The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เคมีอินทรีย์ เรื่อง รู้จักสารอินทรีย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2020-05-10 00:54:44

รู้จักสารอินทรีย์

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เคมีอินทรีย์ เรื่อง รู้จักสารอินทรีย์

วิชาเคมี5 ว 30225

สอนโดย นางสาวอโนชา อทุ มุ สกลุ รตั น์
ครชู านาญการพิเศษ

มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 ปี การศึกษา 2563

สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรยี นสวุ รรณารามวิทยาคม
ช่ือ-สกลุ ..................................................ชน้ั .........เลขที่........



คานา

ชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยเคมอี ินทรีย์ เล่มที่ 1 เรอื่ งรู้จักสารอนิ ทรยี ์ ตามแนวคดิ แบบ
โยนิโสมนสิการ จัดทาเพื่อเป็นเครือ่ งมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ความพงึ พอใจทางการเรียนเคมี
สง่ เสรมิ ความสามารถทางการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6/1-2
โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม โดยในทุกกจิ กรรมไดจ้ ัดลาดับข้นั ตอนที่เนน้ การเพมิ่ พูนประสบการณ์
ทางวิทยาศาสตร์ นกั เรยี นจะไดร้ บั การทดสอบกอ่ นเรยี น และศกึ ษาเนอ้ื หาความรทู้ ส่ี ง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นศกึ ษา
และสบื ค้น โดยมีความร้เู พิม่ เตมิ นอกเหนือจากในบทเรยี น การตอบคาถาม การทาแบบฝกึ หัด และทา
กจิ กรรมการทดลองตามขนั้ ตอนตลอดจนทาแบบทดสอบหลงั เรียน เพือ่ ประเมินตนเองหลงั จากการ
เรียนรูใ้ นแตล่ ะกจิ กรรมการเรยี นรู้

ผจู้ ดั ทาหวังเป็นอยา่ งยิง่ ว่า ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ หน่วยเคมีอินทรีย์ เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื งรจู้ ัก
สารอนิ ทรยี ์ ตามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสิ การ จะทาใหผ้ ู้เรยี นมคี วามรูแ้ ละความสามารถในการสืบค้น
การจดั ระบบส่ิงทเี่ รียนรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื สรา้ งองคค์ วามรู้ ได้เปน็ อย่างดี
สามารถนาความรูท้ ไ่ี ดจ้ ากการเรยี นรูไ้ ปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ และ เป็นประโยชนส์ าหรับผทู้ ่สี นใจ
ใช้เป็นแนวทาง ในก ารจดั กระบวนการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ไดต้ อ่ ไป

นางสาวอโนชา อุทมุ สกุลรัตน์

สารบญั ข

เรื่อง หนา้
คานา ก
สารบญั ข
ข้อแนะนาการเรยี นรชู้ ุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ ค
โครงสรา้ งชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ ง
แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1
ขั้นท่ี 1 การหาความรู้ 4
- ปฏบิ ัติการ ฝกึ อา่ น : ฝกึ คดิ 4
ขน้ั ที่ 2 สร้างความรู้ 31
- ปฏิบตั ิการ ฝกึ ทา : ฝึกสรา้ ง 31
ขัน้ ที่ 3 ซมึ ซบั ความรู้ 33
- ปฏิบัติการ คดิ ดี ผลงานดี มีความสุข 33
แบบทดสอบหลังเรยี น 38
บรรณานุกรม 41



ข้อแนะนาการเรียนรู้ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์วทิ ยาศาสตร์

สาหรับนักเรยี น

จดุ ประสงค์ของการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ มุ่งหวงั ใหน้ ักเรียนเป็นผ้มู ีความสามารถทางการ

จดั การความรทู้ างวิทยาศาสตร์ 3 ดา้ น ได้แก่

1. ดา้ นความรู้ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะการจดั การความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์

3. ดา้ นค่านิยมต่อตนเองเพือ่ สงั คม

ซ่งึ นกั เรยี นจะไดเ้ สรมิ สร้างความสามารถดงั กลา่ วดังนี้ 1.การหาความรู้ (Operation) จาก

กิจกรรมการสืบเสาะ คน้ หา กจิ กรรมร่วมกนั คดิ และกจิ กรรมรว่ มกันค้น 2.การสรา้ งความรู้

(Combination) เปน็ ขั้นฝึกการวิเคราะห์ประกอบดว้ ยการฝกึ คดิ แบบสบื สาวปัจจยั เหตแุ ละแบบ

แยกแยะส่วนประกอบโดยใช้ ข้อความและสถานการณ์ เพอื่ พัฒนาตนเอง 3. การซึมซบั ความรู้

(Assimilation) เปน็ ขั้นทใ่ี ห้นักเรยี นศึกษาค้นคว้าข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ เชน่ หนงั สอื

อินเตอรเ์ น็ต ฝกึ คิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ ฝกึ ทักษะการเขียนเพอื่ นาเสนอแก้ไขปญั หาท่ีพบ

ประกอบการตอบคาถามฝึกการวิเคราะห์จุดเด่น และจุดด้อยของผลงาน ตรวจสอบและปรับปรุงเพอ่ื

สรา้ งชิน้ งานใหม่ตอ่ ไปได้ และขอ้ เสนอแนะกบั ผ้อู ่านได้ โดยในทกุ กิจกรรมไดจ้ ดั ลาดับข้ันตอนทีเ่ น้น

การเพ่มิ พูนประสบการณท์ างวิทย าศาสตร์ เพอ่ื เป็นผูม้ ีความสามารถทางการจัดการความร้ทู าง

วทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี

1. อา่ น และทาความเข้าใจในทกุ ขัน้ ตอนของกิจกรรมการเรียนรู้

2.รกั และสนใจตนเอง สร้างความรสู้ กึ ท่ดี ีใหก้ ับตนเอง วา่ ตัวเราเป็นผู้มคี วามสามารถมี

ศกั ยภาพอยใู่ นตัว และพรอ้ มทจ่ี ะเรียนรทู้ ุกสิ่งท่สี รา้ งสรรค์

3. รู้สึกอิสระและแสดงออกอย่างเตม็ ความสามารถ

4. ฟัง คิด ถาม เขยี น ปฏบิ ัติ อย่างรอบคอบในทุกกิจกรรม ใช้เนอ้ื ทีก่ ระดาษทจ่ี ัดไวส้ าหรับ

เขยี นใหเ้ ตม็ โดยไม่ปล่อยให้เหลอื เปล่า เพ่อื ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ กบั ตนเอง

5. ใช้เวลาในการเรยี นรูอ้ ย่างคุ้มค่า ใช้ทกุ ๆ นาทที าใหต้ นเองมีความสามารถเพม่ิ มากขึ้น

6. ตระหนักตนเองอยเู่ สมอว่าจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อนามาพฒั นาตนเองและพัฒนาสงั คม

จุดเด่นของการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ คือ การสร้างคุณค่าที่ดใี หก้ ับสังคม

จึงขอเชญิ ชวนนักเรยี น มาร่วมกันเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

ด้วยใจรกั และ พฒั นาตนให้เต็มขดี ความสามารถ

ขอสง่ ความปรารถนาดีให้แกน่ กั เรยี นทุกคนไดเ้ รยี นรวู้ ิทยาศาสตร์อย่างมคี วามสขุ พ่ึงตนเองได้
และเป็นผมู้ คี วามสามารถทางการจัดการความร้ทู างวิทยาศาสตร์เพือ่ สงั คม ยงิ่ ๆ ขึ้น สืบไป



โครงสรา้ งชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ ชดุ ที่ 1 เรอื่ งรจู้ กั สารอินทรยี ์

สาระสาคญั
สารประกอบอินทรยี ์ หมายถงึ สารประกอบที่มคี ารบ์ อนเปน็ องคป์ ระกอบ ยกเวน้ ออกไซด์

ของคารบ์ อน เกลือคารบ์ อเนต เกลือไฮโดรเจนคารบ์ อเนต เกลือคารไ์ บด์ เกลอื ไซยาไนด์ เกลือไซยา
เนต คารบ์ อนไดซลั ไฟด์ และ คาร์บอนเตระคลอไรด์ และคาร์บอนิลคลอไรด์

สารประกอบคาร์บอน คือ สารประกอบทมี่ ีคารบ์ อนและไ ฮโดรเจน เป็นธาตหุ ลักและมธี าตุ
อื่น ๆ เปน็ องค์ประกอบรว่ มอย่ดู ว้ ย เชน่ ไนโตรเจน ออกซเิ จน กามะถนั ฟอสฟอรสั และแฮโลเจน แต่
ถา้ สารประกอบน้นั มีเฉพาะธาตคุ ารบ์ อนกับธาตไุ ฮโดรเจนเรยี กวา่ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ซง่ึ
พนั ธะระหวา่ งคาร์บอนกบั คาร์บอนในโมเลกลุ ของสารประกอบอาจเป็นพนั ธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ หรือ
พันธะสามกไ็ ด้

คาร์บอนสามารถใช้อเิ ล็กตรอนร่วมกับธาตุอื่นได้ 4 คู่ เกิดพันธะโคเวเลนซ์ การเขียนสูตรของ
สารประกอบคาร์บอนอาจเขยี นเป็นสูตรโมเลกุล สูตรโครงสรา้ งลวิ อิส หรอื สตู รโครงสร้างแบบย่อ
สารอินทรยี บ์ างชนิดมีสูตรโมเลกุลเหมือนกนั แตส่ ตู รโครงสร้างตา่ งกนั จึงมสี มบตั ิตา่ งกัน เรยี กว่า ไอโซ
เมอริซึม การจดั เรยี งอะตอมของสารอนิ ทรียอ์ าจเปน็ แบบโซ่ตรง แบบโซก่ ง่ิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. บอกความแตกต่างระหว่างสารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละกบั สารประกอบอนนิ ทรีย์ได้
2. อธบิ ายเหตุผลที่ทาให้มีสารประกอบอนิ ทรยี ์เปน็ จานวนมากได้
3. เขยี นสูตรโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ ประเภทตา่ ง ๆ ได้
4. เขยี นไอโซเมอรโ์ ครงสร้างของสารประกอบอนิ ทรยี ์ประเภทตา่ ง ๆ ได้
5. ทาการทดลองและอธบิ ายเกย่ี วกบั การจัดเรยี งอะตอมของคารบ์ อนในสารประกอบ
อนิ ทรีย์ได้
การจัดกระบวนการเรียนร้ใู ช้รูปแบบการจดั การความรทู้ างวิทยาศาสตร์ มี 3 ข้นั คอื
1. การหาความรู้ (Operation)
2. การสรา้ งความรู้ (Combination)
3. การซึมซบั ความรู้ (Assimilation)

เวลาทีใ่ ช้ 9 ชว่ั โมง

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
นกั เรยี นประเมนิ ผลตนเองโดยใชแ้ บบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียน-หลังเรยี น

เลม่ ที่ 1 เรื่อง รู้จักสารอนิ ทรีย์ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6
ภาคเรียนท่ี 1 วิชาเคมี
เวลา 15 นาที

คาส่งั 1.ใหน้ กั เรียนเขียนเครอ่ื งหมาย X ลงในข้อที่นกั เรยี นคิดวา่ ถูกตอ้ งที่สดุ เพยี งขอ้ เดยี ว
2.ขอ้ สอบมที งั้ หมด 20 ขอ้ ใหน้ กั เรียนท้าทกุ ข้อ ใชเ้ วลาในการทา้ 15 นาที

1. สมบตั ิใดที่แสดงวา่ สารตัวอยา่ งจดั เปน็ สารอนิ ทรีย์

ก. เผาไหมใ้ ห้แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ข. ละลายน้าได้

ค. จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวสงู ง. เกิดพันธะไอออนิกภายในโมเลกลุ

2. เพราะเหตใุ ดคาร์บอนจึงเกดิ สารประกอบเปน็ จา้ นวนมากได้

ก. คารบ์ อนสามารถเกิดสารประกอบโคเวเลนต์ได้

ข. คาร์บอนแตล่ ะอะตอมสามารถใชอ้ ิเลก็ ตรอนรว่ มกนั เองได้

ค. คารบ์ อนแต่ละอะตอมสามารถใชอ้ ิเลก็ ตรอนรว่ มกบั อะตอมอ่นื ได้

ง. ถกู ทงั้ ก, ข และ ค

3. สารในข้อใดไมใ่ ช่สารอินทรีย์ทงั้ หมด

ก. CH3COOK , CH3COOH ข. CH3CH2CN , C6H5COCl

ค. C5H10 , NaHCO3 ง. CCl4 , CO2

4. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ กู ตอ้ งเกีย่ วกับอะตอมธาตุคารบ์ อน

ก. สร้างพนั ธะกบั อะตอม C ดว้ ยกัน ไดม้ ากกว่า 1 อะตอม

ข. สร้างพันธะกับอะตอม H ได้ถงึ 4 อะตอม

ค. สรา้ งพันธะกับอะตอมธาตอุ ืน่ ได้ 3 พนั ธะ

ง. อยใู่ นหมู่ 4A มเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน 4

5. ขอ้ ใดแสดงการเกดิ พันธะของคารบ์ อนไม่ถกู ตอ้ ง

ก. ข.

ค. ง.

6. ข้อใดเปน็ สูตรโมเลกลุ ของสารท่มี ีสตู รโครงสร้างแบบเสน้ และมุมเปน็

ก. C5H9N ข. C5H11N ค. C6H11N ง. C6H12N

2

7. จากสูตรโครงสรา้ งแบบผสมของ CH3- CH2- CH2- CH2=CH2- CH3 เขียนแสดงสูตร โครงสรา้ งแบบยอ่ ได้แบบ
ใด

ก. (CH3)2(CH2)4 ข. CH3(CH2)4CH3

ค. (CH3)2(CH2)2CH2= CH2 ง. CH3(CH2)2CH2 = CH2CH3

8. สาร CH3CH=CHCH(CH3) CH2CH3 มสี ูตรโครงสรา้ งแบบเส้นและมมุ ดงั ข้อใด

ก. ข.

ค. ง.
9. สูตรโครงสร้างอยา่ งย่อของสารประกอบขา้ งล่างนี้คือข้อใด

ก. CH3 CH(CH3) CH COCH2 CH(CH3)2 ข. (CH3) 2CH CH2COCH2 CH(CH3)2
ค. CH3 (CH3) CH CH2COCH2 CH(CH3)2 ง. (CH3)3 C(CH3)2 COO(CH2)2 CH3

10. สารทีม่ ีสตู รโครงสรา้ งเป็น OH สตู รโครงสร้างแบบยอ่ คือ ข้อใด

ก. CH3 CH2CH=CHCH2CH(CH3)CH2-OH ข. CH3CH=CHCH (CH3)CH2-OH
ค. CH3 CH2CH=CHCH(CH3) CH2- OH ง. CH3CH=CHCH(CH3)CH2CH2OH
11. ขอ้ ใดเปน็ หมูฟ่ ังก์ชนั ของกรดอินทรยี ์

ก. -OH ข. –O- ค. ง.

12. ขอ้ ใดเป็นแอลกอฮอล์

ก. ข. C6H5OH ค. ง. CH3CHO
13. ขอ้ ใดคือความหมายของไอโซเมอริซึม

ก. ปรากฏการณท์ สี่ ารระเหยเปน็ ไอโดยการระเหดิ

ข. ปรากฏการณ์ท่ีสารมสี ูตรโมเลกุลต่างกัน แต่สูตรโครงสร้างเหมือนกนั

ค. ปรากฏการณท์ ี่สารมีสตู รโมเลกุลเหมอื นกนั แต่สูตรโครงสรา้ งตา่ งกัน

ง. ปรากฏการณท์ ่สี ารมสี ตู รโมเลกุลคลา้ ยคลึงกัน แตส่ ูตรโครงสรา้ งต่างกนั

14. สารประกอบอนิ ทรีย์ต่อไปนี้ ขอ้ ใดไมเ่ ป็นไอโซเมอรก์ ัน

ก. CH2= CHCH(CH3)2 กบั (CH3)2CHCH = CH2

ข. CH3OCH3 กบั CH3CH2OH

3

ค. (CH3CH2)2CHCH3 กับ CH3CH2C(CH3)3

ง. กบั

15. สารต่อไปน้ีคู่ใดจัดเปน็ ไอโซเมอร์กนั O

ก. HOCH2CH2OH , CH3COOH ข. CH3CH2CH2 C – H ,
ค. CH3COOCH3 , CH3COOCH2CH3 ง. CH3NHCH2CH3 , CH3CH2NHCH3
16. ขอ้ ใดเป็นหลักการพจิ ารณาการเกิดไอโซเมอร์

1. พจิ ารณาโครงสร้างของโมเลกุล

2. พิจารณาวา่ มีสูตรโมเลกลุ เหมอื นกันหรอื ไม่

3. พิจารณาว่ามธี าตุที่เปน็ องค์ประกอบเปน็ ธาตุอยา่ งเดียวกัน

ก. ข้อ 1 และ 2 ข. ข้อ 1 และ 3 ค. ขอ้ 2 และ 3 ง. ข้อ1, 2 และ 3

17. จากสตู รโมเลกุล C4H8 เขยี นสตู รโครงสรา้ งท่ีเป็นไอโซเมอรซ์ ่ึงกนั และกนั ไดก้ ่แี บบ

ก. 3 แบบ ข. 4 แบบ ค. 5 แบบ ง. 6 แบบ

18. สารอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกลุ เปน็ C6H12 จะมไี อโซเมอร์ที่มโี ครงสรา้ งแบบวงได้มากที่สดุ กี่ไอโซเมอร์
ก. 10 ไอโซเมอร์ ข. 11 ไอโซเมอร์ ค. 12 ไอโซเมอร์ ง. 13 ไอโซเมอร์

19. จากการทดสอบสมบัติของสาร A พบว่า

1. สารละลายไม่นา้ ไฟฟา้ 2. ติดไฟไดไ้ มม่ ีเขม่า

3. ทา้ ปฏิกริ ยิ ากับกรดอนิ ทรยี ์ได้ 4. ท้าปฏกิ ิรยิ ากบั Na ให้ก๊าซ H2

สาร A คอื ขอ้ ใด O

ก. R - OH ข. CnH2n+2 ค. R - C - OH ง. CnH2n

20. ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ งเกยี่ วกับกรดอินทรีย์

ก. ไมเ่ กดิ ปฏิกิรยิ ากบั สารประกอบ NaHCO3 ข. ท้าปฏกิ ิริยากับโลหะหมู่ IA ได้ก๊าซไฮโดรเจน

ค. เกิดปฏกิ ริ ิยาสะเทนิ กบั เบสได้ ง. จดุ เดอื ดสงู ข้ึนเมอื่ คารบ์ อนอะตอมเพ่ิมขึ้น

******************************************************************************

คะแนนเต็ม 20 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

เลม่ ที่ 1 4

รจู้ กั สารอินทรยี ์

เวลา 14 ชว่ั โมง

ปฏิบัติการ ฝึ กอ่าน : ฝึ กคิด

ข้นั ท่ี 1 การหา สารประกอบของคารบ์ อน
ความรู้

Operation

เคมีอนิ ทรีย์ (Organic Chemistry) หมายถึงสาขาวิชาท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการศึกษาเกย่ี วกับชนดิ สมบตั ิการ
สงั เคราะห์ และปฏกิ ิริยาของสารประกอบ อนิ ทรยี ์

สารอนิ ทรีย์ หมายถึงสารประกอบที่มธี าตคุ ารบ์ อนเป็นองค์ประกอทง้ั ทเ่ี กดิ จากส่ิงมีชีวติ และจากการ
สงั เคราะห์ ยกเวน้ สารต่อไปน้ีซ่งึ เป็นสารอนนิ ทรยี ์

 ออกไซดข์ องคาร์บอน เชน่ CO2
 เกลือคารบ์ อเนต ( CO23 ) และไฮโดรเจนคารบ์ อเนต(HCO3 ) เช่นแคลเซยี มคารบ์ อเนต
(CaCO3) โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต (NaHCO3)
 เกลือคารไ์ บด์ เชน่ แคลเซยี มคารไ์ บด์ (CaC2)
 เกลือไซยาไนด์ เชน่ โพแทสเซยี มไซยาไนด์ (KCN) , โซเดียมไซยาไนด์ (NaCN)

 เกลือไซยาเนต เช่น แอมโมเนียมไซยาเนต (NH4OCN)
 สารทปี่ ระกอบดว้ ยธาตคุ ารบ์ อนเพยี งชนิดเดยี ว เชน่ เพชร แกรไฟต์ ฟุลเลอรีน

NH4OCN(s)   H2NCONH2(s)

5

จากการศึกษา แอมโมเนียมไซยาเนต ยเู รยี สารประกอบทว่ั ๆไป

มกั จะมีธาตุคาร์บอนเป็นองคป์ ระกอบ นักเคมีในยุคก่อนเชอ่ื ว่าสารท่ีมคี าร์บอนเปน็ องค์ประกอบตอ้ งมาจากสง่ิ มชี ีวติ

เท่านั้น และเรยี กสารเหล่านี้ว่า สารประกอบอินทรีย์ จนกระทัง่ ปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ.1828) ฟรดี รชิ เวอเลอร์ นกั เคมี

ชาวเยอรมนั สามารถสงั เคราะห์สารอนิ ทรยี ไ์ ด้จากสารอนินทรีย์ โดยสังเคราะหย์ เู รยี ซ่ึงเป็ นสารอินทรีย์จากการเผา

แอมโมเนียมไซยาเนต (NH4OCN) ซึง่ เปน็ สารอนินทรีย์ ดังสมการ

ต่อมามีนักเคมที สี่ ามารถสังเคราะห์สารอินทรยี ์ได้มากขึน้ จงึ ทา้ ใหแ้ นว สารอนิ ทรยม์ อี ย่รู อบ
คดิ เกีย่ วกบั สารอนิ ทรียเ์ ปล่ียนไป ตวั เราเปน็ จา้ นวนมาก
นักเรียนคดิ วา่ สาร
ปัจจุบันจากการศกึ ษาสารประกอบท่ัว ๆ ไป มกั จะมีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ อินทรีย์มีประโยชน์
ประกอบ นกั เคมใี นยคุ ก่อนเช่ือว่าสารทีม่ คี ารบ์ อนเปน็ องค์ประกอบตอ้ งมาจากสิง่ มี อยา่ งไรบ้างใน
ชีวิตเท่านนั้ และเรียกสารเหล่าน้วี า่ สารประกอบอนิ ทรยี ์ ชวี ิตประจ้าวนั
...................................
1.การเกดิ พนั ธะของคาร์บอน ...................................
...................................
...................................
...................................
.............................

คาร์บอนเป็นธาตุหมู่ IVA มีเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเท่ากับ 4 จงึ สามารถใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกบั อะตอมอ่ืนอกี 4
อเิ ล็กตรอน เกิดเป็นพั นธะโคเวเลนต์ได้ 4 พันธะ และมีเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนครบ 8 ตามกฎออกเตต การเกิดพันธะ
โคเวเลนตร์ ะหวา่ งธาตคุ ารบ์ อนกบั ธาตุอ่นื ๆ ในสารอินทรยี ์บางชนิดดงั แสดงในตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1 สารประกอบอินทรยี ์บางชนดิ สูตรโมเลกุล และโครงสร้างลวิ อสิ

ชอื่ สาร สตู รโมเลกลุ แบบจดุ โครงสรา้ งลวิ อสิ
แบบเส้น

6

อีเทน C2H6 HH HH
H CCH H CCH
อที นี C2H4
(เอทิลีน) C2H2 HH HH
อีไทน์
(อะเซทลิ ีน) H H H H
C C
C C
H H H H

HC CH HCCH

เมทานอล CH3OH H H H
(เมทิลแอลกอฮอล)์ CH3COCH3 H CO H COH

โพรพาโนน H H
(แอซีโตน)
HO HOH
คลอโรมเี ทน
(เมทิลคลอไรด)์ H C C CH H C C C H

อะมโิ นมเี ทน HH HH

มเี ทนไทออล CH3Cl H H
H C Cl H C Cl

H H

CH3NH2 HH
H CN

H
H

CH3SH H H H
HCS HCSH

H H

7

HO H

C3H6O2 HO H

เมทิลเอทาโนเอต HC C OC H HCCOCH
H H

HH

สารอนิ ทรียม์ เี ป็นจา้ นวนมาก เนอื่ งจากเหตผุ ล 3 ประการ ตอ่ ไปน้ี
1. คารบ์ อนอะตอมสามารถเกดิ พันธะโคเวเลนต์ได้ ทงั้ พนั ธะเด่ยี ว (Single bond) พันธะคู่ (Double
bond) และพนั ธะสาม (Triple bond)
2. ธาตุคาร์บอนสามารถสร้างพันธะกบั ธาตุอื่น ๆ ไดจ้ า้ นวนมาก เช่น สร้างพนั ธะกบั H , O , N ,
S , halogen เป็นต้น
3. การเกดิ ปรากฏการณไ์ อโซเมอรซิ ึม ซึ่งหมายถึงการทสี่ ารมีสตู รโมเลกุลเหมอื นกนั แต่สูตรโครงสร้าง
ตา่ งกัน

ร่วม กนั คดิ 1

 พนั ธะระหวา่ งธาตุคารบ์ อนกับธาตุคารบ์ อนมกี ่ปี ระเภทอะไรบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ธาตุคารบ์ อนสรา้ งพนั ธะกบั ธาตุอ่นื ๆนอกจากธาตคุ ารบ์ อนหรอื ไม่ อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ประเมนิ ตนเอง : จากคะแนนเตม็ 2 คะแนนนกั เรียนได.้ ................................คะแนน

1.1 การเขียนสูตรโครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรีย์

8

สตู รโครงสร้าง (Structural formula) เป็นสูตรที่แสดงการจดั เรยี งอะตอมของธาตุต่าง ๆ ในโมเลกลุ ของ
สารนน้ั สา้ หรบั สารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่การเขยี นแสดงแทนดว้ ยสตู รโครงสรา้ งลิวอสิ ทา้ ได้ไมส่ ะดวก จงึ นิยม
เขยี นเปน็ สตู รโครงสรา้ งแบบย่อ

สตู รโครงสรา้ งแบบย่อ (Condense structural formula) สามารถย่อพันธะเดีย่ วไดท้ งั้ หมดหรือยอ่
บางส่วน โดยพันธะค่แู ละพนั ธะสามจะยงั คงไว้ โครงสร้างแบบยอ่ มีขอ้ ดีกวา่ การเขียนด้วยโครงสร้างแบบลวิ อสิ
เพราะใช้เนอื้ ทน่ี อ้ ย เขยี นได้สะดวกและรวดเรว็ แตอ่ าจพิจารณาโครงสรา้ งของโมเลกลุ ไดย้ ากและสับสน

เรามาดตู วั อยา่ งสตู รโมเลกลุ และสตู ร
โครงสรา้ งของสารประกอบอินทรยี ์
บางชนิดพรอ้ มกนั ค่ะ

ตารางที่ 2 สูตรโมเลกลุ และสูตรโครงสร้างของสารประกอบอนิ ทรยี ์บางชนดิ

ช่ือสาร / สูตรโมเลกลุ สูตรโครงสร้าง โครงสร้างแบบย่อ
โครงสร้างลวิ อสิ CH3CH2CH2CH2CH3
หรือ CH3(CH2)3CH3
เพนเทน H HHH H
C5H12 HCCCC CH (CH3)2CHCH2CH3

H HHH H

2– เมทลิ บิวเทน
(ไอโซเพนเทน)

C5H12

เพนทนี H HH H CH2=CHCH2CH2CH3
C5H10 CCCC CH

H HHH H

ไซโคลเฮกเซน HH H2
C6H12 H CH C

HC CH H2C CH2

HC CH H2C CH2
C
H CH H2

HH

HH 9

ไซโคลเฮกซีน H CH H2
C6H10 C
HC C H2C CH
โพรพาโนน H2C CH
(แอซโี ตน) HC C C
C3H6O H2
H CH
เอทานอล CH3COCH3 หรือ
C2H6O HH (CH3)2CO
CH3CH2OH
เมทานาล HOH
(ฟอร์มาลดไี ฮด์) HC C CH HCHO หรือ H2CO

CH2O HH HCOOH หรือ HCO2H

กรดเมทาโนอิก HH CH3COOH
(กรดฟอร์มกิ ) H CCOH

CH2O2 HH
กรดเอทาโนอิก O
(กรดแอซีติก)
H CH
C2H4O2
O
H COH

HO
H C COH

H

สูตรโครงสร้างแบบเสน้ และมุม (Line – angle formula) ใชเ้ ส้นตรงแทนพันธะระหวา่ งคาร์บอน ถ้ามี
จา้ นวนคาร์บอนต่อกันมากกว่า 2 อะตอมให้ใช้เส้นต่อกนั แบบซกิ แซกแทนสายโซข่ องคาร์บอนทีป่ ลายเสน้ ตรงและแต่
ละมุมของสายโซ่แทนอะตอมของคารบ์ อนทต่ี อ่ อยู่กบั ไฮโดรเจนในจา้ นวนท่ีท้าให้คาร์บอนมเี วเลนซ์
อเิ ล็กตรอนครบ 8 ถา้ ในโมเลกลุ มหี มู่อะตอมแยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์บอน ให้ลากเส้นตอ่ ออกมาจากสายโซ่
และให้จุดตัดของสายโซ่แทนอะตอมของคารบ์ อน เช่น

CH2=CHCH2CH3 เขยี นเปน็

CH2 CH3 CH3 เขียนเปน็
CH3 CH CH CH

10

สา้ หรับโมเลกุลท่เี ป็นวง ใหเ้ ขียนพนั ธะแสดงตามรปู เหลี่ยมทเี่ ปน็ วงน้ัน

H2 เขยี นเป็น
C
H2C CH

H2C CH
C
H2

H

H CH เขียนเปน็
CC

CC
H CH

H
HH

C เขียนเป็น
H CCH

HH

การเขียนสูตรโครงสรา้ งแบบเส้นและมมุ นิยมใชก้ ับสารอนิ ทรยี ท์ ีม่ โี ครงสร้างแบบวงหรือมีโมเลกุลขนาด

ใหญเ่ นอ่ื งจากเขียนได้สะดวกและรวดเรว็ กว่าโครงสรา้ งแบบอน่ื ๆ ดงั ตารางที่ 3

ตารางที่ 3 การเขยี นสูตรโครงสร้างแบบเสน้ และมุม

โครงสรา้ งลวิ อิส โครงสรา้ งแบบยอ่ โครงสร้างแบบเส้นและมมุ

HHHHH CH3CH2CH=CHCH3

H CCC CCH

HH H

H CH3 Br O
H CH Cl
BrCH CCH2COCl หรือ
HO BrCH = C(CH3)CH2COCl
Br C C C C Cl

HH

H H (CH3)3CCH2CH(CH2CH3)2
HCH CH
H H
H C HH C H
HHH

HC C C C C
H HHH
HCH

H

11

HH

HCH

HC C

HC C

HCH

HH

HH

C C H2C CH2
H H
H H H2C CH2

C C

N H N N
H H

H

โครงสร้างของสารอินทรยี ์มโี ครงสรา้ งเปน็ สามมติ ิ ซ่ึงอะตอมของธาตมุ กี ารจดั เรยี งอะตอมเปน็ สามมติ ทิ ี่มี
มมุ ตา่ ง ๆ ดงั ตัวอยา่ งในตารางที่ 4

ตารางท่ี 4 โครงสรา้ งของสารอินทรีย์มโี ครงสรา้ งเปน็ สามมติ ิ

ชือ่ สาร / สูตรโมเลกุล โครงสรา้ งลิวอิส แบบจ้าลองโมเลกุล 3 มติ ิ

มีเทน H

CH4 H C H

H

อีเทน HH
C2H6 HCCH

โพรเพน HH
C3H8
HHH
H CC CH

HHH

12

บิวเทน HHHH
C4H10 H C C CCH

HHHH

2–เมทิล H
โพรเพน H CH
(ไอโซบิวเทน) HH
C4H10 H C C CH
HHH
เบนซีน
C6H6 H

HCH
CC

CC
HCH

H

การจัดเรยี งอะตอมของธาตสุ ว่ นใหญไ่ มอ่ ยูใ่ นระนาบเดยี วกนั เนือ่ งจากถูกกา้ หนดทิศทางโดยอะตอมของ
พนั ธะรอบอะตอมคารบ์ อน โดยจดั เรยี งตัวใหอ้ ยูห่ ่างกนั มากท่ีสดุ เพ่อื ให้เกิดสมดลุ ของแรงผลักของอเิ ลก็ ตรอน

 โมเลกุลทยี่ ดึ เหนยี่ วดว้ ยพนั ธะเดีย่ วทั้งหมด เชน่ CH4 จะมีมมุ พนั ธะ 109.5O มีรปู รา่ งโมเลกลุ เป็นทรงส่ี
หนา้

 โมเลกลุ ท่มี พี ันธะคู่ 1 พันธะ เชน่ C2H4 จะมมี ุมระหว่างพันธะ 120O มรี ูปร่างโมเลกลุ เป็นสามเหลย่ี ม
แบนราบ

 โมเลกลุ ทม่ี พี นั ธะสาม เชน่ C2H2 จะมีมุมระหวา่ งพนั ธะ 180O มรี ูปรา่ งโมเลกุลเปน็ เส้นตรง

13

CH4 C2H4 C2H2

ที่มา : http://www.promma.ac.th/main/chemistry/boonrawd_site/Line_angle_formula2.htm / วนั ที่ 13 ต.ค.2557

ร่วม กนั คดิ 2

1. จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ กบั แบบเส้นและมุมของสารประกอบอินทรยี ต์ อ่ ไปนี้

สตู รโครงสรา้ งลวิ อสิ สตู รโครงสรา้ งแบบย่อ สูตรโครงสร้าง แบบเส้น
และมมุ

1.1

1.2

14

1.3

1.4
1.5
1.6

1.7

15

1.8

1.9

1.10

2. จงเขียนโครงสร้างลวิ อสิ กับโครปงสระรเา้ มงินแตบนบเอใชง้เส: น้ แจาลกะคมะมุแขนนอเงตสม็ าร1ป0รคะะกแอนบนนอกันิ เทรยี รนยี ไต์ด่อ้...ไ..ป...น...ี้ ...........คะแนน

สตู รโครงสร้างแบบยอ่ สตู ร โครงสรา้ งลิวอสิ สูตรโครงสรา้ ง แบบเสน้
และมุม

2.1 (CH3) 3C(CH2) 3CH3

2.2 (CH3)4 C

2.3 CH3(CH2) 2CO CH2CH3

16

2.4 (CH3)3C CH2CC(CH2)2 CH3

2.5
COOCH2C(CH3)3

2.6 CH3CH2C(CH3)2 CH2CONH2

2.7 CH3CH=C(CH2CH3)CH(OH)CH2Br

2.8

ประเมินตนเอง : จากคะแนนเต็ม 8 คะแนนนกั เรียนได้......................คะแนน

1.2 ไอโซเมอรซิ ึม

ไอโซเมอริซมึ (Isomerism) หมายถงึ ปรากฏการณ์ทีส่ ารประกอบอนิ ทรยี ์มสี ตู รโมเลกุลเหมอื นกนั แตม่ ี
สตู รโครงสรา้ งตา่ งกัน

ไอโซเมอร์ (Isomer) หมายถึงสารท่มี ีสตู รโมเลกลุ เหมือนกนั แตม่ ีสูตรโครง สรา้ งตา่ งกันดังตารางที่ 5
ตารางที่ 5 แสดงสมบตั บิ างประการทีแ่ ตกต่างกันของสารประกอบอินทรีย์ท่มี สี ตู รโมเลกุล C4H10

17

โครงสร้างของสารประกอบ จุดหลอมเหลว จุดเดือด ความหนาแนน่ ท่ี 20OC
CH3–CH2– CH2– CH3 ( OC) ( OC) (g/cm3)

– 138.3 – 0.5 0.573

CH3 – 159.4 – 11.7 0.551
CH3 CH CH3

โครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์

1. โครงสร้างโซ่ตรง (Straight chain) เปน็ โครงสรา้ งท่ีอะตอมของคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาว
โดยยดึ อะตอมของคารบ์ อนเปน็ สายของโซ่ สว่ นอะตอมของธาตอุ น่ื ๆ เปน็ ส่วนประกอบของโซ่ ไมถ่ ือว่าเปน็
กง่ิ

HHHHH

HHHHHH HCCCCCH

1 2H C C C C C C H HHHH

HHHHHH HCH

H H
HCH HH

HHH HCHHCH

3 4H C C C C H HH

HHH HCCCCH
H CH HHHH

H

2. โครงสรา้ งโซ่กง่ิ (Branched chain) เปน็ โครงสร้างท่หี มูอ่ ะตอมของคารบ์ อนตอ่ แยกจากสาย
ยาวเกดิ เปน็ กง่ิ ขนึ้ โดยสายของอะตอมคารบ์ อนทย่ี าวท่สี ุดเรยี กว่าโซ่หลกั และอะตอมคาร์บอนทแ่ี ยกออกไปเรยี ก
ว่าโซ่กง่ิ

18

H

HH H CH

HCHHCH H HHHH
1 HH
HH HH 2 H C CCCCCH

HCCCCCCCCH HH HHH

HHHHHHHH H CH

H

CH3 4 CH3 CH3
CH3 CH CH2 CH CH3 CH3 CH CH2 CH2 CH2

3
CH CH3

CH2 CH2 CH3

หลักการเขยี นไอโซเมอร์
1. พิจารณาจากสตู รโมเลกุลก่อนวา่ เป็นสารประเภทใด
2. เมือ่ ทราบว่าเป็นสารประเภทใดแลว้ จงึ นา้ มาเขียนไอโซเมอร์
3. ถา้ เปน็ สารพวกโซเ่ ปิด (Open chain หรือ Acyclic) มกั จะเริ่มเขียนไอโซเมอรจ์ ากตัวทม่ี ี C ต่อกนั เปน็

สายตรงยาวท่ีสุดก่อน หลงั จากนัน้ จงึ ลดความยาวของ C สายตรงลงครง้ั ละอะตอม
4. ในกรณีทเ่ี ป็นไฮโดรคารบ์ อนแบบวง (Cyclic chain) มักจะเริ่มจากวงท่ีเล็กก่อน คือเร่มิ จาก C 3

อะตอม แลว้ จงึ เพ่ิมเปน็ 4 อะตอม ตามลา้ ดบั

การพิจารณาว่าสารคหู่ นงึ่ เปน็ ไอโซเมอรก์ นั หรอื ไม่
1. ถ้าประกอบดว้ ยธาตุตา่ งชนดิ กนั จะไมเ่ ป็นไอโซเมอร์กนั
2. ถา้ ประกอบดว้ ยธาตชุ นิดเดยี วกนั และจ้านวนอะตอมเท่ากัน จะตอ้ งพิจารณาขั้นตอ่ ไป

ก) ถ้าสูตรโครงสร้างเหมือนกัน จะเป็นสารชนิดเดียวกัน ไมเ่ ป็นไอโซเมอรก์ ัน เชน่

HHHHH

HHHHHH HCCCCCH

1 2H C C C C C C H HHHH

HHHHHH HCH

H

H

HCH HH

HHH HCHHCH

3 4H C C C C H HH

HHH HCCCCH

H CH

HHHH

H

ข) ถ้าสูตรโครงสรา้ งต่างกนั จะเปน็ เป็นไอโซเมอร์กนั เชน่ สารทม่ี ีสตู รโมเลกลุ เปน็

C5H12 มี 3 ไอโซเมอร์ ดังนี้

19

CH3 CH2 CH2 CH2 CH3 CH3 CH3 CH3
CH CH2 CH3 CH3 C CH3

CH3

สา้ หรับสารทีม่ ีสตู รโมเลกลุ เป็น C5H10 มีไอโซเมอรท์ ี่เปน็ โซเ่ ปิด 6 ไอโซเมอร์ โดยเป็นโซ่ตรง 2 ไอ
โซเมอร์ และโซก่ ง่ิ 3 และแบบวงอีก 1 ไอโซเมอร์ ดังนี้

HHHH HHHHH
H

1 2C C C C C H H CC CC CH

H H HH
HHH

HH

H CH H CH
HH
3H 4H HH

CCCCH CCCCH

H H
HH HH

H HH

H CH H CH

5 HH H 6 HC CH

H CC C CH CC

HH

การเปลีย่ นโครงHสร้างของสารประกHอบอนิ ทรยี ์ทีม่ สี ูตรโมเลกลุ เหมอื นHกัน H

หรอื การเกดิ ไอโซเมอร์จากโซ่

ตรงเปน็ โซก่ งิ่ จากโซ่เปดิ เป็นแบบวงและการเปลยี่ นตา้ แหนง่ ของพันธะค่หู รือพนั ธะสามระหว่างอะตอมของคาร์บอน

ทา้ ให้เกิดโครงสร้างใหมซ่ ง่ึ ต่างกเ็ ป็นไอโซเมอร์กนั ดงั น้นั การเกิดไอโซเมอรจ์ ึงเป็นอีกสาเหตหุ น่ึงท่ีทา้

ให้มสี ารประกอบอนิ ทรียเ์ ป็นจา้ นวนมาก

กจิ กรรม สืบเสาะ คน้ หา 1

การทดลองที่ 1 เร่อื ง การจดั ตัวของคารบ์ อนในสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
จุดประสงคก์ ารทดลอง

20

1. ต่อแบบจ้าลองแสดงโครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบบต่าง ๆ ตามจ้านวนอะตอมของ
คาร์บอนและไฮโดรเจนที่ก้าหนดได้

2. เขียนสูตรโครงสรา้ งแบบเสน้ ของแตล่ ะไอโซเมอรไ์ ด้
3. อธบิ ายการเกดิ ไอโซเมอรไ์ ด้

สารเคมีและอุปกรณ์

รายการ ต่อ 1 กล่มุ
อปุ กรณ์
1. แบบจา้ ลองลูกกลมพลาสติกสดี ้าเจาะ 4 รู แทนอะตอมของคารบ์ อน 5 ลูก
2. แบบจา้ ลองลูกกลมพลาสตกิ สีขาวเจาะ 1 รูแทนอะตอมไฮโดรเจน 12 ลูก
3. ก้านไม้หรอื ก้านพลาสติก
16 อนั

วิธที ดลอง

1. ใชแ้ บบจา้ ลองอะตอมลกู กลมสีด้าแทนคารบ์ อนอะตอม สขี าวแทนไฮโดรเจนอะตอม และใชก้ ้านไมห้ รอื ก้าน
พลาสติกแทนพนั ธะ

2. ตอ่ ลกู กลมสดี า้ จ้านวน 5 ลกู ด้วยก้านพลาสติก ให้เปน็ สายยาว แลว้ ตอ่ ลูกกลมสขี าวเข้ากับคารบ์ อนอะตอม
ใหค้ รบทกุ พนั ธะ บันทึกผลโดยเขียนสูตรโครงสรา้ งแบบเส้น

3. เปลยี่ นโครงสร้างโมเลกลุ จากข้อ 2 เป็นแบบโซ่กง่ิ โดยใชล้ กู กลมและก้านพลาสตกิ เท่าเดมิ บนั ทกึ ผลโดยเขียน
เปน็ สตู รโครงสรา้ งแบบเส้น

บันทกึ ผลการทดลอง แบบจาลองโมเลกลุ 3 มิติ (ภาพถ่าย)
แบบที่

1

21

2

3

คาถามหลังการทดลอง
1. เมือ่ ตอ่ คารบ์ อน 5 อะตอมด้วยพนั ธะเดีย่ วทั้งหมดจะไดก้ ี่ไอโซเมอร์ และแตล่ ะไอโซเมอร์มี สตู รโครงสรา้ งเปน็
อยา่ งไร ?

จ้านวนคารบ์ อนอะตอม สตู รโครงสรา้ งแบบเส้นท่ีมพี ันธะเดี่ยวท้งั หมด
5

2. ถา้ ตอ่ แบบจา้ ลองโดยใช้คารบ์ อน 5 อะตอมเช่นเดยี วกนั แต่เปล่ยี นพันธะเดย่ี วเป็นพันธะคู่ 1 พันธะจะตอ่ ไดก้ ่ี
ไอโซเมอรแ์ ละแต่ละไอโซเมอร์มีสูตรโครงสร้างเปน็ อยา่ งไร ?

22

จา้ นวนคารบ์ อนอะตอม สตู รโครงสร้างแบบเส้นท่มี ีพนั ธะคู่ 1 พันธะ
5

สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ร่วม กนั คดิ 3

1. สารประกอบอินทรียใ์ นข้อใดตอ่ ไปนี้เปน็ ไอโซเมอร์กนั ถ้าไม่ได้เป็นไอโซเมอร์กัน ใหร้ ะบุด้วยว่าเปน็ สารชนิด
เดียวกันหรือไม่

23

1.1 (CH3CH2)2CHCH3 กบั CH3CH2C(CH3)3

................................................................................ .....................................................................................

1.2 กบั

................................................................................ .....................................................................................

1.3 CH3COOCH3 กบั CH3 CH CH2 CH3

.................................................................................................................O..H....................................................

1.4 CH3OCH3 กบั CH3CH2OH

.......................................................................................................................................................................

1.5 CH3(CH2)2CHO กบั (CH3CH2)2CO

............................................................................................................................. ..........................................

1.6 CH2=CHCH(CH3)2 กบั (CH3)2CHCH=CH2

......................................................................................................................................................................

1.7 CH3(CH2)2CHO กบั (CH3CH2)2CO

.......................................................................................................................................................................

1.8 (CH3)3N กบั CH3NHCH2CH3

.............................................................................................................. .........................................................

1.9 (CH3)2CCl2 กบั (CH3)2CHCH2Cl

.......................................................................................................................................................................

1.10 OH กบั HO OH

OH

.......................................................................................................................................................................

Cl CH3 Cl

1.11 H3C C CH2 CH3 กบั H2C C CH3

Cl Cl

.......................................................................................................................................................................

ประเมินตนเอง : จากคะแนนเต็ม 11 คะแนนนักเรียนได้......................คะแนน

24

2. 2. จงเขยี นไอโซเมอรโ์ ครงสร้างที่เป็นไปไดท้ ้ังหมดของสารอินทรยี ์ท่มี สี ตู รโมเลกลุ C6H14 ท่ีเป็นโซเ่ ปิด และมีพันธะ
เดยี่ วท้ังหมด

ประเมินตนเอง : จากคะแนนเตม็ 5 คะแนนนกั เรยี นได้......................คะแนน

2. หมู่ฟังก์ชัน (Functional Group)

หมู่ฟงั กช์ นั หมายถึงหมอู่ ะตอมท่แี สดงสมบัติเฉพาะในโมเลกุลของสารประกอบอินทรียส์ มบัตแิ ละการ

เกิดปฏิกริ ิยาของสารประกอบอินทรยี จ์ ะเป็นไปตามหม่ฟู งั กช์ นั ทเี่ ป็นองคป์ ระกอบของสารนนั้ จงึ อาจใชห้ มฟู่ ังก์ชนั

เป็นเกณฑใ์ นการจา้ แนกสารประกอบอนิ ทรยี ์ชนิดตา่ ง ๆ ได้

ตารางท่ี 6 หมฟู่ ังก์ชันและประเภทของสารอนิ ทรยี ์ทม่ี ีหมู่ฟังกช์ นั บางชนดิ

หมูฟ่ ังก์ชัน ช่ือหมู่ ประเภทของ ตวั อยา่ งสารประกอบ
สารประกอบ ช่ือ สตู รโครงสร้าง

– – แอลเคน มีเทน CH4

C = C พันธะครู่ ะหวา่ ง แอลคนี อที ีน

คารบ์ อน 25

H2C = CH2

CC พนั ธะสาม แอลไคน์ อไี ทน์ HC  CH
ระหว่างคาร์บอน

แอลกอฮอล์ เอทานอล CH3–CH2–OH
(เอทลิ แอลกอฮอล)์

–OH ไฮดรอกซลิ
Ar-OH
H
ฟีนอล ฟนี อล C
HC C OH
R – O – R แอลคอกซ,ี ออกซี อีเทอร์ เมทอกซีมเี ทน
ไดเมทลิ อีเทอร์ HC CH
C
H

CH3–O– CH3

O คารบ์ อกซลิ กรดอินทรยี ์หรือ กรดเอทาโนอกิ O
กรดคารบ์ อกซิลิก (กรดแอซีตกิ ) CH3 C OH
C OH

O แอลคอกซคี าร์บอ เอสเทอร์ เมทลิ เอทาโนเอต O
COR นิล (เมทลิ แอซีเตต) CH3 C O CH3

O คาร์บอกซาลดี แอลดีไฮด์ เมทานาล O
C H ไฮด์ HCH

O คาร์บอนิล คโี ตน โพรพาโนน O
CH3 C CH3
C

NH2 อะมโิ น เอมีน อะมโิ นมีเทน CH3 – NH2

26

รายการ ต่อ 1 กลุ่ม O
เอไมด์ เมทานาไมด์ H C NH2
O เอไมด์

C NH2

กจิ กรรม สบื เสาะ คน้ หา 2 สารประกอบ
อินทรยี แ์ ต่ละชนิด
การทดลองท่ี 2 เร่อื ง สมบัตบิ างประการของเอทานอลและกรดแอซตี กิ
จุดประสงค์การทดลอง มีสมบตั ิและ
1. บอกสมบตั ิท่เี หมอื นกนั และต่างกนั ของเอทานอลและกรดแอซีติกได้ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ระบหุ มู่อะตอมทีแ่ สดงสมบตั ิเฉพาะของเอทานอลและกรดแอซตี กิ ได้ เหมือนกนั หรอื ไม่

สารเคมีและอุปกรณ์

27

อปุ กรณ์ 4 หลอด
หลอดทดลองขนาดเลก็ 4 หลอด
หลอดทดลองขนาดกลาง
จุกยางเจาะรู 1 รู สา้ หรับปดิ หลอดทดลองขนาด 1 ชดุ
กลางพร้อมหลอดน้ากา๊ ซและสายยาง 3 อนั
หลอดหยด 4 หลอด
หลอดฉดี ยาขนาด 10 cm3

สารเคมี 2.5 cm3
เอทานอล 2.5 cm3

กรดแอซตี ิกเขม้ ขน้ 2 ชิ้น
โลหะโซเดยี มขนาดเทา่ เมล็ดถ่ัวเขียว 2 cm3
สารละลาย NaHCO3 0.5 mol / cm3 4 cm3
สารละลายแคลเซยี มไฮดรอกไซดอ์ ิ่มตวั
กระดาษลติ มสั สนี ้าเงินและสีแดง ชนดิ ละ 1 แผ่น

วิธีทดลอง

1. ใสเ่ อทานอล 10 หยด ลงในหลอดทดลองขนาดเล็ก ทดสอบดว้ ยกระ

ดาษลติ มัสแลว้ เตมิ น้า 10 หยด เขยา่ สงั เกตการละลาย

2. ใชค้ มี คบี โลหะโซเดยี มทีต่ ดั เตรียมไวแ้ ลว้ ขนาดเท่าเมล็ดถว่ั เขียว 1 ช้นิ

ซับน้ามันให้แห้งแลว้ ใส่ลงในหลอดทดลองขนาดเลก็ ท่ีมเี อทานอล อยู่
ประมาณ 0.5 cm3 สงั เกตการเปลี่ยนแปลง
3. เติมสารละลาย NaHCO3 0.5 mol / cm3 1 cm3 ลงในหลอดทดลอง
ขนาดกลางท่ีมเี อทานอล 1 cm3บรรจุอยู่ ปิดด้วยจุกที่มหี ลอดน้าก๊าซตอ่
ลงในหลอด ทดลองทีม่ ีนา้ ปนู ใสอยู่ 2 cm3สังเกตการเปลย่ี นแปลง

4. ท้าการทดลองตามขอ้ 1 – 3 ซ้า โดยใช้กรดแอซตี ิกแทนเอทานอล

บนั ทึกผลการทดลอง

28

การเปลี่ยน การเปลยี่ นสี การละลายน้า ปฏกิ ริ ิยากบั โลหะ ปฏิกริ ิยากบั
กระดาษลิตมัส โซเดยี ม NaHCO3
แปลง

สาร
เอทานอล

กรดแอซีติก

คาถามทา้ ยการทดลอง ชื่อ
..................................
1. เอทานอลและกรดแอซีติกมีสมบตั เิ หมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ
………………………………………………..……………………………………………………… ..................................
…………………………………………………..……………………………………………………
…………………………………………………………..……………………………………………
……………………………………………………………..…………………………………………
2. หมอู่ ะตอมทีแ่ สดงสมบัตเิ ฉพาะของเอทานอลและกรดแอซีตกิ คอื หมใู่ ด
…………………………………………………………………..……………………………………
………………………………………………………………………………………...………………
…………………………………………………………………………………………..……………

สรุปผลการทดลอง

…………………………………………………………………..……………………………………
………………………………………………………………………………………...………………
…………………………………………………………………………………………..……………
…………………………………………………………………..……………………………………
………………………………………………………………………………………...………………
…………………………………………………………………………………………..……………

29

หมู่อะตอมท่แี สดงสมบัตเิ ฉพาะในโมเลกลุ ของสารอินทรยี เ์ รยี กว่า หมูฟ่ ังกช์ ัน
(functional group) หม่ฟู ังก์ชนั ในลกั ษณะท่ตี ่างๆ กันจะสง่ ผลใหส้ ารอินทรียม์ ีสมบตั ิ
แตกต่างไมว่ ่าจะเป็นสภาพขว้ั ความเปน็ กรด-เบส ความว่องไวตอ่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีและรปู
แบบการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับสารอื่นๆ จึงมักใชห้ ม่ฟู ังกช์ ันเป็นเกณฑใ์ นการจ้าแนก
สารอนิ ทรยี ์ออกเป็นประเภทตา่ งๆดังตัวอย่างกรดแอซีติกและเอทานอลดังแสดงใน
ตารางท่ี 7 แสดงสมบัติของกรดแอซีตกิ และเอทานอล

ชื่อสาร สูตรโครงสร้าง หมฟู่ งั ก์ชนั สมบตั ิเดน่
เอทานอล ลวิ อสิ

–OH เกดิ ปฏิกริ ิยากับ Na ให้แก๊ส H2 มี
พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกลุ

กรดแอซตี ิก เปน็ กรดออ่ น มีกลิน่ ฉุน
O เกดิ ปฏิกิรยิ ากบั NaHCO3 ให้แก๊ส
C OH CO2

เกิดปฏิกิริยากบั Na ใหแ้ ก๊ส H2 มี
พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล

จากตวั อย่าง เม่อื ให้เอทานอลและกรดแอซีตกิ ทา้ ปฏกิ ริ ยิ ากับโลหะโซเดยี มปฏกิ ิรยิ า
ท่เี กดิ ข้ึนแสดงได้ ดงั น้ี

2CH3CH2OH + 2Na  2CH3CH2ONa + H2
เอทานอล โลหะโซเดียม โซเดยี มเอทอกไซด์ แก๊สไฮโดรเจน

2CH3CH2COOH + 2Na  2CH3COONa + H2
กรดแอซตี กิ โลหะโซเดยี ม โซเดยี มแอซีเตต แกส๊ ไฮโดรเจน

อธิบายไดว้ า่ เมอ่ื พิจารณาโครงสรา้ งของเอทานอล ออกซิเจนทเ่ี กิดพันธะโคเวเลนต์

แบบพันธะเดี่ยวกับไฮโดรเจน มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตสี งู มาก อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะท่ี

ใชร้ ่วมกบั ไฮโดรเจนจงึ ถกู ดงึ ไปอยู่ทางดา้ นออกซเิ จนมากกวา่ ทา้ ให้ไฮโดรเจนหลุดไปเป็น
โปรตอน (H+) และโลหะโซเดียมจงึ เขา้ แทนท่ีตา้ แหนง่ ของไฮโดรเจนทีห่ ลดุ ไปแต่

ความเป็นกรดของเอทานอลน้อยมาก จึงไม่สามารถท้าปฏิกิรยิ ากับโซเดยี ม

30

ไฮโดรเจนคารบ์ อเนต ที่จดั เปน็ เบสออ่ นมากได้ ดังน้นั หมู่ไฮดรอกซลิ (OH) จึงเปน็
กลุ่มอะตอมท่แี สดงสมบั ตเิ ฉพาะตวั ของเอทานอล ขณะเกิดปฏกิ ริ ิยาจะเกิดการ
เปลยี่ นแปลงที่หมู่ไฮดรอกซลิ หมไู่ ฮดรอกซลิ จงึ ถือเปน็ หมฟู่ งั ก์ชัน ของเอ
ทานอล

กรณีของกรดแอซีติก เม่อื พจิ ารณาโครงสร้าง จะเห็นไดว้ า่ ออกซเิ จนทเี่ กดิ
พันธะคู่กับคาร์บอนมคี ่าอเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ สี งู กวา่ คาร์บอนอิเล็ กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ
ระหว่างออกซิเจนกบั คาร์บอนจึงถูกดงึ ไปอย่ทู างด้านออกซเิ จนมากกวา่ อะตอม
คาร์บอนจงึ ดงึ อเิ ล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะ ระหวา่ งในพนั ธะเดี่ยว C-O มาชดเชยทา้ ให้
ออกซเิ จนซ่ึงเกดิ พันธะกบั ไฮโดรเจนดึงอิเลก็ ตรอน คู่ร่วมพนั ธะเขา้ หาอะตอม
ออกซเิ จนไดด้ ีกวา่ กรณีเอทานอ ล ไฮโดรเจนอะตอมจงึ หลุดไปเปน็ โปรตอน (H+)
ได้งา่ ยกวา่ เอทานอล ทงั้ นีเ้ พราะมี C=O ช่วยดึงอิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพนั ธะระหวา่ ง
ไฮโดรเจนกับออกซิเจน กรดแอซีตกิ จึงแสดงความเปน็ กรดมากกว่าเอทานอล
สามารถเปลยี่ นสกี ระดาษลติ มสั จากน้าเงนิ เปน็ แดงได้

และกรดแอซีติกเท่านัน้ ทที่ ้า ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลายโซเดยี มไฮโดรเจน
คาร์บอเนต โดยเมอื่ ทดสอบผลติ ภัณฑ์ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ทเี่ กดิ ขึน้ ด้วย
แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ จะเกิดเป็น ตะกอนขาวขุ่นของแคลเซยี มคาร์บอเนต
ปฏกิ ริ ยิ าที่เกิดขึ้นแสดงได้ ดงั นี้

CH3COOH + NaHCO3  CH3COONa + H2O + CO2
กรดแอซีติก โซเดียมไฮโดรเจน โซเดียมแอซีเตต น้า คาร์บอนได

คาร์บอเนต ออกไซด์

CดOงั น2 ัน้ จากส+มบัตCแิ aล(ะOปHฏ)กิ2 ริ ยิ าของเอทานCอaลCแOล3ะกรดแ+อ ซีติกHส2Oรปุ ได้สาร
ทคง้ั าสรอ์บงอชนนดิไดจะอมอกีกลไุม่ซอดะ์ ตแอคมลทเแ่ี ซสียดมงสมบตั แเิ ฉคพลาเซะียหมรคอื หารม์บ่ฟู อังเกนช์ ตนั แตก น้า
ต่างกัน ไฮดรอกไซด์

จากปฏกิ ิริยาของกรดแอซีติก จะเกิดการเปล่ียนแปลงท่ีหมู่คาร์บอกซลิ

O

( C OH) ดังนัน้ หมู่คาร์บอกซลิ จงึ เป็นกลมุ่ อะตอมทีแ่ สดงสมบัตเิ ฉพาะตัว
ของกรดแอซีติก

ดงั นนั้ จากสมบัตแิ ละปฏิกิรยิ าของเอทานอลและกรดแอซตี ิก สรปุ ได้
ว่าสารทั้งสองชนดิ จะมกี ลมุ่ อะตอมที่แสดงสมบัตเิ ฉพาะหรอื หมฟู่ ังกช์ ันแตกต่างกัน

ร่วม กนั คดิ 4 31

1. จงบอกประเภทของสารอนิ ทรยี ต์ อ่ ไปน้พี ร้อมทัง้ ระบุชื่อหมฟู่ ังกช์ ันของสารแต่ละชนิด

สาร ประเภทของสารอินทรยี ์ ชอ่ื หมูฟ่ ังก์ชนั

2. จงวงกลมล้อมรอบหม่ฟู งั กช์ นั ทอ่ี ยใู่ นโมเลกุลของธาซอล (taxol) ซึ่งเปน็ สารต้านมะเรง็ พร้อมทง้ั ระบชุ ่อื ของหมู่
ฟังก์ชนั แตล่ ะต้าแหน่ง

ประเมนิ ตนเอง : จากการทา้ กจิ กรรมขอ้ ท่ี 3 นักเรียนอยใู่ นระดบั ใด

 ดีมาก  ดี  พอใช้  ปรับปรุง

32

ตรวจสอบความรู้ นาสปู่ ัญญา

ขน้ั ที่ 2 สรา้ งความรู้ ปฏิบตั ิการ ฝึ กทา : ฝึ กสร้าง
Combination

สบื ค้นขอ้ มลู สารอินทรีย์ (เฉพาะสารบริสทุ ธ)ิ์ ทส่ี นใจมา 1
ชนดิ และบนั ทกึ ขอ้ มูลดังแสดงในตารางดา้ นล่าง ( 10 คะแนน)

๗)

ข้อมลู ที่สบื คน้

แหลง่ สบื คน้ ขอ้ มลู ชือ่ สาร…………………………………..……….….
สูตรโมเลกลุ ………………………………..……….
............................................... สูตรโครงสรา้ งลวิ อสิ
...............................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
...............................................
คณุ สมบัติของสาร

......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

33

สารอินทรยี ข์ องคาร์บอน
จงเขียนบรรยายเปน็ ข้อความ เร่อื ง สารอนิ ทรียข์ องคารบ์ อน เพอ่ื สรุปความรู้ทีไ่ ดจ้ ากผัง
มโนทัศน์ ดงั แผนภาพ ( 10 คะแนน )

......................................... ............................................. ..........................................................................
...................................................................................... .................................................. ........................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................... ..........................................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
.............................................................. ..................................................................................................
...................................................................................... ....................................................................... ...
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................
...................................................................................... ..........................................................................

34

นกั วิทยฯ์ คิดอยา่ งมีวิจารณญาณ

ขน้ั ท่ี 3 ซึมซบั ความรู้ ปฏิบัติการ คิดดี ผลงานดี มคี วามสขุ
Assimlation

สถานการณ์ 1 ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาคน้ คว้าการท้าระบบก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และ
ขยะอนิ ทรีย์พร้อมระบุแหล่งทีม่ าแลว้ บันทกึ ขอ้ มลู

……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..

35

……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..

แหลง่ สบื คน้ ขอ้ มลู

……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..

36

สถานการณ์ 2 ให้นักเรียนแต่ละกล่มุ เขยี นโครงการทา้ ระบบกา๊ ซชวี ภาพจากมูลสัตว์

และขยะอนิ ทรีย์ ในโรงเรยี นของนกั เรียนพรอ้ มระบุรายละเอยี ด

ดงั ต่อไปน้ี

1. วางแผนปฏิบตั ิโครงการ

1.1 ตงั้ ช่ือโครงการ

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

1.2 ตั้งปัญหา

............................................................................................................................. .....................................

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

............................................................................................................................. .....................................

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

1.3 ตง้ั สมมติฐาน (คาดคะเนค้าตอบลว่ งหนา้ )

............................................................................................................................. .....................................

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

............................................................................................................................. .....................................

1.4 วางแผนปฏบิ ัติการ

1) วิธดี ้าเนินการ

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

............................................................................................................................. .....................................

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

............................................................................................................................... ...................................

..................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .....................................

...................................................................................................................................................... ............

...................................................................................................................... ............................................

............................................................................................................................. .....................................

37

2) วัสดุ อุปกรณ์
........................................................................................................................................................... .......
........................................................................................................................... .......................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
3) ระยะเวลา
..................................................................................................................................................................
2. ปฏบิ ตั ิ พรอ้ มบันทกึ ผลการทดลอง
............................................................................................................................ ......................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
.................................................................................................................................... ..............................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
........................................................................................................................................................... .......
........................................................................................................................... .......................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
3. สรุปผลการทดลอง
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
........................................................................................................................................ ..........................

38

..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................................................... ...
4. ข้อเสนอแนะ
................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................

การจดั ทา้ โครงการ เป็นการเตรยี มการเพ่ือ
การกระทา้ อย่างใดอยา่ งหน่งึ เพ่อื หาทางปฏบิ ตั หิ รอื
ดา้ เนินการใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคข์ องก ารกระทา้ นัน้
ๆ อยา่ งแน่ชดั และมีระบบข้นั ตอน และโครงการจะ
เปน็ ส่ิงชว่ ยช้แี นะแนวทางก้าหนดลักษณะและ
ขอบข่ายของการดา้ เนินงาน รวมทง้ั กา้ หนด
เปา้ หมายของการทา้ งานน้นั

เลม่ ที่ 1 เร่อื ง รูจ้ ักสารอนิ ทรยี ์ แบบทดสอบหลังเรียน 39
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6
ภาคเรยี นที่ 1 วชิ าเคมี
เวลา 15 นาที

คาสงั่ 1.ใหน้ ักเรยี นเขยี นเครอ่ื งหมาย X ลงในขอ้ ที่นกั เรียนคิดวา่ ถูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงข้อเดยี ว
2.ขอ้ สอบมีทัง้ หมด 20 ขอ้ ให้นกั เรียนทา้ ทุกข้อ ใชเ้ วลาในการทา้ 15 นาที

1. สมบัตใิ ดทีแ่ สดงว่าสารตัวอยา่ งจดั เป็นสารอินทรีย์

ก. เผาไหมใ้ หแ้ ก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ข. ละลายนา้ ได้

ค. จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวสงู ง. เกดิ พันธะไอออนิกภายในโมเลกลุ

2. เพราะเหตุใดคาร์บอนจงึ เกดิ สารประกอบเปน็ จ้านวนมากได้

ก. คารบ์ อนสามารถเกิดสารประกอบโคเวเลนต์ได้

ข. คารบ์ อนแตล่ ะอะตอมสามารถใช้อิเล็กตรอนรว่ มกนั เองได้

ค. คาร์บอนแตล่ ะอะตอมสามารถใชอ้ เิ ล็กตรอนรว่ มกบั อะตอมอนื่ ได้

ง. ถกู ท้ัง ก, ข และ ค

3. สารในข้อใดไมใ่ ช่สารอินทรีย์ทัง้ หมด

ก. CH3COOK , CH3COOH ข. CH3CH2CN , C6H5COCl

ค. C5H10 , NaHCO3 ง. CCl4 , CO2

4. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกตอ้ งเกยี่ วกบั อะตอมธาตุคาร์บอน

ก. สร้างพันธะกบั อะตอม C ดว้ ยกัน ไดม้ ากกว่า 1 อะตอม

ข. สร้างพันธะกบั อะตอม H ได้ถึง 4 อะตอม

ค. สร้างพนั ธะกับอะตอมธาตอุ ื่นได้ 3 พนั ธะ

ง. อย่ใู นหมู่ 4A มีเวเลนซอ์ ิเล็กตรอน 4

5. ขอ้ ใดแสดงการเกิดพันธะของคารบ์ อนไมถ่ ูกตอ้ ง

ก. ข.

ค. ง.

6. ข้อใดเปน็ สูตรโมเลกุลของสารท่มี ีสตู รโครงสรา้ งแบบเสน้ และมุมเปน็

ก. C5H9N ข. C5H11N ค. C6H11N ง. C6H12N

40

7. จากสตู รโครงสรา้ งแบบผสมของ CH3- CH2- CH2- CH2=CH2- CH3 เขยี นแสดงสูตร โครงสรา้ งแบบย่อไดแ้ บบ
ใด

ก. (CH3)2(CH2)4 ข. CH3(CH2)4CH3

ค. (CH3)2(CH2)2CH2= CH2 ง. CH3(CH2)2CH2 = CH2CH3

8. สาร CH3CH=CHCH(CH3) CH2CH3 มสี ตู รโครงสร้างแบบเส้นและมุมดงั ขอ้ ใด

ก. ข.

ค. ง.
9. สตู รโครงสรา้ งอย่างย่อของสารประกอบข้างลา่ งนค้ี ือข้อใด

ก. CH3 CH(CH3) CH COCH2 CH(CH3)2 ข. (CH3) 2CH CH2COCH2 CH(CH3)2
ค. CH3 (CH3) CH CH2COCH2 CH(CH3)2 ง. (CH3)3 C(CH3)2 COO(CH2)2 CH3

10. สารท่มี ีสตู รโครงสร้างเป็น OH สูตรโครงสร้างแบบย่อคอื ข้อใด

ก. CH3 CH2CH=CHCH2CH(CH3)CH2-OH ข. CH3CH=CHCH (CH3)CH2-OH
ค. CH3 CH2CH=CHCH(CH3) CH2- OH ง. CH3CH=CHCH(CH3)CH2CH2OH
11. ข้อใดเป็นหมู่ฟงั กช์ ันของกรดอินทรีย์

ก. -OH ข. –O- ค. ง.

12. ขอ้ ใดเปน็ แอลกอฮอล์

ก. ข. C6H5OH ค. ง. CH3CHO
13. ข้อใดคือความหมายของไอโซเมอรซิ ึม ?

ก. ปรากฏการณ์ที่สารระเหยเปน็ ไอโดยการระเหดิ

ข. ปรากฏการณท์ ี่สารมีสูตรโมเลกุลตา่ งกนั แต่สตู รโครงสรา้ งเหมอื นกนั

ค. ปรากฏการณท์ สี่ ารมีสตู รโมเลกุลเหมอื นกนั แตส่ ูตรโครงสร้างตา่ งกนั

ง. ปรากฏการณท์ สี่ ารมีสูตรโมเลกุลคล้ายคลึงกัน แตส่ ตู รโครงสรา้ งต่างกัน

14. สารประกอบอินทรยี ์ต่อไปน้ี ข้อใดไมเ่ ป็นไอโซเมอร์กัน

ก. CH2= CHCH(CH3)2 กบั (CH3)2CHCH = CH2
ข. CH3OCH3 กับ CH3CH2OH
ค. (CH3CH2)2CHCH3 กับ CH3CH2C(CH3)3

41

ง. กบั

15. สารตอ่ ไปนคี้ ใู่ ดจัดเปน็ ไอโซเมอร์กนั O

ก. HOCH2CH2OH , CH3COOH ข. CH3CH2CH2 C – H ,

ค. CH3COOCH3 , CH3COOCH2CH3 ง. CH3NHCH2CH3 , CH3CH2NHCH3

16. ขอ้ ใดเปน็ หลกั การพิจารณาการเกิดไอโซเมอร์

4. พจิ ารณาโครงสรา้ งของโมเลกลุ

5. พิจารณาว่ามีสูตรโมเลกลุ เหมอื นกันหรอื ไม่

6. พจิ ารณาวา่ มีธาตทุ ี่เป็นองค์ประกอบเป็นธาตอุ ยา่ งเดยี วกนั

ก. ข้อ 1 และ 2 ข. ข้อ 1 และ 3 ค. ขอ้ 2 และ 3 ง. ข้อ1, 2 และ 3

17. จากสูตรโมเลกุล C4H8 เขียนสูตรโครงสร้างท่เี ปน็ ไอโซเมอร์ซ่ึงกันและกนั ได้กีแ่ บบ

ก. 3 แบบ ข. 4 แบบ ค. 5 แบบ ง. 6 แบบ

18. สารอินทรีย์ท่มี สี ตู รโมเลกุลเปน็ C6H12 จะมีไอโซเมอร์ท่มี ีโครงสรา้ งแบบวงไดม้ ากทสี่ ดุ ก่ไี อโซเมอร์

ก. 10 ไอโซเมอร์ ข. 11 ไอโซเมอร์ ค. 12 ไอโซเมอร์ ง. 13 ไอโซเมอร์

19. จากการทดสอบสมบัตขิ องสาร A พบวา่

1. สารละลายไมน่ ้าไฟฟา้ 2. ตดิ ไฟไดไ้ ม่มเี ขมา่

3. ทา้ ปฏิกริ ยิ ากับกรดอนิ ทรยี ไ์ ด้ 4. ทา้ ปฏกิ ริ ิยากับ Na ให้ก๊าซ H2
สาร A คอื ขอ้ ใด O

ก. R - OH ข. CnH2n+2 ค. R - C - OH ง. CnH2n

20. ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ งเก่ยี วกบั กรดอนิ ทรยี ์

ก. ไมเ่ กดิ ปฏิกิริยากบั สารประกอบ NaHCO3 ข. ทา้ ปฏกิ ิริยากับโลหะหมู่ IA ได้กา๊ ซไฮโดรเจน

ค. เกดิ ปฏกิ ิริยาสะเทนิ กับเบสได้ ง. จุดเดอื ดสูงข้นึ เม่อื คารบ์ อนอะตอมเพม่ิ ขน้ึ

******************************************************************************

คะแนนเต็ม 20 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

42

บรรณานุกรม

สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทโนโลย,ี สถาบัน. (2554).คู่มือครูสาระการเรยี นรู้พ้ืนฐานและเพม่ิ เติม
เคมี เล่ม 5.พมิ พ์ครง้ั ที่ 1 ; กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.

ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทโนโลย,ี สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนงั สือเรียนสาระการเรยี นรู้
พ้ืนฐานและเพ่มิ เติมเคมี เลม่ 5. กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6.(2554)
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว.

สาราญ พฤกษส์ นุ ทร. (2549).สรปุ และตะลยุ โจทยเ์ คมี ม. 6 เลม่ 5. กรงุ เทพฯ : พ.ศ. พฒั นา
รศ. ดร.นิพนธ์ ตังคณานรุ กั ษ์, รศ.คณิตา ตงั คณานรุ กั ษ,์ (2554).Compact เคมี ม. 6 เลม่ 5. กรงุ เทพฯ

: แมค็ .
สุทัศน์ ไตรสถติ วร. (มปป).เคมี ม. 5 เล่ม 4 ว033. กรุงเทพฯ : ไฮเอด็ พบั ลซิ ่ิง.


Click to View FlipBook Version