The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีนส์ ทีม, 2022-02-24 12:09:19

ตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่

ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรี

Keywords: สุนทรภู่

100

ทาพระเคร่ือง เมืองนครชุมแบบเจาะลึกถึงแหล่งเรียนรู้ ฝึกอบรมให้ความรู้กับเจ้าของแหล่งสาธิตการทา
พระเคร่ือง เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้ ไปสู่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี 2) ด้านการบริการการท่องเทีย่ ว
ควรจดั สถานที่จ้าหน่ายสินค้า และของที่ระลึกไว้บริการนกั ท่องเทีย่ วและใหพ้ ่อค้าแม่ค้าแต่งกายแบบย้อนยุค
เพื่อเป็นการสร้างเสน่ห์ และดึงดูดนักท่องเที่ยว จัดบริการยุวมัคคุเทศก์ หรืออาสาสมัครนาเที่ยวของชุมชน
และจัดบริการที่พักที่สะอาดและปลอดภัยไว้บริการนักท่องเที่ยว และ 3) ด้านการตลาดการท่องเที่ยว
ควรสนับสนุนให้ชุมชนเข้าร่วมกิจกรรม ส่งเสริมการขายร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดระบบการ
โฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้มีคุณภาพโดยปรับปรุงและตรวจสอบ การประชาสัมพันธ์ ในเฟสบุ๊ค หรือเว็บไซต์
ของเทศบาล ให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันและทันสมัย และการร่วมมือกับสมาคม การท่องเที่ยว ภาคธุรกิจโรงแรม
ที่พัก ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้มีมากขึ้น เช่น การให้ส่วนลดค่าอาหาร และที่พักสาหรับนักท่องเที่ยว
เป็นต้น

อมรรัตน์ เปี่ยมดนตร และศุภกรณ์ ดิษฐพันธ (2558) ได้วิจัยเร่ือง การใช้วรรณกรรม ขุนช้างขุนแผน
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา
แนวทางในการใช้วรรณกรรมขุนช้างขุนแผน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี
และศึกษาความสนใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อการนาวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนมาใช้เพื่อส่งเสริมการ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรีโดยใช้กระบวนการวิจัยผสมผสานงานวิจัยเชิงคุณภาพและ
งานวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้วรรณกรรมขุนช้างขุนแผนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี จะช่วยเพิ่มศักยภาพและคุณค่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัด
สุพรรณบุรีได้เนื่องจากจังหวัดสุพรรณบุรีมีทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรม
ขุนช้างขุนแผน เชน่ มีสถานทีจ่ ริงทีก่ ล่าวถึงในวรรณกรรมขนุ ช้างขุนแผนที่ยังปรากฏอยู่ในปัจจุบันมีการสร้าง
คุ้มขุนแผน บ้านขุนช้าง รูปจาลอง ภาพจิตรกรรมในวรรณกรรม มีถนนสายสาคัญ ในจังหวัดสุพรรณบุรี
ที่ตั้งชื่อตามตัวละครต่าง ๆ ในเร่ืองขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีความสอดคล้อง ตามแนวทาง การใช้วรรณกรรม
เพื่อการท่องเที่ยว และตามแนวทางตัวอย่างการดาเนินการที่ดี สามารถนามาสร้างสรรค์ และจัดกิจกรรม
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึง่ หนว่ ยงานภาครัฐและเอกชนรวมถึงชุมชนในท้องถิ่น ควรเข้ามามีบทบาทในการ
สนับสนุนกิจกรรมนี้อย่างต่อเน่ืองและเป็นระบบ เพื่อเป็นการสร้างระบบ การท่องเที่ยวอย่างย่ังยืน ช่วย
กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และยังเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมขุนช้างขุนแผน 2) นักท่องเที่ยวมีความสนใจใน
ด้านการนาวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน มาใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างมีความสนใจ ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่ในระดบั มาก
ที่สุด โดยสนใจให้มีการนาวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน มาใช้ในการในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ของจังหวัดสุพรรณบุรีสนใจให้มีการจัดจาหน่ายของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรม และสนใจให้มีการ
ส่งเสริม และอนุรักษ์วรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ในจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนในด้านการจัดกิจกรรมการ
ท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างมีความสนใจ ในด้านการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในระดบั มากที่สุด โดยต้องการ

101

ให้มกี ารประชาสัมพนั ธ์ แหลง่ ท่องเทีย่ วและเน้นความเชื่อมโยง ในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน รวมทั้งมกี ารจัด
โปรแกรม การท่องเที่ยว ตามสถานทีท่ ีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณกรรมขุนช้างขนุ แผน

จิตกวี กระจ่างเมฆ และสุดหล้า เหมือนเดช (2562) ได้ศึกษาเร่ือง การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
ทางวัฒนธรรม จังหวัดนครปฐม ไทยแลนด์ 4.0: กรณีศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์
ท้องถิ่นลาวคร่ังบ้านทุ่งผักกูด ไทยทรงดาบ้านไผ่หูช้างและไทยจีนตลาดบางหลวง โดยมีวัตถุประสงค์คือ
1) ศึกษาสภาพทั่วไปของชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลาวคร่ังบ้านทุ่งผักกูด วิถีชีวิตไทย
ทรงดาบ้านไผ่หูช้างและไทยจีน ตลาดบางหลวง 2) ศึกษาศกั ยภาพ พิพิธภณั ฑท์ ้องถิ่น ลาวคร่งั บ้านทุ่งผักกูด
วิถีชีวิตไทยทรงดาบ้านไผ่หูช้างและไทยจีนตลาดบางหลวง ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 3) เพื่อ
หาแนวทางในการพัฒนา เพื่อส่งเสริม พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลาวครั่งบ้านทุ่งผักกูด วิถีชีวิตไทยทรงดาบ้าน
ไผ่หชู ้าง และไทยจีน ตลาดบางหลวง ให้เปน็ แหล่งท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมของจังหวดั นครปฐมทั้ง 3 ด้าน

ผลการวิจัยพบว่า สภาพทั่วไปของชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลาวครั่ง
บ้านทุ่งผักกูด วิถีชีวิตไทยทรงดาบ้านไผ่หูช้างและไทยจีนตลาดบางหลวง 1) ด้านสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยว
แหล่งท่องเที่ยวท้ัง 3 แหล่ง เหมือนกันคือ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่โดดเด่น ในเร่ืองของกลุ่มชาติ
พันธ์ ความเก่าแก่ของโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ฯ โบราณสถานวัด ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ประวัติศาสตร์
ท้องถิ่น ท้ังลาวคร่ังไทยทรงดาและจีนบางหลวงมีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจน
กลายเป็นเอกลักษณ์ 2) ด้านการเข้าถึง สิ่งอานวยความสะดวกของแหล่งท่องเที่ยวท้ัง 3 แหล่ง มีที่พัก
ร้านอาหาร ร้านค้าขายของที่ระลึก สถานบริการข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว การคมนาคม สถานีตารวจ
สถานพยาบาล ระบบการสื่อสาร มีเพียงพอต่อการต้อนรับนักท่องเที่ยว 3) ด้านการเข้าถึงระบบการ
คมนาคม นกั ท่องเทีย่ ว ใชร้ ถยนต์สว่ นตัว หรอื รถโดยสารเข้ามาท่องเที่ยวจึงสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวทั้ง
3 แหลง่ ได้อย่าง สะดวกสบาย มีสถานทีจ่ อดรถ เพียงพอต่อการรองรับนกั ท่องเที่ยว ผลการศกึ ษา ศกั ยภาพ
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลาวคร่ังบ้านทุ่งผักกูด วิถีชีวิตไทยทรงดาบ้านไผ่หูช้าง และไทยจีนตลาดบางหลวง ในการ
เป็นแหล่งท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรม พบว่าแหลง่ ท่องเที่ยวแต่ละชุมชน มีศกั ยภาพในการให้บริการนักท่องเที่ยว
ที่แตกต่างกันเนื่องจากมีลกั ษณะโดดเด่นที่นามาเป็นจุดสนใจ จุดขายในเร่ืองทีต่ า่ งกันแต่มีการบริหารจัดการ
ร่วมกันในเร่ืองเส้นทางเชื่อมโยงที่เอื้อต่อกันทั้ง 3 แหล่งอย่างลงตัวสิ้นสุด 1 วันจึงไม่ทาให้เกิดอุปสรรคหรือ
ปัญหาใด ผลการศึกษาแนวทางในการพัฒนา เพื่อส่งเสริมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลาวครั่งบ้านทุ่งผักกูด วิถีชีวิต
ไทยทรงดาบ้านไผ่หูช้าง และไทยจีนตลาดบางหลวง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของ จังหวัด
นครปฐม ทั้ง 3 ด้านพบว่า 1) ดา้ นสิง่ ดึงดูดทางการท่องเที่ยวจดั หาอาสาสมัคร เพื่อช่วยเหลือให้คาแนะนาแก่
นักท่องเที่ยว รณรงค์สนับสนุนส่งเสริมยกย่องวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกที่ทันสมัยแต่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์เดิม จึงควรมีการปรับปรุงรูปแบบ ราคา ให้ดีกว่าเก่า
เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว 2) สิ่งอานวยความสะดวก ควรคานึงถึงราคาอาหาร สินค้าโดยเฉพาะสินค้า
ประเภทผ้าทอมือควรมีการปรับราคาใหเ้ หมาะสม หอ้ งสุขา และสถานทีน่ ั่งพกั ผอ่ น มัคคเุ ทศก์ท้องถิ่น น้าดื่ม

102

ให้เพียงพอ 3) ด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงพัฒนาให้ถนนสะอาดโล่ง
สะดวกและความปลอดภยั ปรบั ปรงุ เส้นทาง ป้ายบอกทาง ในระยะทางทีม่ องเหน็ อย่างชดั เจนและเข้าใจงา่ ย

อภิลักษณ์ เกษมผลกูล (2559) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การสารวจและศึกษาทุนทางวัฒนธรรม
เพือ่ พฒั นาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรม “ตามรอยวรรณคดีนิราศเร่อื งพระประธมของสนุ ทรภู่” ในจังหวัด
นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยมุ่งศึกษา นิราศพระประธม ของสุนทรภู่
เนื่องจากเป็นนิราศที่กวีให้รายละเอียดของข้อมูล ในการเดินทางด้วยการ “คร่าครวญ” ที่น่าสนใจทั้งในแง่
ภาษา วรรณศิลป์ โลกทัศน์ ตลอดจนข้อมูลเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน เส้นทางในการเดินทางของสุนทรภู่
เป็นการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ กับนครปฐม งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) บูรณาการองค์ความรู้
จากนิราศพระประธม ในฐานะทุนทางวฒั นธรรม กับมิติเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเปน็
แหล่งท่องเที่ยวเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ 2) สารวจเส้นทางและโอกาสในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตาม
รอยนิราศพระประธม และ 3) แนวทางในการพัฒนาสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับนิราศพระประธมให้เป็นแหล่ง
ท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นในปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า การศึกษานิราศ
พระประธม ของสนุ ทรภู่ในฐานะทุนทางวฒั นธรรม สามารถนามาใช้ ในการพฒั นาการท่องเที่ยวได้ 5 มิติ คือ
เส้นทาง อาหาร กิจกรรม ของฝาก และวันเวลาเดินทาง โดยบูรณาการให้เข้ากับการท่องเที่ยวได้จริง
อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมน าเสนอ “นิราศพระประธม” ในฐานะเร่ืองเล่าประกอบการเดินทาง โดยแบ่ง
เส้นทางได้เป็น 3 ภาคคือ ภาคธนบรุ ี (กรุงเทพฯ) - คลองบางใหญ่ (นนทบุรี) ภาคคลองบางใหญ่ (นนทบรุ ี) -
คลองโยง(นครปฐม) และภาคคลองโยง (นครปฐม) - นครชัยศรี (นครปฐม) ท้ังนี้ผู้วิจัยได้เสนอรูปแบบการ
จัดการท่องเที่ยวโดยใช้เร่ืองนิราศพระประธมของสุนทรภู่เป็นแกนหลักในการเล่าเร่ือง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่รายการการท่องเที่ยวในพื้นที่ ทาให้เกิดการให้คุณค่า และความหมายแก่แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม
อนุรักษ์ ภูมิปัญญาในชุมชน และเกิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ในชุมชน นามามาสู่การสร้างงานและรายได้
ตลอดจนคณุ ภาพชวี ิตทีด่ ีในที่สุด

ศุศราภรณ์ แต่งต้ังลา และ อริยา พงษ์พานิช (2563) ได้ศึกษาเร่ือง ปัจจัยที่มีผล ต่อการเลือกการ
เดินทางท่องเที่ยวไทย แบบปรกติใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัย ที่มีผลต่อการเลือกการเดินทาง
ท่องเที่ยวไทยแบบปรกติใหม่ รูปแบบการวิจัยเป็นแบบเชิงปริมาณ กลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างใน
งานวิจยั คร้ังนี้ ได้แก่ นกั ท่องเทีย่ วชาวไทย จานวน 400 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
ประกอบด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีผล ต่อการเลือกการเดินทางท่องเที่ยวไทยแบบปรกติใหม่ โดยรวม
อยู่ในระดับมากที่สุด (X =4.65, S.D.=0.43) เม่ือจาแนกเป็นรายด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ
ความปลอดภัย (X = 4.91, S.D. = 0.90) ราคา (X = 4.50, S.D. = 0.57) ที่พัก (X= 4.48, S.D. =0.47)
สถานที่ท่องเที่ยว (X = 4.47, S.D.= 0.49) ปจั จยั ที่มผี ลตอ่ การเลือกการเดินทางท่องเทีย่ วไทยแบบปรกติใหม่
และการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ จะมีการคานึงถึงความปลอดภัย

103

และสุขอนามัยเป็นอันดับที่สาคัญมากที่สุด สรุปในภาพรวม ของบทความ ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกการ
เดินทางท่องเที่ยวไทยแบบปรกติใหม่ สิง่ ใหม่ ทีย่ งั เป็นความท้าทายสาหรับผปู้ ระกอบการทีต่ ้องเผชิญคือ การ
ปรบั เปลีย่ นวิถีชีวติ ของผคู้ นไปสู่ New Normal ทีท่ าให้ผู้ประกอบการจาต้องปรับรปู แบบการดาเนินธรุ กิจการ
บริการใหม่ (New Business Norms) เชน่ กนั ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทีเ่ ปลีย่ นไป เชน่ การให้บริการทางด้าน
อุตสาหกรรม การท่องเทีย่ วทีย่ งั ตอ้ งคานึงถึงความปลอดภยั จากโควิด-19 ถึงแม้วา่ จะส่งผลกระทบต่อรายได้
แต่ก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อม่ันให้กับผู้ใช้บริการ ขณะที่ผู้ประกอบการหลายราย เผชิญกับสภาพคล่องที่
จากัด ทาให้ยังต้องระมัดระวังควบคุมรายจ่าย โดยให้มีผลต่อการบริการน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน
สต็อกสินคา้ การจา้ งงาน หรอื การจดั กิจกรรมการตลาด ที่ตอ้ งพึง่ พาเทคโนโลยีมากขึ้น

ชนิสรา กุลสันติวงศ (2564) ได้วิจัยเร่ือง ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวของ
นักท่องเที่ยวชาวไทย Generation Y หลังโรคระบาดโควิด-19 โดยงานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัย
ส่วนประสมการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ (Product) และด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ปัจจัยความ
ปลอดภัยด้านอาชญากรรมทางร่างกาย ทรัพย์สิน และอุบัติเหตุ และปัจจัยความปลอดภัยด้านภัยธรรมชาติ
สุขอนามัย และโรคระบาด ที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ของนักท่องเที่ยวชาวไทย Generation Y
หลังโรคระบาดโควิด-19 โดยใช้แบบสอบถามปลายปิดที่ผ่านการตรวจสอบความเชื่อม่ันและความตรงเชิง
เนื้อหา (Reliability) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรชาวไทยกลุ่ม Generation Y โดยใช้สถิติเชิง
พรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์
ความถดถอยเชิงพหุ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผล ต่อการตัดสินใจ เดินทาง
ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย Generation Y หลังโรคระบาดโควิด-19 อย่างมนี ยั ส าคญั ทางสถิติที่ระดับ
.05 ได้แก่ ความปลอดภัยด้านภัยธรรมชาติ สขุ อนามยั และโรคระบาด ในขณะทีป่ จั จัยส่วนประสมการตลาด
ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และปัจจัยความปลอดภัย ด้านอาชญากรรมทางร่างกาย
ทรพั ย์สิน และอุบตั ิเหตุไม่สง่ ผล ต่อการตดั สินใจเดินทางท่องเทีย่ วหลงั โรคระบาดโควิด-19

กิตติภัฏ ฐิโณทัย (2562) ได้วิจัยเร่ือง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วม ของประชาชนในพื้นที่ที่
ก่อให้เกิดความสาเร็จของการท่องเที่ยวโดยชุมชน: กรณีศึกษาชุมชน บ้านบางน้าผ้ึง จังหวัดสมุทรปราการ
โดยการวิจยั คร้ังนีม้ ีวัตถปุ ระสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษา การมสี ่วนรว่ มของประชาชนในพื้นทีท่ ีส่ ่งผลต่อ
ความสาเร็จของการท่องเที่ยวโดยชุมชน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผล ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ 3) เพือ่ วิเคราะหอ์ ิทธิพลของปัจจยั ที่ ส่งผลตอ่ การมีส่วนร่วมของประชาชน
ที่ก่อให้เกิดความสาเร็จ ของการท่องเที่ยวโดยชุมชนผ่านการมีส่วน ร่วมของประชาชนในพื้นที่ ผู้วิจัยได้ใช้
ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บ รวบรวมข้อมูล จากประชากรตัวอย่าง ที่
อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านบางน้าผ้ึงทั้ง 11 หมู่บ้าน จานวน 400 คน โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ แบบเพียรสันเพื่อหา
ความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปร และใช้สถิตกิ ารถดถอยพหคุ ณู แบบการประมาณ ค่ากาลงั สองน้อยทีส่ ุด (OLS)

104

และการประมาณค่ากาลังสองน้อยที่สุดแบบสองขั้น (2SLS) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลหาว่าปัจจัยใจที่มีผลต่อการ
มีสว่ นร่วมของประชาชนในพื้นทีแ่ ละก่อใหเ้ กิด ความสาเรจ็ ของการท่องเทีย่ วโดยชมุ ชน

ผลการวิจัยสามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย พบว่า 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนใน
พื้นที่ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการตัดสินใจ ด้านการปฏิบัติงาน ด้านการแบ่งปันผลประโยชน์และด้านการ ติดตาม
และประเมินผลมีอิทธิพลทางบวกกับความสาเร็จของการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
2) ปัจจัยความพรอ้ มของชุมชน ความผูกพนั ต่อชุมชน และกรอบนโยบายการท่องเที่ยว มีอทิ ธิพลทางบวกต่อ
การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติเม่ือจาแนกตามแต่ละ ปัจจัย พบว่า ความ
พร้อมของชุมชน ทุกตวั แปรล้วนมีอทิ ธิพลทางบวกกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนความผกู พนั ต่อชุมชน
มีเพียงแค่ด้านความพึงพอใจในชุมชนและความเชื่อมั่นและยอมรับเป้าหมาย ของชุมชนที่มีอิทธิพลทางบวก
กับการมีส่วนร่วมของประชาชน สุดท้ายเป็นกรอบนโยบายการท่องเที่ยว ทุกตัวแปรล้วนมีอิทธิพลทางบวก
กับการมสี ่วนรว่ มของประชาชน 3) ปจั จยั ความพร้อมของชมุ ชน และ ความผกู พนั ต่อชมุ ชนมอี ิทธิพลทางบวก
ต่อความสาเร็จของการท่องเที่ยวโดยชุมชนผ่านการมีส่วนร่วม ของประชาชนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
อย่างไรก็ตามการดาเนินนโยบายที่จะสร้างความพร้อมของชุมชนและความผูกพันต่อชุมชนเพียงอย่างเดียว
น้ัน ไม่สามารถที่จะทาให้เกิดความสาเร็จของการ ท่องเที่ยวโดยชุมชนได้แต่จะต้องคานึงถึงกระบวนการการ
มีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่เป็นเง่ือนไข เบื้องต้นทั้งก่อนและระหว่างดาเนินการเพิ่มระดับความสาเร็จ
ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้นาชุมชนควรที่จะให้ความสาคัญกับสร้างความ
พร้อมของชุมชนและ ความผูกพันให้กับสมาชิกในชุมชนที่จะผลักดันให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าและ
ผลประโยชน์ของ ส่วนรวมทีจ่ ะได้รับ ซึ่งจะทาให้ประชาชนเข้ามาช่วยกันทางานเพื่อชุมชน ทาให้การท่องเที่ยว
ของชุมชน ประสบความสาเรจ็ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ด้านเศรษฐกิจและสงั คมของชมุ ชน

อภญิ ญา รบไว (2561) ได้วจิ ัยเรือ่ ง ปัจจัยทีม่ อี ิทธิพลต่อการยอมรับของนักท่องเทีย่ ว ต่อเว็บไซต์การ
ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษา ถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับ
เว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยอ้างอิงจากทฤษฎีรวมของการยอมรับ และการใช้เทคโนโลยี
ของ Venkatesh et al. (2012) ที่เน้นอธิบายพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีในบริบทของผู้บริโภค มาศึกษา
ร่วมกับ แบบจาลองความสาเร็จของระบบสารสนเทศของ Delone and Mclene (2003) และงานวิจัยอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อให้ศึกษาปัจจัยที่มี
อิทธิพลต่อการยอมรับเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจากการทบทวนงานวิจัย
สามารถสรุปได้เป็นกรอบแนวคิดวการวิจัยที่มีสมมติฐานวิจัย 10 สมมติฐานกลุ่มตัวอย่างงานวิจัยคือ
นักท่องเที่ยวที่ใช้งานเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและท่องเที่ยวในประเทศไทยภายในระยะเวลา
3 เดือน และแบ่งกลุ่มตัวอย่าง ออกเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติอย่างละครึ่ง โดยทาการเก็บ
ข้อมูลแบบสอบถาม ในรูปแบบออนไลน์ จากน้ันทาการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) ทาการทดสอบ
สมมติฐาน โดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) โดยผลการวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่า

105

กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้การยอมรับเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต่างกัน
โดยปัจจัยที่ทาให้นักท่องเที่ยวชาวไทยยอมรับเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคือ คุณภาพระบบ
เว็บไซต์ ความไว้วางใจในการใช้งานเว็บไซต์ อิทธิพลด้านสังคม และความคาดหวังจากความพยายามใช้งาน
เว็บไซต์ ในขณะที่ปัจจัยที่ทาให้นักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติยอมรับเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคือ
ความไว้วางใจในการใชง้ านเว็บไซต์ และความเคยชินของผใู้ ช้งานเวบ็ ไซต์

อัจฉริยา วสุนันต (2560) ได้วิจัยเร่ือง รามเกียรติ์กับการท่องเที่ยวไทย: การสร้างหนังสืออ่าน
เพิ่มเติมวรรณคดีไทยเพือ่ การท่องเทีย่ วสาหรบั ผู้เรยี นชาวต่างประเทศ โดยบทความวจิ ยั เรื่องนมี้ ีวตั ถปุ ระสงค์
เพือ่ สร้างหนงั สอื อ่านเพิ่มเติมวรรณคดีไทยเร่ือง “รามเกียรต์ิ” สาหรับชาวต่างประเทศ ทีจ่ ะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิด
การเรียนรู้ และเข้าใจในวรรณคดีไทยเร่ืองรามเกียรติ์ ที่มีความสัมพันธ์กับการท่องเที่ยว ผลการวิจัยพบว่า
วรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งสัมพันธ์กับศลิ ปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของไทย สามารถแบ่งออกเปน็
4 ประเด็น ได้แก่ (1) รามเกียรติ์: จิตรกรรมฝาผนังในวัดพระแก้ว (2) รามเกียรติ์ : ประติมากรรมรูปยักษ์
(3) รามเกียรติ์: การแสดงโขน และ (4) รามเกียรติ์: การท่องเที่ยว การสร้างหนังสืออ่านเพิ่มเติม
วรรณคดีไทย เพื่อการท่องเที่ยวสาหรับชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างหนังสือที่จะเสริมสร้างทั กษะ
ทางการอ่าน และเพิ่มพูนความรู้วรรณคดีไทยที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเร่ืองรามเกียรติ์ ได้รู้จักสถานที่
ท่องเที่ยว ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย และยังช่วยให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
ศลิ ปวัฒนธรรมของไทยทีม่ ชี ื่อเสียงอกี ด้วย

สุภัทรา บุญปัญญโรจน (2563) ได้ศึกษาเร่ือง วรรณกรรมกับการท่องเที่ยว: เศรษฐกิจ
(การท่องเที่ยว) สร้างสรรค์จากฐานรากวัฒนธรรม การสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ผ่านทางวรรณกรรม
แล้วดัดแปลงเป็นการท่องเที่ยวจาเป็นต้องคัดเลือกวรรณกรรมที่มีความโดดเด่น และการดัดแปลงใช้เพื่อการ
ท่องเที่ยวควรผ่านการวิเคราะห์จากแนวคิดสัมพันธ์บท ชุมชนมีความเกี่ยวข้องกบัวรรณกรรมนั้น ๆ ผู้สื่อ
ความหมายเข้าใจสาร จากวรรณกรรมที่ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยการดัดแปลงการท่องเที่ยว
จากวรรณกรรมแต่ละกิจกรรม จาเป็นต้องกาหนดกลุ่มเป้าหมายการท่องเที่ยว ให้ชัดเจนว่าเป็นผู้สนใจอ่าน
วรรณกรรมัน้น ๆ อยู่แล้วหรือเพื่อสื่อความหมายให้กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่ว ไปเพื่อที่จะเลือกสารจาก
วรรณกรรมนาไปดัดแปลงให้เหมาะกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ประเด็นหนึ่งที่พึงให้ความสาคัญ
ยิ่ง คือ พึงระมัดระวังอย่าให้นักท่องเที่ยว เหมารวมว่า แหล่งท่องเที่ยวจากวรรณกรรม กิจกรรมการ
ท่องเที่ยวจากวรรณกรรม เร่ืองเล่า ณ แหล่งท่องเที่ยว จากวรรณกรรม ของที่ระลึกการท่องเที่ยวจาก
วรรณกรรมเร่ืองัน้น พื้นที่นั้นก็เหมือนกับวรรณกรรมอื่น พ้ืนที่อื่น ดังน้ันจึงจาเป็นต้องสร้างอัตลักษณ์ เป็นที่
ประทับใจอันก่อให้เกิดจากจดจา และส่งต่อไปยังผคู้ นกลุ่มอืน่ ๆ ต่อไป นอกจากนี้ การพฒั นาให้วรรณกรรม
เป็นรากฐาน ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สังคมควรปลูกฝังให้คนไทยรักการอ่านให้มากขึ้น
อ่าน (Reading) ในที่นี้คือทาความเข้าใจและตีความทรัพยากรทางวัฒนธรรมและวรรณกรรมที่มีเพื่อการใช้
ประโยชน์ต่อการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว โดยผ่านความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจวรรณกรรม แล้วนามา

106

ออกแบบอารมณ์ และออกแบบประสบการณ์ร่วม ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคม วัฒนธรรม โดยยัง
สามารถดารงเน้ือหาสาคญั หรอื สือ่ ความหมายถึงความโดดเด่นของวรรณกรรมนั้น ๆ ไดอ้ย่างนา่ สนใจ

วิไลวรรณ สว่างแก้ว (2561) ได้วิจัยเร่ือง อิทธิพลภาพลักษณ์การท่องเที่ยว องค์ประกอบแหล่ง
ท่องเที่ยว และแรงจูงใจทีส่ ง่ ผลต่อการตัดสินใจ เลือกท่องเที่ยวตลาดนา้ ของนักท่องเทีย่ วชาวไทย กรณีศกึ ษา
ตลาดน้าคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต อาเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาอิทธิพลของภาพลักษณ์ องค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยว และแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือก
ท่องเที่ยวตลาดน้าของนักท่องเที่ยวชาวไทย กรณีศึกษาตลาดน้าคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต อาเภอบางบ่อ
จังหวดั สมทุ รปราการ การวิจัยนี้เป็นการวิจยั เชิงปริมาณ โดยประชากร คือนกั ท่องเทีย่ ว ชาวไทยที่เดินทางมา
ท่องเที่ยวตลาดน้าฯ ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และใช้แบบสอบถาม เป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่
ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่านักท่องเที่ยว
มีระดับความคิดเห็น ต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของตลาดน้าคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต อยู่ในระดับมาก
สาหรับการรับรู้ถึงองค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยวของตลาดน้าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และพบว่า
นกั ท่องเทีย่ วมีการรับรู้ด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเทีย่ วมากที่สุดตามด้วยด้านสิ่งอานวยความสะดวก และด้าน
สิ่งดึงดูดใจ เม่ือพิจารณาแรงจูงใจในการท่องเที่ยวตลาดน้าฯ พบว่า นักท่องเที่ยวมีแรงจูงใจด้านปัจจัยผลัก
ในการมาท่องเที่ยวมากกว่าด้านปัจจัยดึง ผลการทดสอบสมมติฐาน ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว การรับรู้
องค์ประกอบ แหล่งท่องเที่ยวด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว และแรงจูงใจด้านปัจจัยผลัก ส่งผลต่อการ
ตัดสินใจ เลือกท่องเที่ยวตลาดน้าคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย ส่วนการรับรู้
องค์ประกอบ แหลง่ ท่องเทีย่ ว ด้านสิง่ ดึงดูดใจ และด้านสิง่ อานวยความสะดวก และแรงจงู ใจด้านปัจจัยจึงไม่
ส่งผลตอ่ การตดั สินใจเลือกท่องเที่ยวอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05

Marios Sotiriadis (2020) ได้ศึกษาเร่ือง การตลาดปลายทางท่องเที่ยว: ความรู้เชิงวิชาการ พบว่า
จากมุมมองสาหรับองค์รวมแบบหลายองค์กรด้านการตลาดหรือการจัดการที่จุดหมายปลายทาง (DMOs)
ซึ่งต้องรวบรวมความพยายามอย่างเต็มที่จากองค์กรพันธมิตรและบุคคลจานวนมาก (ผมู้ ีสว่ นได้ส่วนเสีย) ให้
ประสบความสาเร็จอย่างสูงสุด การตลาดปลายทางถูกอธิบายว่าเป็น “ความต่อเน่ืองของกระบวนการ
ตามลาดับซึ่ง DMO วางแผน วิจัย นาไปใช้ ควบคุม และประเมินผลโปรแกรมที่มุ่งตอบสนองความต้องการ
องค์กรและความต้องการของนักท่องเที่ยว ตลอดจนจุดหมายปลายทางและ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และ
วัตถุประสงค์” ประสิทธิผล ของ กิจกรรมทางการตลาดขึ้นอยู่กับความพยายามและแผนของความต้องการ
ในการเสนอขายสินค้าด้าน การท่องเที่ยวและหน่วยงานอื่น ๆ คาจากัดความนี้ระบุว่าการตลาด คือ การ
บริหารหน้าที่ ขอบเขตที่ควรดาเนินการอย่างเป็นระบบ นาไปใช้และนาไปปฏิบัติแนวทางที่เหมาะสม
ตลอดจน เคร่ืองมือและวิธีการทีเ่ หมาะสม ในการทาเช่นนั้นเชื่อกนั ว่าจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว (ผ่าน
โครงสรา้ งองค์กรของ DMO) สามารถบรรลุตามที่คาดไว้ได้ ผลผลิตที่เปน็ ประโยชน์ ต่อผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียทุก

107

ฝ่าย ได้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชุมชน/ ประชากรเจ้าบ้าน และนักท่องเที่ยว/นักท่องเที่ยว การนา
หลักการตลาดปลายทางท่องเที่ยว ไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและวิธีการต่างๆ ถือเป็นเสาหลักที่มี
ประสิทธิภาพและชาญฉลาด ซึ่งเป็นรากฐานที่สาคัญในการบรรลุความสมดุล/สมดุลระหว่างการรับรู้และ
ความสนใจที่บางครั้งขัดแย้งกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยลดผลกระทบด้านลบและผลประโยชน์สูงสุดทีเ่ กิด
จากการท่องเทีย่ ว เปน็ ที่น่าสงั เกตว่าการตลาดนั้นไม่ใชย่ าครอบจักรวาล ไม่ใช่ไม้วเิ ศษชนิดหนึง่

Greg Richards (2561) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: การทบทวน การวิจัยและ
แนวโน้มล่าสุดจากการติดตามพัฒนาการของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในฐานะการวิจัยในช่วงทศวรรษที่
ผา่ นมา ระบุถึงแนวโน้มที่สาคัญและพื้นที่ในการวิจัย การท่องเทีย่ ว เชงิ วัฒนธรรมเพิ่งได้รับการยืนยันอีกครั้ง
โดย UNWTO ว่าเป็นองค์ประกอบสาคัญ ของการบริโภคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นกว่า 39%
ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน การวิจัยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในด้านการบริโภคทางวัฒนธรรม แรงจูงใจทางวัฒนธรรม การอนุรักษ์มรดก เศรษฐศาสตร์ การท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรม มานุษยวิทยา และความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แนวโน้มการวิจัยที่สาคัญ ได้แก่
การเปลี่ยนจากมรดกที่จับต้องได้เป็นมรดกที่จับต้องไม่ได้ ความสนใจที่มากขึ้นสาหรับชนพื้นเมืองและ
ชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ และการขยายตัว ทางภูมิศาสตร์ในการวิจัยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม งานวิจัยนี้ยัง
สะท้อนถึง 'การผลัดกัน' ในด้านสังคมศาสตร์ รวมถึงการพลิกกลับของการเคลื่อนไหว การพลิกกลับด้าน
การแสดง และการพลิกผันที่สร้างสรรค์ บทความนี้สรุปด้วยข้อเสนอแนะหลายประการ สาหรับทิศทาง
การวิจยั ในอนาคต เชน่ การพัฒนาวัฒนธรรมข้ามยคุ สมยั ใหม่ และผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่

Mukhles M. Al-Ababneh (2020) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พบว่า
เป็นรูปแบบใหม่ของความสมั พันธ์ระหว่างวัฒนธรรม มรดก และการท่องเทีย่ ว ผลการวิจับพบว่า ในปัจจบุ ัน
จากการศึกษาสารวจการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เชิงวัฒนธรรมเป็นรูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่าง
มรดกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว มรดกทางวัฒนธรรม ที่มีองค์ประกอบที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้
แสดงถึงส่วนสาคัญของวัฒนธรรม การท่องเที่ยวที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในการท่องเที่ยว เน่ืองจาก
รปู แบบการบริโภครูปแบบใหม่ การท่องเที่ยว กิจกรรม และผลติ ภณั ฑ์การท่องเที่ยว การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
จาเป็นต้องเปลี่ยนจากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้ังเดิมไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งการท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรมเป็นแนวคิดใหม่ของมรดกวฒั นธรรม เพราะนักท่องเทีย่ ว ประสบปัญหามากมายในวัฒนธรรม
ดั้งเดิม ทาให้การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยว เชิงมวลชน ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์จึงเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ นอกจากนี้การศึกษานี้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงจาก
การท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรมดั้งเดิมไปสู่การท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์

S. Doganer. (2556) ได้ศกึ ษาเรื่อง การวิจัยการท่องเทีย่ วมรดกวฒั นธรรม: โครงการออกแบบชุมชน
อย่างยั่งยืนสาหรับเขตประวัติศาสตร์ San Antonio Mission โดยบทความนี้ได้กล่าวถึงวิธีการให้ประสิทธิภาพ
สูงสุดในด้านของเศรษฐกิจ มิติทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืน

108

แนวทางการพัฒนาเพื่อรองรบั การท่องเที่ยวเชิงมรดกของซานอนั โตนิโอ ภารกิจ และการพฒั นาในเซาท์ซาน
อันโตนิโอ ภารกิจของซานอันโตนิโออยู่ในรายการเบือ้ งต้นของสหรัฐอเมริกาที่จะก้าวขึน้ เปน็ แหล่งมรดกโลก
ของ UNESCO ที่เป็นไปได้ พื้นที่ที่กาหนดเป็นภารกิจย่านประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ริมฝ่ังแม่น้าซานอันโตนิโอ
ทางตอนใต้ของเมืองเดิม สามารถรวมได้ทั้งชาวอินเดีย ก่อนประวัติศาสตร์และ ประวัติศาสตร์สเปนและแอง
โกล เนื่องจากความชุกของทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ซ้ากัน ประวัติศาสตร์ของแม่น้าซานอันโตนิโอเป็น
ศนู ย์กลางของเมอื งมาช้านาน ในแต่ละปี River Walk ที่มชี ื่อเสียงระดับโลกดึงดดู นักท่องเทีย่ วได้หลายล้านคน
แต่ยังห่างไกลจากแม่น้าในเมือง งานวิจัยนี้ตรวจสอบและวิเคราะห์ศักยภาพของซานอันโตนิโอ Mission
Historic District สู่การท่องเที่ยวมรดกวัฒนธรรมโดยชุมชน ความเชื่อมโยงของภารกิจ สู่แม่น้าจะมีลักษณะ
ทางประวัตศิ าสตร์และศิลปะ การตคี วามเร่ืองราวของภารกิจ และเน้นทางสังคม และวฒั นธรรมของพวกเขา
มีความสาคัญต่อพื้นที่ ซึ่งจะตอกย้าความสาคัญของแม่น้าที่มีต่อภารกิจ และสนับสนุนให้ผู้เข้าชมหมุนเวียน
ระหว่าง Mission Reach และแม่น้า การเร่งการท่องเที่ยวในเขตประวัติศาสตร์มิชชั่น จะมีความสาคัญมาก
เพราะมีผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจและสังคมผา่ นแรงงาน รายได้ และโครงสรา้ งพัฒนาการพืน้ ฐาน งานวิจัย
นี้ เป็นมรดกของการพัฒนาในเชิงบวก ภายใน Mission Historic District โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือ San Antonio
เคลื่อนไปทางการกาหนดมรดกโลก บทความนี้จะส่งเสริมวัฒนธรรม และความย่ังยืนด้านสิ่งแวดล้อมใน
ระดับท้องถิ่นหรือระดับพื้นที่ใกล้เคียงในขณะที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมของ
ภูมภิ าค

Joyeeta Chatterjee และ Nigel Raylyn Dsilva (2021) ได้วิจัยเร่ือง การศึกษาบทบาท ของโซเชียล
มีเดีย ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืนในรัฐอัสสัมและโอริสสา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อกาหนด
บทบาทของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืนในรัฐอัสสัมและโอริสสา
การศึกษาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ของจุดหมาย
ปลายทางดังกล่าวซึ่งจาเป็นต้องได้รับการส่งเสริมบนโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ ยังแนะนากลยุทธ์ในการ
ส่งเสริมการท่องเทีย่ วอย่างยั่งยืนในท้ังสองรัฐ วิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทาให้เกิด
การเปลี่ยนแปลง กระบวนทศั นใ์ นแนวโน้มการบริโภคท่ัวโลก การท่องเที่ยวเปน็ อตุ สาหกรรม ทีส่ รา้ งรายได้ที่
สาคญั ซึ่งส่งเสริมและส่งเสริมความยั่งยืนในหมู่ประชากรในท้องถิน่ ดังนนั้ จงึ ตอ้ งมแี พลตฟอร์มสอ่ื เชิงกลยุทธ์
สาหรับการส่งเสริมการขายที่เข้าถึงได้ง่าย สรุปได้จากการศึกษาว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
บนแพลตฟอร์มโซเชยี ลมีเดีย จะช่วยเพิม่ ทัศนวิสัยและการเข้าถึงแก่ผู้เยี่ยมชมของปลายทาง

Mohammad Nayef Alsarayreh, Omar A A Jawabreh, Khalid Alkharabsheh แ ล ะ Mohammed
Eldahamsheh (2011) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางอินเทอร์เน็ต (เว็บไซต์): (จอร์แดนเป็น
กรณีศึกษา) โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานะการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในประเทศจอร์แดน
โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต โดยมีแผนที่จะพัฒนาการส่งเสริมประเภทนี้ ในอนาคตตามความต้องการของ
ประเทศ เพื่อทราบและเข้าใจการส่งเสริมการท่องเที่ยวประเภทนี้ และเพื่อทราบวิธีพัฒนาในราชอาณาจักร

109

ฮัชไมต์แห่งจอร์แดนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลสูงสุดเกี่ยวกับราชอาณาจักร งานวิจัยนี้จัดทาขึ้นเพื่อกาหนดเง่ือนไข
ของเว็บไซต์ทีใ่ ชใ้ นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจอร์แดน เพือ่ ค้นหาอุปสรรคทีเ่ ผชิญกับการส่งเสริมการขาย
ประเภทนี้ผ่านทางเว็บไซต์ และปัจจัยที่ส่งผล ต่อการพัฒนา ข้อค้นพบและคาแนะนาโดยนัยในรายงานวิจัย
ฉบับนีจ้ ะ จะนาเสนอต่อผู้มีอานาจตัดสินใจ ในภาคการท่องเที่ยวจอร์แดนเพื่อนามาพิจารณา เอกสารวิจยั ได้
ใช้แบบฟอร์มการสารวจ อย่างระมัดระวังซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อทราบแนวโน้ม
และความคิดเหน็ ของตัวอย่างเอกสารวิจัย ผลการวิจยั พบว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวผา่ นอินเทอร์เน็ต ช่วย
เพิ่มการแข่งขันด้านราคาการท่องเที่ยว ขณะที่การออกแบบเว็บไซต์ช่วยเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับข้อเสนอ
ด้านการท่องเที่ยว และพิจารณาว่าการออกแบบเว็บไซต์ เป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลของข้อเสนอ
ด้านการท่องเที่ยวมีความถูกต้อง รายงานวิจัยได้แนะนา ให้ดาเนินการพัฒนาบทบาทของการส่งเสริม
การท่องเที่ยว ผ่านทางอินเทอร์เน็ตต่อไป ในการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้
บรรลผุ ลประโยชน์สงู สุด

Keith Kay Hin Tan & Camelia Kusumo (2020) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การออกแบบ เพื่อความสมจริง:
การเพิ่มขึ้นของสถาปัตยกรรมโบสถ์แบบ 'Bathic' และผลกระทบต่อเอกลักษณ์ และการท่องเที่ยวของชาว
บาหลี พบว่า ในขณะทีส่ ถาปตั ยกรรม ของโบสถ์ทั่วเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่ถูกจาแนกตามประเภท
ของอาณานิคมหรือนีโอโคโลเนียล การออกแบบโบสถ์คาทอลิก ในบาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ทศวรรษ
1970 ได้รับการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ผลิตผลงานของสถาปนิกชาวอินโดนีเซีย โบสถ์เหล่านี้
ผสมผสานการใช้เทคนิคแบบดั้งเดิม และสมัยใหม่เข้ากับแรงงานของช่างฝีมือที่ทางานในวัดฮินดูมาหลาย
ช่ัวอายุคน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มองว่าเป็นชาวบาหลีแท้ ๆ การใช้เกณฑ์มาตรฐานของการวิเคราะห์
ซึ่งรวมระบบ ความเชื่อด้ังเดิมของชาวบาหลี เข้ากับการวัดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เกี่ยวกับ ความ
ถูกต้องทางสถาปัตยกรรม การศึกษาเชิงคุณภาพนี้อธิบายการเพิ่มขึ้นของสถาปัตยกรรม 'Bathic' ว่าเป็น
ภาษาสถาปัตยกรรมแบบบาหลีแท้ใหม่ซึ่งมีมากกว่าการออกแบบวัด ไม่มีที่ไหนเลยนอก ชายฝั่งของบาหลี
มันแสดงให้เห็นว่าความหายาก เป็นผลพลอยได้ของความทันสมัย ที่บางครั้งสามารถแสดง 'ความถูกต้อง'
ในการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกับ ของเก่าได้อย่างไร ข้อเสนอนี้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวก
ในระยะยาวต่ออุตสาหกรรม การท่องเที่ยวเชิงมรดกของบาหลี เม่ือพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง
ทางประชากรศาสตร์ และแนวโน้มระยะยาวต่อกลุ่มพหุนิยมทางศาสนา ได้อธิบายว่าในกรณีของโบสถ์
'Bathic' ของเกาะ อิทธิพลจากภายนอกสามารถสร้างอาคารใหม่แบบบาหลีแท้ ๆ ซึง่ เนื่องมาจากพลังงานที่มี
ศกั ยภาพ ในการท่องเทีย่ วของพวกมนั ได้อย่างไร

Atsuko Hashimoto (2020) ได้ศึกษาวิจัยเรือ่ ง ชีวติ ที่อยู่เหนอื การเติบโตประชากรในชนบท กลายเป็น
แหล่งท่องเที่ยวในนาโกโระ หมู่บ้านหุ่นไล่กาของญี่ปุ่น การวิจัยพบว่า หมู่บ้านในชนบท ในญี่ปุ่นกาลังเสื่อม
ภาพและจานวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว บนเกาะชิโกกุ ในหุบเขาอิยะ ที่อยู่ห่างไกลจากภูเขา
เป็นหมู่บ้านนาโกโระ ผู้อยู่อาศัยที่จากไปหรือเสียชีวิตจะถูกแทนที่ด้วย 'kakashi' หรือหุ่นไล่กาในรูปแบบของ

110

ตุ๊กตาที่เหมือนจริง ในปัจจุบันหุ่นไล่กา มีจานวนมากกว่าชาวบ้าน และปรากฏอยู่ท่ัวชุมชน เช่น รอที่ป้าย
รถเมล์ ทางานในทุ่งนา และเรียนทีโ่ รงเรียนปิด ความพยายามที่จะอนุรักษ์วิถีชีวิตและเอกลกั ษณ์ของหมู่บ้าน
ผา่ นหนุ่ ไล่กาเริ่มดงึ ดูดความสนใจของส่อื และนักท่องเทีย่ ว บทความน้ีจะตรวจสอบสถานที่ท่องเที่ยวในชนบท
ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ในบริบทของการลดจานวนประชากรในชนบทของญี่ปุ่นและการต่อพ่วง Nagoro เป็นตัวแทน
ของหมู่บ้านญี่ปุ่น หลายแห่งที่วิถีชีวิตในชนบทหายไป ได้นาเอารูปแบบการต่อต้านอย่างเงียบ ๆ มาใช้กับ
จุดสิ้นสุดของยุคที่มองในบริบท ของพิพิธภัณฑ์และภูมิทัศน์ที่ถูกทอดทิ้ง ชุมชนในชนบทกาลังเปลี่ยนการ
ค้นหาตนเอง ระหว่างนโยบายการฟืน้ ฟูของรัฐบาลและการเรียนรู้ทีจ่ ะอยู่เหนอื การเติบโต

Anya Chapman (2020) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง สถานที่ท่องเที่ยวเชิงมรดก ความกดดันจากการแข่งขัน
และการปรับตัว: กรณีของท่าเรือชายทะเลของอังกฤษ พบว่า สถานที่ท่องเที่ยวเชิงมรดก ของผู้เยี่ยมชมได้มี
การดาเนินการในสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลีย่ นแปลง
ไป ซึง่ พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ บทความน้ีมงุ่ เน้นไปที่กลยทุ ธ์การปรับตัวทีน่ ามาใช้ โดยทรัพยากรมรดก
ประเภทหนึง่ : ท่าเรือรมิ ทะเลในสหราชอาณาจักร ในฐานะทีเ่ ปน็ ส่วนหนึง่ ของมรดก ของการท่องเที่ยวมวลชน
ท่าเรือถูกสร้างขึ้นในบริบทเฉพาะ และเน่ืองจากบริบทน้ันเปลี่ยนไป พวกเขาจึงต้องปรับตัวเพื่อให้ยังคงเป็น
สถานที่ท่องเที่ยวได้ การสารวจท่าเรือทั้งหมด ในสหราชอาณาจักรและการสัมภาษณ์เชิงลึกร่วมกับเจ้าของ
ท่าเรือที่ได้รับการคัดเลือก ถูกนามาใช้เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์ในการปรับตัว มีการระบุประเภทท่าเรือสาม
ประเภท โดดเด่นด้วยกลยุทธ์และประสบการณ์ในการปรับตัวที่แตกต่างกันซึ่งนาเสนอแก่ผู้เยี่ยมชม Family
Entertainment Pier ได้นากลยทุ ธ์การรวมกลุ่มมาใช้ โดยนาเสนอผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิม ที่มคี วามหลากหลาย
เพือ่ ให้เหมาะกับรสนิยมของผบู้ ริโภคร่วมสมัย ท่าเรือ Innovator แหง่ ศตวรรษที่ 21 ได้ดาเนินตามกลยุทธ์การ
สร้างความแตกต่าง โดยมุ่งเน้นที่ความบันเทิงร่วมสมัยและการจัดเลี้ยง ท่าเรือเฮอริเทจมีความแตกต่างโดย
นาเสนอประสบการณ์วนั หยุดริมทะเลแบบด้ังเดิม กลยุทธ์เหล่านีช้ ่วยใหท้ ่าเรอื แตล่ ะแห่งยังคงแข่งขันในฐานะ
สถานที่ท่องเที่ยวได้ แต่บางแห่งมีรูปแบบธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า และอยู่ในสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น
เพือ่ รบั มือกับความท้าทายทีก่ าลงั จะเกิดข้ึนและในอนาคต

Zahra Shiran, Neda Torabi Farsani และ Mohammad Ali Rajaie Rizi (2019) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง
อิสฟาฮานเป็นจุดหมายปลายทางสาหรับส่งเสริมการท่องเที่ยวย้อนอดีต โดยเน้นที่ความทรงจาของ
สงครามโลกครั้งที่ 2 พบว่า สงครามโลกคร้ังทีส่ องกินเวลาตั้งแต่ปี 1939 ถึง 1945 และส่งผลกระทบต่อโลก
ส่วนใหญ่ สร้างความทรงจาให้กับสถานที่และผู้คนทุกที่ งานวิจัยนี้ เน้นที่เมืองอิสฟาฮาน ประเทศอิหร่าน
เป็นกรณีศึกษาที่ประกอบด้วยความทรงจาของสงครามโลกคร้ังที่ 2 โดยเน้นที่เด็กชาวโปแลนด์ งานวิจัยนี้มี
จุดประสงค์หลักสามประการ: (1) เพื่อตรวจสอบ สถานที่ท่องเที่ยว ของประวัติศาสตร์ความคิดถึงโดยเน้นที่
รอยเท้าของเด็กชาวโปแลนด์; (2) เพื่อพิจารณากิจกรรมและกลยุทธ์ที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวใน
ความคิดถึงในเมืองอิสฟาฮาน และ (3) เพื่อวัดแนวโน้มของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตามผู้ลี้ภัย
ชาวโปแลนด์ในพื้นที่ศกึ ษา ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าอิสฟาฮานมีอนุสรณ์สถานและเส้นทางเดินซึ่งรวมถึงความ

111

ทรงจาของเด็กชาวโปแลนด์ และถือได้ว่าเป็นสถานทีท่ ่องเทีย่ วสาหรับการท่องเทีย่ วเฉพาะกลุ่มนี้ นอกจากนี้
ผลลัพธ์ยังแนะนาให้จัดทัวร์เฉพาะเร่ืองเกี่ยวกับโปแลนด์และอิสฟาฮาน และฝึกอบรมผู้นาทัวร์ในเร่ืองนี้
การรวมการท่องเที่ยวแบบย้อนอดีตเข้ากับการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มอื่นๆ การจัดกิจกรรม และการประชุม
ทางวิทยาศาสตร์ การส่งเสริมการตลาดและการโฆษณา เกี่ยวกับ การท่องเที่ยวแบบย้อนอดีต และการ
กาหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แบบย้อนอดีตในอิสฟาฮาน เป็นกลยุทธ์และกิจกรรมที่สามารถ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวประเภทนี้ ในอิสฟาฮาน นอกจากนี้ ผลลพั ธ์ของเรายังแสดงให้เห็นว่านักท่องเทีย่ วสนใจ
สถานทีท่ ่องเที่ยว ทีอ่ งิ จากผู้ล้ีภัยชาวโปแลนด์
กรอบแนวคิดการวิจัย

เชิงคณุ ภาพ ศักยภาพดา้ นการตลาดแบบบรู ณาการ
ข้อมลู ทวั่ ไปด้านประชากรศาสตร์ 1. ด้านการโฆษณาและประชาสัมพนั ธ์
1. ภาครฐั 2. ด้านการขาย
2. ภาคเอกชน 3. ด้านการตลาดทางตรง
3. ภาคชุมชน 4. ด้านการตลาดโดยการจัดกิจกรรมพิเศษ
4. ภาควชิ าการ
1. การเข้าถงึ องค์ประกอบการท่องเทยี่ ว (10A’s)
เชิงปริมาณ 6. มีบรกิ ารเสรมิ
ข้อมลู ทัว่ ไปด้านประชากรศาสตร์ 2. สิ่งดึงดดดู ใจ 7. มีบรรยากาศของแหลง่ ท่องเทีย่ วทดี่ ี
1. เพศ 3. มีที่พกั เพียงพอ 8. มีบรษิ ัททัวรเ์ ข้าไปดาเนินการธุรกจิ ในพืน้ ที่
2. อายุ 4. มีสิ่งอานวยความสะดวกพนื้ ฐาน 9. ความรอบรู้ของเจ้าหน้าที่
3. ระดบั การศึกษา 5. มีกิจกรรมการท่องเที่ยว 10. ความเป็นมิตรของคนในท้องถนิ่
4. อาชีพ
5. รายได้ พฤติกรรมและความตอ้ งการของนกั ท่องเทย่ี ว

1. จานวนครั้งทีม่ าท่องเทีย่ ว 6. สิง่ ดงึ ดูดใจในการมาท่องเที่ยว

2. ลักษณะการเดินทางท่องเทีย่ ว 7. รูปแบบการท่องเทีย่ วทีส่ นใจ

3. ช่วงเวลาที่มาท่องเทีย่ ว 8. กิจกรรมการท่องเที่ยวทีส่ นใจ

4. พาหนะที่ใช้ในการเดินทาง 9. แหล่งท่องเที่ยวที่สนใจ

5. ค่าใช้จา่ ยในการมาท่องเที่ยว

1. Product สว่ นประสมทางการตลาดบริการ (10P’s)
6. Physical Evidence
2. Price 7. Process
3. Place 8. Providing Quality Services
4. Promotion 9. Personnel Strategy
5. People 10. Perception Strategy

การรับรู้การทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบรุ ี
1. ด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
2. ด้านวัฒนธรรมและวถิ ีชวี ิต
3. ด้านจิตวิทยา
4. ด้านแหล่งท่องเที่ยว

SWOT Analysis และ TOWS Matrix
ยุทธศาสตร์สง่ เสริมการทอ่ งเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมของจงั หวดั เพชรบุรีตามรอยกวนี ิพนธน์ ิราศเมอื งเพชรของกวเี อกสุนทรภู่

บทท่ี 3
วิธีดำเนินกำรวิจัย

การศึกษาวิจัยเร่ือง ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรีตาม
รอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่ ครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods
Research) โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) มาใช้ร่วมกัน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร บทความวิชาการ และงานวิจัย
ต่าง ๆ โดยเลือกปจั จัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้องมาดาเนินการวิจัย ท้ังนี้เพื่อให้ครอบคลมุ ในประเด็นต่าง ๆ
อย่างครบถ้วนและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ผู้วิจัยได้กาหนดแนวทาง วิธีดาเนินการตามข้ันตอน
กระบวนการ และวิธีวิเคราะหว์ ิจัย ดงั น้ี

1. การกาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
3. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะหข์ ้อมูล

กำรวจิ ัยเชิงคุณภำพ

ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informant) สาหรับการวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการ
สัมภาษณ์เชิงลึก (In-dept Interview) โดยได้กาหนดผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
และส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งคัดเลือกผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้แทนที่
ได้รับมอบหมายแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเป็นกลุ่มเป้าหมายตัวอย่าง อันประกอบด้วยผู้ให้ข้อมูลหลัก
จานวน 30 คน สามารถจาแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ดงั นี้

กล่มุ ผูใ้ ห้ขอ้ มลู หลักในกำรสัมภำษณ์จำกภำครัฐ ที่มคี วามเกี่ยวข้องกับการกาหนดนโยบาย
การวางแผน การบริหารจัดการ การกากับดูแล รับผิดชอบการส่งเสริม และการสนับสนุนด้านการ
ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ภาครฐั จานวน 5 ท่าน ได้แก่

1. นายยุทธศกั ดิ์ สภุ สร ผวู้ ่าการท่องเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย
2. นายภคั พงศ์ ทวิพัฒน์ ผวู้ ่าราชการจงั หวัดเพชรบุรี
3. นางชมพู มฤศโชติ ผอู้ านวยการการท่องเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย
สานักงานจังหวดั เพชรบุรี

113

4. นางสาวจามจุรี อนุรตั น์ ประชาสมั พันธ์จังหวัดเพชรบุรี
5. นางกรรณิกา เอี้ยวสกุลรัตน์ วฒั นธรรมจงั หวดั เพชรบุรี

กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักในกำรสัมภำษณ์จำกภำคเอกชน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ
ภาคอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ วและการบริการของจังหวดั เพชรบรุ ี ทีม่ บี ทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การลงทุน การค้า การบริการ การสนับสนุน และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ การจัดกิจกรรมการ
ท่องเที่ยว และอื่นๆ ที่มีความสาคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี จานวน 8 ท่าน
ได้แก่

1. นายสุวรรณ พวงมาลัย ผอู้ านวยการศาลาคามวาสี

2. นายณฏั ฐ์ สมบูรณ์กันตวฒั น์ มัคคุเทศก์ท้องถิน่ และ เจ้าของบริษัท
กันตวัฒน์ กรุ๊ฟทวั ร์ แอนดแ์ ทรเวล จากัด

3. นายปรีดา บุญประเสริฐ เจ้าของรา้ นแมก่ ิมไล้

4. นายปภังกร จรรยงค์ เจ้าของสบายดีรสี อร์ท

5. นายกิตตพิ งษ์ พึง่ แตง เจ้าของพิพธิ ภัณฑ์สมบัติแม่น้าเพชร

6. นายเอนก อยู่สนาน เจ้าของศนู ย์เรียนรู้บ้านเพื่อนศลิ ป์ ดินไอเดีย

7. นายพนั ธ์ธชั หริ ัญจิรวงศ์ ประธานหอการค้าจงั หวดั เพชรบุรี

8. นางสาวพรกนก อยู่ทองคา เจ้าของรา้ นโคโค่การ์เด้น ตาบลบางครก

อาเภอบ้านแหลม

กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักในกำรสัมภำษณ์จำกภำคชุมชน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ

การท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี เป็นผู้นาชุมชนหรือตัวแทนชุมชนท้องถิ่นที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริม

ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้านต่อการบริการและการพัฒนาส่งเสริม และอนุรักษ์ทรัพยากรการ

ท่องเที่ยว มรดก ภูมิปัญญา และสิ่งล้าค่าที่มีในชุมชนท้องถิ่นที่มีความสาคัญต่อการส่งเสริมการ

ท่องเทีย่ วจงั หวัดเพชรบุรี อันประกอบด้วย

ประชาชนในพื้นที่อาเภอบ้านแหลม จานวน 2คน ได้แก่

1. นายสมพงษ์ หนูศาตร์ ผใู้ หญ่บ้าน และ ประธานวิสาหกิจชุมชน
2.นางสาวสักขี กลิน่ กระสงั ข์ กลุ่มอาชีพเกลือทะเลกังหันทอง
สานกั งานคณะกรรมการบริหารส่วนตาบล
บางครก อาเภอบ้านแหลม

114

ประชาชนในพื้นทีอ่ าเภอเมือง จานวน 6 คน ได้แก่

1. พระครปู ลดั สวุ ัฒนพรหมวฒุ คิ ุณ (ถวิล ฉนฺทกโร) เจา้ อาวาสวดั พลบั พลาชัย

2. นายกิตตพิ งษ์ เทพพานชิ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเพชรบุรี

3. นายชยั ยะ อังกินันทน์ นายกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั เพชรบรุ ี

4. นายอภิรตั น์ สิบสกลุ ศลิ ปินอสิ ระเมืองเพชร

ด้านจติ รกรรมและประติมากรรม

5. นายปฏิภาณ ธีระวรชาติ นักอนุรกั ษ์ศิลปวฒั นธรรมท้องถิ่น

6. นายสเุ มธี อินทรเนตร นักเทคโนโลยีสารสนเทศอสิ ระ

เพื่อการเผยแพรศ่ ลิ ปวัฒนธรรมท้องถิน่

กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักในกำรสัมภำษณ์จำกภำคนักวิชำกำร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง
กับการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี เป็นนักวิชาการที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
การบริการ การพัฒนา และการอนุรักษ์ทรัพยากรการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี จานวน 9 คน
ได้แก่

1. ศาสตราจารย์ภชิ าน ลอ้ ม เพง็ แก้ว ปราชญ์เมืองเพชร
นกั วิชาการอสิ ระ
2. นายทวีโรจน์ กลา่ กล่อมจิตต์ อาจารย์ด้านการท่องเทีย่ ว
อาจารย์ด้านการตลาด
3. อาจารย์พัดยศ เพชรวงษ์ อาจารย์ด้านวฒั นธรรม
อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์
4. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์อารยา บูรณกลุ อาจารย์ด้านภาษาไทย
NGO ด้านวฒั นธรรม
5. รองศาสตราจารย์ ดร.อรรณพ วุฒิ NGO ด้านวัฒนธรรม

6. ดร.เอือ้ มพร โตภาณรุ ักษ์สกุล

7. อาจารย์แสนประเสรฐิ ปานเนียม

8. อาจารย์ฐานสิ ฐ์ พรรณารายน์

9. อาจารย์สณั ฐาน ถิรมนัส

เครือ่ งมือที่ใช้ในกำรวจิ ัยเชิงคณุ ภำพ โดยกำรสัมภำษณเ์ ชิงลึก

การวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกคร้ังนี้ ใช้เคร่ืองมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบ
กึ่งโครงสร้าง (Semi-Structyre Interview) โดยได้มีการวางแผนการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็น
ขั้นตอน ซึ่งประเด็นคาถามสาหรับการสัมภาษณ์ได้มีการกาหนดโครงสร้างแบบหลวม ๆ นอกจากนี้
พิจารณาและสร้างคาถามให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในการสัมภาษณ์แต่ละครั้ง ขณะเดียวกัน
ผู้วิจัยก็พยายามปรับให้คาถามน้ัน เปิดรับแนวทางที่จะได้ข้อมูลที่สอดคล้อง และตอบสนองต่อ

115

วัตถุประสงค์ของการวิจัยด้วย ซึ่งเน้ือหาการสัมภาษณ์จะต้องเกี่ยวข้องกับ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรี ตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่”
โดยใช้องค์ประกอบการท่องเที่ยว (10A’s) ประกอบด้วย 1) Accessibility 2) Attraction 3) Activities
4) Accommodations 5) Amenities 6) Awareness 7) Ancillary services 8) Appearance 9) Assurance
10) Appreciation และส่วนประสมการตลาด (10P’s) ประกอบด้วย 1) Product 2) Price 3) Place
4) Promotions 5) People 6) Process 7) Physical Evidence 8) Providing Quality Service 9) Personnel
Strategy 10) Perception Strategy และในการพัฒนาและการส่งเสริมการท่องเที่ยว

คณุ ภำพเครอ่ื งมือ

เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลกึ (In-depth Interview) แบบกึ่ง
มีโครงสร้าง (Semi-structure) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน
ได้รับคาแนะนาจากคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ซึ่งมีวิธีการหาคุณภาพของเคร่ืองมือโดยการ
ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content validity) และสามารถตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้
อย่างครบถ้วน จากน้ันนาไปตรวจสอบความสอดคล้องเชิงเน้ือหาโดยคณะกรรมการที่ ปรึกษา
วิทยานิพนธ์ และผทู้ รงคุณวฒุ ิดา้ นการท่องเที่ยว

กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเชิงคณุ ภำพ

การวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้แหล่งข้อมูล 2 ประเภท คือ แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และแหล่งข้อมูล
ทตุ ิยภูมิ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการสังเกตุทั่วไป และการสัมภาษณ์เชิงลึก
(In-depth interview) แบบกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-structure) และประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) โดย
ผวู้ ิจัยมลี าดบั การดาเนินงาน 3 ขน้ั ตอน ได้แก่

1.1 การติดต่อประสานงานและนัดหมายล่วงหน้ากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่เป็น
กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key informant) เน่ืองด้วยช่วงเวลาในการสัมภาษณ์จะเป็น
ช่วงเวลาที่ทางรัฐบาลประกาศให้ทางานที่บ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า
(โควิด 19) ดังน้ัน ผู้ให้สัมภาษณ์บางท่าน มีความสะดวกใหผ้ ู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์เป็น
ส่วนตัวและบางท่านอนุญาตให้ทาการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยผู้วิจัยได้ใช้คาถามชุด
เดียวกนั กับผใู้ ห้สัมภาษณ์ทุกท่าน
1.2 การขอเอกสารทางราชการจากฝ่ายวิชาการและงานวิจัย วิทยาลัยการจัดการ
มหาวิทยาลัยพะเยา เร่ือง “ขอความอนุเคราะห์สัมภาษณ์ข้อมูลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์

116

ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรีตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชร
ของกวีเอกสุนทรภู่” และจัดส่งไปให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์บางท่านให้นา
เอกสารไปให้ในวันสมั ภาษณ์ได้
1.3 การลงพื้นที่การวิจัยตามวัน เวลา และสถานที่ที่นัดหมายโดยผู้วิจัยได้เดินทางไปยัง
สถานที่ที่ผู้ให้สัมภาษณ์สะดวกซึ่งจะเป็นสถานที่ทางานของผู้ให้สัมภาษณ์ และแหล่ง
ท่องเที่ยวของผู้ประกอบการ เพื่อดาเนินการสัมภาษณ์ในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้วิจัยได้มี
นักศึกษา จานวน 2 คน เป็นผู้ช่วยในการจดบันทึกข้อมูล และบันทึกเสียงตลอดการ
สมั ภาษณ์

2. แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) เป็นการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากแนวคิด ทฤษฎี
เอกสารบทความวิชาการ และงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง เพื่อใชก้ าหนดแนวทางการวิจยั อกี ทั้งเปน็ ประโยชน์
ต่อการทาความเข้าใจ และสามารถนาไปสู่แนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลตอ่ ไป

กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูลวิจยั เชิงคณุ ภำพ

ผู้วิจัยนาข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) แบบกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-
structure) และประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) มาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้เทคนิคการ
วิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยายโดยการระบุคุณ
ลกั ษณะเฉพาะของขอ้ ความอย่างมรี ะบบ

กำรตรวจพิสูจน์ควำมถกู ตอ้ งและควำมเท่ยี งตรงของข้อมูล

ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) (Denzin, 1970) โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ได้แก่

1. การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) จะเน้นการตรวจสอบข้อมูลที่
ได้มาจากแหล่งต่าง ๆ นั้น ว่ามีความหมายเหมือนกันหรือไม่ ซึ่งถ้าทุกแหล่งข้อมูลพบว่า ได้ข้อค้นพบ
มาเหมอื นกนั แสดงว่าข้อมูลที่ผวู้ ิจยั ได้มา มคี วามถกู ต้อง

2. การตรวจสอบสามเส้าด้านผวู้ ิจัย (Investigator Triangulation) จะเน้นการตรวจสอบจาก
ผู้วิจัย หรือผู้เก็บข้อมูลต่างคนกัน ว่าได้ค้นพบที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งถ้าผู้วิจัยหรือ
ผู้เก็บข้อมูลทุกคนพบว่า ข้อค้นพบที่ได้มามีความเหมือนกัน แสดงว่าข้อมูลที่ผู้วิจัยได้มา มีความถูก
ต้อง

117

3. การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี (Theory Triangulation) จะเน้นการตรวจสอบว่า ถ้ามี
การใชท้ ฤษฎีทีห่ ลากหลายแล้ว ขอ้ มูลที่ได้มาเป็นไปในทิศทางเดียวกนั หรือไม่ ถ้าผวู้ ิจยั พบว่า ไม่ว่าจะ
นาทฤษฎีใดมาใช้ ได้ข้อคน้ พบเหมอื นกนั แสดงว่าข้อมูลทีผ่ ู้วจิ ัยได้มา มคี วามถกู ต้อง

ผู้วิจัยได้นาข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน
นกั วิชาการ และ NGO ในพืน้ ทีม่ าทาการวิเคราะห์ (SWOT Analysis) เพือ่ ทาการกาหนดกลยุทธ์ TOWS
Matrix และร่วมกนั กาหนดยทุ ธศาสตร์สง่ เสริมการท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบรุ ี ตามรอย
กวีนพิ นธ์นริ าศเมอื งเพชรของกวีเอกสนุ ทรภู่

กำรวจิ ยั เชิงปริมำณ (Quantitative Research)

ผู้วิจัยทาการจัดเก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อให้
สอดคล้องกับกรอบความคิดและวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยแบบสอบถามจะใช้ถามนักท่องเที่ยว
ชาวไทยที่เดินทางมาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี เพื่อให้ได้ข้อมูลอันจะนาไปสู่ยุทธศาสตร์
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรีตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอก
สนุ ทรภตู่ ่อไป

ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง

ประชำกร สาหรับการวิจัยในครั้งนี้ ผวู้ ิจยั ได้กาหนดกลุ่มประชากรไว้ คือ นกั ท่องเทีย่ วชาวไทย
ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี จานวน 1,800,572 คน ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่เดือน
มกราคม 2565 ถึงเดือนกรกฎาคม 2565 (สานกั งานการท่องเทีย่ วและกีฬาจังหวัด, 2564)

กลุ่มตัวอย่ำง ในการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการทาวิจัย ผู้วิจัยทาการคานวณหา
กลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม (Sample size) จากการคานวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของคอแครน
(Cochran) 1997 อ้างถึงใน ภูรติ รชตะภวู นิ ทร์, 2560) มีสูตรในการคานวณดงั นี้

n = Z2
4e2

n = 1.962

4 (0.05)2

n = 384.16

(ผวู้ ิจัยสุ่มกลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน)

118

โดย n = ขนาดของกลุ่มตัวอย่างทีต่ ้องการ
e = ระดับความคลาดเคลือ่ นของการสุ่มตัวอย่างที่ยอมให้เกิดขึ้นได้
Z = ค่า Z ที่ระดับความเช่ือม่ันหรอื ระดับนัยสาคญั โดยระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95

หรอื ระดับนัยสาคญั 0.05 มีคา่ เท่ากบั 1.96

ในการกาหนดจานวนกลุ่มตัวอย่าง ต้องการประมาณค่าสัดส่วนของกลุ่มประชากรที่ระดับ
ความเชื่อม่ันร้อยละ 95 ความคลาดเคลื่อนเท่ากับร้อยละ 5 ซึ่งจะได้จานวนกลุ่มตัวอย่างท้ังหมด 384
คน และเพือ่ ป้องกนั การคลาดเคลื่อนของขอ้ มูล จงึ เพิ่มจานวนประชากรอีกร้อยละ 4 จงึ ได้กลุ่มตัวอย่าง
จานวน 400 คน ดังน้ี

วิธีกำรสุม่ ตัวอยำ่ งและกำรเก็บรวบรวมข้อมูล
จากกลุ่มตัวอย่างที่จะต้องทการสุ่มให้ตอบแบบสอบถาม ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกแบบจาเพาะ

เจาะจง (Purposive or select sampling) ในการตอบแบบสอบถาม คือ นักท่องเทีย่ วชาวไทยที่เดินทางมา
ท่องเทีย่ วจงั หวดั เพชรบุรี จานวน 400 คน จานวน 10 แหง่ ๆ ละ 40 ชดุ ได้แก่

1. อาเภอบ้านแหลม จานวน 3 แห่ง คือ 1) องค์การบริหารส่วนตาบลบ้านกุ่ม อาเภอ
บ้านแหลม 2) องค์การบริหารส่วนตาบลบางครก วัดเขาตะเครา 3) ชุมชนวัดปากคลอง ตาบลบางครก
อาเภอบ้านแหลม

2. อาเภอเมือง จานวน 7 แห่ง คือ 1) ศาลากลางบ้านคามวาสี ชุมชนพระปรางค์
วั ด ม ห า ธ า ตุ 2 ) ชุ ม ช น บ้ า น ห ม้ อ วั ด เ ข า บั น ไ ด อิ ฐ 3 ) ชุ ม ช น พ ร ะ น ค ร คี รี วั ด พ ร ะ น อ น
4) องค์การบริหารส่วนตาบลธงชัย วัดถ้าเขาหลวง 5) ชุมชนวัดเกาะ 6) ชุมชนวัดลาด (วัดเพชรพรี)
7) ชมุ ชนคลองกระแชง วัดพลบั พลาชัย

เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นกำรวจิ ยั เชิงปริมำณ โดยใชแ้ บบสอบถำม
เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้ คือ แบบสอบถามลักษณะปลายปิด (Closed-end

Questionnaires) และแบบสอบถามแบบปลายปิด (Open-end Questionnaires) เพื่อสารวจพฤติกรรม
และความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี โดยแบ่งออกเป็น
4 ตอน ได้แก่

ตอนท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นกำรสอบถำมขอ้ มูลพืน้ ฐำนท่ัวไป
ประกอบด้วย เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ซึ่งลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบ
ปลายปิด หรือแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) มีวิธีการตอบโดยให้นักท่องเที่ยวทาเคร่ืองหมาย 
ลงในแบบสอบถามให้ตรงกบั ความเป็นจริง

119

ตอนท่ี 2 ขอ้ มูลพฤติกรรมและควำมตอ้ งกำรของนักทอ่ งเท่ยี วในจงั หวดั เพชรบุรี
ข้อมูลพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งประกอบด้วย 1) จานวนคร้ัง
ที่มาท่องเที่ยว 2) ลักษณะการเดินทางท่องเที่ยว 3) ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยว 4) พาหนะที่ใช้ในการ
เดินทาง 5) ค่าใช้จ่ายในการมาท่องเที่ยว 6) สิ่งดึงดูดใจในการมาท่องเที่ยว 7) รูปแบบการท่องเที่ยวที่
สนใจ 8) กิจกรรมทางการท่องเที่ยวที่สนใจ และ 9) แหล่งท่องเที่ยวที่สนใจ โดยมีลักษณะของ
แบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist)

ตอนท่ี 3 ข้อมลู สว่ นประสมทำงกำรตลำดบริกำร 10Ps ในจงั หวัดเพชรบุรี
ประกอบด้วย 1) ด้านผลิตภัณฑ์ 2) ด้านราคา 3) ด้านช่องทางการจัดจาหน่าย 4) ด้านส่งเสริม
การตลาด 5) ด้านบุคคล 6) ด้านลักษณะทางกายภาพ 7) ด้านกระบวนการ 8) ด้านการบริการลูกค้า
อย่างมีคุณภาพ 9) ด้านการใช้พนักงานขายเฉพาะทาง และ 10) ด้านความเข้าใจ โดยลักษณะ
แบบสอบถามจะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) ซึ่งมี 5
ระดบั ได้แก่

5 หมายถึง ต้องการมากทีส่ ดุ
4 หมายถึง ต้องการมาก
3 หมายถึง ต้องการปานกลาง
2 หมายถึง ต้องการนอ้ ย
1 หมายถึง ต้องการนอ้ ยทีส่ ุด

ตอนท่ี 4 แหล่งท่องเทย่ี วท่นี ักทอ่ งเทย่ี วใหค้ วำมสนใจมำกที่สดุ ในจังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งมีลักษณะเปน็ คาถามปลายเปิด

กำรตรวจสอบคุณภำพเครอ่ื งมือวิจัย
ผู้วิจัยได้สร้างแบบสอบถามเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลเพื่อทาการวิจัยในคร้ังนี้ โดยนา

แบบสอบถามที่ได้สร้างขึ้นไปทาการทดสอบหาค่าความเที่ยงตรง ( Validity) และความเชื่อม่ัน
(Reliability) รายละเอียด ดังน้ี

120

กำรทดสอบควำมเทย่ี งตรงของแบบสอบถำม (Content Validity Rest) ซึ่งมีลาดบั ข้ันตอน ดังน้ี
1. กาหนดผเู้ ชย่ี วชาญตัดสิน (Judgmental Process) โดยกาหนดคณะผเู้ ชย่ี วชาญ จานวน 5

ท่าน ได้แก่
1.1 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อานาจ เอี่ยมสาอางค์
คณบดีคณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1.2 ดร.นติ ินนั ท์ ศรสี ุวรรณ
หัวหนา้ งานวิจยั และพฒั นา ฝา่ ยวิชาการและวิจัย คณะศิลปศาสตร์
อดีตผู้อานวยการกองวิชาการและพัฒนาคณาจารย์
มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1.3 ดร.ภมู ิพฒั น์ ทองคา
หวั หนา้ สาขาวิชาการโรงแรม คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1.4 ดร.ชยั วุฒิ ชยั ฤกษ์
ผชู้ ่วยคณบดี และอาจารย์ประจาสาขาวิชาการท่องเทีย่ วและการโรงแรม
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1.5 ดร.ปณุ ญวีร์ วิเศษสุนทรสกลุ
อาจารย์ประจาสาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะศิลปศาสตร์
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั

2. นาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นและปรับปรุงเน้ือหาตามคาแนะนาของคณะกรรมการ อาจารย์
ที่ปรึกษา และนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญทดสอบความตรงของเนื้อหา (A Test of Validity) ด้วยดัชนีความ
สอดคล้องระหว่างคาถามและวัตถุประสงค์ของการวิจัย (Index of Item – Objective Congruence: IOC)
เพือ่ ให้นา้ หนักความสอดคล้องและความเหมาะสมตามกรอบแนวคิดการวิจัยหรอื ไม่

3. นาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคาถามและวัตถุประสงค์
ของการวิจัย (Index of Item – Objective Congruence: IOC) โดยการให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ทาการ
ประเมินความเหมาะสมของแต่ละข้อความ ซึ่งเกณฑก์ ารประเมนิ ได้กาหนดค่าเปน็ ตวั เลข ดังน้ี

+1 หมายถึง ข้อมูลมีความสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์
0 หมายถึง ไม่แนใ่ จ หรอื ข้อความนนั้ คลมุ เครือไม่ชัดเจน
-1 หมายถึง แนใ่ จว่าข้อคาถามที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
4. นาคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญท้ัง 5 ท่าน มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index
of Item – Objective Congruence: IOC) โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาเลือกข้อคาถามที่มีค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (IOC) ต้ังแต่ 0.50 ขึน้ ไป ตามสูตร ดงั น้ี (วรญั ญา ภัทรสขุ , 2564)

121

IOC =  R
N

เมือ่ IOC = ดชั นคี วามสอดคล้องของวัตถุประสงค์
 R = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของ
ผเู้ ชย่ี วชาญ
N = จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ

การทดสอบความสมบูรณ์ของเครือ่ งมอื (Validity) โดยนาแบบสอบถามที่ได้สร้างเสร็จ
แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเนือ้ หาว่าสอดคล้องกับหวั เรื่องและวัตถุประสงค์การวิจยั โดยใช้วธิ ี Index of
Item – Objective Congruence: IOC โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง
………….(รอค่า ไอโอซี จากแบบสอบถามเชิงปริมาณ เพื่อใส่ตัวเลขตรงจุดนี)้

กำรทดสอบควำมเชือ่ มัน่ ของแบบสอบถำม (Reliability Test) ซึง่ มีขนั้ ตอนดังนี้

ผู้วิจัยทาการทดสอบค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา โดยนาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นนาไป

ตรวจสอบความเชื่อม่ันหรือความเที่ยงก่อนนาแบบสอบถามไปใช้จริง (Try Out) โดยทาการเก็บข้อมูล

กบั กลุ่มตวั อย่างทดลองทีค่ ล้ายคลึงกบั ประชากรทีจ่ ะทาการศกึ ษา จานวน 30 คน จากน้ันจงึ นาข้อมูลที่

ได้มาทาการคานวณหาค่าความเชื่อม่ันหรือความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถาม ในการทดสอบ

ความเชื่อถือน้ันจะเลือกเฉพาะที่สามารถนามาตีเป็นค่าคะแนนได้ โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา

ของครอนบัค (Cornbrash’s alpha coefficient) (Cronbach, 1970 อ้างถึงใน จักรพงษ์ ลีลาธนาคีรี และ

ธญั วรัตน์ สุวรรณะ, 2561) ดงั น้ี

 = nn−1 1−  S12 
st2 


เมือ่  = สัมประสิทธิข์ องความเช่อื ม่ัน

n = จานวนข้อ

 S12 = คะแนนความแปรปรวนแตล่ ะข้อ
st2 = คะแนนความแปรปรวนท้ังฉบบั

จากการคานวณหาค่าความเช่อื มน่ั ของแบบสอบถาม พบว่า ค่าความเช่ือมนั่ ของแบบสอบถาม
คือ 0.95 ซึ่งมคี ่าไม่ตา่ กว่า 0.70 จึงถือวา่ แบบสอบถามเปน็ เครือ่ งมอื ทีไ่ ด้มาตรฐาน

122

กำรวเิ ครำะหข์ ้อมูลผ้วู ิจัยมีวิธีกำร ดงั นี้

หลงั จากรวบรวมแบบสอบถามทั้งมดที่ได้รบั เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยได้นาแบบสอบถามทั้งหมดมา
ดาเนนิ การ ดังนี้

กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูลกำรวิจยั เชิงปริมำณ

1. การตรวจสอบข้อมลู (Editing) ผวู้ ิจยั ตรวจสอบความสมบรู ณ์ของการตอบแบบสอบถามและ
ทาการตรวจสอบและคัดเลือกแบบสอบถามที่ไม่สมบูรณ์ออก นาแบบสอบถามที่ตอบคาถามทุก
รายการครบถ้วนสมบรู ณ์และสามารถนามาวิเคราะหท์ างสถิตไิ ด้ทุกฉบบั คิดเป็นรอ้ ยละ 100

2. การลงรหัส (Coding) นาแบบสอบถามที่ครบถ้วนมาจัดกลุ่มและนับคะแนนลงรหัสตามที่
กาหนดไว้

3. บนั ทึกข้อมลู และวเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รูป
4. แบบสอบถามตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลแบบหาค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ
(Percentage)
5. แบบสอบถามตอนที่ 2 – 4 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating
Scale) โดยมีคาตอบและกาหนดเกณฑ์การให้คะแนนตามวิธีการของเร็นลิส เอ. ลิเคิร์ท (Rating A.
Likert) คือ ลิเคิร์ทสเกล (Likert Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ (Likert, 1987 อ้างถึงใน มานะศิลป์
ศรทนงค์, 2563) ดงั น้ี

ตำรำงที่ 1 แสดงเกณฑก์ ำรให้คะแนนกำรตอบแบบสอบถำม

ระดบั ควำมสำคญั และกำรใหข้ อ้ มลู กำหนดกำรให้นำ้ หนักคะแนน
มากทีส่ ุด 5
มาก 4
ปานกลาง 3
น้อย 2
น้อยทีส่ ุด 1

เกณฑ์การแปลผลโดยใช้การวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้เกณฑ์ตามแนวคิดของ เบสท์ (Best, 1981 อ้างถึงใน วรรณวีร์
บญุ คุ้ม, 2560) ดงั น้ี

ตำรำงที่ 2 เกณฑ์กำรแปลผล 123

ช่วงคะแนนค่ำเฉลีย่ ควำมหมำย
4.50 – 5.00 เห็นด้วยในระดบั มากทีส่ ุด
3.50 – 4.49
2.50 – 3.49 เห็นด้วยในระดบั มาก
1.50 – 2.49 เหน็ ด้วยในระดับปานกลาง
0.50 – 1.49
เหน็ ด้วยในระดับน้อย
เห็นด้วยในระดับน้อยที่สุด

สถิติทใ่ี ช้ในกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู เชิงปริมำณ

สถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive Statistics) โดยการวิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่
(Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation) โดยใช้ในการอธิบายความหมายของข้อมูลในลักษณะของการบรรยายทั่วไปของผู้ตอบ
แบบสอบถาม

สถิติเชิงอนุมำน (Inferential Statistic) จะใช้ทดสอบสมมติฐานของการวิจัย ได้แก่
การทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square) เพื่อทดสอบสมมติฐานระหว่างตัวแปรต้น คือ ข้อมูลส่วนบุคคล
และตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมและความต้องการของนกั ท่องเที่ยวทีเ่ ดินทางมาเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี
องค์ประกอบของการท่องเที่ยว และส่วนประสมทางการตลาดในจังหวัดเพชรบุรี ถ้าพบความสัมพันธ์
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จะทดสอบความสัมพันธ์ของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ ด้วยวิธีเปรียบเทียบพหุคูณ
(Multiple Comparison) ของ Scheffe เพือ่ ทาการทดสอบสมมตฐิ าน

ขั้นที่ 1 ขั้นตอนกำร
การศึกษาวิเคราะห์และ
กาหนดกรอบแนวคดิ ข้ันที่ 2
การสรา้ ง รวบรวม วิเคราะ
ข้นั ตอน ศึกษาแนวคิดและทฤษฎี
พนื้ ฐานในการวิจัย ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ

กระบวนกำร สรปุ และสงั เคราะห์ การพฒั นาเครือ่ งมือการวิจ
เชิงคุณภาพ
แนวคิดและงานวิจยั ที่
เกี่ยวข้อง 1. ทาแบบสมั ภาษณแ์ บบกงึ่
โครงสรา้ ง
ผลทไี่ ดร้ บั กรอบแนวคิด 2. ตรวจสอบคุณภาพแบบ
สาหรบั การวิจยั สมั ภาษณ์
3. ไดแ้ บบสัมภาษณ์ที่มีคณุ ภ

การเก็บรวบรวมข้อมูล
1.ติดต่อขอสัมภาษณ์เชิงลกึ ผ
ข้อมลู หลกั
2.การสัมภาษณ์และสังเกตแบ
ไม่มีส่วนร่วม
3.วิเคราะห์ข้อมูลจากการ
สมั ภาษณ์

ข้อมลู เชิงลึก
เพือ่ อธิบายยืนยัน

รดำเนินกำรวิจยั 124 124

ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4
ะห์ การสรา้ ง รวบรวม วิเคราะห์ ยทุ ธศาสตร์ส่งเสรมิ

ข้อมูลเชิงปรมิ าณ การท่องเที่ยว

จยั การพฒั นาเครือ่ งมือการวิจยั สรุปผลการศึกษาและวิจัย
เชิงปรมิ าณ เชิงคณุ ภาพและเชงิ ปรมิ าณ

1.ทาแบบสอบถาม อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
2.ตรวจสอบคุณภาพ ความ - SWOT Analysis
เทีย่ งตรง และค่าความเชื่อมัน่ - TOWS Matrix
ของแบบสอบถาม - นาเสนอผลการวิจัย
ภาพ 3.ได้แบบสอบถามที่มคี ณุ ภาพ
ยุทธศำสตร์ส่งเสริมกำรทอ่ งเทย่ี ว
การเก็บรวบรวมข้อมูล เชิงวัฒนธรรมของจังหวัด
ผู้ให้ 1.จัดส่งแบบสอบถาม
เพชรบรุ ีตำมรอยกวีนิพนธ์นิรำศ
2.สอบถามประชากรกลุ่ม เมอื งเพชรของกวีเอกสุนทรภู่
บบ ตัวอย่าง 400 คน

3.วิเคราะห์ข้อมลู จาก
แบบสอบถาม ระดับตัวแปรและ
ความสัมพนั ธ์เชิงเหตแุ ละผล

ตวั แบบสมการโครงสรา้ งของ
ความสามารถในการจัดการ

125

สรุปข้ันตอนกำรวจิ ัย

การทบทวนวรรณกรรม
สร้างกรอบแนวคิด

การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ
สร้างแบบสัมภาษณ์ สร้างแบบสอบถาม

กำรตรวจสอบเครอื่ งมอื กำรตรวจสอบเครอื่ งมอื
1. นาแบบสอบถามที่ได้สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่
1. ตรวจสอบความตรงของเนือ้ หา (Content Validity)
ปรกึ ษา
โดยหาค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (Index of Item 2. ปรบั แก้ข้อคาถาม
Objective Congruence: IOC) จานวน 5 ท่าน 3. ความตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยมี

2. นาผลทีไ่ ด้กลับมาแก้ไขใหส้ มบูรณ์ ผู้ทรงคณุ วุฒิ 5 ท่าน
4. เก็บข้อมูลกับกลุ่มทดลองใช้ (Try Out) กับกลุ่ม

ตัวอย่างที่มีลักษณะเดียวกันกับกลุ่ม ที่จะ
ทาการศึกษาจริง จานวน 30 คน เพื่อนาคาตอบ
มาหาค่าความน่าเชือ่ ถือ (Reliability)

ลงพืน้ ทีเ่ ก็บข้อมูล

นาข้อมลู มาวเิ คราะห์ SWOT และ TOWS Matrix Analysis

ยทุ ธศาสตร์สง่ เสริมการท่องเที่ยวเชงิ วฒั นธรรมของจงั หวดั เพชรบุรีตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมอื งเพชรของกวเี อกสนุ ทรภู่


Click to View FlipBook Version