รายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ (กลอนแปด)
จดั ทำโดย
๑.ด.ช.ธนาพร มงั+ สอน ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑
๒.ด.ช.ธาวนิ มีแสง ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๗
๓.ด.ช.ดุลยตุ ม์ องคส์ วสั ด@ิ ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑๓
๔.ด.ช.เมธพนธ์ จาํ ปางาม ม.๒.๑๔ เลขที+ ๑๖
๕.ด.ช.ณฏั ฐกรณ์ ทบั เลก็ ม.๒.๑๔ เลขที+๑๗
๖.ด.ช.นนั ทกร นิลมณี ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑๙
๗.ด.ช.อยั การ เชNือชีลอง ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๓๒
เสนอ
คุณครูลฎาภา เผอื กอ่อน
รายงานฉบบั นี้เปน็ สว่ นหนง่ึ ของ
วิชาภาษาไทย (ท๒๒๑๐๑)
โรงเรียนพิษณุโลกพทิ ยาคม
ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๕
รายงานการศึกษาคน้ ควา้ (กลอนแปด)
จัดทำโดย
๑.ด.ช.ธนาพร มง+ั สอน ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑
๒.ด.ช.ธาวนิ มีแสง ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๗
๓.ด.ช.ดุลยตุ ม์ องคส์ วสั ด@ิ ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑๓
๔.ด.ช.เมธพนธ์ จาํ ปางาม ม.๒.๑๔ เลขที+ ๑๖
๕.ด.ช.ณฏั ฐกรณ์ ทบั เลก็ ม.๒.๑๔ เลขที+๑๗
๖.ด.ช.นนั ทกร นิลมณี ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๑๙
๗.ด.ช.อยั การ เชNือชีลอง ม.๒.๑๔ เลขท+ี ๓๒
เสนอ
คุณครูลฎาภา เผอื กอ่อน
รายงานฉบับนเี้ ป็นส่วนหนง่ึ ของ
วิชาภาษาไทย (ท๒๒๑๐๑)
โรงเรียนพษิ ณโุ ลกพทิ ยาคม
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕
ก
คำนำ
รายงานเล่มนNีจดั ทาํ ขNึนเพ+ือเป็นส่วนหน+ึงของวชิ าภาษาไทย รหสั วชิ า ท๒๒๑๐๑
ชNนั มธั ยมศึกษาปี ท+ี 2 วตั ถุประสงคเ์ พื+อใหไ้ ดศ้ ึกษาหาความรู้ในเร+ืองกลอนแปดหรือกลอนสุภาพ
และไดศ้ ึกษาอยา่ งเขา้ ใจเพ+ือเป็นประโยชนก์ บั การเรียนในชNนั เรียน
ผจู้ ดั ทาํ หวงั วา่ รายงานเล่มนNีจะเป็นประโยชนก์ บั ผอู้ ่าน หรือนกั เรียน ที+กาํ ลงั หาขอ้ มูลเรื+อง
นNีอยู่ หากมีขอ้ แนะนาํ หรือขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทาํ ขอนอ้ มรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ท+ีนNี
ดว้ ย
คณะผจู้ ดั ทำ
๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข
เรอ่ื ง หน้า
คาํ นาํ ก
สารบญั ข
บทนาํ กลอนสุภาพ (กลอนแปด) ๑
เนNือหาสาระกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ๒
กลอนขบั ร้อง ๒
๒
- กลอนบทละคร ๓
- กลอนเสภา ๔
- กลอนสกั วา ๕
- กลอนดอกสร้อย ๖
กลอนอ่าน ๖
- กลอนนิทาน ๗
- กลอนเพลงยาว ๘
- กลอนนิราศ ๙
บทสรุป ๑๐
บรรณานุกรม ๑๑
ภากผนวก ๑๒
อภิธานศพั ท์ ๑๓
ดชั นี
๑
บทนำ
กลอนสุภาพ (กลอนแปด) เป็นกลอนประเภทหน+ึง ซ+ึงลกั ษณะคาํ ประพนั ธ์ของ
ภาษาไทย ที+เรียบเรียงเขา้ เป็นคณะ ใชถ้ อ้ ยคาํ และทาํ นองเรียบ ๆ ซ+ึงนบั ไดว้ า่ กลอนสุภาพเป็น
กลอนหลกั ของกลอนทNงั หมด เพราะเป็นพNืนฐานของกลอนหลายชนิด หากเขา้ ใจกลอนสุภาพ ก็
สามารถเขา้ ใจกลอนอ+ืน ๆ ไดง้ ่ายขNึน
คาํ ประพนั ธ์ ท+ีต่อทา้ ยวา่ "สุภาพ" นบั วา่ เป็นคาํ ประพนั ธ์ท+ีแสดงลกั ษณะเป็นไทยแท้ ดว้ ยมี
ขอ้ บงั คบั ในเร+ือง "รูปวรรณยกุ ต"์ ในกลอนสุภาพนอกจากมีบงั คบั เสียงสระเป็นแบบแผนเช่น
กลอนปกติแลว้ ยงั บงั คบั รูปวรรณยกุ ตเ์ พ+ิม จึงมีขอ้ จาํ กดั ทNงั รูปและเสียงวรรณยกุ ต์ [1] เป็นการ
แสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานในการใชภ้ าษาไทยของผแู้ ต่งใหเ้ ด่นชดั ยงิ+ ขNึน
คาํ ประพนั ธ์กลอนสุภาพนิยมเล่นกนั มากตNงั แต่สมยั อยธุ ยา จวบจนถึงปัจจุบนั ในตน้
รัตนโกสินทร์นNนั งานกลอนสุภาพเด่นชดั ในรัชกาลท+ี 2 ซ+ึงเฟื+ องฟูถึงขนาดมีการแข่งขนั ต่อกลอน
สด กลอนกระทู้ ตลอดรัชสมยั มีผลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอน
ละคร กลอนตาํ ราวดั โพธ@ิ เป็นตน้ บทพระราชนิพนธ์เรื+อง เงาะป่ า กเ็ กิดขNึนในยคุ นNี ยงั มีกวที ่าน
อื+นที+มีชื+อเสียง เช่น สุนทรภู่ เป็นตน้ และในสมยั รัชกาลที+ 6 กม็ ีปราชญก์ วที างกลอนสุภาพท+ี
สาํ คญั หลายท่านเช่นกนั
๒
เนอื้ หาสาระ
กลอนขบั รอ้ ง
กลอนขบั ร้อง คือกลอนท+ีแต่งเป็นลาํ นาํ เพื+อใชส้ าํ หรับขบั ร้อง ไดแ้ ก่ บทละคร บท
เสภา บทสกั วา บทดอกสร้อย
๑.กลอนบทละคร
กลอนบทละคร คือคาํ กลอนท+ีแต่งขNึนเพ+ือแสดงละครรํา เช่น พระราชนิพนธ์บทละคร
เร+ืองรามเกียรต@ิ, พระราชนิพนธ์ บทละครเร+ืองอิเหนา เป็นตน้
กลอนบทละครมีลกั ษณะบงั คบั เช่นเดียวกบั กลอนสุภาพ วรรคหน+ึงมี 6 ถึง 9 คาํ แต่นิยม
ใชเ้ พียง 6 ถึง 7 คาํ จึงจะเขา้ จงั หวะร้องและรําทาํ ใหไ้ พเราะยง+ิ ขNึน กลอนบทละครมกั จะ
ขNึนตน้ วา่ “เมื+อนNนั ” สาํ หรับตวั ละครท+ีเป็นกษตั ริยห์ รือผมู้ ีบรรดาศกั ด@ิสูง บดั นNนั สาํ หรับ
ตวั ละครที+เป็นเสนาหรือคนทว+ั ไป มาจะกล่าวบทไป ใชส้ าํ หรับนาํ เร+ือง เกร+ินเรื+อง
ผงั กลอนบทละคร
ตวั อยา่ งบทละคร เร+ืองอิเหนา ถึงทา้ วกเุ รปันเป็นใหญ่
ยงั พิชยั ดาหาธานี
มาจะกล่าวบทไป ใหแ้ ก่อิเหนาเรืองศรี
ใหแ้ ต่ตุนาหงนั ไป ไม่มีศกั ด@ิอื+นมาแปมปน
กล่าวระเด่นบุษบานงเยาว์
ตามขนาดบูรพร์ าชประเพณี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
๓
๒.กลอนเสภา
กลอนเสภา คือกลอนลาํ นาํ สาํ หรับขบั ร้อง เชื+อวา่ พฒั นามาจากการเล่านิทาน มีกรับเป็น
เครื+องประกอบการร้องท+ีสาํ คญั ผขู้ บั เสภาตอ้ งขยบั กรับใหเ้ ขา้ กบั ทาํ นองบางครNังกใ็ ชข้ ลุ่ย
ช่วย ลาํ นาํ เสภาเดิมนิยมขบั ร้องเป็นเรื+องราว มีท่วงทาํ นองการขบั หลายทาํ นอง เรียกช+ือตาม
ทาํ นองวา่ เสภารบ เสภาไทย เสภาลาว เสภามอญ เร+ืองที+นิยมขบั เสภา คือ เรื+องขนุ ชา้ ง
ขนุ แผน นกั ขบั เสภาที+มีช+ือเสียงเรียกกนั วา่ ครูเสภา ในสมยั รัตนโกสินทร์มี หลายคน
เช่น
ครูแจง้ คลา้ ยสีทอง
คาํ ขNึนตน้ ลาํ นาํ บทเสภามกั นิยมใชค้ าํ สองคาํ คือ “ครานNนั ” กบั “จะกล่าวถึง” เช่น ครานNนั วนั
ทองผอ่ งโสภา จะกล่าวถึงขนุ ชา้ งนงั+ วางท่า เป็นตน้
ผงั กลอนเสภา
ตวั อยา่ งกลอนเสภา แหลมฉลาดเลขผาปัญญาขยนั
ครานNนั พลายงามทรามสวาท ทุกคืนวนั ตามหลงั เขา้ วงั ใน
คอยฟังตรัสตรึกตราอชั ฌาสยั
อยบู่ า้ นพระหมื+นศรียนิ ดีครัน ดว้ ยมิไดค้ บเพ+ือนเท+ียวเชือนแช
เธอเขา้ เฝ้าเจา้ กน็ ง+ั บงั ไมด้ ดั
ค่อยรู้กิจผดิ ชอบรอบคอบไป สุนทรภู่
๔
๓.กลอนสกั วา
กลอนสกั วา หรือกลอนสกั วา มีมาตNงั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา ววิ ฒั นาการมาจากการเล่นเพลง เห่
เรือ เรียก ชา้ ละวะเห่ หรือสาละวา ออกเสียงเร็ว ๆ เป็น สะกระวา และทา้ ยสุดกลายเป็น สกั วา ผู้
เล่นสกั วาตอ้ งแสดงปฏิภาณไหวพริบคิดกลอนสดโตต้ อบกนั
กลอนสกั วา 1 บท มี 4 บาท(8 วรรค) บงั คบั ขNึนวรรคแรกดว้ ยคาํ วา่ “สกั วา” และจบดว้ ยคาํ วา่
“เอย” กาํ หนดจาํ นวนคาํ ในหน+ึงวรรค มี 7 ถึง 9 คาํ มีสมั ผสั บงั คบั เช่นเดียวกบั กลอนสุภาพและ
กลอนดอกสร้อย
ผงั กลอนสกั วา
ตวั อยา่ งกลอนสกั วา
สกั วาหวานอื+นมีหมื+นแสน ไม่เหมือนแมน้ พจมานที+หวานหอม
อาจจะนอ้ มจิตโนม้ ดว้ ยโลมลม
กลิ+นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม ดงั ดูดด+ืมบอระเพด็ ตอ้ งเขด็ ขม
แมน้ ลอ้ ลามหยามหยาบไม่ปลาบปลNืม ใครฟังลมเมินหนา้ ระอาเอย
ผดู้ ีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ
๕
๔.กลอนดอกสรอ้ ย
ดอกสร้อย หรือกลอนดอกสร้อยเป็นกลอนสมยั ใหม่ แต่งขNึนเพ+ือใชข้ บั ร้องเช่นเดียวกบั กลอน
สกั วา ต่อมานิยมแต่งเพ+ือใชเ้ ป็นบทกลอนสอนใจสาํ หรับเดก็ ๆ เพ+ือใหจ้ ดจาํ ไดง้ ่าย และบางครNัง
อาจแต่งเพ+ือใชใ้ นเรื+องอ+ืน ๆ
กลอนดอกสร้อย 1 บท มี 4 บาท(8 วรรค) ในวรรคแรกบงั คบั ใหค้ าํ ท+ี 2 ใชค้ าํ วา่ “เอ๋ย” ส่วน
คาํ ที+ 1 ใหซ้ Nาํ กบั คาํ ท+ี 3 เช่น แมวเอ๋ยแมวเหมียว ดอกเอ๋ยดอกไม้ ในเรื+องคาํ สมั ผสั กาํ หนดใหม้ ี
สมั ผสั บงั คบั เช่นเดียวกบั กลอนสุภาพ และจบบทดว้ ยคาํ วา่ “เอย”ในคาํ สุดทา้ ยของวรรคที+แปด
ผงั กลอนดอกสร้อย
ตวั อยา่ งกลอนดอกสร้อย เห็นใบพงลงคาบค่อยเพียรขน
นกเอ๋ยนกกระจาบ
ราวกบั คนช่างพินิจคิดทาํ รัง
มาสอดสอยดว้ ยจะงอยปากของตน อยพู่ กั ร้อนนอนร่มไดส้ มหวงั
ช่างละเอียดเสียดสลบั ออกซบั ซอ้ น ใหไ้ ดด้ งั นกกระจาบไม่หยาบเอย
แมท้ าํ การหมนั+ พินิจคิดระวงั
นายพดั เปรียญ
๖
กลอนอา่ น
กลอนอ่าน เป็นกลอนที+ผแู้ ต่งมีจุดมุ่งหมายแต่งไวส้ าํ หรับอ่านเพื+อความเพลิดเพลิน ไดแ้ ก่
กลอนนิทาน กลอนเพลงยาว กลอนนิราศ
๑.กลอนนิทาน
กลอนนิทานมีลกั ษณะเหมือนกลอนนิราศ ขNึนตน้ ดว้ ยวรรครับ แลว้ แต่งเป็นเร+ืองยาวๆ
ทาํ นองนิทานหรือนิยาย มีพระเอกนางเอก มีตวั ผรู้ ้ายหรือตวั อิจฉา อิงหลกั ธรรมในศาสนา
อาจจะมีการรบทพั จบั ศึก กระบวนการสงครามหรือมีความลึกลบั มหศั จรรย์ การแสดงอภินิหาร
หรือความสามารถของตวั เอกในเร+ืองอาจจะแฝงดว้ ยลทั ธิ ไสยศาสตร์มกั จะลงเอยดว้ ย ฝ่ ายดี
หรือฝ่ ายธรรมชนะอธรรม
นิยาย ทาํ นองนNีมกั จะเป็นเร+ืองเก+ียวกบั กษตั ริยห์ รือเร+ืองจกั รๆวงศๆ์ เป็นนิยายประโลมโลก
ท+ีอ่านเพื+อความบนั เทิง แต่กไ็ ดค้ ติขอ้ คิดจากเรื+องเหล่านNี (วเิ ชียร เกษประทุม ลกั ษณะคาํ
ประพนั ธ์ไทย )
ตวั อยา่ งเรื+องที+แต่ง เป็นกลอนนิทานเช่น เรื+องพระอภยั มณี
เรื+อง พระอภยั มณี
๗
๒.กลอนเพลงยาว
กลอนเพลงยาวเป็นกลอนท+ีบงั คบั บทขNึนตน้ เพียง ๓ วรรค จดั เป็นกลอนขNึนตน้ ไม่เตม็ บท
ขNึนตน้ ดว้ ยวรรครับในบทแรก ส่วนบทต่อๆไป คงมี ๔ วรรคตลอด สมั ผสั เป็นแบบกลอน
สุภาพ ไม่จาํ กดั ความยาวในการแต่ง แต่นิยมจบดว้ ยบาทคู่ และตอ้ งลงดว้ ยคาํ วา่ เอย จาํ นวนคาํ ใน
วรรคอยรู่ ะหวา่ ง ๗-๙ คาํ วตั ถุประสงคืสาํ คญั ของเพลงยาวคือใชเ้ ป็นจดหมายโตต้ อบ ระหวา่ ง
ชาย -หญิง เพลงยาวปรากฎขNึนสมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลาย ไดแ้ ก่ เพลงยาวพระราชนิพนธ์ เจา้
ฟ้าธรรมาธิเบศร์ ท+ีกล่าวกนั วา่ ทรงนิพนธ์ใหแ้ ก่เจา้ ฟ้าสงั วาล โดยเหตุที+วตั ถุประสงคส์ าํ คญั ของ
กลอนเพลงยาว คือใชเ้ ป็นจดหมายรักและจบลงดว้ ยคาํ วา่ "เอย"จึงเป็นที+มาของสาํ นวน "ลงเอย"
ในภาษาไทยหมายถึงการตกลงปลงใจที+จะร่วมชีวติ คู่ ของ ชาย-หญิงส่วนชื+อ"เพลงยาว" น่าจะ
เกิดจากเนNือความของจดหมายแต่ละฉบบั ท+ีมีขนาดยดื ยาว หรืออีกประการหน+ึงอาจเกิดจาก
ระยะเวลา ในการผกู สมคั รรักใคร่ และโตต้ อบจดหมายกนั จน"ลงเอย"ใชเ้ วลานานกเ็ ป็นได้
อน+ึงอาจกล่าวไดว้ า่ "เพลงยาว"เป็นตวั การสาํ คญั ฃขอ้ หน+ึงท+ีทาํ ใหผ้ หู้ ญิงไทยสมยั ก่อนไม่
มีโอกาสไดร้ ับการศึกษา เพราะผใู้ หญ่ไม่ส่งเสริม เนื+องจากเกรงวา่ เม+ืออ่านออกเขียนไดแ้ ลว้
จะริ"เล่นเพลงยาว"และอาจก่อใหเ้ กิดเรื+องราวเชิงชูส้ าวใหเ้ ป็นที+เส+ือมเสียวงศต์ ระกลู
๘
๓.กลอนนริ าศ
กลอนนิราศ คือคาํ กลอนที+แต่งขNึนเพื+อเล่าเรื+องการเดินทางไปยงั แห่งใดแห่งหน+ึงโดยรําพนั
ถึงการจากคนที+รักไปยงั แห่งนNนั และไม่จาํ เป็นวา่ คนท+ีรักจะมีตวั ตนจริงหรือไม่ การประพนั ธ์
ตอ้ งใชศ้ ิลปะในการรําพนั ใหไ้ พเราะกินใจผอู้ ่าน กลอนนิราศที+นิยมวา่ แต่งดีไดแ้ ก่ นิราศของ
สุนทรภู่ เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศพระบาท เป็นตน้ ส่วนนิราศเร+ืองอื+นท+ีนบั วา่ ไพเราะดว้ ย
ความพรรณนา เช่น นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทยั นิราศรอบโลก ของแสงทอง
กลอนนิราศมีลกั ษณะบงั คบั อยา่ งกลอนทวั+ ไป กาํ หนดลกั ษณะเฉพาะเช่นเดียวกบั กลอน
เพลงยาว คือขNึนตน้ ดว้ ยวรรครับ และลงทา้ ยบทดว้ ยคาํ วา่ เอย
๙
บทสรุป
กลอนสุภาพ เป็นร้อยกรองที+ไดร้ ับความนิยมมาก เพราะมีความไพเราะและเรียบง่าย เป็น
แม่แบบของกลอนอีกหลายรูปแบบ เช่น กลอนดอกสร้อย ที+แตกต่างกนั ตรงวรรคแรกท+ีมีเพียง 4
คาํ โดยคาํ ที+ 1 และคาํ ท+ี 3 เป็นคาํ เดียวกนั และคาํ ที+ 2 ตอ้ งใชค้ าํ วา่ “เอ๋ย” รวมถึงกลอนสกั วา ท+ี
จะตอ้ งขNึนตน้ ดว้ ยคาํ วา่ “สกั วา” และลงทา้ ยดว้ ยคาํ วา่ “เอย” ส่วนสมั ผสั และความไพเราะอื+นๆ
จะเหมือนกบั กลอนสุภาพเป็นร้อยกรองท+ีไดร้ ับความนิยมมากมาตNงั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา เพราะ
มีความไพเราะ และเรียบง่าย เป็นแม่แบบของกลอนอีกหลายรูปแบบ
สุนทรภู่กวเี อกแห่งรัตนโกสินทร์ตอนตน้ เป็นแม่แบบของกลอนสุภาพชนิดหาตวั จบั ได้
ยาก บทกลอนของสุนทรภู่เนน้ เสียงสมั ผสั ในทุกวรรค เพิ+มความไพเราะของภาษาอยา่ งที+ไม่เคย
ปรากฏมาก่อน ซ+ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นอจั ฉริยภาพทางดา้ นภาษาของท่าน ส่งผลใหก้ ลอนของสุนทรภู่
เป็ นที+นิยมไม่เปล+ียนแปลงตราบจนปัจจุบนั
๑๐
บรรณานกุ รม
นงลกั ษณ์ ผาสุก./(๒๕๕๒)./กลอนสุภาพ./สืบคน้ จาก/http://www.thaigoodview.com
๑๑
ภาคผนวก
คำศัพท์ ๑๒
นงเยาว์ อภิธานศัพท์
ตุนาหงนั
อชั ฌาศยั ความหมาย
เชือนแช
สกั วา (น.) นางสาว
(ก.) หมNนั
พะยอม (ก.) นิสยั ใจคอ ความรู้จกั ผอ่ นปรน
(ว.) ไถล เถลไถลไม่ตรงไปตรงมา
ใบพง (น.) ช+ือลาํ นาํ เพลงร้องเป็นทาํ นอง
โตต้ อบ อาจเล่นเป็นเร+ืองโตต้ อบกนั
โดยใชก้ ลอน ซ+ึงมี ๔ คาํ กลอน ขNึนตน้
วา่ สกั วา
(น.) ช+ือตน้ ไมป้ ่ าชนิดหน+ึง ดอกเป็นพวง
มีกล+ินหอม
(น.) ดงหญา้ ,ดงไมท้ ี+เป็นหมู่ๆอยทู่ +ีรก
ดัชนี ๑๓
กลอนดอกสร้อย ๕
กลอนนิทาน ๖
กลอนนิราศ ๘
กลอนบทละคร ๒
กลอนเพลงยาว ๗
กลอนสกั วา ๔
กลอนเสภา ๓