วัด
ประจำ
รัชกาล
จัดทำโดย
นาย เอกราช วัดเมือง
ม.๔/๓ เลขที่๘
วัดประจำรัชกาลที่๑
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นวัดสำคัญ
แห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช และเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย
เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง นอกจากนี้ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน
เป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551 อีกด้วย
มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราช ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า มีวัดเก่าขนาบ
พระบรมมหาราชวัง 2 วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) ด้านใต้คือ วัด
โพธาราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่อำนวยการ
บูรณะปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2331 ใช้เวลา 7 ปี 5 เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ
และโปรดฯ ให้มีการฉลองเมื่อ พ.ศ. 2344 พระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระเชตุพนวิ
มลมังคลาวาศนอกจากนี้ที่ใต้พระแท่นประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธาน
ในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย ต่อมา รัชกาลที่ 4 ได้
โปรดฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม”
วัดประจำรัชกาลที่๒
วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณ จากหลักฐานเชื่อว่าสร้าง
ในสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอกนอก ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4
โปรดเกล้าให้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 2 มาบรรจุที่พุทธอาสน์
ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในอุโบสถวัดอรุณฯ ได้รับการ
บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงโปรดให้สร้างพระอุโบสถและพระวิหารต่อจนแล้ว
เสร็จ พร้อมทั้งทรงปั้นหุ่นพระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และโปรดให้
หล่อขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า
วัดอรุณราชธาราม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการก่อสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่ง
มีความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร แต่มาเสร็จสมบูรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้
เปลี่ยนชื่อเป็น"วัดอรุณราชวราราม"
วัดประจำรัชกาลที่๓
วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัด
ทัพพม่าที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ ใน พ.ศ.2363 เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึง วัดจอมทอง
ฝั่งธนบุรีทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงครามพร้อมทรง
อธิษฐานขอให้การไปราชการทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้า
มาเมื่อยกทัพกลับ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์
วัดจอมทองใหม่ และถวายเป็นพระอารามหลวงแด่รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นผู้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานนามใหม่ว่า วัดราชโอรส ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกสั้นๆจากชื่อเต็มว่า วัดราช
โอรสารามราชวรวิหาร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชโอรสซึ่งเป็นผู้บูรณะ
วัดประจำรัชกาลที่๔
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
ตั้งอยู่ข้างสวนสราญรมย์ เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละ
ทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2507 เพื่อเป็นวัดธรรมยุตินิกาย เพื่อให้เจ้า
นายและข้าราชการทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ได้บำเพ็ญกุศลกันได้สะดวกขึ้น เนื่องจาก
ตั้งอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวังและทรงพระราชทานนามว่าวัดราชประดิษฐ์สถิตธรรม
ยุติการาม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
วัดประจำรัชกาลที่๕,๗
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
คำว่า ราชบพิธ หมายถึง พระราชาทรงสร้าง ซึ่งก็คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับพระอัครมเหสีพระราชเทวี และเจ้า
จอมพระสนมเอกของพระองค์ ส่วนสถิตมหาสีมาราม ก็คือเป็นวัดที่ประดิษฐานเสมา
ขนาดใหญ่ เพราะตามปกติแล้วเสาของวัดโดยทั่วไปจะอยู่ตามมุมหรือติดอยู่กับ
ตัวพระอุโบสถ แต่เสมาของวัดนี้ตั้งอยู่บนกำแพงรอบวัดถึง 8 ด้าน จึงเป็นการขยาย
เขตทำสังฆกรรมของสงฆ์ให้กว้างขึ้นวัดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็ฯวัดประจำรัชกาล
ที่๕เท่านั้นแต่ยังเป็นวัดประจำรัชก่าลที่๗ด้วย เพราะในสมัยของรัชกาลที่๗มิได้มีการ
สร้างวัดแต่ท่านก็ได้รับพระราชภาระในกา่รทำนุบำรุงและบูรณปฎิสังขรณ์วัดราช
บพิตรนี้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นวัดประจำพระองค์ด้วยเช่นกัน
วัดประจำรัชกาลที่๖,๙
วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร
วัดบวรนิเวศราชวิหาร วัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9)
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ไม่ได้มีการสร้างวัดประจำพระองค์ตามธรรมเนียมเดิม วัดประจำรัชกาลจะใช้เกณฑ์เลือก จากวัด
ที่พระมหากษัตริย์ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยยึดเอาที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารเป็นสำคัญ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งสองพระองค์ทรง
ผนวช ณ วัดบวร อีกทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคารที่ใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระ
อุโบสถวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร สวยงามมากๆเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมจีน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์, สิ่งปลูกสร้างสำคัญๆ, รวม
〰️ถึงเรื่องราวต่างๆอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างเล็กน้อยที่ห้ามพลาด หากไปไหว้พระที่วัดบวร
พระอุโบสถ ภายในมีพระประธานสององค์ องค์ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังคือ พระสุวรรณเขต เป็นพระประธานองค์แรก
〰️องค์ด้านหน้าคือ พระพุทธชินสีห์ ใต้ฐานบรรจุพระราชสรีรางคาร
พระมหาเจดีย์ เจดีย์สีทองเด่นสง่าภายในบรรจุพระบรมสรีริกธาตุ มีเทวรูปประจำทั้ง 6 ทิศ รอบพระเจดีย์ยังมี พระ
〰️ไพรีพินาศ อยู่ชั้นสองด้านทิศเหนือ
พระวิหารพระศาสดา ห้องหน้าประดิษฐานพระศาสดา พระพุทธรูปอีกองค์ที่อัญเชิญมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
จังหวัดพิษณุโลก ห้องด้านหลังประดิษฐานพระพุทธไสยา
〰️พระพุทธชินสีห์จำลองในพระวิหารเก๋ง เป็นที่บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระญาณสังวร
〰️หลวงพ่อดำ ในพระวิหารเก๋งอีกข้าง เป็นที่เล่าขานว่าเซียมซีที่นี่แม่นมาก เคยได้กับตัวเองครั้งนึงต้องมาแก้บนด้วย
〰️กาแฟดำ
โพธิฆระ ฐานต้นพระศรีมหาโพธิ กราบไหว้พระพุทธรูปศิลาแลง แต่เดิมแตกหักเป็นชิ้นเล็กๆกระจายในที่ต่างๆ
มีผู้เก็บมาถวายสมเด็จพระญาณสังวร ทีละชิ้นจนประกอบเป็นองค์พระสมบูรณ์สวยงาม
วัดประจำรัชกาลที่๘
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรวิหาร วัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
มหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8)
การสร้างวัดประจำพระองค์มีถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) หลังจากนั้นจะใช้เกณฑ์เลือกวัดประจำรัชกาล จากวัดที่พระมหากษัตริย์
ทรงมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยยึดเอาที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารเป็นสำคัญ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารพระ
บาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มายังวัดสุทัศนเทพวราราม มาบรรจุที่ผ้า
ทิพย์หน้าพระพุทธบัลลังก์ พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวง และมี
พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี
วัดสุทัศน์กว้างใหญ่และสวยงาม ตอนนี้ในส่วนภายนอกพระวิหารได้มีการปรับปรุง
บูรณะอยู่ แต่ยังสามารถเข้าไปกราบไหว้พระประธานได้ มีการจัดสวนรอบๆด้านนอก
พระวิหารให้สวยงาม และยังมีเสาชิงช้า สิ่งก่อสร้างที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ
กรุงเทพฯ ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณหน้าวัด หากมาเที่ยววัดสุทัศน์ไหว้พระแล้ว ยังได้
กราบไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ด้วย
วัดประจำรัชกาลที่๑๐
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร หรือ วัดทุ่งสาธิต วัดประจำรัชกาลที่ ๑๐ ตั้งอยู่ แขวงบางจาก เขต
พระโขนง กรุงเทพฯ สร้างขึ้นประมาณพุทธศักราช ๒๓๙๙ โดยคหบดีชาวลาวชื่อ นายวันดี ที่
อพยพมาจากเวียงจันทน์ แต่เมื่อคหบดีท่านนี้ถึงแก่กรรม รวมถึงเจ้าอาวาสรูปสุดท้ายมรณภาพ
ทำให้ไม่มีใครสืบสานต่อจนกลายเป็นวัดร้าง
ต่อมา พระอาจารย์สาธิต ฐานวโร (หลวงพ่อศรีนวล) ได้รับการนิมนต์มาบูรณะวัดทุ่งสาธิต ท่าน
ก็ได้ไปเรียนปรึกษาหารือผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้ง เจ้าคณะจังหวัดพระนคร เจ้าคณะอำเภอ
พระโขนง รวมถึงฝ่ายฆราวาส เลขานุการกรมศาสนา รองอธิบดีกรมศาสนา ซึ่งได้รับการสนับสนุน
ด้วยดี และในที่สุดมหาเถรสมาคมได้อนุมัติให้ทำการบูรณะวัดทุ่งสาธิตขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖ และกระทรวงศึกษาธิการได้มีการประกาศตั้งวัดทุ่งเป็นวัด
สมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖ จากวัดร้างกลางทุ่ง มีแต่กองอิฐ กองปูน ซาก
ปรักหักพัง ภายในเวลา ๒ ปี กลับกลายเป็นวัดที่สวยงาม สงบ ร่มรื่น ทำให้เป็นที่เคารพและ
เลื่อมใสของชาวพระโขนงเป็นอย่างมาก
ด้วย พระอาจารย์สาธิต ฐานวโร มีใจเคารพใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย
เดช
บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก และเพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดี ท่านจึง
ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายวัดทุ่งสาธิต แด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลง
กรณ
(พระยศรัชกาลที่ ๑๐ ในขณะนั้น) และเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๘ รัชกาลที่ ๙ ทรง
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ทรงรับวัดทุ่งสาธิตไว้ในพระอุปถัมภ์
พร้อมได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร”