The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nasm Kser, 2022-09-27 10:15:37

จิ๊บ

จิ๊บ

วัดประจำรัชกาลที่ ๑:
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราช
วรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ท่าเตียน

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่ง
ของประเทศไทย และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพ
วิชาหลายแขนง นอกจากนี้ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาค

เอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551
มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า มีวัดเก่าขนาบพระบรมมหาราชวัง 2

วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) ด้านใต้คือ วัดโพธาราม จึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่อำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2331

ใช้เวลา 7 ปี 5 เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดฯ ให้มีการฉลองเมื่อ พ.ศ. 2344
พระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ

รัชกาลที่ ๒พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย:วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร




วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณ จากหลักฐานเชื่อว่าสร้างในสมัย
อยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอกนอก ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าให้

อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๒ มาบรรจุที่พุทธอาสน์ของพระพุทธธรรมมิศรราช
โลกธาตุดิลก พระประธานในอุโบสถ

วัดอรุณฯ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึง
โปรดให้สร้างพระอุโบสถและพระวิหารต่อจนแล้วเสร็จ พร้อมทั้งทรงปั้นหุ่นพระพุทธรูป ด้วย ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และโปรดให้
หล่อขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดอรุณราชธาราม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มี
การก่อสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งมีความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร แต่มาเสร็จสมบูรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น

“วัดอรุณราชวราราม”

วัดประจำรัชกาลที่ 3 พระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรง
สถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัดทัพพม่าที่
ด่านพระเจดีย์สามองค์ ใน พ.ศ.2363 เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึง วัดจอมทอง ฝั่งธนบุรีทรง
หยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงครามพร้อมทรงอธิษฐานขอให้การไป
ราชการทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้ามาเมื่อยกทัพกลับ พระเจ้าลูก
ยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่ และถวายเป็น

พระอารามหลวงแด่รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นผู้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัด
ราชโอรส ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกสั้นๆจากชื่อเต็มว่า วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เพื่อเป็น

เกียรติแก่พระราชโอรสซึ่งเป็นผู้บูรณะ

วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ข้าง
สวนสราญรมย์ เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า

เจ้าอยู่หัว ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างขึ้น เมื่อ
พ.ศ.2407 เพื่อเป็นวัดธรรมยุตินิกาย เพื่อให้เจ้านายและ
ข้าราชการทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ได้บำเพ็ญกุศลกันได้
สะดวกขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวังและ
ทรงพระราชทานนามว่าวัดราชประดิษฐ์สถิตธรรมยุติกา
ราม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดราชประดิษฐ์สถิตมหา

สีมาราม

วัดประจำรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว คือ

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2412 นับเป็นวัดแรกที่ทรงสร้างหลังเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อ
รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต รัชกาลที่ 6 ได้ทรงบรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 5 ไว้ใต้ฐานบัลลังก์
กะไหล่ทองที่ประดิษฐานพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ ต่อมาภายหลังได้บรรจุ

พระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ
พรรณีพระบรมราชินีไว้ด้วย

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระราชดำริว่าพระอารามหลวง
ในกรุงรัตนโกสินทร์มีจำนวนมากแล้ว จึงให้สร้างโรงเรียนเพื่อจัดการศึกษาแก่ประชาชน โดยทรง
เริ่มจากการสร้างโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นอนุสรณ์แทนการ

สร้างวัดประจำรัชกาล

วัดประจำรัชกาลที่๖
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร





วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน พระอาราม
นี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช

วิทยาลัยวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร เดิมชื่อ x93วัดใหม่x94 เป็นวัดโบราณ เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรง
ผนวชได้เสด็จมาประทับ และทรงตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายขึ้นที่วัดนี้เป็นครั้งแรก ถือเป็นวัดสำคัญ

แห่งหนึ่ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 ทรงผนวช ณ
วัดนี้อีกด้วย



อีกทั้งหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
ภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) จะอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารประดิษฐานที่วัดราชบพิธสถิตมหา

สีมารามราชวรวิหาร และวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ซึ่งจะถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 9

รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่
หัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

คำว่า ราชบพิธ หมายถึง พระราชาทรงสร้าง ซึ่งก็คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับพระอัครมเหสีพระราชเทวี และเจ้าจอมพระ
สนมเอกของพระองค์ ส่วน สถิตมหาสีมาราม ก็คือเป็นวัดที่ประดิษฐานเสมาขนาดใหญ่
เพราะตามปกติแล้วเสมาของวัดโดยทั่วไปจะอยู่ตามมุมหรือติดอยู่กับตัวพระอุโบสถ
แต่เสมาของวัดนี้ตั้งอยู่บนกำแพงรอบวัดถึง 8 ด้าน จึงเป็นการขยายเขตทำสังฆกรรม
ของสงฆ์ให้กว้างขึ้นวัดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 เท่านั้น แต่ยังเป็นวัด
ประจำรัชกาลที่ 7 ด้วย เพราะในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 7 มิได้มีการสร้างวัด แต่ท่าน
ก็ได้รับพระราชภาระในการทำนุบำรุงและบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบพิธนี้ด้วย ดังนั้นจึง

ถือเป็นวัดประจำพระองค์ด้วยเช่นกัน

รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
วัดสุทัศนเทพวรารามราช

วรมหาวิหาร

วัดสุทัศน์ เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้
สถาปนาขึ้นใน พ.ศ.2350 แต่มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่

หัว ใน พ.ศ.2390 และพระราชทานนามว่า วัดสุทัศนเทพวราราม
ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรม
ราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ.
2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปร

เมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี

รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดำริให้สร้าง
วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก ขึ้นโดยก่อสร้างเป็นวัดเล็กๆ เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของชุมชนที่ตั้ง
อยู่บริเวณใกล้เคียง และเพื่อให้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนาและกิจกรรมต่างๆ ใน

การเผยแพร่ศีลธรรมและจริยธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน
สำหรับ พระประทานที่ประดิษฐาน ณ อุโบสถวัดพระรามเก้าฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยเลือกแบบพระพุทธรูปปางมารวิชัย (ปางชนะ

มาร) จากการออกแบบเสนอโดยเรืออากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีและสถาปนิกของกรม
ศิลปากรทั้งหมด 7 แบบ โดยพระองค์ทรงแก้ไขแบบด้วยพระองค์เอง



แม้วัดพระรามเก้าจะไม่ได้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 9 แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย
เดช ทรงมีความผูกพันอย่างใกล้ชิด

รัชกาลที่ ๑๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร

วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร (วัดทุ่งสาธิต)



วัดนี้เดิมชื่อ วัดทุ่งสาธิต เดิมทีคหบดีชาวลาวเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณ พศ.2399
เล่าต่อกันมาว่าเป็นวัดร้างมาก่อน โดยคหบดีชาวลาวท่านนี้อพยพมาสมัยเวียง
จันทร์แตก หลังจากคหบดีท่านถึงแก่กรรม วัดนี้เลยร้าง เนื่องจากไม่มีใครอุป
ถัมป์ ประกอบกับเจ้าอาวาสองค์สุดท้ายมรณภาพลง เลยไม่มีใครสืบสาน และก็

สมัยก่อนนั้นวัดนี้อยู่ห่างไกลความเจริญ
เป็นทุ่งนาส่วนใหญ่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์
(พระยศในขณะนั้น) รับวัดทุ่งสาธิตไว้ในพระอุปถัมภ์ เป็นอารามหลวงได้

พระราชทานนามว่า วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร


Click to View FlipBook Version