค่าชีพจรขณะพักท่ีปกตสิ าหรบั คนท่มี สี ุขภาพดี 15. สว่ นประกอบใดท่พี บมากที่สุดในน้าเลือด
ควรอย่รู ะหว่างก่ีครง้ั ต่อนาที
ก. น้า
ก. 50 และ 90 คร้งั ตอ่ นาที
ข. 50 และ 100 คร้งั ตอ่ นาที ข. ฮอรโ์ มน
ค. 60 และ 90 ครัง้ ต่อนาที ค. ออกซิเจน
ง. 60 และ 100 ครั้งตอ่ นาที
11. ข้อใดกล่าวถงึ หลอดเลอื ดเวน (vein) ได้ ง. สารอาหาร
ถกู ต้อง
ก. เป็นหลอดเลือดที่นาเลือดจากหวั ใจไปสู่ 16. อาหาร + .........
เซลลต์ า่ งๆ ของรา่ งกาย
ข. เปน็ หลอดเลือดท่นี าเลือดจากสว่ นต่างๆ น้า +............+ พลงั งาน
ของร่างกายเขา้ ส่หู วั ใจ
ค. เลือดทอี่ ย่ใู นหลอดเลือดเปน็ เลือดทมี่ ี สมการข้างต้นใหเ้ ต่ิมคาในช่องวา่ ง ตามลาดบั
ปริมาณแก๊สออกซเิ จนสงู
ง. เป็นหลอดเลือดท่เี ช่อื มตอ่ ระหวา่ วหลอด ก. กลโู คส คาร์บอนไดออกไซด
เลือดแดงและหลอดเลือดดาสานเปน็ ร่างแห
12. พยาบาลตรวจความดนั เลือดของคนไข้ ได้ ข. ออกซเิ จน กลโู คส
120/80 มลิ ลเิ มตรปรอท คา่ ตัวเลข 120 มี
ความหมายตรงตามขอ้ ใด ค. คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน
ก. ค่าความดันระยะหัวใจบีบตัวของคนไข้
ข. ค่าความดนั ระยะหวั ใจคลายตวั ของคนไข้ ง. ออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์
ค. ค่าชพี จรระยะหวั ใจบีบตวั ของคนไข้
ง. ค่าชีพจรระยะหัวใจคลายตัวของคนไข้ 17. เมอ่ื ปริมาณออกซิเจนในเลอื ดนอ้ ย รา่ งกายจะมี
13. หวั ใจหอ้ งใดท่ที าหน้าที่สบู ฉดี เลือดไปยงั ส่วน
ตา่ งๆ ของร่างกาย ปฏิกริ ยิ าตอบสนองอยา่ งไร
ก. Right atrium ก. ไอ ข. หาว
ข. Left atrium
ค. Right ventricle ค. จาม ง.สะอึก
ง. Left ventricle
14. ขอ้ ความใดไมถ่ กู ตอ้ ง 18. การสบู บหุ ร่ีส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจอยา่ งไร
ก. คนทม่ี ีอารมณเ์ ครยี ดความดันเลอื ดจะสงู
กว่าปกติ ก. ทาให้โรคถุงลมโปรง่ พอง
ข. คนอว้ นมกั มีความดนั เลือดสงู กว่าปกติ
ค. การสะสมของไขมนั ในหลอดเลือดอาจทา ข. ทาให้ผนังหลอดลมหนาและตีบ
ให้เกิดโรคความดนั เลือดสงู
ง. ค่าความดนั เลอื ดปกตขิ องวัยเด็กจะสงู กว่า ค. เนื้อเย่อื บรเิ วณถุงลมถูกทาลาย
วัยผู้ใหญ่ ง. ถกู ตอ้ งทุกขอ้
ใช้ขอ้ ความต่อไปนี้ ตอบคาถามขอ้ 19-20
1. กะบงั ลมเล่ือนตา่ ลง
2. กระดูกซี่โครงเล่ือนต่าลง
3. ปริมาตรในอกลดลง
4. ปริมาตรในอกเพิม่ ขน้ึ
5. ความดนั ในชอ่ งอกลดลง
6. ความดนั ในชอ่ งอกเพ่มิ ข้ึน
19. การหายใจเข้า เกดิ ขนึ้ ตามผลขอ้ ใด
ก. 1, 2, 3 ข. 3, 4, 5
ค. 1, 4, 5 ง. 2, 3, 6
20. การหายใจออก เกิดขึน้ ตามผลขอ้ ใด
ก. 1, 2, 3 ข. 3, 4, 5
ค. 1, 4, 5 ง. 2, 3, 6
ระบบอวยั วะในรา่ งกายมนษุ ย์
ในปัจจบุ ันนักวิทยาศาสตรไ์ ด้ค้นพบแล้วว่า ร่างกายของมนุษยน์ นั้ ประกอบดว้ ย
ส่วนประกอบย่อย ๆ หลายส่วนมารวมกัน เพอ่ื ทาหนา้ ที่รว่ มกนั โดยสามารถจดั ลาดับ
โครงสรา้ งของรา่ งกายมนุษย์ได้ดังน้ี
1. อะตอม 2. โมเลกุล 3. เซลล์
4. เนอ้ื เย่อื 5. อวัยวะ 6. ระบบอวัยวะ
7. รา่ งกายมนุษย์
กล่มุ ของอวยั วะทเี่ ก่ียวขอ้ งกันเรยี กว่า ระบบอวยั วะ (organ system) อวัยวะใน
ระบบเดียวกันอาจมีความสมั พันธร์ ว่ มกนั ไดห้ ลายทางแตม่ ักจะมีลกั ษณะหน้าทก่ี ารทางาน
เกยี่ วข้องกัน เชน่ ระบบขบั ถา่ ยประกอบดว้ ยอวัยวะหลายอย่างทีท่ าหน้าท่ี
ร่วมกนั ในการผลติ เกบ็ และขับปัสสาวะออก
ระบบอวยั วะจัดออกเปน็ 6 ระบบ ดังนี้
1. ระบบย่อยอาหาร
2. ระบบหมนุ เวยี นเลือด
3. ระบบหายใจ
4. ระบบบขับถา่ ย
5. ระบบประสาท
6. ระบบบสืบพนั ธุ์
1 ระบบยอ่ ยอาหาร
ความหมาย
การยอ่ ยอาหาร (Digestion) หมายถงึ กระบวนการสลายอนภุ าคอาหารให้มี
ขนาดเล็กสุด จนสามารถดูดซมึ เข้าไปในเซลล์ได้
ระบบย่อยอาหารประกอบดว้ ยอวยั วะหลาย ๆ อวยั วะ ไดแ้ ก่ ปาก หลอดอาหาร
กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน ลาไส้เล็ก ลาไสใ้ หญ่ ซง่ึ อวยั วะบางอวัยวะไมม่ กี ารยอ่ ยแต่
เกีย่ วข้องกบั ทางเดินอาหาร
อวัยวะทชี่ ว่ ยยอ่ ยอาหาร
1. ต่อมนา้ ลาย (Salivary Gland)
2. กระเพาะอาหาร (Stomach)
3. ลาไสเ้ ลก็ (Small Intestine)
4. ตับ (Liver)
5. ตับออ่ น (Pancreas)
การยอ่ ยอาหารมี 2 ขนั้ ตอน
1. การยอ่ ยเชงิ กล 2. การยอ่ ยทางเคมี
(Mechanical digestion) (Chemical digestion)
- เปน็ กระบวนการทาใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง - เปน็ การย่อยอาหารให้มขี นาดเล็กท่ีสุด โดย
เพ่อื สะดวกตอ่ การเคลอื่ นทีแ่ ละการเกดิ ปฏิกริ ยิ า การเกิดปฏิกริ ิยาเคมรี ะหว่าง อาหารกับนา้
เคมีต่อไป โดยตรง
- โดยการบดเคยี้ ว รวมท้งั การบีบตัวของ - ใช้เอนไซมห์ รือน้าย่อยเขา้ เรง่ ปฏกิ ริ ิยา ผลจาก
ทางเดินอาหาร ยงั ไม่สามารถทาให้อาหารมี การยอ่ ยทางเคมเี ม่อื ถงึ จุดสดุ ท้าย จะได้สาร
ขนาดเลก็ สุด จึงไม่สามารถดดู ซึมเข้าเซลล์ได้ โมเลกุลเล็กทสี่ ดุ ท่สี ามารถดูดซึมเขา้ ส่เู ซลลไ์ ด้
- อาหารที่ต้องมกี ารยอ่ ย ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต
โปรตนี และไขมนั สว่ นเกลือแร่ และวติ ามนิ จะ
ดดู ซมึ เขา้ สรู่ า่ งกายไดโ้ ดยตรง
การยอ่ ยในปาก
เรม่ิ ต้นจากการเคย้ี วอาหารโดยการทางานร่วมกันของ ฟนั ลิ้น และแก้ม ซ่งึ ถอื
เปน็ การย่อยเชิงกล เอนไซมใ์ นนา้ ลาย คอื ไทยาลนิ หรอื อะไมเลสจะย่อยแป้งในระยะเวลา
สั้น ๆ ในขณะท่อี ยู่ใน ชอ่ งปากให้กลายเป็น เดกซท์ ริน (Dextrin) ซง่ึ เปน็
คารโ์ บไฮเดรตทมี่ ีโมเลกุลเลก็ กวา่ แป้ง แต่ใหญก่ ว่า น้าตาล และถกู ยอ่ ยต่อไปจนเป็น
น้าตาลโมเลกุลคู่ คอื มอลโตส
ต่อมนา้ ลาย (Salivary Gland)
ผลติ นา้ ยอ่ ยอะไมเลส (Amylase)หรือ ไทยาลิน (Ptyalin) ย่อยแปง้ ให้เป็น
นา้ ตาลมอลโทส เป็นตอ่ มมีท่อทาหนา้ ท่ผี ลติ น้าลาย (Saliva) ตอ่ มนา้ ลายของคนมีอยู่
3 คู่ คอื
1. ต่อมนา้ ลายใต้ล้ิน (Sublingual Gland) 1 คู่
2. ตอ่ มนา้ ลายใตข้ ากรรไกรลา่ ง (Submandibulary Gland) 1 คู่
3. ต่อมนา้ ลายข้างกกหู (Parotid Gland) 1 คู่
ตอ่ มน้าลายทง้ั 3 ค่นู ี้ ทาหน้าทีส่ รา้ งนา้ ลายท่มี เี อนไซม์อะไมเลส ซ่งึ เป็นเอนไซม์
ทยี่ อ่ ยสารอาหารจาพวกแปง้ เท่านั้น
ความสาคญั ของนา้ ลาย
- เป็นตวั หล่อลน่ื และทาใหอ้ าหารรวมกันเปน็ กอ้ น เรยี กว่า โบลัส (Bolus)
- ชว่ ยทาความสะอาดปากและฟัน
- มีเอนไซมช์ ว่ ยยอ่ ยแป้ง
- ชว่ ยทาใหป้ มุ่ รับรสตอบสนองตอ่ รสหวาน รสเค็ม รสเปรย้ี ว และรสขมได้ดี
การยอ่ ยในกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหาร
- ประกอบขึ้นด้วยกล้ามเนือ้ เรียบท่อี ัดกนั หนามาก
- ดา้ นในมีลักษณะเปน็ สันชว่ ยในการบดอาหารใหม้ ขี นาดเลก็ ลง
อาหารจะถูกคลุกเค-ลา้ ผอนยใู่ังนดกา้ นระในเพสาาะมดาว้ รยถกสารรหา้ งดเอตนวั ไซม์เพปซโิ นเจน (Pepsinogen) และกรด
และคลายตวัไฮขโอดงรกคล-ลา้ อมเรพเนกิป้ือหซทริโน่ีแอื ขกเจง็รนแดรจเกงะขลถออืูกง(กHกรรCดะเIเกพ)ลาอื ะเปลย่ี นสภาพใหก้ ลายเปน็ เอนไซม์เพปซนิ
โปรตีนจะถ(ูกPยeอ่ ยpใsนinก)ระซเพ่งึ มาคีะวโาดมยสนา้ามยาอ่ รยถเพในปกซาินรยอ่ ยโปรตีนใหม้ ีโมเลกลุ เล็กลง เรียกว่า เพปไทด์
น้ายอ่ ยเพปซ(Pินeยpอ่ tยiพdนeั ธ)ะแบตาย่งงัชไนมิดส่ ขามองาเรพถปดไูดทซดมึ เ์ ทได่าด้นี้นั
ดงั น้นั โปรตีนท่ีถูกเพปซินยอ่ ยส่วนใหญ่จึงเป็นพอลิเพปไทดท์ ีส่ ้ันลง
อาหารจะถูกคลกุ เคลา้ อย่ใู นกระเพาะด้วยการหดตวั และคลายตวั ของ
กลา้ มเน้อื ทแ่ี ขง็ แรงของกระเพาะโปรตีนจะถูกย่อยในกระเพาะ โดยน้ายอ่ ยเพปซิน นา้ ย่อย
เพปซนิ ย่อยพันธะบางชนิดของเพปไทดเ์ ทา่ นน้ั ดังน้ันโปรตนี ทถี่ กู เพปซนิ ยอ่ ยสว่ นใหญจ่ งึ
เปน็ พอลิเพปไทดท์ สี่ นั้ ลง
ส่วนเรนนินชว่ ยเปลี่ยนเคซนี (Casein) ซึง่ เปน็ โปรตนี ในนา้ นมแล้ว รวมกับแคลเซียม
ทาใหม้ ีลักษณะเปน็ ลม่ิ ๆ จากนนั้ จะถกู เพปซนิ ยอ่ ยต่อไป
ในกระเพาะอาหาร นา้ ยอ่ ยลิเพสไมส่ ามารถทางานได้เนื่องจากมสี ภาพเปน็ กรด
โดยปกตอิ าหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารนาน 30 นาทถี ึง 3 ชว่ั โมง ซ่งึ ขึ้นอยู่กับชนดิ
ของอาหารนั้น ๆ กระเพาะอาหารกม็ กี ารดดู ซมึ อาหารบางชนิดได้ แต่ปรมิ าณนอ้ ยมาก
เชน่ นา้ แรธ่ าตุ นา้ ตาลโมเลกุลเด่ียว กระเพาะอาหารดดู ซมึ แอลกอฮอลไ์ ดด้ ี
ลาไส้เลก็
เป็นทางเดินอาหารส่วนทย่ี าวมาก แบง่ เป็น 3 สว่ น คอื ดูโอดีนมั เจจูนัม และ
ไอเลียม ผนังลาไสเ้ ลก็ สามารถสร้างน้าย่อยขน้ึ มาได้ ซ่งึ มีหลายชนดิ ลาไส้เลก็ ส่วนดูโอ
ดนี มั ยังได้รับน้าย่อยจากตับออ่ นและนา้ ดีมาจากตบั นา้ ย่อยจากตบั ออ่ นมหี ลายชนดิ ที่
สามารถย่อยคารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมันได้
แบบทดสอบยอ่ ย เรื่อง ระบบย่อยอาหาร
คาชแ้ี จง้ เลอื กคาตอบทีถ่ ูกต้องที่สดุ เพียงข้อเดียว
1. การบดเค้ยี วอาหารโดยฟนั ซง่ึ ทาให้อาหารมี 6. ถา้ ไม่มกี ระเพาะอาหารอาหารประเภทใดทไี่ ดร้ บั
ความกระทบกระเทือนตอ่ กระบวนการยอ่ ยมากท่สี ดุ
ขนาดเล็กลง เป็นการยอ่ ยอาหารแบบใด
ก. คารโ์ บไฮเดรต
ก. การย่อยเชิงกล ข. โปรตีน
ค. ไขมนั
ข. การยอ่ ยเชงิ เคมี ง. อาหารทกุ ประเภท
7. หน่วยย่อยทีส่ ุดของโปรตีนคอื ขอ้ ใด
ค. การยอ่ ยเชงิ กลไก ก. กรดอะมโิ น
ง. การยอ่ ยเชิงเอนไซม์ ข. กรดไขมัน
ค. คอเลสเตอรอล
2. อวยั วะในขอ้ ใดเกีย่ วข้องกบั ระบบยอ่ ยอาหาร ง. กลโู คส
8. อวยั วะใดทที าหน้าทดี่ ดู กลับนา้
ก. หัวใจ ก. ปาก
ข. หลอดอาหาร
ข. กระเพาะอาหาร ค. กระเพาะอาหาร
ง. ลาไสใ้ หญ่
ค. ปอด 9. ในกระเพาะอาหารมกี รดชนิดใด
ก. ไนตรกิ
ง. ไต
ข. อะซติ ิก
3. บริเวณใดทม่ี กี ารย่อยอาหารมากท่สี ุด ค. คาร์บอนกิ
ง. ไฮโดรคลอรกิ
ก. ปาก 10. น้าดี มีหนา้ ที่อย่างไร
ก. ยอ่ ยไขมันในลาไส้เล็ก
ข. ลาไส้เลก็ ข. ทาให้ไขมนั แตกตัวเปน็ เม็ดเล็ก ๆ
ค. เปน็ ฮอรโ์ มนที่เกยี่ วกบั การย่อยไขมัน
ค. ลาไสใ้ หญ่ ง. ย่อยโปรตีนทยี่ อ่ ยในกระเพาะไมห่ มด
ง. กระเพาะอาหาร
4. หากนักเรยี นรับประทานข้าวกับหมทู อด
อาหารชนดิ ใดท่จี ะถกู ย่อยเชงิ เคมีเปน็ อนั ดบั แรก
และยอ่ ยทอี่ วยั วะใด
ก. ข้าว ยอ่ ยทีป่ าก
ข. หมทู อด ยอ่ ยทปี่ าก
ค. ขา้ ว ย่อยที่กระเพาะอาหาร
ง. หมทู อด ยอ่ ยท่ีกระเพาะอาหาร
5. ไขมนั จะถูกย่อยทีอ่ วัยวะใด
ก. ปาก ข. กระเพาะอาหาร
ค. ลาไส้เลก็ ง. ลาไส้ใหญ่
2 ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดมี 2 ระบบคอื
1. ระบบวงจรเปดิ คอื เลือดไหลจากเสน้ เลือดสัมผสั กบั เซลลโ์ ดยตรง
ไม่มเี สน้ เลือดฝอย พบในสตั ว์พวกแมลง หอย ปลาดาว
2. ระบบวงจรปิด เลือดจะไหลอยู่ในเสน้ เลือดตลอดเวลา มเี สน้ เลือดฝอย
เพอ่ื แลกเปลย่ี นสารระหวา่ งเซลล์กบั เลอื ด พบใน ไส้เดอื น ปลาหมึก และสัตว์ท่ี
มีกระดูกสนั หลัง
อวยั วะในระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
1. หวั ใจ (Heart)
2. เสน้ เลอื ด (Blood vessels)
3. เลอื ด (Blood)
แบบทดสอบหลงั เรยี น
คาชแ้ี จง้ เลอื กคาตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ดุ เพียงข้อเดียว
1. ข้อใดจัดเป็นของเสียที่รา่ งกายจาเป็นตอ้ งกาจดั 6. การกรองเกิดข้ึนทส่ี ่วนใด
ก. A ข. B
ท้ิง ค. C ง. D
ก. ยูเรีย 7. กระบวนการดดู ซมึ กลับเกดิ ขึน้ ท่ีสว่ นใด
ก. A ข. B
ข. เกลอื แรส่ ่วนเกิน ค. C ง. A และ B
ค. แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 8. ส่วนใดทที่ าหนา้ ท่รี วมน้าปสั สาวะไปสูก่ รวยไต
ก. C ข. D
ง. ถกู ทกุ ขอ้ ค. B ง. E
2. ข้อใดไม่จดั เปน็ อวัยวะกาจดั ของเสีย 9. นอกจากนา้ และยเู รียแล้ว สารทม่ี ีจานวนมากใน
ปัสสาวะ คอื สารใด
ก. ไต ข. กระเพาะปัสสาวะ
ก. กรดยรู ิก
ค. ปอด ง. ผวิ หนงั ข. โซเดีมคลอไรด์
ค. ซลั เฟต
3. สว่ นใดทาหน้าที่เป็นตวั กรองของเสียจาพวก ง. ฟอสเฟต
0. การที่รู้สึกปวดปัสสาวะ หมายถงึ เหตุการณใ์ นขอ้ ใด
ปัสสาวะ
กาลงั เกดิ ข้ึน
ก. หน่วยไต ข. หลอดไต ก. เกดิ การดูดกลับนา้ ทหี่ ว่ งเฮนเล
ข. มีนา้ ปัสสาวะในกรวยไตเกิน 250 ลูกบาศก์
ค. ท่อไต ง. ถูกทั้งขอ้ ข และ ค
เซนตเิ มตร
4. ปสั สาวะประกอบด้วยสารใดเปน็ หลัก ค. มนี ้าปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะเกิน 250
ก. นา้ กบั เกลอื แร่ ข. น้ากับยเู รยี ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
ง. มีนา้ ปสั สาวะในทอ่ ปสั สาวะเกนิ 250
ค. นา้ กบั แอมโมเนยี ง. น้ากบั โซเดยี ม
ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร
5. เหตุใดเหงื่อทีถ่ ูกขบั ออกจากร่างกายจงึ มกี ลิ่น 11. ข้อใดเปน็ อวัยวะที่เก่ยี วข้องกับระบบประสาท
ก. เพราะสารมีการสัมผัสอากาศกอ่ ให้เกิด ก. สมอง
ปฏิกริ ิยาเคมขี ้นึ ข. สมองและไขสนั หลัง
ค. สมองและเสน้ ประสาท
ข. เพราะเหงอ่ื มีสว่ นประกอบของสารยเู รียและ ง. สมอง ไขสนั หลัง และเซลล์ประสาท
แอมโมเนียทเ่ี ปน็ สารมีกล่ิน
ค. เพราะผิวหนังมแี บคทีเรยี ทค่ี อยทาปฏกิ ริ ยิ า
กบั เหงอื่
ง. เพราะเหงอื่ มีสารจาพวกโซเดยี มคลอไรด์ทา
ใหเ้ หง่อื มกี ล่นิ
ใช้ภาพและตัวเลอื กต่อไปนี้ ตอบคาถามขอ้ 6-8
12. ทกุ ครั้งหลงั การดืม่ สุราสุรัตน์จะมอี าการเดนิ เซ 16. ชาย 2 คน มาพบแพทย์เพ่ือตรวจสอบการเปน็
หมัน วชิ ติ มีปรมิ าณอสุจิ 25 ลา้ นตัวต่อ 1 cm3
ไม่ตรงทาง เป็นเพาะฤทธ์ขิ องแอลกอฮอลส์ ่งผล สว่ นนพพรมอี สจุ ิทผี่ ดิ ปกตปิ ระมาณร้อยละ 30 อยาก
ทราบว่าใครบา้ งทม่ี ีโอกาสเปน็ หมนั
กระทบตอ่ สมองสว่ นใด
ก. วิชติ
ก. พอนส์ ข. เซรีเบลลัม ข. นพพร
ค.ทัง้ สองคนมีโอกาสเป็นหมนั
ค. เซรีบรมั ง. เมดัลลาออบลองกาตา ง. ทัง้ สองคนมสี ภาพรา่ งกายปกติ
17. ตามปกติการปฏสิ นธิระหวา่ งอสุจกิ ับไข่เกดิ ขึ้นท่ี
13. จากภาพ ส่วนประกอบ A และ B ในเซลล์ บรเิ วณใด
ก. ทอ่ นาไข่
ประสาทคอื สว่ นใด ข. มดลูก
ค. รงั ไข่
ก. A-แอกซอน B-เดนไดรต์ ง. ชอ่ งคลอด
ข. A-เดนไดรต์ B-แอกซอน
ค. A-นวิ เคยี ส B-เดนไดรต์ 18. ข้อใดจบั คู่ระหวา่ งหน้าที่กบั อวยั วะสืบพันธข์ุ องเพศ
ชายไดไ้ ม่ถกู ต้อง
ง. A-นวิ เคียส B-แอกซอน
14. ขอ้ ใดจบั คูร่ ะหว่างชนดิ ของเซลลป์ ระสาทและ ก. อณั ฑะ-สรา้ งตัวอสจุ ิ
หนา้ ท่ีไดไ้ มถ่ กู ตอ้ ง ข. อณั ฑะ-สร้างฮอรโ์ มนเพศชาย
ค. ถงุ อัณฑะ-ปรับอณุ หภูมิใหส้ ูงกวา่ อุณหภมู ิ
ก. เซลล์ประสาทนาคาสัง่ -นากระแสประสาท ร่างกาย
ออกจากระบบประสาทสว่ นกลางไปยงั หน่วย
ปฏิบตั งิ าน ง. ถงุ อณั ฑะ-สรา้ งอาหารมาเลย้ี งตัวอสจุ ิ
19. ข้อใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง
ข. เซลล์ประสาทประสานงาน-รับกระแส
ประสาทจากเซลลห์ น่ึงส่งไปยังอกี เซลลห์ นง่ึ ก. เพศชายจะเรมิ่ สร้างอสุจเิ ม่ืออายุ 12-13 ปี
ข. เพศชายสามารถสรา้ งอสจุ ิไดถ้ ึงอายุ 70 ปี
ค. เซลลป์ ระสาทรับความร้สู กึ -รบั ความรู้สกึ ค. การหล่งั นา้ อสจุ ิ 1 ครงั้ จะมีอสุจิเฉลีย่
จากส่วนต่างๆ แล้วส่งไปยงั ระบบประสาทส่วนกลาง ประมาณ 350-500 ล้านตัว
ง. ตวั อสจุ ิสามารถอยู่ภายนอกร่างกายได้
ง. เซลล์ประสาทนาคาสั่ง-นากระแสประสาท ประมาณ 2-3 ชว่ั โมง
จากหนว่ ยปฏิบัติงานเข้าสรู่ ะบบประสาทส่วนกลาง 20. ขอ้ ใดคอื ฮอรโ์ มนที่กระตุน้ ให้เพศชายมลี กั ษณะ
15. นชิ าดาประสบอบุ ตั เิ หตุทางรถยนตท์ าให้ ของความเป็นชาย
กลายเป็นผ้ปู ว่ ยความจาเสอื่ มช่ัวคราว อาการ ก. เอสโทรเจน
ความจาเสอ่ื มของนิชาดาน่าจะมาจากการท่ีสมอง ข. โพรเจสเทอโรน
ส่วนใดไดร้ บั ค. เทสโทสเทอโรน
ง. โกรทฮอร์โมน
ก. พอนส์
ข. เซรเี บลลมั
ค. เซรีบรัม
ง. เมดัลลาออบลองกาตา
เฉลยแบบทดสอบ
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
1. ก. หลอดเลอื ด 1. ง. ถกู ทกุ ขอ้
2. ข. ลาไสเ้ ล็ก 2. ข. กระเพาะปัสสาวะ
3. ง. ค่า pH 6.4-7.2 อุณหภมู ิ 37◦C 3. ก. หน่วยไต
4. ข. ก และ ง 4. ข. น้ากบั ยเู รีย
5. ค. ตบั อ่อน 5. ง. เพราะเหงอื่ มีสารจาพวกโซเดยี มคลอไรด์ทาให้
6. ข. 2 และ 3
7. ก. Villus เหงอื่ มีกลน่ิ
8. ข.ฟันจะทาหน้าท่ีตดั ฉกี และบดเคย้ี วอาหาร 6. ก. A
ใหม้ ขี นาดเลก็ ลง เรียกการยอ่ ยนีว้ า่ การยอ่ ย 7. ง. A และ B
เชงิ กล 8. ข. D
9. ค. เกล็ดเลือด 9. ข. โซเดมี คลอไรด์
10. ค. มีน้าปัสสาวะในกระเพาะปสั สาวะเกนิ 250
10. ง. 60 และ 100 คร้งั ต่อนาที
ลกู บาศก์เซนติเมตร
11. ข. เปน็ หลอดเลือดทนี่ าเลอื ดจากส่วนต่างๆ ของ 11. ง. สมอง ไขสันหลัง และเซลลป์ ระสาท
รา่ งกายเข้าสหู่ วั ใจ 12. ข. เซรเี บลลมั
13. ข. A-เดนไดรต์ B-แอกซอน
12. ก. ค่าความดันระยะหัวใจบบี ตวั ของคนไข้ 14. ง. เซลลป์ ระสาทนาคาส่ัง-นากระแสประสาท
13. ง. Left ventricle
14. ง. คา่ ความดนั เลือดปกตขิ องวัยเดก็ จะสงู กว่าวัย จากหนว่ ยปฏิบตั งิ านเขา้ ส่รู ะบบประสาท
สว่ นกลาง
ผใู้ หญ่
15. ค. เซรีบรมั
15. ก. น้า 16. ค.ท้งั สองคนมโี อกาสเปน็ หมัน
16. ง. ออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์ 17. ก. ทอ่ นาไข่
17. ข. หาว 18. ง. ถงุ อณั ฑะ-สรา้ งอาหารมาเลย้ี งตวั อสุจิ
18. ง. ถูกตอ้ งทกุ ขอ้ 19. ข. เพศชายสามารถสร้างอสุจิไดถ้ งึ อายุ 70 ปี
19. ค. 1, 4, 5 20. ค. เทสโทสเทอโรน
20. ง. 2, 3, 6