บุคคลสำคัญนาฏศิลป์ไทย จัดทำโดย นางสาววรรณวิษา แดงพิพัฒน์ เลขที่9
5/10
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
สมเด็จพระบวรราชเจ้า
มหาเสนานุรักษ์
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ราชวงศ์จักรี
พระราชบิดา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระราชมารดา
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
พระราชสมภพ
29 มีนาคม พ.ศ. 2316[1]
สวรรคต
16 กรกฎาคม พ.ศ. 2360 (44 พรรษา)
พระราชประวัติ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เป็น
พระราชโอรสลำดับที 7 ในพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี หลังพระราช
พิธีปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. 2325 พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช
โปรดให้สถาปนาเป็ นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ ากรมขุนเสนานุรักษ์ ถึงปี พ.ศ. 2346
จึงเลื่ อนเป็ นกรมหลวงเสนานุรักษ์
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ า
จุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.
2352 กรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้รับ
ราชาภิเษกเป็ นพระบาทสมเด็จพระบรม
ราชาธิราชรามาธิบดี (ภายหลังได้รับเฉลิม
พระนามเป็ นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัย) จึงโปรดเกล้าฯ ให้อุป
ราชาภิเษกเจ้าฟ้ ากรมหลวงเสนานุรักษ์เป็นก
รมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งพระ
มหาอุปราชสืบแทนในวันที่ 22 กันยายน
พ.ศ. 2352 ไปประทับที่พระราชวังบวรสถาน
มงคล (วังหน้ า)
พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน
พระบรมเชษฐาหลายประการ อาทิ ทรงจะ
ตรวจข้อราชการจากเสนาบดีกรม กองต่างๆ
ก็ที่จะเข้าเฝ้ าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ณ พระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมานก่อนทุกครั้ง
พระราชประวัติ
ในรัชกาลที่ 1 ย้อนไปสมัยพระเจ้าปดุงทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้ าจุฬาโลกมหาราชทรงพระชรามาก และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
เสด็จสวรรคตแล้ว จึงคิดจะขยายอำนาจเข้ามาเขตสยามประเทศ พระเจ้าปดุงจึงให้
อะเติงหวุ่นเป็ นแม่ทัพลงมาเกณฑ์พลที่เมืองเมาะตะมะเตรียมตีไทยเป็ นการใหญ่
การเตรียมไม่ได้ผลสมคาดจึงได้ระงับการมาตีไทยไว้ก่อนกอปรกับกรุงรัตนโกสินทร์
ผลัดแผ่นดิน จากนั้นพม่าจึงคิดมาตีหัวเมืองชายทะเลอีกครั้ง การมาตีสยามครั้งนี้อะ
เติงหวุ่นไม่ได้มาเองเพียงแต่จัดทัพให้ทัพบกเข้าตีเมืองชุมพรและเมืองไชยา ทัพเรือ
ตีเมืองตะกั่วป่าและเมืองตะกั่วทุ่งแล้วเข้าล้อมเมืองถลาง 27 วัน จึงเข้าตีเมืองถลาง
ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพยกไปทางกาญจนบุรีเพื่อ
สกัดทัพพม่า แต่การข่าวการศึกแจ้งมาภายหลังว่าทัพพม่ามิได้เข้ามาทางกาญจนบุรี
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงยกทัพลงไปบัญชาศึกที่ทางใต้แทนจนทัพกรุง
รัตนโกสินทร์ตีทัพพม่าแตกพ่ายกลับไปหมด ผลของการสงครามคือกรุง
รัตนโกสินทร์ได้เมืองถลางคืนมา แต่ยับเยินเพราะถูกพม่าเผา นับเป็นการสงคราม
ระหว่างไทยและพม่าครั้งสุดท้ายในสมัยพระเจ้าปดุง
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงจัดการกับหัวเมืองทางใต้ใหม่คือเมือง พังงา
เมื่อ พ.ศ. 2352 ต่อมาใน พ.ศ. 2357 ทรงเป็นแม่กองตั้งเมืองใหม่เป็นเมืองด่าน
หน้ าทางทะเล พระราชทานชื่อว่า นครเขื่อนขันธ์ นอกจากนั้นยังทรงปฏิสังขรณ์วัด
เก่า 2 วัด คือ วัดลิงขบ พระราชทานชื่อว่าวัดบวรมงคล และวัดเสาประโคน
พระราชทานชื่อว่าวัดดุสิดารามวรวิหาร และทรงสร้างวัดใหม่ชื่อว่าวัดทรงธรรม
พระราชประวัติ
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงจัดการกับหัวเมืองทางใต้ใหม่คือเมือง พังงา
เมื่อ พ.ศ. 2352 ต่อมาใน พ.ศ. 2357 ทรงเป็นแม่กองตั้งเมืองใหม่เป็นเมืองด่าน
หน้ าทางทะเล พระราชทานชื่อว่า นครเขื่อนขันธ์ นอกจากนั้นยังทรงปฏิสังขรณ์วัด
เก่า 2 วัด คือ วัดลิงขบ พระราชทานชื่อว่าวัดบวรมงคล และวัดเสาประโคน
พระราชทานชื่อว่าวัดดุสิดารามวรวิหาร และทรงสร้างวัดใหม่ชื่อว่าวัดทรงธรรม
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงอภิเษกกับพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2360 ขณะพระชนมายุ 44
พรรษา ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ ในหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน
พระโกศทองใหญ่ทรงพระบรมศพประดิษฐานพระบรมศพไว้ ณ พระที่นั่งพุทไธสวร
รย์ พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง ในวันพุธที่ 22 เมษายน
พ.ศ. 2361 หลังจากงานพระบรมศพแล้วพระบรมอัฐิถูกอัญเชิญไปประดิษฐานพระ
บุษบกทรงปราสาทเคียงข้างพระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ณ
พระที่นั่งวายุสถานอมเรศและถูกอัญเชิญมาประดิษฐานอีกครั้งที่หอพระนาคใน
พระบรมมหาราชวัง และพระบรมอัฐิบางส่วนถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ท้ายจระนำ
วัดชนะสงคราม หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่ได้ทรงแต่ง
ตั้งผู้ใดเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกเลยตลอดรัชกาล ตำแหน่งวังหน้ าจึง
ว่างลงนับแต่บัดนั้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนามใหม่ว่ากรมพระราชวัง
บวรมหาเสนานุรักษ์ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้
เปลี่ยนคำนำพระนามจาก “กรมพระราชวังบวร” เป็น “สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
เสนานุรักษ์”
ประสูติก่อนอุปราชาภิเษก
พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2334) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา
สำลี พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าตากสิน สิ้นพระชนม์ใน
รัชกาลที่ 1
พระองค์เจ้าชายประยงค์ (พ.ศ. 2334—2400) ประสูติ
แต่เจ้าจอมมารดาน่วม ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรม
เป็ นกรมหมื่นธิเบศร์บวร ในรัชกาลที่ 2 เป็ น กรมขุนธิเบ
ศร์บวร ในรัชกาลที่ 4 ทรงเป็ นต้นสกุล บรรยงกะเสนา
พระองค์เจ้าหญิงประชุมวงศ์ (พ.ศ. 2337) ประสูติแต่เจ้า
จอมมารดาสำลี สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4
พระองค์เจ้าชายปาน (พ.ศ. 2337) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาน่วม ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็ น กรมหมื่น
อมรมนตรี ในรัชกาลที่ 3 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4
พระองค์เจ้าหญิงนัดดา (พ.ศ. 2339) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาสำลี สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4
พระองค์เจ้าหญิงขนิษฐา (พ.ศ. 2341—2419) ประสูติแต่
เจ้าจอมมารดาน่ วม
พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2342) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา
น่วม สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2
พระองค์เจ้าชายพงศ์อิศเรศ (พ.ศ. 2343—2417) ประสูติ
แต่เจ้าจอมมารดาสำลี ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็ น
กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช เมื่อ พ.ศ. 2405 ในรัชกาลที่
4 ทรงเป็ นต้นสกุล อิศรเสนา
พระองค์เจ้าหญิงสุวรรณ (พ.ศ. 2344) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาก้อนทอง สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3
พระองค์เจ้าชายไม้เทศ (พ.ศ. 2345) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาเหมใหญ่ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2
พระองค์เจ้าชายภุมริน (พ.ศ. 2345) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาทรัพย์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 ทรงเป็ นต้นสกุล
ภุมรินทร์
พระองค์เจ้าหญิงอำพัน (พ.ศ. 2346-2424) ประสูติแต่
เจ้าจอมมารดาปิ่ น
พระองค์เจ้าชายภุมเรศ (พ.ศ. 2346) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาทรัพย์ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็ น กรมหมื่น
อมเรศรัศมี ในรัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4
พระองค์เจ้าหญิงนฤมล (พ.ศ. 2347) ประสูติแต่เจ้าจอม
มารดาสำลี สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3
ประสูติเมื่ ออุปราชาภิเษกแล้ว
พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์
พระองค์เจ้าชายแฝด (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทรัพย์
พระองค์เจ้าหญิงแฝด (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทรัพย์
พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา สิ้นพระชนม์ใน
รัชกาลที่ 2
พระองค์เจ้าหญิงปทุเมศ (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเยี่ยม
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5
พระองค์เจ้าหญิงเกสร (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาปิ่ น สิ้นพระชนม์ใน
รัชกาลที่ 2
พระองค์เจ้าชายชุมแสง (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเล็ก สิ้นพระชนม์
ในรัชกาลที่ 4 ทรงเป็ นต้นสกุล สหาวุธ
พระองค์เจ้าชายสาททิพากร (พ.ศ. 2353) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3
พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2354) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาม่วง สิ้นพระชนม์ใน
รัชกาลที่ 3
พระองค์เจ้าหญิงนุ่ม (พ.ศ. 2354—2421) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานิ่ม
พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2355) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานก (ต่อมาเจ้าจอมมารดา
นกได้เฉลิมนามเป็ น ท้าวสมศักดิ์) สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2
พระองค์เจ้าชายยุคันธร (พ.ศ. 2355) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก ได้รับ
โปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็ น กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2410 ในรัชกาล
ที่ 4 ว่ากรมทหารช่าง เมืองญวน สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็ นต้นสกุล ยุคัน
ธร
พระองค์เจ้าชายสีสังข์ (พ.ศ. 2356) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอี่ยม สิ้นพระชนม์
ในรัชกาลที่ 3 ทรงเป็ นต้นสกุล สีสังข์
พระองค์เจ้าหญิงดวงจันทร์ (พ.ศ. 2356) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศรี
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4
พระองค์เจ้าชายรัชนิกร (พ.ศ. 2357) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลับ (จินตหรา)
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4 ทรงเป็ นต้นสกุล รัชนิกร
พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2357) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาม่วง สิ้นพระชนม์ใน
รัชกาลที่ 3
พระองค์เจ้าชายทัดทรง (พ.ศ. 2359) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแจ่ม สิ้นพระชนม์
ในรัชกาลที่ 5
พระองค์เจ้าชายรองทรง (พ.ศ. 2359—2419) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาภู่
(อิเหนา) ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็ น กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ เมื่อ พ.ศ.
2410 ในรัชกาลที่ 5 ทรงว่าการโรงทอง ทรงเป็ นต้นสกุล รองทรง
พระองค์เจ้าชายสุดวอน (พ.ศ. 2360) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามี (บุษบา)
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 มีพระธิดาคือ หม่อมเจ้าหญิงบู่
พระองค์เจ้าหญิงสุดศาลา (พ.ศ. 2360) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาม่วง
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5
พระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
จุ้ย
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ ากรมขุนเสนานุรักษ์
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ ากรมหลวงเสนานุรักษ์
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์