The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว 15 เขต<br>12.แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

15 Clusters: (12) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว 15 เขต<br>12.แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

Keywords: แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว 15 เขต,เขตพัฒนาการท่องเที่ยว,แผนพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

บทสรปุ ผู้บริหาร

แผนปฏิบัตกิ ารพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพัฒนาการท่องเท่ียวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ จัดทำขึ้น
เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา
นราธิวาส) ใหเ้ ป็นไปทศิ ทางเดยี วกนั และหน่วยงานทเี่ กี่ยวข้องได้ใช้เปน็ แนวทางในการบรู ณาการในการทำงาน
ร่วมกันอย่างมีเอกภาพ และมีพลังจนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพิ่มมูลค่ารวมตลาดของอุตสาหกรรม
การท่องเที่ยว ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพิ่มการสร้างงาน อาชีพให้กับประชาชนและ
รายได้กับชุมชนจากการพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นกลไก
ส่งเสริมเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม ความมั่นคง และการเติบโตนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ
อนุรักษ์พัฒนาสืบสานต่อยอดวัฒนธรรมและการดำรงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์พหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้
สร้างความรัก ความภาคภูมิใจ และความหวงแหนต่อวิถีชีวิตที่ดีงามของพื้นที่ และหนุนเสริมการเสริมสร้าง
สันติสุขของพื้นท่ี ให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี แผนแม่บทการพัฒนาประเทศ วาระปฎิรูป
ประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ นโยบายและยุทธศาสตรก์ ระทรวงการท่องเที่ยว
และกีฬา และสอดคล้องกับแผนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใตช้ ายแดน แผนพัฒนาจังหวัดปัตตานี แผนพัฒนา
จังหวัดยะลา แผนพัฒนาจังหวัดนราธิวาส โดยได้จัดทำแผนปฏิบัติการฯ ให้มีความสอดคล้องกับแนวทางการ
พัฒนาประเทศที่สำคัญในปัจจุบัน รวมทั้งความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ของ ๓ จังหวัด
ชายแดนใต้ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการ นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา ระดมความคิดเห็น
ผู้เกี่ยวขอ้ ง และผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย เพอื่ เพิม่ เติมแก้ไขใหแ้ ผนปฏิบัตกิ ารฯ ให้มีความสมบูรณท์ ีส่ ดุ

โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
ชายแดนใต้ ประกอบไปด้วย วิสัยทัศน์ เป้าหมายการพัฒนา ประเด็นการพัฒนา อันเป็นเครื่องมือที่สำคัญท่ใี ช้
เป็นแนวทางในการขับเคลอ่ื นการพัฒนาการท่องเทย่ี วประจำเขตพฒั นาการทอ่ งเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้
ใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ ซง่ึ ประกอบด้วย

วิสัยทัศน์ (Vision) : "ศูนย์กลางการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม มลายู พุทธ และจีนของประเทศเพื่อ
คุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสันติสุขที่ยั่งยืน" และให้คำนิยามของวิสัยทัศน์ไว้ดังนี้
ศูนย์กลางการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมมลายู พุทธ และจีน เพื่อคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และ
ความสันติสุขที่ยั่งยืน หมายถึง ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส
ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรม ประชาชนที่มีความแตกตา่ งสามารถอยรู่ ่วมกันไดบ้ นหลักการ
ของความเท่าเทียม มีสิทธใ์ิ นการดำรงรักษาไวซ้ ึ่งเอกลักษณ์ของกลมุ่ ตนไว้ได้ มวี ิถีชวี ิตที่มีเอกลักษณ์ไทยมุสลิม
ไทยพุทธ และไทยจีน มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวตั ิศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมที่มีคุณค่า ความหลากหลาย
ของทรัพยากรธรรมชาติ สามารถบริหารจัดการจนสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยว สร้างงาน อาชีพ เศรษฐกิจ
แก่พ้นื ที่ และหนุนเสริมการพัฒนาสังคม ความม่นั คง และการเตบิ โตของการทอ่ งเทีย่ วที่เป็นมิตรกับสง่ิ แวดลอ้ ม
ตามรายละเอียดนิยามแห่งวิสัยทัศน์ มีความเข้มแข็งของสังคมพหุวัฒนธรรมไทยมุสลิม ไทยพุทธ และไทยจีน
ที่สามารถนำวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และสิ่งที่มีคุณค่าของพื้นที่มาเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวจนสามารถสร้าง
ให้เกิดคุณค่าทางสังคม และมูลค่าทางเศรษฐกิจ มีความพร้อมการเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวสังคม
พหวุ ฒั นธรรม เป็นแหล่งผลติ และพัฒนาอุตสาหกรรมการทอ่ งเทย่ี วมาตรฐานฮาลาลของประเทศ มีการเติบโต
ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสังคมพหุวัฒนธรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ
ให้กับประชาชน ชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัด การสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่มีความรักและหวงแหน

ในวถิ รี ักษา สืบทอด ต่อยอด ให้คงอยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื และปรบั ตัวให้เท่าทนั การเปลี่ยนแปลงอยา่ งเหมาะสม ตลอดจน
ประชาชนมีคุณภาพชีวิตท่ีดี พนื้ ทีม่ ีความมัน่ คง ปลอดภัย สงบเรยี บร้อยมากข้ึนจากฐานของการพฒั นาการทอ่ งเทยี่ ว
พหุวฒั นธรรม

เปา้ หมายการพฒั นา :

๑) มูลค่ารวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในสังคมพหุวัฒนธรรมในจังหวัดปัตตานี ยะลา
และนราธิวาสเตบิ โตอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มมี ลู ค่ารวมไม่น้อยกว่า .... ลา้ นบาท

๒) อัตราการขยายตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และพหุวัฒนธรรมของ ๓ จังหวัด
ชายแดนใต้เตบิ โตไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๑๐

๓) ดัชนีความสุขและความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันของประชาชนในชุมชนท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมหลัก
ของพืน้ ทเ่ี ตบิ โตไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๗๕ (ความพึงพอใจต่อการท่องเท่ยี วทส่ี รา้ งรายได้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกจิ
แกช่ ุมชน สร้างสงั คมพหวุ ัฒธรรม สรา้ งเสริมความสันติสุข)

๔) สร้างและพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวต้นแบบพหุวัฒนธรรมมลายู พุทธ และจีน ที่เติบโตอย่างต่อเนือ่ ง
บนฐานเศรษฐกิจ คณุ ภาพชวี ติ ที่เปน็ มติ รกบั ส่ิงแวดล้อม จำนวน ๓๐ แหง่

ประเดน็ การพฒั นา :

๑) การพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ชายแดนใต้
ให้เกิดความสมดุลยั่งยืน และแข่งขันได้ มุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาอัตลักษณ์ และคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว
หลัก สินค้าที่ระลึก และบริการท่องเที่ยวที่มีมาตรฐาน และแข่งขันได้ พัฒนาระบบการบริหารการท่องเที่ยว
พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้แบบมีส่วนร่วม และการเป็นเจ้าของโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างรูปแบบและ
มาตรการในการรักษาสมดุลในแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ทั้งในเชิงพื้นที่ เชิงเวลา ฤดูกาล และรูปแบบ
การท่องเที่ยว เพื่อให้ชายแดนใต้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าในทุกเวลา ตลอดจนส่งเสริมกีฬา และมหกรรม
นนั ทนาการ เพ่อื การทอ่ งเทย่ี ว และสนั ติสขุ ชายแดนใต้

๒) การพฒั นาโครงสร้างพื้นฐาน สง่ิ อำนวยความสะดวก การท่องเท่ียวชายแดนใต้เชื่อมโยงกับฝ่ังอันดามัน
อ่าวไทย ประเทศ และอาเซียนตอนใต้ มุ่งเน้นการพัฒนาเส้นทางการคมนาคม และระบบโลจิสติกส์
ด้านการท่องเที่ยวทางบก ทางราง และทางอากาศในพื้นที่ให้มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเชื่อมโยงอาเซียนตอนใต้
ฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน การสร้างสรรค์สิ่งจูงใจทางการท่องเที่ยว พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และ
บริการรัฐเพื่อการท่องเที่ยวที่มีความทันสมัย และเป็นสากล และการพัฒนาระบบความปลอดภัย และ
สขุ อนามยั ในแหลง่ ทอ่ งเที่ยว เพื่อความม่นั ใจแก่นักทอ่ งเที่ยว

๓) การพัฒนาผู้ประกอบการ บุคลากร และการสร้างสังคมรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยว
พหวุ ฒั นธรรมชายแดนใต้ มุ่งเน้นการพัฒนาศกั ยภาพบุคลากรดา้ นการท่องเที่ยวทงั้ ระบบให้มีขีดความสามารถ
ในการแข่งขัน สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเพียงพอต่อความต้องการของตลาด การส่งเสริม และพัฒนา
ขีดความสามารถประชาชน ชุมชนให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวของตนเอง และได้รับ
ประโยชน์จากการท่องเที่ยว พร้อมทั้งเตรียมพร้อมสังคม ชุมชนชายแดนใต้รองรับการขยายตัว
ของการท่องเทยี่ วพหวุ ัฒนธรรมในระดบั ประเทศ และนานาชาติ

๔) การเสริมสร้างความเป็นเลิศในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวมุสลิม และพหุวัฒนธรรมมลายู
พุทธ จีนของประเทศ และการพัฒนาการตลาดเฉพาะเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวระดับชาติ และนานาชาติ
มุ่งเน้นการเสริมสร้างมาตรฐานท่องเที่ยวฮาลาลของจังหวัดชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมการตลาดเฉพาะกล่มุ
เพื่อดึงดูดการเดินทางท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้
ตลอดจนสง่ เสริมการพัฒนาระบบเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล การสร้างแบรนด์การตลาดสมยั ใหม่ เพมิ่ มูลคา่ ทางการทอ่ งเท่ยี ว

๕) การพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้หนุนเสริมคุณภาพชีวิต ความมั่นคง และ
การเติบโตที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการส่งเสริมการกำกับดูแลการพัฒนา และบริหารจัดการการท่องเที่ยว
อย่างมีประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาล การส่งเสริมการเติบโตทางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนบนคุณภาพชีวิต
ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และการเชื่อมโยงกับอาเซียนใต้
เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวชายแดนใต้สู่สากล พร้อมทั้งสร้างบรรยากาศการพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว และ
การสนับสนุนการลงทนุ ในอตุ สาหกรรมการทอ่ งเที่ยว

โดยแสดงภาพรวมของแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
พหวุ ัฒนธรรมชายแดนใต้ ดงั ผงั โครงสรา้ งตอ่ ไปนี้

วิสัยทัศน์ ผังโครงสรา้ งแผนปฏบิ ัติการการพฒั นาการทอ่ งเ

“ศนู ยก์ ลางการทอ่ งเที่ยวพหวุ ัฒนธรรม มลายู พทุ ธ และจีนของ

วตั ถปุ ระสงค์ ๑) เพอ่ื กำหนดทิศทางการพัฒนาการท่องเท่ยี วพหุวัฒนธรรมของ ๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลานราธิวาส) ให้เปน็ ไปทิศทางเดยี วกนั และหนว่ ยงานท
๒) เพือ่ เพ่ิมมูลคา่ รวมตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ๓จงั หวัดชายแดนใต้ ให้เติบโตอย่างตอ่ เนอ่ื ง
๓) เพอื่ เพ่ิมการสร้างงาน อาชพี ให้กบั ประชาชนและรายได้กบั ชมุ ชนจากการพัฒนาการท่องเท่ียวของชุมชน
๔) เพอ่ื พฒั นาอุตสาหกรรมท่องเท่ียวเป็นกลไกสง่ เสริมเศรษฐกจิ การพฒั นาสังคม ความมนั่ คง และการเติบโตนคณุ ภาพชีวติ ที่เป็นมิตรต่อสิง่ แวดล้อม
๕) เพ่อื อนรุ ักษ์พัฒนาสบื สานต่อยอดวัฒนธรรมและการดำรงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์พหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้ สรา้ งความรกั ความภาคภูมใิ จ และความห

เป้าหมาย ๑) มลู ค่ารวมของอุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ียวในสังคมพหุวัฒนธรรมในจงั หวัดยะลา ปตั ตานี และนราธวิ าสเตบิ โตอย่างต่อเนื่อง มมี ูลค่ารวม
การพฒั นา ๒) อตั ราการขยายตัวของรายไดจ้ ากการทอ่ งเทย่ี วเชงิ สร้างสรรค์และพหวุ ฒั นธรรมของ ๓ จังหวดั ชายแดนใตเ้ ตบิ โตไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ ๑๐
๓) ดัชนคี วามสขุ และความอย่เู ย็นเป็นสขุ รว่ มกันของประชาชนในชุมชนท่องเที่ยวพหวุ ัฒนธรรมหลักของพนื้ ทเ่ี ติบโตไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ ๗๕
ประเด็น คณุ ภาพชวี ติ ท่เี ป็นมิตรกบั สิ่งแวดลอ้ ม
การพัฒนา ๔) สร้างและพฒั นาพน้ื ทที่ อ่ งเท่ียวตน้ แบบพหุวัฒนธรรมมลายู พุทธ และจีน ทีเ่ ตบิ โตอยา่ งต่อเนอ่ื งบนฐานเศรษฐกจิ คณุ ภาพชวี ติ ท่ีเป็นมติ

๑) การพฒั นาคุณภาพแหลง่ ท่องเที่ยว สนิ ค้า และ ๒) การพัฒนาโครงสรา้ งพนื้ ฐาน สง่ิ อำนวยความ ๓) การพัฒนาผปู้
บรกิ ารดา้ นการท่องเทย่ี วท่ีมีเอกลกั ษณ์ชายแดนใต้ให้ สะดวก การทอ่ งเท่ียวชายแดนใต้เชอ่ื มโยงกบั ฝ่ังอนั การสร้างสังคมร
เกิดความสมดลุ ยงั่ ยนื และแข่งขันได้ ดามัน อา่ วไทย ประเทศ และอาเซียนตอนใต้ ทอ่ งเทีย่ วพหวุ ัฒ

เปา้ หมายและ ๑)แหลง่ ท่องเทย่ี วทไ่ี ดร้ ับการปรับปรุง พฒั นาใหม้ คี ณุ ภาพเพอื่ ๑)เสน้ ทางการท่องเท่ียวสำคญั ของพ้ืนที่ ๑) บคุ ลากรกล
การวัดผล รองรับการท่องเทย่ี วเช่อื มโยงพหวุ ฒั นธรรมในระดับนานาชาติ ๑๐ ยะลา นราธวิ าส ปัตตานี ไดร้ บั การพัฒนา เกณฑ์มาตรฐาน
แหง่ ระบบโครงสร้างพน้ื ฐาน ระบบโลจสิ ติ ดา้ นโรงแรม ที่พ
๒)แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทผี่ า่ นมาตรฐานการท่องเท่ียวชมุ ชนพหุ กสร์ องรบั มาตรฐานการท่องเทีย่ วนานาชาติ ๒๐ ราย มัคคเุ ท
วฒั นธรรม ไม่นอ้ ยกวา่ ๒๐ แหง่ จำนวน ๒๐ เส้นทาง/พืน้ ที่ ๕๐ ราย
๓)รายไดร้ วมจากการจำหน่ายของทรี่ ะลกึ เพือ่ การท่องเท่ยี วของ ๒)แหล่งทอ่ งเท่ยี วที่ไดร้ บั การจดั สรา้ ง ๒) ระดับความ
พ้นื ท่ีเตบิ โตไมน่ อ้ ยกว่า ๑๐๐ ล้านบาท พฒั นาสง่ิ อำนวยความสะดวกดา้ นการ ร้อยละ ๓๐ ชุม
๔)แหล่งท่องเที่ยวหลกั ของพน้ื ท่ีท่ไี ด้รับการพฒั นาส่งิ อำนวยความ ท่องเทยี่ ว ระบบ CCTV ระบบเทคโนโลยี มากกวา่ รอ้ ยละ
สะดวกทางการท่องเทยี่ วที่มอี ารยสถาปัตย์ เพอื่ คนทั้งมวลจำนวน ดิจิทัลรองรับการทอ่ งเที่ยวนานาชาติท่มี ี ชายแดนใต้ทีม่ ีศ
๑๐ แหง่ มาตรฐาน ๒๐ แหง่ เตรียมพร้อมชุม
๕)โมเดลการบรหิ ารจดั การท่องเทยี่ วเฉพาะพ้ืนทอี่ ตั ลักษณม์ ลายู ๓)พืน้ ที่ท่องเทีย่ วของจังหวัด และในระดับ ๕๐ ชุมชน
พทุ ธ และจีน จำนวน ๑๐ พ้ืนท่ี ชมุ ชนพหวุ ัฒนธรรมท่ไี ดร้ ับการพฒั นาระบบ ๓) ความพงึ พอ
๖)จำนวนนกั ทอ่ งเทย่ี วที่เขา้ มาทอ่ งเท่ยี วในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ความปลอดภัย และอนามัยสิง่ แวดล้อมเพ่อื ของชมุ ชนเพื่อก
เพ่ิมมากขนึ้ ไม่นอ้ ยกว่า รอ้ ยละ ๑๕ การท่องเท่ียว จำนวน ๕๐ แหง่ เฉล่ยี ไมน่ อ้ ยกว

แนวทางการ ๑. สร้างและพฒั นาอตั ลกั ษณ์ และคณุ ภาพของแหล่งท่องเทีย่ วหลัก ๑. พัฒนาเส้นทางการคมนาคม และระบบโลจิ ๑. พฒั นาศัก
พฒั นา สินค้าทรี่ ะลกึ และบรกิ ารท่องเท่ยี วที่มมี าตรฐาน และแขง่ ขันได้ สตกิ สด์ า้ นการท่องเทีย่ วทางบก ทางราง และทาง ให้มีขดี ความ
๒. พัฒนาระบบการบรหิ ารการท่องเท่ียวพหวุ ฒั นธรรมชายแดน อากาศในพ้ืนทใ่ี หม้ ีมาตรฐาน ปลอดภัย และ มาตรฐานสา
ใต้ แบบมสี ่วนรว่ ม และการเป็นเจา้ ของโดยชุมชนอยา่ งย่งั ยืน เชอ่ื มโยงอาเซียนตอนใต้ ฝ่ังอ่าวไทย และฝั่งอนั ดา ๒. ส่งเสริม
๓. สรา้ งรปู แบบและมาตรการในการรักษาสมดลุ ในแหลง่ มัน ชมุ ชนใหม้ สี
ทอ่ งเท่ยี ว สินคา้ และบรกิ าร ทงั้ ในเชิงพืน้ ที่ เชงิ เวลา ฤดกู าล ๒. สรา้ งสรรคส์ ิ่งจูงใจทางการท่องเที่ยว พัฒนาส่งิ ทอ่ งเทย่ี วขอ
และรูปแบบการท่องเทีย่ ว เพ่อื ใหช้ ายแดนใต้เปน็ พ้ืนท่ีทอ่ งเทยี่ ว อำนวยความสะดวก และบรกิ ารรฐั เพอื่ การ ทอ่ งเทย่ี ว
ทม่ี คี ุณคา่ ในทกุ เวลา ท่องเท่ียวท่ีมคี วามทันสมัย และเปน็ สากล ๓. เตรยี มพ
๓. พฒั นาระบบความปลอดภยั และสขุ อนามยั ใน ขยายตัวของ
แหล่งท่องเท่ยี ว เพือ่ ความมั่นใจแก่นักทอ่ งเทีย่ ว ระดับประเท

เท่ียว ประจำเขตพฒั นาการทอ่ งเท่ยี วพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

งประเทศ เพ่ือคุณค่าทางเศรษฐกิจ สงั คม ความมัน่ คง และความสนั ติสุขทีย่ งั่ ยนื ”

นท่ีเก่ียวขอ้ ง ไดใ้ ชเ้ ปน็ แนวทางในการบูรณาการในการทำงานรว่ มกันอย่างมเี อกภาพ และมีพลงั จนเกิดการเปลีย่ นแปลงท่ดี ีขน้ึ

หวงแหนตอ่ วถิ ีชวี ิตท่ีดีงามของพื้นท่ี และหนนุ เสรมิ การเสริมสรา้ งสันตสิ ขุ ของพื้นที่

มไมน่ อ้ ยกว่า .... ล้านบาท

๕ (ความพงึ พอใจตอ่ การทอ่ งเทีย่ วทสี่ รา้ งรายได้ สรา้ งโอกาสทางเศรษฐกจิ แก่ชุมชน สร้างสังคมพหุวฒั ธรรม สรา้ งเสรมิ ความสันตสิ ขุ และการสร้างเสริม

ตรกับส่งิ แวดล้อม จำนวน ๓๐ แห่ง

ประกอบการ บคุ ลากร และ ๔) การเสริมสรา้ งความเปน็ เลศิ ในการเปน็ ศนู ยก์ ลางการท่องเท่ียวมสุ ลมิ ๕) การพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
รองรับการขยายตัวของการ และพหวุ ฒั นธรรมมลายู พุทธ จนี ของประเทศ และการพฒั นาการตลาด ชายแดนใต้หนุนเสริมคุณภาพชีวิต ความ
ฒนธรรมชายแดนใต้ เฉพาะเชอื่ มโยงกบั การทอ่ งเทยี่ วระดบั ชาติ และนานาชาติ ม่ันคง และการเติบโตทย่ี ัง่ ยนื

ลุ่มจงั หวดั ชายแดนใต้ด้านการทอ่ งเทย่ี ว ผา่ น ๑) การทอ่ งเที่ยวฮาลาลชายแดนใต้ สร้างงาน ๑ )โครงการที่มีผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
น บคุ ลากรท่องเที่ยวฮาลาล สถานประกอบการ อาชีพ มากกว่า ๕,๐๐๐คน พัฒนาการท่องเทียวในพื้นท่ีชายแดนใต้บรรลุ
พกั รา้ นอาหาร ๑๐๐ ราย ตวั แทนการท่องเที่ยว ๒) การเพ่มิ ขึน้ ของนกั ท่องเท่ยี วเฉพาะกลุ่มมสุ ลิม เปา้ หมายไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ของโครงการ
ทศกท์ อ่ งเท่ยี วฮาลาลและมัคคเุ ทศกน์ านาชาติ อาเซยี นใตใ้ นพ้ืนท่ชี ายแดนใต้เตบิ โตไมน่ ้อยกว่า ท้งั หมด
ร้อยละ ๑๕ ๒)มูลค่าการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมการ
มอยดู่ มี ีสุขของชมุ ชนชายแดนใต้เพมิ่ ข้ึนไมน่ อ้ ยกวา่ ๓) มลู า่ การทอ่ งเท่ยี วฮาลาลสร้างรายไดแ้ ก่ชมุ ชน ทอ่ งเท่ียวพหุวฒั นธรรมชายแดนใต้ รวมไม่นอ้ ย
มชนนวัตวถิ ีมรี ายไดเ้ สรมิ จากการทอ่ งเที่ยว ท่องเที่ยวนำร่องมาตรฐานฮาลาล ไมน่ อ้ ยกวา่ กว่ารอ้ ยละ ๑๐
ะ ๓๐ ชุมชนในแหล่งท่องเท่ียวสำคญั ของจงั หวัด ๕๐ ลา้ นบาท ๓)มีความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการ
ศกั ยภาพด้านการทอ่ งเที่ยวไดร้ บั การพฒั นา ๔) จำนวนนกั ท่องเทย่ี วกลุ่ม MICE กล่มุ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมการพัฒนาการท่องเท่ียว
มชนให้เปน็ ชุมชนการท่องเทยี่ วมาตรฐานจำนวน นกั ทอ่ งเทีย่ วนเิ วศน์ปา่ เขาฮาลาบาลา กลุ่ม ป ร ะ เท ศ ไ ท ย กั บ อ า เซี ย น แ ล ะ น า น า ช า ติ
นักท่องเทย่ี วนเิ วศน์ทางทะเล และกลุ่ม เชื่ อ ม โ ย ง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ค า บ ส มุ ท ร ศ รี วิ ชั ย
อใจประทับใจของนกั ทอ่ งเที่ยวท่ีมตี ่อการตอ้ นรบั นกั ท่องเทีย่ วชายแดน เตบิ โตไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ (Srivichai peninsula heritage)
การท่องเทยี่ วเชิงพหุวฒั นธรรมในพนื้ ทีช่ ายแดนใต้ ๑๕
วา่ รอ้ ยละ ๘๐

กยภาพบคุ ลากรดา้ นการท่องเทย่ี วทง้ั ระบบ ๑. เสรมิ ส8ร้างมาตรฐานทอ่ งเทีย่ วฮาลาลของ ๑. ส่งเสริมการกำกับดูแลการพัฒนา และบริหาร
มสามารถในการแข่งขนั สอดคลอ้ งกับ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ จัดการการท่องเท่ยี วอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ และธรรมาภิ
ากล และเพยี งพอต่อความต้องการของตลาด ๒. ส่งเสริมการตลาดเฉพาะกล่มุ เพ่ือดึงดดู การ บาล
และพฒั นาขีดความสามารถประชาชน เดนิ ทางทอ่ งเท่ยี วพหุวัฒนธรรม และกระต้นุ ๒. สร้างบรรยากาศการพัฒนาธุรกิจท่องเทยี่ ว และการ
ส่วนร่วมในการบรหิ ารจดั การด้านการ การใช้จ่ายของนกั ทอ่ งเทยี่ วในจงั หวดั สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมการทอ่ งเที่ยว
องตนเอง และได้รบั ประโยชน์จากการ ชายแดนใต้ ๓. ส่งเสริมการเติบโตทางการท่องเที่ยวท่ีย่ังยืนบน
๓. ส่งเสริมการพฒั นาระบบเทคโนโลยดี ิจทิ ลั คุณภาพชีวติ ท่เี ปน็ มิตรกบั สิง่ แวดลอ้ ม
พรอ้ มสังคม ชุมชนชายแดนใตร้ องรับการ การสรา้ งแบรนดก์ ารตลาดสมยั ใหม่ เพิ่มมลู คา่ ๔. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และการ
งการทอ่ งเที่ยวพหวุ ฒั นธรรมใน ทางการท่องเที่ยว เช่ือมโยงกับอาเซียนใต้ เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว
ทศ และนานาชาติ ชายแดนใตส้ สู่ ากล

ผงั โครงสรา้ งแผนปฏิบตั ิการการพัฒนาการทอ่ งเท

ประเดน็ ๑) การพัฒนาคณุ ภาพแหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว สินคา้ และ ๒) การพฒั นาโครงสร้างพน้ื ฐาน ส่งิ อำนวยความ ๓) การพัฒนาผู้ประ
การพฒั นา สร้างสังคมรองรับกา
บริการดา้ นการทอ่ งเทีย่ วที่มีเอกลกั ษณ์ชายแดนใต้ให้ สะดวก การทอ่ งเที่ยวชายแดนใต้เชอื่ มโยงกบั ฝั่งอัน พหุวฒั นธรรมชายแดน
เกิดความสมดลุ ยัง่ ยืน และแข่งขนั ได้ ดามนั อ่าวไทย ประเทศ และอาเซียนตอนใต้

โครงการ ๑)โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพน้ื ฐานในพืน้ ท่ี ๑)โครงการพฒั นาระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงทางการ ๑)โครงการฝึกอบรมกา
ทสี่ ำคัญ ประวตั ิศาสตร์ ศาสนา เพอ่ื รองรับนักทอ่ งเทย่ี วกล่มุ ท่องเท่ียวทางอากาศ ในพื้นทสี่ นามบินนราธิวาส และ มาตรฐานฮาลาล
(Flagship ผสู้ ูงอายุ สนามบินเบตง ๒)โครงการจดั ต้งั ศูนยฝ์
Project) ๒)โครงการพฒั นาการท่องเท่ยี วเชงิ สขุ ภาพ สปาและ ๒) โครงการสนับสนนุ การสร้างกระเช้าลอยฟา้ / ท่องเท่ียวอาหารและก
ความงามมาตรฐานฮาลาล สนามพารามอเตอร์ บนจดุ ชมวิวเขารังเกียบ บ้าน มาตรฐานฮาลาลและร
๓)โครงการสง่ เสรมิ สนับสนนุ การพัฒนาที่พักในชมุ ชน ทรายขาว จ.ปัตตานี ๓)โครงการส่งเสรมิ การ
ส่โู ฮมสเตยม์ าตรฐาน ๓)โครงการสรา้ งสิง่ อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ๔)โครงการส่งเสริมการ
๔)โครงการส่งเสริมการท่องเทย่ี วจติ วญิ ญาณของมลายู จากอาเซยี นใต้เพื่อเขา้ มาในจงั หวัดชายแดนใต้ มสุ ลมิ ที่อยรู่ ิม "อา่ วปัต
พุทธ และจนี นานาชาติ (Tourism rest area) ๕)โครงการส่งเสริมการ
๕)โครงการส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วคาราวานบกิ๊ ไบค์ และ ๔)โครงการจดั ทำแผนและระบบบริหารความเสยี่ ง และ ชมุ ชน เข่ือนบางลาง
รถยนตช์ ายแดนใต้ ภยั พิบัติ สำหรับแหลง่ ท่องเที่ยวที่สำคัญใน ๓ จงั หวัด ๖)โครงการส่งเสริมการ
๖)โครงการส่งเสริมการท่องเท่ยี วเชงิ กีฬานานาชาติ ชายแดนใต้ ของตนเองใหเ้ ป็นชุมชน
(การแข่งเรอื พายนานาชาติ การแข่งขันมวยไทย การ
แขง่ ขันรถจักรยานยนต์ การแข่งขันวิ่งเทรล การแขง่ ขนั
เรือใบนานาชาต)ิ

ทย่ี ว ประจำเขตพัฒนาการทอ่ งเท่ียวพหวุ ัฒนธรรมชายแดนใต้ (ตอ่ )

ะกอบการ บุคลากร และการ ๔) การเสริมสรา้ งความเปน็ เลิศในการเปน็ ศูนยก์ ลาง ๕) การพัฒนาการท่องเท่ียวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้หนุน
ารขยายตัวของการท่องเที่ยว การทอ่ งเทยี่ วมุสลิม และพหุวัฒนธรรมมลายู พุทธ จนี เสริมคณุ ภาพชีวติ ความมั่นคง และการเตบิ โตท่ียง่ั ยืน
นใต้ ของประเทศ และการพัฒนาการตลาดเฉพาะเชอื่ มโยง
กบั การท่องเท่ยี วระดบั ชาติ และนานาชาติ

ารบรกิ ารด้านการท่องเท่ยี ว ๑) โครงการจดั ทำมาตรฐานการท่องเทยี่ วฮาลาลแดนใต้ ๑)โครงการจัดต้ังศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการท่องเที่ยว
๒) โครงการสง่ เสรมิ การตลาดการทอ่ งเท่ยี วกลมุ่ การ พหวุ ัฒนธรรมชายแดนใต้
ฝึกความเชย่ี วชาญทางการ แขง่ ขันนกเขาชวาเสยี งระดบั นานาชาติ จ.ยะลา ๒)โครงการส่งเสรมิ การจัดงานมอเตอรโ์ ชวช์ ายแดนใต้
การโรงแรมใหเ้ ป็นไปตาม ๓) โครงการสง่ เสริมตลาดการทอ่ งเทยี่ วกลุ่ม MICE ใน ๓)โครงการเทศกาลอาหารทะเล seafood festival
ระดับสากล กลมุ่ มสุ ลมิ ๔)โครงการเทศการผลไม้ Pattani fruit festival
รทอ่ งเทย่ี วชมุ ชนนวตั วิถี ๔) โครงการพฒั นาเนื้อหาดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยว ๕)โครงการส่งเสริมแหล่งท่องเท่ียวนำร่องปลอดโฟม
รท่องเทีย่ วตำบลบางปู" ชมุ ชน ชายแดนใต้ ถงุ พลาสตกิ
ตตาน"ี ๕) โครงการสร้างแบรนดเ์ สน้ ทางท่องเทยี่ วภาคใต้ให้ ๖)โครงการส่งเสริมการจัดการอนามัยส่ิงแวดล้อมชุมชน
รทอ่ งเที่ยวระบบเชงิ นเิ วศ์ เปน็ แบรนดโ์ ปรแกรมท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม เพ่ือการทอ่ งเที่ยว
ระดับประเทศ และนานาชาติ ๗)โครงการจัดงานการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้
ทะเลหมอกอัยเยอรเ์ วง ศรีวชิ ยั - ลังกาสกุ ะ
รพัฒนาชมุ ชนจัดการท่องเท่ียว
นทอ่ งเที่ยวต้นแบบ อำเภอ

สารบัญ

หนา้

บทนำ ๑

- แนวคิดการจดั ทำแผน ๑

- กระบวนการจัดทำแผน ๓

บทท่ี ๑ ขอ้ มูลพน้ื ฐานเพอื่ การพฒั นาการท่องเทีย่ วพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ ๕

(ยะลา นราธวิ าส และปัตตานี)

- ความนำ ๕

- ทต่ี ั้งและอาณาเขต ๕

- ลักษณะภูมอิ ากาศ ๗

- การปกครอง/ประชากร ๘

- ข้อมลู ด้านเศรษฐกิจ ๙

- ขอ้ มูลดา้ นบริการ และการท่องเทยี่ ว ๑๐

- สถานการณภ์ ายใน-นอก ท่ีกระทบการท่องเท่ียว ๒๙

- ความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน ๓๐

- ขอ้ มูลด้านการสาธารณสขุ ๓๐

- โครงสร้างพืน้ ฐาน ๓๐

- การวิเคราะหด์ ้านการท่องเท่ียว ๓๓

บทที่ ๒ จุดยืน ตำแหน่ง และศักยภาพการพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ๔๕

พหุวฒั นธรรมชายแดนใต้

- บทนำ ๔๕

- จุดยืน และตำแหน่งการพฒั นา ๔๖

- การประเมนิ ศกั ยภาพ และสภาพแวดล้อมภายนอก (SWOT Analysis) ๔๗

บทท่ี ๓ แผนปฏิบตั กิ ารพัฒนาการทอ่ งเท่ียวประจำเขตพฒั นาการทอ่ งเท่ียวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ ๕๑

- วสิ ัยทัศน์ (Vision) ๕๑

- วัตถปุ ระสงค์ ๕๓

- เป้าหมายการพัฒนา ๕๓

- ประเดน็ การพฒั นา ๕๓

บทที่ ๔ ผลประโยชน์ รูปแบบการลงทุน และกลไกการขับเคลือ่ นแผนปฏิบตั ิการพัฒนาการท่องเที่ยว ๑๓๒

ประจำเขตพฒั นาการทอ่ งเท่ยี วพหุวฒั นธรรมชายแดนใต้

- ผลประโยชนด์ ้านเศรษฐกิจ สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม ๑๓๒

- รูปแบบการลงทนุ การพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการทอ่ งเทยี่ วพหวุ ัฒนธรรมชายแดนใต้ ๑๓๔

- กลไกการขบั เคลือ่ นกระบวนการการพฒั นาการท่องเท่ยี วประจำเขตพฒั นาการทอ่ งเทีย่ วพหุ ๑๓๘

วัฒนธรรมชายแดนใต้

บทนำ

๑. แนวคดิ การจัดทำแผน

แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้
มแี นวคิด หลกั การสำคัญ ดังน้ี

๑) แผนปฏิบัติการยึดมั่นในแนวคดิ ในการมุ่งเนน้ การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ปี แผนแม่บท
การพัฒนาประเทศ แผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ แผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจงั หวัด และ
แผนพัฒนาจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมท้ัง
การเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของพื้นที่กับแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ อีกทั้งให้ความสำคัญ
กับการเชื่อมโยงความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในบริบทของพื้นที่ โดยเน้นการบูรณาการร่วม
ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยยึดหลักการใช้พื้นท่ีท่องเที่ยวสำคัญ
เปน็ ฐานในการพัฒนา และยดึ ประชาชน นกั ทอ่ งเทยี่ วเปน็ ศนู ย์กลางของการจัดทำแผนปฏิบตั กิ าร

๒) แผนปฏิบัติการ มีแนวคิดในการสร้างโอกาสการพัฒนาการท่องเที่ยว จากการเรียนรู้
การดำเนินงานที่ผ่านมา โดยการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวปัตตานี ยะลา
นราธิวาส พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๑ ทั้งในด้านผลลัพธ์ของตัวชี้วัดความสำเร็จ และการรับฟังความคิดเห็น
ของทุกภาคส่วน ซึ่งผลจากการศึกษาจะเป็นข้อเรียนรู้ และข้อควร ปรับปรุงเพื่อการพัฒนาแผนปฏิบัติการ
พัฒนาการทอ่ งเทย่ี วประจำเขตพัฒนาการท่องท่องเท่ยี วพหวุ ฒั นธรรมชายแดนใตต้ อ่ ไป

๓) การศึกษาสภาพแวดล้อม และบริบทการท่องเที่ยวของจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส
ประเทศไทย อาเซียนใต้ และของโลกที่เชื่อมโยงและเกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาสถานการณ์ ความเคลื่อนไหว
ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดทิศทาง
การพัฒนาในช่วงเวลาของแผนพัฒนาแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ เพื่อนำมาเป็นปจั จัยเขา้ ในการกำหนดทิศทางการพฒั นา โดยยดึ การตั้งอยบู่ นพนื้ ฐาน
ของศักยภาพทีแ่ ทจ้ รงิ และมคี วามเป็นไปได้ ของพื้นที่เปน็ สำคญั

๔) การทบทวนการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่ง ประเทศต้นแบบ และพื้นที่สำคัญ
ในประเทศไทย และนานาชาติที่ประสบความสำเร็จจากการท่องเที่ยวในบริบทของพื้นที่การท่องเที่ยว
ที่มีความคล้ายคลึงกันกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ
ของหลายประเทศทั่วโลกที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้น เพื่อศึกษาบริบทการท่องเที่ยว และทิศทาง การพัฒนา
ของหลายพื้นที่ หลายประเทศท่วั โลก เพ่อื ให้ไดม้ าซ่งึ ข้อเรยี นรู้สำหรับการพัฒนาจงั หวดั ชายแดนใต้ตอ่ ไป

๕) การทบทวนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของส่วนราชการ
ในพน้ื ท่ีปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส เน่อื งจากการทอ่ งเทย่ี วเป็นอตุ สาหกรรม ท่ีเช่อื มโยงและบูรณาการการพัฒนา
การจัดสรรทรัพยากรในการพฒั นาการท่องเทีย่ วร่วมกัน และรว่ มหนุนเสริมการสร้างรายได้ และการระดมพลัง
การพัฒนาให้มีความสามารถที่จะกระจายรายได้จากการพัฒนาการท่องเที่ยวสู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
ดงั น้นั เพอื่ ใหก้ ารพฒั นารว่ มกบั หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง เปน็ ไปอยา่ งสอดคล้องและมีทิศทางเดียวกัน แผนปฏิบัติ
ก า ร พ ั ฒ น า ก า ร ท ่ อ ง เ ท ี ่ ย ว ป ร ะ จ ำ เ ข ต พ ั ฒ น า ก า ร ท ่ อ ง ท ่ อ ง เ ท ี ่ ย ว พ ห ุ ว ั ฒ น ธ ร ร ม ช า ย แ ด น ใ ต้
จำเป็นตอ้ งบรู ณาการกบั แผนพฒั นาอืน่ ๆ ทีเ่ กย่ี วเนือ่ ง เพอ่ื ใหก้ ารพฒั นา มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

๖) แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
ชายแดนใต้ เนน้ การมสี ว่ นรว่ ม โดยมกี ารรับฟงั ความคดิ เห็น จากผู้ทม่ี สี ว่ นไดส้ ่วนเสยี ท้ัง ภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ซึ่งในการดำเนินการได้มีการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ และ

1

ผู้เชี่ยวชาญในสาขา การท่องเที่ยว การสำรวจพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ การจัดประชุมกลุ่มย่อย การสัมมนา
เชิงปฏิบัติการ การประชาพิจารณ์แผนปฏิบัติการเพื่อรวบรวมข้อมูลความคิดเห็ นและข้อเสนอแนะ
จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้านการท่องเที่ยวจากทุกภาคส่วนในเวทีใหญ่ จำนวน ๒ ครั้งโดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งสิ้น
กว่า ๒๐๐ คน และยังมีการประชุมร่วมเชิงพื้นที่ผ่านเวทีย่อยไม่น้อยกว่า ๕ ครั้ง พร้อมการบูรณาการ
กับกระบวนการจัดทำแผนพฒั นาจังหวดั ในทุกจังหวดั ในรอบการทบทวนแผนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓

๗) แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
ชายแดนใต้ เน้นการนำจุดเด่นของพื้นท่ีที่มีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงการพัฒนา
ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และสิ่งแวดล้อม มากำหนดมตรการ แนวทางการพัฒนา แผนงาน โครงการ
ทีเ่ ปลีย่ นแปลงสู่เป้าหมายในอนาคต โดยใช้หลัก Blueprint for change บันได ๖ ข้ัน คอื

- Mission Based เปน็ การพัฒนาท่ีคำนงึ ถงึ การดำเนนิ การทเี่ ปน็ ไปตามหลักวิชาการ กฎหมาย
- Problem Based เป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาวิกฤติสำคัญในปัจจุบัน และ

อนาคต มาดำเนินการแกไ้ ขปรบั ปรุง และปอ้ งกัน
- Development Based เปน็ การพฒั นาที่มุ่งเนน้ การตอ่ ยอดการพัฒนาทผ่ี า่ นมาอยา่ งต่อเนื่อง
- Creative Based เป็นการพัฒนาทม่ี ุง่ สร้างสรรคส์ ิ่งใหม่
- Benchmarking Based เป็นการพัฒนาที่มุ่งแสวงหาความเป็นเลิศจากทั้งในและ

ต่างประเทศมาประยุกต์ใชใ้ นพ้นื ท่ี
- Innovative Based เป็นการพัฒนาท่ที ุ่งเสรสิ รา้ งนวัตกรรมเพ่อื การเปล่ียนแปลงแบบก้าวกระโดด

๒. กระบวนการจัดทำแผน

กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
ชายแดนใต้ มขี น้ั ตอนทส่ี ำคัญ ดังน้ี

๑) การศึกษาขัน้ ปฐมภูมิ
ในขั้นนี้แผนปฏิบัติการได้ศึกษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่เกี่วข้องกับการท่องเที่ยว ศึกษาแผน

การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ผ่านมา และศึกษารายละเอียดจากยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ปี แผนแม่บทการพัฒนา
ประเทศ วาระการปฏิรูปประเทศ แผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ แผนพัฒนาภาค แผนพัฒนา
กลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ
เพื่อเชื่อมโยงประเด็นการพัฒนาเชิงนโยบายกับแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนา
การท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ และนอกจากนั้นยังได้ศึกษาความสำเร็จของพื้นที่ต่างๆ ในประเทศ
และความสำเรจ็ จากต่างประเทศเพอ่ื นำมาปรบั ใชใ้ นการพฒั นาพ้ืนท่ีชายแดนใต้

๒) การศกึ ษาขั้นทตุ ยิ ภมู ิ
ในขั้นนี้แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดน

ใต้ ไดจ้ ดั ประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยกับสำนกั งานท่องเท่ยี วและกีฬา และจดั ให้มีการประชมุ สมั มนาเชิงปฏิบัติการจำนวน
๒ วัน โดยมีผู้แทนจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด
สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง สำนักงานจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย
เป็นต้น และมีผู้แทนจากผู้ประกอบการทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และมีผู้แทนจากองค์กรท่องเที่ยว
ทั้งสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศก์ และยังมีผู้แทนจากชุมชนมากกว่า ๒๐ ชุมชนท่องเที่ยว
เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อการร่วมศึกษา วิเคราะห์ ความจำเป็นทางการพัฒนาการท่องเที่ยว
ของจังหวัดชายแดนใต้ และยังมีการประชุมร่วมเชิงพื้นที่ผ่านเวทีย่อยไมน่ ้อยกว่า ๕ ครั้ง พร้อมการบูรณาการ

2

กับกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดในทุกจังหวัดในรอบการทบทวนแผนงบประมาณประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓ และนอกจากนั้นยังมีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญทางการท่องเที่ยว และพื้นที่ชุมชน
ในแหล่งท่องเที่ยวหลัก พร้อมทั้งจัดประชุมเพื่อการวิพากษ์ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำ
เขตพัฒนาการทอ่ งเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ เพือ่ การกลน่ั กรองความสมบูรณ์ของแผนปฏบิ ัติการอกี ครงั้

๓) การนำเสนอเพ่ือพิจารณา ใหข้ อ้ เสนอแนะ และเหน็ ชอบ
แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

เมื่อดำเนินการเสร็จร่างฉบับสมบูรณ์ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณา เพื่อให้ข้อเสนอแนะ หลังจากน้ัน
ไดน้ ำมาปรับปรุงใหม้ ีความสมบรู ณ์ และนำเสนอคณะกรรมการให้ความเหน็ ชอบอีกครงั้

นอกจากนี้การศึกษาในครั้งนี้ยังได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามหลักวิชาการ และการระดม
ความคิดเห็น การศึกษาความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย การสำรวจพื้นที่สำคัญทางการท่องเที่ยว
เพ่ือให้ได้ข้อมูล เชิงลกึ ที่ครบทุกมิติ ทงั้ บริบทในพ้นื ท่ี และภาพรวมของจังหวัด อีกท้งั ได้ข้อมลู เชิงลกึ เกี่ยวกบั
สภาวการณ์ ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยและทิศทางการพัฒนาในมุมมองของหลายหน่วยงาน
และของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ ในสาขาการท่องเที่ยว เพื่อนำมาสังเคราะห์เป็นแนวทางการพัฒนา
การท่องเที่ยวของพื้นที่ชายแดนใต้ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และก้าวทันการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้
การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้
บรรลผุ ลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเปา้ หมายทไี่ ด้กำหนดไว้ ดังรายละเอยี ดในแผนภาพกระบวนการจัดทำแผนฯ

3

แผนภาพแสดงกระบวนการจัดทำแผน

ขั้นตอนท่ี ๑ - ศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มของพนื้ ที่ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการท่องเทย่ี ว
การศกึ ษาข้นั ปฐมภมู ิ - ศึกษาแผนการพัฒนาการท่องเท่ยี วท่ีผา่ นมา
- ศกึ ษายทุ ธศาสตร์ชาติ ๒๐ปี
- ศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาประเทศ
- ศึกษาวาระการปฏริ ปู ประเทศ
- ศึกษาแผนเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบับท่ี ๑๒
- ศกึ ษาแผนพฒั นาภาค
- ศึกษาแผนพัฒนากลุ่มจงั หวดั
- ศกึ ษาแผนพฒั นาจงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส
- ศกึ ษาแผนการพฒั นาการทอ่ งเทย่ี วแห่งชาติ

ขัน้ ตอนที่ ๒ - จัดประชุมกลุ่มยอ่ ยกับสำนักงานทอ่ งเท่ียวและกฬี า
การศกึ ษาขัน้ ทตุ ิยภมู ิ - จัดให้มีการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการจำนวน ๒ วัน

โดยมีผู้แทนจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ศึกษา วิเคราะห์ความ
จำเป็นทางการพฒั นาการทอ่ งเทย่ี วของจังหวัดชายแดนใต้
- การประชมุ ร่วมเชงิ พ้นื ทีผ่ า่ นเวทยี ่อยไมน่ ้อยกว่า ๕ ครง้ั
- การบูรณาการกับกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด
ในทุกจังหวัดในรอบการทบทวนแผนงบประมาณประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓
- การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญทางการท่องเที่ยว และ
พ้ืนทช่ี ุมชนในแหล่งทอ่ งเที่ยวหลกั
- จัดประชุมเพื่อการวิพากษ์ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการ
ท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรม
ชายแดนใต้

ขัน้ ตอนท่ี ๓ - นำเสนอต่อคณะกรรมการพจิ ารณา เพ่ือใหข้ อ้ เสนอแนะ
การนำเสนอเพื่อพจิ ารณา - นำมาขอ้ เสนอแนะปรับปรุงใหม้ คี วามสมบรู ณ์
ใหข้ อ้ เสนอแนะ และเหน็ ชอบ - นำเสนอคณะกรรมการใหค้ วามเหน็ ชอบอีกคร้งั

4

บทที่ ๑
ข้อมลู พน้ื ฐานเพือ่ การพฒั นาการทอ่ งเทย่ี วพหวุ ฒั นธรรมชายแดนใต้

(ปตั ตานี ยะลา และนราธิวาส)

1.๑. ความนำ

จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม
2561 มติที่ประชุมเห็นชอบในหลักการประกาศเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเพิ่มเติมอีก 6 เขตจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ ประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่ 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส มี ๒ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเบตง (ยะลา)
อำเภอสุไหงโก-ลก (นราธิวาส) โดยทั้งสองอำเภอเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ (เมืองการค้าชายแดน)
มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียมีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม
มีความผสมผสานกันอย่าง ลงตัว ประกอบด้วย คนไทยหลากหลายเชื้อชาติ และศาสนา ทั้งคนไทยมุสลิม
คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และอื่นๆ จึงมีความหลากหลายทางประเพณี และวัฒนธรรมวิถีชีวิต
อาหารการกิน บรรยากาศของเมือง และประวัติศาสตร์ เมื่อรวมสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าด้วยกนั จึงเกิดเป็นวิถีชวี ติ
แบบพหุวัฒนธรรมที่มีมนต์เสน่ห์ และมีเอกลักษณ์แตกต่างจากเขตพื้นที่อื่นๆ เขตพัฒนาการท่องเที่ยว
พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ โดยมีจังหวดั ปัตตานี เป็นศูนย์ปฏิบัติการเขตพฒั นาการทอ่ งเที่ยว และมีจุดเด่นรว่ มกัน
ในด้านวิถีชีวิตแบบพหุวัฒนธรรม มลายู อิสลาม พุทธ และจีน และการท่องเที่ยวที่อำนวยความสะดวก
ต่อผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม Muslim Friendly เพื่อให้การขับเคลื่อนงานของเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติจึงได้จัดทำ
โครงการจดั ทำแผนปฏิบตั ิการพัฒนาการท่องเทีย่ วประจำเขตพัฒนาการทอ่ งเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้

1.๒. ทีต่ ง้ั และอาณาเขต
1.๒.๑. ท่ตี ง้ั
เขตพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ หรือ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย

จังหวัดปัตตานี ยะลา และจังหวัดนราธิวาส ตั้งอยู่ตอนล่างของประเทศ ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศ และ
ติดกับประเทศมาเลเซีย มีอาณาเขตติดต่อด้านใต้ และด้านตะวันตกกับประเทศมาเลเซีย รวมระยะทาง
พรมแดนไทย – มาเลเซีย 258 กโิ ลเมตร โดยมีเทอื กเขาสนั กาลาคีรีเป็นแนวกั้นดา้ นเหนอื และดา้ นตะวันออก
ติดทะเลอ่าวไทยเป็นระยะทาง 172.31 กโิ ลเมตร มีเนื้อท่รี วมประมาณ 10,936.864 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 6.80 ล้านไร่ ซึ่งจังหวัดนราธิวาสมีพื้นที่มากที่สุด และจังหวัดปัตตานีมีพื้นที่น้อยที่สุด
โดยรายละเอียด ดงั น้ี

5

รูปที่ ๑ แผนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนใต้
1.๒.๒. อาณาเขต

อาณาเขต เขตพัฒนาการท่องเทีย่ วพหวุ ัฒนธรรมชายแดนใต้ หรือ 3 จงั หวดั ชายแดนใต้

ทศิ เหนอื จงั หวัดสงขลา
ทศิ ตะวันออก อา่ วไทย
ทศิ ตะวันตก จังหวดั สงขลา
ทิศใต้ ประเทศมาเลเซยี

มีพน้ื ที่รวมทง้ั ส้นิ 10,936.864 ตารางกโิ ลเมตร หรือประมาณ 6.80 ล้านไร่ โดยจงั หวัดนราธวิ าส
มีพนื้ ท่ี 4,475.43๐ ตารางกิโลเมตร หรือ 2.79 ลา้ นไร่ ติดกบั รฐั กลันตนั และรฐั เปรคั ประเทศมาเลเซีย
จงั หวัดปตั ตานมี ีพน้ื ท่ี 1,940.356 ตารางกโิ ลเมตรหรอื 1.21 ลา้ นไร่ และจงั หวดั ยะลามพี นื้ ท่ี 4,521.078
ตารางกโิ ลเมตรหรอื 2.80 ล้านไร่ ตดิ กับรฐั เปรัคและรฐั เคดาหป์ ระเทศมาเลเซยี รวมทัง้ สิ้น 10,936.864
ตารางกโิ ลเมตรหรอื 6.80 ลา้ นไร่

3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส) มีอาณาเขตติดกบั จงั หวดั ตา่ งๆ ดงั น้ี

3 จงั หวดั ชายแดนใต้ ทศิ เหนือ ทิศใต้ ทศิ ตะวันออก ทศิ ตะวันตก
ปัตตานี อ่าวไทย อา่ วไทย อำเภอเทพา
อำเภอเมือง และอำเภอ
นราธวิ าส จังหวดั ปตั ตานี อำเภอรามัน อา่ วไทย และ สะบ้าย้อย
ยะลา และอ่าวไทย จงั หวดั ยะลา รัฐกลันตนั จงั หวัดสงขลา
และอำเภอบาเจาะ ประเทศมาเลเซีย
อำเภอสะบา้ ยอ้ ย จงั หวดั นราธวิ าส อำเภอบาเจาะ จังหวัดยะลา
จงั หวดั สงขลา และ รฐั กลันตนั อำเภอรือเสาะ
อำเภอโคกโพธิ์ ประเทศมาเลเซีย จงั หวดั นราธิวาส จังหวัดสงขลา
จงั หวดั ปัตตานี และรัฐเปอร์ลิส และรฐั เคดาห์
รฐั เปอร์ลิส ประเทศมาเลเซยี ประเทศมาเลเซยี
ประเทศมาเลเซีย

6

1.๓. ลักษณะภมู ิอากาศ
สภาพภูมิอากาศ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ตั้งใกล้เส้นศูนย์สูตรจัดอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน และชื้น

(Tropical Wet or Tropical Rainforest) เนื่องด้วยมีฝนตลอดปี ไม่เว้นฤดูแล้ง เว้นแต่ในบางเดือน เช่น
ในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม ซึ่งมีฝนตกน้อยกว่าเดือนอื่นๆ โดยได้รับอิทธิพลของลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุม ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ระหว่างกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
ทำให้มฝี นตกมากบริเวณฝงั่ ตะวนั ออกของภาคใต้

สำหรับช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนน้อยกว่าช่วงอื่นๆ เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิสูงมากที่สดุ
ของปี

1.๔. การปกครอง/ประชากร
1.๔.๑. การปกครองสว่ นภูมภิ าค / การปกครองส่วนท้องถ่นิ
เขตการปกครองของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย 3 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา

และนราธิวาส) ซึ่งการปกครองส่วนภูมิภาคประกอบด้วย 33 อำเภอ 250 ตำบล 1,614 หมู่บ้าน และ
การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย 1 เทศบาลนคร 5 เทศบาลเมือง 31 เทศบาลตำบล 227
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล

ตารางที่ ๒ ตารางแสดงข้อมูลการปกครองสว่ นภูมภิ าค / การปกครองส่วนทอ้ งถิ่น

กลุม่ จงั หวัด การปกครองสว่ นภูมิภาค เทศบาล การปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ
ภาคใตช้ ายแดน อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน นคร
เทศบาล เทศบาล องคก์ ารบริหาร
เมอื ง ตำบล ส่วนตำบล

ปตั ตานี 12 115 642 - 1 11 101

ยะลา 8 58 379 1 1 9 52

นราธิวาส 13 77 593 - 3 11 74

รวม 33 250 1,614 1 5 31 227

ทมี่ า : สำนักทะเบยี นกลาง กรมการปกครอง

1.๔.๒. ประชากร
จำนวนประชากรรวม ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 2,012,921 คน

ซึ่งแยกเป็นประชากรชาย 997,429 คน และประชากรหญิง 1,015,492 คน ประชากรส่วนใหญ่
ร้อยละ 82.62 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 16.94 นับถือศาสนาพุทธ และอีกร้อยละ 0.44 นับถือ
ศาสนาอนื่ ๆ (คริสต์/ฮินด)ู ทำใหพ้ ้ืนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนใตม้ ีเอกลักษณท์ างสังคม และวถิ ีประชาชนท่ีแตกต่าง
จากพื้นทีส่ ว่ นอน่ื ๆ ของประเทศ รายละเอียดดังนี้

7

ตารางท่ี ๓ ตารางแสดงขอ้ มูลจำนวนประชากรของกลุ่มจงั หวดั ภาคใตช้ ายแดน

กลุ่มจังหวัดภาคใต้ เพศ จำนวนประชากรรวม
(คน)
ชายแดน ชาย หญงิ

ปตั ตานี 347,145 353,816 700,961

ยะลา 259,452 262,827 522,279

นราธวิ าส 390,832 398,849 789,681

รวม 997,429 1,015,492 2,012,921

ทม่ี า : สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง

1.๕. ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกจิ ในภาพรวมของกลมุ่ จงั หวดั ภาคใต้ชายแดนชะลอตัวลง
1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะราคายางพารา และ

ปาล์มน้ำมันที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร การบริโภค และการออม
ของประชาชน

2. ความเสี่ยงจากสภาพอากาศทแี่ ปรปรวนและภัยธรรมชาติปัญหานำ้ ท่วมและภัยแล้ง ทยี่ งั คงเกิดข้ึน
ในทุกปี ทำใหพ้ ้ืนทีเ่ พาะปลกู ไดร้ ับความเสียหาย ผลผลิตออกสู่ตลาดไมเ่ ต็มที่

3. ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนที่อาจจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอแรง (Hard
landing) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับผลผลิตหลักของจังหวัด (ยางพารา)
ทำให้ราคาสนิ คา้ ยางพาราตกต่ำอยา่ งตอ่ เนอื่ ง

4. ความเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงาน คาดว่าจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีฝีมือไปยังธุรกิจ
สถานประกอบการที่ให้สวัสดิการที่ดีกว่า ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนแรงงาน
ในสถานประกอบการบางประเภท

5. ความเสี่ยงจากสถานการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ ที่เป็นปัญหาสะสมมาอย่างยาวนานส่งผลกระทบ
ต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งความเชื่อมั่นในการดำเนินชีวิตของประชาชน อันส่งผลกระทบ
ต่อภาคเศรษฐกิจในพื้นทจี่ งั หวัดภาคใต้ชายแดน

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม
ปี พ.ศ. 2562 ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ หนี้สิน
ครัวเรือนชะลอการขยายตัว การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง การเกิดอุบัติเหตุทางบกลดลง แต่มีประเด็น
ทีต่ อ้ งตดิ ตาม ได้แก่ การจ้างงานลดลง การบริโภคเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอลแ์ ละบุหรขี่ ยายตัว คดีอาญาเพ่ิมขึน้ จาก
คดียาเสพติดที่เพิ่มมาก นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ ได้แก่ เด็กไทย 1 ใน 5
เป็นเด็กยากจนหลายมิติ การป้องกันเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ และรูปแบบการทำงานแบบคนรุ่นใหม่
รวมท้งั การเสนอบทความเรอ่ื ง “ความก้าวหน้าการพฒั นาคนของประเทศไทย” โดยสรุปสาระดังน้ี

8

การชะลอตัวของเศรษฐกจิ ยังไม่ปรากฏผลกระทบตอ่ ตลาดแรงงานมากนกั
ไตรมาสสาม ปี พ.ศ. 2562 ผู้มีงานทำลดลงร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
โดยภาคเกษตรมีการจา้ งงานลดลงรอ้ ยละ 1.8 เปน็ การลดลงตอ่ เน่ืองเป็นไตรมาสที่ 3 จากปญั หาภัยธรรมชาติ
และการจ้างงานภาคนอกเกษตรลดลงร้อยละ 2.3 ตามการชะลอตวั ทางเศรษฐกิจ และการหดตัวของการส่งออก
โดยสาขาที่มีการจ้างงานลดลงได้แก่ สาขาการผลิต สาขาการขายส่ง/ขายปลีก และสาขาการก่อสร้างลดลงร้อยละ 5.2
4.1 และ 2.2 ตามลำดับ ขณะที่สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1
และ 1.0 ตามลำดับ ซ่งึ เป็นผลมาจากการขยายตวั ของจำนวนนกั ทอ่ งเทีย่ วท่เี พ่มิ ข้ึนมาก
ชั่วโมงการทำงานทรงตัว แม้การจ้างงานจะลดลง แต่โดยเฉลี่ยแรงงานยังคงมชี ั่วโมงทำงานยังอยู่ในระดับ
ใกลเ้ คยี งกบั ช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2561 โดยเพ่ิมขึ้นทร่ี อ้ ยละ 0.4 มสี าเหตุจากการปรับตวั ของสถานประกอบการ
มีการปรับลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาลงและบางส่วนมีการปรับลดการจ้างแรงงานที่มีผลิตภา พและชั่วโมง
การทำงานต่ำก่อน ทำให้โดยเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานยังคงทรงตัวในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ ค่าจ้างแรงงาน
ในภาพรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยค่าจ้างแรงงานโดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 14,334 บาท/เดือน ค่าจ้างแรงงาน
ภาคเอกชนเท่ากับ 12,847 บาท/เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 และ 2.5 ตามลำดับ เมื่อหักเงินเฟ้อที่ร้อยละ 0.6
ค่าจ้างทแ่ี ท้จริงของภาคเอกชนเพิม่ ขนึ้ รอ้ ยละ 1.9 ด้านผลติ ภาพแรงงาน (มลู คา่ ผลิตภัณฑ์)
มวลรวมภายในประเทศตอ่ ผมู้ งี านทำ
พบว่า มีมูลคา่ 69,329 บาทตอ่ คน เพิ่มข้นึ ร้อยละ 4.6 ขณะท่ีอตั ราการว่างงานเท่ากบั ร้อยละ 1.04
หรือมีจำนวน 0.394 ล้านคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 5.5 สาเหตุสำคัญมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
และปัญหาภัยธรรมชาติ การวา่ งงานเพ่ิมขึ้นท้ังผู้ท่ีเคยทำงานและไมเ่ คยทำงานมาก่อน โดยผู้ว่างงานท่ีเคยทำงานมากอ่ น
เพิม่ ขน้ึ ร้อยละ 8.4 ผวู้ ่างงานท่ีไมเ่ คยทำงานมากอ่ นเพิ่มขน้ึ ร้อยละ 3.0 สว่ นหนึ่งเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ผู้จบ
การศึกษาใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน เมื่อพิจารณาการว่างงานตามระดับการศึกษา พบว่า ผู้จบการศึกษา
ระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ร้อยละ 2.15 รองลงมาเป็นผู้จบอาชีวศึกษา วิชาชีพชั้นสูง
มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับประถมศึกษาและต่ำกว่า และพบว่า ผู้จบการศึกษา
ระดับอุดมศึกษา อาชีวศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น มีอัตราการว่างงานทีเ่ พิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกนั ของปี
ท่ผี ่านมา

9

1.๖. ขอ้ มูลดา้ นบริการ และการท่องเท่ยี ว ๓ จังหวัดชายแดนใต้
1.๖.๑. การทอ่ งเท่ียว
นกั ท่องเทย่ี วทีเ่ ข้ามาพักตามสถานประกอบการในพ้นื ที่ 3 จงั หวดั สง่ ผลใหเ้ กิดรายได้ในพืน้ ท่ี

แต่ละจังหวดั เมอื่ เปรียบปี พ.ศ. 255๗ – 25๖๑ จำนวน ๕ ปีซง่ึ โดยภาพรวมเพ่มิ ข้ึน และมีแนวโนม้ เพ่ิมขึ้นทุกๆ ปี

ตารางที่ ๔ ตารางแสดงรายได้จากการทอ่ งเที่ยว ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ปี พ.ศ. 255๗ – 25๖๑

พ.ศ. ๓ จังหวดั ปตั ตานี หนว่ ย : ล้านบาท
ชายแดนใต้
779.12 ยะลา นราธวิ าส รวม ๓ จังหวัด
2557 ชาวไทย 7.22
ชาว ตปท. 786.34 388.95 723.38 1,891.45
853.43 2,130.74 1,608.87 3,746.82
รวม 8.17 2,519.69 2,332.25 5,638.28
861.60 434.14 811.99 2,099.56
ชาวไทย 900.12 2,295.14 1,716.95 4,020.26
8.78 2,729.28 2,528.94 6,119.82
2558 ชาว ตปท. ๙๐๘.๙๐ 467.38 855.04 2,222.54
986.99 2,418.91 1,819.11 4,246.80
รวม 9.17 2886.29 2674.15 6,469.34
๙๙๖.๑๖ 503.38 922.69 1,490.37
ชาวไทย 1,052.79 2,642.19 1,965.84 4,617.20
10.37 3,145.57 2,888.53 6,107.57
๒๕๕๙ ชาว ตปท. ๑,๐๖๓.๑๖ 548.74 1,035.10 2,636.63
2,894.43 2,102.57 5,007.37
รวม 3,443.17 3,137.67 7,644.00
ทม่ี า : สถติ ิการท่องเทีย่ ว กระทรวงการทอ่ งเทีย่ วและกฬี า
ชาวไทย

๒๕๖๐ ชาว ตปท.

รวม

ชาวไทย

๒๕๖๑ ชาว ตปท.

รวม

จากตาราง จะเห็นได้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยว ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากปี พ.ศ. 25๖๐ จาก 6,107.57 ลา้ นบาท เพมิ่ ข้ึนในปี พ.ศ. 25๖๑ เป็น 67,644.00 ล้านบาท

10

ตารางที่ ๕ ตารางแสดงจำนวนผเู้ ยยี่ มเยือนใน ๓ จังหวดั ชายแดนใต้ ปี พ.ศ. 255๗ – 25๖๑

หน่วย : คน

พ.ศ. ๓ จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส รวม
ชายแดนใต้

2557 ชาวไทย 236,039 122,740 218,209 576,988
ชาว ตปท. 1,886 466,913 371,481 840,280

รวม 237,925 589,653 589,690 1,417,268

ชาวไทย 248,978 130,007 238,792 617,777

2558 ชาว ตปท. 2,103 492,369 397,118 891,590

รวม 251,081 622,376 635,910 1,509,367

ชาวไทย 254,974 132,142 243,091 630,207

๒๕๕๙ ชาว ตปท. 2,169 492,737 402,929 897,835

รวม 257,143 624,879 646,020 1,528,402

ชาวไทย 270,575 141,012 253,482 665,069

๒๕๖๐ ชาว ตปท. 2,164 516,305 412,228 930,697

รวม 272,739 657,317 665,710 1,595,766

ชาวไทย 279,643 148,451 271,440 699,354

๒๕๖๑ ชาว ตปท. 2,345 535,125 417,008 954,478

รวม 281,988 683,576 688,008 1,653,832

ท่มี า : สถติ ิการทอ่ งเท่ียว กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกีฬา

จากตาราง จะเห็นได้ว่าผู้เยี่ยมเยือนมาเยี่ยมใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มเพิ่มข้ึน
จากปี พ.ศ. 25๖๐ จาก 1,595,766 คน เพิม่ ขนึ้ ในปี พ.ศ. 25๖๑ เป็น 1,653,832 คน

11

ตารางที่ ๖ ตารางแสดงจำนวนนักท่องเที่ยว ๓ จังหวดั ชายแดนใต้ ปี พ.ศ. 255๗ – 25๖๑

หน่วย : คน

พ.ศ. ๓ จงั หวดั ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวม ๓ จงั หวดั
ชายแดนใต้

ชาวไทย 212,386 116,281 200,647 529,314

2557 ชาว ตปท. 1,676 440,387 346,225 788,288

รวม 214,062 556,668 546,872 1,317,602

ชาวไทย 223,868 123,184 218,366 565,418

2558 ชาว ตปท. 1,874 464,337 369,867 863,078

รวม 225,742 587,521 588,233 1,428,496

ชาวไทย 228,823 125,107 221,614 575,544

๒๕๕๙ ชาว ตปท. 1,919 464,428 374,436 840,783

รวม 230,742 589,535 596,050 1,416,327

ชาวไทย 242,851 133,589 231,321 607,761

๒๕๖๐ ชาว ตปท. 1,906 486,719 382,627 871,252

รวม 244,751 620,308 613,948 1,479,013

ชาวไทย 250,288 138,518 236,409 625,710

๒๕๖๑ ชาว ตปท. 2,059 502,240 400,079 904,378

รวม 252,347 640758 636,488 1,530,088

ที่มา : สถติ ิการทอ่ งเทย่ี ว กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกีฬา

จากตาราง จะเห็นได้ว่ามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากปี พ.ศ. 25๖๐ จาก 1,479,013 คน เพม่ิ ขึ้นในปี พ.ศ. 25๖๑ เปน็ 1,530,088 คน

12

ตารางที่ ๗ ตารางแสดงจำนวนนักทัศนาจรใน ๓ จงั หวัดชายแดนใต้

หนว่ ย : คน

พ.ศ. ๓ จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส รวม ๓ จังหวัด
ชายแดนใต้

ชาวไทย 23,653 6,459 17,562 47,674

2557 ชาว ตปท. 210 26,526 25,256 51,992

รวม 23,869 32,985 42,818 99,666

ชาวไทย 25,110 6,823 20,426 52,359

2558 ชาว ตปท. 229 28,032 27,251 55,512

รวม 25,339 34,855 47,677 107,871

ชาวไทย 26,151 7,035 21,477 54,633

๒๕๕๙ ชาว ตปท. 250 28,309 28,493 57,052

รวม 26,401 35,344 49,970 111,685

ชาวไทย 27,724 7,423 22,161 57,308

๒๕๖๐ ชาว ตปท. 258 29,586 29,601 59,445

รวม 27,982 37,009 51,762 116,753

ชาวไทย 29,355 7,704 23,444 60,503

๒๕๖๑ ชาว ตปท. 286 31,556 32,125 63,967

รวม 29,641 39,260 55,569 124,470

ทม่ี า : สถิติการทอ่ งเทีย่ ว กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า

จากตาราง จะเห็นได้ว่ามีนักทัศนาจรเข้ามาใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากปี พ.ศ. 25๖๐ จาก 116,753 คน เพิ่มขน้ึ ในปี พ.ศ. 25๖๑ เปน็ 124,470 คน

13

ตารางที่ ๘ ตารางแสดงระยะเวลาพำนักเฉล่ยี ของนักทอ่ งเที่ยวใน ๓ จังหวดั ชายแดนใต้

หนว่ ย : วนั

พ.ศ. ๓ จงั หวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส

ชาวไทย 2.30 2.01 2.10
2557 ชาว ตปท. 2.37 2.15 2.24
2.30 2.12 2.19
รวม 2.27 1.99 2.07
ชาวไทย 2.29 2.09 2.13
2558 ชาว ตปท. 2.27 2.07 2.11
รวม 2.25 2.00 2.06
ชาวไทย 2.30 2.09 2.14
๒๕๕๙ ชาว ตปท. 2.25 2.07 2.11
รวม ๒.๒๗ 1.94 2.04
ชาวไทย ๒.๒๒ 2.05 2.12
๒๕๖๐ ชาว ตปท. 2.22 2.03 2.09
รวม 2.19 1.91 2.01
ชาวไทย 2.24 2.00 2.13
๒๕๖๑ ชาว ตปท. 2.19 1.98 2.09
รวม
ท่ีมา : สถติ กิ ารท่องเทย่ี ว กระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและกฬี า

จากตาราง จะเห็นได้ว่าระยะเวลาพำนักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ คงท่ี
ในปี พ.ศ. 25๖๐ และ ปี พ.ศ. 25๖๑ เท่ากับ ๒.๐๙ วนั

14

1.๖.๒. แหล่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
๑) จังหวัดปัตตานี
จังหวัดปัตตานี เป็นศูนย์รวมของประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา โดยสืบเนื่องมาจาก

ความเจริญรุ่งเรืองทางการปกครองและการคา้ ในอดตี จึงมีการรับเอาอารยธรรมจากชนชาติตา่ งๆ มาผสมผสานจนเป็น
เอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมท่โี ดดเด่นและกลมกลนื

แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ปัตตานีมีมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าศึกษามากมาย
ได้แก่ เมืองโบราณยะรัง เมืองเก่ากรือเซะ-บานา วังเก่าสมัย 7 หวั เมอื ง กริชสกลุ ช่างปตั ตานี จิตรกรรมบนเรอื กอและ
(นาวาแห่งจิตวิญญาณ) จิตรกรรมฝาผนังวัดโบราณที่สวยงามวิจิตร จังหวัดปัตตานียังมีศาสนสถานที่สวยงาม
ทรงคุณค่า ได้แก่ วัดราษฎร์บูรณะหรือวัดช้างให้ (วัดหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด) ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
มัสยิดกรือเซะ (มสั ยดิ คู่พระราชวงั โกตาอสี ตานา) มสั ยดิ ดาโตะ๊ (มสั ยิดร่วมสมัยกบั มสั ยิดกรือเซะ) มัสยดิ กลางปัตตานี
(สถาปตั ยกรรมคล้ายคลงึ ทชั มาฮาลในอนิ เดีย) เปน็ ต้น

เมืองโบราณยะรัง เป็นชุมชนสมัยแรกเร่ิม
ประวัติศาสตรท์ ี่ใหญ่ท่ีสุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ ตามหลักฐาน
เอกสารเช่ือว่าเป็นที่ต้ังของอาณาจักรโบราณ “ลังกาสุกะ”
เป็นเมืองโบราณที่มีผังเมืองรูปวงรีขนาดใหญ่ พื้นที่
ประมาณ 9 ตารางกโิ ลเมตร ลักษณะเมอื งมีการสร้างทบั ซ้อนกัน
ถึง 3 เมือง คือ เมืองโบราณบ้านวัด เมืองโบราณบ้านจาเละ
และเมอื งโบราณบา้ นปราแว

มสั ยิดกรือเซะ ต้งั อยู่ริมถนนสายปัตตาน-ี นราธิวาส สันนษิ ฐานว่าสร้างข้นึ ในสมยั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
คือ ระหว่าง พ.ศ. 2121 ถึง 2136 ก่อสร้างเป็นแบบเสากลม ก่ออิฐถือปูนแบบตะวันออกกลางมหี ลังคาโดม
ซง่ึ ยงั สร้างไม่แลว้ เสรจ็

มัสยดิ กลางจงั หวดั ปัตตานี ตง้ั อยู่รมิ ถนนสาย
ยะรัง - ปัตตานี ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี
เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2497 ใช้เวลาก่อสร้าง
ประมาณ 9 ปี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ทำพิธีเปิดใช้มัสยิดกลางปัตตานี เมื่อวันที่ 25
พฤษภาคม พ.ศ. 2506 โครงสร้างมัสยิดมีลักษณะ
สวยงามยิ่ง ตั้งอยู่บนฐานรูปทรงคล้ายกับวิหาร
ที่ทัชมาฮาลของอินเดีย ตรงกลางเป็นอาคารมียอดโดม
ขนาดใหญ่และมีโดมบริวาร 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้างสูงเด่นเป็นสง่า และปัจจุบันได้ขยายด้านข้างออกไป
ทงั้ 2 ด้าน และสร้างหออาซานพรอ้ มขยายสระน้ำและท่ีอาบนำ้ ละหมาด ทำใหด้ สู งา่ งามยิ่งข้ึน

15

ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเล่งจูเกียง
เป็นศาลที่ประดิษฐานรปู แกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
พระหมอ เจ้าแม่ทับทิม ตั้งอยู่ที่ถนนอาเนาะรู อำเภอ
เมืองปัตตานี ทุกๆ ปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดอื น 3 จะมงี าน
สมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยแห่องค์เจ้าแม่ฯ ไปตาม
ถนนต่างๆ ทั่วเมืองปัตตานี มีการทำพิธีลุยไฟ และ
แห่องคเ์ จ้าแม่ฯ ลยุ น้ำข้ามแม่นำ้ ปัตตานี ผคู้ นทเี่ ล่ือมใส
ศรัทธาจากทว่ั สารทิศจะแหม่ าร่วมงานกันคบั คัง่ ทุกปี

วัดช้างให้ หรือวัดราษฎร์บูรณะ ตั้งอยู่ริมทาง
รถไฟสายหาดใหญ่ - สุไหงโก-ลก หรือทางรถยนต์
สายปัตตานี - นาประดู่ - ยะลา สร้างขึ้นนมากกว่า 300
ปี ภายในวิหารมีรูปปั้นหลวงปู่ทวดขนาดเท่าองค์จริง
ตามประวัตเิ ลา่ ว่า ท่านได้แสดงปาฏหิ าริย์ในคร้ังท่ีเดินทาง
ด้วยสำเภาไปกรุงศรีอยุธยา ระหว่างทางเกิดพายุ
ทำให้อาหารและน้ำดื่มถูกลมพัดตกทะเล ท่านจึงแสดง
ปาฏิหาริย์หย่อนเท้าลงไปในทะเล น้ำในบริเวณนั้นได้
กลายเป็นน้ำจืด ทำให้ชื่อเสียงขจรขยายไปท่ัว
ผู้มานมัสการยังสามารถเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมของ
สถปู มณฑปเจดีย์ และหอระฆงั ซงึ่ งดงามเป็นอย่างยิง่
ชมุ ชนท่องเทย่ี วจังหวดั ปตั ตานี
ชุมชนท่องเทยี่ วมะแนดาแล เปน็ ชมุ ชนทอ่ งเท่ยี วเชิงเกษตร ตั้งอย่หู มู่ที่ 2 ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ
จังหวัดปัตตานี ซ่ึงชุมชนแหง่ นป้ี ลูกผลไม้และพชื ผลต่างๆ อาทิ ทเุ รยี น มังคุด ลองกอง สะตอ เป็นต้น อีกท้ังยัง
มีทิวทัศน์ที่สวยงาม บรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
คือ การกินผลไม้บุฟเฟ่ต์ ราคาพิเศษ (มีเฉพาะฤดกู าลผลไมเ้ ท่านนั้ ) นอกจากนย้ี ังมีกิจกรรมทด่ี ึงดดู นักท่องเทยี่ ว
คือ การเล่นรถ Formula Bow (ฟอร์มูล่าโบว์) หรือรถล้อเลื่อนไม้ คือ การบังคับรถไม้แล้วไถลลงจากเขา
ตามเส้นทางท่กี ำหนด มีทั้งแบบน่ังเดย่ี ว และนงั่ คู่ โดยคดิ ค่าบรกิ ารท่านละ 50 บาท
ชุมชนท่องเที่ยวบ้านเจาะกะพ้อใน ชมรมอนุรักษ์นกเงือกอำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี การท่องเที่ยว
ของที่นี่เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไฮไลต์ คือ การได้ส่องนกเงือก ซึ่งชุมชนแห่งนี้มีพื้นที่ติดเขาบูโด
เป็นอำเภอที่มีรอยต่อ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา เขาบูโดแห่งนี้มีนกเงือกชุกชุมมากถึง 6 สายพันธุ์ ได้แก่
นกเงือกหัวแรด นกหัวหงอก นกกก หรือกาฮัง นกชนหิน นกกาเขา นกกู๋กี๋ ซึ่งในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ -
มิถุนายน เป็นช่วงที่นกเข้าโพรง ช่วงนกกกไขส่ ามารถมาชมและเรียนรู้วิถชี ีวิตของนกเงือกได้ และในช่วงเดอื น
กุมภาพันธ์ - มีนาคม ของทุกปี สามารถชมดอกไม้สีทอง (บุปผาทองคำ) ซึ่งเป็นดอกไม้ป่าที่มีสีทองออกดอก
เพิ่มสีสันอย่างสวยงาม พื้นที่ป่าแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มีพืชสมุนไพร สัตว์ป่านานาชนิด และ
มีน้ำตกหลากหลายสาย เช่น น้ำตกตาเศร้า ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลจากซอกหิน จากรากไม้ บนเขาบูโด และ
มีน้ำตกบาตูดินเด็ง เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่น้ำไหลจากกำแพงหินซึ่งมีความสวยงาม น้ำเย็นมาก นอกจากน้ี

16

สามารถชมทะเลหมอกได้ในยามเช้าพร้อมกับทานข้าวยำ (นาซิกาบู แตออ) ริมลำธาร ต้มน้ำด้วยไม้ฟืนกับ
บรรยากาศสุดพิเศษ และชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น นอนกางเต้นท์พักแรม สัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืน
น่ังชมดาวบรรยากาศสดุ โรแมนตกิ

ชมุ ชนท่องเท่ียวลอ่ งเรือบนู าดารา (ตะโละกาโปร)์ ในสมัยกอ่ นกลา่ วกันวา่ บริเวณที่ตรงนี้ เป็นท่เี ก็บเปลือกหอย
และนำเปลือกหอยเหล่านี้มาเผาจนสุก และกลายเป็นปูนขาว นำมาหมักกับหมาก ปัจจุบันสันนิษฐานว่า
เป็นเปลอื กหอยขาวหรือหอยแครง เพราะวา่ หอยขาว เป็นหอยประจำอ่าวมมี าก ชาวประมงเก็บมากินเนื้อ และ
ส่งออกของอำเภอยะหริ่ง เปลือกหอยจะมีปนู จึงเรียกตำบลน้ีวา่ ตำบลตะโละกาโปร์ ตะโละกาโปร์ เป็นชุมชนที่มี
ทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ทั้งทางทะเลและชายฝั่ง มีป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของ
จังหวัดปัตตานี ที่ช่วยเสริมสร้างอาชีพใหม่ให้กับคนในพื้นที่นอกเหนือจากการเลี้ยงปลา และการประมงก็มี
การท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งมีการจัดตั้งกลุ่มท่องเที่ยว ในชื่อว่า บูนาดารา เป็นการรวมกลุ่มกันของประชาชน
ในพื้นที่ คำว่า บูนา มาจากชื่อชุมชนที่ตั้งของท่าเรือซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่จากคำบอกเล่าของคนแก่ในหมู่บ้าน
ซ่งึ ยังมีชวี ติ อยู่ และยงั ใช้ชีวิตอยอู่ ย่างคนปกตยิ งั สามารถบอกเลา่ ประวตั ิที่ผา่ นมาได้ คำว่า ดารา มาจากชื่อที่ต้ัง
ของท่าเรือตามคำบอกเล่าของคนในชุมชนเช่นกันแต่เดิมเรียกว่า "กาแลดารอ" หมายถึง ท่าเรือดารอ จากนั้น
ทางกล่มุ ไดน้ ำชือ่ ของชุมชนที่ชอื่ วา่ บูนา มาจากชื่อชุมชนท่ีตง้ั ของท่าเรือ มารวมกันจนไดช้ ือ่ "บนู าดารา"

ชุมชนท่องเที่ยวบางปูอเมซิ่งทัวร์ ล่องเรือบางปู ปัตตานี "ลอดอุโมงค์โกงกาง" อุโมงค์โกงกาง
มคี วามยาวประมาณ 700-800 เมตร กวา้ งประมาณ 6 เมตร เบ้อื งบนปกคลุมไปด้วยโกงกางต้นสูงใหญ่ใน 2
ฟากฝั่งทโ่ี นม้ ตวั ลงมาคารวะสายนำ้ เกดิ เป็นลักษณะของอุโมงคต์ ้นไมท้ ่ีถกู เรียกขานให้เป็น "อโุ มงค์โกงกาง" อัน
สวยงามนา่ ทึ่งและมไี มก่ ่แี หง่ ในเมอื งไทยเกบ็ "หอยกัน" หรือท่ชี าวบ้านเรียกวา่ "ลอแก" ซ่ึงถือเป็นหน่ึงในอาหาร
ทะเลดาวเด่นของที่นี่ที่มีอยู่เป็นฯจำนวนมาก "จุดชมวิวอ่าวปัตตานี" เป็นพื้นแคร่ไม้ไผ่ไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป
ชมวิวปากอ่าวปัตตานี พักผ่อน รับลมทะเล ชมผืนป่าโกงกางอันหนาแน่น ร่มรื่น ท่ามกลางสายลมปากอ่าว
ที่พัดเย็นชื่น "เกาะนก" มีต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยนกจำนวนมากนับพันนับหมื่น มีทั้งนกกระยาง และนกกาน้ำ
ซึ่งพวกมันจะออกหากินยามเช้าและกลบั คืนถ่ินในยามเยน็

ชุมชนท่องเที่ยวบาราโหม มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ สุสานพญาอนิ ทิรา หรือ
สุลต่านอิสมาอีล ชาห์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองปัตตานีพระองค์แรกที่นับถือศาสนาอิสลามและสถาปนาเมืองปัตตานี
เปน็ นครปาตานดี ารสุ ลาม และสสุ านราชนิ ี 3 พี่นอ้ ง (รายาฮเี ยา รายาบีรู และรายาอูงู) ที่อยใู่ นบรเิ วณใกลเ้ คยี ง
กัน ชุมชนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นชุมชน “ต้มยำกุ้ง” เพราะชุมชนจะมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการเปิดร้านอาหาร
จำหน่ายอาหารหลัก คือ ต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซีย นอกจากนั้นแล้วยังเป็นแหล่งอาหารโบราณทีเ่ รยี กว่า ตื
อปงดอดอ หรอื ท่ีเรยี กขนมโดดอลเป็นขนมที่มีลกั ษณะคล้ายกะละแม

ชุมชนท่องเที่ยวทรายขาว เป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและโดดเด่น
ด้านการบริหารจัดการเชิงคุณภาพ จนได้รับรางวัล ชุมชนดีเด่นด้านการท่องเที่ยว (Tourism Award 2009)
มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความงดงามหรือความแปลกตาของสภาพธรรมชาติ เช่น น้ำตกทรายขาว
หน้าผาหินรูปงูที่เรียกผาพญางู เป็นต้น รวมถึงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และศาสนา ได้แก่
วัดทรายขาวทีม่ สี ถาปัตยกรรมของโบสถแ์ ละมณฑปอันงดงาม และมีประวัติเก่ียวข้องกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำ
ทะเลจืด มัสยิดนัจมุดดิน อายุกว่า 300 ปีที่มีการผสมผสานศิลปะไทย-มลายูได้อย่างกลมกลืน ชุมชนนี้
มีกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย อาทิ กิจกรรมนั่งรถจิ๊บชมสวนชิมผลไม้หรือโฮมสเตย์ ที่แสดง

17

วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและให้ความรู้สึกเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้า OTOP ที่มี
ชื่อเสียง ได้แก่ ผ้าทอลายจวนตานี ผลิตภัณฑ์แปรรูป ส้มแขก กล้วยเส้น เป็นต้น ชุมชนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น
ชมุ ชนตน้ แบบในการอยูร่ ่วมกนั ระหวา่ งชาวไทยพทุ ธและชาวไทยมุสลมิ ได้อยา่ งดียงิ่

ชุมชนท่องเที่ยวตันหยงลุโล๊ะ ในอดีตมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง
ถึงขีดสุด และถือเป็นศูนย์กลางของการศกึ ษาและเผยแผ่ศาสนาอิสลามท่ีเป็นที่รู้จักในชื่อ “ปาตานีดารุสลาม”
มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ มัสยิดกรือเซะ เป็นโบราณสถานที่มีสถาปัตยกรรมงดงามและมีคุณค่าทาง
ประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี และคงคงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคู่เมืองปัตตานีมาจนถึงปัจจุบัน
ในพื้นที่ใกล้กันจะมีสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีน โดยในแต่ละปี
จะมีผู้มาเยี่ยมชมกราบไหว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น สุสาน
ชาวจนี โบราณรมิ น้ำ และบ่อน้ำฮงั ตเู วาะ เป็นต้น

ชุมชนท่องเที่ยวแหลมโพธิ์ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญ อยู่ที่ปลายแหลมตาชี (แหลมโพธ์ิ)
ซึ่งเป็นจุดที่สามารถยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ ณ จุดเดียวกันและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทาง
วัฒนธรรมที่แสดงวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านในการออกหาปลาโดยใช้เรือกอและ รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวทาง
ประวัตศิ าสตร์ที่สำคัญ ไดแ้ ก่ สุสานเจา้ เมอื งปัตตานี ตนกูบอื ซาร์ สุสานโตะ๊ ปนั ยงั และมัสยิดดาโต๊ะซ่งึ เป็นมสั ยดิ
โบราณรว่ มสมัยกบั มสั ยดิ กรอื เซะ

ชุมชนท่องเที่ยวบางปู มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่มีลักษณะทางธรรมชาติและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ได้แก่ ป่าชายเลนในเขตพื้นที่อ่าวปัตตานี ซึ่งมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เรียงรายเป็นแนวธรรมชาติเกือบตลอด
พื้นที่ นอกจากจะเห็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ ยังจะพบความสวยงามของป่าโกงกาง ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์
น้ำและนกนานาชนิด รวมทั้งหิ่งห้อยที่เปล่งแสงระยิบระยับยามค่ำคืน ชุมชนแห่งนี้มีวิถีชีวิตที่เรี ยบง่าย
มีกระบวนการเรียนรู้รว่ มกนั ระหวา่ งชมุ ชนในพื้นทแ่ี ละผ้ทู ี่เกี่ยวขอ้ งในการจดั การสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว
อย่างทสี ่วนรว่ มของท้องถิ่นที่มุ่งเน้นให้เกดิ จติ สำนึกตอ่ การรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยนื และส่ิงที่เป็นทีก่ ล่าวถงึ
ของชุมชนแห่งนี้อีกประการหนึ่ง คือ อาหารพื้นเมืองรสเลิศ ไม่ว่าจะเป็นยำสาหร่าย ไส้กรอกเนื้อ และ
มาดฆู าตง ทแ่ี ปลวา่ ขนมรงั ผึ้ง

ชุมชนท่องเที่ยวยะรัง มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ เมืองโบราณยะรัง เป็นที่ตั้ง
ของอาณาจักรลังกาสุกะในอดีต มีร่องรอยปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์กว่า 30 แห่ง ครอบคลุมปะปน
ไปกับพื้นที่สวนของประชาชนในท้องถิ่น สภาพทั่วไปคงลักษณะเป็นอาคารปราสาท คูคลองที่ใช้ป้องกันข้าศกึ
ที่บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของชนชาติไทยในพุทธศตวรรษที่ 12-14 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วชุมชนน้ี
จะมีการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำอาหารโบราณที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบันทั้งคาวและหวาน ของ
อรอ่ ยที่ขนึ้ ชื่อ เช่น ลกู หยี และมังคุดกวน เป็นต้น

ชุมชนท่องเที่ยวตยุ ง มีแหล่งท่องเท่ียวทางประวัตศิ าสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ วังเจ้าเมอื งหนองจิก ซึ่งได้รับ
การบูรณะและรับรองจากกรมศลิ ปากร ให้เป็นโบราณสถานที่ควรอนุรักษไ์ ว้และวดั มุจลินทวาปีวิหาร หรือวัดตุ
ยง ซึ่งเป็นพระอารามหลวงสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2388 ภายในวัดจะมีพิพิธภัณฑ์พระราชพุทธรังสี เป็นที่
ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อดำ และเป็นที่รวบรวมวัตถุโบราณอันล้ำค่าหายากมากมาย นอกจากวังและวัด
ดังกล่าวแล้ว ยังมีคลองตุยง ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ในการศึกษาวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านและ

18

การล่องเรือรามรอยเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 5 ชุมชนแห่งนี้เป็นแหลง่ อาหารพื้นเมืองช้นั เลศิ เชน่ ขนมเบ้ือง
ญวน สูตรลบั เฉพาะ และขนมปำจี เปน็ ต้น

ชุมชนท่องเที่ยวน้ำบ่อ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ คือ หาดแฆแฆ ซึ่งเป็นชายหาดที่มีเม็ดทราย
เปน็ สที อง มโี ขดหินแกรนติ ขนาดใหญร่ ูปรา่ งแปลกตามากมาย เป็นประติมากรรมทางธรรมชาตทิ ่มี ีความงดงาม
ยง่ิ อีกทั้งยงั เป็นแหลง่ ท่องเท่ยี วทางวัฒนธรรมทแ่ี สดงวิถชี ีวติ ประมงพ้ืนบา้ นทพี่ บเห็นไดช้ ดั เจน คอื การทำปลา
กะตกั แห้ง โดยชาวประมงจะนำปลามาวางตากสองข้างฝ่ังถนนเรยี งรายไปตลอดแนวชายหาด

ชุมชนท่องเทย่ี วยะหริ่ง มแี หล่งทอ่ งเท่ียวทางประวตั ิศาสตร์ ทีเ่ ปน็ สง่ิ กอ่ สรา้ งที่มีคุณค่าทางศิลปะและ
สถาปัตยกรรม ไดแ้ ก่ วังยะหร่ิง ซ่ึงสร้างขนึ้ ตอนปลายสมัยรัชกาลท่ี 5 แตย่ ังคงความสมบรู ณ์ ลักษณะเปน็ เรือน
ไม้สไตล์ยโุ รป ผสมผสานศิลปกรรมพืน้ เมอื งและชวา แซมประดบั ดว้ ยลวดลายฉลุ ผนวกกับเครือ่ งโถ ถ้วย ชาม
ที่มีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วชุมชนแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของคุณลุง “ขาเดร์ แวเด็ง”
ศิลปินแห่งชาติ ที่มีความสามารถด้านไวโอลิน สามารถถ่ายทอดและบรรเลงเพลงรองเง็งในแบบฉบับชาว
ปตั ตานไี ดอ้ ยา่ งไพเราะยิ่ง

ชุมชนท่องเที่ยวจะบังติกอ เป็นชุมชนที่มีวิถีชีวิตตามอัตลักษณ์ของความเป็นศาสนาอิสลามที่สมถะ
และวัฒนธรรมมลายูอันดีงามที่ยังคงยืนหยัดจนถึงปัจจุบัน มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
วังจะบังติกอ ในอดีตเป็นสถานที่ประทับของสุลต่านเจ้าเมืองปัตตานี จุดเด่น คือ กำแพงวังก่ออิฐดินเผา และ
โค้งประตูที่เป็นสถาปัตยกรรมจีนผสมอินเดียดั้งเดิม มัสยิดรายอฟาฏอนีที่มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม
ผสมผสานระหว่างมลายูปัตตานีกับตะวันออก และกูโบร์โต๊ะอาเย๊าะห์ สถานที่ฝังพระศพเจา้ เมืองและเช้อื พระ
วงศ์หลายพระองค์ของเมืองปัตตานีโบราณ นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่จะพบได้ในชุมชนนี้ คือ อาหารพื้นเมือง
โบราณที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เช่น บูตูฮาลือบอ อาเก๊าะ บาตาบูโร๊ะ ฯลฯ โดยเฉพาะในชว่ งเดือนรอมฎอน
ทุกเย็นจะมีร้านขายอาหารมากกว่า 350 ร้าน เปดิ เป็นตลาดนัดใหเ้ ลอื กซอื้ กนั อย่างคึกคัก

แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ปัตตานีมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลายจากทะเลจรด
ขุนเขา อาทิ หาดตะโละกาโปร์ หาดแฆแฆ ที่มีโขดหินเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงามมีเ สน่ห์
แหลมตาชี ซึ่งเป็นแหลมที่สามารถสัมผัสแสงแรก และแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์โดยยืนตรงจุดเดียวกัน
ตลอดจนสามารถสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านที่เรียบง่าย สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศนั้น ปัตตานี
มีกิจกรรมการท่องไพรเชิงอนุรักษ์พิชิตยอดเขาสันกาลาคีรี ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว กิจกรรม
“พายเรือแคนู - ซีคายัก ลายกอและ ลอดอุโมงค์ธรรมชาติกลางป่าชายเลนยะหริ่ง” ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ
ป่าชายเลนยะหริ่ง

19

งานประเพณีและกิจกรรมท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ได้แก่ งานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี เทศกาลสรงน้ำหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี
ประเพณีชักพระ อำเภอโคกโพธิ์ ซึ่งจัดในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี ประเพณีของชาวไทยมุสลิม
ซึ่งประกอบด้วย พิธีการเกิดการโกนผมไฟและการเข้าสุหนัตหรือมาโซะยาวี ซึ่งเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
ของอิสลามที่มุสลิมทุกคนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีชื่อเสียงอีกหลาย
กจิ กรรม

การละเลน่ พนื้ เมอื งที่สำคญั คอื ดิเกรฮ์ ูลหู รือลเิ กฮูลู ร็องแงง็ มะโยง่
อาหารประจำถิ่นที่สำคัญ คือ นาซิดาแฆ เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอร่อย ไก่กอและ
สะเต๊ะเนื้อ ซอเลาะพริกหยวก รอเยาะ ข้าวยำ โรตีมะตะบะ โรตีปาแย ชาชัก ซัมบูซะ กรือโป๊ะ (ข้าวเกรียบปลาสด)
และบูดู

๒) จังหวดั ยะลา
ยะลาคอื จังหวดั ใต้สุดของแผน่ ดินไทย มแี หล่งท่องเทีย่ วหลากหลายประเภท ท้งั แหลง่ ท่องเท่ียว

ทางประวัติศาสตร์วิถีวัฒนธรรม และธรรมชาติ ที่ล้วนมีเอกลักษณ์ น่าค้นหา เฉพาะในส่วนของ
ตัวเมืองยะลานั้น ได้รับการกล่าวขานว่ามีการวางผังเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ถนนหนทาง
กวา้ งขวาง นา่ ไปเทีย่ วชมนอกจากสถานทท่ี อ่ งเที่ยวมากมายหลายสไตล์แลว้ ยะลายังมีความน่าสนใจตรงท่ีเป็น
จังหวัดที่ผสมผสานวิถีชีวิตของชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิมและชาวไทยจีน ไว้ด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง ลักษณะ
บ้านเรือน และวิถีความเชื่อที่แตกต่างนั้น ทำให้ยะลาเป็นจุดหมายที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยว
ทีร่ กั การเรยี นรเู้ รือ่ งราวของผ้คู น

แหลง่ ท่องเท่ียวเชิงประวัตศิ าสตร์/ศาสนสถาน จงั หวดั ยะละมแี หลง่ ทอ่ งเท่ียวเชิงประวตั ิศาสตร์ / ศาสนสถาน
ได้แก่ พระพุทธไสยาสน์วัดคูหาถ้ำภิมุข (วัดหน้าถ้ำ) ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง พระมหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรม
ประกาศ มัสยดิ กลางจังหวดั ยะลา

แหล่งท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม ได้แก่ สวนสาธารณะสนามช้างเผือก อำเภอเบตง “เบตง”
เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา ภูมิประเทศในเขตเทศบาลเมืองเบตงมีภูเขาปกคลุมอยู่ทั่วไป บางคน
เรียกอำเภอเบตงว่า “เมืองในหมอก” ช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งอำเภอเบตงเป็นเมืองชายแดน
ทน่ี า่ เที่ยวเมืองหนง่ึ เพราะมคี นเกอื บทุกชาติทกุ ภาษาพักอยูใ่ นเบตงโดยเฉพาะในเขตเทศบาล อีกทง้ั ยงั มอี โุ มงค์

20

เบตง ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไก่เบตง –ปลาเบตง นกนางแอ่นเบตง สวนสาธารณะเทศบาล
ตำบลเบตง หมบู่ ้านซาไก

แหลง่ ทอ่ งเท่ียวทางธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สวนขวัญเมอื ง น้ำตกบเู กะ๊ ปโิ ลหรือน้ำตกตะวันรศั มี ถ้ำคนโท ถ้ำศิลป์
บึงน้ำใสถ้ากระแชง น้ำตกกือลอง(สุขทาลัย) ถ้ำทะลุ เขื่อนบางลาง ป่าฮาลา –บาลา วนอุทยานน้ำตกธารโต
บอ่ นำ้ ร้อน

งานประเพณีและกิจกรรมท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ได้แก่ ประเพณีชิงเปรต ประเพณีบังกุลบัว

ประเพณีลากพระ มาแกปูโละ “มาแกปโู ละ”การเขา้ สุหนัต วนั ฮารีรายอ วันเมาลิด วนั อาซรู อ
สังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี ในจังหวัดยะลา มีสังคมแบ่งออกได้ตามภาษาและ

ศาสนา เป็น 3 รูปแบบ คือ (1) สังคมชุมชนที่พูดภาษามลายูถิ่น และนับถือศาสนาอิสลาม (2) สังคมชุมชน
ที่พูดภาษาไทยและนับถือศาสนาพุทธ (3) สังคมชุมชนที่พูดภาษาจีนและนับถือศาสนาอื่น เช่น พุทธ และ
ครสิ ต์

สังคมชุนที่พูดภาษามลายูถิ่นและนับถือศาสนาอิสลามนั้น มักตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ไม่ปะปนกับ
ชุมชน ที่นับถือศาสนาอื่น อยู่เป็นหมู่บ้านๆ ประกอบอาชีพด้วยกันในชุมชนเดียวกัน ส่วนน้อยที่ปะปนกัน
ถ้าจำเป็นก็อยู่ปะปนกันบ้าง การนับถือศาสนาต่างคนต่างปฏิบัติศาสนกิจของตนไป ไม่เบียดเบียนกัน
อยู่ด้วยกันโดยสันติ มีบ้างที่ไม่ลงรอยกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย ปัจจุบันผู้ที่พูดภาษามลายูถ่ิน
ก็สามารถพูดภาษาไทยได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะการศึกษาสูงขึ้นกว้างออกไปตามความเจริญของท้องถิ่น และ
ความจำเป็นที่ต้องประกอบอาชีพสัมพันธ์กัน สำหรับชาวพุทธที่พูดภาษาไทย ก็สามารถพูดภาษามลายูถิ่นได้
นับเป็นวิวัฒนาการด้านวัฒนธรรมแห่งยุคโลกภิวัฒน์ รูปแบบของชุมชนมักเกิดขึ้นโดยถือศาสนาสถาน
เป็นจุดศูนย์กลาง เช่น วัด มัสยิด หรือสุเหร่า เพราะต้องอาศัยคนที่รวมกันเข้าเป็นชุมชนที่สนับสนุนค้ำจุนชาวไทย
ที่นับถือศาสนาพุทธ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและไม่แตกต่างไป
จากจังหวัดอื่นๆ เช่น การแต่งกาย การขึ้นบ้านใหม่ วันสงกรานต์ การบวชนาค วันออกพรรษา ประเพณีเดือนสิบ
(วันสารทไทย) และประเพณีวันลอยกระทง ชาวไทยที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็จะมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม
และประเพณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับจังหวัดอื่นๆ สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม
จะมคี วามแตกตา่ งไปบ้าง

การแต่งกาย ชาวยะลาปัจจุบัน แต่งกายกันตามลัทธิศาสนาที่ตนนับถือ ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ก็แต่งกายแบบที่นิยมของชาวมุสลิมโดยทั่วไป ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธก็แต่งกายตามแบบของชาวไทยที่นิยม
โดยทั่วไป ชาวพุทธไม่ได้นิยมเครื่องแต่งกายแบบชาวฮินดูหรือชาวอินเดียอันเป็นแหล่งของศาสนาพุทธ
ชาวพุทธในชนบทแต่งกายแบบไทยแท้ตามสบาย ถ้าอยู่ในเมืองแต่งกายแบบสากลหรือตามที่ทางราชการไทย
บญั ญัติ นิยมค่อนขา้ งไปทางยโุ รป ในจงั หวัดยะลามีผนู้ ับถือศาสนาอ่นื ๆ เชน่ คริสต์ ซกิ ข์ ฮินดู

ชาวชนบทที่กล่าวว่าแต่งกายตามสบายนั้น เพราะภาคใต้มีอากาศแบ่งเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน
กับฤดูฝนเท่านัน้ ไม่มีฤดหู นาว ชาวชนบททีเ่ รียกว่าชาวบ้านน้ัน ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรม เรื่องการสวมเส้อื
มีความจำเป็นน้อย สิ้นเปลือง จึงไม่ใคร่สวมเสื้อ เว้นแต่ผู้หญิง ผู้ชายจะนุ่งโสร่งหรือกางเกงขาสั้น โพกหัวหรอื
คลุมหัว ทำไร่ ทำนา ทำสวนหรือหาปลา ถ้าเข้าเมืองหรือเข้าสังคม ก็แต่งกายเรียบร้อย ตามความนิยมของ
สังคมในท้องถิ่นนั้น สำหรับชาวมุสลิมผู้คงแก่เรียนในทางศาสนา มักนิยมแบบชาวอาหรับก็มีอยู่เป็นอันมาก
จะเห็นอยูท่ ัว่ ไปในยคุ โลกาภิวัฒน์น้ีการแต่งกายของคนรุ่นใหม่ มกั วิวัฒนาการไปตามรูปแบบของชาวยุโรปมาก
โดยเฉพาะบคุ คลท่ปี ระกอบอาชีพรับราชการ ธุรกจิ หรือรฐั วิสาหกิจต่างๆ

21

เขื่อนบางลาง กั้นแม่น้ำปัตตานี
ที่บริเวณบ้านบางลาง ตำบลเขื่อนบางลาง
อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ห่างจาก
ตัวอำเภอเมือง ๕๘ กิโลเมตร ตัวเขื่อนเป็น
เขื่อนหินถม แกนดินเหนียว มีสันเขื่อนยาว
๔๓๐ เมตร กว้าง ๑๐ เมตร ความสูง ๘๕
เมตร อ่างเก็บน้ำมีความจุ ๑,๔๐๐ ล้าน
ลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับน้ำเหนือเขื่อน
๒,๐๘๐ ตารางกโิ ลเมตร

โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนบางลางนับเป็นโครงการอเนกประสงค์แห่งหนึ่งตามแผนพัฒนาลุ่มน้ำปัตตานี
โครงการนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้เข้ามาดำเนินการสำรวจและรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม
เพื่อใช้ประกอบการออกแบบงานด้านวิศวกรรมศาสตร์เรื่อยมา โดยให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้า
ในภูมิภาคส่วนนี้ ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ดำเนินการก่อสร้าง
งานโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนบางลาง เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๖ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ได้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เช่น การจัดหาแหล่งที่มาของการลงทุน การจัดทำรายละเอียด
การเรยี กประกวดราคางานกอ่ สรา้ งดา้ นโยธาของ โครงการและอปุ กรณ์เคร่ืองจกั รตา่ งๆ

เข่ือนบางลาง เริ่มดำเนินการก่อสร้าง มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2519 แล้วเสร็จเดือน มิถุนายน
2524 เขื่อนบางลาง เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของภาคใต้ การก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ก็ด้วยความเสียสละ ร่วมมือ ร่วมใจ จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากราษฎรในพื้นที่ หน่วยงานราชการต่างๆ
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่ เขื่อนแห่งนี้
จึงมขี ึน้ เพอื่ อำนวยประโยชน์แกป่ ระชาชน ในภูมิภาคนข้ี องประเทศอย่างแท้จรงิ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงประกอบพธิ เี ปิดเข่อื น เมอ่ื วันท่ี 27 กนั ยายน 2524

บ่อน้ำร้อนเบตง จังหวัดชายแดนใต้สุด
ในสยามที่ อ.เบตง เส้นทางคดโค้งตัดผ่านขุนเขาและ
ป่าทึบ ตัวเมืองซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาและ
อากาศเย็นฉ่ำ จนเป็นที่มาของสมญานาม "เมืองใน
หมอกและดอกไม้" ก่อนถึงเบตง อุทยานแห่งชาติ
บางลาง ครอบคลุมพื้นที่ป่าเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อน
บางลาง เน้อื ที่กว่าสองแสนไร่ มีจดุ เดน่ เชน่ ทะเลสาบ
ธารโตหรืออ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนบางลาง และน้ำตก
ตา่ งๆ

22

บ่อน้ำร้อน เบตง ได้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของเบตงที่มีน้ำพุเดือดขึ้นมาจากพื้นดิน
ในหมู่บ้านจะเราะปะไร ตำบลตาเนาะแมเราะ ก่อนถึงอำเภอเบตง 5 กิโลเมตรบนทางหลวงหมายเลข 410
มีทางแยกขวาไปอีก 8 กิโลเมตร ตรงจุดบริเวณที่น้ำเดือดสามารถต้มไข่สุก ภายใน 7 นาที มีบริการห้องอาบน้ำแร่
ซึ่งเช่ือกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำร้อนสามารถบรรเทาอาการปวดเมอ่ื ย และรักษาโรคผวิ หนงั

ลักษณะน้ำร้อนเบตง เดิมเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นบ่อน้ำร้อนที่ประกอบไปดว้ ยแรธ่ าตุ
มากมายมีอาณาบริเวณประมาณ 3 ไร่ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านบ่อน้ำร้อน ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง
จังหวัดยะลา ห่างจากตัวเมืองเบตงไปทางเส้นทางหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) ประมาณกิโลเมตรที่ 4 และ
แยกเข้าไปตามเส้นทางแอลฟัลท์คอนกรีตอีกเกือบ 7 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร
เป็นเส้นทางสัญจรที่มีความสะดวกและปลอดภัยเป็นอย่างมาก บ่อน้ำพุร้อนจะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน
อณุ หภูมขิ องน้ำประมาณ 80 องศาเซลเซียส สามารถลวกไข่ใหส้ ุกภายใน 10 นาที และมสี ระน้ำขนาดใหญ่ไว้
กักน้ำจากน้ำพุร้อนเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้อาบและแช่เท้าเล่น ซึ่งเชื่อว่าน้ำแร่ในน้ำพุร้อน
สามารถรกั ษาโรคภัยได้เป็นอยา่ งดี เช่น โรคผวิ หนงั โรคปวดเมอ่ื ย โรคเหน็บชา เปน็ ตน้

แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วประวัตศิ าสตร์ โบราณสถาน และศาสนสถาน
พระพุทธไสยาสนว์ ดั คหู าภมิ ขุ (วัดถำ้ )

“วัดคูหาภิมุข” หรือ “วัดหน้าถ้ำ” ตั้งอยู่เลขที่ 136 หมู่ 1 บ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา
จังหวัดยะลา ทราบว่า พ.ศ.2390 ผู้ใหญ่บ้านอาศัยอยู่ที่บ้านหน้าถ้ำ ได้สร้างวัดคูหาภิมุข เพื่อประกอบพิธี
บำเพ็ญกศุ ลในหมู่บ้าน ภายในวดั คูหาภมิ ขุ มถี ำ้ ใหญ่ ประดษิ ฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ภายในถ้ำยังมีหินงอก

หินยอ้ ย และน้ำใสสะอาดไหลรินจากโขดหิน

“วัดคูหาภิมุข” เป็น
ว ัด ที่สำ คัญของเมืองยะลา มี
พิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย เก็บวัตถุโบราณท่ี
ไดม้ าจากวดั ถำ้ ภเู ขากำป่นั พระพิมพ์
ดินดิบ สถูปเม็ดพระศก อิฐฐาน
พระพุทธรูป จอมพลแปลก พิบูล
ส ง ค ร า ม เ ป ล ี ่ ย น ช ื ่ อ “ว ั ด ห น้ า
ถ้ำ” เป็น “วัดคูหาภิมขุ ”

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยายะหริ่งมาสร้างเมืองยะลา
ตงั้ ทีว่ า่ ราชการ ณ บา้ นทา่ สาป ตำบลท่าสาป และสรา้ งวดั ขน้ึ ท่รี มิ เขาหนา้ ถำ้ ท่ีมีพระพุทธไสยาสน์ภายใน
ถำ้ พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว และสมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชนิ นี าถ ไดเ้ สด็จ
มาประทบั แรม ทว่ี ดั แหง่ น้ี มีพระปรมาภไิ ธย ยอ่ ป.ป.ร. ที่ผาหินภายในวัดคหู าภมิ ขุ

ตำบลหน้าถ้ำ ภาพพิกัดทางภูมิศาสตร์ของวัดคูหาภิมุขตำบลหน้าถ้ำ เคยเป็นแหล่งชุมชน
โบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบร่องรอยศาสนสถาน เมืองโบราณ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่พบเทวรู ป
สำริด กำแพงเมือง พระพิมพ์ดินดิบแบบทวารวดีศรีวิชัย ภาพเขียนสพี ระพุทธรูปฉาย ภาพเขียนสีราชรถมีสัตว์
เทียม มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-17 ยะลาเป็นชุมชนเกษตร นักโบราณคดีได้พบภาพเขียนก่อน
ประวัตศิ าสตร์บรเิ วณถ้ำคูหาภิมุข เปน็ ภาพพระพุทธฉาย และภาพราชรถแกะสลักไว้บนหน้าผา ภายในบริเวณ
ถำ้ คหู าภิมุข

23

พระพุทธไสยาสน์เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ปั้นด้วยดินเหนียวโดยใช้ไม่ไผ่เป็น
โครงสร้างขึน้ สมัยศรวี ิชัยรุ่งเรอื งราว พ.ศ. 1300 หรือสมัยเดยี วกับพระบรมธาตุเมืองนคร มีขนาดความยาว 81 ฟตุ
1 นิ้ว ประดิษฐานภายในถ้ำคูหาภิมุข เดิมชื่อ วัดหน้าถ้ำ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ประกาศ
ในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี 52 ตอนที่ 75 ลงวันท่ี 8 มนี าคม พ.ศ.2478 วัดคูหาภิมุข มพี ระพุทธรปู สมยั ศรวี ชิ ยั
สมัยสุโขทัย สมัยอู่ทอง ใกล้ๆ กับวัดมีภูเขากำปั่นเป็นภูเขาหินอ่อนสีชมพู สวยงามมาก ปัจจุบัน รัฐบาลได้ให้
สมั ปทานแก่บรษิ ทั เอกชนทำหินอ่อนจำหนา่ ย หนิ อ่อนสีชมพูจากยะลามีความสวยงาม มชี อื่ เสียงระดบั ประเทศ

มหกรรมแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน
การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ย่ิงใหญ่เปน็ ทสี่ นใจของผนู้ ยิ มเล้ียงนกมากที่สดุ คือ การแขง่ ขนั นกเขาชวา
เสียชงิ ถว้ ยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดข้ึนเปน็ ประจำในช่วงตน้ เดือนธันวาคม ของทุกปี
ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ในปี พ.ศ.2529 เทศบาลเมืองยะลา ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เล้ียงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลา
และชมรมผู้เล้ียงนกเขาชวาเสียงภาคใต้ โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวย การบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนา
เสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียง ชิงชนะเลิศใน
ระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2529 ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง
จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "การจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่ม
ประเทศอาเซียนครั้งที่ 1" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วม
แข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม
ท่ีคล้ายคลึงกับประชาชนในพ้ืนที่

จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้มี
การแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่อง
ต่างๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบ
และนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน
จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคม
นกเขาชวาเสียงตลอดมา

๓) จังหวัดนราธิวาส

จังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทยและเป็นหนึ่งในห้า
ของประเทศที่มีการอุตสาหกรรมอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก ซึ่งเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่และมีความเจริญกว่า
ตัวจังหวัดมาก การเดินทางมายังด่านเข้ามาเลเซียใช้เวลาประมาณ 90 นาที จะมีจุดตรวจสองจุดสำหรับ
นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้า-ออกในประเทศไทย อำเภอสุไหงโกลก เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และ
การท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่เข้ามาช้อปป้ิง
ทุกช่วงวนั หยุดภายในบริเวณน้นั เป็นจำนวนมากขึน้

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา- บาลา เป็นพื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่ของประเทศไทยได้รับการประกาศจัดต้ัง
อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2539 อันเป็นแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย มีพื้นที่ประมาณ 270,725 ไร่
ครอบคลุมพื้นที่ทิวเขาสันกาลาคีรี ป่าฮาลาและป่าบาลาเป็นผืนป่าดงดิบที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ได้รับ

24

การประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ปา่ เดยี วกัน คือ ป่าฮาลา ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอจะแนะ

จังหวัดนราธิวาส แต่ส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาธรรมชาติได้ จะเป็นป่าบาลาเท่านั้น ป่าบาลามีพื้นท่ี

ครอบคลุม อำเภอแว้ง และอำเภอสคุ ริ ิน จงั หวัดนราธิวาส

มกี ารตดั ถนนสายความม่ันคง (ทางหลวง
หมายเลข 4062) ไปตามเทือกเขาสันกาลาคีรี
ทำให้การเขา้ ถึงพื้นท่ีปา่ งา่ ยขนึ้ เรมิ่ จากบ้านบเู กะ๊ ตา
อำเภอแว้ง ตัดผ่านป่าบาลาและ ไปสิ้นสุดท่ี
บา้ นภเู ขาทองในอำเภอสคุ ริ นิ รวมระยะทาง 18
กิโลเมตร สองข้างทางมีสภาพเป็นป่าดงดิบ
ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย สำหรับการศึกษา
ธรรมชาติที่นี่เพียงขับรถไปตามถนนสาย
ความมั่นคงก็จะได้ชมสิ่งพิเศษมากมาย เริ่มจาก
ที่ทำการเขตฯ เป็นต้นไป ห่างจากสำนักงาน
มาประมาณ 5 กิโลเมตร จะมีจุดชมสัตว์ บริเวณนี้จะมีต้นไทรขึ้นอยู่มาก และสัตว์มักจะมาหากินลูกไทร
เป็นอาหาร ตรงเข้ามาอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จะพบที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ภูเขาทองซึ่งเป็นหน่วยย่อยของ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายดังกล่าว จะเป็นทำเลที่สามารถเห็นทะเลหมอกอีกจุด
หนึ่ง จากจุดนี้เดินเข้าไปประมาณ 100 เมตร จะพบ ต้นสมพง (กระพง) ยักษ์ ขนาดเส้นรอบวง
25 เมตร ความสูงของพูพอน (ส่วนที่อยู่โคนต้นไม้เป็นปีกแผ่ออกไปรอบๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นไม้ใหญ่ที่อยู่
ริมน้ำ เพราะจะช่วยในการพยุงลำต้น) สูงประมาณ 4 เมตร ต้นสมพงเป็นไม้ที่ชอบขึ้นตามริมน้ำ เป็นไม้
เนื้ออ่อนใช้ทำไม้จิ้มฟัน หรือไม้ขีด สองข้างทางจะได้เห็นพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ไม่อาจหาชมได้ง่ายๆ จากที่อื่นใน
เมืองไทย เช่น ต้นยวน ไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่วที่สวยเด่นสะดุดตา เห็นได้แต่ไกลจากถนน ด้วยผิวเปลือกที่ขาวนวล
และรปู รา่ งท่ีสูงชะลูด สามารถสงู ไดถ้ ึง 65-70 เมตร ถอื ว่ามคี วามสงู เปน็ อนั ดับสามของโลก รองจากตน้ เรดวดู
และยคู าลบิ ตสั มักถูกตดั ไปทำเฟอร์นเิ จอร์ ต้นสยา ไมใ้ นวงศ์ยางซง่ึ เป็นไม้เดน่ ของปา่ ฮาลา-บาลา จากจุดชมววิ
จะเห็นเรือนยอดของต้นสยาขึน้ เบียดเสียดกัน ถ้าซุ่มสังเกตดๆี อาจจะได้พบนกเงือก เพราะต้นสยานี้เองที่เปน็
แหลง่ ทำรงั สำคัญของนกเงือกรวมทง้ั ตน้ หวั รอ้ ยรูหนาม เปน็ หนงึ่ ในบรรดาพชื ที่พบ ยังมีสัตว์ป่าที่ทำให้ป่าแห่ง
นี้มีความสมดุลทางระบบนิเวศน์ได้ สัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่หลายชนิดเป็นสัตว์ที่หายากในไทย เช่น ชะนีดำใหญ่
หรือ เซียมัง มีสีดำตลอดตัว และมีขนาดใหญ่กว่าชะนีธรรมดาเกือบเท่าตัว ชะนีมือดำ ซึ่งปกติจะพบเฉพาะ
ในป่าบนเกาะสุมาตรา บอร์เนียว และป่าบริเวณทางเหนือของมาเลเซียถึงทางใต้ของไทยเท่านั้น บางคร้ัง
อาจจะโชคดีได้พบเจ้าสองตัวนี้เกาะอยู่บนยอดกิ่งไม้ นอกจากนั้นยังมี กบทูด ซึ่งเป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดใน
ประเทศไทย ความยาวจากปลายปากถึงก้น ประมาณ 1 ฟุต น้ำหนักกว่า 5 กิโลกรัม มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณ
ป่าต้นน้ำบนภูเขาสูง และจากการสำรวจพบสัตว์ป่าสงวน 4 ชนิด คือ เลียงผา สมเสร็จ แมวลายหินอ่อน และ
กระซู่ นกเงือกซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของป่า และเป็นนกหายากชนิดหนึ่ง แต่ในป่านี้พบถึง 9 ใน 12 ชนิด
ของนกเงือกที่พบในไทย ได้แก่ นกเงือกปากย่น นกเงือกชนหิน (เป็นนกเงือกชนิดเดียวที่มีโหนกแข็งทึบ
ชาวบ้านในอินโดนีเซียจึงล่านกเหงือกชนหินเพือ่ เอาโหนกไปแกะสลักอย่างงาช้าง) นกแก๊ก นกกก นกเงือกหัว
หงอก นกเงือกปากดำ นกเงือกหวั แรด นกเงือกดำ นกเงอื กกรามช้าง
อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว – เขาตันหยง อุทยานแห่งชาติ อ่าวมะนาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ
จังหวัดนราธิวาส ทางกรมป่าไม้ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นวนอุทยานอ่าวมะนาว เมื่อวันที่ 21 เดือนเมษายน
พุทธศักราช 2536 กับเนื้อท่ีประมาณ 720 ไร่ และต่อมาทางกรมป่าไม้ ได้ส่งมอบ ให้อุทยานแหง่ ชาติทางทะเล

25

ทำการสำรวจ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพิ่มเติม พบว่าสภาพพื้นที่ ตามธรรมชาติ มีความอุดมสมบูรณ์
ทง้ั ทางบก และทางนำ้ จึงได้มกี ารเปลี่ยนช่ือใหม่เป็น “อทุ ยานแห่งชาติอา่ วมะนาว - เขาตันหยง”

อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว – เขาตันหยง
เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทางธรรมชาติ ที่มี
เอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ จะเป็นหาดทรายขาว
สลับกับโขดหิน กระจัดกระจาย อยู่ทั่วบริเวณ
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ อ่าวมะนาว - เขา
ตันหยง และโอบล้อม ด้วยเนินเขาสูง ตลอดแนว
ซึ่งมองดูแล้วมีความสวยงาม เป็นอย่างมาก
ที่สำคัญ ในเขตที่เป็นป่าติดกับหาดทรายน้ัน
ยังมีน้ำตก ที่นักท่องเที่ยว สามารถลงเล่นน้ำได้ อีกด้วย น้ำตกแห่งนี้ ทางอุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว – เขาตันหยง
ตั้งชื่อว่า “น้ำตกธาราสวรรค์” แต่น้ำตกแห่งนี้จะพบในช่วงฤดูฝนเท่านั้น เป็นน้ำตกที่ มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาสูง
ในเขตพระราชฐาน และไดไ้ หลลงสู่อ่าวไทยในเขตของ อทุ ยานฯ
วัดเขากง
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่ตำบลลำภู ชื่นชมพระพุทธรูปกลางแจ้งที่งดงามและใหญ่ที่สุดในภาคใต้ โดยพระพุทธรปู
ทักษิณมิ่งมงคลสีทององค์นี้ ประดิษฐานในปางปฐมเทศนาขัดสมาธิเพชรอยู่บนยอดเขา มีพุทธลักษณะตาม
แบบศิลปะสกุล ช่างอินเดียตอนใต้ เริ่มสร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2509 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2512 องค์พระเป็น
คอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยโมเสกสีทอง หน้าตักกว้าง 17 เมตร ความสูงวัดจากพระเกศบัวตูมถึงบัวใต้
พระเพลา 24 เมตร

ส่วนที่เนินเขาลูกถัดไป คุณจะพบเจดีย์สิริ
มหามายา ทรงระฆัง เหนือซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ
มีเจดีย์รายประดับอยู่ ภายในประดิษฐานพระพรหม
บนยอดสุดบรรจพุ ระบรมสารีริกธาตอุ ันศกั ด์ิสิทธิ์

สำหรบั พระอุโบสถนน้ั ตง้ั อย่บู นเนินเขาอีก
ลูกหนึ่ง อุโบสถหลังนี้มีผนังด้านนอกประดับด้วย
กระเบื้องดินเผาแกะสลักทั้งสี่ด้าน โดยเฉพาะ
ด้านหลังเป็นรูปช้างหมอบถวายดอกบัว หน้าบัน
เป็นรูปนกั รบมีเทวดาถอื คนโทถวาย ดงู ดงามยิง่ นกั

26

วัดชลธาราสิงเห วดั ชลธาราสงิ เห (วดั พทิ กั ษ์
แผ่นดินไทย) เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่หมู่ 3 ตำบล
เจ๊ะเห อำเภอตากใบ จากสี่แยกตลาดอำเภอ
ตากใบแยกซ้ายประมาณ 100 เมตร

เม่อื ครงั้ องั กฤษได้มลายูเป็นเมืองข้ึนนั้น
อังกฤษพยายามจะรวมเมืองนราธิวาสไว้ใน
เขตมลายูด้วย แต่ทว่าทางไทยเราได้อ้างว่าหวั
เมืองนี้เป็นของไทยมานาน โดยยกเอาวัดชล
ธาราสิงเห ที่อำเภอตากใบ ซึ่งเป็นวัดไทยมา
เป็นข้ออ้าง อังกฤษ จึงยอมให้นราธิวาส
รวมอย่ใู นเขตของไทย

ในบริเวณวัดชลธาราสิงเห มีสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาศิลปะฝีมือแบบไทยปักษ์ใต้ เป็นจุดเด่น และ
งดงามหลายชิ้น ในโบสถ์เก่าซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีภาพจิตรกรรม
ฝาผนัง ซึ่งเขียนโดยฝีมือพระภิกษุชาวสงขลางดงามมาก และถ่ายทอดรูปแบบชีวิตวัฒนธรรมความเป็นอยู่ท้องถ่ิน
ปักษ์ใต้ไว้เด่น น่าสนใจเป็นพิเศษ เปิดให้ชมทุกวันระหว่างเวลา 08.00 น. - 17.00 น. โดยต้องขออนุญาต
จากท่านเจา้ อาวาสกอ่ น

มสั ยิด 300 ปี (มสั ยดิ วาดอี ลั ฮูเซน็ )
มัสยิดเก่าแก่แห่งหมู่บ้านตะโละมาเนาะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งผลิตคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยมือ
ทั้งน้ี ตามประวตั กิ ล่าวว่านายวนั ฮเู ซ็น อัส-ซานาวี ผู้อพยพมาจากบ้านสะนอยานยา จังหวัดปัตตานี เป็นผู้สร้าง
มัสยิดแห่งนี้ขึ้นเม่ือ พ.ศ. 2167 โดยแรกสร้างนั้นเป็นหลังคามุงใบลาน ต่อมาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องดินเผา
ซึง่ ปัจจุบนั ชาวบ้านตะโละมาเนาะยังคงใช้มสั ยดิ นีเ้ ปน็ สถานทีป่ ระกอบพิธีศาสนกจิ อยเู่ ป็นประจำ

สิ่งที่น่าชมที่สุดของมัสยิด 300 ปี คือ
ลักษณะสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากมัสยิด
ทั่วไป กล่าวคือ เป็นอาคาร 2 หลังติดต่อกัน
สร้างด้วยไม้ตะเคียนทั้งหลัง ใช้ไม้สลักแทน
ตะปู รูปทรงของอาคารเป็นแบบไทยพื้นเมือง
ประยุกต์เข้ากับศิลปะจีน และมลายูที่ได้รับ
การออกแบบมาอย่างลงตัว ส่วนเด่นที่สุด
ของอาคาร คือ เหนือหลังคาจะมีฐานมา
รองรับจั่วบนหลังคาอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนหออาซาน
ซึ่งมีลักษณะเป็นเก๋งจีน ก็ตั้งอยู่บนหลังคา
สว่ นหลงั ฝาเรอื นใชไ้ ม้ท้งั แผน่ แล้วเจาะหน้าตา่ ง ส่วนชอ่ งลมแกะเป็นลวดลาย ใบไม้ ดอกไม้สลับลายจีน
โดยทั่วไปเข้าชมได้บริเวณภายนอกเท่านั้น หากต้องการเข้าชมภายในต้องได้รับอนุญาตจากโต๊ะอิหมา่ ม
ประจำหมบู่ า้ น
ทต่ี ั้ง : บ้านตะโละมาเนาะ ตำบลลโุ บะสาวอ ห่างจากจังหวดั นราธิวาส ระยะทางประมาณ 25 กโิ ลเมตร
ตามทางหลวงแผน่ ดินหมายเลข 42 จากนั้นแยกทบี่ ้านบอื ราแง

27

งานประเพณีเจา้ แม่โต๊ะโมะ๊
งานประเพณีศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ อำเภอสุไหง-
โกลก จังหวัดนราธิวาสจัดเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งาน
ประเพณีอื่นๆ ในประเทศไทย ด้วยบุญญาบารมีของ
เจ้าแม่โต๊ะโมะที่ชาวสุไหงโก-ลก อำเภอใกล้เคียงและ
ผู้คนทั่วทุกภาค รวมไปถึงชาวจีนที่อยู่ในมาเลเซีย
สิงคโปร์ต่างเคารพ และศรัทธางานฉลองคล้ายวันเกดิ
ของเจ้าแมโ่ ต๊ะโมะ จงึ จดั อยา่ งยงิ่ ใหญ่เปน็ ประจำทุกปี
โดยเริ่มตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2495

ประเพณแี ข่งเรอื หน้าพระที่นัง่ และงานของดีเมอื งนรา
ช่วงเวลา ประเพณีการแข่งเรือกอและและเรือยาวด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่งได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ในระหว่างวันที่ 21-25 กันยายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนัก
ทักษิณราชนิเวศน์

การแข่งขันใช้เรือกอและระยะทาง 650 เมตร
ผู้ควบคุมลำละ 1 คน จำนวนฝีพายรวมทั้ง
นายท้ายไม่เกินลำละ 23 คน และมีฝีพายสำรอง
ไม่เกินลำละ 5 คน การเปลี่ยนตัวในแต่ละเที่ยว
ทำได้เที่ยวละไม่เกิน 5 คน ทั้งนี้ให้ผู้ควบคุมทีม
ประจำเรือแจ้งให้คณะกรรมการปล่อยเรือทราบ
เรือท่ีเข้าแข่งขันทุกลำต้องถึงจุดเริ่มต้น (จุดปล่อย
เรือ) ก่อนเวลาท่ีกำหนดแข่งขันในรอบนั้น หากไป
ช้ากว่ากำหนดเกิน 15 นาทีถือว่าสละสิทธิ์จะ
ปรับแพ้ในรอบนั้นได้ ก่อนการได้ยินสัญญาณ
ณ จุดเริ่มต้นฝีพายทุกคนยกพายให้พ้นผิวน้ำ ยกเว้นนายท้ายเรือให้ใช้พายคัดท้ายเรือบังคับเรือให้หยุดนิ่ง
และจะต้องวิ่งในลู่ของตน หากวิ่งผิดลู่หรือสายน้ำถือว่าผิดกติกาให้ปรับเป็นแพ้ในเท่ียวน้ัน เรือที่เข้าถึงเส้นชัย
ก่อนลำอื่นโดยถือหัวเรือสุดเป็นการชนะการแข่งขันในเที่ยวนั้น การแข่งขันแบ่งเป็น 4 รอบ รอบที่ 1 และ
รอบที่ 2 เป็นรอบคัดเลือก รอบท่ี 3 เป็นรอบรองชนะเลิศและรอบที่ 4 เป็นรอบชิงชนะเลิศ

1.๗. สถานการณภ์ ายใน-นอก ทก่ี ระทบการท่องเที่ยว
- ปัญหาความไมส่ งบในพืน้ ที่
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้เนื่องจากการดำเนินการด้านความมั่นคงของรัฐ และมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เศรษฐกิจ
ที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ ความไม่สงบยังเป็นปัญหาอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา
และเป็นเหตุฉุดรั้งการพัฒนาในแทบทุกด้าน รวมทั้งเกิดภาพลักษณ์ ความไม่สงบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน
และการท่องเทย่ี วในพ้นื ทีอ่ กี ด้วย

28

- พืน้ ท่เี สีย่ งภยั จากการก่อการร้าย
ภยั จากการก่อการร้ายในพ้ืนท่ีอนุภาคเกดิ ขนึ้ ใน 3 จังหวดั ได้แก่ จังหวดั นราธิวาส ปตั ตานี ยะลา

และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่อำเภอสะบ้าย้อย เทพา จะนะ และนาทวี โดยพื้นที่ที่มีจำนวน
การก่อการร้ายสูงจะอยู่ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย
ทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สิน รองลงมาได้แก่ จังหวัดสงขลาในเขต 4 อำเภอ และมีการก่อการร้ายใน
เขตอำเภอหาดใหญ่ด้วย ส่วนจังหวัดสตูลไม่ได้เกิดภัยจากการก่อการร้าย แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก
ทงั้ ด้านเศรษฐกิจ การทอ่ งเที่ยว และการคมนาคม เปน็ ต้น

- การค้าชายแดน
ดา่ นชายแดนไทย – มาเลเซยี ท้ัง 4 ด่าน จะมีบทบาทการพัฒนาในพื้นท่ีของ ๓ จังหวัดชายแดนใต้

ในฐานะเป็นจุดเชื่อมโยงพื้นที่ (Connectivity) เข้าสู่การเป็นกลุ่มประชาคมอาเซียน (AEC) โดยจะมีบทบาท
แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะพื้นท่ดี งั นี้

ด่านศุลกากรเบตง จ.ยะลา : เป็นประตูเชื่อมโยงเศรษฐกิจเมืองเบตงด้านการท่องเที่ยว การบริการ
และการคา้ กบั ประเทศมาเลเซยี

ด่านบูเก๊ะตา จ.นราธิวาส: เป็นประตูเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทางถนนและจะมีบทบาทเป็น
ศนู ย์กลางการเช่อื มโยงพนื้ ท่ีเศรษฐกิจชายแดนดา้ นตะวนั ออกของไทยและมาเลเซีย

ด่านศุลกากรตากใบ จ.นราธิวาส : เป็นประตูเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าและการเดินทางทางน้ำ
ระหว่างเมืองชายแดน ซ่งึ อยูร่ ะหวา่ งการพฒั นาให้เป็นการเชือ่ มโยงทางถนนโดยกอ่ สรา้ งสะพานขา้ มแม่น้ำโก-ลก

ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส : เป็นประตูเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทางถนนและรถไฟ
และการเดนิ ทางของนกั ท่องเทีย่ วระหวา่ งเมืองชายแดน

1.๘. ข้อมูลดา้ นการสาธารณสุข
การให้บริการดา้ นสาธารณสุขในพื้นท่ี มจี ำนวนสถานพยาบาลทัง้ สิ้น 606 แห่ง จำแนกเปน็ โรงพยาบาล

80 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 537 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุข 89 แห่ง และคลินิกรวม
ทกุ ประเภท 634 แหง่ เมือ่ พจิ ารณาจากจำนวนบคุ ลากรรวมท้งั หมด พบวา่ มแี พทย์จำนวน 1,196 คน ทันตแพทย์
292 คน เภสัชกร 375 คน และพยาบาล 6,206 คน โดยจังหวัดสงขลามีจำนวนสถานพยาบาลมากที่สุด
กล่าวคือ มีโรงพยาบาลของรัฐบาล 36 แห่ง ทั้งนี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรอยู่อาศัยเป็นจำนวน
มาก นอกจากนย้ี ังสามารถใหบ้ รกิ ารไปยังเมืองอื่นๆ ในพื้นท่ีใกลเ้ คียงไดอ้ ีกด้วย

- จังหวดั ปตั ตานี มีจำนวนสถานพยาบาลรวม 234 แห่ง จำนวนเตยี ง 825 เตียง
- จังหวัดยะลา มีจำนวนสถานพยาบาลรวม 183 แห่ง จำนวนเตียง 967 เตียง
- จังหวัดนราธวิ าส มจี ำนวนสถานพยาบาลรวม 189 แหง่ จำนวนเตียง 760 เตียง

รวม 606 แหง่ จำนวนเตียงรวม 2,552 เตยี ง

29

1.๙. โครงสรา้ งพืน้ ฐาน
โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการคมนาคมขนส่งของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการพัฒนา

ให้มีความเชื่อมโยงทั้งภายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างกลุ่มจังหวัด และสามารถเชื่อมโยงสู่ต่างประเทศ
ไดอ้ ย่างสะดวกทง้ั ทางบก ทางนำ้ และทางอากาศ ดังนี้

1.๑๐.1. การขนส่งทางบก
- ระบบคมนาคมขนส่งทางถนน ระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่อนุภาคมีถนนสายสำคัญ

หลายสาย มที างหลวงแผ่นดินสายหลกั และสายรองทำหน้าท่ีเช่ือมโยงระหว่างจังหวดั และภายในจังหวัด ทำให้
การคมนาคมขนสง่ ในอนภุ าคมปี ระสิทธภิ าพ สามารถเดินทางได้อยา่ งสะดวก โดยมเี สน้ ทางสำคญั ดงั นี้

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 หรือ ถนนเพชรเกษม เป็นทางหลวงสายประธานของภาคใต้
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 หรือที่เรียกกันว่า ถนนเพชรเกษมสายปัตตานี-นราธิวาส เป็นเส้นทางหลัก
ที่เชอื่ มจงั หวัดปัตตานี จงั หวดั ยะลา และจงั หวัดนราธิวาสเข้ากับจังหวัดสงขลา ทางหลวงแผน่ ดินหมายเลข 43
เป็นทางหลวงเส้นใหม่ที่ตัดขึ้นเพื่อย่นระยะทางจากจังหวดั สงขลาไปยังจังหวัดปัตตานีเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อม
จังหวัดสงขลากับจังหวัดปัตตานี และทางหลวงหมายเลข 406, 407, 408, 409, 410, 414, 416 และ
418 เป็นต้น สว่ นทางหลวงหมายเลข 4066 ซึง่ เชื่อมจากกะรอบาตะ - บา้ นทอน – สนามบินนราธวิ าส และ
เช่อื มกบั อำเภอย่งี อ รอื เสาะ และรามนั จงั หวดั ยะลา

- สถานีขนส่งผูโ้ ดยสาร ในพืน้ ทีอ่ นุภาคทัง้ 3 จงั หวัด มสี ำนักงานขนสง่ 7 แหง่ โดยตง้ั อยู่
ในจังหวัดปัตตานี 2 แห่ง จังหวัดยะลา 2 แห่ง และจังหวัดนราธิวาส 3 แห่ง และมีสถานีขนส่งผู้โดยสารทีอ่ ยู่
ในความดูแลขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ทงั้ สิน้ 3 แห่ง ดังน้ี

ลำดบั จงั หวดั ช่ือสถานี ผู้รบั ผดิ ชอบ หมายเหตุ

1 ปัตตานี สถานีขนสง่ ผ้โู ดยสาร จ.ปตั ตานี องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดปตั ตานี
2 ยะลา สถานีขนสง่ ผู้โดยสาร จ.ยะลา เทศบาลนครยะลา
3 นราธวิ าส สถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.นราธวิ าส
เทศบาลเมืองนราธิวาส

- ปริมาณจราจรเฉลี่ยต่อวันตลอดปี (AADT) ปริมาณจราจรในอนุภาคที่สำคัญ ได้แก่
บนทางหลวงหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษมซ่งึ เป็นทางหลวงสายประธานของภาคใต้ รองลงมาคือทางหลวง
หมายเลข 42 43 และ 408 เป็นตน้ โดยเฉพาะจงั หวัดปตั ตานี มที างหลวงสายสำคัญ คอื ทางหลวงหมายเลข
42 มีปริมาณจราจรเฉลี่ยต่อวันตลอดปี 38,963 คัน/วัน จังหวัดยะลา มีทางหลวงสายสำคัญคือทางหลวง
หมายเลข 410 ปริมาณจราจรเฉลี่ยต่อวันตลอดปี 21,185 คัน/วัน และจังหวัดนราธิวาส มีทางหลวง
ที่มีปริมาณจราจรจำนวนมากคือ ทางหลวงหมายเลข 4056 มีปริมาณจราจรเฉลี่ยต่อวันตลอดปี 23,828 คัน/วัน
โดยเฉพาะช่วงบริเวณดา่ นสไุ หงโก-ลก นอกจากน้ีในพ้นื ที่ศึกษา มที างหลวงสายเอเชียพาดผา่ น (ดังรปู ) ได้แก่

AH 18 ผ่าน อ.สุไหงโกลก (ชายแดนไทย/มาเลเซีย)-อ.ตากใบ-นราธิวาส-อ.สายบุรี-อ.ปาลัด-

ปัตตานี-อ.หนองจกิ -อ.เทพา-อ.จะนะ-อ.หาดใหญ่ รวมระยะทาง 268.0 กม.

30

รปู ที่ 1 รูปทางหลวงสายเอเชยี

ด้านระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ อนุภาคเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่คาบสมุทรระหว่างมหาสมุทรสองฝั่ง จึงมีระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่ครบถ้วน
สมบูรณ์ ทางถนนมีทางหลวงสายเอเชียสองสาย ได้แก่ AH2 และ AH18 ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ
ประเทศมาเลเซียได้ทั้งด้านตะวันออกและด้านเหนือ โดยเฉพาะสาย AH2 ที่นอกจากจะเป็นเส้นทางหลัก
เชื่อมโยงระหว่างไทยกับมาเลเซียแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงระดับอาเซียน เนื่องจากทางหลวงสาย AH2
มคี วามเช่ือมโยงไปจนถงึ ประเทศอินโดนีเซีย ซึง่ เชอื่ มตอ่ โดยเสน้ ทางเรือเฟอรร์ จี่ ากประเทศสงิ คโปร์ นอกจากน้ี
ด้านบนยังสามารถเชื่อมโยงออกไปถึงประเทศพม่าและไปบรรจบกับทางหลวงสาย AH3 เพื่อเชื่อมไปยัง
ประเทศจนี ได้อีกดว้ ย อกี ทัง้ ยงั มีการศกึ ษาความเหมาะสม/ออกแบบกอ่ สรา้ งและดำเนินการก่อสร้างทางพิเศษ
ระหว่างเมืองหาดใหญ่ – สะเดา เพื่อเชื่องโยงการค้าชายแดน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้า
ของอนุภาค แต่ขีดความสามารถในการให้บริการในปัจจุบันยังคงมีจำกัด หากในอนาคตมีปริมาณการสัญจร
เพมิ่ ขนึ้ ตามศักยภาพทางเศรษฐกิจ เสน้ AH2 อาจไมส่ ามารถรองรบั การสัญจรได้

ในส่วนของการนำรถเข้าออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย เพื่อการพาณิชย์นั้น ปัจจุบัน
ประเทศไทยและมาเลเซียยังไม่มีความตกลงด้านการขนส่งผู้โดยสาร หรือขนส่งสินค้าระหว่างกัน ทั้งในระดับ
ทวิภาคีและพหุพาคี ยกเว้นการขนส่งสินค้าผ่านแดน ซึ่งเป็นประเภทสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านไปยังประเทศ
สิงคโปร์ โดยมีโควตาสินค้าผ่านแดนได้เพียงปีละ 30,000 ตัน ทำให้การนำรถเข้า – ออกระหว่างสอง
ประเทศเพื่อการพาณิชย์ ยังคงมีปัญหาไม่ได้รับความสะดวก ต้องใช้กฎหมายของแต่ละประเทศในการกำกับ
ดแู ล

สำหรับสาย AH18 เป็นเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมพลังงานที่สำคัญ
ของไทยและมาเลเซียเข้าด้วยกัน ทั้งยังเป็นเส้นทางที่ช่วยส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
ประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรมของอนภุ าค แตก่ ลบั เป็นเสน้ ทางทมี่ ีปญั หาด้านความปลอดภยั ทำใหส้ ่งผลกระทบ
ต่อการพัฒนาด้านอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้อนุภาคยังมีทางหลวงแผ่นดินอีกหลายสายที่มีความสำคัญ

31

ในการเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ ในอนุภาค ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจเพื่อกระจาย
การพัฒนา ไดแ้ ก่ ทางหลวงแผ่นดิน

หมายเลข 4 42 406 408 410 และ 416 เป็นต้น ด้านระบบคมนาคมของด่านชายแดน พบว่า
ปัจจุบันด่านชายแดนมีความเชื่อมโยงกับเมืองหลักในพื้นที่ แต่ยังไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างด่านชายแดน
ด้วยกัน

1.๑๐.2. ระบบคมนาคมขนสง่ ทางราง
ในปัจจุบันเส้นทางการขนส่งสินค้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเป็นเส้นทางเดียวกัน

กับการขนส่งผู้โดยสาร โดยเส้นทางรถไฟที่ผ่านอนุภาคคือรถไฟสายใต้ เริ่มต้นจาก สถานีรถไฟธนบุรี
กรุงเทพมหานครผ่านจังหวัดนครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี,
นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา, ยะลาและไปสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสุไหงโก-ลกจังหวัดนราธิวาส และไป
บรรจบกับทางรถไฟของประเทศมาเลเซียท่ีสถานรี ถไฟรนั เตาปันจาง รวมระยะทาง 1,144.29 กิโลเมตร

1.๑๐.3. ระบบคมนาคมขนสง่ ทางนำ้
เนื่องจากพื้นที่อนุภาคเป็นกลุ่มจังหวัดในภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่ติดทะเลทำให้มีการใช้การ

คมนาคมขนสง่ ทางน้ำค่อนขา้ งมาก ไม่ว่าจะเพ่ือการประกอบอาชีพคอื ทำการประมง การขนส่งสินค้า และการ
ท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดน้ีมีท่าเทียบเรอื จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นท่าเรือเพื่อการประมง สำหรับท่าเรือที่ใช้
เพอ่ื ขนสง่ สนิ คา้ และการทอ่ งเทยี่ วท่ีสำคัญพบอยูใ่ นจังหวัดนราธวิ าส คือ ท่าเรือตากใบ

1.๑๐.4. ระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ
ในพื้นที่มีสนามบิน 1 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนราธิวาส แต่มีเฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร

เท่านนั้ ไมม่ ีการขนสง่ สินค้าและจดหมายทางอากาศ และมีเท่ยี วบินทุกวนั เชน่ กนั โดยมีสายการบนิ ที่ทำการบนิ
คือ ไทยแอรเ์ อเชยี ไทยสมาย และสายการบนิ นกแอร์

1.๑๐.การวิเคราะหด์ า้ นการท่องเทยี่ ว
1.13.1. แหล่งท่องเท่ียว
จงั หวดั ปตั ตานี

• แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม จังหวัดปัตตานีมีมรดกทางประวัติศาสตร์และ
วัฒนธรรมท่นี า่ ศกึ ษามากมาย ไดแ้ ก่ เมืองโบราณยะรงั เมอื งเก่ากรือเซะ-บานา วังเกา่ สมัย ๗ หัวเมอื ง กริชสกุล
ช่างปัตตานี จิตรกรรมบนเรือกอและ (นาวาแห่งจิตวิญญาณ) จิตรกรรมฝาผนังวัดโบราณที่สวยงามวิจิตร และยัง
มีศาสน-สถานทีส่ วยงามทรงคณุ คา่ ได้แก่ วัดราษฎรบ์ รู ณะหรอื วัดชา้ งให้ (วัดหลวงปู่ทวดเหยียบนำ้ ทะเลจดื ) ศาล
เจา้ แมล่ ิม้ กอเหน่ียว มัสยดิ กรือเซะ (มสั ยดิ คู่พระราชวังโกตาอีสตานา) มัสยิดดาโต๊ะ (มัสยดิ ร่วมสมัยกับมัสยิดกรือ
เซะ) มัสยิดกลางปัตตานี (สถาปัตยกรรมคลา้ ยคลึงทชั มาฮาลในอนิ เดีย) เปน็ ตน้

• แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ปัตตานีมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลาย
จากทะเลจรดขุนเขา อาทิ หาดตะโละกาโปร์ หาดแฆแฆ ที่มีโขดหินเป็นประตมิ ากรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม
และมีเสน่ห์ แหลมตาชี ซึ่งเป็นแหลมที่สามารถสัมผัสแสงแรกและแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์โดยยืนตรงจุด
เดียวกัน ตลอดจนสามารถสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านที่เรียบง่าย สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน้ัน
ปัตตานี มีกิจกรรมการท่องไพรเชิงอนุรักษ์พิชิตยอดเขาสันกาลาคีรี ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว
กิจกรรม “พายเรือแคนู – ซีคายัก ลายกอและลอดอุโมงค์ธรรมชาติกลางป่าชายเลนยะหริ่ง” ณ ศูนย์ศึกษา
ธรรมชาตปิ ่าชายเลนยะหร่ิง

32

• งานประเพณีและกิจกรรมท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ได้แก่ งานสมโภชเจ้าแม่ล้ิม
กอเหนี่ยวในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปี เทศกาลสรงน้ำหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ของทุกปี ประเพณีชักพระ อำเภอโคกโพธิ์ ซึ่งจัดในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี ประเพณีของชาวไทยมุสลิม
ซึ่งประกอบด้วย พิธีการเกิด การโกนผมไฟและการเข้าสุหนัตหรือมาโซะยาวี ซึ่งเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของ
อิสลามที่มสุ ลมิ ทุกคนถอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งเคร่งครดั และกิจกรรมการท่องเทีย่ วเชิงกฬี าที่มีชอ่ื เสียงอีกหลายกิจกรรม

• การละเล่นพื้นเมอื งท่ีสำคัญ คือ ดิเกรฮ์ ลู ูหรือลเิ กฮลู ู รอ็ งเง็ง มะโยง่

• อาหารประจำถิ่นที่สำคัญ คือ นาซิดาแฆ เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และอร่อย ไก่กอและ สะเต๊ะเนื้อ ซอเลาะพริกหยวก รอเยาะ ข้าวยำ โรตีมะตะบะ โรตีปาแย ชาชัก ซัมบูซะ
กรือโป๊ะ (ข้าวเกรยี บปลาสด) และบดู ู

จงั หวดั ยะลา

• แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ / ศาสนสถานจังหวัดยะละมีแหล่งท่องเที่ยวเชิง
ประวัติศาสตร์ / ศาสนสถาน ได้แก่ พระพุทธไสยาสน์วัดคูหาถ้ำภิมุข (วัดหน้าถ้ำ) ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง พระ
มหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรมประกาศ มสั ยดิ กลางจงั หวัดยะลา

• แหล่งท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม ได้แก่ สวนสาธารณะสนามช้างเผือก
อำเภอเบตง“เบตง” เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา ภูมิประเทศในเขตเทศบาลเมืองเบตงมีภูเขาปกคลุมอยู่
ทั่วไป บางคนเรียกอำเภอเบตงว่า “เมืองในหมอก” ช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งอำเภอเบตงเป็นเมือง
ชายแดนที่น่าเที่ยวเมืองหนึ่ง เพราะมีคนเกือบทุกชาติทุกภาษาพักอยู่ในเบตงโดยเฉพาะในเขตเทศบาล อีกทั้ง
ยังมีอุโมงค์เบตง ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไก่เบตง –ปลาเบตง นกนางแอ่นเบตง สวนสาธารณะ
เทศบาลตาบลเบตง หม่บู า้ นซาไก

• แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้แก่ สวนขวัญเมือง น้ำตกบูเกะ๊ ปิโลหรือน้ำตกตะวันรศั มี
ถ้ำคนโท ถ้ำศิลป์ บึงน้ำใสถ้ากระแชง น้ำตกกือลอง(สุขทาลัย) ถ้ำทะลุ เขื่อนบางลาง ป่าฮาลา –บาลา
วนอุทยานน้ำตกธารโต บ่อนำ้ ร้อน

• งานประเพณีและกิจกรรมท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด ได้แก่ ประเพณีชิงเปรต
ประเพณีบังกุลบัว ประเพณีลากพระ มาแกปโู ละ “มาแกปูโละ”การเข้าสหุ นัต วนั ฮารรี ายอ วนั เมาลิด วนั อาซรู อ

• สังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี ในจังหวัดยะลา มีสังคมแบ่งออกได้
ตามภาษาและศาสนา เป็น 3 รูปแบบ คือ (1) สังคมชุมชนที่พูดภาษามลายูถิ่น และนับถือศาสนาอิสลาม (2)
สังคมชุมชนที่พูดภาษาไทยและนับถือศาสนาพุทธ (3) สังคมชุมชนที่พูดภาษาจีนและนับถือศาสนาอื่น เช่น
พุทธ และครสิ ต์

สังคมชุนที่พูดภาษามลายูถิ่นและนับถือศาสนาอิสลามนั้น มักตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ไม่ปะปนกับ
ชุมชน ที่นับถือศาสนาอื่น อยู่เป็นหมู่บ้านๆ ประกอบอาชีพด้วยกันในชุมชนเดียวกัน ส่วนน้อยที่ปะปนกัน
ถ้าจำเป็นก็อยู่ปะปนกันบ้าง การนับถือศาสนาต่างคนต่างปฏิบัติศาสนกิจของตนไป ไม่เบียดเบียนกัน
อยู่ด้วยกันโดยสันติ มีบ้างที่ไม่ลงรอยกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย ปัจจุบันผู้ที่พูดภาษามลายูถิ่น
ก็สามารถพูดภาษาไทยได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะการศึกษาสูงขึ้นกว้างออกไปตามความเจริญของท้องถิ่น และ
ความจำเป็นที่ต้องประกอบอาชีพสัมพันธ์กัน สำหรับชาวพุทธที่พูดภาษาไทย ก็สามารถพูดภาษามลายูถิ่นได้
นับเป็นวิวัฒนาการด้านวัฒนธรรมแห่งยุคโลกภิวัฒน์ รูปแบบของชุมชนมักเกิดขึ้นโดยถือศาสนาสถานเป็น
จุดศูนย์กลาง เช่น วัด มัสยิด หรือสุเหร่า เพราะต้องอาศัยคนที่รวมกนั เข้าเป็นชุมชนท่ีสนับสนนุ ค้ำจนุ ชาวไทย

33

ที่นับถือศาสนาพุทธ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและไม่แตกต่างไป
จากจังหวัดอ่ืนๆ เช่น การแต่งกาย การขึ้นบ้านใหม่ วันสงกรานต์ การบวชนาค วันออกพรรษา ประเพณีเดือน
สิบ (วันสารทไทย) และประเพณวี ันลอยกระทง ชาวไทยท่ีนับถือศาสนาคริสต์ กจ็ ะมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม
และประเพณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับจังหวัดอื่นๆ สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จะมีความ
แตกต่างไปบา้ ง

• การแต่งกาย ชาวยะลาปัจจุบัน แต่งกายกันตามลัทธิศาสนาที่ตนนับถือ ผู้ที่นับถือ
ศาสนาอิสลามก็แตง่ กายแบบที่นยิ มของชาวมุสลิมโดยท่ัวไป ผู้ที่นับถือศาสนาพทุ ธกแ็ ต่งกายตามแบบของชาว
ไทยที่นิยมโดยทั่วไป ชาวพุทธไม่ได้นิยมเครื่องแต่งกายแบบชาวฮินดูหรือชาวอินเดียอันเป็นแหล่งของศาสนา
พทุ ธ ชาวพุทธในชนบทแต่งกายแบบไทยแท้ตามสบาย ถ้าอยใู่ นเมอื งแต่งกายแบบสากลหรือตามทท่ี างราชการ
ไทยบัญญตั ิ นยิ มค่อนข้างไปทางยโุ รป ในจงั หวดั ยะลามีผู้นบั ถือศาสนาอื่นๆ เช่น ครสิ ต์ ฮินดู ซกิ ข์

ชาวชนบทที่กล่าวว่าแต่งกายตามสบายนั้น เพราะภาคใต้มีอากาศแบ่งเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน กับฤดู
ฝนเท่านั้น ไม่มีฤดูหนาว ชาวชนบทที่เรียกว่าชาวบ้านนั้น ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรม เรื่องการสวม
เสื้อ มีความจำเป็นน้อย สิ้นเปลือง จึงไม่ใคร่สวมเสื้อ เว้นแต่ผู้หญิง ผู้ชายจะนุ่งโสร่งหรือกางเกงขาสัน้ โพกหวั
หรอื คลมุ หัว ทำไร่ ทำนา ทำสวนหรือหาปลา ถ้าเข้าเมืองหรือเข้าสงั คม ก็แต่งกายเรียบร้อย ตามความนยิ มของ
สังคมในท้องถิ่นนั้น สำหรับชาวมุสลิมผู้คงแก่เรียนในทางศาสนา มักนิยมแบบชาวอาหรับก็มีอยู่เป็นอันมาก
จะเหน็ อย่ทู ั่วไปในยคุ โลกาภิวัฒน์น้กี ารแต่งกายของคนร่นุ ใหม่ มักวิวฒั นาการไปตามรูปแบบของชาวยุโรปมาก
โดยเฉพาะบคุ คลทปี่ ระกอบอาชีพรบั ราชการ ธุรกิจ หรอื รัฐวิสาหกิจตา่ งๆ

จังหวัดนราธวิ าส
จังหวัดนราธิวาสมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประตูสู่อาเซียนทางใต้ผ่านทิศตะวันออกของ
มาเลเซีย และติดอ่าวไทย ประกอบกับมีทุนมนุษย์และวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ของความเป็นมาลายู 80%
เชื่อมโยงกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมทั้งมีทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่
หลากหลายท้ังแหล่งท่องเท่ียวเชงิ นิเวศน์ เช่น ปา่ ฮาลา-บาลา แหลง่ ท่องเทีย่ วเชงิ วัฒนธรรม เช่น มัสยิดตะโละ
มาเนาะ และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์/อุโมงค์ หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา
12 และไม้ดอกสุคิริน เป็นต้น และมีประเพณีที่สำคัญแบ่งออกตามชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม ดังนี้ ประเพณี
ของชาวไทยพุทธ ได้แก่ ประเพณีชิงเปรต ประเพณีบังสุกุลบัว ประเพณีลาซัง ประเพณีลากพระ ประเพณีกินวาน
ประเพณชี องชาวไทยมสุ ลิม ไดแ้ ก่ มาแกปโู ละ การเขา้ สุหนัต วนั เมาลดิ วนั อาซูรอ และวันฮารีรายอ มีอยู่ 2 วันคือ
วนั อีฎล้ิ ฟติ รี และวันอีฎลิ้ อัฎฮา

1.13.2. ด้านการบรกิ ารท่องเทย่ี ว
นักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักตามสถานประกอบการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่งผลให้เกิด

รายได้ในพื้นที่แต่ละจังหวัด เมื่อเปรียบปี พ.ศ. 2557 - ๒๕๖๑ จำนวน ๕ ปี ซึ่งโดยภาพรวมเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

34

รายได้จากการท่องเท่ียวกล่มุ จงั หวดั ภาคใต้ชายแดน ปี 255๗ – 25๖๑

รายไดจ้ ากการทอ่ งเทีย่ วในภาพรวมของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑ พบว่า
รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทุกปี จังหวัดที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยมากท่ีสุด คือ
จังหวัดยะลา รองลงมาเป็นจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี ตามลำดับ ส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวชาว
ต่างประเทศมีมูลค่าสูงกว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน จังหวัดที่มี
รายไดจ้ ากนกั ทอ่ งเที่ยวต่างประเทศมากคือจงั หวดั ยะลา นราธิวาส ปตั ตานี ตามลำดับ ในขณะท่ีจังหวดั ปตั ตานี
มีรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติน้อยกวา่ นักท่องเที่ยวชาวไทย ทั้งนี้เนื่องจากจงั หวัดยะลา และนราธิวาส
เป็นจังหวัดที่มีเขตแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และรายได้จากนักท่องเที่ยวในภาพรวม พบว่าเพิ่มขึ้นอย่าง
ต่อเนอ่ื ง

35

จำนวนนักทอ่ งเทย่ี ว ๓ จังหวดั ชายแดนใต้ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑

ในขณะทีจ่ ำนวนนักทอ่ งเทีย่ วกม็ ีลกั ษณะเช่นเดียวกับรายไดจ้ ากการทอ่ งเทีย่ ว และเมอ่ื พิจารณาจาก
จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยว พบว่าจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวมากที่สุด คือ
จังหวัดยะลา เนื่องจากมีรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และเป็นจังหวัดที่มีรายได้
มากท่ีสดุ

36

จำนวนผ้เู ย่ียมเยืยนใน ๓ จังหวดั ชายแดนใต้ ปี พ.ศ. 255๗ – 25๖๑

ในขณะที่จำนวนผู้เยี่ยมเยืยนก็มีลักษณะเช่นเดยี วกับรายได้จากการทอ่ งเท่ียว และเมื่อพจิ ารณาจาก
จำนวนผเู้ ยี่ยมเยืยนและรายได้จากการท่องเที่ยว พบว่าจงั หวัดทมี่ ีผเู้ ย่ยี มเยือนมากทีส่ ดุ คือ จงั หวัดนราธิวาส

37

จำนวนนักทัศนาจร ๓ จังหวดั ชายแดนใต้

ในขณะที่จำนวนนักทศั นาจรก็มีลกั ษณะเช่นเดียวกับรายได้จากการท่องเที่ยว และเมื่อพิจารณาจาก
จำนวนนักทศั นาจรและรายไดจ้ ากการท่องเทย่ี ว พบวา่ จังหวัดทีม่ ีนกั ทศั นาจรมากทส่ี ดุ คอื จังหวัดนราธิวาส

38

ระยะเวลาพำนักเฉลย่ี ของนกั ทอ่ งเที่ยว ๓ จงั หวัดชายแดนใต้

ระยะเวลาพำนักเฉลี่ย ในช่วงปี พ.ศ. 255๗ - 25๖๑ ในภาพรวม 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ
รายจังหวัด พบวา่ มแี นวโน้มระยะเวลาพำนักเฉลยี่ ลดลง โดยจังหวัดนราธวิ าสมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยสงู สุด คือ
จงั หวดั ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตามลำดบั

1.13.3. สถานการณภ์ ายใน-นอก ท่กี ระทบการทอ่ งเที่ยว
- ปัญหาความไมส่ งบในพ้นื ท่ี
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเกิดความรุนแรง

อย่างต่อเนือ่ ง แต่ค่อนข้างดีข้ึนเมือ่ ดูจากปี 2559 ซึ่งมีจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
รวมจำนวน 316 ครั้ง เทียบกับปี 2558 ที่มีจำนวน 290 ครั้ง เห็นว่าเหตุการณ์ได้เพิ่มขึ้นจำนวน 26 คร้ัง
และดูจากปี 2558 ซึ่งมีจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมจำนวน 290 คร้ัง
เทียบกับปี 2557 ที่มีจำนวน 584 ครั้ง เห็นว่าเหตุการณ์ได้ลดลงจำนวน 294 ครั้ง ส่วนในปี 2560 ยัง
ปรากฏการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อ.สงขลา ซึ่งเหตุการณ์
ความรนุ แรงดงั กลา่ ว ได้ส่งผลกระทบตอ่ การดำเนนิ ชวี ิตประจำวันของประชาชนในพ้ืนที่ และเป็นเหตฉุ ุดร้ังการ
พัฒนาในแทบทุกด้าน รวมทั้งเกิดภาพลักษณะความไม่สงบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวใน
พน้ื ท่ีอีกดว้ ย

39

- พนื้ ทเี่ สย่ี งภยั จากการกอ่ การรา้ ย
ภัยจากการก่อการร้ายในพื้นที่อนุภาคเกิดขึ้นใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา

นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอสะบ้าย้อย เทพา จะนะ และนาทวี โดยพื้นที่ที่มี
จำนวนการก่อการร้ายสูงจะอยู่ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งก่อให้เกิด
ความเสยี หายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน รองลงมาได้แก่ จังหวัดสงขลาในเขต 4 อำเภอ และมีการก่อการร้ายใน
เขตอำเภอหาดใหญ่ดว้ ย ส่วนจังหวัดสตลู ไม่ไดเ้ กิดภัยจากการก่อการรา้ ย แตก่ ไ็ ดร้ ับผลกระทบอย่างมากทั้งดา้ น
เศรษฐกิจ การทอ่ งเที่ยว และการคมนาคม เป็นต้น

จากการศึกษา วิเคราะห์ สภาพ พื้นที่ของ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ และการวิเคราะห์ศักยภาพและการ
ประเมินความเหมาะสมการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว พบว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้มีความเหมาะสมต่อการต่อยอด
การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒธรรมชายแดนใต้ในด้านการพัฒนาโดยมีรายละเอียดที่สามารถแสดงได้แต่
ละดา้ น ดังน้ี

ด้านการสร้างคุณค่า ของทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น และการเตรียมพร้อมชุมชนใน
การร่วมพฒั นาการท่องเทีย่ วพหวุ ัฒนธรรม

๑) สรา้ งคณุ ค่าและมลู คา่ เพม่ิ ใหก้ บั สนิ ค้าและบริการบนฐานของทุนทางวฒั นธรรมและภูมิปญั ญา
ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของไทยมุสลิม ไทยพุทธ และไทยจีน ได้แก่ เมืองโบราณ ย่านการค้า วิถีชีวิต
ลุ่มน้ำ สินค้าชุมชน อาหารฮาลาล และแพทย์แผนไทย เพื่อนำมาสร้างสรรค์คุณค่า และมูลค่าผ่านองค์ความรู้
นวัตกรรม เทคโนโลยี และการออกแบบเพื่อสร้างสรรค์เป็นสินค้า รวมถึงการพัฒนากิจกรรม และบริการ
รูปแบบใหม่ๆ ของชุมชน ให้กับนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรวิถีชีวิตในชุมชน การท่องเที่ยววิถี
ชวี ติ ของชมุ ชน การท่องเท่ียวเชงิ นเิ วศ การท่องเท่ียววิถพี ทุ ธ การทอ่ งเทีย่ วกลุม่ มสุ ลมิ เปน็ ตน้

๒) พัฒนาชุมชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรดา้ นการทอ่ งเทีย่ วทกุ ภาคสว่ นของชุมชนให้มีความ
พร้อมในการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสังคมพหุวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วน
ร่วมของชุมชนและประชาชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มุ่งสร้างทัศนคติใหม่
ในการเป็นเมืองท่องเที่ยวสังคมพหุวัฒนธรรมแก่ชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนพหุวัฒนธรรมท่องเที่ยว
ในระดับชาติ และนานาชาติ ให้เกิดในทุกอำเภอตามศักยภาพและเชื่อมโยงเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวร่วมชุมชน
พหวุ ฒั นธรรมชายแดนใต้

ด้านการพัฒนานโยบาย ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาผู้ประกอบการ
และบุคลากรการทอ่ งเที่ยวพหุวัฒนธรรมท่มี ีขีดความสามารถสูง

๑) บูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนงานด้านการท่องเที่ยว
พหุวัฒนธรรม ให้มีเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการบูรณาการด้านงบประมาณ และ
การประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาและบริหารจัดการ
การท่องเท่ยี วการพัฒนาธุรกจิ การทอ่ งเท่ยี ว และการพฒั นาฐานข้อมูลกลางด้านการทอ่ งเทยี่ ว เพ่ือการวางแผน
การกำหนดนโยบาย และการอำนวยความสะดวกใหแ้ ก่นักท่องเที่ยว

40

๒) เสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการ และบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสังคม
พหวุ ฒั นธรรมชายแดนใต้ เพื่อใหม้ ที กั ษะและองคค์ วามรูใ้ นธรุ กิจตลอดห่วงโซ่อุปทานของการท่องเทย่ี ว ทั้งดา้ น
การออกแบบ การวิจัย และพัฒนาการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี การบริหารจัดการธุรกิจและการตลาด เพื่อ
สร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าและบริการ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดท่องเที่ยว
เฉพาะกลุม่ ท้ังในระดบั ประเทศ และนานาชาติ

๓) พัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะด้านพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ ทั้งด้าน
อาหาร เสือ้ ผา้ เคร่อื งนุ่งห่ม เครอื่ งประดบั และผูป้ ระกอบการโรงแรม รสี อรท์ พฒั นาสผู่ ู้ประกอบการท่องเทย่ี ว
ท่ไี ดม้ าตรฐานฮาลาลห์ เพ่อื รองรับกล่มุ ท่องเทีย่ วมุสลิม

๔) การเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในสังคมพหุ
วัฒนธรรม โดยการสนับสนุนมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรม
การท่องเที่ยวเชิงธุรกจิ รวมทั้งสร้างความพร้อมของธุรกิจที่เกี่ยวเนือ่ งตลอดห่วงโซ่คุณค่า และระบบนิเวศของ
การเดินทางท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร การจัดเลี้ยง ของที่ระลึก บริการโลจิสติกส์
สถานบันเทิง ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจการจัดงาน เป็นต้น และส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม
วิสาหกิจเริ่มตน้ และชุมชนท้องถิ่น ในการนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ
รวมถงึ การสร้างความเข้มแข็งใหก้ ับผ้ปู ระกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่ีเกีย่ วขอ้ ง

ด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมการท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์ การตลาด และการสื่อสาร
ทอ่ งเทยี่ วพหวุ ัฒนธรรม

๑) พฒั นาปัจจยั แวดล้อมให้เอือ้ ต่อการส่งเสรมิ ความคดิ สร้างสรรค์เพอื่ นำมาพัฒนาต่อยอดสินค้า
และบริการดา้ นการทอ่ งเท่ยี วเชิงพหวุ ฒั นธรรมในพ้ืนทีช่ ายแดนใต้ ได้แก่ การสง่ เสริมการวจิ ัย พัฒนา และการ
ออกแบบ การสร้างนวัตกรรม การสง่ เสริมการลงทุน การสร้างเครือข่ายวิสาหกิจการทอ่ งเท่ียว การส่อื สารและ
การคมนาคม การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การส่งเสริมการตลาด และการสร้างเรื่องราวเพื่อบอกเล่า
นกั ท่องเท่ียว เปน็ ตน้

๒) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในตลาดท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริม
การตลาดการท่องเที่ยวโดยการนำเสนอเอกลักษณ์ของ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ และของแต่ละท้องถิ่น ให้เป็นท่ี
เขา้ ใจในเวทโี ลก ผา่ นสือ่ สรา้ งสรรค์ และนวตั กรรมทางสอื่ ต่างๆ รวมทัง้ การสง่ เสริมการสอ่ื สารเร่ืองราวอันเป็น
เอกลักษณ์ของ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ และแต่ละท้องถิ่นผ่านการพัฒนาแบรนด์ และการสื่อสารเรื่องราวอย่าง
สร้างสรรค์ผ่านชอ่ งทางการตลาดทเี่ ป็นท่นี ยิ มในกลมุ่ เปา้ หมาย

๓) การพัฒนาการทอ่ งเที่ยวพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้เชื่อมโยงธุรกิจกับมุสลิม ส่งเสริมการตลาด
และสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับนานาชาติรวมทั้งประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และ
ส่งเสริมกิจกรรมทั้ง ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีศักยภาพการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อจูงใจให้เกิดการเดินทาง
การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ทั้งก่อนในระหว่าง และหลังการประกอบธุรกิจหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ต่อยอด
อุตสาหกรรมเป้าหมายของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวการกีฬา เพื่อสนับสนุนให้
เกิดการเขา้ ถงึ การแลกเปลย่ี นองคค์ วามรู้ และเทคโนโลยีท่นี ำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดจนสง่ เสรมิ ให้
เกดิ เวทเี จรจาการค้า และการลงทนุ ของธรุ กิจท่เี กีย่ วเนอื่ งกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

๔) ส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศร่วมกันให้สอดรับกับทิศทาง และแนวโน้ม
ของตลาดยุคใหม่โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้สอดรับกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่โดย
การประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ และสร้างแรงจูงใจแก่นักท่องเที่ยว บนฐานอัตลักษณ์ร่วมกันของอนุภมู ิภาค

41


Click to View FlipBook Version