The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 6 การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rujiraphon, 2022-07-10 01:29:26

บทที่ 6 การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน

บทที่ 6 การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน

1

หน่วยการเรยี นท่ี 6
เรอ่ื ง การประเมนิ ความอุดมสมบรู ณข์ องดิน

แผนผงั ความคิดรายหนว่ ย

ความอุดมสมบรู ณข์ องดิน

การประเมินความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ

ปญั หาทรัพยากรดนิ ในประเทศไทย หลักการประเมินความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ

2

สาระสำคัญ

เน่ืองจากดินเป็นแหล่งธาตุอาหารของพืช ดินท่ีอุดมไปด้วยแร่ธาตุอันเหมาะสมต่อการ
เจริญเติบโตของพืชจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการปลูกพืช อย่างไรก็ตาม แต่ละพื้นที่มี
ปริมาณแร่ธาตุในดนิ รวมทั้งมีปญั หาที่แตกต่างกัน เช่น ดินปัญหาที่เกิดตามสภาพธรรมชาติ และดิน
ปญั หาทีเ่ กิดจากการใช้ประโยชนท์ ่ดี นิ เปน็ ต้น ดังน้นั การประเมินความอุดมสมบูรณข์ องดินจงึ มคี วาม
จำเป็นเบื้องต้นในการวิเคราะห์ของเกษตรกรจะวิเคราะห์ค่า pH ปริมาณแอมโมเนียม ไนเตรต
ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม โดยวเิ คราะหอ์ ยา่ งง่ายด้วยชุดตรวจสอบสำเร็จรูปทม่ี ีจำหน่ายทั่วไปใน
ท้องตลาด

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพอื่ ให้

1. ผเู้ รียน รู้ และเขา้ ใจเกยี่ วกบั ความหมายและสถานภาพความอดุ มสมบรู ณข์ องดิน
2. ผเู้ รียน รู้ และเข้าใจเกยี่ วกับปัญหาทรัพยากรดินในประเทศไทย
3. ผเู้ รยี น รู้ และเขา้ ใจเกี่ยวกับหลักการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน

จดุ ประสงค์เชิงสมรรถนะ

1. ผู้เรยี นสามารถอธิบายความหมายและสถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของดนิ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
2. ผเู้ รียนสามารถอธิบายปญั หาทรัพยากรดนิ ในประเทศไทยไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
3. ผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายเกีย่ วกบั หลกั การประเมินความอุดมสมบูรณข์ องดนิ ได้อยา่ งถกู ต้อง
4. ผเู้ รียนสามารถปฏิบตั ิการเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
5. ผเู้ รยี นสามารถปฏบิ ตั กิ ารวิเคราะห์ pH ของดนิ อย่างง่ายได้อยา่ งถูกต้อง
6. ผเู้ รียนสามารถปฏบิ ัติการวเิ คราะหป์ รมิ าณแอมมโมเนียมของดนิ อยา่ งงา่ ยได้อยา่ งถกู ต้อง
7. ผเู้ รยี นสามารถปฏบิ ัตกิ ารวิเคราะหป์ รมิ าณไนเตรตของดินอยา่ งง่ายไดอ้ ย่างถกู ต้อง
8. ผเู้ รียนสามารถปฏบิ ัติการวิเคราะหป์ รมิ าณฟอสฟอรสั ของดนิ อย่างง่ายไดอ้ ย่างถูกต้อง
9. ผเู้ รยี นสามารถปฏบิ ัติการวเิ คราะหป์ รมิ าณโพแทสเซียมของดนิ อยา่ งง่ายไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
10. ผเู้ รยี นมเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ การประเมินความอุดมสมบรู ณ์ของดิน มคี วามสนใจใฝ่รู้ วิรยิ ะ
อตุ สาหะ ซอ่ื สตั ย์ และกลา้ แสดงออก

3

เนือ้ หาสาระการเรียนรู้

สารานุกรมไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (2552) กล่าวว่า ดินในโลกมีมากมายนับ
หลายหม่ืนชนิด สำหรับในประเทศไทยมีดินไม่น้อยกว่า 300 ชนิด แต่ละชนดิ มีลักษณะทางเคมีและ
กายภาพที่สามารถระบุได้ตามหลักวิทยาศาสตร์แตกต่างกันไป บางชนิดก็มีความเหมาะสมในการ
นำมาใช้ทำการเกษตร บางชนิดก็เป็นดินท่ีมีปัญหาและมีขอ้ จำกัดต่างๆ ในการนำมาใชป้ ระโยชน์ ดว้ ย
เหตทุ ีป่ ระเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซ่ึงมปี ระชากรที่ทำมาหากนิ ในภาคเกษตรไมน่ ้อยกวา่ 40
ล้านคน และใชพ้ ืน้ ทท่ี ำการเกษตรไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 62 ของเน้อื ทท่ี ั้งประเทศ ดงั นนั้ ปัญหาเรือ่ งการ
ผลิตและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินที่ใช้กันมานานจึงเป็นปัญหาที่จะต้องมีการจัดการท่ี
เหมาะสม โดยเรง่ ดว่ นและอยา่ งต่อเน่ืองก่อนทท่ี กุ สง่ิ ทุกอยา่ งจะเขา้ สู่ภาวะวิกฤติ

1. ความอุดมสมบูรณข์ องดิน

1.1 ความหมายของความอุดมสมบรู ณข์ องดิน

ความอุดมสมบูรณ์ของดิน (soil fertility) เป็นส่ิงบ่งช้ีถึงผลิตภาพดิน (soil productivity)
เป็นความสามารถของดินในการให้ผลผลิตพืชภายใต้การจัดการแบบหนง่ึ หรือระบบหน่ึง คณาจารย์
ภาควิชาปฐพีวิทยา (2548) ได้ให้นิยามความอุดมสมบูรณ์ของดิน หมายถึง ความสามารถของดินใน
การให้ธาตุอาหารท่ีจำเป็นเพือ่ การเจริญเติบโตของพืช กล่าวคือเมือ่ ธาตอุ าหารในดินท่ีอยูใ่ นรูปที่พืช
สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้มปี ริมาณทพี่ อเหมาะและสมดุล จะช่วยให้พืชมีการเจรญิ เตบิ โตและให้ผล
ผลิตที่ดี สอดคล้องกับ ยงยุทธ โอสถสภา (2543) ที่กล่าวว่า ความอุดมสมบูรณ์ของดิน หมายถึง
ความสามารถของดนิ ในการปลดปลอ่ ยธาตุอาหารรปู ทเี่ ป็นประโยชน์ต่อพชื ได้ครบทกุ ธาตใุ นปริมาณท่ี
เพยี งพอและสมดลุ กันตามทพ่ี ืชต้องการ การประเมินระดบั ความอุดมสมบูรณ์ของดินคือ วิธีการท่ีจะ
ทำให้ทราบวา่ ระดับธาตุอาหารพืชในดินมีปริมาณเท่าใดและเพียงพอกับความต้องการของพืชหรือไม่
วิธกี ารประเมนิ ความอุดมสมบูรณข์ องดนิ โดยท่วั ไปมี 3 วิธคี อื

1) การวิเคราะหด์ ิน (soil analysis)
2) การสังเกตอาการขาดธาตุอาหารของพชื (nutrient deficiency symptom)
3) การวิเคราะหพ์ ืช (plant analysis)
สรุปได้ว่า ความอุดมสมบูรณ์ของดิน หมายถึง ศักยภาพของดินในการปลดปล่อยธาตุ
อาหารทอ่ี ยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้มีปริมาณที่พอเพยี งและสมดลุ อันจะช่วยให้พืชมี
การเจริญเติบโตและให้ผลผลิตท่ีดี ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะหลักการวิเคราะห์ดิน และปฏิบัติการ
วเิ คราะหด์ ินอยา่ งงา่ ย กลา่ วได้ว่า ความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ หมายถงึ ความสามารถของดนิ ในการให้

4

ธาตุอาหารท่ีจำเปน็ เพื่อการเจริญเตบิ โตของพชื พชื สามารถดดู ธาตตุ ่างๆ จากดินได้ไมน่ อ้ ยกวา่ 100 ชนิด
ธาตตุ ่างๆ ท่ีพืชได้รับจากดินนม้ี อี ยา่ งน้อยท่ีสดุ 17 ธาตุ ทจี่ ดั เป็นธาตุอาหารทีจ่ ำเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโต
ของพืช แสดงดังตารางที่ 6.1 โดยรูปของธาตอุ าหารทเ่ี ปน็ ประโยชน์ตอ่ พืชแสดงได้ดงั ตารางท่ี 6.2

ตารางที่ 6.1 ธาตุอาหารทจ่ี ำเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของพชื

ธาตุอาหารพื้นฐาน มหธาตุ จุลธาตุ
(Basic nutrients) (Macronutrients) (Micronutrients)

คารบ์ อน ( C ) ไนโตนเจน ( N ) เหลก็ ( Fe )
ไฮโดรเจน ( H ) ฟอสฟอรสั ( P ) แมงกานสี ( Mn )
ออกซเิ จน ( O ) โพแทสเซียม (K ) ทองแดง ( Cu )
แคลเซยี ม ( Ca ) สังกะสี ( Zn )
แมกนเี ซยี ม ( Mg )
ซัลเฟอร์ ( S ) โบรอน ( B )
โมลบิ ดนิ ัม ( Mo )

คลอรีน ( Cl )
นิเกลิ ( Ni )

ท่ีมา: คณาจารยภ์ าควิชาปฐพวี ิทยา (2548)

ตารางท่ี 6.2 รปู ของธาตุอาหารทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ พืช

ธาตุ รูปท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อพชื ธาตุ รปู ทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อพืช

C CO2 Fe Fe2+
H H2O Mn Mn2+
O O2, CO2, H2O Cu Cu2+
N NH4+ , NO3 Zu Zn2+
P H2PO4= , HPO42- B Bo32-
K K+ Mo MoO42-
Ca Ca2+ Cl Cl-
Mg Mg2+ Ni Ni2+
S SO42-

ที่มา: คณาจารยภ์ าควิชาปฐพีวิทยา (2548)

5

ทง้ั น้ีเกณฑ์ในการพจิ ารณาว่าธาตใุ ดเปน็ ธาตอุ าหารทจ่ี ำเปน็ ต่อพืชมี 3 ข้อ ดงั นี้
1) หากพชื ขาดจะไมส่ ามารถเจรญิ เตบิ โตได้ครบชีพจักร
2) หากพืชขาดจะแสดงอาการผิดปกติออกมา ซึ่งเป็นอาการที่มีลักษณะเฉพาะตัวของ
การขาดธาตนุ ั้นๆ
3) ธาตุน้ันมีบทบาทที่เฉพาะเจาะจงของการเปน็ ธาตุอาหารและในกระบวนการเมตาบอ
ลสิ ม์ (metabolism) ของพืช
การพิจารณาน้ีหากพิสูจนไ์ ด้วา่ เขา้ หลกั เกณฑข์ ้อใดข้อหนง่ึ กถ็ ือว่าธาตุน้นั เป็นธาตุอาหาร
พืชได้แลว้ ซ่ึงนักวิชาการด้านธาตุอาหารพืชในอดีตมักยึดหลกั เกณฑ์ข้อแรกเป็นสำคัญ ธาตุอาหารที่
จำเป็นท้ัง 17 ธาตุดังกล่าวข้างต้น ธาตุอาหารพ้ืนฐาน 3 ธาตุ ได้แก่ C O และ H ซ่ึงพืชต้องการใน
สดั ส่วนมากถึง 95% มแี หล่งท่ีมาจากอากาศและน้ำ ส่วนอีก 14 ธาตทุ ี่เหลือพืชได้รับจากดนิ จำแนก
ออกเป็น 2 กลุ่ม ตามปริมาณความต้องการของพืช ได้แก่ มหธาตุ (macronutrients) เป็นกลุ่มธาตุ
อาหารที่พืชต้องการในปรมิ าณมาก และจลุ ธาตุ (micronutrients ) เป็นกลุ่มธาตุอาหารที่พืชต้องการ
ในปรมิ าณเพียงเล็กน้อย โดยที่มหธาตุจะมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างต่างๆ ของพืชในขณะท่ีจุล
ธาตุจะมีความสำคญั ในระบบเอนไซมต์ ่างๆ และสนับสนุนการทำหน้าที่ของพืชมากกว่าโครงสรา้ งพืช
ซึ่ง macronutrients ยังสามารถแยกย่อยออกได้อีกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ธาตุอาหารหลัก (primary
nutrients) N P K และ ธาตุอาหารรอง (secondary nutrients) Ca Mg S ธาตอุ าหารท่จี ำเป็น
เหลา่ น้ีต้องมใี นปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของพืชเพือ่ การให้ผลผลติ ตามประสงค์ หากธาตุหน่ึง
ธาตุใดมีอยูใ่ นปรมิ าณจำกดั จะสง่ กบั การเจริญเตบิ โตของพืชดว้ ยเช่นกัน
ในบรรดาธาตุท่ีอยู่ในกลุ่มมหธาตุ N เป็นธาตุท่ีพืชมีความต้องการในปริมาณสูงสุด
ประมาณ ร้อนละ 1.5 ของน้ำหนักแห้ง และ S เป็นธาตุทพี่ ืชต้องการในปริมาณต่ำสดุ ประมาณ 0.1
เปอร์เซ็นต์ของนำ้ หนักแหง้ สว่ นจุลธาตทุ ี่พืชมคี วามตอ้ งการในปริมาณสูงสุด ไดแ้ ก่ CI และ Fe เกณฑ์
ในการจำแนกยังพจิ ารณาไดจ้ ากความเข้มขน้ ของธาตุน้ันๆ ท่ีพบในเนอ้ื เยื่อพชื กล่าวคือ กล่มุ มหธาตุ
พบในปรมิ าณมากกวา่ 1000 mg/kg และสำหรบั กล่มุ จลุ ธาตพุ บในปรมิ าณตำ่ กวา่ 1000 mg/kg มคี ่า
เทา่ กบั หน่วย ppm
ดินเปน็ แหลง่ ธาตุอาหารพืช การผลิตพชื จะประสบผลสำเร็จเปน็ อย่างดไี ด้ก็ต่อเมอื่ มีการ
จัดการดินให้มีปริมาณธาตุอาหารรองรับความต้องการของพืชได้อย่างเพียงพอ โดยท่ีความเป็น
ประโยชน์ของแต่ละธาตุในดินมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตซองพืช วิธีการสำคัญ ๆ ท่ีใช้กัน
ทั่วไปในการประเมินความอุดมสมบรู ณข์ องดนิ มี 3 วิธี ได้แก่ การสังเกตการเจริญเติบโตของพชื การ
วิเคราะห์พืช และการวิเคราะห์ดิน ซึ่งแต่ละวิธตี า่ งกม็ ีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การวิเคราะห์ดินเป็น
วธิ ีการทสี่ ะดวก สามารถใชข้ ้อมลู ผลการวิเคราะห์ดนิ ในการวางแผนการจัดการธาตุอาหารพืชและการ
จัดการดินเพื่อการเพาะปลกู ได้เป็นอย่างดี การประเมินความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ โดยการวเิ คราะหด์ ิน
จึงเป็นวิธีท่ีนิยมใช้กันทั่วไป ได้มีการจัดต้ังห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินทางเคมีข้ึนใน

6

หน่วยงานต่างๆ ในหลายๆ ประเทศท่ัวโลกท้ังในภาครัฐบาลและภาคเอกชนท่ีประกอบการด้าน
อตุ สาหกรรมการเกษตร ท้ังนีเ้ พ่ือใช้ประโยชน์จากขอ้ มลู ผลการวเิ คราะห์ดนิ ในการให้คำแนะนำการใช้
ปยุ๋ ตลอดจนการจัดการดนิ เพ่อื การเพาะปลูกได้สอดคล้องและเหมาะสมกบั สถานะความอุดมสมบรู ณ์
ของดินในแต่ละพื้นที่แกเ่ กษตรกรผูใ้ ช้บริการหรือเกษตรกรผูร้ ่วมโครงการ

การวิเคราะห์ดินประกอบดว้ ย 2 ขั้นตอนท่ีสำคัญ ได้แก่ ข้ันตอนการสกัดธาตุอาหารใน
รูปที่เป็นประโยชน์ให้ออกมาอยู่ในสารละลายตัวอย่าง และขั้นตอนการวิเคราะห์ธาตุอาหารใน
สารละลายตัวอยา่ ง วธิ ีการที่ใช้สกดั ธาตุอาหารแตล่ ะชนิดได้รับการพัฒนาหลากหลายวิธใี หส้ ามารถ
เลือกใช้ให้สอดคล้องกบั ชนดิ ของดนิ และในส่วนของการใช้ขอ้ มูลผลการวิเคราะหด์ นิ เพอ่ื กำหนดระดบั
ความอุดมสมบูรณข์ องดนิ น้นั นิยมบอกเป็นระดับมากน้อยของแตล่ ะธาตุ ตงั้ แต่ระดับตำ่ มากถงึ ระดับ
ทสี่ ูงมากเกิน โดยอาศัยหลกั การเปรียบเทียบผลผลิตท่ีคาดวา่ จะได้จากการใส่ปุ๋ยในดินชนิดเดียวกัน
แล้วจึงกำหนดเป็นระดับธาตุอาหารที่วิเคราะห์ได้ ซึ่งการประเมินทสี่ อดคล้องกันระหว่างระดบั ธาตุ
อาหารจากผลวิเคราะห์ ดัชนีความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปอร์เซ็นต์ผลผลิตสัมพัทธ์ และการ
ตอบสนองของพืชทค่ี าดหวงั แสดงได้ดังตารางที่ 6.3

ตารางที่ 6.3 การประเมินสอดคลอ้ งกนั ระหว่างระดบั ธาตุอาหารจากผลวเิ คราะห์,ดัชนีความอุดม
สมบรู ณ์ของดิน เปอร์เซน็ ต์ผลผลติ สมั พทั ธ์ และการตอบสนองของพืชท่คี าดหวงั

ระดับธาตอุ าหาร ดัชนคี วาม % ผลผลติ การตอบสนองของ
จากผลวิเคราะห์ อุดมสมบรู ณ์ สมั พัทธ์ พืชทค่ี าดหวัง
< 50 ตอบสนองชัดเจน
ตำ่ มาก 0 - 50 50 – 80
ต่ำ 50 – 80 80 – 100 มีแนวโนม้ ตอบสนอง
80 – 100 ตอบสนองนอ้ ย
ปานกลาง 100 ไม่ตอบสนอง
สูง 100 100 ไมต่ อบสนอง
100
สงู มาก

ที่มา: คณาจารย์ภาควิชาปฐพวี ิทยา (2548)

ในบรรดาธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช N P และ K เป็นธาตุที่
โดยทั่วไปมีอยู่ในดินในระดบั ท่ีตำ่ กว่าความตอ้ งการของพชื ในขณะที่ Ca Mg และ S ในดินทว่ั ไปมี
อยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ส่วนกรณีของจุลธาตุน้ันในดินทั่วไปก็มีอยู่อย่าง
เพยี งพอต่อการเจริญเติบโตของพชื ยกเว้นกรณีทีเ่ ป็นดินทรายจัด รวมถึงดนิ ท่ีทำการเพาะปลูกอย่าง
เข้มขันติดตอ่ กันเป็นระยะเวลายาวนาน มแี นวโนม้ ทจ่ี ะมปี ัญหาการขาดจุลธาตุ

7

1.2 สถานภาพความอดุ มสมบรู ณข์ องดิน
การรกั ษาความอดุ มสมบรู ณข์ องดินเป็นสิ่งทีค่ วรคำนงึ ถึงเปน็ อันดับแรกเมอ่ื ต้องการปลูก

พืชแบบใช้ดิน โดยเฉพาะพ้ืนดินทที่ ำการเพาะปลูกทางการเกษตรในปริมาณมากเพื่อการค้า การใช้
ประโยชนท์ ีด่ ินจากอดีตจนถึงปัจจบุ นั มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนอื่ งจากท้งั ธรรมชาตแิ ละกจิ กรรม
ของมนุษย์ ส่งผลให้ความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ลดลง เห็นไดจ้ ากการเปล่ียนแปลงสมบัติของดินทง้ั ทาง
เคมี กายภาพ และชีวภาพ เช่น ปริมาณอินทรียวัตถุลดลง ส่งผลให้ดินมีความสามารถในการดูดยึด
ธาตุอาหารพืชในดินลดลง ความสามารถในการอุ้มน้ำลดลง ความหนาแน่นรวมของดินสูงข้ึน ความ
พรนุ ของดินลดลง นอกจากนี้การปรบั เปลย่ี นสภาพปา่ เพื่อนำไปใช้ประโยชนท์ างการเกษตรส่งผลต่อ
ระบบการหมนุ เวียนธาตุอาหารซ่งึ สะสมอยู่ในรปู มวลชีวภาพของพชื และเม่ือมกี ารนำผลผลติ ออกไป
จากพ้ืนที่ ทำให้สูญเสยี ธาตุอาหารไปด้วยส่งผลให้ระบบสำรองธาตอุ าหารพืชลดลง และในบางกรณี
การเปล่ียนแปลงการใช้ประโยชน์ท่ีดินทำให้ดินมีการเปล่ยี นแปลงซ่ึงเกิดจากการจัดการดนิ ส่งผลให้
ปฏิกิริยาของดินเป็นกรดเพิ่มมากข้ึน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืช
โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัสจะอยูใ่ นรูปท่ีพชื ไม่สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ หรือบางพ้นื ท่ีมกี ารสญู เสีย
หน้าดินจากการชะล้างพังทลาย และการปลูกพืชติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการปรับปรุง
บำรุงดินก็ล้วนแต่ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินมีการเปลี่ยนแปลงที่ลดลง สถานภาพความอุดม
สมบูรณข์ องดินในประเทศไทย จากผลการวิเคราะหร์ ะดบั ประเมินความอุดมสมบูรณข์ องดินปี 2547-
2552 ซึง่ ผลการวเิ คราะหใ์ ชเ้ กณฑป์ ระเมนิ เปน็ ค่าสงู กลาง และต่ำ พบว่าทรพั ยากรดนิ ในประเทศไทย
ส่วนใหญ่มีความอดุ มสมบูรณ์ในระดับต่ำ โดยระดับความอุดมสมบูรณ์ดินในแต่ละภาคของประเทศ
แตกต่างกันนน้ั สัมพันธก์ ับสาเหตุทางธรรมชาติของดิน และเกิดจากการใช้ที่ดินท่ีไม่ถูกต้องตามหลัก
วิชาการ เช่น การชะล้างพังทลายของดิน ดินขาดอินทรียวัตถุ หรืออาจเป็นปัญหาท่ีเกิดจากสภาพ
ธรรมชาติของดินรว่ มกับการกระทำของมนุษย์ เช่น ดินเคม็ ดินเปร้ียว ดนิ อินทรีย์ ดินทราย และดนิ ตื้น
(กองวิจยั และพฒั นาการจดั การท่ีดนิ , มปป.) ดงั นี้

1) สถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคเหนือ พบว่า ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
สว่ นใหญถ่ กู จัดอยู่ในระดับปานกลางคิดเป็นรอ้ ยละ 70.43 ของจำนวนข้อมลู ทง้ั หมดในภาค รองลงมา
คือพน้ื ทที่ ่ีมคี วามอุดมสมบรู ณ์ระดับต่ำรอ้ ยละ 25.10 และมบี างพืน้ ทที่ ี่มคี วามอดุ มสมบรู ณใ์ นระดับสงู
ร้อยละ 4.47

2) สถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคกลาง พบว่า ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
สว่ นใหญ่อยู่ในระดับปานกลางคิดเป็นรอ้ ยละ 58.95 รองลงมาคือความอดุ มสมบูรณ์ในระดับสูงคิด
เป็นร้อยละ 29.86 ซ่งึ เม่ือเปรียบเทียบกับภาคอ่ืนๆ แล้ว ดินภาคกลางมีสัดส่วนของข้อมูลท่ีให้ความ
อุดมสมบูรณ์ในระดบั สูงมากกวา่ ดินภาคอ่นื ๆ อกี ทั้งมสี ดั ส่วนของดินท่มี ีความอุดมสมบรู ณ์ในระดับต่ำ
ทต่ี ำ่ สุดเมื่อเทียบกบั ภาคอ่นื ๆ ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากสภาพพ้นื ท่โี ดยท่ัวไปเป็นท่ีราบลุ่ม วัตถตุ น้ กำเนดิ ดนิ สว่ น
ใหญ่เป็นพวกตะกอนนำ้ พดั พา ดนิ ในแถบพืน้ ทีภ่ าคกลางจงึ มรี ะดับความอดุ มสมบรู ณส์ งู ซึง่ มศี กั ยภาพ

8

ทางการเกษตรสูงในระดับค่อนข้างสูงด้วย ประกอบกับพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบบ
ชลประทานการใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ จึงมปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ ภาคอน่ื ๆ แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องดินเปรี้ยว
อยู่บา้ ง

3) สถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ความอุดม
สมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำคิดเป็นร้อยละ 71.53 ของจำนวนข้อมลู ทั้งหมดในภาค ทั้งนี้
เนอ่ื งจากดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือสว่ นใหญ่เปน็ ดินทรายท่ีเกิดจากการสลายตัวผพุ ังของหินทราย
ทำให้ดนิ มีปริมาณของอนุภาคทรายสูง มีปรมิ าณอนภุ าคดินเหนียว (clay particle) และอินทรยี วตั ถุ
ในดิน (soil organic) ต่ำ นอกจากสาเหตุทางธรรมชาติแล้ว พบว่ากิจกรรมของมนุษยก์ ส็ ่งผลตอ่ ระดับ
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยในอดีตมากกว่า 50 ปีท่ีผ่านมา มีการเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดินจาก
ระบบนิเวศน์ปา่ ไม้มาเพ่ือทำการเกษตร โดยเฉพาะระบบการเกษตรเชิงเดี่ยวซ่งึ เป็นระบบท่ีขาดการ
ปรับปรงุ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดิน ทำให้ปริมาณธาตุอาหารขาดความสมดุลเปลยี่ นแปลงไป

4) สถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคตะวันออก ได้รับอิทธิพลจากการเป็น
ตะกอนลำน้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรี แม่น้ำจันทบุรี และแม่น้ำโตนเลสาบ แสดงให้เห็นถึงความอุดม
สมบูรณใ์ นระดับปานกลางถงึ สงู พบว่า ความอดุ มสมบูรณ์ของดินอยใู่ นระดับปานกลางคิดเปน็ ร้อยละ
47.95 และความอุดมสมบูรณ์ในระดบั สูงร้อยละ 4.40 และความอดุ มสมบรู ณ์ของดินอยู่ในระดบั ต่ำ
คิดเป็นร้อยละ 47.66 โดยส่วนหน่งึ เปน็ ดินที่มคี วามอุดมสมบูรณต์ ่ำเน่ืองจากเป็นดินทราย ที่เกดิ จาก
การสลายตัวของหนิ ทราย

5) สถานภาพความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ในภาคใต้ สว่ นใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ในระดับ
ต่ำ เน่ืองจากภาคใต้มีฝนตกชุกมากเกือบตลอดท้ังปี ดงั น้ันกระบวนการสลายตัวผุพัง (weathering
process) ของวัตถุต้นกำเนิดจึงเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว และมีการชะลา้ งสูงทำให้แร่ธาตุในดินสลายตัว
และแปรสภาพเปน็ แรด่ นิ เหนยี วจำพวกเคโอลไิ นท์ (kaolinite) ทมี่ ธี าตุอาหารพชื น้อย และธาตุอาหาร
ถูกชะล้างออกไปจากดินตลอดเวลาเม่อื ฝนซึมลงสู่ดิน โดยพบว่า ความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่
อยู่ในระดับต่ำคิดเป็นร้อยละ 67.28 ของจำนวนขอ้ มูลทั้งหมดในภาค และมีพื้นท่ีบางส่วนเป็นดินท่ี
ความอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับปานกลาง และระดับสูงคิดเป็นร้อยละ 32.09 และ ร้อยละ 0.63
ตามลำดบั ทง้ั นเ้ี นือ่ งจากเป็นบริเวณพ้ืนท่ีลุม่ นำ้ ทำให้มวี ัตถุต้นกำเนดิ ดินเป็นตะกอนลำน้ำ

2. ปัญหาทรพั ยากรดนิ ในประเทศไทย

จากการใช้ประโยชนท์ ี่ดนิ ติดต่อกันเป็นเวลานาน และขาดการปรับปรุงบำรงุ ดิน เป็นสาเหตุ
สำคญั ท่ที ำใหด้ ินมคี วามอดุ มสมบรู ณล์ ดลง ศกั ยภาพในการผลติ ลดลงไม่เอ้อื อำนวยต่อผลการผลติ ทาง
การเกษตร เกิดความเสื่อมโทรมของดิน เนื่องจากมีสมบัติทางกายภาพ ทางเคมี และทางชีวภาพไม่
เหมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื ส่งผลให้สน้ิ เปลืองต้นทนุ การเกษตรสูงขึน้ โดยได้ปรมิ าณผลผลิต

9

คงท่ีหรือลดลง ซ่ึงเป็นปัญหาท่ีเกษตรกรประสบในปัจจุบัน ดินปัญหา หมายถึง ดินที่มีสมบัติไม่
เหมาะสม (unsuited) หรือ เหมาะสมน้อย (poorly suited) สำหรับการเพาะปลูกทางการเกษตร
หากนำดนิ เหลา่ น้นั มาใชป้ ลูกพืชจะไม่ไดผ้ ลผลติ หรือไดผ้ ลผลติ ต่ำ ดงั นน้ั จงึ จำเป็นตอ้ งมกี ารจัดการดนิ
เป็นกรณีพิเศษกว่าดินท่ัวไป จึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกและให้ผลผลิตดี
เทา่ ท่คี วร ดินปัญหาทางการเกษตร จำแนกตามสาเหตุของการเกิด ได้เป็น 2 ประเภทดงั นี้

2.1 ดินปัญหาท่ีเกิดตามสภาพธรรมชาติ หมายถึง ดินปัญหาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอัน
เน่อื งมาจากปัจจัยที่ใหก้ ำเนดิ ดิน ซ่ึงประกอบดว้ ย วัตถตุ ้นกำเนิดดิน สภาพพน้ื ท่ี สภาพภูมอิ ากาศ พืช
พรรณท่ีขนึ้ ปกคลุม และระยะเวลาทเ่ี กิดดิน ดินปัญหาที่เกิดตามสภาพธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ดินเปรี้ยวจัด
หรือดินกรดกำมะถัน ดินอินทรีย์ ดินเค็ม ดินทราย และดินต้ืน ซ่ึงดินที่มีปัญหาบางชนิด การแก้ไข
จดั การเพยี งเลก็ น้อยสามารถเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของการใช้ท่ดี นิ ได้ แตบ่ างพนื้ ท่อี าจมีปญั หาดนิ มากกวา่
หนึ่งอย่าง เช่น ปัญหาดินทรายหรือปัญหาดินต้ืนจะมีปัญหาดินคือมีปฏิกิริยาเป็นกรดร่วมด้วย การ
แกไ้ ขจำเปน็ ตอ้ งแก้ไขร่วมกนั ทกุ ปัญหา จึงจะทำให้การใช้ท่ดี ินเกิดความยงั่ ยืน

2.2 ดินปัญหาท่เี กิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดนิ หมายถึง ดินท่ีเกดิ จากการปฏิบัติ หรือการใช้
ทีด่ ินที่ไมเ่ หมาะสมของมนุษย์ ไดแ้ ก่ การปลูกพืชโดยปราศจากการบำรุงรักษาดิน การปลูกพืชชนิด
เดียวกันติดต่อกนั เป็นเวลานาน การทำลายป่าเพ่ือการเกษตร การเผาปา่ หรือ ไร่นา การใช้สารเคมี
ทางการเกษตรจนเกิดผลตกคา้ งในดิน การใช้เครื่องจกั รกลการเกษตรขนาดใหญ่ เป็นตัวเรง่ ทำให้ดิน
เกิดการเสื่อมโรม เกิดการสะสมธาตอุ าหาร สารเคมชี นิดตา่ งๆ จนเปน็ พิษต่อพชื โครงสรา้ งดนิ อัดแนน่
ทึบ เปน็ อุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช ดนิ ปัญหาที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ไดแ้ ก่ ดนิ ดาน
ดินปนเป้ือน ดนิ เหมืองแรร่ า้ ง และดนิ ในพนื้ ทน่ี ากุง้ ร้าง

สารานุกรมไทยในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว (2552) จำแนกปัญหาของดินทางการเกษตร
ไว้ ดังน้ี

1) ปญั หาทางด้านกายภาพของดนิ
ทรพั ยากรดนิ บางสว่ นในประเทศไทยประสบปัญหา โดยเฉพาะพืน้ ท่ีทำการเกษตร สง่ ผล

ให้เกิดความเสื่อมโทรมของดิน ท้ังนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยธรรมชาติต่ำ เน่ืองจากวัตถุต้น
กำเนิดดินมแี ร่ธาตุอาหารพชื เป็นองค์ประกอบต่ำ ประกอบกับประเทศไทยอยใู่ นเขตท่ีมีฝนตกชุก แร่
ธาตตุ า่ งๆ เปลยี่ นสภาพและถูกชะล้างไปกบั น้ำไดร้ วดเร็ว อีกท้ังพน้ื ทีท่ ีท่ ำการเกษตรกรรมถกู ใชม้ าเปน็
เวลานานโดยไม่มีการบำรุงรกั ษา ดงั นี้

(1) การปลูกพืชตดิ ต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่บำรงุ ดิน จะทำให้ธาตุอาหารตามระดับ
ความลกึ ของรากพืชถูกนำไปใช้มากจนดินเสื่อมความสมบรู ณ์

(2) การปลกู พชื ทำลายดนิ พชื บางชนดิ เตบิ โตเรว็ ใชธ้ าตุอาหารพืชจำนวนมากเพือ่ สรา้ ง
ผลผลิต ทำใหด้ นิ สูญเสียความสมบรู ณ์ไดง้ า่ ย เช่น ยคู าลปิ ตัส และมนั สำปะหลงั

10

(3) ธาตอุ าหารพชื ถูกทำลาย หรอื อยูใ่ นสภาพทพ่ี ชื ใชป้ ระโยชน์น้อย เชน่ เมอื่ เกดิ ไฟไหม้
ป่า ฮิวมัสจะถูกความร้อนทำลายได้ง่าย หรือเม่ือดินเปล่ียนสภาพไปเป็นกรด (acid) หรือด่าง
(alkaline) จะทำใหพ้ ืชดูดธาตอุ าหารบางชนดิ ไปใชป้ ระโยชนไ์ มไ่ ด้

เม่ือดินเสื่อมคุณค่า ก็จะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงเสียค่าปุ๋ยเพ่ิมข้ึน และ
เศรษฐกิจของประเทศก็จะกระทบกระเทือนไปด้วย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม

2) ดินมปี ญั หาพิเศษไม่เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ใชป้ ลูกพืชไดไ้ มด่ หี รอื ปลูกไม่ได้ ไดแ้ ก่
(1) ดินทรายจัด (sandy soil) มีทรายปนอยู่หนากว่า 50 เซนติเมตร พบตามที่ดอนใน

ภาคอสี านและชายฝงั่ ทะเล ทง้ั ภาคตะวนั ออกและภาคใต้ ไม่เหมาะต่อการปลกู พชื แต่ถา้ มีฝนตกชกุ ก็
พอปลกู พืชที่มีความทนทานได้ เช่น มะพรา้ ว มะมว่ งหมิ พานต์ มันสำปะหลัง และหญา้ เลี้ยงสัตว์

(2) ดินต้ืน (shallow soil) หน้าดินมเี นื้อดนิ น้อยเน่ืองจากมลี ูกรัง กรวด และหนิ ปูนอยใู่ น
ระดับที่ตน้ื กวา่ 50 เซนติเมตร พบมากกวา่ ดนิ ชนิดอ่นื คอื มรี วมกันทุกภาคกว่า 50 ล้านไร่ ควรใช้เปน็
ทุ่งหญา้ เล้ยี งสตั ว์ หรอื ปลกู ไมโ้ ตเรว็ เพ่ือเพม่ิ เนือ้ ที่ปา่

(3) ดินเคม็ (saline soil) เป็นดินที่น้ำทะเลท่วมถึง หรือมีหนิ เกลืออยู่ใต้ดินซึ่งพบในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือมากถึง 17.5 ลา้ นไร่ ในปัจจบุ ันมีความต้องการใช้เกลือสินเธาวใ์ นอุตสาหกรรม
การผลิตโซาดแอช แก้ว เคมีภัณฑ์ กรด และกระจก จึงมีการทำนาเกลือกันมากซ่ึงจะก่อให้เกิด
ผลกระทบ ตอ่ พื้นทเ่ี พาะปลกู ไดก้ ว้างขวางขน้ึ

(4) ดินเป็นกรดจัดหรือดินเปร้ียว (acid soil) มีพ้ืนที่ประมาณ 9 ล้านไร่ เป็นท่ีราบลุ่ม
ชายฝั่งทะเลแถบกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นครนายก ปทุมธานี อยุธยา สุพรรณบุรี และ
นครปฐม 6 ล้านไร่ ที่เหลือพบในภาคตะวันออกและภาคใต้ มักมีสารประกอบของไพไรต์ (pyrite)
ผสมอยมู่ าก เม่ือระบายน้ำ หรือทำใหด้ นิ แห้ง และอากาศถา่ ยเทดี กจ็ ะเปลย่ี นสภาพเปน็ กรดกำมะถัน

(5) ดินอินทรยี ์ หรือดินพรุ (organic soil) เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังทับถมกันนับพันปี
ของพืชพรรณตามทลี่ ่มุ มีนำ้ ขัง สนี ้ำตาลแดงคล้ำจนถึงดำ มีอนิ ทรียวัตถมุ ากกวา่ ร้อยละ 20 จงึ มี ฤทธิ
เป็นกรดจดั ชัน้ ลา่ งเปน็ ดนิ เหนียว พบมากในภาคใต้ เฉพาะท่ีจังหวัดนราธวิ าส มปี ระมาณ 300,000 ไร่

(6) ดินที่ลาดชนั มาก (steep slope) จะชนั มากกว่ารอ้ ยละ 35 มีประมาณ 1000 ลา้ นไร่
(มชี ยั , 2535) มกั เปน็ ภูเขาซงึ่ ไมเ่ หมาะตอ่ การทำการเกษตร (ปกติพืน้ ทที่ ลี่ าดชนั เกนิ รอ้ ยละ 15 จะไม่
ใชป้ ลูกพืชเพราะดินจะพังได้งา่ ย และไม่สะดวกต่อการปฏบิ ตั ิงาน)

(7) ดนิ ทีช่ ุ่มน้ำหรอื ทล่ี ่มุ นำ้ ขัง (wetland) จะมีนำ้ ขงั อยเู่ ป็นเวลานาน หรืออาจขังทงั้ ปี จงึ
ใชป้ ลูกพืชไดเ้ ฉพาะริมฝ่งั เท่านัน้ เชน่ ทะเลสาบสงขลา บงึ บอระเพ็ด และกวา๊ นพะเยา

(8) ดนิ เปน็ พษิ (toxic soil) เพราะเกิดการสะสมของสารพิษจาการท้งิ ของเสีย ขยะทมี่ ี
สารพษิ การใชส้ ารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช การใชป้ ุ๋ยเคมี เพ่อื เรง่ การเจรญิ เติบโตหรือเพมิ่ ผลผลิต
และสารกมั มันตรงั สจี ากการทดลอง หรือจากโรงงานอตุ สาหกรรม

11

3) สภาพภูมิอากาศไม่อำนวย เนอื่ งจากการเพาะปลูกสว่ นใหญ่ในประเทศไทยยังอาศัยน้ำฝน
ธรรมชาติเป็นหลัก (rainfed cultivation) ช่วงการกระจายของฝนไม่สม่ำเสมอ ทำให้พืชท่ีปลูกได้รับ
ผลกระทบกระเทอื น หรอื เสียหายเนื่องจากฝนตกมากเกินไป หรอื ฝนท้ิงช่วงทำใหพ้ ืชขาดแคลนนำ้ ได้

4) การชะล้างพังทลายของดิน ทำให้ดินเสื่อมโทรมรุนแรงที่สุด และเป็นปัญหาที่สำคัญที่
จะต้องแกไ้ ข เพื่อรักษาคณุ ภาพของดินให้เหมาะสม และใหใ้ ช้ประโยชน์ได้เปน็ เวลานานๆ การชะลา้ ง
พังทลายของดินในประเทศไทยที่ต้องการดูแล ป้องกันและรักษาไว้มีจำนวนมากถึง 134.54 ล้านไร่
หรอื เท่ากับรอ้ ยละ 41.95 ของพื้นทีท่ ัง้ หมดของประเทศ

3. หลกั การประเมนิ ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ

การประเมนิ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นการจัดการเบื้องตน้ เพื่อใหไ้ ด้ซง่ึ ขอ้ มูลสำหรบั การ
ปรับปรุงคุณภาพของดินเพื่อการเกษตร อรวรรณ ฉตั รสีร้งุ (2551) กล่าววา่ การวิเคราะห์ดิน (soil
analysis) หรือการตรวจสอบดินมักจะหมายถงึ การสกัดตัวอย่างดินทางเคมี เพอ่ื ประเมินความเป็น
ประโยชนข์ องธาตุอาหารในดนิ และบางคร้ังก็รวมถึงการตรวจสอบคุณสมบตั ทิ างกายภาพของดินด้วย
เช่นกนั ความหนาแน่นของดิน ความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และ ความสามารถในการอุ้มน้ำ
ของดนิ ผลของการตรวจสอบดินจะใหข้ อ้ มูลเบื้องต้นท่เี ก่ียวขอ้ งกับอาการขาดธาตุอาหาร ระดบั ความ
เป็นประโยชน์ของธาตอุ าหาร และปญั หาที่อาจจะเกดิ ขนึ้ ดา้ นธาตุพชื รวมท้ังการแนะนำแกไ้ ขทจ่ี ำเปน็
เพอื่ ให้ผลผลติ พชื เพ่มิ ข้ึน อยา่ งไรกต็ ามถงึ แม้วา่ การตรวจสอบดนิ จะถอื เป็นแนวทางทเ่ี ปน็ ประโยชน์ใน
การวนิ ิจฉยั เบ้อื งตน้ เกี่ยวกับธาตุอาหารพืช แต่ก็ไม่ใช่เปน็ คำแนะนำท้ังหมดท่สี มบูรณ์แลว้ (absolute
recommendations) สำหรับการจัดธาตุอาหารพืช เนื่องจากการตรวจสอบดินนั้นเราจะสกัดเอา
เพียงบางส่วนของธาตุอาหารจากปริมาณทั้งหมดที่มีอยู่ในดิน (Total nutrient content) ท้ังนั้น
สำหรบั วธิ ีการวิเคราะห์ดนิ น้นั กไ็ ด้มกี ารปรับปรุงและพฒั นามาโดยตลอด โดยมหี ลักว่าจะใช้นำ้ ยาสกัด
ใดก็ตามสำหรับธาตุหน่ึงๆ หรือหลายธาตุโดยเช่ือว่าจะช่วยทำให้ธาตุอาหารในดินออกมากับ
สารละลายท่ีใช้สกัดน้ันได้ใกล้เคียงที่สุดกับธาตุอาหารส่วนท่ีเป็นประโยชน์ต่อพืชจริงในดิน ดังน้ัน
ปริมาณธาตุอาหารท่ีสกัดได้จะมีความสัมพันธ์กันกับปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชจริง
(plant available nutrients) แตป่ รมิ าณสองสว่ นนี้ไมเ่ ท่ากนั ดงั นน้ั ผลของการตรวจสอบดินจงึ เป็น
เพียง ดชั นี (index) หน่ึงท่ีใช้ช้ีวัดระดบั ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืชในดินเท่านัน้ ขอ้ สำคัญ
ประการหนึ่งและเปน็ ข้อจำกดั ทีค่ วรตระหนัก ก็คือวา่ การตรวจสอบดนิ นัน้ ให้ข้อมูลเกย่ี วกบั ระดับธาตุ
อาหารและคุณสมบัติทางเคมีเท่าน้ัน ซ่ึงเป็นข้อมูลเพียงส่วนหน่ึงที่ใช้ในการแกไ้ ข วางแผนและการ
จัดการระบบการปลูกพืชหน่ึงๆ นอกจากน้ียังมีปัจจัยทางดินอื่นๆที่ควรตระหนักด้วย เช่น ปัจจัย
ทางการผลิตและการจัดการอื่นๆ รวมท้ังปัจจัยทางดินอ่ืน ๆที่ควรตระหนักดว้ ย เช่น ปัจจัยทางการ
ผลิตและการจัดการอ่ืนๆ รวมท้ังปัจจัยส่ิงแวดล้อมอีกหลายปจั จยั ท่ีมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนเกี่ยวข้อง

12

ซึง่ อาจจะทำให้ผลผลิตลดลงไดแ้ ม้วา่ ระดบั ธาตุอาหารจะบ่งช้ีวา่ เพยี งพอก็ตาม ในบางคร้ังอาการขาด
ธาตุอาหารที่พืชแสดงอาการให้เราเห็นนั้น สาเหตุอาจจะเกิดจากความเป็นกรดด่างของดินไม่
เหมาะสม เช่น pH ดินสูงเกินไปเนื่องจากใส่ปุ๋ยคอกหรือใส่ปูนมากเกินไป ทำให้จุลธาตุมีความเป็น
ประโยชน์น้อยมากและพืชมักจะแสดงอาการขาดจุลธาตุอาหารบางตัวหรือหลายตัวซึง่ แล้วแต่ชนิด
ของพืช เช่น ในลิ้นจ่ี ถา้ ดนิ มี pH สูงเกนิ ไปจะแสดงอาการขาดธาตุแมงกานีส (Mn) และ เหล็ก (Fe)
ในขณะท่ีลำไยอาจยงั ไม่เหน็ อาการขาด เนือ่ งจากล้ินจี่เปน็ ไมผ้ ลท่ีต้องการปรมิ าณแมงกานีสในปรมิ าณ
ท่ีสงู กวา่ ไม้ผลชนิดอื่นเปน็ ตน้ นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยธาตอุ าหารหลัก (N, P, และ K) ในดินท่ีสูงเกินไปก็
ทำให้เกิดการเสียสมดุลของธาตุอาหารและทำให้ธาตุอาหารอื่น ๆ ที่มีน้อยอยู่แล้วในดินไม่เพียงพอ
เช่น ปริมาณฟอสฟอรัสในดินท่ีสูงเกินไปจะชักนำให้พชื ตระกูลส้มแสดงอาการขาดธาตุสังกะสี (Zn)
ดังน้ันถ้าหากเราเกบ็ ตัวอยา่ งพืชเพียงอย่างเดยี วแลว้ วนิ ิจฉัยว่าขาดธาตหุ นึง่ ๆ แลว้ ทำการแก้ไขโดยเพิ่ม
ธาตอุ าหารนั้น ๆ ลงไปอาจจะไม่ถกู ตอ้ งนัก เราควรเก็บตัวอย่างดินไปวเิ คราะหด์ ้วยเพ่ือให้การแปรผล
ถกู ต้องมากข้ึน วตั ถปุ ระสงคใ์ นการประเมนิ ระดบั ธาตอุ าหารพชื ในดินมีหลายประการดังนี้

1) เพื่อให้เป็นดัชนีบ่งชี้สถานภาพและระดับความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร รวมท้ัง
วนิ จิ ฉัยความไมส่ มดุลของธาตุอาหารในดินของระบบการปลกู พืชหนงึ่ ๆ

2) ให้ข้อมูลเบื้องต้นในการแนะนำการใส่ปุ๋ยเพื่อ ปรับปรุงคุณภาพและผลผลิตของพืช
ปรับปรุงการใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพ และเพือ่ ลดผลกระทบของการใช้ปุ๋ยมากเกินไปตอ่ คณุ ภาพของ
ดนิ นำ้ และนเิ วศวิทยาทางดนิ

3) ตรวจสอบผลของการจัดการดิน เช่น การปลกู พืชหมุนเวยี น (Rotation Effects) การไถ
กลบเศษซากพืชหรือปุ๋ยอินทรีย์ ต่อการเปลี่ยนแปลงระดับธาตุอาหารในดินและคุณสมบัติทางดิน
อน่ื ๆ เชน่ ความร่วนซยุ และ โครงสร้างของดิน เป็นต้น

4) เพอื่ วนิ ิจฉัยปัญหาอื่นๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับความเป็นประโยชน์ของธาตอุ าหารในดินและความ
จำเปน็ ในการแกไ้ ข เชน่ ความเปน็ กรดดา่ งของดนิ และ ความเคม็ ของดิน เป็นตน้

5) ประเมนิ ระดับของธาตทุ ่อี าจจะเปน็ พิษตอ่ พืชไดเ้ ช่น Fe และ AI เปน็ ต้น
ในการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยการวิเคราะห์ดินนั้น มีหลากหลายข้ันตอน
หลายกระบวนการ และหลายวธิ กี าร ในทน่ี ้ีจะกล่าวถึงกระบวนการและหลักการทสี่ ำคญั ไดแ้ ก่

3.1 การเก็บตวั อย่างดิน (soil sampling)
หลักเบ้ืองต้นท่ีสำคัญท่ีสุดของการวิเคราะห์ดิน คือ การได้มาซ่ึงตัวอย่างดินที่เป็นตัว

แทนทีด่ ีที่สดุ ของพ้นื ทเี่ พาะปลูกหน่ึงๆ โดยปกติแล้วตัวอยา่ งดนิ หน่ึงตวั อย่างมักจะเกบ็ มาจากหลายๆ
จุดในพื้นที่ขนาดกว้างตั้งแต่ 5-20 ไร่ แล้วแต่ลักษณะความแตกต่างของพ้ืนท่ีและการจัดการดิน
รวมท้ังประวัติการใช้ท่ีดินด้วย แล้วจึงนำตัวอย่างท่ีเก็บจากหลายๆ จุดมารวมเป็นตัวอย่างเดียว
เรียกว่า composite sample การเก็บตัวอย่างดินก็ต้องแบ่งพื้นทอ่ี อกเป็นส่วนๆ ตามลักษณะความ

13

แตกต่างของพ้ืนท่ีดังกล่าว โดยที่แต่ละส่วนก็มี 1 composite sample (1 ตัวอย่างผสม) อย่างไรก็
ตามขนาดกวา้ งของพ้ืนที่สำหรับ 1 ตัวอย่างผสมนั้นไมม่ ีกำหนดตายตัวแน่นอนแลว้ แต่ความแตกต่าง
ของพน้ื ท่ีและปจั จัยอน่ื ๆ การเก็บตวั อย่างแบบ composite sampling น้ีเราจะมองเหน็ ไดว้ ่ามีโอกาส
ท่จี ะเกิดขอ้ ผิดพลาดในขั้นตอนของการเกบ็ ตัวอยา่ ง (sampling errors) คอ่ นขา้ งสงู ถ้าตัวอยา่ งทเี่ ก็บ
มาไมไ่ ด้เป็นตัวแทนที่ดีของพ้ืนที่เพาะปลูกแล้วจะทำให้การแปรผลวเิ คราะห์ดินกเ็ ป็นไปไดย้ ากท่ีจะ
ถกู ต้องและยากที่จะใหค้ ำแนะนำทนี่ ่าเชื่อถอื ได้ ดังน้ันข้อผดิ พลาดจากการเกบ็ ตัวอย่างดินภาคสนาม
จึงมักจะมีมากกว่าข้อผิดพลาดของผลการวิเคราะห์ดินในห้องปฏิบัติการ โดยพัชรี ธีรจินดาขจร
(2549) กล่าววา่ การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินสามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น การสงั เกตการณ์
เจริญเติบโตของพืช การวิเคราะห์พืช ซ่ึงแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน การวิเคราะห์ดินเป็น
วิธีการทางเคมีในการหาปรมิ าณธาตอุ าหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชที่มีอยู่ในดิน มาจากแนวความคิด
ท่ีว่าดินเป็นแหล่งธาตุอาหารพืช การท่ีเจริญเติบโตได้ดีจำเป็นต้องมีธาตุอาหารอยู่ในดินปริมาณท่ี
เพียงพอต่อความตอ้ งการของพืช การวเิ คราะหด์ ินเป็นวธิ กี ารทสี่ ะดวก สามารถใช้ขอ้ มลู การวเิ คราะห์
ดินในการวางแผนการจัดการใส่ปุ๋ยและการจัดการดินเพ่ือการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการ
ประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการวิเคราะห์ดินจึงเป็นวิธที ่ีนิยมกันโดยทั่วไป มีปัจจัยหลาย
อย่างท่สี ำคัญในการวิเคราะหด์ ิน การเกบ็ ตวั อยา่ งดิน เป็นปัจจัยที่ท่ีสำคญั อย่างหน่งึ เนื่องจากในแต่
ละจุดของดินมีความไมส่ ม่ำเสมอของปรมิ าณธาตอุ าหารในดิน ดงั นนั้ การเกบ็ ตวั อย่างดนิ ทถ่ี กู วธิ ีเพ่อื ให้
ได้ตัวแทนที่ดีในการบ่งบอกระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ในปัจจุบัน
วิธีการเก็บตวั อย่างดนิ มอี ยูส่ องวธิ กี ารหลกั ตามวัตถปุ ระสงคข์ องการใช้งาน และงบประมาณที่มี ได้แก่

3.1.1 การเกบ็ ตัวอยา่ งทเี่ ป็นตวั แทนของพ้นื ทห่ี นึง่ ๆ แลว้ นำมาวเิ คราะห์ดินมาหาค่าเฉลี่ย
ของพน้ื ที่น้ันๆ (field average sampling)

3.2.2 การเก็บตัวอย่างดินอย่างละเอียดเพื่อแจกแจงให้เห็นถึงความผันแปรของค่า
วิเคราะห์ดนิ ทห่ี ลากหลายในพื้นทีห่ นงึ่ ๆ (sampling to describing spatial variability in soil test
value) ซง่ึ ในช่วงท่ีเทคโนโลยีด้านสารสนเทศ เช่น GIS ยังไม่พัฒนามากนักการเก็บตัวอย่างดินเพ่ือ
วตั ถุประสงคน์ ม้ี ักจะใช้วธิ ที เ่ี รยี กวา่ ตัวอย่าง ( sample) ส่วนใหญแ่ ล้วเราจะนำผลการวเิ คราะหม์ าหา
ค่าเฉล่ียของพน้ื ท่นี ัน้ ๆ แล้วจึงมกี ารจดั การดนิ หรอื ใสป่ ๋ยุ ทเ่ี ท่ากนั ทง้ั หมดในพ้ืนท่ผี นื ใหญ่ อย่างไรกต็ าม
ถึงแม้ว่าบางพื้นที่จะดูเหมือนว่าสม่ำเสมอกัน เช่น เป็นพื้นท่ีราบและสีดินเหมือนกันก็ตาม ผลการ
วิเคราะหด์ นิ กอ็ าจจะต่างกันมากในแต่ละจุดไดซ้ ึง่ อาจเกดิ จากสาเหตุหลายประการ เช่น การใสป่ นู ใส่
ปุ๋ย และไถกลบซากพชื ที่ไมส่ มำ่ เสมอกันทวั่ พ้ืนท่นี นั้ ๆ กรมพัฒนาที่ดิน (มปป.) กลา่ ววา่ ตัวอยา่ งดนิ ท่ี
เก็บมาตอ้ งเป็นตวั แทนที่ดที ่ีสดุ ของทด่ี ินแปลงนน้ั ถา้ เก็บตัวอย่างดินไม่ถูกต้อง ผลการวเิ คราะหก์ จ็ ะไม่
ตรงกับสมบตั ขิ องดนิ คำแนะนำการจดั การดินจะผิดพลาดทง้ั หมด หลกั สำคญั ของการเก็บตัวอย่างดิน
มดี ังตอ่ ไปนี้ (พัชรี ธีรจินดาขจร, 2549; กรมพัฒนาท่ีดิน, มปป.; สำนักวทิ ยาศาสตร์เพ่ือการพัฒนา
ทดี่ ิน, 2547; Havin et al., 2005)

14

1) ช่วงเวลาการเก็บดิน (sampling time) ควรเก็บหลังจากเกบ็ เกี่ยวผลผลติ แล้ว หรือ
กอ่ นเตรยี มดินปลูกพชื ครงั้ ต่อไป คำแนะนำจากผลการวิเคราะห์ดินหลายอย่างจะต้องนำมาใช้ให้ทันใน
การเตรียมดนิ ปลูกพืช เช่น การใส่ปูน การไถกลบอินทรียวตั ถุ การใสป่ ยุ๋ รองพ้ืน เป็นตน้ จะลงมือเก็บ
ตัวอย่างดินเมื่อใดน้ัน จะต้องเผ่ือเวลาสำหรับการส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ ระยะเวลาทำงานของ
ห้องปฏิบัติการ จนถึงการส่งผลกลับมาให้ รวมแล้วประมาณ 1-2 เดือน สำหรับการเก็บตัวอย่างดิน
เพ่ือจะให้หน่วยวิเคราะห์ดินเคลื่อนท่ีมาให้บริการให้น้ัน จะต้องเก็บก่อนวันนัดหมาย 1-2 สัปดาห์
เพ่ือให้ตัวอย่างดนิ แหง้ จงึ จะวเิ คราะหไ์ ด้ ความเขม้ ข้นของธาตุอาหารในดินจะแปรผันตามปัจจยั หลาย
อยา่ ง เช่น ฤดกู าล การจดั การดินและชนิดของพืชปลูกที่ผา่ นมา การเก็บตัวอย่างดินทำได้ตลอดปีแต่
เวลาทีเ่ หมาะสมทส่ี ดุ คือปลายฤดฝู น หรือกอ่ นการปลกู พชื ประมาณ 2-3 เดือน เพอื่ จะได้มีเวลาในการ
วางแผนปลกู พืช ดังนั้นในทางทฤษฎแี ลว้ ชว่ งเวลาท่ีเหมาะสมทสี่ ดุ ในการเก็บตวั อยา่ งดินควรเกบ็ ก่อน
ทำการปลูกอีกพชื หน่ึงๆ หรอื เกบ็ ชว่ งระยะแรกของการเจริญเติบโตของพชื เพื่อให้เราสามารถจัดการ
ดินและธาตุอาหารได้ทันเวลา อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติทำได้ยากมากเน่ืองจากการเก็บและนำ
ตัวอยา่ งดนิ นำส่งวิเคราะหร์ วมทง้ั ชว่ งเวลาที่รอผลนนั้ ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรอาจจะประมาณ 2-4
สัปดาหแ์ ลว้ แต่ห้องปฏบิ ตั ิการท่เี รานำสง่ วเิ คราะห์วา่ มีปรมิ าณตวั อยา่ งรอวเิ คราะหม์ ากหรือนอ้ ย ซ่ึงถ้า
หากผลการวิเคราะหบ์ อกว่าดนิ เปน็ กรดและมกี ารแนะนำใหใ้ สว่ ัสดปุ นู เราก็ตอ้ งใส่ปนู และรอใหป้ ูนทำ
ปฏิกิริยาในดินประมาณ 3-4 สัปดาห์จึงจะสามารถปลูกพืชได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่จึง
มักจะเกบ็ ตัวอย่างดินในช่วงท่ีพ้ืนดินว่างเปล่าไม่มีการปลกู พืช ถา้ หากเราตอ้ งการใหพ้ นื้ ท่เี พาะปลูกมี
การจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดินใหด้ ีที่สุดแล้ว การเก็บตัวอย่างดินกค็ วรเกบ็ ทุกๆ ปี เพื่อใหก้ าร
จัดการดนิ สำหรบั พชื ฤดูตอ่ ไปมปี ระสิทธภิ าพสงู สดุ แตก่ ไ็ ม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ธาตอุ าหารทกุ ตัวขึ้นอยู่
กบั ลักษณะการเคลื่อนท่ีของธาตอุ าหารและความต้องการธาตุอาหารของพืชท่ีจะปลูก แต่ส่วนใหญ่
แล้วจะแนะนำให้วเิ คราะห์ดนิ ประมาณทกุ ๆ 3 ปี แตส่ ำหรับดนิ ทรายอาจจะเกบ็ ถขี่ ้นึ กวา่ น้ี

2) การเก็บตัวอย่างดินแบบกริด (grid sampling) เน่ืองจากมีพ้ืนท่ีเพาะปลูกอีกหลาย
พ้ืนที่ซึ่งมีความไม่สม่ำเสมอกันตามแนวที่ปลูกพืช ซึ่งหากใช้วธิ ีการเก็บดินแบบหาค่าเฉลย่ี ของพื้นท่ี
แล้วนำผลวิเคราะห์มาทำการจัดการดินให้เหมือนกันในพื้นท่ีกว้างนี้จะเห็นว่าความแตกต่างของ
ผลผลิตยังมีค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงได้มีการเก็บตัวอย่างดินอีกแบบหนึ่งเรียกว่า กริดแซมปลิ้ง (grid
sampling) ซง่ึ จะเก็บตัวอย่างดินในพน้ื ที่ประมาณ 60 x 60 เมตร ถึง 90 x 90 เมตร สำหรับพชื อ่นื ๆ
กอ็ ยู่ท่ีประมาณ 120 x 120 เมตร เมอ่ื ลดขนาดของกริด (grid) ลงก็จะเพ่ิมจำนวนตัวอย่างดนิ และ
คา่ ใช้จา่ ยในการวเิ คราะห์จะเพิม่ มากขึน้ แต่กจ็ ะช่วยให้อธิบายการกระจายตัวของธาตุอาหารในดินได้
ถูกต้องและเป็นจริงมากขึ้น ขนาดของกรดิ ไมม่ ีการกำหนดตายตัวแนน่ อนข้ึนอยูก่ บั ความละเอยี ดของ
ขอ้ มูลท่เี ราต้องการและงบประมาณทม่ี ีอยู่

3) ขอบเขตของพื้นท่ีท่ีเก็บดิน ขนาดของพื้นท่ีท่ีทำการเก็บดินแต่ละตัวอย่างมีขนาดไม่
จำกัดตัว แต่ไม่ควรเกิน 30 ไร่ เน่ืองจากดินแต่ละจุดไม่มีความสม่ำเสมอ ดังน้ันก่อนเก็บตัวอย่างดิน

15

จะตอ้ งพยายามแบง่ พ้ืนทอ่ี อกเปน็ ส่วนๆ ตามความแตกตา่ งของพื้นทเี่ ทา่ ทีเ่ ห็นได้ชัด โดยแบ่งพ้ืนที่เกบ็
ดนิ ให้ได้สิ่งตอ่ ไปน้ีใกลเ้ คียงกันมากทีส่ ุด ได้แก่ สีดนิ ความหยาบ-ละเอียดของดนิ ความลาดเอียงของ
พ้ืนท่ี ชนดิ ของพชื ท่ีปลกู อัตราการใส่ปุ๋ยและปูนในการปลกู พืชท่ีผา่ นมา เม่อื แบง่ ขอบเขตพนื้ ทไ่ี ด้แล้ว
จึงทำการเก็บดินจากจดุ ตา่ ง ๆ กระจายท่ัวแปลง 5-20 จดุ ใหเ้ หมาะสม ตามขนาดของพืน้ ท่ีต่อไป

4) การกำหนดจดุ เกบ็ ดิน หลักขั้นของการเก็บดินคือการแบง่ ขอบเขตพนื้ ท่ใี หไ้ ด้ลักษณะ
ตา่ ง ๆ ใกลเ้ คียงกนั แตร่ ายละเอยี ดการกำหนดจดุ เก็บดนิ จะแตกตา่ งกันตามการจดั การปลูกพชื ดังน้ี

(1) แปลงทีใ่ สป่ ุ๋ยแบบหวา่ นทั่วแปลงหรือยงั ไมเ่ คยใสป่ ุ๋ยเลย นิยมเกบ็ แบบซิกแซก็
เปน็ จดุ ๆ ให้กระจายทวั่ แปลง จำนวนจดุ ทเี่ กบ็ 5 – 20 จุด ตามความเหมาะสมของพน้ื ท่ี ดังภาพท่ี 6.1

ภาพที่ 6.1 การกำหนดจุดเกบ็ ดินแบบซกิ แซก
ที่มา: ภาพวาดโดย ปราสาท จลุ พวก

16
(2) แปลงทใี่ สป่ ยุ๋ เป็นแถว เกบ็ ดนิ ระหวา่ งแถวของปุย๋ กบั แถวของพืช ดังภาพที่ 6.2

ภาพที่ 6.2 การเกบ็ ดนิ ในแปลงทีใ่ ส่ปุ๋ยเปน็ แถว
ทีม่ า: ภาพวาดโดย ปราสาท จลุ พวก

(3) แปลงไมผ้ ลหรือไมย้ ืนต้น เก็บดินรอบๆ รศั มที รงพุ่ม 4-5 จดุ ต่อต้น ดังภาพท่ี 6.3

ภาพท่ี 6.3 การเกบ็ ดินในแปลงไมผ้ ลหรอื ไมย้ นื ตน้
ท่มี า: ภาพวาดโดย ปราสาท จลุ พวก

17

5) ความลึกของการเก็บตัวอย่างดิน (Sampling Depth) การไถพรวนและลักษณะ

เคล่ือนท่ีของธาตุอาหารในดินมีผลต่อระดับธาตุอาหารในดิน โซน (zone) ต่าง ๆของดินที่ต่างกัน

ความลกึ ของการเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ จงึ มคี วามสำคัญและขน้ึ อย่กู ับปจั จยั หลายประการได้แก่ ชนิดของพืช

การเขตกรรม ความลึกของการไถพรวน และ ธาตุอาหารทวี่ เิ คราะห์ ความลึกของดนิ ทเ่ี ก็บแตกตา่ งกนั

ตามประเภทของพืชท่ีปลกู ในพ้ืนท่ีน้นั ๆ โดยอาศยั ความลึกของรากพชื ชนดิ นั้นๆ เป็นหลัก ดงั นี้

ความลึก พืชท่ีปลกู

0 – 3 น้ิว ทุ่งหญ้าเล้ยี งสัตว์ สนามหญ้าแปลงเพาะกลา้

0 – 6 นิ้ว แปลงผัก ไม้ดอก ขา้ วโพด ข้าวฟ่าง ถั่วต่างๆหรือก่อนปลูกพชื ลม้ ลุกทุกชนิด

0 – 6 นิ้ว สวนไมผ้ ล ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม

และ 6 – 12 นว้ิ สวนยางพารา

6) กิจกรรมของจุลนิ ทรยี ด์ ิน ปรมิ าณรากพืช และ ระดับธาตุอาหาร มักจะมมี ากที่สุดใน

ดินช้ันบน (ประมาณ 30 เซนติเมตร) และการไถพรวนสำหรับการปลูกพืชทั่วไปก็จะมีความลึก

ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ซ่ึงเปน็ การเขตกรรมที่ทำให้ธาตุอาหารในดินคลุกเคล้ากันในระดับความ

ลึกนี้ ดังนั้นการเก็บตัวอย่างดินเพื่อการวิเคราะห์จึงมักใช้ตัวอย่างของดินชั้นบนนี้โดยเฉล่ียแล้วลึก

ประมาณ 15 เซนตเิ มตร แตค่ วรจะเก็บในระดับท่ลี กึ กวา่ นี้หากพชื ท่เี ราปลกู สามารถหยั่งรากไดล้ กึ กว่า

นซ้ี ง่ึ ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและคุณสมบัตทิ างกายภาพของดนิ ส่วนในดินชั้นล่างส่วนใหญ่จะมีปริมาณ

ธาตอุ าหารตำ่ กวา่ ดนิ ช้ันบนมากดังน้ันการเก็บตัวอยา่ งดินท่ีระดับลึกเกินไปก็ไม่เป็นตัวท่ีดขี องแปลง

น้นั ๆ ท่ีได้ การวเิ คราะห์กนิ ช้ันบนส่วนใหญ่จะหาคุณสมบัติของดินหลายประการ เช่น พีเอช (pH),

อนิ ทรียวัตถุ (OM), ธาตุอาหารท่ีไม่เคล่ือนที่ในดิน เช่น ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K) ธาตุ

อาหารท่ีเคลื่อนท่ีได้ในดิน เช่น ไนโตรเจน (N) กำมะถัน (S) และ โบรอน (B) อย่างไรก็ตามถ้าเรา

ตอ้ งการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณไนเตรท (NO3-) ในดิน การเก็บตัวอย่างดนิ ลงไปถึง

ระดับความลึก 30 เซนติเมตร จะให้ข้อมูลของปริมาณไนเตรทที่เป็นประโยชน์สำหรับที่ถูกต้อง

มากกว่าเนือ่ งจากไนเตรทเคลือ่ นที่ไปกับนำ้ ในดนิ ไดง้ ่ายกวา่ ธาตอุ าหารตวั อน่ื

7) พื้นท่ีที่จะเก็บตัวอย่างดินไม่ควรเปียกแฉะหรือมีน้ำท่วมขังจะทำให้เข้าไปทำงาน

ลำบาก แต่ถ้าแห้งเกินไปดินจะแขง็ ดินควรมคี วามช้ืนเลก็ นอ้ ยจะทำให้ขุดและเกบ็ ไดง้ ่ายขน้ึ ความชื้น

ท่ีเหมาะสมในการเกบ็ ดิน ควรเก็บตวั อยา่ งดนิ ช่วงทีด่ นิ มีความชน้ื พอเหมาะไม่แหง้ หรอื เปียกจนเกนิ ไป

เพื่อให้สะดวกในการใช้เคร่ืองมือและสามารถคลุกดินให้เข้ากันดี ความช้ืนท่ีเหมาะสำหรับการเก็บ

ตวั อยา่ งดนิ สามารถสังเกตไดง้ ่ายๆ คือ เมื่อเอาดนิ มาบีบในอุง้ มือแลว้ แบออก ดนิ จะยงั จับเป็นก้อน แต่

เมือ่ ใช้มือบบี อกี ทีดนิ จะแตกร่วนโดยง่าย

8) ไมเ่ กบ็ ตัวอย่างดินบริเวณทเ่ี คยเป็นบ้าน หรือโรงเรือนเกา่ จอมปลวก เก็บใหห้ า่ งไกล

จากบา้ นเรือน อาคารท่ีอยู่อาศยั คอกสัตว์ และบริเวณจดุ ทม่ี ีปุย๋ ตกค้างอยู่ อุปกรณ์ท่ีเก็บตัวอยา่ งดิน

ต้องสะอาด ไมเ่ ป้ือนดิน ปยุ๋ ยาฆา่ แมลง ยาปราบศัตรพู ชื หรือสารเคมอี ่ืนๆ

18

9) ต้องบนั ทกึ รายละเอยี ดเกีย่ วกบั ตัวอยา่ งดินของแต่ละตัวอย่างตามแบบฟอร์ม "บนั ทึก
รายละเอียดตวั อยา่ งดนิ " ใหม้ ากท่สี ดุ เพอื่ ใหค้ ำแนะนำการจดั การดินให้ถกู ตอ้ งท่ีสดุ

กรมพฒั นาท่ีดนิ (มปป.) แนะนำขั้นตอนการเกบ็ ตัวอยา่ งดนิ ดงั นี้
1) เตรียมอุปกรณ์ท่ีจำเป็นได้แก่ เครื่องมือสำหรับขุดหรือเจาะเก็บดิน เช่น พล่ัว จอบ
และเสยี ม ส่วนภาชนะท่ีใส่ดิน เช่น ถังพลาสติก กล่องกระดาษแข็ง กระบุง ผ้ายางหรือผ้าพลาสติก
และถุงพลาสตกิ สำหรบั ใสต่ วั อย่างดนิ ส่งไปวิเคราะห์
2) ขนาดของแปลงที่จะเก็บตัวอย่างดินไม่จำกัดขนาดแน่นอน ขึ้นอยู่กับความแตกต่าง
ของพื้นที่ (ท่ีราบ ที่ลุ่ม ที่ดิน ท่ีลาดชัน เน้ือดิน สีดิน) ชนิดพืชที่ปลูก และ การใช้ปุ๋ย หรือการใช้ปูน
ทีผ่ ่านมา แปลงปลกู พืชทม่ี ีความแตกตา่ งดังกลา่ ว จะต้องแบ่งพนื้ ที่เป็นแปลงย่อยเก็บตัวอยา่ งแยกกัน
เปน็ แปลงละตวั อย่าง พน้ื ที่ราบ เช่น นาขา้ วขนาดไม่ควร เกิน 50 ไร่ พ้นื ที่ลาดชัน ขนาดแปลงละ 10-
20 ไร่ พชื ผกั สวนครัว ไม้ดอก ไม้ประดบั ขนึ้ อยู่กบั ขนาดพื้นทท่ี ป่ี ลกู (แสดงดังภาพที่ 6.4)

ภาพท่ี 6.4 การแบง่ พื้นที่เปน็ แปลงยอ่ ยเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ
ทมี่ า: กรมพฒั นาที่ดนิ (มปป.)

3) ลมุ่ เกบ็ ตัวอยา่ งดนิ กระจายให้ครอบคลมุ ทวั่ แตล่ ะแปลง ๆ ละ 15-20 จุดก่อนขุดดิน
จะต้องถางหญ้า กวาดเศษพชื หรือวัสดุที่อยผู่ ิวหน้าดินออกเสยี ก่อน (อย่าแซะหรือปาดหน้าดินออก)
แล้วใชจ้ อบ เสียมหรือพลั่ว ขุดหลุมเป็นรูป V (แสดงดังภาพที่ 6.5 – 6.6) ให้ลึกในแนวด่ิงประมาณ
15 เซนติเมตร หรอื ในระดับชั้นไถพรวน (สำหรับพืชทุกชนิด ยกเว้นสนามหญ้าเก็บจากผิวดินลึก 5
เซนติเมตร และไม้ยืนต้นเก็บจากผิวดินลึก 30 เซนติเมตร) แล้วแซะเอาดินด้านหนึ่ง เป็นแผ่นหนา
ประมาณ 2-3 เซนติเมตร จากปากหลุมถึงก้นหลุม ดินท่ีไดน้ ี้เป็นดนิ จาก 1 จุด ทำเชน่ เดียวกันน้ีจน
ครบ นำดินทุกจดุ ใสร่ วมกนั ในถุงพลาสตกิ หรือภาชนะท่เี ตรียมไว้

19

ภาพท่ี 6.5 การลมุ่ เกบ็ ตัวอย่างดิน
ทม่ี า: กรมพัฒนาทด่ี นิ (มปป.)

ภาพท่ี 6.6 การขุดหลมุ เป็นรปู V
ท่มี า: กรมพัฒนาท่ดี ิน (มปป.)
4) ดินท่ีเก็บมารวมกันในถุงนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทนของท่ีดินแปลงน้ัน
เนื่องจากดินมีความช้ืนจึงต้องทำให้แห้ง โดยเทดินในแต่ละถุงลงบนแผ่นผ้าพลาสติก หรือผ้ายาง
แยกกัน ถุงละแผน่ เกล่ียดินผงึ่ ไว้ในท่ีรม่ จนแห้ง ดนิ ทีเ่ ป็นกอ้ นให้ใช้ไม้ทุบให้ละเอยี ดพอประมาณ แล้ว
คลุกเคล้าให้เข้ากนั จนท่วั
5) ตัวอย่างดินที่เก็บในขอ้ 4) อาจมีปริมาณมากแบ่งส่งไปวเิ คราะหเ์ พียงคร่ึงกโิ ลกรัมกพ็ อ
วธิ กี ารแบง่ เกลี่ย ตัวอยา่ งดินแผ่ให้เป็นรูปวงกลมแลว้ แบ่งผ่ากลางออกเป็น 4 ส่วนเท่ากนั เก็บดินมา
เพียง 1 ส่วน (แสดงดังภาพท่ี 6.7) หนักประมาณคร่ึงกิโลกรมั ใส่ในถุงพลาสติกที่สะอาดพร้อมด้วย
แบบฟอร์มท่ีบันทกึ รายละเอียดของตัวอย่างดินเรยี บรอ้ ยแล้วปิดปากถุงให้แน่นใสใ่ นกล่อง กระดาษ
แขง็ อีกชึน้ หน่งึ (ในกรณที ่ีสง่ แบบพสั ดไุ ปรษณีย)์ เพ่อื สง่ ไปวเิ คราะห์

20

ภาพท่ี 6.7 การแบง่ ดนิ ส่งไปวิเคราะห์
ทีม่ า: กรมพฒั นาทีด่ ิน (มปป.)

สรปุ วธิ กี ารเกบ็ ตวั อย่างดนิ มีดงั น้ี
1) ถางหญ้า กวาดเศษใบไมอ้ อกจากจุดทจ่ี ะเกบ็ ดิน
2) ใช้จอบหรือเสยี มขดุ ดนิ เป็นรูปล่มิ (V) ให้มคี วามลกึ แนวดิง่ ประมาณ 6 น้วิ ควกั ดินใน
หลมุ ออกมา จากนนั้ ขดุ ท่ปี ลายหลมุ ด้านใดด้านหนง่ึ ขึ้นมา
3) ใช้มีดที่สะอาดตัดดินบนจอมปลวกหรอื เสยี มทง้ั สองขา้ งท้ิง เอาเฉพาะสว่ นท่ีอยตู่ รงกลาง
4) เก็บให้ครบทุกจุดตามท่ีกำหนดไว้ในขอบเขตพน้ื ท่ี รวมกันเป็น 1 ตวั อย่างเป็นความ
อดุ มสมบรู ณ์ของดินในพ้ืนทีน่ ้ัน ดังภาพท่ี 6.8

ภาพที่ 6.8 การเกบ็ ดนิ โดยใชจ้ อบหรือเสียม
ทีม่ า: ภาพวาดโดย ปราสาท จลุ พวก

21

3.2 การเตรยี มตวั อยา่ งดนิ เพ่อื วิเคราะหท์ างเคมี
พัชรี ธีรจินดาขจร (2549) กล่าวว่า ตัวอย่างดินท่ีส่งมายังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการ

วเิ คราะหม์ ักจะมาในสภาพทช่ี น้ื ตามธรรมชาติในไรน่ า (field moist) การจดั การกับตัวอยา่ งดนิ สิ่งแรก
ทค่ี วรทำคือการทำให้แห้ง ปกติการวเิ คราะห์ตัวอยา่ งดินทีอ่ ยู่ในสภาพยังชน้ื อยเู่ ป็นส่ิงท่ีไม่ปฏบิ ัติกัน
เน่ืองจากความช้ืนที่มีอยู่ในตัวอย่างดนิ จะมีผลต่ออัตราสว่ นระหว่างดินและน้ำยาสกัด และยังทำให้
จำเป็นตอ้ งหาความชื้นของดินแต่ละตัวอย่างควบคู่กนั ในแตร่ ายการวิเคราะห์เพ่ือนำค่าความชนื้ ของ
ดนิ แตล่ ะตวั อย่างไปคำนวณเทยี บกับนำ้ หนักช้ืนที่ใชย้ อ้ นกลับเป็นน้ำหนกั ดนิ แห้งทผี่ า่ นการอบ (oven
dry soil) การทำตวั อยา่ งดินให้แหง้ ควรรีบทำโดยทันที ท้งั นเ้ี พื่อลดการเกิดกระบวนการสลายแรธ่ าตุ
(mineralization) ที่เปน็ ผลจากกจิ กรรมของจลุ นิ ทรยี ์ดิน โดยการผึง่ ให้แหง้ ในท่รี ม่ เวลาทใี่ ช้ในการทำ
ใหต้ วั อย่างดนิ แหง้ อยู่กับความชื้น ปรมิ าณอินทรยี วัตถุ ตลอดจนลกั ษณะเน้ือดนิ ของดนิ แต่ละตัวอยา่ ง
ดินที่มีสัดส่วนของดินเหนียว และ/หรือ อินทรียวัตถุอยู่สูง ต้องใช้เวลาในการแห้งนานกว่าดินเนื้อ
หยาบ การทำตัวอย่างดินให้แหง้ ในที่ร่มทำได้โดยการเกลีย่ ตัวอยา่ งดนิ บนภาชนะท่สี ะอาดที่วางในทีร่ ่ม
เพ่ือให้พ้ืนผิวดินได้สัมผสั กับอากาศให้มากท่ีสุด การทำตัวอย่างดนิ ให้แห้งนอกจากวิธีการผึ่งในที่ร่ม
อาจใช้วิธีอบ แต่อุณหภูมิที่ใช้อบดินไม่ควรเกิน 38°C เน่ืองจากจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
คุณสมบัติทางฟิสกิ ส์และเคมขี องดนิ เมอื่ ตัวอยา่ งดินแหง้ แลว้ ทำการบดตัวอยา่ งดิน โดยใช้โกร่งบดดิน
หรือเคร่อื งบดดนิ รอ่ นดนิ ทบ่ี ดแล้วผ่านตะแกรงขนาด 2 mm แบง่ ส่วนท่รี อ่ นไดม้ าบดซ้ำแล้วรอ่ นผา่ น
ตะแกรงขนาด 0.5 mm เกณฑใ์ นการพจิ ารณาเลอื กใชข้ นาดตะแกรงร่อนดินขึ้นอยกู่ บั นำ้ หนกั ตัวอย่าง
ดนิ ท่ีใช้ในการวเิ คราะห์ รายการวเิ คราะห์ใดท่ใี ชด้ ินมากกวา่ 5 กรัม ปกติจะใช้ตะแกรงร่อนดินขนาด
2 mm ส่วนรายการวเิ คราะห์ใดทีใ่ ชด้ ินนอ้ ยกว่า 5 กรัม ควรใชต้ ะแกรงร่อนดินขนาด 0.5 mm เพื่อ
ลดความคลาดเคลื่อนจากการสุ่ม ทัง้ นี้ การบดตวั อยา่ งดินเพ่ือรอ่ นผา่ นตะแกรงแต่ละขนาดควรบดให้
ดนิ มคี วามละเอียดเพียงพอทีจ่ ะสามารถผา่ นรตู ะแกรงขนาดน้นั ๆ ได้หมด เก็บตัวอยา่ งดนิ ทรี่ ่อนผ่าน
ตะแกรงแตล่ ะขนาดไวใ้ นภาชนะบรรจุท่สี ะอาดสำหรับใชก้ ารวิเคราะห์ตอ่ ไป ท้งั นี้ สำนักวทิ ยาศาสตร์
เพื่อการพัฒนาที่ดิน (2547) ได้แนะนำวิธีการเกบ็ ตวั อย่างและการเตรียมตัวอย่างดินเพ่ือวิเคราะห์ว่า
การเก็บตัวอย่างดินท่ีนิยมทำกนั มีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรก เป็นการเก็บตัวอยา่ งดินเพอื่ ใช้ในการ
จำแนกดิน และประเภทท่ี 2 เป็นการเก็บตัวอย่างดินเฉพาะหน้าดิน เพ่ือใช้ตรวจวิเคราะห์สำหรับ
ประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินหรอื เพ่ือนำมาใช้แนะนำการใช้ปุ๋ยสำหรับพืชท่ีตอ้ งการปลูก การ
เกบ็ ตัวอยา่ งดินเพือ่ ใช้ในการจำแนกดนิ ตามปกติจะเกบ็ จากหลมุ ท่ีกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร และลึก
2 เมตร การเกบ็ ตวั อย่างดินจะเก็บตามชั้นดนิ (soil horizon) ซ่งึ ได้มาจากการทำคำบรรยายหนา้ ดิน
ตามระบบมาตรฐานสากล ตัวอย่างทเ่ี กบ็ สง่ ห้องปฏิบตั กิ ารจะประกอบดว้ ย

3.2.1 ตัวอย่างดินรวม (composite samples) หรือตัวอย่างดินที่เปลี่ยนสภาพ
(disturbed soil samples) เปน็ ตัวอยา่ งท่ีเก็บโดยท่ัวๆ ไปจากแต่ละชนั้ ดินใส่ลงในถุงเก็บตัวอย่างดิน
ตัวอย่างดินนี้จะใช้ในการวิเคราะห์สมบัติของดินทางกายภาพ เคมี และทางแร่ตัวอย่างดินสภาพ

22

ธรรมชาติ (disturbed soil samples) เป็นตัวอย่างที่เก็บโดยให้มีดนิ ในสภาพท่ีใกล้เคียงกับที่อยู่ใน
สภาพธรรมชาตมิ ากที่สุด การเก็บตวั อย่างดินน้จี ำเป็นตอ้ งระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยปกติจะใช้กล่อง
เก็บ

3.2.2 ตวั อย่างดินซ่ึงมี 2 แบบ คือ แบบกระบอกกลม (core) และแบบกล่องส่ีเหลย่ี มท่ี
เรียกว่า Kubiena box แต่ถ้าไม่มีก็ใช้ภาชนะอื่นๆ ได้ ข้อสำคัญคือพยายามให้ตัวอย่างดินตาม
ธรรมชาติได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด และตัวอย่างดินมีขนาดพอสมควร ตัวอย่างดินน้ีจะ
นำไปใช้ในการวิเคราะห์หาสมบตั ิของดินทางกายภาพบางอย่าง รวมถงึ การศึกษาทางจุลสัณฐานของ
ดินและแร่บางชนดิ ในดนิ ความแม่นยำและความถูกตอ้ งของข้อมูลถือวา่ เปน็ ส่ิงที่ผ้ทู ำการศกึ ษาหรอื ใช้
ขอ้ มลู ต้องคำนึงมากท่สี ดุ เพื่อใหส้ ามารถนำข้อมลู ทไ่ี ดไ้ ปแปลงผลหรอื ตคี วามได้ถูกตอ้ ง อยา่ งไรก็ตาม
ความผิดพลาดของข้อมูลอาจเกิดข้ึนได้ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างดิน ซ่ึงผู้เก็บควรให้ความ
ระมัดระวังเป็นพเิ ศษไดแ้ ก่

1) ควรเก็บตัวอย่างดนิ ท่ีเป็นตัวแทนของแต่ละชั้นดินอย่างแท้จริง และให้ครบถ้วน
ตามที่ต้องการ

2) ระมัดระวังอย่าให้มีปฏิกิริยาอันใดเกิดขน้ึ หรอื มีสิ่งแปลกคลองกับตัวอย่างดินที่
เก็บ ซ่ึงจะทำให้สมบตั ดิ ินเปลยี่ นไป

3) ระวงั อย่าใหป้ ้ายชอ่ื และตัวอย่างดนิ ผิดพลาดและสบั สน
เม่ือนำตัวอย่างดินมาถึงห้องปฏิบัติการแล้ว ให้เลขตัวอย่างดิน นำดินออกผ่ึงโดย
เกล่ียดินในถาด การผ่ึงดนิ น้ันต้องผ่ึงในห้องท่ีสะอาด ไม่มีฝุ่นคลุ้งหรือปนเป้ือนด้วยปุ๋ยหรือสารเคมี
เลอื กเศษพืชหรือเศษกรดดินออกท้ิงให้หมดเท่าที่จะทำได้ เมื่อดนิ แห้งแล้วบดด้วยเครื่องบดดิน แล้ว
รอ่ นดินทบี่ ดด้วยตะแกรงขนาด 2 mm สว่ นของดนิ ที่คา้ งบนตะแกรงนำไปบดอกี จนหมดเก็บตวั อย่าง
ที่บดแล้วน้ใี สถ่ ุงพลาสตกิ กล่องกระดาษหรอื ขวดพลาสติก เขยี นเลขทต่ี ัวอยา่ งดนิ ทีเ่ ก็บวิเคราะห์ การ
เตรยี มตัวอยา่ งท่ีกล่าวมาแล้วน้ี เตรียมเฉพาะตัวอย่างดินรวม (composite samples) ส่วนตัวอย่าง
ชนิดที่ไม่ถูกรบกวน เอาไปวิเคราะห์สมบัติบางประการของดิน เช่น ลักษณะทางกายภาพและจุล
สัณฐานของดนิ โดยไมต่ ้องนำดนิ มาพ่ึงและบด

3.3 หลกั การวิเคราะห์ดนิ ทางเคมี

3.3.1 การวดั ความเป็นกรด-ด่างของดิน (พชั รี ธรี จินดาขจร, 2549)
ความเป็นกรด-ด่างของดนิ (pH) หรือปฏิกิริยาดินโดยทั่วไปวดั ออกมาในรูปของค่า

pH ขอบเขตการอ่านค่า pH อยู่ในช่วง 0-14 ค่า pH ในช่วง 0-7 จัดอยู่ในช่วงเป็นกรด pH 6.0 มี
สภาพเปน็ กรดอ่อนๆ ในขณะท่ี pH 1.0 มีสภาพเป็นกรดรุนแรง ทั้งน้ี ค่า pH ยง่ิ ตำ่ ลง ความเป็นกรด
ยิง่ รุนแรงขึ้น ส่วนค่า pH ในช่วง 7-14 จัดอยู่ในช่วงเป็นด่าง ความเป็นด่างของสารละลายจะสูงข้ึน
ตามค่า pH ท่ีเพ่ิมขึ้น ดินสว่ นใหญ่ค่า pH พบได้บ่อยในช่วง 4-9 แต่ในบางกรณีค่า pH ของดินอาจ

23

อยนู่ อกชว่ งดังกล่าว โดยดินท่มี ีคา่ pH ต่ำถึง 2 พบไต้ในดนิ กรดจัด (acid sulfate soils) และมีคา่ สูง
กวา่ 9 ในดนิ ด่าง sodic ท้ังนี้พืชสว่ นใหญ่สามารถเจรญิ เตบิ โตไดเ้ ปน็ ปกตใิ นช่วง pH 5.5-8.5 ค่า pH
ของดนิ เป็นคุณสมบตั ทิ สี่ ำคัญทส่ี ุดในการตรวจวัดความอุดมสมบูรณข์ องดิน เป็นดัชนที ่ีใชม้ ากทส่ี ดุ ใน
การตรวจวัดคุณสมบัติทางเคมีของดิน เน่ืองจากเป็นคุณสมบัติทางเคมีที่สามารถใช้ในการทำนาย
คุณสมบัติทางเคมีอ่ืนๆ ของดิน ใช้เป็นดัชนีช้ีวัดสถานะของธาตุต่างๆ ในดินมากกว่าท่ีจะพิจารณา
ผลกระทบต่อพืชโดยตรง ทง้ั นี้นอกเหนอื จากบรรดาธาตุอาหารพืชต่างๆ แล้ว การประมาณการคา่ pH
ความสำคัญในการประเมินสุขภาพของดิน ดินท่ีมีค่า pH ท้ังสงู เกนิ ไปและต่ำเกินไปสามารถส่งผลให้
เกิดปญั หาการขาดธาตุอาหารของพชื ได้ การตรวจวัด pH ของดินเป็นวิธีการทง่ี า่ ย ทำได้รวดเร็ว และ
เป็นวิธกี ารท่ีใช้ประกอบการวิเคราะห์ปญั หาการเจริญเตบิ โตของพืชทใ่ี ช้กันทวั่ ไป และยังสามารถใช้
ประเมินสถานะความอุดมสมบูรณ์ของดินได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของดินมี
ความสัมพันธอ์ ย่างใกลัชดิ กับค่า pH ของดิน ดังนั้นการจัดการที่ดินอย่างมีแบบแผนที่ดีจงึ ควรมีการ
ตรวจสอบค่า pH ของดนิ ดังนั้นการจัดการดินอย่างมแี บบแผนท่ดี ีจงึ ควรมีการตรวจสอบคา่ pHของ
ดินก่อนทำการปลูกพืช ด้วยเหตุนี้การวัด pH ของดิน จึงเป็นรายการวิเคราะห์ที่สำคัญและพ้ืนฐาน
ท่สี ุดในมาตรฐานการวิเคราะหด์ ิน pH ของดินมีผลกระทบต่อการเจริญเตบิ โตของพืช โดยมีผลต่อการ
เปล่ียนแปลงความเป็นประโยชน์ของธาตุต่างๆ ในดนิ ทง้ั ทเ่ี ป็นธาตุอาหารท่ีจำเป็นตอ่ พชื เช่น P, Cu,
Fe, Mn, Mo และ Zn รวมถึงธาตทุ ่ีไมม่ คี วามจำเปน็ ต่อพชื เชน่ อะลมู นิ มั (AI) นอกจากน้ี pH ของดิน
ยังมีผลกระทบต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินตลอดจนความสามารถในการออกฤทธิ์ของสารกำจัด
ศัตรูพืชบางชนิดท่ีใสล่ งไปในดนิ pH ของดนิ มีอิทธิพลต่อท้ังความเป็นประโยชน์ของธาตอุ าหารตอ่ พืช
และปฏกิ ิริยาระหวา่ งธาตุตา่ งๆ ที่อยู่ในดิน ความสามารถในการกักเกบ็ และปลดปล่อยธาตุอาหารพืช
ในดินมีแนวโนม้ ขนึ้ อยู่กบั ค่า pH ของดนิ โดยทั่วไปคณุ สมบัติหลายอย่างของดินจะมกี ารเปล่ยี นแปลง
เม่ือค่า pH ของดินเปลี่ยนแปลง ซง่ึ การเปลย่ี นแปลงจะมากน้อยเพียงใดขนึ้ อยู่กับความมากน้อยของ
การเปล่ยี นแปลง pH ของดิน ปฏกิ ริ ิยาทางเคมีหลายชนดิ ในดนิ ข้ึนอยกู่ บั ค่า pH เปน็ อยา่ งมาก ดงั น้ัน
หากมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของ pH ปฏิกิริยาที่เกิดข้ึนในดิน รวมถึงความเป็น
ประโยชน์ของธาตุอาหารต่าง ๆ ในดิน ท้ังนี้ pH ของดินเป็นผลท่ีสืบเน่ืองมาจากการทำปฏกิ ิริยากัน
ของแรธ่ าตุต่างๆ ในดนิ หรอื ion ตา่ งๆ ท่ีอย่ใู นสารละลายดิน ตลอดจนการแลกเปลยี่ นที่กนั ระหวา่ ง
ธาตุทม่ี ีประจุบวกตา่ งๆ ที่อยู่บนอนุภาคดิน pH ของดนิ มีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชโดยเพมิ่ หรือ
ลดความเป็นประโยชน์ของธาตตุ ่างๆ ทอี่ ยใู่ นดนิ (แสดงดังตารางที่ 6.4)

24

ตารางท่ี 6.4 ผลของ pH ต่อความเปน็ ประโยชนข์ องธาตตุ า่ งๆ ในดนิ

ธาตุ pH ลดลง pH สูงขนึ้

Al เพม่ิ ลด

Cu เพ่ิม ลด

Fe เพิ่ม ลด

Mg ลด เพ่มิ

Mn เพมิ่ ลด

Zn เพม่ิ ลด

ทมี่ า: พัชรี ธีรจินดาขจร (2549)

ทั้งนี้ช่วง pH ที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการละลายได้ของธาตุต่างๆ แสดงดัง
ตารางท่ี 6.5

ตารางท่ี 6.5 ชว่ ง pH ที่มผี ลกระทบตอ่ ความสามารถในการละลายไดข้ องธาตๆุ

ธาตุ pH ท่ีมผี ลลดความเปน็ ประโยชนข์ องธาตุ
P pH < 5.0 และอยรู่ ะหวา่ ง 8.5-9.5
N pH < 5.0 และ > 9.0
K,S pH < 5.0
Ca,Mg pH < 5.0 และ > 9.0
Fe pH < 7.5
Mn pH < 4.5 และ > 8.0
B pH < 4.5 และอยรู่ ะหวา่ ง 7.5-8.5
Cu,Zn pH < 4.5 และ > 8.0
Mo pH < 5.5
Al pH > 5.5

ท่ีมา: พัชรี ธรี จินดาขจร (2549)

25

pH ของดินยังมีผลต่อร้อยละของธาตุอาหารแต่ละชนิดในปุ๋ยเคมีที่พืชจะสามารถ
นำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกต่างกนั ซง่ึ ประสิทธิภาพการดูดใช้ธาตุอาหารในปุ๋ยเคมขี องพืช (%) ทแ่ี ปรผัน
ตามระดับ pH ของดนิ แสดงได้ดังตารางที่ 6.6

ตารางท่ี 6.6 ประสทิ ธิภาพการดดู ใช้ธาตอุ าหารในปุ๋ยเคมีของพชื (%) ทีผ่ ันแปรตามระดบั pH ของดนิ

ความเป็นกรด pH ปุ๋ย ปุ๋ย ป๋ยุ
ของดิน ไนโตรเจน ฟอสเฟต โพแทสเซียม

กรดจดั มากทส่ี ุด 4.5 30 23 33

กรดจัดมาก 5.0 53 34 52

กรดจดั 5.5 77 46 77

กรดปานกลาง 6.0 89 52 100

เป็นกลาง 7.0 100 100 100

ท่มี า: พชั รี ธรี จินดาขจร (2549)

เหตุผลที่ pH ของดินมีผลเปลี่ยนแปลงความเป็นประโยชน์ของธาตุต่างๆ ในดินก็
เนื่องจาก pH มผี ลต่อการละลายไดข้ องแรธ่ าตใุ นดิน ซ่งึ สภาพการละลายไดข้ องแรธ่ าตใุ นดิน ซงึ่ ระดบั
pH ของดินกับความเป็นประโยชนจ์ องธาตุอาหารพืช แสดงได้ดังภาพท่ี 6.9 จากภาพดังกล่าว พ้ืนท่ี
แรเงาของแต่ละธาตุเป็นพื้นที่ ท่ีธาตุน้ันสามารถละลายได้ดีที่ระดับ pH นั้นๆ และจะเห็นได้ว่า pH
ในช่วง 6-7 เป็นระดับที่ธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่สามารถละลายได้ดี กล่าวได้ว่า pH ของดินมี
ผลกระทบอยา่ งยิ่งตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชโดยมผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงความเปน็ ประโยชน์ของธาตุ
ต่างๆ ในดินท้ังท่ีเป็นธาตุอาหารท่ีจำเป็นต่อพืช เช่น P, Cu, Mn, และ Zn รวมถึงธาตุที่ไม่มีความ
จำเป็นต่อพืช เช่น Al นอกจากนี้ pH ของดินยังมีผลกระทบต่อกิจกรรมจุลินทรีย์ดิน ตลอดจน
ความสามารถในการออกฤทธ์ิของสารจำกัดศตั รูพืช บางชนิดท่ีใส่ลงไปในดนิ การวดั pH ของดินเป็น
รายการวเิ คราะหท์ ่สี ำคญั และพน้ื ฐานทส่ี ดุ ในมาตรฐานการวิเคราะหด์ นิ เมือ่ มปี ัญหาข้อสงสัยเกย่ี วกับ
ดินค่า pH เปน็ สง่ิ แรกท่ีนำมาพิจารณา

26

ภาพที่ 6.9 ระดบั pH ของดนิ กับความเปน็ ประโยชนจ์ องธาตอุ าหารพชื
ท่มี า: ดัดแปลงจาก กรมสง่ เสรมิ การเกษตร (2563) และพัชรี ธรี จนิ ดาขจร (2549)

วธิ ีทน่ี ยิ มในการวดั pH ของดนิ มี 2 วธิ ี
(1) วิธี Colorimetry เปน็ การวัด pH ของดินโดยใช้ indicator มหี ลักการวา่ สขี อง
นำ้ ยา indicator ซ่ึงเปน็ acid-base indicator จะเปลยี่ นไปตามความเขม้ ขน้ ของ H+วธิ ีนเ้ี หมาะ
สำหรบั ใช้ในไรน่ า เนอ่ื งจากสะดวกและรวดเรว็ แต่คา่ ท่ีวดั ไดไ้ ม่ละเอยี ดเท่ากบั คา่ ทีว่ ดั ไดโ้ ดยใช้ pH
meter โดยปกติคา่ ของ pH ท่วี ดั ได้ใช้ indicator จะแตกต่างจากคา่ ท่ีวดั ไดโ้ ดยใช้ pH meter
ประมาณ 0.3 pH unit
(2) วิธี Electrometry เป็นการวัดความต่างศักย์ระหว่าง glass electrode กับ
reference electrode ที่จุ่มใน soil suspension โดยใช้เคร่ืองมือที่เรียกว่า pH meter หลักการ
ของวธิ ีนม้ี คี ่าความต่างศักยข์ อง glass electrode จะเปลี่ยนไปตามการเปล่ียนแปลงความเขม้ ข้นของ
H+ใน suspension แต่ความตา่ งศกั ย์ของ reference electrode จะคงที่ ความตา่ งศกั ย์ท่วี ัดได้จะถูก
เปล่ียนเป็นค่า pH การวัด pH ของดินโดยใช้ pH meter เหมาะสำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการเพราะ
ค่าท่ีวัดได้มีความถูต้องและเที่ยงตรงกว่าวิธีใช้ indicator การวัดค่า pH ของดินโดยใช้ pH meter
เป็นการวัดค่าความเข้มข้นของ H+ ใน soil suspension ซ่ึงมีค่าเท่ากับ pH meter เป็นการวัดค่า

27

ความเข้มข้นของ scale ของ long ของความเข้มข้นของ H+ดังน้ัน l pH unit ที่เปลี่ยนแปลงจึง
หมายถึงความเขม้ ขน้ ของ H+ที่เปลี่ยนแปลง 10 เทา่ การวัดค่า pH ของดนิ คล้ายคลงึ กับการวัดคา่ pH
ของสารละลาย แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่ดินมีความเป็นกรดอยู่ 2 ชนิด คือกรดจริง (active
acidity) และกรดแฝง (potential acidity) เน่ืองจากดินเป็นส่ิงท่ีมีประจทุ ั้งประจุบวกและประจุลบ
แต่มีประจุสิทธิเปน็ ลบ ทำใหด้ นิ มคี วามสามารถในการดดู ซับประจุบวกซึง่ เปน็ ประจตุ รงข้ามของธาตุ
ตา่ งๆ ไวไ้ ด้ ในส่วนท่เี กี่ยวกับการวัดค่า pH ของดินนั้นเปน็ การวัดสภาพกรดจรงิ จากความเข้มข้นของ
H+ใน soil suspension ที่ไม่ถูกดูดซับซง่ึ จะสมดุลกับ H+ส่วนท่ีถูกดูดซับหรือสภาพกรดแฝง การวัด
pH ของดินโดยใช้ pH meter ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมี 3 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีคา่ pH ได้จากการจุ่ม electrode
ลงใน soil suspension

การวัด pH ของดินสามารถเลือกทำได้โดยการใช้น้ำยา indicator หรือการใช้ pH
meter ซึง่ ข้อแตกต่างระหว่างสองวิธนี ้ันการใช้ pH meter จะเสียค่าใชจ้ ่ายแพงกว่าเนือ่ งจากต้องใช้
เครอ่ื งมือท่ีมีราคาแพงกวา่ แต่กเ็ ป็นวธิ ีทีม่ ีความถูกต้องมากกว่าและเป็นวธิ ีมาตรฐานในการวัดคา่ pH
ของดินในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดินทั่วไป วิธีดังกล่าวเป็นการวัดค่าความเข้มข้นของ H+ ใน
สารละลายดิน ซงึ่ มคี ่าเท่ากับ -log [H+] และเนื่องจากคา่ pH เป็น scale ของ log ของความเข้มข้น
ของ H+ ดังน้ัน 1 หน่วย pH ที่เปล่ียนแปลงจงึ หมายถึงความเข้มขันที่เปล่ียนแปลง10 เท่า เน่ืองจาก
ค่า pH ตามนิยามเป็นการวัดความเข้มข้นของ H+ ในสารละลายดิน ดังนั้นการวัดค่า pHของดินใน
สภาพท่ีดินแห้งจึงไม่สามารถทำได้ ต้องมีการเตมิ ของเหลวที่เป็นตัวกลางก่อนวัดค่า ซึ่งโดยทั่วไปค่า
pH ของดินจะทำการวัดโดยมีการเลือกใช้น้ำบริสุทธิ์ หรือสารละลายของ KCI หรือCaCl2 เป็น
ของเหลวตัวกลาง การใช้น้ำบรสิ ทุ ธ์ิเป็นตัวกลางจะให้ผลสะท้อนถึงความเขม้ ขน้ ของ H+ ในสารละลาย
ดินได้ดีกว่าการใชส้ ารละลายของ KCI หรอื CaCl2 ซึง่ การใช้สารละลายท่ีสองชนิดจะให้ค่า pH ของ
ดนิ ท่ีต่ำกว่าอนั เนื่องจากการแลกเปล่ียนระหว่าง H2 ที่ถกู ดูดซับบนผิวอนุภาคดินกับ H+ หรือ Ca2+
ดังน้ันในกรณที ี่เป็นดนิ ปกตขิ องเหลวทใ่ี ชเ้ ป็นตัวกลางเพ่อื วดั pH โดยท่ัวไปจะใชน้ ้ำกล่ัน นอกจากนี้
คา่ pH ของดินจะเปล่ียนแปลงไปตามอตั ราส่วนระหว่างดินต่อของเหลวที่เป็นตัวกลาง ซึ่งโดยท่ัวไป
แล้วค่า pH ของดนิ จะสูงขึ้นเมื่ออัตราส่วนระหว่างดินต่อของเหลวที่เป็นตวั กลางกว้างข้ึน อัตราส่วน
ระหว่างดินต่อของเหลวที่ใช้เป็นตัวกลางที่ใช้กันทั่วไปคืออัตราส่วน 1: 2.5 ทั้งนี้เนื่องจากอัตราส่วน
ดังกลา่ วน้สี ามารถใชไ้ ด้ครอบคลุมดินทีม่ อี นิ ทรยี วตั ถสุ งู pH ของดินที่เหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของ
พืชอยใู่ นชว่ ง 6-7 คา่ ดังกลา่ วเป็นเลขจำนวนเต็มทงี่ า่ ยต่อการจดจำ อยา่ งไรก็ตามอาจพบการรายงาน
ระดับ pH ของดินทเ่ี หมาะสมเบี่ยงเบนในทางท่ีต่ำกว่าหรือสงู กวา่ คา่ ดังกล่าวนี้ 0.5 หน่วย ดังนน้ั ใน
การพิจารณาการจดั การดนิ ตามค่า pH จึงสามารถกำหนดขอบเขตระดับ pH ของดินท่ีเหมาะสมต่อ
การเจรญิ เติบโตของพืชได้กว้างขนึ้ กล่าวคอื กำหนดให้มคี ่า pH อยู่ในช่วง 5.5-7.5 ซ่งึ ยังคงครอบคลุม
ช่วง pH ดังกล่าวน้ี และการพิจารณาเลือกใช้ช่วง pHนี้ช่วยลดภาระการจัดการดินซึ่งส่วนใหญ่มัก
เกี่ยวข้องกับการเตมิ ปนู เพือ่ แกป้ ัญหาความเปน็ กรดของดนิ ท้งั นี้ดนิ ทมี่ ี pH ตำ่ กว่า 5.5 มเั กย่ี วขอ้ งกับ

28

ปญั หาดา้ นเคมีและกายภาพของดนิ รวมถงึ ปัญหาการขาดธาตุอาหารพืช ในขณะท่ี pH สูงกว่า 7.5 มี
แนวโนม้ จะขาดธาตุ Mn, Cu, Fe, Zn และ B และหากดินมีคา่ pH สงู กว่า 8.5 จะเป็นเครอื่ งบง่ ชถี้ ึง
ปัญหาอนั เกิดจากธาตุ Na

pH ของดินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปริมาณอินทรียวัตถุในดินเป็นอย่างมาก
กล่าวคอื ค่า pH ที่เหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตของพืชของดนิ แร่ธาตุทั่วไปซ่ึงมปี ริมาณอินทรียวตั ถุต่ำ
กว่า 5% จะอยู่ช่วง 6-7 ดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าดินมีปริมาณอินทรียวัตถุมากกว่า 10% ค่า pH ที่
เหมาะสมของดินจะอยทู่ ่ปี ระมาณ 5.8 และจะมีคา่ ใกล้ 5 เม่อื ปรมิ าณอินทรียวตั ถุในดนิ มากกวา่ 20%
ทัง้ นีป้ ริมาณอนิ ทรยี วตั ถุในดินยิ่งสูงข้ึนเท่าใด ค่า pH ของดินท่ีเหมาะสมต่อความเป็นประโยชน์ของ
ธาตุอาหารพืชย่ิงต่ำลงเท่านน้ั ในความเป็นจรงิ โดยท่ัวไปพบว่าพืชมีความสามารถทนดินอินทรีย์ท่ี
เป็นกรดไดด้ กี วา่ ดนิ แร่ท่เี ป็นกรดอันเน่ืองมาจากการท่ีดนิ อินทรยี ม์ ี AI อยใู่ นระดับต่ำ ดังนัน้ ระดับค่า
pH ที่เป็นเป้าหมายสำหรับการปลูกพืชในดินที่มีอินทรียวัตถุมากจึงต่ำกว่าการปลูกในดินแร่ธาตุ
ประมาณ 1-1.5 หนว่ ย และเนื่องจากคุณสมบตั ขิ องดินมีความแตกตา่ งกนั ในแต่ละพื้นที่ ดังนน้ั คา่ pH
ที่เหมาะสมของดินในพ้ืนที่หน่ึงอาจไมใช้ค่าที่เหมาะสมในพื้นท่ีอื่น ค่า pH ของดิน อาจจะบอกเป็น
ตัวเลขโดยประมาณไมจ่ ำเป็นต้องระบุค่าท่ีละเอยี ดถึงระดบั ทศนยิ ม ดงั นัน้ แมค้ า่ pH ของดนิ ทีว่ ัดได้จะ
คลาดเคล่ือนไปบ้างเล็กน้อยแต่ค่าที่ได้ก็ยังคงความหมาย การประเมินค่า pH ของดินแสดงได้ดัง
ตารางท่ี 6.7

ตารางท่ี 6.7 การประเมนิ คา่ pH ของดิน

pH การประเมิน
< 5.5 กรดจดั
5.6-6.0
6.1-6.9 กรดปานกลาง
7.0 กรดออ่ น
7.1-7.7 กลาง
7.8-8.3 ดา่ งออ่ น
> 8.4
ดา่ งปานกลาง
ด่างจัด

ทมี่ า: สำนักวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อการพัฒนาท่ดี นิ (2547)

29

3.2.2 หลกั การวเิ คราะหค์ วามต้องการปูน (สำนกั วิทยาศาสตร์เพ่อื การพฒั นาทด่ี นิ ,
2547)

ความต้องการปูน (Lime requirement: LR) หมายถงึ ปริมาณ CaCO3 บริสุทธิ์ มี
หน่วยเป็น กิโลกรมั /ไร่ ท่ีใส่ลงในดินต่อหน่วยพ้ืนท่ีแล้วทำให้ pH ของดินเพิ่มข้ึนถึงระดับท่ีต้องการ
(ปกติถา้ ไมร่ ะบวุ า่ เป็นระดับ pH ใดจะหมายถึง pH 7 การวเิ คราะหค์ วามต้องการปูนในหอ้ งปฏบิ ัติการ
นั้น ปรมิ าณของปูนทีจ่ ะต้องใส่ โดยมากเม่อื นำไปใสใ่ นพน้ื ที่แลว้ จะไมส่ ามารถยกระดบั pH ไดต้ ามที่
วิเคราะห์ได้ ทัง้ นีเ้ นอื่ งมาจากปัจจัยตา่ ง ๆ เชน่ ปูนถกู นำ้ ชะลา้ งไปบ้าง ทำปฏิกิริยากับนำ้ ชลประทาน
หรอื นำ้ ฝนทีม่ ีปฏกิ ริ ิยาเป็นกรด หรอื ถา้ ใส่ในดินเปร้ียวจดั (acid sulfate soils) ปูนจะตอ้ งสะเทินกรด
ซลั ฟวิ ริกทีอ่ อกมาจากสารไพไรทท์ ีอ่ ยู่ในดนิ ท่ีมปี ฏิกิรยิ าออกซิเดชนั้ กับอากาศอีกด้วย ซึ่งตา่ งประเทศ
ได้กำหนดค่าหนึง่ คอื lining factor เท่ากับ 1.5 เป็นค่าที่ได้จากการทดลองนำไปคูณกับจำนวนปนที่
ได้จากการทดลองแล้วทำให้ได้ปริมาณปูนที่ใส่ในพื้นที่จริง เพ่ือยกระดับ pH ของดินให้สูงข้ึนตาม
ระดับท่ีต้องการ (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2535) ปัจจุบันประเทศไทย ใช้ค่า liming factor
เท่ากับ 1.5 คูณกับปริมาณอะลูมินัมท่ีแลกเปล่ียนได้ เป็นค่าความต้องการปูนจริงๆ ที่ใช้ในพ้ืนท่ีดิน
เปรยี้ วจัดภาคกลางและ limming factor เท่ากับ 2 สำหรับดินเปรีย้ วจดั ภาคใต้แลว้ สามารถยกระดับ
pH ให้สูงขนึ้ ถงึ ระดับทต่ี ้องการ ได้ทำการเปรียบเทียบวิธีวิเคราะหค์ วามต้องการปูนวิธตี ่างๆ กันของ
ดินเปร้ียวจัดภาคใต้ พบวา่ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดที ี่สุด โดยมีความสมั พันธ์กับผลผลิตของข้าว (r = 0.9129)
ต่อมามีการทำวจิ ยั อกี คร้ังหนงึ่ โดยการหมกั ปนู ในฤดนู าปแี ละนาปรงั ในดนิ เปร้ยี วจดั ภาคใตต้ ามผลการ
วิเคราะห์ความต้องการปูนวิธีต่าง ๆ พบว่า วิธีอะลูมิน่ัมที่แลกเปล่ียนได้น้ีสามารถใช้วิเคราะห์ความ
ตอ้ งการปูนสำหรับปลูกข้าวได้ดงั น้ันควรเลือกวิธีอะลูมินัมทแี่ ลกเปล่ยี นได้ เพราะสำหรับดินเปรย้ี วจัด
น้นั เม่อื ส่งดินมาวิเคราะห์จำเป็นจะต้องวิเคราะห์ปรมิ าณอะลมู ินัมท่แี ลกเปลี่ยนได้อยู่แล้วเนื่องจาก
เป็นพิษต่อพืช ดังน้นั จึงไม่ต้องวิเคราะห์ความต้องการปูนโดยวิธีอน่ื ๆ อีกจะทำให้เสียเวลา และเมื่อ
วิเคราะหโ์ ดยวิธีสารละลายบัฟเฟอร์ของ Woodruff น้ัน นกั วชิ าการท่ใี ช้คา่ ความตอ้ งการปนู มกั จะใช้
ปูนเพียงครงึ่ หน่งึ ของผลวเิ คราะห์เท่านั้นเน่อื งจากวิธีสารละลายบัฟเฟอร์ของ Woodruff คา่ วเิ คราะห์
ความต้องการปูนสำหรับดินเปรย้ี วจัดมคี ่าสูงเกินไป พจนียแ์ ละคณะ (2544) พบว่าดินเปรยี้ วจัดเช่น
ชุดดินอยุธยาเสนาและรังสิตมีความต้องการปูนต่ำวิธีสารละลายบัฟเฟอร์ของ Woodruff จะให้ค่า
วิเคราะห์ความต้องการปูนสูงกว่าวิธียะมนมแลกเปล่ียนได้ของ Sanchez แต่ในชุดดินธัญบุรี และ
องครักษ์วิธอี ะลมู ินัมที่แลกเปล่ยี นได้ของ Sanchez จะให้ค่าวเิ คราะหค์ วามต้องการปูนสงู กว่า ซ่งึ ตรง
กับรายงานของ Sanchez วา่ วธิ สี ารละลายบฟั เฟอร์ของ Woodruff จะให้คา่ วเิ คราะห์ความตอ้ งการ
ปูนสูงเกินไป เมื่อดินมีความต้องการปูนต่ำ และให้ค่าต่ำเม่ือดินมีความต้องการปูนสูง แต่การใช้วิธี
อะลมู นิ มั ท่ีแลกเปลีย่ นได้ของ Sanchez จะไดค้ ่าความตอ้ งการปนู ที่สามารถสะเทนิ กรดที่มีอยูจ่ รงิ

สำหรับกรมพัฒนาที่ดินได้ใช้วธิ ีของ Woodruff วิเคราะห์ความต้องการปนมานาน
แต่ในทางปฏิบัติมกี ารใส่ปริมาณปูนท่ีแตกต่างกนั ทัง้ น้ีตอ้ งพิจารณาว่าดินเปน็ ดนิ กรดกำมะถนั หรือไม่

30

ถ้าเป็นก็แนะนำให้ใส่เต็มปริมาณ แต่นักวิชาการเกษตรเห็นว่าผลการวิเคราะห์ได้ค่าสูงเกินไปก็จะ
แนะนำใสเ่ พยี งครึ่งเดียวเทา่ นน้ั หรอื ถา้ เปน็ ดนิ กรดทมี่ ีเน้ือดนิ เปน็ ดินทรายร่วนหรอื ดินร่วนทราย ควร
พิจารณาใส่น้อยลงเน่ืองจาอาจจะมีสภาพเกินปูน (over timing) ซึ่งเป็นอันตรายต่อพืชท่ีปลูกได้
เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลง pH อยา่ งรวดเร็ว เน่ืองจากดินทราย มีสมบัติในการต้านทานความเป็น
กรดหรือด่างตำ่ (low buffer capacity) จะเกดิ ภาวะไมส่ มดลุ ของธาตอุ าหาร และระดบั ฟอสฟอรัสท่ี
เป็นประโยชน์จะลดลง

3.3.3 หลักการวิเคราะห์ความต้องการยิปซัม (สำนักวทิ ยาศาสตร์เพ่ือการพัฒนาท่ีดิน,
2547)

การวเิ คราะห์ความต้องการยิปซมั (Gypsum Requirement: GR) เพ่ือแก้ปญั หาดนิ
เค็ม ซึง่ เปน็ ดินที่มปี รมิ าณเกลือละลายง่ายสูง (มีคา่ การนำไฟฟ้าของสารละลายซึ่งสกดั จากดนิ อ่ิมดว้ ย
น้ำ>4 dS m-1 ขึ้นไป) จนเปน็ พิษตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื โดยมีผลทำให้พชื ที่ปลูกในดินเคม็ เดี่ยว
และเกดิ ใบไหม้เนือ่ งจากน้ำในพชื จะไหลกลับออกมาอยู่ในสารละลายดนิ ซงึ่ ในการแกไ้ ขปรับปรุงดิน
ใช้วิธีการชะล้างด้วยน้ำจดื สำหรับดนิ โซดิกหรอื ดนิ คา่ งไม่ใช่ดนิ เคม็ แต่มปี ริมาณโซเดยี มทีแ่ ลกเปลย่ี น
ได้สงู โดยมีคา่ เปอรเ์ ซ็นต์โซเดยี มแลกเปลย่ี นไดเ้ ทา่ กับหรอื มากกวา่ 15 ข้นึ ไปและดินเตม็ โซดิกซ่ึงมีทั้ง
เกลอื ทล่ี ะลายง่ายและโซเดียมทแ่ี ลกเปลย่ี นได้สงู เน้อื ดินของตนทั้งสองชนิดน้ีส่วนใหญจ่ ะเป็นดนิ เน้ือ
ละเอยี ด โครงสร้างดินมีสภาพเลวลงถา้ ใช้วิธกี ารล้างดินอย่างเดียวจะไมค่ ่อยได้ผล เนื่องจากเม่ือเกลือ
ถูกชะลา้ งไปแล้วดนิ จะอิ่มตวั ดว้ ยโซเดียม ซึ่งทำใหด้ ินพองตวั และแน่นทึบการระบายน้ำเลวพชื ท่ีปลูก
ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เพราะพืชจะดดู โซเดยี มเขา้ ไปสะสมในเนอ้ื เย่ือมากเกนิ ไปจนเปน็ พิษ วธิ กี าร
ปรับปรุงดินโซดิกและดินเค็มโซดิกจะต้องใช้แคลเซียมแทนท่ีโซเดียมที่แลกเปล่ียนได้ และชะเกลือ
โซเดยี มออกไปจากบรเิ วณท่ีปลูกพืชพรอ้ มทั้งปรบั ปรงุ สมบตั ิทางกายภาพให้เหมาะสมต่อการซาบซึม
นำ้ สารปรับปรุงดินที่เหมาะสมกับการใช้ปรับปรุงดิน โซดิกดินเคม็ โซดิกหรือดินที่มีโซเดียมสูงน้ันมี
หลายชนดิ ดว้ ยกัน เช่น ยิปซมั (CaSO4.2H2O) เป็นแร่ทม่ี ีแคลเซียมเป็นองคป์ ระกอบ หาไดง้ า่ ย ราคา
ถกู เม่อื ใส่ลงไปจะเปลย่ี นเกลือ Na2CP3 และ NaCl ใหเ้ ป็น Na2SO4 ถูกชะล้างออกจากดินด้วยน้ำจืด
ไดง้ า่ ยขนึ้ การวเิ คราะหค์ วามต้องการยิปซมั ของดนิ กระทำได้โดยการเติมสารละลาย Sat. Gypsum
จำนวนมากเกินพอ และทราบปริมาณแคลเซียม ที่แนน่ อนลงไปในดิน ปล่อยทงิ้ ไว้ให้ปฏิกริ ิยาเกิดข้ึน
อย่างสมบูรณ์ วัดปรมิ าณแคลเซยี มท่เี หลอื จากปฏิกริ ยิ า จากนัน้ คำนวณความตอ้ งการยปิ ซมั ของดนิ ได้
จากปริมาณแคลเซียมท่ใี ช้ในการทำปฏกิ ริ ยิ ากับดนิ

3.3.4 หลกั การวิเคราะห์อนิ ทรยี วตั ถใุ นดิน (สำนกั วิทยาศาสตรเ์ พ่ือการพฒั นาทด่ี ิน,
2547; (คณาจารยภ์ าควชิ าปฐพวี ทิ ยา, 2548)

อินทรียวัตถุในดิน (Organic Matter, OM) หมายถึง อินทรียสารทุกชนิดที่มีอยู่ใน
ดินซึ่งได้จาก ซากพืช ซากสัตว์และส่ิงมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในดินส่ิงขับถ่ายของมนุษย์และสัตว์
สลายตัวทับถมอยู่ในดิน รวมถึงอินทรียสารที่รากพืชปลดปล่อยออกมา และท่ีจุลินทรีย์สังเคราะห์

31

อินทรียวัตถุในดินประกอบด้วยอินทรียสารหลายชนิด คือ พวกสารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจน
สารประกอบอนิ ทรียฟ์ อสฟอรัสสารประกอบอนิ ทรยี ก์ ำมะถันเป็นตน้ และเม่ืออินทรียวัตถุสลายตัวโดย
จลุ ินทรยี ์ถึงขน้ั สุดท้ายจะได้ฮิวมัส (humus) ซ่ึงเป็นสารอินทรีย์ประกอบเชิงซ้อนท่ีประกอบข้ึนจาก
สาร group ตา่ ง ๆ เชน่ methyl phenolic, quinone และ carboxylic groups ทีม่ ีอยู่ในดนิ ฮวิ มสั
แบง่ ได้เป็นสองสว่ น คอื humic acid และ fulvic acid ฮิวมสั น้ีไม่ใช่สารท่คี งทนถาวรจุลินทรียด์ นิ ทำ
ให้สลายตวั ได้ เช่นเดยี วกับอนิ ทรียสารอื่นที่มอี ยู่ในดิน แตอ่ ัตราการสลายตัวของฮวิ มสั จะชา้ กวา่ การ
สลายตัวของอินทรียสารท่ีเป็นต้นกำเนิดของฮิวมัส ฮิวมัสเป็นของแข็งที่มีอนุภาคละเอียดมากมี
บทบาทสำคัญคือมีความสามารถในการแลกเปล่ียนแคตไอออน (Cation Exchange Capacity) สูง
สามารถดูดซับนำ้ ไดด้ ี และมีบทบาทสำคัญตอ่ การเกาะยึดกนั เปน็ เมด็ ของอนภุ าคดนิ

อินทรียวัตถุในดิน (OM) เป็นองค์ประกอบของดินที่มีความสำคัญมากท่ีสุด และ
เปน็ คณุ สมบัติทางเคมีที่มกั นำมาใชเ้ ป็นดัชนชี ้ีวัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีความหมายครอบคลุม
ตั้งแต่ส่วนของซากพืชหรือซากสัตว์ท่กี ำลงั สลายตัว เซลล์ของจุลินทรีย์ท้ังท่ียังมีชีวิตอยู่และตายแล้ว
ตลอดจนสารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลายหรือที่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม
แหล่งท่ีมาส่วนใหญ่ของ OM ได้มาจากเศษซากพืชและพบได้มากในดินช้ันบน ซ่ึงส่งผลให้ดินช้ันบน
โดยทั่วไปมีสีดำเขม้ ปริมาณ OM ทพี่ บในดินส่วนใหญ่จัดอยใู่ นระดับท่คี ่อนข้างต่ำ ซ่ึงช่วงท่ีพบแสดง
ดังตารางที่ 6.8

ตารางท่ี 6.8 ชว่ งของปรมิ าณอนิ ทียวตั ถุที่พบในดนิ ส่วนใหญ่

ชนดิ ของดิน ระดบั OM ท่ีพบ (%)
ดนิ ในพน้ื ทเี่ กษตรเขตอบอนุ่ 1-5
ดนิ ในพืน้ ท่ีเกษตรเขตรอ้ น 0.1-2
ดนิ ปา่ (ชัน้ บน) >10
ดนิ อินทรีย์ >20

ทมี่ า: สำนกั วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ การพฒั นาที่ดนิ (2547)

คาร์บอน (carbon) เป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญของอินทรียวัตถุดังนั้นในการหาปริมาณ
อินทรียวัตถุในดินจึงใช้วิธีวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอนโดยการใช้สารเคมีทำให้เกิด oxidation กับ
คาร์บอนในอินทรยี วตั ถุในดนิ แล้วคำนวนปรมิ าณคาร์บอนในอินทรยี วัตถุจากปริมาณของสารเคมที ี่ใช้
ไปในปฏิกิริยา และเมื่อทราบปริมาณคาร์บอนแล้วสามารถนำมาคำนวณปริมาณอินทรียวัตถุ
โดยประมาณ โดยคณู กับ“ Van Bemmelen factor” ซง่ึ เท่ากับ 1.724 จากหลักที่ว่า อินทรยี วัตถุมี

32

ปรมิ าณคาร์บอนร้อยละ 58 โดยจริงๆ แล้วให้ใช้ตัวคูณ (factor) ท่ีเปล่ียนจากอินทรียคาร์บอนเป็น
อินทรียวัตถแุ ตกตา่ งกนั ในดนิ บนและดินลา่ งกลา่ วคอื ดนิ บนคูณดว้ ย 1.9 โดยประมาณ (52% C) และ
ดนิ ล่างคณุ ด้วย 2.5 (40% C) แต่อตั ราส่วนการเปลี่ยนแปลง ของอนิ ทรียคาร์บอนต่ออินทรียวัตถุใน
ดินท่ีแตกต่างกัน และระหวา่ งชน้ั ดินในดนิ เดียวกันไมแ่ นน่ อน ดงั นัน้ จึงนยิ มใช้ตัวคณู 1.724 ดังกลา่ ว
มากกวา่

OM มีอิทธิพลต่อคุณสมบัติของดินทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ การเพิ่มปริมาณ OM
ให้แก่ดิน ช่วยทำใหโ้ ครงสร้างของดินมคี วามเสถยี รเพม่ิ ความพรุนและลดความหนาแน่นรวมของดิน
ซ่งึ การรักษาเสถียรภาพของโครงสรา้ งดนิ ผา่ นการเพ่มิ เติม OM เปน็ สิง่ ทีจ่ ำเป็นต่อการอนุรกั ษ์ดิน OM
นอกจากจะเป็นแหล่งปฐมภมู ิของธาตุ Nแล้วยงั เป็นแหล่งสำคัญของธาตุ S และ P รวมถึงจุลธาตุอีก
หลายตัว การสลายตัวของ OM มีความสำคัญต่อการปลดปล่อย N และ S ในดินทั่วไป รวมถึงการ
ปลดปลอ่ ย P ในดินบางประเภท และการท่ี OM ลกั ษณะเป็นตะกอนแขวนลอยจงึ มีคุณสมบัติพิเศษ
คอื มี CEC สูง ซ่ึงเปน็ คุณสมบัติท่ีพึงประสงค์ทั้งด้านการช่วยกักเก็บธาตอุ าหารพชื และช่วยต้านทาน
การเปลี่ยนแปลงทางเคมใี นดินที่จะส่งผลในทางลบต่อพชื นอกจากนปี้ ริมาณ และคุณภาพของ OM
ยังเป็นศูนย์กลางในการวัดคุณภาพของดิน มีบทบาทในการรักษาหรือยกระดับศักยภาพของดิน ใน
การปรบั ปรุงอุณหภมู ิ ความชนื้ และโครงสร้างของดินโดยลดการชะลา้ งพังทลายของดิน ดงั น้ันการให้
ความสำคัญกบั การรักษาระดับ OM ในดนิ จึงเปน็ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความอุดมสมบรู ณ์ขงิ ดิน N
ในดินมีความสัมพนั ธ์อย่างใกลช้ ิดกับ OM และจากความสัมพันธ์ทวี่ ่า OM มมี ากกวา่ N ประมาณ 20
เท่า หรือกล่าวได้ในความหมายเดียวกนั ว่า OM มี N เป็นองคป์ ระกอบอยู่ประมาณ 5% ดังนั้น N ใน
ดินจึงสามารถประเมินอยา่ งคร่าวๆ ได้จากคา่ OM ดงั นี้

N (%) = 0.05 X OM (%)

การวิเคราะห์ OM โดยตรงไม่สามารถทำได้ เน่ืองจากจะมีผลทำให้องค์ประกอบของ OM
เปลี่ยนแปลงได้ วิธีมาตรฐานในการวิเคราะห์ OM เป็นวิธีทางอ้อมโดยวเิ คราะห์จากอินทรยี ค์ าร์บอน
(OC) ซึ่งมีมากท่ีสุดในองค์ประกอบของ OM และอยู่ในสภาพที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง การ
วเิ คราะห์ OM โดยวธิ ี wet oxidationเป็นวิธที น่ี ิยมกนั มาก เพราะวิธีการไม่ยงุ่ ยากและสะดวกรวดเร็ว
วิธีการวิเคราะห์ OM ในดินท่ีนิยมใช้กันอย่างกวา้ งขวางคือวิธี Walkley & Black ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
เปน็ ปฏกิ ิริยา oxidation ภายใต้การ standardize ดว้ ย K2Cr207 ใน H2SO4 เขม้ ข้น OC ในดินจะถูก
oxidize ด้วย K2Cr207 ที่ใส่ในปริมาณมากเกินพอ (แต่รู้ปริมาณท่ีแน่นอน) ปฏิกิริยาจะดำเนินไปได้
อยา่ งรวดเรว็ ดว้ ยความร้อนทเี่ กดิ ขน้ึ จากการผสม H2S04 เขม้ ข้นลงในสารละลาย K2Cr2O7 ความร้อน
ที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้อุณหภูมิสงู ถึง 120OC ซ่งึ เพียงพอที่จะช่วยให้ปฏกิ ิริยา oxidationดำเนินไปได้

33

อย่างเต็มที่ จากน้ันทำการ titrate K2Cr2O7 ท่ีเหลือจาก การทำปฏิกิริยาด้วยสารละลายมาตรฐาน
FeSO4 ปริมาณ K2Cr2O7 ที่ใช้ไปมีค่าเท่ากับปริมาณ C ท่ีถูก oxidize สามารถคำนวณเป็น OM ได้
การคำนวณปริมาณ OM โดยวิธี Walkley & Black ต้ังอยู่บนสมมุติฐานว่า OM มี C เป็น
องค์ประกอบอยู่รอ้ ยละ 58 และมคี ่า recovery เท่ากับร้อยละ 77 คา่ ของ OM ทว่ี ิเคราะหไ์ ด้มหี นว่ ย
เปน็ เปอร์เซ็นต์ (%) และการประเมินระดับอนิ ทรยี วัตถใุ นดนิ แสดงดัง ตารางท่ี 6.9

ตารางที่ 6.9 การประเมนิ ระดบั อนิ ทรยี วตั ถใุ นดนิ (OM : วิธี Walkley & Black )

OM (%) การประเมิน
< 0.5 ตำ่ มาก
0.5-1.0 ตำ่
1.0-1.5
1.5-2.5 ค่อนข้างตำ่
2.5-3.5 ปานกลาง
3.5-4.5 คอ่ นขา้ งสูง
>4.5
สูง
สูงมาก

ทมี่ า: สำนกั วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ การพัฒนาทด่ี นิ (2547)

3.3.5 หลักการไนโตรเจนท้งั หมดในดิน (สำนกั วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื การพฒั นาทด่ี ิน, 2547)
ไนโตรเจน (N) เปน็ ธาตุอาหารพืชทีเ่ ป็นปจั จัยจำกัดมากที่สดุ ตอ่ การเจริญเตบิ โตและ

การให้ผลผลติ ของพชื พชื ท่ีเพาะปลูกในพ้นื ที่การเกษตรท่ัวโลกมีแนวโน้มของการขาดธาตุ N มากกว่า
ธาตุอนื่ ใด ทงั้ น้ีเนื่องจาก N เป็นธาตุอาหารทพ่ี ืชมีความต้องการในปรมิ าณสงู กวา่ ธาตอุ าหารอื่นๆ เปน็
อย่างมาก จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีความพยามยามในการลงทุนเพื่อบริหารจัดการธาตุ N
มากกวา่ ธาตอุ าหารอน่ื ใด N ทั้งหมดในดินมีค่าตั้งแต่น้อยกว่าร้อยละ 0.02 ในดินชั้นล่างถึงมากกว่า
2.5% ในดินอินทรีย์ รูปของ N ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ได้แก่ ammonium (NH4+) และ nitrate
(NO3-) โดยที่ N ในรูป NH, จะถูกดูดซับไว้ได้ดีท่ีผิวดินหรือในตัวกลางท่ีสภาวะ pH เป็นกลางหรือมี
pH สูงข้ึนในขณะที่รูป NO3- มีความพร้อมทจ่ี ะเป็นประโยชน์ในสภาวะทีด่ ินหรือตัวกลางมี pH เป็น
กรด นอกจากนี้ดินในเขตอบอุ่นและมีการระบายอากาศดีมักจะมี NO3- ในปริมาณมากกว่า NH4+
อย่างไรก็ตามเนอ่ื งจาก N ในดินส่วนใหญ่อยู่ในรูปอินทรีย์ไนโตรเจนในองค์ประกอบของ OM ซงึ่ จะ
เปน็ ประโยชนไ์ ด้ก็ต่อเมอ่ื ถูกยอ่ ยสลายโดยจลุ ินทรยี ด์ ิน 2 กล่มุ เพื่อเปล่ยี นรูปไปเปน็ NH4+ และ NO3-
ตามลำดับ ดังนั้นการวิเคราะห์ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดในดิน (Total N) จึงเป็นการวัดปริมาณ

34

ไนโตรเจนที่เปน็ แหล่งสำรองในดินทจ่ี ะปลดปล่อยออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืช ทงั้ น้ี ดินที่มี Total N
ต่ำกว่า 0.07% จะมีขีดจำกัดของศักยภาพในการปลดปล่อย N ให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ ในขณะ
ท่ดี ินท่ีมี Total N มากกว่า 0.15%เปน็ ที่คาดหวังไดว้ ่าจะสามารถเปล่ียนมาอยู่ในรูปท่ีเป็นประโยชน์
ต่อพชื ได้มากในรอบของการปลกู พชื ที่จะตามมา ดว้ ยเหตุนี้ Total N จงึ เปน็ รายการคณุ สมบตั ขิ องดิน
ทางเคมีที่นิยมวิเคราะห์กันท่ัวไป N เป็นธาตุที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากธาตุอาหารท่ีจำเป็นต่อพืซ
อ่ืนๆ กล่าวคือเป็นธาตุท่ไี ม่ ปรากฏอยู่ในหินและแรท่ ่ีเป็นตน้ กำเนดิ ดิน Total N ในดินมคี วามหมาย
คลอบคลมุ N ท้ังในรปู inorganic Nitrogen เชน่ NH4+ NO3- และ NH2 (urea) รวมถงึ สารประกอบ
ของ organic nitrogen เช่นโปรตีน กรดอะมิโนและอนุพันธ์ แต่เน่ืองจากมากกว่า 95% ของ Total
N ในดินอยู่ในรูปของอินทรียวัตถุ N จะค่อยๆ ปลดปล่อยออกมาจากการสลายตัวของอินทรียวัตถุ
ระหวา่ งฤดูกาลเพาะปลูก ดังน้ันการจัดการให้ธาตุ N แก่พชื อาจพิจารณาให้ในปริมาณนอ้ ยลงได้เม่ือ
ดินมีระดับอนิ ทรียวัตถุสงู และเนอื่ งจากอินทรยี วัตถุเป็นแหล่งที่มาสำคญั ของ N ในดิน การวิเคราะห์
Total N ในดินจึงตอ้ งเปลี่ยนรปู จากอินทรยี ์ไนโตรเจนให้เป็นอนินทรยี ์ไนโตรเจนก่อน การวิเคราะห์
Total N โดยวิธี Kjeldahl เป็นวธิ ีท่ีนยิ มกันทว่ั ไป อนิ ทรีย์ไนโตรเจนในตัวอยา่ งดินจะถูกเปลยี่ นใหอ้ ยู่
ในรูป NH4+-N ภายใต้การทำปฏิกิริยากับ H2S04 เข้มข้นท่ีร้อนโดยมี catalyst ซ่ึงเป็นสารผสมท่ี
ประกอบดว้ ย K2SO4 (หรือ Na2SO4) มีคุณสมบตั ิช่วยยกระดับของจดุ เดอื ดใหส้ งู ขนึ้ จาก330OC ไปอยู่
ท่ี 360-390OC ส่วน CuSO4.5H2O และ Se ทำหน้าท่ีเร่งปฏิกริ ิยาโดยทำให้อินทรียวัตถุสลายเร็วขึ้น
NH4+-N ทอ่ี ยใู่ นสารละลายตัวอยา่ งที่ย่อยได้จะถกู นำมากล่นั กบั ด่างท่ีมากเกนิ พอและจะเปลีย่ นสภาพ
กลายเปน็ สารประกอบท่ีเปน็ ไอในรปู ของ NH3 จากนนั้ สามารถวิเคราะห์ปรมิ าณ NH3 ทีก่ ลั่นไดโ้ ดยใช้
เทคนิคการ titrate ค่าของ Total N ท่ีวิเคราะห์ได้มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) การประเมินระดับ
ไนโตรเจนทัง้ หมด ในดนิ แสดงดังตารางท่ี 6.10

ตารางท่ี 6.10 การประเมินระดบั ไนโตรเจนทง้ั หมดในดิน (Total N : วิธี Kjeldahl)

Total N (%) การประเมิน
< 0.1 ตำ่ มาก
0.1-0.2 ต่ำ
0.2-0.5 ปานกลาง
0.5-1.0 สูง
>1.0 สูงมาก

ทมี่ า: สำนกั วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ การพฒั นาทดี่ ิน (2547)

35

3.3.6 หลกั การวิเคราะห์ฟอสฟอรสั ทสี่ กดั ไดใ้ นดิน (สำนักวิทยาศาสตร์เพอ่ื การพัฒนา
ที่ดนิ , 2547)

ฟอสฟอรัส (P) เป็นธาตุอาหารพืชที่เป็นปัจจัยจำกัดการเจรญิ เติบโตของพืชที่เป็น
รองแตเ่ พียงไนโตรเจน เป็นธาตทุ มี่ ีปัญหาวิกฤตขาดแคลนทง้ั ในธรรมชาติและในระบบการเกษตรทั่ว
โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ปัญหาการขาด P ได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางและเป็นปัจจัย
สำคัญที่จำกัดผลผลติ พืชในดินที่สร้างตัวมานานของดินเขตร้อน ปัญหาของ P ท่ีสง่ ผลตอ่ ความอุดม
สมบรู ณ์ของดนิ มสี าเหตุสำคญั 3 ประการ ไดแ้ ก่

(1) P ทั้งหมดท่ีมอี ยู่ในดนิ มปี ริมาณตำ่
(2) สารประกอบของ P ที่พบในดินส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพืช
เนอ่ื งจากเป็นรปู ที่ไม่ละลาย
(3) แม้จะมีการให้ธาตุ P ในรูปที่ละลายได้ลงไปในดินจะมีปัญหาการถูกตรึง
(เปล่ียนไปอยู่ในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์) เกิดข้ึนตามมาอย่างรวดเร็วทำให้ P เปล่ียนไปอยู่ในรูปของ
สารประกอบที่ไม่ละลายในทสี่ ุด
ดว้ ยเหตผุ ลดงั กล่าวการรกั ษาระดบั P ในดนิ ใหพ้ อเพียงตอ่ ความตอ้ งการของพืชจึงมี
ความยากลำบากอนั เนื่องจากกลไกหลายๆ อย่างซึ่งอาจมผี ลทำให้ P ถกู ตรงึ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในดิน
กรดดังนั้น ความเปน็ กรดของดนิ จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึง่ ท่ีลดความประสทิ ธิภาพของการใช้
ปยุ๋ P ในพืชทป่ี ลกู ทงั้ นีใ้ นบรรดามหธาตุทงั้ หมดที่พบในดิน P จัดวา่ เปน็ ธาตุทพี่ บในรูปที่พรอ้ มจะเปน็
ประโยชน์ในปริมาณที่ต่ำสุด โดยท่ีพืชสามารถใช้ประโยชน์จากปุ๋ย phosphate ได้เพียง 10-30
เปอร์เซ็นต์เท่านน้ั ซ่ึงโดยทว่ั ไปแล้วพืชมีความต้องการ P ในปริมาณไม่สงู เท่ากับ Ca, Mg หรือ S แต่
เนื่องจากความเป็นประโยชน์ท่ีต่ำมากของ P ในดินจึงทำให้จำเป็นต้องให้ P แก่พืชในปริมาณที่
มากกว่า
P ในดินมีอยู่ทั้งในรูป inorganic-P และ organic-P โดยท่ีร้อยละ 30-50 ของ P
ทั้งหมดในดินจะอยู่ในรูป organic-P และด้วยเหตุท่ี P มีคุณสมบัติว่องไวในการทำปฏิกิริยาจึงไม่
สามารถพบ P ในรูปของธาตบุ ริสุทธ์ิในธรรมชาติ แตม่ ักจะพบในรูปสารประกอบกับธาตุอ่ืนๆ เสมอ
การตรึง P เป็นปัจจยั จำกัดการผลติ ที่สำคัญประการหน่ึงท่มี ีผลต่อความอุดมสมบรู ณ์ของดินเขตร้อน
ในดนิ สว่ นใหญ่ P ทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อพืชในสารละลายดนิ มักมีอยู่ในระดบั ทีต่ ่ำมาก ซ่ึงโดยทวั่ ไปมกั ไม่
เกิน 0.01% ของปริมาณ P ท้ังหมดในดิน ทำให้ปัญหาการขาด P เกิดข้ึนได้มากถึงประมาณ 70%
ของดนิ ในพ้ืนทีก่ ารเกษตร ธรรมชาตขิ อง P มีความเปน็ ประโยชนต์ ำ่ กเ็ น่อื งจาก P เปน็ ธาตทุ ม่ี แี นวโนม้
ทีจ่ ะเกิดเป็นสารประกอบที่ไม่ละลายกบั ธาตอุ น่ื ๆ ไดท้ ุกชว่ ง pH เป็นผลใหค้ วามเปน็ ประโยชน์ของ P
ถกู จำกัดอยา่ งรนุ แรงท้งั ในสภาพท่ีดินมีฤทธ์เิ ป็นกรดและด่างความสามารถในการละลายได้ของ P จะ

36

ขน้ึ อยู่กับ pH เป็นอย่างมาก เนื่องจาก PH มีอิทธิพลตอ่ ทัง้ รปู ของ P ที่ปรากฏและความเข้มข้นของ
ion ตกตะกอนดว้ ย โดยเมอื่ pH อยูใ่ นชว่ ง 3.5-4.5 P มักจะตกตะกอนกบั Fe เม่อื คา่ pH อยรู่ ะหว่าง
4.0-6.5 P จะทำปฏิกิริยากับ Al และเมอื่ ค่า pH สูงกว่า 7 พบว่า P มักจะทำปฏิกิริยากับ Ca หรือ
Mg ถูกตรงึ ให้อยู่รูปสารประกอบทีไ่ มเ่ ป็นประโยชน์ต่อพืซอกี ครงั้ หนึ่ง รูปของ P ท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
พืชที่สำคญั ได้แก่ H2PO4+ และ HPO42- โดยที่รูป H2PO4- พบมากในดินกรด สว่ น HPO42- พบมากใน
ดินที่มี pH สูงกว่า 7.2 ดินท่ีมี pH ท้ังในสภาพท่ีเป็นกรดและด่าง การตรึง P จากปุ๋ยท่ีใส่มากกว่า
95% ดินท่ีตรงึ P ได้มากกวา่ 350 mg P/kg ถือว่าเปน็ ดินทต่ี รงึ P ได้สูง ด้วยเหตทุ ี่ความเปน็ กรดของ
ดินส่งผลกระทบอยา่ งมากต่อการตรงึ P ดงั น้ันการปรับปรุง pH ของดินจึงเปน็ เคร่ืองมือสำคญั ในการ
จดั การด้านความเป็นประโยชน์ของ P ในดิน ท้งั น้ีในดินส่วนใหญ่ชว่ งของ pH ท่ี P เป็นประโยชนไ์ ด้
สงู สุดคอื 6-7 นอกจากน้ีการใชป้ ระโยชน์ OM เปน็ วัสดปุ รับปรุงดนิ มแี นวโน้มช่วยลดการตรึง P ในดนิ
ได้อีกด้วย เนื่องจากการย่อยสลาย OM จากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินมีการปลดปล่อย P ที่เป็น
ประโยชน์ ทัง้ นี้วัสดอุ ินทรยี ์ทม่ี ีปรมิ าณ P ทัง้ หมดมากกว่า 0.2% มีศกั ยภาพท่จี ะปลดปลอ่ ย P ออกมา
เปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื การตรงึ P ที่เกดิ ข้นึ กบั ปุ๋ย phosphate ท่ใี สย่ ังเป็นผลที่เกิดเนื่องจากวธิ ีการใส่
ปยุ๋ กล่าวคือการใส่ปุย๋ phosphate โดยวธิ ีการหว่านทำให้พนื้ ท่ีผิวการสัมผสั ระหว่างดินกับปยุ๋ มีมาก
ทส่ี ดุ ในขณะท่ีการใสป่ ุ๋ยเป็นแถบพื้นทีผ่ ิวการสมั ผัสมนี อ้ ยที่สุดซง่ึ จะชว่ ยทำใหก้ ารตรึง P เกดิ ขึ้นชา้ ลง
ดว้ ยเหตทุ ่ี P ถูกตรึงไดใ้ นเวลาอันรวดเร็วโดย ions ต่างๆ ดังกล่าว เปน็ ผลให้ความเป็นประโยชน์ของ
ปยุ๋ phosphate เล็กน้อย ซ่งึ โดยทัว่ ไปพืชสามารถนำไปใช้ได้ในปริมาณนอ้ ยกว่า 20% และเนื่องจาก
ปัญหาการตรงึ P ท่ีเกิดข้นึ อยา่ งรุนแรงทำให้ P เป็นธาตุท่ไี มเ่ คลื่อนย้ายในดิน ซงึ่ โดยทวั่ ไป P มักจะ
ยงั คงอยู่ในดินห่างจากจุดใส่ปุย๋ 1-2 นิ้ว ปรมิ าณ P เพียงเล็กน้อยเท่านัน้ ท่ีสญู หายจากดินโดยการชะ
ลา้ งลงส่นู ้ำใต้ดนิ ดังนัน้ การจัดการให้ P ในแตล่ ะฤดูการปลูกพชื จึงสามารถให้ในปริมาณท่ีพืชตอ้ งการ
ทั้งหมดได้ในครั้งเดียว การตรึง P เกิดขึ้นไดด้ ีในตัวกลางท่ีเป็นแร่ดินเหนียว และมี pH ทั้งต่ำและสูง
ความสำคญั ของการตรงึ P จะน้อยลงเมื่อตัวกลางเป็นดินทรายหรอื ดนิ อินทรยี ์และมี pH ใกล้ 6.5

วิธีท่ีใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณ P ที่เป็นประโยชน์ในดินนั้นได้มีการศึกษาและ
พฒั นาขึน้ มาใช้งานหลากหลายวิธี แตไ่ มม่ ีวธิ ีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะทส่ี ามารถใชไ้ ด้ครอบคลมุ กบั ดนิ ทุก
ชนดิ ซ่ึงวิธีการวิเคราะห์ P แตล่ ะวิธีที่นำไปใชง้ านข้ึนอยูก่ ับค่า pH ของดนิ เป็นสำคัญ ด้วยเหตผุ ลอัน
เนอื่ งมาจากความสามารถในการละลายไดข้ อง P ข้นึ อยกู่ ับค่า pH เป็นอยา่ งมากดงั นั้นการวิเคราะห์
ปริมาณ P ที่เป็นประโยชน์ในดินที่มี pH ต่ำกว่า 6.0 นิยมใช้วิธี Bray ส่วนดินท่ีมี pH สูงกว่า 6.0
โดยทัว่ ไปใช้วิธี Olsen ซง่ึ หากคา่ วเิ คราะห์ P ในดนิ มคี า่ มากวา่ 25 ppm เมือ่ ใชว้ ิธี Bray หรือมากกวา่
18 ppm เมื่อใช้วิธี Olsen การจัดการธาตุอาหารพืชก็สามารถพิจารณาให้ปุ๋ยท่ีไม่มีธาตุ P เป็น
ส่วนผสมได้ การวิเคราะห์ P ท่ีเป็นประโยชน์โดยวิธี Bray II เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการ
วิเคราะห์ดินกรดเพื่อใช้เป็นดัชนีบ่งช้ีความเป็นประโยชน์ของ P ในดิน รวมถึงประเทศไทย วิธีนี้
ตวั อย่างดินจะถูกสกัดด้วยน้ำยาสกัด Bray II ซึ่งเป็นสารละลายท่ีมีส่วนผสมระหว่าง 0.03 N NH4F

37

และ N HCI มคี า่ pH ประมาณ 2.6 คุณลกั ษณะเดน่ ของนำ้ ยาสกัด Bray II คือสามารถสกดั อนินทรีย์
ฟอสฟอรัสได้ดีทงั้ รูป Fe-phosphate, A-phosphate และ Ca-phosphate โดยสารละลายที่มฤี ทธ์ิ
เปน็ กรดอ่อนๆ ของนำ้ ยาสกัดมคี วามสามารถในการละลาย Ca-phosphate และ Al-phosphate ได้
เป็นส่วนใหญ่ และละลาย Fe-phosphate ได้บ้างเล็กน้อย ในขณะที่ F มีความสามารถรวมตัวเกิด
เป็นสารประกอบเชิงซอ้ นกบั AI และปอ้ งกันการดูดซับ P อกี คร้ังโดยออกไซดข์ อง Fe ด้วยคณุ สมบัติ
ของสารที่เป็นสว่ นผสมทั้งสองอย่างดงั กล่าวของนำ้ ยาสกดั จึงทำให้ P เป็นอสิ ระในสารละลายท่ีไดจ้ าก
การสกดั และสามารถตรวจวดั ปรมิ าณไดโ้ ดยวิธกี ารพฒั นาสที ี่เรียกว่าวธิ ี molybdenum blue ซ่งึ เป็น
วธิ ีการท่มี ีการตรวจวดั ที่มี sensitive สงู จึงนยิ มใช้กนั แพรห่ ลายในการวัดสารละลายที่สกดั ได้ซ่ึงมี P
ในปริมาณต่ำรวมถึงใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณ P ท้ังหมดใน วิธี molybdenum blue ที่นิยมใช้ใน
การพฒั นาสี P โดยทวั่ ไปคอื วธิ ี Murphy &Riley P จะทำปฏกิ ิรยิ ากบั ammonium molybdate ใน
สารละลายตัวกลางที่มีฤทธิ์เป็นกรดเกิดเป็น molybdophosphoric acid ซ่ึงจะถูก reduce โดย
ascobic acid ได้สารละลายสีฟา้ ความเขม้ ของสีได้จะแปรผนั ตามปรมิ าณ P ในสารละลายตัวอย่าง
ซงึ่ สามารถตรวจวัดได้ดว้ ย spectrophotometer ค่า Extr. P ที่วิเคราะห์ได้มีหน่วยเป็น ppm หรือ
mg/kg (หน่วยทงั้ สองมีค่าเทา่ กัน) การประเมินระดบั ฟอสฟอรสั ทส่ี กัดไดใ้ นดนิ แสดงได้ดงั ตารางท่ี 6.11

ตารางที่ 6.11 การประเมินระดบั ฟอสฟอรสั ทีส่ กัดได้ในดนิ (Extractable P: Extrt. P : วิธี Bray II)

ฟอสฟอรัสทส่ี กดั ได้ในดิน (ppm) การประเมิน
<3 ต่ำมาก
3-6 ตำ่
6-10
10-15 ค่อนขา้ งต่ำ
15-25 ปานกลาง
25-45 คอ่ นขา้ งสงู
>45
สูง
สูงมาก

ท่มี า: สำนักวทิ ยาศาสตร์เพื่อการพฒั นาท่ดี นิ (2547)

3.3.7 หลักการวเิ คราะห์โพแทสเซยี มท่ีแลกเปลย่ี นไดใ้ นดนิ
โพแทสซียม (K) เป็นธาตุอาหารพืชที่เป็นปัจจัยจำกัดการเจริญเติบโตของพืชเป็น

ลำดบั ที่สามรองจากไนโตรเจน (N) และฟอสฟอรัส (P) K จึงมีความสำคัญเป็นลำดับที่สามในแงข่ อง

38

ปรมิ าณความตอ้ งการใช้เปน็ ปุ๋ยรองจาก N และ P ดว้ ยเชน่ กนั ในอตุ สาหกรรมการผลติ ปุย๋ มกั จะเรียก
K ว่า potash ธรรมชาติของ K เป็นธาตุอาหารพืชที่โดยท่ัวไปมีอยู่อย่างเหลือเฟือในดิน โดยเป็น
องคป์ ระกอบของเปลอื กโลกประมาณ 2.5% ดว้ ยเหตนุ ้ีโดยทั่วไป K จงึ มีความเป็นประโยชนใ์ นระดับ
ที่เพียงพอในดินหลาย ๆ ชนิดท่ัวโลก ส่วนใหญ่จะมี K ในปริมาณมากกว่า N และ P เป็นอย่างมาก
ซ่ึงโดยท่ัวไปค่าวิเคราะห์ K ที่แลกเปลี่ยนได้ในดินโดยวิธี ammonium acetate มีค่าสูงเกิน 200
ppm พืชมักจะไม่ตอบสนองต่อการให้ปุ๋ย K ดนิ ท่ัวไปมี K เป็นองค์ประกอบมากกวา่ N และ P ทั้งนี้
เนอื่ งจากหนิ และแรห่ ลายชนดิ ท่ีเป็นวัตถุต้นกำเนิดดินจะมธี าตุ K เปน็ องค์ประกอบอยู่ด้วย อยา่ งไรก็
ตามยังคงพบว่า K เป็นธาตุท่ีมีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินอันเน่ืองมาจาก
สาเหตุท่ีสำคัญ3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ส่วนใหญ่อย่ใู นรูปท่ีไม่เป็นประโยชน์ต่อพชื 2. สูญเสียจากการชะ
ล้าง และ3. พชื มีการดดู ไปใช้ในปรมิ าณทสี่ ูง เป็นผลใหป้ ริมาณ K ท่เี ป็นประโยชนใ์ นดินมีเพียง 1-2%
ของ K ท้ังหมดในดนิ การแขง่ ขันกันระหวา่ งธาตปุ ระจบุ วโดยทั่วไปจะไม่มปี ัญหาหากดนิ มี K มากกว่า
3% ของธาตุประจุบวกที่แลกเปลี่ยนท่ีได้ ในขณะท่ีหากมี K น้อยกว่า 2% ของธาตุประจุบวกที่
แลกเปลยี่ นท่ีได้อาจมีข้อจำกัดด้านความเป็นประโยชน์ แม้ว่าจะมีที่แลกเปลี่ยนได้ในระดับสูงก็ตาม
สภาวะทด่ี ินมักมปี ัญหาการขาด K ไดแ้ ก่ ดินทรายเนือ่ งจาก K เปน็ ธาตุที่พร้อมจะถกู ชะลา้ งโดยเฉพาะ
อยา่ งย่งิ ในสภาวะของดินเนื้อหยาบ ภายใตส้ ภาวะธรรมชาตดิ ินในเขตรอ้ นข้ืนมักมรี ะดบั อง K ต่ำกว่า
ดินในเขตแห้งแล้งหรือกึ่งแห้งด้วยเหตุผลของสภาพดินฟ้าอากาศและการเพาะปลูกอย่างเขม้ ข้น ใน
การจัดการธาตุอาหารพืชน้ันการทราบขอ้ มูลระดับของ K ทเ่ี ป็นประโยชน์ในดินมคี วามสำคัญต่อการ
ตัดสินใจใช้ปุ๋ยหรือการให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยเพ่ือให้ธาตุ K แก่พืชที่ปลูกได้อย่างเหมาะสมและมี
ประสทิ ธภิ าพ

วิธีการวเิ คราะห์ปริมาณ K ทีเ่ ป็นประโยชน์ในดนิ ที่อยใู่ นเขตพ้ืนท่ีแหง้ แล้งและมภี ูมิอากาศก่ึง
ร้อนช้ืนส่วนใหญ่จะใช้สารละลาย ammonium acetate ท่ีเป็นกลาง (1 N NH4OAC pH 7) เป็น
น้ำยาสกัด วิธีการน้ีใช้สารละลายเกลือท่ีเป็นกลางไปแทนที่ cation ท่ีปรากฏอยู่บนตำแหน่งที่
แลกเปล่ียนท่ีได้ของอนุภาคดิน ดังนั้นความเข้มชันของ cation ที่ตรวจวัดได้โดยวิธีน้ีจึงหมายถึง
cation ท่ีแลกเปล่ียนท่ีได้ ("exchangeable" cation) รายงานผลวเิ คราะห์เปน็ Exch.K ซ่ึงสามารถ
ตรวจวัดได้โดยการใช้ท้ัง flame photometer และ atomic absorption spectrophotometer
คา่ ของExch. K ที่วิเคราะห์ไดม้ ีหนว่ ยเป็นมหี น่วยเปน็ ppm หรือ mg/kg (หน่วยทั้งสองมีค่าเท่ากัน)
การประเมนิ ระดับ Exch. K แสดงดงั ตารางที่ 6.12

39

ตารางท่ี 6.12 การประเมนิ ระดบั โพแทสเซยี มท่แี ลกเปลีย่ นไดใ้ นดนิ (Exchange K: Exch. K วธิ ี
NH4OAc pH 7)

โพแทสเซียมทีแ่ ลกเปลย่ี นได้ในดนิ (ppm) การประเมนิ
< 30 ต่ำมาก
30-60 ต่ำ
60-90 ปานกลาง
90-120 สูง
> 120 สูงมาก

ทม่ี า: สำนักวิทยาศาสตรเ์ พอื่ การพัฒนาทดี่ ิน (2547)

ระดบั ความอดุ มสมบูรณ์ของดินเป็นปัจจัยการผลิตท่มี ีผลต่อการตดั สนิ ใจเลือกใชท้ ั้งชนดิ และ
ปรมิ าณการใชป้ ุ๋ยเคมี การวเิ คราะห์ดินเป็นวิธีการที่นยิ มใช้กนั ทั่วไปในการประเมินความอดุ มสมบรู ณ์
ของดิน ข้อมูลที่ได้จากวธิ ีวิเคราะห์ที่เป็นที่ยอมรับสามารถใช้ประโยชน์ในการวางแผนการปลูกพืช
ตลอดจนใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาจัดการดินเพื่อเพิ่มศักยภาพของดินในการให้ผลผลิตไดอ้ ย่างมี
ประสิทธภิ าพ อย่างไรก็ตามข้อมูลผลวิเคราะห์ดินท่ไี ด้จะสามารถใช้เป็นตัวแทนในการประเมินความ
อดุ มสมบูรณข์ องดนิ ได้เป็นอย่างดีก็ต่อเมื่อตัวอย่างดินทีน่ ำมาทำการวิเคราะหน์ ั้นเป็นตัวแทนที่ดีของ
แต่ละพื้นที่ และเน่ืองจากวธิ ีการวเิ คราะห์ตัวอยา่ งดินท่ีห้องปฏิบัติการแต่ละแห่งใช้อาจแตกต่างกัน
ดงั น้ันการส่งตัวอย่างดินเพื่อใช้บริการตรวจสอบระดับความอุดมสมบูรณ์จึงควรส่งตัวอยา่ งดินไปยัง
ห้องปฏิบัติการที่ตั้งอยู่ในเขตพ้ืนท่ีใกล้เคียงกับพ้ืนท่ีท่ีต้องการตรวจสอบคุณสมบัติของดิน ทั้งนี้
เนื่องจากห้องปฏิบตั ิการแต่ละแห่งมแี นวโนม้ ที่จะใช้วธิ กี ารวิเคราะหด์ ินท่ีเหมาะสมกับคุณสมบัติของ
ดินในเขตพน้ื ท่ีน้นั ๆ รวมทั้งมแี นวโน้มทีจ่ ะมีขอ้ มลู ผลวเิ คราะห์ ทีม่ ีความสมั พันธ์กบั การตอบสนองของ
พชื ทปี่ ลกู บนดินทมี คี ุณสมบตั คิ ล้ายคลงึ กัน

สรปุ

ความอดุ มสมบูรณ์ของดินหมายถึง ศักยภาพของดินในการปลดปลอ่ ยธาตอุ าหารท่ีอยใู่ น
รปู ท่พี ืชสามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ดม้ ีปริมาณทีพ่ อเพียงและสมดลุ อันจะช่วยให้พชื มกี ารเจรญิ เตบิ โต
และให้ผลผลติ ทดี่ ี ส่วนสถานภาพความอุดมสมบรู ณข์ องดิน พบวา่ ภาคเหนือมคี วามอุดมสมบูรณ์ของ
ดินส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 70.43 ของจำนวนข้อมูลท้ังหมดในภาค
รองลงมาคือพ้ืนท่ที ี่มีความอุดมสมบูรณร์ ะดบั ตำ่ ร้อยละ 25.10 และมีบางพ้ืนท่ีท่มี คี วามอดุ มสมบูรณ์

40

ในระดับสูงร้อยละ 4.47 ภาคกลางมีความอดุ มสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยใู่ นระดบั ปานกลางคิดเป็น
ร้อยล ะ 58.95 รอ งลงม าคือความ อุด มส ม บู รณ์ ใน ระดับ สูงคิด เป็ น ร้อ ยละ 29.86 ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือมีความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำคิดเป็นรอ้ ยละ 71.53 ของ
จำนวนขอ้ มูลท้ังหมดในภาค ภาคตะวันออกมีความอุดมสมบูรณ์ของดนิ อยู่ในระดับปานกลางคดิ เป็น
ร้อยละ 47.95 และความอุดมสมบูรณ์ในระดับสูงร้อยละ 4.40 และความอุดมสมบูรณ์ของดินอยู่ใน
ระดับต่ำคิดเป็นร้อยละ 47.66 ภาคใต้สว่ นใหญม่ ีความอดุ มสมบรู ณ์ในระดับตำ่ คิดเปน็ ร้อยละ 67.28
ของจำนวนข้อมลู ทงั้ หมดในภาค และมพี ้ืนทบ่ี างส่วนเปน็ ดินที่ความอุดมสมบรู ณอ์ ยู่ในระดับปานกลาง
และระดบั สูงคดิ เป็นร้อยละ 32.09 และ ร้อยละ 0.63 ตามลำดับ ปัญหาทรพั ยากรดนิ ในประเทศไทย
จำแนกตามสาเหตขุ องการเกดิ ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ดินปญั หาทีเ่ กดิ ตามสภาพธรรมชาติ และดิน
ปัญหาท่ีเกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยปัญหาของดินทางการเกษตร จำแนกได้เป็น 1) ปัญหา
ทางด้านกายภาพของดินที่เกิดจาก (1) การปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่บำรุงดิน (2) การ
ปลูกพชื ทำลายดิน (3) ธาตอุ าหารพชื ถูกทำลาย หรืออยูใ่ นสภาพท่ีพืชใช้ประโยชน์นอ้ ย 2) ดนิ มปี ญั หา
พิเศษไมเ่ หมาะสมตอ่ การใช้ประโยชน์ ใช้ปลกู พชื ไดไ้ มด่ หี รอื ปลกู ไม่ได้ อนั เกิดจาก (1) ดินทรายจดั (2) ดนิ
ต้ืน(3) ดินเค็ม(4) ดินเป็นกรดจัดหรอื ดินเปรี้ยว (5) ดินอนิ ทรีย์ หรอื ดินพรุ (6) ดินที่ลาดชันมาก (7)
ดนิ ทชี่ ุ่มนำ้ หรือท่ีล่มุ น้ำขัง และ (8) ดนิ เป็นพษิ 3) สภาพภมู ิอากาศไมอ่ ำนวย เนื่องจากการเพาะปลูก
ส่วนใหญใ่ นประเทศไทยยังอาศัยนำ้ ฝนธรรมชาติเป็นหลัก และ 4) การชะล้างพงั ทลายของดิน ซงึ่ ทำให้
ดินเสื่อมโทรมรุนแรงท่ีสุด ดังนั้น การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินจึงเป็นการจัดการเบ้ืองต้น
เพอ่ื ให้ได้ซ่ึงขอ้ มูลสำหรับการปรับปรุงคุณภาพของดินเพ่ือการเกษตร โดยจะต้องอาศัยหลกั การและ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เข้ามาจัดการตั้งแต่การเก็บตวั อย่างดินเพื่อนำไปวิเคราะห์ ได้แก่ การ
วิเคราะห์ค่า pH ปรมิ าณแอมโมเนียม ไนเตรต ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ตลอดจนการวิเคราะห์
ปริมาณอินทรียวตั ถุ เพ่อื ใหพ้ ืชท่ปี ลกู เจรญิ เตบิ โตดี และใหผ้ ลผลติ ตรงความต้องการของตลาดต่อไป

41

เอกสารอา้ งองิ

กรมพฒั นาทดี่ ิน. มปป. วธิ ีการเก็บตัวอย่างดนิ / ปุย๋ หมกั . [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก https://www.
ldd.go.th/web_Soilanaly/exdin.html [12 มกราคม 2562].

กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 2563. การจดั การดนิ และปยุ๋ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ. chrome-extension:
//efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https://esc.doae.go.th/wp-content/uploads
/2021/03/ebook2-2563-2.pdf

กองวจิ ัยและพฒั นาการจดั การท่ีดิน. มปป. ข้อมลู การจัดการดนิ . [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก https:
//www.ldd.go.th/Web_Soil/Page_02.htm [12 มกราคม 2562].

คณาจารย์ภาควิชาปฐพวี ทิ ยา. 2548. ปฐพวี ทิ ยาเบื้องตน้ . กรงุ เทพมหานคร: หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
พชั รี ธรี จนิ ดาขจร. 2549. หลกั และวิธกี ารวิเคราะห์ดนิ ทางเคมี. ขอนแก่น : ภาควิชาทรัพยากร

ท่ีดนิ และส่ิงแวดลอ้ ม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .
ยงยุทธ โอสถสภา. 2543. ธาตุอาหารพืช. กรุงเทพมหานคร: ภาควชิ าปฐพวี ทิ ยา คณะเกษตรศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สารานกุ รมไทยในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว. 2552. ความสำคญั ของทรัพยากรดนิ . [ออนไลน์]

เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.hii.or.th/wiki84/index.php?title=ความสำคัญของทรัพยากรดนิ
[12 มกราคม 2562].
สำนกั วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ การพฒั นาทดี่ ิน. 2547. คู่มือการวิเคราะห์ตัวอย่างดิน นำ้ ปยุ๋ พชื วัสดุ
ปรับปรุงดิน และการวเิ คราะหเ์ พ่ือตรวจรับรองมาตรฐานสินค้า เลม่ 1. กรุงเทพมหานคร:
กรมพฒั นาที่ดิน.
อรวรรณ ฉัตรสรี ุง้ . 2551. ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ . เชยี งใหม่ : หนว่ ยพิมพแ์ ละผลติ เอกสาร
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่
Havlin, J.L., J.D. Beaton, S.L. Tisdale and W.L. Nelson. 2005. Soil Fertility and Fertilizers:
An Introduction to Nutrient Management. 7th edition. Upper Saddle River,
NJ.; Prince-Hall Inc.


Click to View FlipBook Version