กล่มุ สานักงาน กศน. จงั หวัดชายแดนใต้
สานักงาน กศน.
กระทรวงศกึ ษาธิการ
คำนำ
ชุดการเรียนรู้โปรแกรมวิชาเลือกอิสลามศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มี 3 หมวดวิชา ประกอบด้วย 1) หมวดวิชาศาสนา ได้แก่รายวิชาอัลกุรอาน
อลั ฮะดษิ อัลอะกีดะฮฺ 2) หมวดวิชาสังคม ได้แก่ อัตตารีด อัลอัคลาก 3) หมวดวิชาภาษา ได้แก่ ภาษามลายู
ภาษาอาหรับ รายวิชาดังกล่าวจัดทาข้ึนเพ่ือให้ผู้สอนและผู้นาไปใช้เป็นแนวทางในการ จัดกระบวนการเรียนรู้
สาหรับผ้เู รียนทล่ี งทะเบียนเรียนรายวิชาดังกล่าว ในลักษณะการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยการศึกษาในความรู้
ด้วยตนเอง สอบถามผู้รทู้ างดา้ นศาสนา และเรยี นรจู้ ากโตะ๊ ครูในเนอื้ หายาก
ชุดการเรียนรู้ดังกล่าวพัฒนามาจากโครงสร้างหลักสูตรโปรแกรมวิชาเลือกอิสลามศึกษา โดยคณะ
ผู้จัดทาได้พยายามศึกษา รวบรวมสาระจากผู้ทรงคุณวุฒิ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ โดยคานึงถึงความสอดคล้อง
ของผู้เรียนในสถาบันศึกษาปอเนาะในกลุ่มสานักงาน กศน.จังหวัดชายแดนใต้เป็นหลัก ได้แก่จังหวัดปัตตานี
ยะลา นราธิวาส สตูล และ 4 อาเภอของจังหวัดสงขลา (อาเภอจะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย) เป็นสาคัญ
อยา่ งไรก็ตามชดุ การเรยี นรดู้ ังกล่าวอาจจะยังไม่สมบูรณ์ จาเป็นต้องได้รับการปรับแก้หลังจากการนาไปทดลอง
ใช้เป็นระยะ ๆ กลุ่มสานักงาน กศน.จังหวัดชายแดนใต้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับคาแนะนาในการปรับปรุง
แก้ไขใหส้ ามารถนาไปใช้ในการจดั การเรียนรู้อย่างมคี วามสุขตอ่ ไป
ขอขอบคุณสานักงาน กศน. สานักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สานักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี ยะลา
นราธิวาส สตูล สงขลา กศน.อาเภอ ในกลุ่มสานักงาน กศน.จังหวัดชายแดนใต้ นายกสมาคมสถาบันศึกษา
ปอเนาะ สานักงานศึกษาธิการภาค 8 ผู้ทรงคุณวุฒิ ครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนประจาสถาบัน
ศึกษาปอเนาะ และผู้มีสว่ นเกี่ยวข้องทกุ คนท่ีมีส่วนชว่ ยผลกั ดนั ใหโ้ ปรแกรมวิชาเลอื กอิสลามศึกษารายวิชาต่างๆ
สาเร็จลุล่วงด้วยดี
กลุ่มสานักงาน กศน.จังหวัดชายแดนใต้
ธันวาคม 2560
สำรบญั หนา้
บทที่ 1 ประวัติของนบมี ูฮมั มัด (ซ.ล.) 1
บทที่ 2 คณุ ลักษณะและแบบอย่างของท่านนบีมูฮัมมัด(ซ.ล) 46
บทที่ 3 ประวตั ิคอลีฟะฮฺ ทัง้ 4 ท่าน 60
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 1
บทที่ 1
เรือ่ ง ประวตั ิของนบมี ูฮัมมดั (ซ.ล.)
การกาเนิดและเชื้อสายของท่านนบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.)
ทา่ นนบมี ูฮมั มัด ( ซ.ล.) เกดิ ในเวลาเช้าตรขู่ องวนั จนั ทร์ ที่ 12 เดือนรอบีอลุ เอาวัล ปีชา้ งตรงกับวันท่ี
23 เมษายน ค.ศ.571 ณ นครมักกะฮฺ ท่านเป็นคนชาวอาหรับเผ่ากุร็อยซฺ บิดาของท่านช่ือว่าอับดุลลอฮ บุตร
อับดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาซิม บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะห์เราะห์ บุตรกิลาบ มารดาของท่านชื่อว่าอามีนะฮฺ
บตุ รวะฮบั บตุ รอับดลุ มะนาฟ บุตรซะห์เราะฮฺ บุตรกิลาบ ต้นตระกูลฝุายมารดาของท่าน ไปร่วมกับตระกูลฝุาย
บิดาที่กิลาบ ซ่ึงสายคนที่ห้าฝุายบิดาและเป็นทวดท่ีส่ีฝุายมารดา และต้นตระกูลของท่านนบีมูฮัมมัดท่ีสูงขึ้นไป
น้นั รว่ มสายจากท่านนบีอิสมาอลี บตุ รของนบอี บิ รอฮมี ( อะลยั ฮิสสะลาม )
ปีท่ีประสูตินบีมูฮัมมัดรู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “ ปีช้าง ” ทั้งน้ีเพราะว่าในปีน้ัน แม่ทัพแห่ง
เอธิโอเปียซ่ึงเป็นข้าหลวงปกครองเมืองเยเมน มีช่ือว่า " อับรอฮะหฺ " ได้กรีฑาทัพช้างมุ่งสู่นครมักกะฮฺหวังท่ีจะ
ทําลายวิหารกะบะฮฺ กองกําลังของนครมักกะฮฺไม่มีกําลังพอที่จะต้านกองทัพของอับรอฮะหฺอันมหึมาน้ีได้ ชาว
มักกะฮฺต่างก็ทําได้เพียงแต่เฝูามองเหตุการณ์ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าเท่าน้ัน พระองค์อัลลอฮฺทรง
ปกปูองวิหารกะบะฮฺและยับยั้งแผนอันชั่วร้ายของกองทัพอับรอฮะหฺน้ีโดยการส่งฝูงนกชนิดหน่ึงเรียกว่า “ อะ
บาบีล ” นกแต่ละตัวคาบก้อนกรวดชนิดหน่ึงท่ีมีเช้ือร้ายไปท้ิงท่ีกองทัพของอับรอฮะหฺ และเชื้อร้ายน้ันได้
แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ กองทัพของอับรอฮะหฺ ถึงกับราบพนาสูรท้ังคนท้ังช้างและม้า ร่างกายของคนและ
สัตว์เหมือนกับธัญญาพืชท่ีถูกแมลงกัดกิน ดังที่อัลกุรอานได้บันทึกไว้ในซูเราะฮฺอัล - ฟีล พวกทหารของอับรอ
ฮะหตฺ ่างล่าถอยหนดี ้วยความกลัว ที่หนีไม่ทันก็กลายเป็นศพตายระเนระนาด อับรอฮะหฺต้องถอนทัพกลับอย่าง
ระสําระส่าย เขาเองก็ถูกพิษร้ายน้ันด้วยและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา หลังจากเหตุการณ์อัศจรรย์น้ีเกิดข้ึนไม่ก่ี
เดือน มักกะฮฺก็ได้รับเกียรติต้อนรับการประสูติของนบีมูฮัมมัด ( ซ . ล ) ด้วยเหตุนี้จึงเรียกปีท่ีประสูติของนบีมู
ฮัมมดั วา่ ปชี า้ ง
ชวี ติ ตอนปฐมวัยของท่านนบีมฮู ัมมัด ( ซ.ล.)
ท่านนบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) กําพร้าบิดาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ซ่ึงล้มปุวยและเสียชีวิตที่มะดีนะฮฺใน
ขณะที่เดินทางกลับจากการค้าท่ีซีเรีย เมื่อนบีมูฮัมมัดได้ประสูตินั้น อามีนะฮฺผู้เป็นมารดาได้แจ้งข่าวไปยังท่าน
อับดุลมฏุ เฏาะลบิ ผ้เู ป็นปุูของท่านนบี ท่านจึงส่งคนมารับไป และท่านได้พาเด็กน้อยผู้น้ีไปยังวิหารกะบะฮฺ และ
ตั้งช่ือว่า “ มูฮัมมัด ” ซ่ึงช่ือน้ีไม่เป็นที่คุ้นเคยแก่ชาวอาหรับมากนัก ตามธรรมเนียมของชาวอาหรับในสมัยนั้น
มักจะส่งลูกน้อยไปยังทะเลทรายหลังจากสัปดาห์แรกที่เกิดมา และให้อยู่ที่น้ันจนกระทั่งอายุได้ 5 หรือ 6 ขวบ
ช่วงแรกอามีนะฮฺได้มอบให้นางษุวัยบะฮฺซึ่งเป็นคนใช้ของอบูละฮับ ลุงของท่านนบี เป็นแม่นมท่านนบีอยู่สอง
สามวัน ต่อมาท่านอับดุลมุฏเฏาะลิบได้ว่าจ้างนางหะลีมะฮฺ จากเผ่าสะอฺด์ซึ่งเป็นหญิงชนบทคนหน่ึงให้เป็นแม่
นมของท่านนบีและนําท่านไปเล้ียงท่ีชนบท เมื่อท่านนบีมีอายุครบ 6 ขวบ นางได้ส่งท่านนบีคืนแก่มารดาของ
ท่านเล้ียงดูต่อไป ในช่วงที่นางหะลีมะฮฺได้เล้ียงดูท่านนบีน้ัน นางได้รับโชคผลและความจําเริญอย่างมากมาย
ผดิ ปกติ
อามีนะฮฺ มคี วามสุขมากที่ลูกชายของเธอได้กลับมาสู่อ้อมอกของเธออีกครั้งหน่ึง การไปอยู่ในชนบท
ทําให้เขาเป็นคนท่ีมีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง มีความคล่องแคล่วและรู้ภาษาอาหรับแท้ๆ จากทะเลทราย
ซึ่งเหล่านเ้ี ปน็ รากฐานท่จี ะกา้ วส่เู ป็นบคุ คลทีส่ าํ คัญในอนาคตต่อไป อามีนะฮฺ ต้องการพาบุตรชายให้ไปรู้จักญาติ
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารคี 2) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 2
ทางมารดา และสร้างความคุ้นเคยกบั พวกลงุ ซึ่งเปน็ เผา่ นัจญารในนครมะดนี ะฮฺ โดยมีทาสหญิงของนางท่ีมีชื่อว่า
อุมมุอัยมัน ติดตามไปด้วย ขากลับจากมะดีนะฮฺ ขณะเดินทางมาถึงสถานท่ีหน่ึงมีชื่อว่า อัล - อับวา นางอามี
นะฮฺก็ลม้ ปุวยลงและเสยี ชีวิตอย่ทู ีน่ น้ั หลงั จากนั้นทาสหญิงผ้ซู ่ือสัตยก์ ็พาเดก็ น้อยกําพร้าบิดาและมารดากลับมา
ยังนครมักกะฮฺ มูฮัมมัดก็อยู่ภายใต้การอุปการะของปุูคือ อับดุลมุฏเฏาะลิบ แต่ก็แค่เพียง 2 ปีเท่าน้ันปูุก็ถึงแก่
กรรมอีก ซ่ึงขณะนั้นมูฮัมมัดอายุได้แค่เพียง 8 ปี เท่าน้ัน ฉะนั้นมูฮัมมัดจึงเป็นเด็กกําพร้าท้ังพ่อแม่และปุูตั้งแต่
อายยุ ังนอ้ ย
หลังจากน้ัน หน้าที่เล้ียงดูมูฮัมมัดก็ตกเป็นของอบูฏอลิบผู้เป็นลุง ซ่ึงรักเอ็นดูหลานชายอย่างยิ่ง
จนกระท่ังเติบใหญ่ เน่ืองจากลุงของท่านไม่ใช่คนร่ํารวย มูฮัมมัดจึงต้องทํางาน โดยพาฝูงแกะและอูฐตามเนิน
เขาและหุบเขาในทะเลทราย มูฮัมมัดมีนิสัยกรุณาต่อคนยากจน และผู้มีทุกข์มาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคนท่ีชอบอยู่
อย่างสงบ รักการคิดใคร่ครวญ ผู้คนในเผ่าเดียวกันต่างก็รักใคร่และให้เกียรติเพราะท่านมีนิสัยอ่อนโยน มี
อัธยาศยั ไมตรี การที่ทา่ นถอื ความซอื่ สัตย์ ซ่ือตรงตอ่ หน้าที่ เป็นอย่างย่ิงอย่างไม่สะทกสะท้านน้ัน ทําให้นบีมูฮัม
มดั ได้รบั การขนานนามวา่ ” อัลอมีน ” ซงึ่ แปลว่าผู้ควรแก่การเชอื่ ถอื หรอื ผทู้ ่ีได้รบั การไวว้ างใจ
เมื่ออายุได้สิบสองปี นบีมูฮัมมัดได้เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับลุง และที่ซีเรียนี้เองท่านได้พบกับ
นกั บวชชาวคริสเตียนคนหน่ึงมชี ่ือวา่ “ บฮู ยั รอ ” ซง่ึ ได้ทํานายว่านบีมูฮัมมัดจะเป็นนบีองค์สุดท้ายและได้กล่าว
ไว้ว่า " หลานชายของท่านมีลกั ษณะเปน็ มหาบรุ ษุ แท้ ๆ ทา่ นจงเลย้ี งดูเขาอย่างดีเถิด ” หลังจากน้ันท่านอบูฏอลิ
บจงึ นําหลานชายของทา่ นกลบั มายังมักกะฮฺและรักษาความลบั น้ีไม่ใหใ้ ครรู้
ลุงของท่านมีฐานะทางการเงินไม่ค่อยจะดีนัก ประกอบกับเป็นครอบครัวใหญ่จะต้องหาเลี้ยงดู
ลูกหลานหลายคน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกๆ
หลานๆ ทอี่ ย่ใู นความดูแลให้ได้รบั ความสขุ วันหน่ึงทา่ นได้ทราบข่าวว่าเศรษฐีนเี คาะดญี ะฮฺซ่งึ เป็นบุตรสาวของคุ
วัยลิดต้องการจ้างคนเผ่ากุร็อยซฺให้ทําการค้าขายให้แก่เธอ และเธอพร้อมท่ีจะแบ่งกําไรอย่างงามแก่ผู้ท่ีมี
ความสามารถ ท่านจึงพานบีมูฮัมมัดไปสมัครงานกับเธอ ด้วยกิตติศัพท์แห่งความซื่อสัตย์ของนบีมูฮัมมัด
เศรษฐนี ีเคาะดีญะฮจฺ งึ ตกลงรับนบมี ฮู ัมมัดเปน็ ลูกจ้างควบคุมกองคาราวานพาณิชย์ไปยังเมืองชีเรีย โดยเธอได้ให้
ทาสของเธอท่ีมีช่ือว่ามัยสะเราะฮฺร่วมเดินทางกับนบีมูฮัมมัดด้วย การเดินทางค้าขายของนบีมูฮัมมัดในครั้งนี้
ประสบความสําเรจ็ อย่างงดงาม และได้กําไรอย่างมหาศาลซึ่งสร้างความประทับใจแก่เคาะดีญะฮฺเป็นอย่างมาก
ประกอบกับมัยสะเราะฮฺ ได้รายงานให้นางทราบถึงความขยันขันแข็งและความซ่ือสัตย์ของนบีมูฮัมมัดใน
ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อย่างละเอียดถ่ีถ้วน ซึ่งเพิ่มความสนใจของนางต่อมูฮัมมัดมากขึ้น จนกระทั่งนางตัดสินใจ
ต้องการรว่ มชวี ติ กับนบมี ฮู ัมมัด
การแตง่ งานของทา่ นนบมี ฮู ัมมดั ( ซ.ล.)
ผลจากการค้าขายในคร้ังน้ี ทําให้ท่านนบีได้มีโอกาสรู้จักกับเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺ ซึ่งในเร่ิมแรกรู้จักใน
นามลูกจ้างกับนายจ้าง ต่อมาด้วยกิตติศัพท์แห่งความซ่ือสัตย์ของท่านนบี ประกอบกับความสามารถในเชิง
ธุรกิจทสี่ ามารถนาํ กาํ ไรอยา่ งมหาศาลใหแ้ กน่ าง ทําให้นางมคี วามสนใจในตัวท่านนบีเป็นอย่างมาก และได้เสนอ
ตัวขอร่วมชีวิตกับท่านนบี ในขณะนั้นนางเป็นหญิงหม้ายมีอายุได้ 40 ปี เคยแต่งงานมาแล้ว 2 คร้ัง มีบุตรรวม
ท้ังหมด 3 คน หญิง 1 ชาย 2 คน นางเป็นคนเผ่าอะสัด นางเป็นหญิงที่มีเกียรติและร่ํารวยมากในนครมักกะฮฺ
นางได้ส่งแม่ส่ือชื่อว่า นุฟัยซะฮฺ ซึ่งเป็นเพื่อนของนางไปพูดเจรจากับท่านนบี ท่านนบีก็รับคําด้วยเต็มใจ ซึ่งใน
ขณะน้ันท่านนบีมอี ายุได้เพียง 25 ปี
ชวี ติ ใหม่ของทา่ นนบจี งึ เปิดฉากข้ึน คือชีวิตของการแต่งงานท่ีเต็มไปด้วยความรักและความสุข ความ
ม่ังคั่งของนางบัดนี้ก็เป็นของท่านนบีด้วย ถึงแม้ว่าท่านนบีเป็นผู้รับผิดชอบในธุรกิจของนาง แต่หัวใจของท่าน
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 3
นั้นมไิ ดห้ มกมุ่นอยู่กับงานอยา่ งเดยี ว ความรํา่ รวยมิได้มีความหมายสาํ หรบั ท่านแต่ประการได้ ท่านใช้ความมั่งค่ัง
ซื้อและปลดปล่อยทาสและหญิงรับใช้หลายคนให้เป็นอิสระ นอกจากนี้ท่านยังได้ปลดเปลื้องหนี้สินแก่ผู้ที่ยากไร้
ซ่ึงไม่สามารถท่ีจะชําระหน้ีของตนเองได้ ชีวิตการแต่งงานของทั้งสองดําเนินไปด้วยความสุข นางเคาะดีญะฮฺ
นิยมชมชอบความปรีชาสามารถ และบุคลิกภาพอันสง่างามของท่านนบีเป็นอย่างมาก นางปล่อยให้ท่านมีเวลา
เป็นของตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เลย ยามที่ท่านมีความเศร้าโศกและความทุกข์ นางก็คอย
ปลอบโยนและให้กําลังใจท่านตลอดเวลา ท่านนบีอยู่ร่วมชีวิตกับนางด้วยความซ่ือสัตย์ รักใคร่และเอ็นดูจนถึง
วาระสดุ ทา้ ยของนาง ท่านนบีไดบ้ ุตรกับนางด้วยกนั 6 คนเป็นบตุ รชาย 2 คน ซึ่งทั้งหมดได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
ส่วนบุตรสาว 4 คน คือ ซัยนับ รุก็อยยะฮฺ อุมมุกุลษูม และฟาตีมะฮฺ นอกจากน้ีนางได้มอบทาสคนหน่ึงช่ือว่า
ซัยดฺ บนิ หาริษะฮฺให้แกท่ า่ นนบีและทา่ นนบีได้ให้อสิ ระภาพพร้อมกบั ประกาศเป็นลูกบุญธรรมของทา่ น
การประกาศและเผยแผ่ศาสนาทา่ นนบมี ฮู ัมมัด (ซ.ล.)
การรับโองการแรก
เมอ่ื อายยุ า่ งเขา้ ปีท่ี 40 นบีมูฮัมมัดมักใช้เวลาส่วนใหญ่คํานึงใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ต่างๆ เพ่งพินิจถึง
ความจริงของชวี ติ และความเปน็ ไปของโลก ในขณะทช่ี าวอาหรับมีชีวติ อยา่ งปุาเถื่อนและงมงายอยู่กับรูปเคารพ
ของแตล่ ะเผา่ นบมี ฮู มั มัดมักจะไปท่ีถํ้าในภูเขาฮิรออฺซึ่งอยู่ทางเหนือของมักกะฮฺ ประมาณสามไมล์ และใช้เวลา
อยทู่ ีน่ นั่ เดือนหนง่ึ ทุก ๆ ปี เพอ่ื แสวงหาความสงบ นง่ั สํารวมจติ โดยมคี นใช้เอาอาหารและเสบยี งไปส่ง อยู่มาวัน
หนึ่งในขณะที่ท่านกําลังนั่งอย่างสงบในถํ้าฮิรออฺ ได้มีมะลาอิกะฮฺตนหน่ึงปรากฏตัวเข้ามาหาท่าน ท่านได้เล่า
เหตุการณใ์ นคร้ังนัน้ ไวว้ า่ :
" ญิบริลได้มาหาฉัน แล้วกล่าวว่า “( มูฮัมมัด ) จงอ่านเถิด ” ฉันก็ตอบว่า " ฉันอ่านไม่เป็น " เขาได้
กอดรัดฉันจนกระทั่งฉันคิดว่าจะตาย หลังจากนั้นเขาก็คลายออก เขาทาอย่างน้ันสามคร้ัง แล้วในคร้ังท่ีส่ีเขาก็
กล่าววา่ “( มูฮัมมัด ) จงอ่านเถิด ” ฉันได้ตอบว่า " ฉันอ่านไม่เป็น " แล้วเขาก็กล่าวนาโองการอัลกุรอานที่ว่า "
จงอา่ นเถิด ( มูฮัมมัด ) ด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด
จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงใจบุญย่ิง ผู้ทรงสอนด้วยปากกาทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ … ( อัลกุร
อาน ซูเราะฮฺ อัลอะลกั อายะฮฺ 1-5 )”
เม่ือท่านนบีได้อ่านแล้วมะลาอิกะฮฺตนนั้นก็ได้หายจากไป ท่านนบีรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น
ทา่ นรู้สกึ หวาดกลัวจึงรีบกลับบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺฟัง ท่านคิดว่าถูกผีเข้าสิงหรือมีจิตใจไม่
ปกติ แตน่ างเคาะดญี ะฮฺผูม้ ีจิตใจทเ่ี ข้มแข็งยนื ยันวา่
“ โอ้ลูกของลุงเอ๋ย ท่านจงดีใจและจงยืนหยัดต่อไปเถิด ดิฉันขอสาบานต่อผู้ซึ่งตัวของดิฉันอยู่ในอุ้ง
พระหตั ถ์ของพระองค์ ดฉิ นั หวังว่าทา่ นจะตอ้ งเป็นนบแี หง่ ประชาชาติน้ี ”
และแล้วนางก็พาสามีของนางไปหา “ วะเราะเกาะฮฺ ” บุตรของเนาฟัล ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหน่ึง
ของนาง ชายผู้น้ีเป็นคนท่ีมีความรู้ในคัมภีร์ของชาวคริสเตียนและยิว เมื่อวะเราะเกาะฮฺฟังรายละเอียดต่างๆ
จากนางเคาะดีญะฮแฺ ล้ว ท่านไดก้ ล่าวขึน้ วา่
“ ถ้าหากเรื่องทเี่ ธอเล่าทั้งหมดน้ันเป็นความจริง น่ีจะต้องเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน
พระเจ้าองค์น่ีแหละท่ีทรงพูดกับโมเซสที่ภูเขาซีนาย มูฮัมมัดจะเป็นนบีของชนชาตินี้ จงบอกเขาเถิดว่า จงมี
ความเขม้ แขง็ “
ตอ่ มาไมน่ านนัก มะลีกะฮญฺ ิบรลี ไดเ้ ข้ามาหาทา่ นนบอี กี พรอ้ มนาํ โองการใหม่มาโดยกล่าวว่า “ โอ้ผู้อยู่
ใต้ผ้าคลุม จงลุกข้ึนตักเตือนเถิด จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า จงทาตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์ จงหลีกเล่ียงความไม่
สะอาดท้ังมวล จงอย่าให้เพื่อที่จะได้กลับคืนมา และเพื่อพระเจ้าจงอดทนเถิด … ( อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลมุดัซ
ซิร อายะฮฺที่ 1-7) ” ท่านนบีได้เล่าเรื่องโองการนี้ให้นางเคาะดีญะฮฺฟัง ซึ่งโองการดังกล่าวได้สั่งให้ท่านทําการ
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 4
เผยแผ่ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะไปเผยแผ่ให้กับใคร ท่านเคาะดีญะฮฺพยายามปลอบโยน และยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้าง
ทา่ นตลอดไปไมว่ ่าจะเกดิ อะไรข้ึน นางได้พาสามีของนางไปหาวะเราะเกาะฮฺอีกคร้ังหน่ึง และเล่าเร่ืองท้ังหมดที่
เกดิ ขึน้ กับสามีของนางใหแ้ ก่วะเราะเกาะฮฺฟงั ดว้ ยความรอบรู้ของวะเราะเกาะฮฺ ท่านได้กล่าววา่
“ ขอสาบานวา่ ทา่ นคือนบขี องชนชาติน้ี ท่านจะถูกทาร้าย ท่านจะถูกดา่ ถูกจองล้างจองผลาญ และถ้า
ฉันยังมีชีวิตอยู่ถึงวันน้ัน ฉันจะช่วยมูฮัมมัดเผยแผ่ศาสนา จะช่วยงานของพระเจ้าเคียงคู่กับนบีของพระองค์
และพระเจ้าทรงทราบดถี งึ เจตนารมณ์ของฉนั “
จากคําเตอื นของวะเราะเกาะฮฺทําให้ทา่ นนบีร้สู กึ หนักใจเป็นอย่างมาก เพราะการเผยแผ่สาส์นของท่าน
นนั้ จะตอ้ งเผชญิ หน้ากับชาวกุร็อยซอฺ ย่างหลกี เล่ยี งไม่ได้
การเรียกรอ้ งเชญิ ชวนสู่อสิ ลาม
นบีมูฮัมมัดได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นนบีผู้ประกาศศาสนาเม่ืออายุได้สี่สิบปี ท่านเริ่มเทศนาคําสอนของ
อิสลามในหมปู่ ระชาชนในเมอื งมักกะฮฺโดยการเชญิ ชวนอย่างลบั ๆ ท่านเรม่ิ การชกั ชวนและเผยแผ่สาส์นอิสลาม
ในหมู่ญาติพี่น้องของท่านก่อน แล้วสู่เพื่อนสนิทมิตรสหาย ตลอดจนประชาชนชาวมักกะฮฺในภาพรวม คําสอน
ของท่านเน้นในเรื่องความเป็นหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า ( เตาฮีด ) อันเป็นหลักสําคัญของศาสนาอิสลาม ท่าน
ต่อต้านและเรียกร้องให้ประชาชนเลิกบูชารูปป้ัน รูปเคารพ และเจว็ดต่างๆ ซ่ึงในสมัยน้ันชาวมักกะฮฺส่วนใหญ่
กราบไหว้บูชารปู ปน้ั และเจวด็ ตา่ งๆ แม้แต่ในรอบๆ วิหารกะบะฮก็เต็มไปด้วยรูปบูชามากกว่า 300 องค์ ภรรยา
ของท่านคือ นางเคาะดีญะฮ เป็นคนแรกรับการชักชวนของท่าน กล่าวกันว่านอกจากท่านหญิงเคาะดีญะฮแล้ว
บคุ คลท่เี ข้ารบั อิสลามก่อนใครอนื่ มดี ว้ ยกัน 3 ท่าน คนแรกคือ ท่านอะลี บุตรอะบีฏอลิบ ซ่ึงเป็นบุตรลุงที่ท่านน
บีรับมาอุปการะ ท่านอะลีถือว่าเป็นบุคคลแรกรับอิสลามในกลุ่มเยาวชน คนที่สองคือท่านซัยด บุตรของฮา
รษิ ะฮ ซึง่ เป็นบุตรบญุ ธรรมของทา่ นนบี และถอื วา่ เป็นบคุ คลแรกรับอิสลามในกลุ่มทาส ส่วนบุคคลท่ีสามคือ ท่า
นอบูบักร บตุ รของกุฮาฟะฮ ท่านผูน้ มี้ ีสภาพแตกต่างกับสองท่านที่แล้ว เพราะท่านมิได้เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับ
ทา่ นนบแี ละมไิ ด้อยูใ่ นวัยเดก็ เหมือนสองท่านแรก หากแต่ท่านเป็นพ่อค้าที่มีสติปัญญาความคิดท่ีหลักแหลม ท่า
นอบูบกั รถอื ว่าเปน็ บุคคลแรกรับอิสลามในกลุ่มผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไป หลังจากบุคคลท้ังสามแล้ว มีสาวกท่าน
อื่นๆ ทยอยเข้ารบั อสิ ลามกนั เช่น ทา่ นอุสมาน อบิ นุอัฟฟาน , อัซซุเบร อิบนุลเอาวาม , อับดุลเราะฮฺมาน อิบนุ
เอาฟฺ , สะอฺดุบนุอะบีวักก็อส , ฏ็อลฮะ อิบนุอับดิลลาฮฺ , อะบูอุบัยดะฮฺ , อามิร อิบนุลญัรรอฮฺ , อัลอัรกอม อิบ
นุ อะบลิ อัรกอม เป็นต้น ท่านนบีและบรรดาสาวกได้รวมตัวกันอย่างลับๆและจัดทําศูนย์เผยแผ่ศาสนาอิสลาม
ทีบ่ า้ นของอัลอัรกอม อบิ นุ อัรกอม เมอ่ื เวลาผ่านไป จาํ นวนผ้เู ขา้ รับอิสลามก็เพ่ิมมากข้ึน ภายในเวลาสามหรือส่ี
ปีก็ได้มีผู้เข้ารับศาสนาอิสลามเกือบส่ีสิบคน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีแรกน้ันมุสลิมใหม่ทุกคนยังคงปกปิด
ตวั เองอยู่
หลังจากสามปีผ่านพ้นไป ท่านนบีได้รับคาํ สั่งจากพระเจ้าให้ประกาศศาสนาอย่างเปิดเผย ท่านนบี
เร่ิมกล่าวโจมตีบรรดาเทวรูปและเจว็ดต่างๆ อันเป็นท่ีสักการะบูชาของชาวมักกะฮฺ อย่างตรงไปตรงมาและ
เปิดเผย ซึ่งการกระทําเช่นนี้สําหรับชาวกุร็อยซฺแล้วนับว่ารุนแรงมาก จนทําให้พวกเขาเกลียดชังและประกาศ
เป็นศตั รูกบั ท่านนบอี ยา่ งเปดิ เผย ก่อนหน้าน้ี พวกกรุ ็อยซไฺ ม่ค่อยถือเรอื่ งการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบีเป็นเร่ือง
จริงจังมากนัก นอกจากจะเยย้ หยนั ทา่ นเลน่ เท่าน้ัน แต่เมื่อเร่ิมมีผู้คนหันมานับถือมากขึ้น พวกกุร็อยซฺจึงคิดวาง
แผนการต่อสู้อย่างจริงจัง เพราะชาวกุร็อยซฺเกรงกลัวว่า หากอิสลามได้รับการยอมรับ น้ันก็หมายความว่า
ศาสนาแห่งบรรพบุรุษ ที่มีการกราบไหว้บูชารูปเจว็ด ก็จะต้องถูกทําลาย ดังน้ันพวกเขาจึงรวมตัวกันขัดขวาง
การเผยแผ่สัจธรรมของท่านนบีอย่างสุดความสามารถ ในขณะท่ีท่านนบีเผยแผ่ศาสนานั้น ลุงของท่านคือ
อะบูฎอลิบ ถึงแม้ว่ามิได้เข้ารับศาสนาอิสลาม แต่ก็ปกปูองหลานรักของท่านจากการถูกทําร้ายจากชาวกุร็อยซฺ
การดื้อร้ันและการต่อต้านของพวกกุร็อยซได้ทวีความรุนแรงมากข้ึน เมื่อพวกเขาเห็นท่านนบีและบรรดา
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 5
สานุศษิ ยข์ องท่านยงั เด็ดเดยี่ วในคาํ สอนศาสนาอิสลาม จนกระท่ังพวกเขาใช้มาตรการเด็ดขาดโดยการจับกักขัง
และทรมานสานุศิษย์ของท่านนบีท่ีเป็นพวกทาส กลุ่มคนอ่อนแอ และคนยากจนไร้ที่พึ่งพิง บุคคลเหล่าน้ีถูกจับ
ไปทรมานให้ตากแดดอันรอ้ นระอุและให้นอนบนผืนทรายหรือที่เนินหินท่ีร้อนจัด ถูกสั่งให้อดอาหาร และอดนํ้า
ตลอดจนถูกทารุณกรรมอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ดังที่พวกเขากระทําต่อท่านบิลาลและสาวกท่านอ่ืนๆ
จนกระท่ังสาวกบางท่านทนต่อการทารุณกรรมเหล่าน้ีไม่ไหวจนต้องจบชีวิตไป อย่างเช่นครอบครัวของอัมมาร
บิน ยาสิร เปน็ ตน้
การอพยพไปอบีสสเิ นีย ครัง้ ท่ี 1
เนอื่ งจากชาวมสุ ลิมถกู ทาํ ร้ายและประหตั ประหารเช่นน้ี ทา่ นนบีจึงได้แนะนําให้พวกเขาไปหาท่ีพ่ึงใน
ดินแดนอ่นื ในสมัยนัน้ อบสิ สเิ นียเปน็ ทร่ี จู้ ักดขี องชาวมกั กะฮฺในฐานะท่ีเป็นตลาดสินค้าของอารเบีย ในเดือนท่ี 7
ของปีท่ี 5 ของการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี ชาวมุสลิมผู้ชาย 11 คน และผู้หญิง 4 คน รวมท้ังท่านอุษมาน
บุตรอัฟฟานและภรรยาของท่านได้เดินทางไปยังเมืองอบิสิเนีย ซ่ึงในเวลานั้น กษัตริย์แห่งอบิสิเนียคือ นะญาซี
ไดต้ อ้ นรบั ชนมสุ ลิมเหล่านี้ดว้ ยอธั ยาศัยไมตรี
เมื่อบรรดาหวั หนา้ ชาวมักกะฮรฺ ู้เรอ่ื งถึงการอพยพของชาวมุสลิมน้ี พวกเขาได้สั่งให้เหล่าทหารพวก
เขาออกติดตามไป แต่ก็ไม่ทัน พวกเขาก็ไม่ละความพยายาม ในฐานะที่ประเทศอบิสิเนียมีมิตรไมตรีกับนครมัก
กะฮฺ พวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺจึงส่งทูตไปเข้าเฝูากษัตริย์อบิสิเนียเพื่อขอให้พระองค์ทรงขับพวกมุสลิมออกจาก
อาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกและฟังเหตุผลท้ังสองฝุาย และในที่สุดพระองค์ทรงประทับใจใน
อุดมการณ์ของฝุายชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก จึงทรงอนุญาตให้ชาวมุสลิมพํานักอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ได้
อย่างสงบ ทตู ของหวั หน้าชาวมกั กะฮฺจงึ ต้องกลบั ไปยงั มกั กะฮฺดว้ ยมอื เปล่าอยา่ งผิดหวงั
ผลทสี่ าํ คญั ทีไ่ ด้จากการอพยพในคร้ังนี้ก็คือ ทําให้ชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺมีกําลังใจมากข้ึนเมื่อได้
ร้วู า่ ขณะนย้ี งั มีสถานท่อี กี แห่งหนง่ึ ท่พี วกตนสามารถหลบไปพึ่งอาศัยให้พ้นจากการประหัตประหารของชาวมัก
กะฮฺได้ ในทสี่ ดุ เหตกุ ารณค์ ร้ังนก้ี อ่ ใหเ้ กิดความคิดท่ีจะทําการอพพยโยกย้ายชาวมุสลิมจากมักกะฮฺไปยังเมืองมะ
ดนี ะฮในเวลาตอ่ ไป ในขณะเดยี วกัน ชาวมสุ ลมิ ในมกั กะฮฺเพ่ิมความลําบากยากแคน้ ยิ่งขึ้นอันเน่ืองมาจากชาวมัก
กะฮฺเสยี หน้าและได้รบั ความผิดหวงั จากกษัตริย์อบิสเิ นยี จึงเพม่ิ ความโกรธแค้นตอ่ ชาวมุสลิมมากขึ้นเปน็ ทวีคณู
การอพยพไปอบีสสิเนยี ครง้ั ที่ 2
หลังจากที่ชาวมุสลิมพํานักอยู่ท่ีอบิสิเนียได้สองเดือนและทราบข่าวว่าชาวมักกะฮฺได้ยกเลิกการ
กดดนั ชาวมสุ ลิมแล้ว ผู้อพยพจึงพากันกลับมายังมกั กะฮฺ เมื่อชาวกุร็อยซมักกะฮฺเห็นชาวมุสลิมก็ยิ่งรู้สึกริษยาใน
ความสําเร็จของอิสลามมากขึ้น จึงเริ่มทําการประหัตประหารพวกมุสลิมหนักมือยิ่งขึ้นอีก ท่านนบีจึงแนะนําให้
บรรดาสาวกของท่านหลบภัยไปอยู่ที่อบิสิเนียอีกคร้ังหน่ึง คร้ังนี้มีผู้อพยพหลบหนีไปจํานวนถึง 101 คน เป็น
สตรี 10 คน ฝุายกุร็อยซฺเริ่มตกใจในความสําเร็จอย่างรวดเร็วของท่านนบี พวกเขาได้ส่งตัวแทนไปหาท่า
นอบูฎอลิบซ่ึงเป็นลุงของท่านนบี ขอให้ท่านเจรจากับท่านนบีให้ยอมยกเลิกการเผยแผ่ศาสนาอิสลามน้ี โดยที่
พวกเขายอมที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีท่านนบีต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอํานาจยศฐาบรรดาศักดิ์ เหล่านารีที่
แสนสวย หรอื ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง ท่านนบีไดต้ อบแก่ทา่ นอบูฎอลิบดว้ ยเสียงทีห่ นักแน่นไว้ว่า
“ โอ้ท่านลุงของฉัน … ถึงแม้จะเอาดวงอาทิตย์มาวางในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร์มาวาง
บนมอื ซา้ ยกต็ าม ฉนั ก็จะไม่ขอเลิกภารกจิ ของฉนั อันนี้ ”
ในปีท่ีหกแห่งการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี ท่านฮัมซะฮซ่ึงเป็นลุงของท่านนบีและเคยด่ืมนม
ร่วมแม่เดียวกันกับท่านนบีเข้ารับอิสลาม และท่านอุมัร บุตรค็อฎฎอบ ก็เข้ารับอิสลาม ซึ่งนับเป็นชัยชนะท่ี
ย่ิงใหญข่ องท่านนบี เพราะทง้ั สองเป็นคนท่ีกล้าหาญและมีอิทธิพลในมักกะฮฺพอสมควร เม่ือคําสอนของท่านนบี
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารีค2) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 6
ได้แพร่ขยายและมีผู้เข้ารับอิสลามมากขึ้นทุกวัน ชาวกุร็อยซมักกะฮฺจึงรวมตัวกันต่อต้านเผ่าฮาซิม ซ่ึงเป็นฝุาย
ของท่านนบีโดยการควาํ่ บาตรและตัดความสัมพนั ธก์ บั เผ่าอน่ื ๆ พวกเขาไดห้ ้ามทําการซื้อขายปัจจัยยังชีพกับเผ่า
ฮาซมิ ทําให้ทา่ นนบแี ละเผา่ ฮาซมิ ตกอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนปัจจัยท่ีจําเป็นในการดํารงชีวิตและตกอยู่ในสภาพ
เช่นน้นี านถึงสามปี ท่านนบีถูกทดสอบอยา่ งหนักหน่วง แต่ท่านก็ไม่เคยท้อและไม่เคยหมดความไว้วางใจในพระ
เจ้าเลย
การสิน้ ชวี ิตของอบตี อลิบและท่านหญิงคอดีเยาะ
และในเวลาน้ีเองท่านก็ได้รับข่าวร้าย ข่าวการสิ้นชีวิตของนางเคาะดีญะฮฺ และท่านอบูฏอลิบอัน
เป็นปีที่สิบแห่งการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี และถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า นางเคาะดีญะฮฺภรรยาผู้
ประเสรฐิ ของท่าน ซึง่ เปน็ ผู้สนับสนุนให้กําลังใจด้วยความรักความเห็นใจ เคยเป็นเพ่ือนที่คอยปลอบประโลมใจ
ในยามมีทุกข์กับท่านรวมถึงยี่สิบห้าปี บัดน้ีนางก็ลาจากท่านไปแล้ว และการสูญเสียอบูฏอลิบไปก็เท่ากับท่าน
เสยี ผ้ปู กปูองคุ้มครองไปเสียแล้ว อบูฎอลิบเสียชีวิตอายุได้ประมาณ 80 ปี การสูญเสียท้ังสองทําให้สถานการณ์
ระหวา่ งพวกมุสลิมกับพวกกุร็อยซเฺ ลวร้ายยิ่งขนึ้ การจอมผลาญ ประหัตประหารของพวกศัตรูก็รุนแรงข้ึนทุกวัน
แม้กระนั้นท่านกย็ ังไมท่ อ้ และไมเ่ คยคิดทจ่ี ะละท้ิงความพยายาม
การเผยแผ่ศาสนาที่เมอื งตออีฟและผแู้ สวงบุญ
นบีมูฮัมมัดตระหนักดีว่า ท่านไม่อาจจะทนอยู่ในมักกะฮฺต่อไปได้หลังจากอบูฏอลิบซึ่งเป็นลุงและ
เคาะดีญะฮฺภรรยาของท่านได้ส้ินชีวิตไปแล้ว และหลังจากท่ีพวกกุร็อยชมักกะฮได้บีบค้ันท่านอย่างหนักหน่วง
พวกกุร็อยชฺจะทําทุกวิถีทางเพื่อจะหยุดการเผยแผ่ศาสนาของท่านให้ได้ ท่านจึงคิดจะเดินทางออกไปเผยแผ่
ศาสนาอิสลามนอกนครมักกกะฮฺ ท่านเร่ิมต้นด้วยการไปเยือนชนเผ่าต่าง ๆ ท่านพยายามเทศนาหลักคําสอน
ของศาสนาใหม่ให้แก่ชนเหล่านั้นได้รับทราบ ซ่ึงบางเผ่าก็สนใจในคําสอนของท่าน บางเผ่าก็หาว่าท่านเสียสติ
ระยะนั้นท่านต้องเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ท่านยังมีความม่ันคงในอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงระยะน้ีจะมีเสียง
วิพากวิจารณ์ถงึ ตวั ทา่ นในทางไม่ดอี ยู่ตลอด แตท่ า่ นก็อดทนไมโ่ ตต้ อบกับเสียงวจิ ารณ์เหลา่ นั้น
นบมี ฮู ัมมดั ตอ้ งเผชญิ กับเหตกุ ารณ์ครั้งสาํ คัญทสี่ ุด และถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักหน่วงในขณะที่ท่าน
เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฏออีฟเพ่ือเชิญชวนให้ชนชั้นปกครองของเมืองน้ีศรัทธาต่อเอกภาพของพระเจ้า
เรียกร้องให้พวกเขาเช่ือในพระเจ้าองค์เดียว พวกเขามิใช่เพียงไม่ยอมรับ ยังพูดจาถากถางท่านด้วยคําพูดท่ี
หยาบคาย พร้อมท้ังโห่ไล่ท่านให้พ้นจากที่น่ัน ประชาชนบางกลุ่มขว้างปาท่านด้วยก้อนหิน จนศีรษะแตกเลือด
โทรมกาย ทา่ นยนื ทอดอาลัยต่อความหยาบคายของพวกฏออีฟด้วยหวั ใจทีอ่ ่อนระโหยพรอ้ มท้ังขอให้พระเจ้ายก
โทษใหช้ นกลุ่มนีจ้ ากความโง่เขลาทไ่ี ด้ปฏิบตั ิตอ่ ท่าน
หลังจากท่านกลับมาจากฏออีฟแล้ว ก็ได้เริ่มสั่งสอนเทศนาแก่ผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญ ณ วิหาร
กะอบะฮฺ ซ่ึงส่วนมากเป็นผแู้ ทนจากเผ่าต่าง ๆ ของชาวอาหรับ ท่านได้อธิบายถึงหลักการของศาสนาอิสลามให้
ทราบวา่ ข้อเท็จจริงศาสนานี้เกี่ยวข้องกับศาสนาของนบีอิสมาอีล ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกอาหรับ หลายเผ่า
รับฟังด้วยความสนใจต่อคําสอนของท่าน แต่ขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมอีก มีอยู่หลายครั้งที่พวกกุร็อยชได้
แอบสง่ ผแู้ ทนของตนเขา้ ปะปนไปอยูร่ ่วมพิธกี ับผู้แสวงบุญ และคอยเตือนให้สตผิ ้นู ําเผ่าเหล่าน้ันไม่ให้เคลิบเคลิ้ม
หลงใหลไปกับคาํ เชญิ ชวนของมฮู มั มดั พวกเขาพยายามใส่ไคล้วา่ มูฮัมมัดเป็นคนเสียสติ เป็นนักมายากลใช้เวทย์
มนต์คาถา เพื่อหลอกลวงชาวอาหรับ เป็นเร่ืองน่าแปลกใจที่ว่า เมื่อพวกกุร็อยชฺยุยงใส่ไคล้หนักหน่วงเท่าใด
อาหรับเผ่าต่าง ๆ และผู้แสวงบุญก็ยิ่งอยากรู้จักมูฮัมมัดมากขึ้น เพ่ือต้องการพิสูจน์คํากล่าวหาของพวกกุร็อยชฺ
ว่ามีความจริงเพียงใด ดังนั้นแทนท่ีมูฮัมมัดจะไปหาพวกเขา พวกน้ันกลับขวนขวาย อยากพบท่านนบีมากขึ้น
และเมื่อมาได้ยิน ได้ฟังแล้ว พวกยัษริบบางกลุ่มได้เกิดความเล่ือมใสข้ึนมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ 11
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 7
ของการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี นักแสวงบุญจากเมืองยัษริบ ( มะดีนะฮฺ ) จากเผ่าค็อซร็อจญ์จํานวน 6
คน ตอบรับการเชญิ ชวนของทา่ น ความหวงั ในการเผยแผศ่ าสนาเรมิ่ มีความหวงั ขึ้นมาบ้าง
สนธสิ ัญญาอะเกาะบะฮฺครั้งที่ 1
ในขณะที่หนึ่งปีผ่านไป ตรงกับปีท่ี 12 แห่งการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี เดือนอันศักดิ์สิทธ์ิและ
ฤดูกาลแหง่ การแสวงบุญกลบั มาถึง ผู้แสวงบญุ จากเมืองยษั รบิ จาํ นวน 12 เข้าพบท่านนบีท่ีภูเขาอัลอะเกาะบะฮฺ
และได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านด้วยสนธิสัญญาที่เรียกว่า “ สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งที่ 1 ” ใน
สนธิสัญญานี้พวกเขาตกลงกันท่ีจะยึดม่ันในเรื่องเอกภาพของพระเจ้าโดยไม่กราบไหว้รูปเคารพ จะไม่ลักขโมย
หรือล่วงประเวณี จะไม่ฆ่าลูกๆ ของตน หรือไม่ทําความช่ัวท้ัง ๆ ท่ีรู้ และจะต้องยอมรับคําบัญชาของพระเจ้า
อย่างไม่มีเง่ือนไขใดๆ ท้ังส้ิน พวกผู้แทนจากเมืองยัษริบเหล่านี้ก็ยินดีรับฟังตามเงื่อนไขดังกล่าว ในตอนขา
กลับไปยังเมืองยัษริบน้ัน นบีมูฮัมมัดได้ส่งมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาด้วย เพ่ือสอนกุรฺอานและหลักคํา
สอนของอิสลามให้คนเหล่าน้ัน หลังจากสนธิสัญญาน้ีแล้ว อิสลามจึงได้เร่ิมแพร่หลายไปในเมืองยัษริบอย่าง
รวดเร็ว มุสอับอาศัยอยูก่ ับบรรดามสุ ลิมของเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์ และได้สอนศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและ
การเปดิ เผยสจั ธรรมใหพ้ วกเขา จาํ นวนมสุ ลมิ ในเมอื งยษั รบิ ได้เพิม่ ขึน้ เร่ือยๆ เมื่อเดือนศักด์ิสิทธิ์หวนกลับมา มุส
อับกเ็ ดนิ ทางมายังนครมักกะฮแฺ ละรายงานผลความก้าวหน้าในเร่ืองพลังอํานาจและการผนึกกําลังของมุสลิมใน
เมืองมะดีนะฮฺให้ท่านนบีฟังและได้แจ้งแก่ท่านด้วยว่าคนเหล่านั้นจะมาทําการแสวงบุญในฤดูกาลนี้เป็นจํานวน
มากกวา่ ทเ่ี คยเปน็ มา
สนธสิ ัญญาอะเกาะบะฮฺครง้ั ที่ 2
ปี ค . ศ . 622 ได้มีจํานวนผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจํานวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบสามคนและสตรี
สองคน เมื่อนบีมูฮัมมัดได้ทราบข่าวน้ี ท่านก็คิดจะทําสนธิสัญญาอีกฉบับหน่ึงกับพวกเขาซ่ึงนอกจากคําส่ังสอน
ของอิสลามอย่างสุภาพอ่อนโยนและสอนให้อดทนแล้ว ท่านต้องการทําสัญญาเรียกร้องให้พวกเขาพร้อมท่ีจะ
เสยี สละในการปกปูองภยันตรายต่างๆ และโต้ตอบการประทุษร้ายและการรุกรานท่ีอาจเกิดขึ้นแก่ท่านนบีและ
ชาวมุสลมิ นบีมฮู ัมมัดจึงได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับพวกหัวหน้ากลุ่มนั้นและได้ทราบว่าพวกเขาก็เตรียมตัวไว้อย่าง
ดแี ล้วท่ีจะทํางานเช่นนนั้ พวกเขาตกลงท่ีจะไปพบกนั ทเ่ี ขาอัลอะเกาะบะฮฺในตอนกลางคืนของวันที่สองแห่งการ
แสวงบุญ มุสลิมจากเมืองยัษริบเก็บการนัดพบนั้นไว้เป็นความลับ มิให้แพร่งพรายให้แก่ผู้ไม่ศรัทธาในเผ่าของ
พวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เม่ือถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับท่านนบีตามท่ีนัดไว้โดยลอบมาในความมืด
ยามค่ําคนื เมื่อพวกเขามาถงึ อัลอะเกาะบะฮทฺ ั้งชายและหญิงก็ขน้ึ ไปบนภูเขาและรอทา่ นนบีอยทู่ นี่ น่ั
นบีมูฮัมมัดมาถึงพร้อมด้วยลุงของท่านคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ อัลอับบาส ซ่ึงตอนน้ันยังมิได้
เปลี่ยนมารับอิสลาม แต่ด้วยความเป็นห่วงหลานชายจึงติดตามมาด้วย สัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งนี้เรียกว่า
“สนธิสัญญาอัลอะเกะบะฮฺครั้งที่สอง ” ข้อความที่สําคัญในสัญญาคร้ังน้ีคือ กลุ่มตัวแทนจากเมืองยัษริบน้ี
สัญญาทป่ี กปูองนบีมูฮมั มัด และจะกระทําทกุ สิ่งทกุ อยา่ งเหมือนกบั การปกปูองภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาเอง
การทําสัญญาของพวกยัษริบในครั้งน้ีมี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร
เข้ารบั อิสลามหลังจากทมี่ ีการทําสนธสิ ัญญาอะเกาะบะฮฉฺ บับแรก
ข่าวนี้เมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารู้สึกไม่พอใจทันท่ี พวกเขาได้พากันมาหาหัวหน้าของ
เผ่าค็อซร็อจญ์ ณ ที่พัก แตฝ่ าุ ยมุสลมิ ก็เงยี บเสยี ทําให้พวกกุร็อยซฺไม่สามารถที่จะจับผิดได้ เพราะไม่มีหลักฐาน
ที่ชดั เจน ดังนนั้ พวกยัษริบจึงรีบกลับเมืองก่อนที่พวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได้ เมื่อพวกกุร็อยซฺรู้ความจริง พวก
เขาจึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทัน คงจับได้ชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใส่โซ่ตรวนและ
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ 8
ทรมาน จนกระท่ัง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ ต้องไปขอถ่ายตัวเขาด้วยเงิน
จาํ นวนหนง่ึ เพอื่ ให้พ้นโทษ
สนธิสญั ญาทําให้ทา่ นนบีมีความหวังและเปน็ การเปดิ ประตูสชู่ ยั ชนะ ส่วนพวกกุร็อยซฺมีความกลัวและวิตกกังวล
เปน็ อย่างมาก พวกเขาคดิ ว่าถา้ ขบวนการนีย้ งั ไมถ่ กู ทาํ ลายอย่างถอนรากถอนโคน อนาคตของพวกเขาจะตกอยู่
ในอันตราย ชัยชนะของมูฮัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใช้มารตราการข้ันเด็ดขาดกับมูฮัมมัดและชาว
มุสลิม ท่านนบีก็รู้ดีว่าการนองเลือดระหว่างพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไม่มีทางหลีกพ้น ท่านจึงส่ังใ ห้
มิตรสหายตลอดจนสาวกของท่านอพยพไปยงั เมอื งยัษริบ มุสลิมจึงเริ่มอพยพไปทีละคนทีละกลุ่ม บางคร้ังก็เป็น
กลมุ่ เลก็ ๆ ท้ังน้เี พอื่ ไมใ่ ห้พวกกุร็อยซเกดิ ความสงสยั อยา่ งไรก็ตามบางคนทจ่ี ับได้ ก็ถูกทรมานไป
การอพยพสู่เมืองมะดีนะ
มักกะฮฺเป็นสถานทีแ่ ห้งแล้งเต็มไปด้วยเนินเขา สภาพทางภูมิศาสตร์นับว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนในเมือง
เป็นอย่างมากทีเดียว ชาวมักกะฮฺมักเป็นคนอารมณ์ร้ายและไม่ค่อยมีความคิดที่ลึกซ้ึง ตรงกันข้ามยัษริบเป็น
เมอื งท่อี ดุ มสมบูรณม์ ีพืชผลไม้มากชนดิ ดนิ ฟูาอากาศ ก็ไม่ทารุณเหมือนมักกะฮฺ ผู้คนจึงมีจิตใจอ่อนโยน มีความ
เกรงใจและช่างคิด เพราะฉะน้ันในระยะต้นของการเผยแผ่อิสลามเมืองมะดีนะฮฺจึงเป็นท่ี ๆ เหมาะสมมากกว่า
มักกะฮฺมาก ในมะดีนะฮฺไม่มีพวกนักบวชคอยต่อต้านความเจริญเติบโตของอิสลามเหมือนในมักกะฮฺ ฉะน้ันจึง
เป็นการง่ายท่ีจะเผยแผ่คําสอนศาสนาอิสลามมากกว่าที่อื่น นอกจากนี้ในเมืองน้ียังมีชาวยิวอาศัยอยู่ด้วย
พวกยิวถือว่ามูฮัมมัดเป็นผู้สนับสนุนคัมภีร์ของพวกตน ฉะน้ันพวกเขาจึงรอต้อนรับท่านนบีด้วยความ
กระตือรอื ร้น
หลังจากท่ีท่านนบีได้ส่ังสานุศิษย์ของท่านให้โยกย้าย อพยพไปอยู่ท่ีเมืองยัษริบแล้ว ประกอบกับ
ทราบขา่ วว่าพวกกรุ อ็ ยซฺกาํ ลังวางแผนจะสงั หารท่านนบีอย่างแน่นอน และในเวลาเดียวกันน้ัน ท่านนบีได้รับคํา
บัญชาจากพระเจา้ ให้เดนิ ทางไปพร้อมกบั ทา่ นอบบู กั รฺ ท่านนบไี ด้หลบออกจากบ้านในเวลากลางคืน โดยให้ท่าน
อาลี บุตร อบฎู อลิบ นอนอย่บู นเตียงของท่าน ภายใต้สถานการณ์ที่คนหนุ่มจากเผ่าต่างๆ ได้ล้อมรอบบ้านท่าน
เพื่อรอการสังหารทา่ น ท่านไดห้ ลบหนีออกไปกับอบูบักร์โดยไปหลบอยู่ในถํ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองมัก
กะฮนฺ กั โดยไม่มีใครเห็น นอกจากอบั ดุลลอฮฺ ลูกของอบูบักรฺ กับน้องสาวสองคนของท่าน คือ อาอิชะฮฺ และอัส
มา ทง้ั สองไดซ้ อ่ นอยใู่ นถํา้ เป็นเวลาสามวัน ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกกุร็อยซฺตามตัวไม่พบ ถึงแม้ว่า
พวกเขาได้มาถึงปากถ้ําแล้วก็ตาม เพราะว่าหน้าปากถ้ํามีใยแมงมุมและมีนกพิราบมาสร้างรังอยู่ โดยท่ีพวกเขา
นกึ ไม่ถงึ ว่าท่านนบอี ย่ใู นถ้าํ นัน้
เมอ่ื เห็นว่าปลอดภัยดีแลว้ ท่านนบีและอบูบกั รฺจึงออกเดินทางต่อไป โดยมีคนใช้ชื่อว่า อับดุลลอฮฺ
อินุ อุรัยกิต เป็นผู้นําทาง ซ่ึงได้นําทางสองไปทางตอนใต้ของมักกะฮฺ แล้วออกเดินทางไปอย่างระมัดระวังตาม
เส้นทางที่ไม่มีผู้คนใช้ เพื่อหลีกเล่ียงไม่ให้พบกับพวกกุร็อยซฺ ในวันที่ 2 เดือนร็อบบิลอุลอัววัล ตรงกับเดือน
กรกฎาคม ค . ศ .622 ท่านนบีมาถึงท่เี มอื งกบุ าอฺ ซึง่ อยู่หา่ งจากเมืองยัษริบประมาณ 6 ไมล์ ณ ท่ีนั้นท่านนบีได้
สร้างมัสยิด ซึ่งมีช่ือว่า มัสยิดกุบาอฺ และถือว่าเป็นมัสยิดแห่งแรกในอิสลาม ท่านนบีได้พักที่น้ันเป็นเวลา
ประมาณสองอาทิตย์ จึงเดินทางเข้าเมืองยัษริบในวันศุกร์โดยมีชาวเมืองยัษริบออกมาต้อนรับเป็นจํานวนมาก
เหตกุ ารณค์ รัง้ นเ้ี รยี กว่าการอพยพหรือ ฮจิ ญ์เราะฮอฺ ันเป็นการเริม่ ตน้ ศกั ราชของชาวมสุ ลมิ
นับแต่นั้นมา เวลาแห่งการประหัตประหารชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺก็เป็นอันสิ้นสุดลง และยุค
แห่งเมืองมะดีนะฮฺก็เริ่มต้นข้ึน ภาระกิจของท่านนบียังไม่สําเร็จเสร็จส้ินแต่ความสําเร็จก็เริ่มขึ้นแล้วท่ีมะดีนะฮฺ
ท่านนบีไม่เพียงแต่ได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติเท่านั้น แต่ยังได้รับการแต่งต้ังให้เป็นประธานของชุมชนอีก
ดว้ ย สถานะและอํานาจของท่านนบีก็เพ่ิมขึ้น และอิสลามก็ได้ตั้งหลักปักฐานมั่นคงขึ้นทุกวัน ณ เมืองนี้ท่านนบี
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น 9
มีอสิ รภาพท่ีจะเทศนาคําสอนของพระผู้เปน็ เจา้ ท่ามกลางผหู้ ลงผิด ในท่สี ุดกห็ นั มามีศรัทธาในศาสนาใหม่นี้มาก
ขน้ึ และไดแ้ ผ่ขยายออกไปเรือ่ ย ๆ
เม่อื ท่านนบไี ด้มาอยู่ท่ีเมืองยัษริบแล้ว เมืองนั้นก็ได้รับขนานนามใหม่เป็นมะดีนะตุนนะบี หรือเมือง
แห่งนบี ภาระกิจแรกท่ีท่านนบีทําที่เมืองนี้ก็คือสร้างมัสญิดข้ึนหน่ึงหลังซ่ึงท่านได้ลงมือทํางานเองเหมือน
กรรมกรคนหนึง่ มสั ญิดหลงั นเี้ ปน็ สถานทท่ี าํ การละหมาดและศนู ย์ร่วมการเผยแผ่ศาสนาอสิ ลาม
ในสมัยน้ัน มะดีนะฮฺประกอบด้วยกลุ่มคน เผ่าพันธ์หลายกลุ่มด้วยกัน นอกจากเผ่าเอาสฺ
และค็อซร็อจญ์แล้ว ยังมีเผ่าพันธ์พวกยิวจํานวนหนึ่ง เช่น เผ่าก็อยนุกออฺ เผ่ากูรอยเซาะฮฺ เผ่านะฎีร และ
เผ่าค็อยบัร ท่านนบีรู้ดีว่าความหลากหลายในเผ่าพันธ์นั้น อาจสร้างความวุนวายเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่าง
ชาวยิวคงไม่ยิ่งดีนักที่เห็นความสําเร็จของศาสนาอิสลาม เพราะชาวยิวมักจะพูดเสมอว่าตนเป็นประชาชาติที่
พระเจ้าทรงคัดเลือกและมีความประเสริฐกว่าประชาชาติอื่นๆ ในโลก ด้วยเหตุดังกล่าวน้ี ท่านนบีได้รีบสร้าง
ความเป็นปกึ แผ่นเปน็ อันหน่ึงเดยี วกนั ในหม่มู สุ ลิม โดยใชศ้ าสนาเป็นตวั กระตนุ้ สร้างความเป็นเอกภาพและภาร
ดรภาพเกดิ ขนึ้ ในสังคมมุสลิมมะดนี ะฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมุสลิมที่อพยพมากมักกะฮฺ หรือท่ีเรียกว่า
กลุ่มมุฮาญิรีน ซงึ่ เป็นผ้ลู ี้ภัย และชาวมุสลิมพืน้ เมอื ง หรอื ที่เรยี กวา่ กลมุ่ อนั ศอร ซ่งึ เป็นผู้ใหค้ วามชว่ ยเหลือ
ชาวอันศอรนอกจากชว่ ยเหลือในยามคับขันแล้ว คนเหล่านี้ยังเสียสละเงินทอง จัดหาบ้านเรือนและ
ทรัพย์สมบัติให้แก่ชาวมุฮาญิรีน ความเป็นพี่น้องระหว่างชาวมุฮาญิรีนกับชาวอันศอรน้ันได้เป็นไปอย่างลึกซึ้ง
กระทั่งยอมหย่าภรรยาตนเองเพื่อมอบให้แก่ชาวมุฮาญิรีน และสามารถรับมรดกของกันและกันได้เวลาคนหน่ึง
คนใดส้ินชีวิตไป เมื่ออิสลามเจริญรุ่งเรืองข้ึนจนเป็นกลุ่มอํานาจที่เป็นเอกเทศแยกออกไป บรรดาผู้ท่ีถือรูป
เคารพท้ังหลายท่ียังไม่รับอิสลามต่างก็พากันอิจฉาริษยา มีบางคนท่ีทําท่ีเป็นเข้ารับอิสลามแต่ภายในนั้นตั้งใจท่ี
จะตอ่ ต้านทา่ นนบอี ยอู่ ยา่ งลับ ๆ พวกนี้เรยี กว่าพวกมุนาฟิกูน หรือพวกหนา้ ไหว้หลังหลอก ขาดความจริงใจ คน
เหล่าน้ีเป็นคนท่ีมีอันตรายมากยิ่งกว่าศัตรูท่ีเปิดเผยเสียอีก ส่วนชาวยิวในมะดีนะฮฺน้ันเป็นอีกรูปแบบหน่ึง
กล่าวคือตอนแรกพวกเขาร่วมกันกับชาวมะดีนะฮฺในการต้อนรับท่านนบีเป็นอันดี ท้ังนี้พวกเขาหวังที่จะชักชวน
ท่านนบีมาเข้าเป็นพวกของตน แต่เมื่อภายหลังได้พบว่าพวกเขาไม่อาจจะทําได้ พวกเขาจึงค่อย ๆ ถอนความ
ชว่ ยเหลอื ออกไปทลี ะนอ้ ย ๆ และไดก้ ลายเปน็ ศตั รขู องอสิ ลามไปในทส่ี ดุ
สถาบันทางการเมืองสมัยท่านนบีมฮู ัมมดั ( ซ.ล.)
ท่านนบีพยายามสร้างความรู้สึกความเป็นพี่น้องข้ึนระหว่างคนเหล่าน้ันให้มากที่สุด เพราะท่านแล
เห็นความจริงที่ว่าอาณาจักรอิสลามจะมีรากฐานที่แข็งแรงไม่ได้หากไม่ได้รับการคํ้าจุนจากประชาชนทุกฝุาย
ความมีขันติต่อศาสนาอ่ืน ๆ นั้นเป็นสิ่งที่จําเป็นในเม่ือมีคนหลายเผ่าหลายชาติอาศัยอยู่รวมกัน ด้วย
วัตถปุ ระสงคน์ ีท้ า่ นนบจี งึ ได้จัดตั้งระเบยี บขึ้นเรียกวา่ ” ธรรมนูญแหง่ มะดนี ะฮฺ “ ซ่งึ เป็นระเบียบเพ่ือการเลิกล้ม
การอาฆาตพยาบาทกันระหว่างเผ่าและเพ่ือให้สิทธิ์ต่างแก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะชาวยิวท่ีอาศัยอยู่ในมะ
ดนี ะฮแฺ ละรอบ ๆ มะดีนะฮฺ เนอ้ื ความสาํ คญั ในธรรมนญู นน้ั มีอยดู่ ังนี้
1) ชมุ ชนทัง้ หลายท่ลี งนามในพนั ธะสญั ญา นี้จกั เป็นชาตเิ ดยี วกัน
2) ถ้ากลุ่มชนใดท่ีลงนามในพันธะสัญญาน้ีถูกข้าศึกศัตรูรุกรานชนกลุ่มอ่ืนจะรวมกําลังกันช่วย ทําการ
ปกปูอง
3) จกั ไมม่ กี ล่มุ ชนใดในชาติเดียวกันน้ไี ปทําสนธสิ ัญญาอย่างลับ ๆ กับพวกกุร็อยช์ หรือให้ท่ีพึ่งพาอาศัย
แก่คนเหล่าน้ันหรอื ชว่ ยเหลอื คนเหล่านนั้ ใหต้ ่อตา้ นชาวมะดนี ะฮฺ
4) ชาวมุสลิม ชาวยิวและชุมชนอื่น ๆ ของสาธารณรัฐนี้ย่อมมีอิสระที่จะนับถือศาสนาของตนได้และ
ปฏบิ ัตกิ จิ ตามศาสนาของตนได้โดยไมม่ ีใครขดั ขวาง
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 10
5) การการะทําผิดส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ท่ีไม่ใช่มุสลิมจะต้องถือว่าเป็นความผิดส่วนตัวไม่
เก่ยี วขอ้ งกบั ชุมชนทีบ่ คุ คลนั้นอยู่
6) ผูท้ ี่ถกู กดขี่จะต้องไดร้ บั การปกปูอง
7) นับต้ังแต่นี้ไปการทําให้เลือดตกยางออก การฆ่าและความรุนแรงต่าง ๆ ถือว่าเป็นส่ิงหะรอม
(นา่ รงั เกยี จ) ในมะดีนะฮฺ
8) นบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) นบีแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นประธานของสาธารณรัฐ และจะเป็นศาลอุทธรณ์
สงู สดุ ในดนิ แดนนี้
ความสําคัญของธรรมนูญน้ีอยู่ตรงที่ว่าเป็นธรรมนูญฉบับแรกในโลกที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนหน้าท่ี
ท่านนบไี ด้มผี ู้ปกครอง แต่กไ็ มม่ ใี ครเคยให้รัฐธรรมนญู ทีเ่ ขียนเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษรแกป่ ระชาชนของตน
ท่านนบีมูฮัมมัดเป็นคนแรกท่ีประจักษ์ถึงความสําคัญของความร่วมมือและการให้ความสําคัญต่อ
ประชาชนในการบรหิ ารรฐั และการรักษาสัญญาน้ียังได้แสดงใหเ้ ห็นดว้ ยว่าท่านนบีมูฮัมมัดมิใช่เป็นแต่นักส่ังสอน
ศาสนาเท่าน้นั แตย่ ังเป็นรัฐบุรษุ ที่เป็นนักปกครองที่ดดี ้วย
เม่ือศาสนาอสิ ลามได้ก่อตัวเป็นรัฐแล้ว มีความจําเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีความพร้อมในด้านกําลังทหาร
การเมืองและเศรษฐกิจ มิฉะนั้นแล้วรัฐอิสลามแห่งมะดีนะฮฺจะถูกโจมตี และรุกรานจากพวกกุร็อยซฺ และเหล่า
ศัตรูรอบๆ มะดีนะฮฺได้ง่าย นักประวัติศาสตร์ที่ไม่หวังดีต่ออิสลามหลายท่านกล่าวหาศาสนาอิสลามว่าชอบทํา
สงคราม และเผยแผ่ศาสนาด้วยคมดาบ อันท่ีจริงแล้วอิสลามเป็นศาสนาสันติ ท่ีจําเป็นต้องทําสงครามน้ันก็
เพราะว่าเพื่อปกปูองศาสนาและอธิปไตยของรัฐเท่านั้น ในสมัยของท่านนบีเองหลังจากอพยพมายังมะดีนะฮฺ
แล้วมีสงครามเกดิ ขนึ้ ระหว่างชาวมุสลิมกบั ศตั รูตา่ งๆ ถึง 47 ครงั้ และในจํานวนนัน้ ท่านนบีเข้าร่วมสงครามด้วย
ตนเองถึง 27 ครัง้ ในบรรดาสงครามต่างๆ เหลา่ น้ี มีสงครามที่สําคัญดังนี้
สงครามท่ีสาคญั
สงครามบัดร์
สงครามบัดรฺเป็นสงครามครั้งแรก และเป็นสงครามท่ีสําคัญที่สุดท่ีเกิดข้ึนระหว่างชาวมุสลิมกับพวก
กรุ ็อยซฺ เกิดขึ้นในเดือนรอมฏอนปีที่ 2 หลังจากอพยพ หรือ ค . ศ . 624 ณ บ่อบัดรฺ ซึ่งกองทัพมุสลิมมีจํานวน
พล 313 คน ส่วนกองทพั กุรอ็ ยซฺมจี ํานวนผลประมาณหนงึ่ พนั คน โดยมอี บูญะฮัลเปน็ แมท่ ัพ
สาเหตขุ องสงคราม
สาเหตุของสงครามบัดรในคร้ังนี้กล่าวคือ ท่านนบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) ทราบข่าวว่ากองคาราวานพาณิชย์
ของพวกกุร็อยซฺ ซึ่งนําโดยอบูซุฟยานกลับมาจากซีเรีย ท่านนบบีได้ปรึกษาหารือกับเหล่าสาวกของท่าน และ
ตัดสินใจท่ีจะส่งทหารไปโจมตีกองคาราวานของอบูซุฟยานนี้ อบูซุฟยานไหวตัวก่อน จึงเปลี่ยนเส้นทาง พร้อม
กับขอกําลังช่วยเหลือจากมักกะฮฺ ฝุายกุร็อยซฺมักกะฮฺจึงยกกองทัพมาเพ่ือที่จะบดขยี้ฝุายมุสลิม กองทัพท้ังสอง
ฝุายได้ประจัญบานกัน ณ บ่อบัดรฺ ซึ่งอยู่ห่างจากมะดีนะฮฺเพียงไม่กี่ไมล์ ท่านนบีส่ังให้ตั้งทัพอยู่ใกล้กับเนิน
เขาอัล อาริช และเพื่อจะตัดน้ําจากฝุายข้าศึกซ่ึงต้ังทัพอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา ท่านจึงได้สั่งขุดบ่อขนาดใหญ่
ขึ้นหลายบ่อให้น้ําไหลกลับเข้ามาในบ่อเหล่าน้ัน ท้ังนี้มิใช่เพียงเพื่อกันไม่ให้สายนํ้าไหลเข้าสู่ค่ายพักของพวก
ขา้ ศึกเท่านนั้ แต่เพื่อเก็บน้ําไว้ให้ฝุายมุสลิมใช้ด้วย ตอนเช้าตรู่ของวันท่ี 13 มีนาคม ค . ศ . 624 ท่านได้จัดทัพ
และให้คําแนะนําแก่พวกทหารของท่านก่อนจะเคล่ือนทัพไป ท่านได้วิงวอนขอต่อพระเจ้า ขอให้ทหารของท่าน
มชี ยั ชนะต่อกองทัพของขา้ ศึกทม่ี จี ํานวนมากกวา่ หลายเท่า
ตามธรรมเนียมของอาหรับ นายทัพของทั้งสองฝุายจะต้องต่อสู้กันตัวต่อตัว นายทัพของฝุายกุร็อยช์มี
ชัยบะฮ อุตบะฮและวะลีด บิน อุตบะฮได้ท้าทายนายทัพฝุายมุสลิม ซ่ึงมีอุบัยดะฮฺ ฮัมซะฮฺและอะลีออกไปสู้
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 11
กันตัวต่อตัว นายทัพฝุายกุร็อยช์ต่อสู้อย่างกล้าหาญแต่ก็แพ้และถูกฆ่าตายเกือบหมด กองทัพท้ังสองจึงเข้า
ประจัญบานกัน ด้วยขวัญและกําลังใจท่ีเหนือกว่า ประกอบกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในที่สุดกองทัพมัก
กะฮฺก็พ่ายแพ้ พวกทหารท่ีเหลือต่างก็แตกทัพและหนีออกจากสนามรบ ทหารที่เหลือถูกจับเป็นเชลยเป็น
จาํ นวนมาก อบูญะฮลั ผเู้ ป็นปรปกั ษท์ ีร่ า้ ยกาจท่สี ุดของทา่ นนบกี ถ็ กู ฆ่าตายในสนามรบด้วย
ผลของสงคราม
ผลของสงครามในครัง้ นี้ฝุายมสุ ลมิ ได้รบั ชยั ชนะ ทหารของกุร็อยซฺถูกฆ่าตาย 70 คน และถูกจับเป็นเชลย
เป็นจํานวนมาก ส่วนฝุายมุสลิมเป็นซะฮีดแค่ 14 คนเท่านั้น ท่านนบีได้ส่ังให้สานุศิษย์ของท่านปฏิบัติต่อเชลย
ศกึ ที่ไม่มีเสือ้ ผ้าใสก่ ็รบั แจกเสือ้ ผ้า และพวกเขาไดร้ ับการเลี้ยงดูดว้ ยอาหารเช่นเดียวกับฝุายมุสลิม มุสลิมบางคน
ถงึ กับสละขนมปังใหเ้ ชลยศึกกนิ ส่วนตวั เองกินเพียงอนิ ทผลมั ต่อมาท่านนบีก็ตัดสินใจที่จะปล่อยเชลยศึกไปโดย
ให้มีการเสียค่าไถ่ แม้แต่ญาติของท่านเองก็ให้สอนหนังสือให้แก่เด็กชายมุสลิมสิบคนแทนการเสียค่าไถ่ ส่วน
พวกทีย่ ากจนไมม่ ีเงินคา่ ไถก่ ็ได้รบั การปล่อยตวั ไปโดยให้สัญญาว่าจะไม่ต่อสู้กับมุสลิมอีกในภายหน้า การปฏิบัติ
ของมสุ ลิมตอ่ เชลยศกึ อยา่ งโอบออ้ มอารีเชน่ น้เี ปน็ ส่งิ ที่ไม่เคยมีมากอ่ นเลยในประวตั ิศาสตร์
ผลของสงครามบัดรฺเป็นเหตุการณ์ท่ีมีความหมายต่อชะตากรรมขอลงอิสลามอย่างมากท่ีสุดใน
ประวัติศาสตร์ของอิสลาม เพราะหากฝุายมุสลิมไม่สามารถเอาชนะสงครามคร้ังนี้ได้ อิสลามก็อาจจะถูกกวาด
ลา้ งใหส้ ญู ไปจากโลกนีเ้ ลยก็ได้ ชัยชนะในสงครามครั้งนไ้ี ดใ้ ห้ความหวงั ใหม่แกช่ าวมุสลิมและเปน็ กําลังใจแก่พวก
เขาเปน็ อยา่ งมาก ในสงครามนอี้ ํานาจของพวกกุร็อยช์ก็ถูกทําลายลงและความหย่ิงผยองของพวกเขาก็ลดลงไป
ด้วย ในขณะท่อี ิทธิพลของทา่ นนบีมูฮมั มดั ( ซ.ล.) และอาํ นาจของอิสลามเริ่มมีมากข้ึนตลอดไปถึงอาณาบริเวณ
นอกเมอื งมะดนี ะฮฺดว้ ย สงครามคร้งั นีย้ งั มีผลกระทบกระเทือนอย่างหนักต่อชาวยิวและชนเผ่าใกล้เคียงคือ เบดู
อินพวกเขาได้รู้ว่าบัดน้ีได้มีพลังอันไม่อาจจะเอาชนะได้เกิดข้ึนแล้วในอารเบีย แต่ก่อนน้ีพวกยิวไ ม่ได้ให้
ความสําคัญอันใดแก่ชาวมุสลิมนักแต่เด๋ียวนี้พวกเขาเร่ิมรู้ถึงความเข้มแข็งของมุสลิม สงครามบัดร์ช่วยให้ฝุาย
มุสลิมผนกึ กาํ ลังของอิสลามในมะดีนะฮฺ และทาํ ให้พวกเขาตอ่ สกู้ ับผคู้ นทมี่ ที ฐิ ใิ นเมืองนั้น ไดอ้ ยา่ งไมห่ วาดหวัน่
สงครามอฮุ ุดเกิดข้ึนในปีที่ 3 หลังจากอพยพ หรือ ค . ศ . 625 ณ เชิงเขาอุฮุดทางตอนเหนือของเมือง
มะดีนะฮฺ โดยฝุายกุร็อยซฺมีกําลังพลถึง 3,000 คน ซึ่งนําโดยอบูซุฟยาน ส่วนฝุายมุสลิมมีกําลังพลแค่ 700 คน
เท่านนั้
สงครามอฮุ ุด
สาเหตุของสงคราม
พวกกุร็อยช์ไม่อาจจะลืมความพ่ายแพ้อย่างยับเยินท่ีฝุายตนได้รับในสงครามบัดร์ได้ ทําให้หัวหน้าบาง
คนของพวกเขาอยา่ งเช่นอบูญะฮช์และอุตบะฮฺได้ถูกฆ่าตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้น นับแต่นั้นมาก็มีเสียงกู่ก้องแก้
แค้นดังข้ึนท่ัวหุบเขาแห่งมักกะฮฺ นอกจากน้ันการท่ีพวกลูกหลานของฮาชิมมีอํานาจสูงขึ้นภายใต้การนําของ
ท่านนบีก็ยังเป็นท่ีบาดใจของพวกอุมยยะฮฺอีกด้วย ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนสองสาขาของตระกูล
กรุ อ็ ยชค์ อื พวกฮาชมิ กับอุมยั ยะฮจฺ งึ เป็นเรื่องทหี่ ลกี เลยี่ งไม่ได้
ในปีท่ี 3 แหง่ ฮิจญเ์ ราะฮฺพวกกุรอ็ ยช์ได้เคล่ือนกองทัพมีจํานวน 3000 คนภายใต้การนําของอุบูซุฟยาน
ตรงมายังมะดีนะฮฺหลังจากเดินมาได้สิบวันก็มาถึงหุบเขาอะกีก ซ่ึงอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของมะดีนะฮฺ
ประมาณห้าไมล์ และได้ตั้งค่ายอยู่ท่ีเชิงเขาอุฮุดซ่ึงอยู่ทางเหนือของมะดีนะฮฺ ภายในภูเขามีถํ้ากว้างพอที่จะ
บรรจคุ นได้หลายพนั คน
เม่ือท่านนบีได้ข่าวว่า กองทัพพวกกุร็อยชฺเคลื่อนมาจึงได้ส่ังให้สานุศิษย์ของท่านเตรียมตัวไว้ท่านนบี
ต้องการจะรับศึกในเมือง แต่บรรดาทหารหนุ่มท้ังหลายน้ันกระตือรือร้นใคร่จะออกไปรับมือข้าศึกที่นอกเมือง
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 12
เป็นเหตุให้ท่านนบีต้องตัดสินใจยกทัพออกนอกมะดีนะฮฺ ฝุายมุสลิมมีทหารจํานวนหนึ่งพันคน แต่ในระหว่าง
ทางหัวหน้ามุนาฟิกคืออับดุลลอฮ อิบนุ อุบัยดฺ กับพรรคพวกของเขาจํานวน 300 คนได้ละทิ้งกองทัพไปเสีย
กองทัพของฝุายมุสลิมจงึ เหลือเพียง 700 คนเท่าน้ัน กองทัพอิสลามเคล่ือนทัพมายังภูเขาอุฮุดและใช้ถํ้าในภูเขา
เป็นทีต่ ั้งคา่ ยทหาร ทา่ นนบีได้ตดั สินใจท่ีจะต่อสู้ตรงส่วนโค้งด้านนอกของภูเขาและได้ส่ังให้ทหารธนูจํานวน 50
คนเข้าประจําท่ีบนเนินเขาอัยนัยน์ (Ainain) ทหารแม่นธนูเหล่าน้ันร่วมกับทหารม้ากองเล็ก ๆ จะเป็นผู้คอย
คุ้มครองทางผ่านระหว่างภูเขาอุฮุดกับเนินเขาอัยนัยน์ ไม่ให้ฝุายข้าศึกโจมตีมาจากด้านหลังกองทัพมุสลิมได้
เม่ือฝุายกุร็อยช์รู้ว่ากองทัพของฝุายมุสลิมมาถึงแล้ว ก็ออกมารับมือด้วยกองทหารราบท้ังหมดกับกองทหารม้า
อีกคร่ึงกองภายใต้การนําของอิคริมะฮฺ ส่วนทหารม้าอีกครึ่งกองภายใต้การนําของคอลิด บิน วะลีด จะอ้อมไป
โจมตฝี าุ ยมสุ ลมิ จากดา้ นหลัง
ผลของสงคราม
ในระหว่างการสู้รบตอนแรกฝุายมุสลิมได้ชัยชนะ แต่ยังไม่ทันที่การรบจะสิ้นสุดลง กองทหารธนูเห็น
ชัยชนะเปน็ ของพวกตน จงึ ได้ลงมารุกไลฝ่ าุ ยศตั รแู ละช่วยกันเก็บทรัพย์สินสงครามโดยละทิ้งหน้าที่ ท้ังๆที่ท่านน
บีไดส้ งั่ แล้ววา่ ห้ามละท้ิงหน้าทเ่ี ป็นอันขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพฝุายมุสลิมจึงระสํ่าระสายไม่เป็นระเบียบ
คอลดิ เห็นได้โอกาสจึงลอบเข้าโจมตีกองทัพมุสลิมจากด้านหลัง ทําให้ฝุายมุสลิมพ่ายแพ้แตกกระจัดกระจายไป
ท่านนบพี ยายามท่จี ะนาํ พวกเขากลบั มาแตก่ ็ไมส่ ําเร็จ ฝุายกุรอ็ ยชฺได้ขว้างก้อนหินมายังท่านนบีจนทําให้ท่านล้ม
ลงบนพ้ืนดิน ปากแตก ฟันหักไปหลายซ่ี ท่านพยายามลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงไปอีกในหลุมที่พวกกุร็อยซฺขุดดักไว้
ท่านอะลีและฏ็อลฮะฮฺ ก็ได้พยุงท่านให้ลุกข้ึนมา และในเวลานั้นมีข่าวลือไปว่าท่านนบีถูกฆ่าเสียแล้ว อันที่จริง
น้ันท่านเพียงแต่ตกตลึงไปเท่านั้น . ท่านได้ไต่เข้าไปซ่อนในถ้ําในภูเขาอุฮุดซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ของท่านกําลังรอ
อยู่ ฝาุ ยมสุ ลิมสูญเสียชีวิตเปน็ ซะฮีด 70 คน ในสงครามนม้ี ีเหตุการณ์ท่นี ่าเศร้าเกิดข้ึนกล่าวคือ นางฮินด์ ซึ่งเป็น
ภรรยาของอบูซุฟยานได้ทําร้ายศพชาวมุสลิมโดยการตัดหู ตัดจมูกอย่างบ้าคล่ัง และท่ีน่าเศร้าที่สุดนางได้ผ่า
ท้องท่านฮัมซะฮฺซ่ึงเป็นลุงของท่านนบี ควักตับออกมาเคี้ยวกิน เพ่ือแก้แค้นที่ท่านฮัมซะฮฺได้ฆ่าญาติพี่น้องของ
นางในสงครามบัดรฺคร้งั ท่แี ล้ว
สงครามกับยิวเผา่ นะฎรี
เผ่านะฎีรเป็นชาวยิวหน่ึงในสามเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ คือ ยิวเผ่าก็อยนุกออฺ และยิวเผ่า
กุร็อยซะฮฺ ยิวเผ่าก็อยนุกออฺน้ันถูกขับไล่ออกจากเมืองมะดีนะฮฺแล้วเม่ือฮิจเราะฮฺศักราชท่ี 3 ท้ังน้ีพวกเขาได้
ละเมิดสนธิสัญญาสนั ตทิ ่ที าํ ขึ้นกับชาวมุสลิม ส่วนสงครามยิวเผ่านะฎีรน้ันเกิดขึ้นเมื่อเดือนร็อบบิลอุลอัววัล ปีที่
4 แห่งฮิเราะฮฺศกั ราช
สาเหตุและผลของสงคราม
มีอยู่วันหน่ึง ท่านนบีพร้อมกับสหายของท่านไปเย่ียมยิวเผ่านะฎีร ณ หมู่บ้านของพวกเขา ท้ังนี้
เพอ่ื ที่จะตกลงในเรื่องค่าชดเชยท่ีอมุ รั บนิ อมุ ัยยะฮซฺ ึ่งเป็นมุสลิม ได้ฆ่าชาวยิวเผา่ อามิรสองคนตายโดยไม่เจตนา
ในขณะทีท่ า่ นนบีเข้าไปในหมบู่ ้านพวกยิวเผ่านะฎีรน้ัน พวกเขาได้วางแผนลอบสังหารท่านนบีโดยการโยนก้อน
หินจากหลงั คาบ้านลงมาบนศรษี ะของทา่ นนบี แตแ่ ผนการณ์อันช่วั รา้ ยน้รี บั รู้ถงึ ทา่ นนบีโดยการบอกของมะลาอิ
กะฮฺ ทา่ นนบีจึงถอยออกจากหมู่บ้านนั้น และรบี กลบั มายงั มะดีนะฮฺคนเดียว โดยไม่บอกให้สหายของท่านทราบ
และปล่อยให้พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านชาวยิวน้ัน สหายของท่านรู้สึกแปลกใจที่นบีหายไป จึงช่วยกันหา ระหว่าง
ทางเจอกับคนคนหน่งึ ทพ่ี งึ กลบั มาจากมะดนี ะฮฺและทราบว่าท่านนบกี ลับมาถงึ มะดนี ะฮฺแล้ว
ท่านนบีเล่าถงึ แผนการรา้ ยนใี้ หแ้ กส่ าวกผูใ้ กลช้ ิดไดร้ ับรู้ และปรกึ ษาหารือกันเพือ่ จะจัดการกับยิวกลุ่มน้ี
จึงมีมตติ กลงกันส่งทา่ นมูฮัมมัด บิน มัสละมะฮฺ เป็นตัวแทนของท่านไปย่ืนคําขาดให้แก่ยิวเผ่านะฎีรให้ออกจาก
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 13
พื้นที่มะดีนะฮฺภายใน 10 วัน ฐานละเมิดสนธิสัญญาและพยายามลอบสังหารท่านนบี เมื่อพวกเขาทราบว่าถูก
เนรเทศออกจากมะดีนะฮฺ จึงคิดปักหลักต่อสู้ทันที หัวหน้าของพวกเขาที่มีช่ือว่า ฮูยัย อิบนุอัคตอบ ได้ส่ังพัก
พวกเขาเตรียมอาวุธ อาหารและสัมภาระอื่นๆ ตั้งม่ันอยู่ในปูอมค่าย ท่านนบีได้ยกทัพมาปิดล้อมพวกเขา
สงครามดําเนินไปประมาณ 15 วัน 15 คืน ในที่สุดพวกยิวจึงยอมแพ้ พวกเขาได้ขอร้องให้ท่านนบีไว้ชีวิตและ
ปลอ่ ยพวกเขาไป ทา่ นนบีไดป้ ลอ่ ยพวกเขาโดยมเี งือ่ นไขวา่
• ยิวเผ่านะฎีรทกุ คนจะต้องออกจากมะดนี ะฮฺ ยกเวน้ ผทู้ ่เี ข้ารบั อสิ ลาม
• หา้ มนําอาวุธและสัมภาระอ่ืนๆ เวน้ แตท่ ีจ่ าํ เปน็ เทา่ น้ัน
• อนญุ าตใหช้ าวยวิ สามารถนําอฐู ออกไปได้ครอบครัวละ 3 ตวั
ส่วนหน่ึงของพวกเขาได้อพยพตั้งหลักแหล่งที่ค็อยบัร และอีกส่วนหน่ึงไปอยู่ทางใต้ของซีเรีย กองทัพ
มสุ ลิมสามารถยดึ อาวุธยทุ โธปกรณ์ อาหารและทดี่ นิ ของพวกยิวเผานะฎรี นเ้ี ป็นจาํ วนมาก
สงครามคูเมอื ง(ค็อนดัก)
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนซาวัล ปีที่ 5 ของฮิเราะฮศักราช เกิดขึ้นในรอบๆ เมืองมะดีนะฮฺ ท่ีมีชื่อว่า
สงครามคูเมือง หรือค็อนดักนั้น เพราะว่าฝุายมุสลิมได้ขุดคูรอบๆ มะดีนะฮฺเพ่ือปกปูองการโจมตีของฝุายศัตรู
สงครามนี้มีช่ือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามอัหซาบ แปลว่าเผ่าและกลุ่มต่างๆ กล่าวคือ ฝุายกุร็อยซฺมักกะฮฺได้
พยายามรวบรวมพนั ธมิตรจากเผา่ และกลมุ่ ต่างๆ เปน็ จาํ นวนมากมาโจมตเี มอื งมะดีนะฮฺ
สาเหตขุ องสงคราม
ถึงแม้ว่ามุสลิมจะพ่ายแพ้ในสงครามอุฮุด แต่ในเวลาต่อมาก็สามารถรวมกําลังกันได้เข้มแข็งกว่าเดิม
พวกกรุ ็อยช์ยงั ตอ้ งการที่จะเขน่ ฆ่าพวกมสุ ลิมอยู่ตอ่ ไป พวกเบดูอินเผ่าต่างๆ ซึ่งไม่ชอบใจที่ท่านนบีคอยขัดขวาง
ไม่ให้พวกเขาคอยดักปล้นสดมภ์คนเดินทาง จึงเข้าสมทบกับพวกกุร็อยชฺด้วย พวกยิวเผ่านะฎิรท่ีถูกขับไล่ออก
จากเมืองเพราะทําการทรยศและประพฤติมิชอบ จึงได้คบคิดกับพวกกุร็อยช์และพวกเบดูอินเผ่าต่างๆ ต่อต้าน
มสุ ลมิ
ในปีที่ 5 แห่งฮิจเราะฮศฺ กั ราช หรอื ค . ศ . 627 พวกกุร็อยชฺ เบดูอินเผ่าต่างๆ และยิวรวมหัวกันตกลง
จะโจมตีเมืองมะดีนะฮฺ จึงได้ยกกองทัพใหญ่ประกอบด้วยพลทหาร 10,000 คน พร้อมด้วยม้า 600 ตัว ภายใต้
การนาํ ของอบซู ุฟยาน เมื่อท่านนบีได้ทราบข่าวของข้าศึกก็รวบรวมกําลังคนได้ 3000 คน เพื่อรอรับข้าศึก ด้วย
คําแนะนําของซัลมาน อัล ฟาริซียะฮฺ ท่านนบีได้ให้ขุดคูยาวล้อมเมืองไว้ และสั่งให้ผู้คนท่ีอยู่นอกเมืองเข้ามา
รวมกันอยู่ในเมือง ส่งพวกผู้หญิงและเด็กๆ ไปไว้ในหอคอยและปูอมต่างๆ กองทัพพวกกุร็อยชฺและบรรดา
พันธมติ รเขา้ มาลอ้ มเมอื ง พยายามจะโจมตแี ละยดึ เมืองมะดีนะฮฺไว้ แต่ฝุายมุสลิมก็ตอบโต้ไว้ได้ทุกครั้ง สงคราม
ได้ยดื เย้อื นานหลายสปั ดาห์ ซ่ึงในระหว่างน้ันเสบียงอาหารของฝุายกุร็อยชฺได้ร่อยหรอลง ทําให้พวกเขาลังเลใจ
และเบื่อหน่ายที่ปิดล้อมเมืองมะดีนะฮฺอย่างไร้ผลและไม่เห็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด และในระหว่างน้ันเกิดความ
ไม่ไว้วางใจระหว่างพันธมิตรของกุรอ็ ยซฺด้วยกัน ประกอบกับมีพายุพัดกระหนํ่าอย่างรุนแรงทําให้ค่ายทหารของ
ฝุายกุร็อยซฺเสียหายเป็นจํานวนมาก อบูซุฟยานจึงตัดสินใจถอนกําลังถอยกลับมักกะฮฺ พวกเบดูอินเผ่าต่างๆ
และพวกยวิ ต่างกท็ ยอยถอนกาํ ลงั ไป และต่างก็ร้สู ึกหมดกาํ ลังใจท่ีทาํ สงครามไม่ได้ผล
ผลของสงคราม
ถึงแม้ว่าสงครามในคร้ังน้ีฝุายมุสลิมตายซะฮีด 6 คน ฝุายกุร็อยซฺตายเพียง 4 คน ก็ตาม แต่ผลของ
สงครามนั้นบง่ บอกถึงความพ่ายแพ้ของฝาุ ยกรุ อ็ ยซฺ และเหล่าพันธมิตรของพวกเขาอย่างยบั เยิน ผลของสงคราม
คูเมืองเป็นเสมือนหัวเล้ียวหัวต่อในประวัติศาสตร์อิสลาม การโจมตีของฝุายกุร็อยชฺไม่ได้ผลถึงแม้ว่าเขาได้
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารคี 2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 14
พยายามรวบรวมพันธมิตรจากเผ่าต่างๆ แล้วก็ตาม แสดงถึงความอ่อนแอของกําลังทหารของฝุายพวกเขา
ศักดิ์ศรีของพวกกุร็อยชฺจึงเส่ือมคลาย ตรงกันข้าม ชัยชนะในสงครามทําให้ท่านนบีมีเกียรติยศสูงส่งขึ้นอีกใน
ฐานะเป็นผู้ปูองกันเมืองไว้จากการรุกรานของศัตรูได้ บัดน้ีชาวเมืองมะดีนะฮฺจึงถือว่าท่านเป็นผู้ปกครองเมือง
น้ันอย่างเด็ดขาด ชัยชนะท่ีฝุายมุสลิมมีต่อกองทัพซ่ึงมีจํานวนมหาศาลกว่าครั้งนี้ได้ยังผลให้เผ่าต่างๆ ท่ีอยู่
ใกล้เคียงเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อฝุายมุสลิมอีกด้วย นับต้ังแต่น้ันมาอิสลามก็ได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในทา่ มกลางชนเผ่าใกลเ้ คียง
ในปี ฮ.ศ. ที่ 6 ท่านนบีได้ทําสัญญากับชาวคริสเตียน อันเป็นเหตุการณ์ท่ีมีขันติธรรมอย่างแท้จริงของ
ท่าน ชาวคริสเตียนเหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีอย่างยุติธรรม พระของพวกเขาก็จะไม่ถูกขับไล่ออกจากโบสถ์
ชาวคริสเตียนท่ีจะไปแสวงบุญจะไม่ถูกหน่วงเหน่ียวไว้ โบสถ์ของคริสเตียนจะไม่ถูกโค่นทําลายเพื่อเอามา
ก่อสร้างมสั ญิด หญงิ คริสเตียนท่แี ตง่ งานกับชายมุสลมิ ก็มีสิทธิ์ท่ีจะยังคงนับถือศาสนาเดิมของตนได้ในเม่ือมีการ
ซอ่ มแซมโบสถค์ รสิ เตยี นมุสลิมจะต้องใหค้ วามร่วมมือช่วยเหลอื ด้วย
สนธิสญั ญาฮดุ ัยบียะฮ
เวลาได้ผ่านไปหกปีแล้วที่ชาวมุสลิมทิ้งมักกะฮฺมาอาศัยอยู่มะดีนะฮฺ นับตั้งแต่น้ันมาพวกเขาก็ยังไม่มี
โอกาสได้ไปทําฮัจญ์หรือเย่ียมบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเลย หลังสงครามคูเมืองแล้วพวกมุสลิมต่างก็
กระตือรือร้นอยากกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของพวกเขา ท่านนบีรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา
จงึ ได้ประกาศว่าทา่ นจะไปเยือนมักกะฮฺในปีฮิจเราะฮฺ ศักราชท่ี 6 ( ค . ศ .628 ) ท่านก็ได้เดินทางมุ่งไปมักกะฮฺ
เพ่ือประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมด้วยผู้ติดตามจํานวน 1,400 คน ขณะนั้นเป็นเดือนซุลเกาะดะฮฺ ซ่ึงเป็นเดือน
ต้องห้าม การทําสงครามในเดือนน้ัน ถือเป็นสิ่งท่ีผิดอย่างมหันต์ แม้กระนั้นพวกกุร็อยช์ไม่ต้องการให้ท่านนบี
เขา้ มาในเมอื งมักกะฮฺ และประกอบพิธีฮจั ญ์
ดังนั้นเมื่อพวกเขาทราบถึงการมาของชาวมุสลิม พวกเขาก็รีบมาขวางทางไว้ ท่านนบีจึงวกไปทางอื่น
และหยุดพักอยทู่ ี่สถานที่แห่งหนงึ่ ซึง่ มชี อ่ื วา่ หุดัยบยี ะฮฺ ซง่ึ อยหู่ า่ งจากมักกะฮฺ ประมาณเก้าไมล์ ท่านนบีและฝุาย
กุร็อยซฺต่างก็ส่งตัวแทนเข้ามาเจรจาเพ่ือไม่ให้เหตุการณ์ในคร้ังนี้ตกลงกันได้ด้วยสันติ พวกเขายืนกรานห้าม
ท่านนบแี ละสานศุ ิษย์ของท่านเข้าเมืองมักกะฮฺในปีนี้ ท่านนบีจึงส่งท่านอุษมานเป็นตัวแทนของท่าน เพื่อเจรจา
กับอบูซุฟยาน การเจรจาดําเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดข่าวลือแพร่ออกไปว่าท่านอุษมานถูกพวกกุร็อยช์ฆ่า
ตายเสยี แล้วจงึ กอ่ ให้เกิดความวุน่ วายอยา่ งใหญโ่ ตขึ้นในค่ายพักของชาวมสุ ลมิ ท่านนบไี ด้น่ังลงใต้ต้นไม้ใหญ่และ
ขอให้สานุศิษย์ของท่านให้สัตย์ปฏิญญาณว่าพวกเขาจะต่อสู้จนคนสุดท้าย ถ้าหากอุษมานมีอันเป็นไป ทุกคน
เต็มใจท่ีจะแก้แค้นแทนท่านอุษมาน ข้อตกลงน้ีเรียกว่า “ ข้อตกลงของบรรดาผู้ท่ีได้รับความโปรดปรานจาก
พระเจ้า ” ซึ่งมีบันทึกในอลั กรุ อาน ซเู ราะฮฺ อัลฟัตฮฺ อายะฮฺที่ 18 แต่แล้วท่านอุษมานก็กลับมาหลังจากน้ันสอง
สามวนั
พวกกุร็อยชฺรู้สึกกลัวและในที่สุดก็ยอมตกลงกันได้ในบางเรื่องกับฝุายมุสลิม ได้มีการทําสนธิสัญญาข้ึน
ระหวา่ งพวกกรุ อ็ ยชฺกบั ทา่ นนบี สนธสิ ัญญานร้ี า่ งข้นึ ดว้ ยความเหน็ ชอบท้ังสองฝาุ ย โดยมีสฮุ ยั ลฺ อิบนุ อัมรฺ เป็นผู้
เซน็ ทราบในนามตวั แทนของชาวมักกะฮฺ สนธิสัญญาน้เี รียกวา่ “ สนธิสญั ญาหดุ ัยบยี ะฮฺ ” ซง่ึ มีข้อตกลงกันดงั น้ี
• ทั้งสองฝุายตกลงใหย้ ุติการส้รู บและการรกุ รานด้วยกาํ ลงั มีกาํ หนดระยะเวลา 10 ปี
• ผู้ใดก็ตามที่เป็นชาวกุร็อยซฺหากเดินทางมายังมูฮัมมัด โดยมิได้มีหนังสือรับรองจากหัวหน้าฝุายนั้น
จะต้องถกู สง่ ตัวกลบั ทันที
• มุสลิมคนใดทเ่ี ดินทางมาเรื่องธุรกจิ เพอื่ ตดิ ต่อกับชาวมักกะฮฺ จะตอ้ งไม่ถูกกักกันหรอื แกลง้ ยึดตวั ไป
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารคี 2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 15
• ประชาชนกล่มุ ใดท่ีปรารถนาจะเข้าเป็นพันธมิตรกับฝุายใดฝุายหนึ่ง ให้พึงถือว่ามีเสรีภาพท่ีจะทําได้
โดยไมม่ เี งอื่ นไข
• เมอ่ื ชาวมุสลิมปฏิบตั ิพิธฮี จั ญเ์ สรจ็ สน้ิ แลว้ จะตอ้ งรบี เดินทางกลบั ทันที
• ชาวมุสลิมจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาประกอบพิธีฮัจญ์ในนครมักกะฮฺ และจะพักอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน
และจะต้องไมม่ ีอาวธุ อ่ืนติดตวั มาด้วยนอกจากมดี สั้นเพียงเลม่ เดียว
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สําหรับอิสลาม ข้อความในสนธิสัญญาแสดงความยิ่งใหญ่
ของท่านนบีและความดีงามของวิถีทางของท่าน ถึงแม้ว่าภายนอกสนธิสัญญาน้ีจะทําให้ฝุายมุสลิมเสียเกียรติก็
ตาม มันก็ให้ประโยชน์แกท่ า่ นนบีเป็นอย่างมาก เพราะสนธิสัญญาน้ีรับรู้สถานภาพทางการเมืองของท่านนบีใน
ฐานะทมี่ ีอาํ นาจเป็นอสิ ระ ย่ิงกวา่ น้ันเวลาสงบศึกสิบปีนั้นก็เป็นการให้เวลาและโอกาสแก่อิสลามท่ีขยายออกไป
ได้อย่างแขง็ แกร่งพอที่จะเอาชนะพวกกุร็อยชไ์ ด้ ทั้งในด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณ ผลของสนธิสัญญานี้ก็
คอื มผี ู้มาเข้ารบั อสิ ลามมากข้ึนอยา่ งมากมาย นกั รบผูส้ ามารถอยา่ งคอลดิ บนิ วะลีด และอัมร์ บินอัส ก็ได้มาเข้า
รับอสิ ลามหลังจากที่ได้ทําสนธสิ ญั ญาหุดัยบียะฮฺนี้
ในเมื่อท่านนบีรู้สึกม่ันใจในตําแหน่งของท่าน ท่านก็ได้ส่งทูตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ปกครองแคว้น
ต่างๆ ของอารเบยี เพื่อชักชวนให้เขาเหล่านั้นมารับอิสลาม และประกาศศาสนาให้แผ่ไพศาลยิ่งขึ้น มีผู้ปกครอง
จาํ นวนมากทีเ่ ขา้ รบั อิสลาม แต่จกั รพรรดิค์ สุ โร แห่งเปอร์เซียกลับดูหม่ินทูตท่ีท่านนบีส่งไป และทูตอีกคนหนึ่งท่ี
ถกู สง่ ไปยงั เจา้ ชายคริสเตียนแห่งดามัสกสั กถ็ ูกฆา่ ตายอยา่ งทารุณ
การพิชดิ คอ็ ยบัร สงครามครง้ั สุดท้ายกบั พวกยิว
สงครามนเี้ กดิ ข้นึ ในเดือนมะหฺรอม ปที ี่ 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตําบลค็อยบัร ทางตอนเหนือของเมือง
มะดีนะฮฺ ท่ีมีช่ือว่าค็อยบัร ท้ังนี้เพราะว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีปูอมปราการที่แข็งแรงหลายแห่งล้อมรอบหมู่บ้านน้ี
ยิวท่ีอยู่ในตําบลน้ีเป็นกลุ่มท่ีแข็งแรงที่สุด ร่ํารวยท่ีสุด และมีอาวุธมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยิวกลุ่มอื่นๆ ใน
อารเบีย หัวหน้าพวกเขามีชื่อว่า ซัลลาม อิบนุ มิก ชาม ท่านนบีได้ยกกองทัพซึ่งประกอบด้วยนักรบฝีมือดี
ประมาณ 1,600 คน และทหารมา้ อีก 100 คน เข้าจูโจมพวกยิวทค่ี ็อยบัรอยา่ งกระทนั หนั โดยท่ีพวกเขาไม่ทราบ
ล่วงหนา้
สาเหตุและผลของสงคราม
พวกยิวเป็นพวกที่ก่อกวนท่านนบีมาโดยตลอด และชอบหักหลังและทรยศซํ้าเติมเสมอขณะที่ชาวมุสลิม
อยู่ในภาวะคับขัน พวกเขามักละเมิดสัญญาที่ทําต่อกันไว้และทําตัวเป็นพันธมิตรกับฝุายศัตรูของชาวมุสลิม ส่ิง
เหลา่ นี้สรา้ งความเจ็บปวดแก่ชาวมสุ ลมิ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยิวท่ีถูกเนรเทศออกจากเมืองมะดี
นะฮแฺ ละมาอาศยั อยทู่ ่ีค็อยบัร พวกเขามีความปรารถนาท่ีจะแก้แค้นท่านนบีอยู่ตลอดเวลา พวกเขาได้พยายาม
ทําตัวเป็นศัตรูต่อชาวมุสลิมทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายหนพวกเขาได้ปล้นสดมภ์ทุ่งเล้ียงสัตว์ของมุสลิมในเขต
เมืองมะดีนะฮฺแล้วหลบหนีไปพร้อมด้วยสัตว์ท่ีปล้นมา เพ่ือท่ีจะลงโทษพวกเขา และสร้างความปลอดภัยทาง
ตอนเหนือของมะดีนะฮฺ ท่านนบีจึงได้นํากองทัพซ่ึงมีจํานวนพล 1,600 คน และทหารม้าอีก 200 ตัว ไปโจมตี
พวกยิวท่ีค็อยบัรโดยไม่ทันรู้ตัว กองทัพมุสลิมเข้าล้อมค็อยบัรอย่างเข้มงวด พวกยิวก็ต่อสู้อย่างจนตรอกปูอม
ปราการหลายแห่งของยิวถกู กองทัพมุสลิมตีแตก จนในท่ีสุดพวกยิวหมดหนทางต่อสู้จึงขออภัยต่อท่านนบี และ
ขอร้องให้ทําสัญญาสันติภาพระหว่างกันข้ึน ท่านนบีก็รับข้อเสนอของพวกเขาโดยมีเง่ือนไขว่า อนุญาตให้พวก
เขาอาศัยอยู่ที่เดิมได้ แต่พวกเขาต้องแบ่งผลผลิตจากการปลูกพืชพันธ์ุในแต่ละปีให้แก่ชาวมุสลิมครึ่งหน่ึงเป็น
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารคี 2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 16
ภาษรี ัชชปู การ เมอ่ื พวกยิวหมดอํานาจทางการเมืองและยอมจํานนต่อท่านนบีหมดแล้ว ดินแดนทางตอนเหนือ
ของเมืองมะดีนะฮกฺ ็มคี วามปลอดภัย เชน่ เดยี วกับดนิ แดนทางใตห้ ลงั จากท่ไี ด้ทําสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ
มุสลิมมีชีวิตอย่างปลอดภัยในนครมะดีนะฮฺ มีชีวิตท่ีรุ่งเรื่อง มีความมั่งคั่ง ในระยะน้ีชาวมุสลิมไม่ได้
คดิ ถึงสงครามหรือการต่อสใู้ ดๆ นอกจากการส่งทหารไปปราบปรามผ้ทู ่รี ุกรานดนิ แดนและทรัพย์สมบัติของพวก
เขาเทา่ น้ัน แตก่ เ็ ปน็ สงครามยอ่ ยๆ ไม่คอ่ ยสําคัญอะไรมากนัก ในเดือนซุลเกาะดะฮฺ ปีที่ 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช
ท่านนบีกับชาวมุสลิมประมาณ 2,000 คน ได้ออกเดินทางไปทําอุมเราะฮฺ ณ นครมักกะฮฺ ตามข้อตกลงใน
สัญญาหุดัยบยิ ะฮฺ สรา้ งความพอใจให้กับมุสลิมที่ได้ไปเยือนมักกะฮฺอีกครั้งหน่ึง พวกเขาสามารถอยู่ที่น้ันได้สาม
วนั เม่ือทาํ พิธอี ันศักดส์ิ ิทธเ์ิ สรจ็ ส้นิ เรียบรอ้ ยแล้วกเ็ ดนิ ทางกลับมายังมะดีนะฮฺอยา่ งปลอดภัย
สงครามมุฮ์ตะฮุ
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนญะมาดิลเอาวัล ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตําบลมุอ์ตะฮฺในเขตประเทศ
ชาม นับว่าเป็นสงครามแรกที่กองทัพมุสลิมเผชิญหน้ากับกองทัพโรมัน กองทัพมุสลิมมีจํานวนพลประมาณ
3,000 คน สงครามในครั้งน้ีท่านนบีไม่ได้นําทัพไปเอง ท่านได้แต่งตั้งท่านชัยดฺ อิบนุ ฮะรีษะฮฺ เป็นแม่ทัพ มี
ญะอฺฟัร อิบนุ อบฎี อลิบ เปน็ รองแม่ทพั และมี อับดุลเลาะฮฺ อิบนุ เราะวาหะฮฺ เป็นแม่ทัพรองจากท่านญะอฺฟัร
และมีท่านคอลิด อิบนุ วะลีด ซึ่งเพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ๆ ได้อาสาไปรบในกองทัพด้วย ส่วนกองทัพของไบแซน
ไตน์รวมแล้วมีจํานวนพลไมน่ ้อยกวา่ 200,000 คน
สาเหตุของสงคราม
ในระหว่างสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ ท่านนบีได้พยายามส่งคณะทูตไปยังเมืองต่างๆ เพ่ือเผยแผ่ศาสนา
อิสลาม ในระหว่างนั้นคณะทูตของท่านนบี 5 คนที่ส่งไปยังเผ่าบนูสุลัยมฺ ถูกฆ่าตายไป 4 คน มีเพียงคนเดียว
เท่านน้ั ทีส่ ามารถหนีรอดกลบั มายงั มะดีนะฮฺได้ ทา่ นได้สง่ คณะทูตอีก 15 คน ไปยังซาต อัตตัลฮฺ ซึ่งอยู่ชานเมือง
ของประเทศชาม แตค่ ณะทูตถูกระดมยิงด้วยธนูจนส้ินชีวิตหมด ท่านนบีไม่พอใจอย่างมากกับเหตุการณ์นี้ และ
สาเหตุอีกประการหน่ึงคือ ความโกรธแค้นท่ีคนในเผ่าฆ็อสสานได้จับและฆ่าอย่างทารุณคณะทูตผู้ถือสาส์นของ
ท่านนบีไปยังเจ้าเมืองบุศรอ การฆ่าคณะทูตนั้นได้กระทําในนามของจักรพรรด์ิฮิราคลิอุสแห่งไบแซนไตน์ การ
กระทําเช่นนี้เป็นการทําลายความสงบและกฎระหว่างประเทศ ท่านนบีจําเป็นจะต้องจัดกองทัพเพ่ือที่ลงโทษ
เจ้าเมืองบุศรอ และเผ่าฆอ็ สสานทป่ี ฏิเสธความรบั ผิดชอบในเหตกุ ารณ์ฆาตกรรมในคร้ังน้ี
เม่อื ขา่ วการยกทพั ของฝาุ ยมสุ ลมิ ได้แพร่หลายยังพวกไบแซนไตน์ เชอราบีล ซ่ึงเป็นแม่ทัพของฮิราคลิอุ
สอยู่ในเมืองชามก็ได้รวบรวมกําลังพลเป็นจํานวนมาก ในขณะเดียวกันได้ขอร้องให้ฮิราคลิอุสส่งทหารโรมันและ
อาหรบั เพิ่มอกี ประมาณ 100,000 คน ซงึ่ ต้งั ทัพอยู่ทีม่ ะอับในเมืองบัลกา น้องชายฮิราคลิอุส คือ ธิโอโดรัส ก็ยก
กําลังพลจากทหารไบแซนไตน์ประมาณ 100,000 คนมาสมทบอีก ทําให้กองทัพของโรมันมีจํานวนพลไม่น้อย
กว่าสองแสนคน
ฝุายกองทพั มุสลิมซึ่งขณะน้ันตั้งทัพอยู่ท่ีมะอานเมื่อได้ยินข่าวน้ีก็ไม่รู้จะทําอย่างไร เพราะข้าศึกมีกําลัง
จาํ นวนหลายสิบเท่าตัว ซ่ึงมองไม่เห็นชัยชนะเลย แต่ด้วยความศรัทธาที่เข้มแข็ง และมั่นใจในพลังศรัทธา พวก
เขาจึงเดนิ ทพั ตอ่ ไปยังบัลกาและมุ่งสู่ตําบลมุอฺตะฮฺ ซึ่งกองทัพไบแซนไตน์ต้ังค่ายอยู่ท่ีนั้นอยู่แล้ว สองกองทัพจึง
เผชิญหนา้ กนั ฝุายมุสลิมถงึ แมว้ ่าจะเสยี เปรยี บในจาํ นวนพลแต่กเ็ ข้าตีขา้ ศึกอย่างไม่ร้ังรอ การรบดําเนินไปอย่าง
ทรหด ทารุณและโหดเห้ยี มทสี่ ุด ฝาุ ยมสุ ลมิ ไดจ้ ู่โจมลึกเข้าไปและถลําตัวอยู่ในวงล้อมของข้าศึก จนถูกข้าศึกบีบ
กระชับได้รบั ความเสียหายอยา่ งหนัก
ทา่ นชยั ดฺ อบิ นุ ฮะรีษะฮฺ ซึ่งเป็นแม่ทัพฝุายมุสลิมเสียชีวิตในขณะที่ทําการรบ ท่านญะอฺฟัร ซ่ึงเป็นรอง
แม่ทัพไดเ้ ข้าทําหน้าทีแ่ ทนและได้เสยี ชวี ิตอกี เช่นกัน แม่ทัพรองจากท่านญะอฺฟัร คือ อับดุลลอฮฺ ก็รับช่วงต่อแต่
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 17
ก็เสียชีวิตอีก นายทหารช้ันนําหลายคนเสียชีวิตในสนามรบ ในขณะที่ฝุายกองทัพอิสลามกําลังขาดผู้นําอยู่นั้น
เหล่าทหารมุสลิมต่างก็ขอร้องให้ขุนพลคอลิด อิบนุวะลีด รับหน้าที่เป็นแม่ทัพต่อ เพราะทุกคนทราบดีว่าใน
สมัยก่อนอิสลามน้ัน คอลิด เป็นขุนพลท่ีเช่ียวชาญในการรบมาก ท่านคอลิด ก็ยอมรับตําแหน่งนั้นทั้งๆ ที่กอง
กําลังฝุายมุสลิมอยู่ภาวะท่ีระสํ่าระสายอย่างมาก เขาได้พยายามรวบรวมพลที่เหลืออยู่และต้ังตัวใหม่ เขาได้สั่ง
ใหก้ องทพั มสุ ลิมทําการบแบบประปรายเพื่อถ่วงเวลาในการใช้อุบายท่ีจะนําทหารฝุาวงล้อมของข้าศึกให้ได้ จน
ในทีส่ ดุ ท่านก็ทาํ ได้สําเรจ็ สามารถควบคุมกาํ ลังท้ังหมดกลบั คนื สู่มะดนี ะฮฺได้
ผลของการสงคราม
สงครามในครัง้ นถี้ ึงแม้ว่าฝุายมุสลิมต้องสูญเสียแม่ทัพและเหล่าทหารหาญหลายคนด้วยกัน แต่ก็ไดสร้าง
ผลในทางบวกแก่ศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก ความกล้าหาญและเด็ดเด่ียวของเหล่าทหารมุสลิมสร้างความ
ประทับใจแก่แมท่ ัพและนายกองของพวกไบแซนไตน์บางท่านเป็นอย่างมาก จนกระท่ังมีแม่ทัพบางท่านเปลี่ยน
มารบั นับถอื ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอิสลามสามารถเข้าครองใจชนเผ่าต่างๆ ท่ีอยู่ในประเทศชาม ประชาชนเป็น
พันๆ คนจากเผ่าสุลัยมฺ เผ่าเกาะฮฺซะฟาน เผ่าอับสฺ เผ่าซุบยาน และจากเผ่าฟะซาเราะฮฺ เข้ารับนับถือศาสนา
อิสลาม ซึ่งเผ่าต่างๆ เหล่าน้ีอยู่ภายใต้การปกครองของพวกไบแซนไตน์ จนกล่าวได้ว่าผลของการสงครามมุอฺ
ตะฮฺนั้น ทาํ ใหป้ ระชากรมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างไมค่ าดคิด
การพชิ ิดนครมักกะฮ์
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโอกาสให้ชนเผ่าคุซาอะฮฺสามารถประกาศตัวเจริญไมตรีเป็นพันธมิตรกับฝุาย
ท่านนบีมูฮัมมัด ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พวกกุร็อยซฺอย่างเงียบๆ และพยายามหาทางก่ันแกล้งพวกเขา
ตลอดเวลา ในคืนวันหน่ึง ปลายปีท่ี 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช พวกกุร็อยซฺร่วมกับชนเผ่าบนูบักร์ซึ่งเป็นพันธมิตร
ของพวกเขาไดเ้ ข้าจู่โจมที่พักของเผ่าคุซาอะ ฮฺที่ตําบลวาดิร และได้สังหารคนเหล่าน้ันตายไปหลายคน ผู้แทนส่ี
สบิ คนจากเผ่าคซุ าอะฮฺ จึงเขา้ พบท่านนบแี ละแจ้งข่าวให้ท่านทราบพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านน
บีจงึ ได้สง่ ทตู สนั ติไปเจรจากบั ฝุายกรุ ็อยช์โดยมีข้อเสนอดังนี้
• พวกกุรอ็ ยซฺและเผ่าบักร์จะต้องจ่ายค่าทําขวัญใหแ้ กเ่ ผา่ คุซาอะฮตฺ ามสมควร
• พวกกรุ อ็ ยซตฺ ้องตัดความสัมพันธท์ ้งั หมดกบั ชนเผา่ บนูบักร์ หรอื
• ประกาศวา่ สนธสิ ญั ญาหดุ ัยบียะฮฺเปน็ โมฆะ
พวกกุร็อยชฺเลือกข้อเสนอท่ี 3 คือ ยกเลิกสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ ถึงแม้ว่าต่อมาพวกเขาได้สํานึกผิด
กระทําไปโดยไมไ่ ดค้ ดิ อย่างรอบคอบซ่ึงอาจเกิดผลร้ายต่อพวกเขาในภายหน้า พวกเขาได้ส่งท่านอบูซุฟยาน มา
เจรจาต่อรองกับท่านนบีเพื่อให้สนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺมีผลใช้บังคับต่อ แต่ก็ถูกท่านนบีปฏิเสธ หลังจากอบูซุฟ
ยานเดินทางกลับยังนครมักกะฮฺอย่างผิดหวังแล้ว ท่านนบีได้บอกให้ชาวมุสลิมทั้งหลายเตรียมตัวเดินทางไปยึด
นครมักกะฮฺ เพื่อเปน็ การลงโทษฝุายกุร็อยซฺฐานละเมิดสญั ญา
ในเดือนรอมฎอน ปีท่ี 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ท่านนบีได้เคลื่อนทัพซึ่งมีจํานวนพล 10,000 คน ไปยัง
นครมักกะฮฺ เม่ือชาวมักกะฮฺเห็นกองทัพของฝุายมุสลิม ต่างก็ตกใจและเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมา ก
เพราะวา่ พวกเขาไมม่ ที างที่จะต่อสแู้ ละต้านกองกาํ ลังฝาุ ยมุสลมิ ได้ ท่านนบีได้ประกาศให้ชาวมักกะฮฺอยู่ในความ
สงบ ทา่ นตอ้ งการพิชติ และเข้าสูน่ ครมกั กะฮฺแหง่ นี้ โดยสนั ติไมม่ ีการนองเลือดแต่อย่างใด และขอให้ทุกคนอยู่ใน
บ้านของตนเอง หรืออยู่บริเวณลานกะอฺบะฮฺ หรือบริเวณบ้านของอบูซุฟยาน แล้วพวกเขาจะได้รับความ
ปลอดภัยทกุ ประการ
ชัยชนะที่ฝุายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะฮฺในครั้งน้ี นําความปลาบปล้ืมปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิมเป็นอย่าง
มาก สบิ ปีทพ่ี วกเขาไดอ้ พยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาส่บู า้ นเกดิ เมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น นบีได้พํานักอยู่
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 18
ท่ีมักกะฮฺเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะฮฺต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจํานวนมาก เมื่อชาวมัก
กะฮฺเข้ารับอิสลามความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป ถึงแม้ว่าท่านนบีและบรรดาสาวกของท่านจะ
ถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตามแต่ เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและ
อภัยโทษให้แก่พวกเขา การประนีประนอมเช่นน้ีเป็นนโยบายของท่านนบีตลอดมา และการพิชิตมักกะฮฺได้นี้
เปน็ การเปิดศักราชใหม่ของอสิ ลาม
การสรู้ บที่หุนยั น์และฎออีฟ
หลังจากพิชิตมักกะฮ์ฺได้แล้ว และประกาศให้การอภัยแก่พวกมักกะฮฺน้ัน สามารถเอาชนะบรรดาชาวมัก
กะฮเฺ ป็นจาํ นวนมาก พวกเขาสามารถร่วมชวี ิตกับชาวมสุ ลิมอย่างเทา่ เทยี มกนั เมอื่ พวกเขาเขา้ รับอิสลาม อย่างไร
ก็ตามชาวอาหรับเข้ารับอิสลามมี 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ ลักษณะแรกน้ันเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธา
อย่างจริงใจ ส่วนลักษณะที่สองเข้ารับอิสลามเพราะเกรงกลัวอํานาจของชาวมุสลิม บรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่ชาน
เมอื งเม่ือทราบข่าวการยึดเมืองมักกะฮฺ ของชาวมุสลิม ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวว่าชะตากรรมเช่นน้ีอาจต้องประสบ
แก่พวกเขาในภายหน้า ดังน้ันอาหรับเผ่าฮะวาซิน และเผ่าษะกีฟได้ร่วมตัวกันเพ่ือที่จะต่อต้านฝุายมุสลิม พวก
เขาประกาศเป็นศัตรูกับฝุายมุสลิมอย่างเปิดเผย หัวหน้าของพวกเขาชื่อว่า มาลิก อิบนุ เอาฟ์ ได้รวบรวม
กําลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมท่ีจะเผชิญหน้ากับฝุายมุสลิม เมื่อท่านนบีทราบข่าวถึงการ
เคลื่อนไหวของเผ่าฮะวาซนิ และบรรดาพันธมิตรของพวกเขา ท่านนบีจึงมีคําสั่งให้รีบเร่งเตรียมกําลังท่ีจะโจมตี
ขา้ ศึกโดยสามารถรวบรวมร้พี ลได้จํานวน 12,000 คน และมีมสุ ลิมใหมจ่ ากชาวมกั กะฮฺร่วมสบทบอีก 2,000 คน
ทา่ นนบีได้เคลอ่ื นทพั มงุ่ สสู่ ถานท่ที ี่พวกเผา่ ฮะวาซนิ และพนั ธมิตรของพวกเขาตั้งค่ายอยู่ ในระหว่างเดินทัพไปสู่
สถานท่พี วกเขาอยู่นน้ั ตอ้ งผา่ นชัยภมู ทิ คี่ อ่ นขา้ งสลับซบั ซอ้ น และต้องผ่านหุบเขาต่างๆ ชัยภูมิเช่นนี้ทําให้ข้าศึก
ได้เปรียบเหนือฝุายมุสลิมเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ดักโจมตีกองกําลังมุสลิม ทําให้กองทัพมุสลิมเกิดความ
โกลาหลอลหม่านอย่างฉับพลัน และแตกกระจัดกระจายกันไป ฝุายมุสลิมต้องสูญเสียนักรบเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรดานักรบฝุายมุสลิมสามารถตั้งสติได้ พวกเขาได้รวบรวมกําลังใหม่และเข้าโจมตีข้าศึก
อย่างไม่คิดชีวิต กองทัพฝุายศัตรูต้านการจูโจมของฝุายมุสลิมไม่ได้จึงต้องถอยร่นหลบเข้าไปในปูอมปราการใน
นครฎออีฟอยา่ งรีบเร่ง ปูอมปราการที่นครฎออีฟเป็นปูอมท่ีแข็งแรงและมั่นคงมาก ถึงแม้ว่าฝุายมุสลิมพยายาม
โหมโจมตอี ยา่ งหนกั แต่กไ็ ม่สามารถตปี ูอมปราการนน้ั ให้แตกได้ กองทัพมุสลมิ ได้ปิดลอ้ มปูอมเป็นเวลา 20 วัน ก็
ไม่มีท่าท่ีว่าจะชนะได้ เพราะว่าในปูอมปราการนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายและมีเสบียงอาหารที่อยู่ได้อีก
นาน ประกอบกับย่างเข้าฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์ ท่านนบีจึงมีคําสั่งให้ถอยทัพไว้ก่อนโดยที่ยังไม่สามารถ
บังคับให้ขา้ ศกึ วางอาวุธได้ และท่านประกาศวา่ จะทาํ สงครามกบั เผ่าฮะวาซนิ และพันธมิตรของพวกเขาใหม่เมื่อ
หมดฤดกู าลของเดือนศักด์ิสทิ ธ์ิ
ในสงครามคร้งั นฝ้ี ุายมุสลิมสามารถยึดทรัพย์สินสงครามได้เป็นจํานวนมาก กล่าวคือ สามารถยึดอูฐได้
24,000 ตวั แพะ 40,000 ตวั และทรพั ยส์ นิ มคี ่าอีกจํานวนหน่ึง พร้อมกับสามารถจับเชลยศึกได้อีก 6,000 กว่า
คน หลังจากสงครามส้ินสุดได้ไม่นาน ชนเผ่าฮะวาซินได้ส่งตัวแทนเข้าไปพบกับท่านนบี พวกเขาได้ขออภัยต่อ
การกระทําของพวกเขา และขอร้องให้ท่านนบีคืนทรัพย์สินสงครามและเชลยศึกของพวกเขาโดยท่ีพวกเขา
พร้อมที่จะรับศาสนาอิสลาม ท่านนบีก็ตกลงและรับข้อเสนอของพวกเขา ต่อมามาลิก อิบนุ เอาฟ์ หัวหน้า
เผ่าษะกีฟในฎออีฟกเ็ ดนิ ทางมาพบกับทา่ นนบีและเขา้ รบั ศาสนาอิสลาม พร้อมกับแจ้งว่าชาวฎออีฟยินดีท่ีจะรับ
ศาสนาอสิ ลาม
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ 19
สงครามตะบคู
สงครามน้ีเกิดขึ้นในเดือนระญับ ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ สถานที่แห่งหน่ึงมีชื่อว่า ตะบูก สาเหตุ
ของสงครามกล่าวคือ จักรพรรดิ ฮีราคลิอุส (Heraclius) แห่งโรมันไม่พอใจกับอิทธิผลของศาสนาอิสลามท่ี
ขยายอย่างรวดเรว็ ในแหลมอาราเบยี พวกเขาไดเ้ ตรยี มท่ีจะรุกรานเมืองมะดีนะฮฺ โดยรวบรวมกําลังพล 40,000
กว่าคน เมือ่ ขา่ วน้ีทราบถงึ ท่านนบี ท่านจึงมีคําส่ังให้เตียม กําลังพลซึ่งรวบรวมได้ 30,000 คน โดยท่ีท่านนบีนํา
ทัพไปเองสู่สถานท่ีแห่งหนึ่งช่ือว่าตะบูก เมื่อจักพรรดิฮีราคลิอุสทราบข่าวการนําทัพของท่านนบี ก็รู้สึกต่ืน
ตระหนกและเลิกคิดท่ีจะบุกมะดีนะฮฺ พร้อมกับถอยทัพกลับไป หลังจากท่ีท่านนบีพักอยู่ท่ีตะบูคได้สองสามวัน
ท่านกย็ กทัพกลับมะดีนะฮ ฺอย่างปลอดภัย
ผลของสงครามตะบูคชี้ให้เหน็ ว่ากองทพั อสิ ลามไม่เคยกลวั ที่จะเผชญิ หน้าและท้าอํานาจกับจักพรรดิ
โรมนั เลย เมื่อกลับมาจากตะบคู แลว้ กไ็ ดม้ ีผู้แทนจากแคว้นใกล้ไกลมาแสดงความจงรักภักดีต่อท่านชาวอาหรับ
เผ่าแล้วเผ่าเลา่ ได้เข้ารบั นบั ถืออิสลามเป็นจาํ นวนมากข้ึนเร่อื ย
การทาฮัจย์ครั้งสุดท้ายของท่านนบี
ในวันที่ 25 เดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ปีท่ี 10 แห่ฮิจเราะฮฺศักราช นบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) และบรรดาภรรยาของ
ทา่ นไดอ้ อกเดินทางไปมกั กะฮฺติดตามด้วยประชาชนจํานวนราว 90,000 คน มุ่งสู่นครมักกะฮฺด้วยหัวใจที่ปล้ืมปิ
ติยินดีท่จี ะได้ประกอบพิธีฮัจญ์ และเม่อื เดินทางถึงซุลฮุลัยฟะฮ (Dhul Hulaifa) ในตอนสิ้นแสงตะวันพวกเขาได้
ค้างคืนท่ีน่ันหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งข้ึนจึงได้สวมใส่ชุดอิหรอมเดินทางต่อไปยังมักกะฮฺในขณะที่ชาวมุสลิมเดินทางไป
ทาํ พิธีฮจั ญ์นนั้ อะลี อบิ นุ อบฎี อลบิ ได้เดินทางกลบั มาจากยะมันจงึ ไดเ้ ดินทางไปสมทบใจพิธฮี จั ญด์ ว้ ย
คาสอนครัง้ สดุ ท้ายของนบีมูฮัมมดั (ซ.ล.)
ในวันท่ี 8 ซุลฮิจญะฮนบีมูฮัมมัดและบรรดามุสลิมได้ไปพักอยู่ท่ีตําบลมินาและค้างอยู่ท่ีนั่น วันรุ่งขึ้น
ทา่ นได้ข้นึ อูฐเดินทางไปยงั ภูเขาอะรอฟะฮไฺ ดต้ ั้งกระโจมพกั อยทู่ ี่นน่ั ในตอนเทีย่ งท่านได้เดินทางไปถึงภูเขานูรฺ ณ
ท่ีน้ีเองท่านได้นั่งบนหลังอูฐและเริ่มเทศนาส่ังสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดังโดยมี เราะบีอะฮ อิบนุ อุมัยยะฮฺ
อบิ นุ เคาะลฟั คอยพดู ซา้ํ ทีละประโยค นบเี รมิ่ ต้นดว้ ยการสรรเสริญพระผ้เู ปน็ พระเจ้าขอบคุณพระองค์แล้วท่าน
กก็ ลา่ วสุนทรพจน์ ดงั ตอ่ ไปนี้ :
“ โอ้ ท่านท้ังหลายจงต้ังใจฟังคําพูดของฉันเพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่านในโอกาสเช่นน้ีอีก
เม่ือไร โอ้ท่านท้ังหลายชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งท่ีคนหนึ่งคนใดจะมาล่วง
ละเมดิ มไิ ด้ จนกวา่ พวกทา่ นจะได้พบกบั ผูอ้ ภบิ าลเสมอื นกบั วันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาท่ีต้องห้ามสําหรับ
พวกท่านและเมืองน้ีก็เป็นเมืองต้องห้ามสําหรับพวกท่านท้ังหลาย พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวน
จากองคพ์ ระผอู้ ภบิ าลของพวกทา่ นในกจิ การงานทุกอย่างทพ่ี วกท่านไดก้ ระทาํ ไว้
โอ้ประชาชนท้ังหลายพวกท่านท้ังหลายมีสิทธิท่ีได้รับมอบหมายเหนือฝุายสตรีและฝุายสตรีก็มีสิทธิ
เหนอื ฝุายชายเช่นกนั ในหน้าทที่ ี่ทา่ นไดร้ ับมอบหมาย ดังน้ันพวกท่านจงได้ปกปูองดูแลภรรยาของพวกท่านด้วย
ความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทําได้เช่นน้ันก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ใน
ความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเช่ือม่ันให้คงไว้ในจิตใจของพวก
ท่านและจงหลกี เล่ียงออกห่างจากเร่อื งบาปกรรมและความช่ัว ดอกเบี้ยหรือการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็น
ส่ิงต้องห้าม สําหรับลูกหน้ีให้ส่งคืนเฉพาะเงินในจํานวนที่ยืมมาและเร่ืองของดอกเบ้ียที่จําเป็นจะต้องถูกยกเลิก
คือ ดอกเบ้ยี ของอับบาส อิบนุ อบูฎอลิบ (Abbas Ibn Abutalib)
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 20
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเช่นในสมัยของยุคปุาเถ่ือนเป็นเรื่องต้องห้าม
การอาฆาต จองล้างตองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลงเสียที เร่ิมต้นด้วยเร่ืองการฆาตกรรมของอิ บนุเราะ
บีอะฮ อิบนุ ฮารษิ (Ibn Rabia-hibn Harith )
โอป้ ระชาชนทงั้ หลายบรรดาข้าทาสคนใช้ของท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้นจงเล้ียงดูพวกเขา
เชน่ อาหารทพ่ี วกทา่ นรับประทาน และใหเ้ ส้อื ผา้ เครื่องนุ่งหม่ แก่พวกเขาดว้ ยเครื่องนงุ่ หม่ ทพ่ี วกท่านใช้ หากพวก
เขาได้กระทําในส่ิงที่เป็นความผิดพลาดชนิดท่ีท่านไม่ปรารถนาท่ีจะอภัยให้พวกเขาก็จงแยกทางกับเขาเสียอย่า
ทําร้ายเฆ่ียนตที าํ ทารุณพวกเขา เพราะเขาต่างก็เป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนท้ังหลายมารร้ายนั้นได้หมดส้ินความหวังทั้งมวลที่จะได้รับการเคารพบูชาในดินแดนของ
พวกท่านแล้ว แตก่ ระนนั้ ก็ตามมนั ยังเป็นห่วงทจี่ ะกําหนดการกระทําอันต่าํ ต้อยของพวกท่านอยู่ เพราะฉะน้ันจง
ระวังมันไว้เถิด เพือ่ ความปลอดภัยแห่งตัวท่านและนบขี องทา่ น
โอ้ ประชาชนท้ังหลายพวกทา่ นจงรําลึกและจดจาํ ในสง่ิ ท่ฉี นั พูดพวกท่านต้องรําลึกเสมอว่ามุสลิมทุกคน
น้ันมีฐานะเป็นพี่น้องกันนพวกท่านท้ังหลายต่างมีความพอใจในสิทธิและหน้าท่ีความรับผิชอบท่ีเรามีอยู่เสมอ
หน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกปูองตัวจองท่านให้ห่างไกลจาก
ความอยุติธรรมในทุกกรณี ขอให้บุคคลท่ีอยู่ท่ีน้ีจงนําสิ่งท่ีได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ได้มาอยู่
ณ ที่นี้เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่าน้ันอาจมีความจดจําได้ดีกว่าบุคคลท่ีได้ยินไปจากฉัน
โดยตรงก็เปน็ ได้ และผทู้ ี่ไดร้ บั ความไวว้ างใจเขาจะตอ้ งไม่ให้ผทู้ ี่ไวว้ างใจเขาต้องประสบความผิดหวงั
โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเม่ือถึงเวลาท่ีฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู่
เป็นศัตรูหล่ังเลือดกัน เหมือนอย่างเช่นสมัยแห่งความโง่เขลา ดังท่ีได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบส่ิงหนึ่งแก่พวก
ท่านทง้ั หลายซง่ึ หากพวกทา่ นยึดเอาไวอ้ ย่างม่นั คงแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็น
อนั ขาด สง่ิ น้นั คืออัลกุรอาน และสุนนะฮของฉนั
โอ้ ศรทั ธาทัง้ หลาย แทจ้ รงิ พระผู้เปน็ เจา้ ของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบ
มาจากเช้ือสายเดยี วกัน น่นั คอื อาดมั และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้าน้ัน
คอื ผู้ทีม่ ีความยําเกรงมากกวา่ เท่านั้น
โอ้ ทา่ นทง้ั หลายจงสดับฟังถอ้ ยคําของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมน้ัน ย่อมเป็นพ่ีน้องกันและจงรู้เถิด
ว่า บรรดามสุ ลมิ ก็คือภราดรภาพอันหน่ึงอันเดียวกัน ไม่มีสิ่งไดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกันจะเป็นของมุสลิม
โดยถูกต้องนอกจากว่าเขาผู้น้ันจะให้โดยเต็มใจและไม่คิดมูลค่าเพราะฉะนั้นจงอย่ากระทําการอยุติธรรมต่อตัว
ของท่านเอง
โอ้พระผ้เู ป็นเจ้าขา้ พระองค์ได้ประกาศสจั ธรรมออกเผยแผแ่ ล้ว
โออ้ งคพ์ ระผ้อู ภบิ าล ขอไดท้ รงโปรดเปน็ พยานใหแ้ ก่ขา้ พระองคด์ ้วยเถดิ ”
เมื่อนบีเสร็จจากการให้โอวาทคร้ังนี้แล้ว ท่านได้ลงจากหลังอูฐ ซึ่งเป็นพาหนะของท่านเพ่ือทําน
ละหมาดซฮุ ร์ และทา่ นไดน้ มาซอัศร์ด้วย ท่านนบีได้สํานึกในพระเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาลที่ได้ทรงประทาน
ความดงี ามอันมากมายใหแ้ ก่ตัวทา่ นและผลงานของท่านและไดใ้ ห้เกยี รตติ อ่ การเป็นศาสนทูตของท่าน และท่าน
ได้อ่านโองการจากคัมภรี ์อลั กุรอาน ซเู ราะฮ อลั มาอดิ ะฮ อายะฮทฺ ี่ 4 ซึ่งมขี อ้ ความว่า
“ ในวันน้ีข้าได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบกรุณาธิคุณของข้าให้แก่พวกเจ้าไว้
อยา่ งครบถว้ น และข้ายินดเี ลือกเฟูนใหศ้ าสนาอสิ ลามเป็นศาสนาของพวกเจา้ ”
ท่านอบุบักร์เม่ือได้ยินท่านนบีอ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอานท่านก็เกิดความเข้าใจและทราบ
ความหมายเปน็ อย่างดจี ากอายะฮท่นี ํามานเี้ ปน็ สญั ญาณบอกใหร้ ลู้ ่วงหน้าแลว้ ว่าท่านได้มาถึงช่วงปลายของชีวิต
อบบู ักร์รสู้ ึกไมส่ บายใจ ทา่ นไดแ้ อบร้องไห้อยเู่ งยี บๆโอวาทของทา่ นแมจ้ ะเป็นโอวาทท่ีส้ัน แต่เป็นส่ิงที่มีค่าบรรจุ
ด้วยถอ้ ยคาํ ตกั เตอื นที่ทรงคุณมหาศาลชาวมุสลิมเรียกสุนทรพจน์คร้งั นว้ี า่ “ คาํ ส่งั เสยี ครง้ั สดุ ท้าย ”
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 21
นบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) ได้ออกจากทุ่งอารอฟะฮไปค้างคืนที่มุซดะลีฟะฮในตอนเช้าท่านจึงเดินทางเข้าสู่มิ
นา เพื่อเตรยี มตวั ทจ่ี ะขว้างเสาหิน อันเปน็ สัญญาลกั ษณ์ของชัยฏอนมารร้าย เม่ือมาถึงกระโจมที่พักท่านได้ทํากุ
รบ่าน การทําฮัจญ์คร้ังนี้บางครั้งมีผู้เรียกว่า “ การทําฮัจญ์อําลา ”( ฮัจญะตุลวะดาอฺ )” อันท่ีจริงน่ีเป็นการทํา
ฮัจญ์ใหญค่ รงั้ เดยี วของท่าน ที่เรยี กดังนีเ้ พราะคร้งั น้ีเปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยท่ีทา่ นได้เห็นนครมักกะฮฺ
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺ ปีน้ีนับเป็นปีท่ีสิบเอ็ดของศักราช
อิสลาม นบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) เริ่มมีอาการปุวยไข้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่ท่านก็ไม่ได้หยุดยั้งในการคิดใคร่ครวญ
หาทางปกปูองศาสนาอิลามให้พ้นจากภัยของศัตรู เม่ือท่านได้ทราบข่าวว่าชาวโรมันกําลังตระเตรียมกองทัพ
ขนาดใหญ่เพ่ือที่จะเข้าโจมตีแว่นแคว้นอาณาจักรของมุสลิมแถบชายแดนซีเรีย ท่านได้ออกคําสั่งแต่งต้ังอุซญา
มะฮ ลกู ชายของทา่ นซัยด์ ซึ่งขณะ นั้นอายุเพียง 20 ปีทําหน้าที่เป็นแม่ทัพ นํากองทัพไปเผชิญหน้ากับทหารไบ
แซนไตน์
ในวนั รุ่งขึ้นเปน็ วันจนั ทร์ อาการอ่อนเพลียและไข้ได้กําเริบสูงข้ึนและอาการเริ่มทรุดลงตามลําดับ ท่าน
ทราบดีว่าเวลาที่ท่านได้กลับไปสู่พระผู้อภิบาลได้ใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดท่านก็ได้เสียชีวิตในวันจันทร์ที่สิบสอง
ของเดือนเราะบอิ ุลเอาวัลในปีที่สิบเอ็ดหลังจากปีฮิจญเราะห์ ตรงกับวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ปี ค . ศ .632 รวม
อายุได้ 63 ปี
เมื่อข่าวนบีสิ้นชีวิตแพร่ขยายออกไปบรรดามุสลิมต่างเร่งรีบมายังมัสญิด เพื่อมาสืบให้รู้แน่ชัดว่าข่าวที่
พวกเขาได้รบั นนั้ เปน็ ความจริงแค่ไหน เพราะไม่มีใครอยากเชื่อว่านบีได้จากไปแล้ว สหายคนสนิทของท่านและ
เป็นพ่อตาของท่านคือ อุมัร อิบนุ อัล ค็อฎฎ็อบตกตะลึงต่อข่าวน้ีท่านถึงกับชักดาบออกมาจากฝักพลางร้อง
ประกาศว่าใครขืนพูดว่านบีตายฉันจะตัดคอคนพูดทันที ขณะท่ีเกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายกันอยู่นี้มาสาวก
ของนบีคนหน่ึงได้รีบนําข่าวการส้ินชีวิตไปแจ้งให้อบุบักร์ ท่านก็ได้รีบรุดมายังบ้านของท่านนบี ท่านได้ออกไป
ยืนอย่ทู บี่ ริเวรด้านหน้าของมัสญดิ และได้ประกาศแกผ่ ู้ชมุ นุมวา่
“ หากพวกท่านมีความเคารพต่อนบีมูฮัมมัด อย่างจริงใจพึงรู้เถิดว่ามูฮัมมัดได้ส้ินชีวิตแล้ว แต่ถ้าหาก
ท่านมีความเคารพบูชาต่อพระผูเ้ จ้าแลว้ ขอให้ร้เู ถิดว่าพระเจา้ ทรงย่ังยนื ไมม่ ีการดบั สลาย ”
แล้วทา่ นอบบู กั ร์ก็ได้อญั เชิญคัมภีร์ อลั กรุ อาน เพือ่ ประกาศใหบ้ รรดาคนทั่วไป ณ ท่ีน้ันได้รําลึกและเตือนสติว่า
“ และมูฮัมมัดไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นศาสนทูตคนหน่ึง ซึ่งก่อนหน้าน้ีก็มีบรรดาศาสนทูตที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
เป็นจํานวนมาก ฉะน้ันหากว่าเขาได้ตายลงหรือถูกฆ่าตายพวกเจ้าก็ไม่ควรท่ีจะหันกลับไปสู่ศาสนาเดิม ”( อัลกุ
รอาน ซเู ราะฮ อาลิอิมรอน อายะฮ 144)
เม่ือคําประกาศนี้สิ้นสุดลง บรรดามุสลิมก็ได้คลายความสับสนว้าวุ่นท้ังๆ ท่ีพวกเขาก็ต่างเคยได้ยิน
โองการนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่อบูบักร์จะอัญเชิญมาเตือนกันพวกเขายอมรับไม่ได้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับ
ทราบข่าวการเสียชีวิตของนบีในเวลากะทันหันและรวดเร็วโดยท่ีไม่คาดคิดมาก่อน มาบัดนี้พวกเขาไม่สงสัยอีก
แลว้ วา่ นบไี ด้จากพวกเขาแลว้ อยา่ งไมม่ ีวันกลบั เช่นเดียวกับบรรดานบอี ื่นๆในอดีต
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารคี 2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 22
ใบความรทู้ ่ี 1
การกาเนิดและเช้อื สายของท่านนบมี ฮู ัมมดั (ซ.ล.)
ท่านนบมี ูฮมั มัด (ซ.ล.) เกดิ ในเวลาเช้าตรู่ของวนั จันทร์ ท่ี 12 เดือนรอบอี ลุ เอาวัล ปีช้างตรงกับวันท่ี 23
เมษายน ค.ศ.571 ณ นครมักกะฮฺ ท่านเป็นคนชาวอาหรับเผ่ากุร็อยซฺ บิดาของท่านช่ือว่าอับดุลลอฮ บุตรอับ
ดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาซิม บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะห์เราะห์ บุตรกิลาบ มารดาของท่านช่ือว่าอามีนะฮฺ บุตร
วะฮับ บตุ รอบั ดลุ มะนาฟ บตุ รซะหเ์ ราะฮฺ บุตรกิลาบ ต้นตระกูลฝุายมารดาของท่าน ไปร่วมกับตระกูลฝุายบิดา
ที่กิลาบ ซ่ึงสายคนท่ีห้าฝุายบิดาและเป็นทวดท่ีส่ีฝุายมารดา และต้นตระกูลของท่านนบีมูฮัมมัดที่สูงขึ้นไปน้ัน
รว่ มสายจากท่านนบีอสิ มาอีล บตุ รของนบอี บิ รอฮมี (อ.ล.)
ปีที่ประสูติของท่านนบีมูฮัมมัดรู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “ปีช้าง” ท้ังนี้เพราะว่าในปีนั้น แม่ทัพแห่ง
เอธโิ อเปียซึง่ เป็นข้าหลวงปกครองเมืองเยเมน มีช่ือว่า “อับรอฮะหฺ” ได้กรีฑาทัพช้างมุ่งสู่นครมักกะฮฺ หวังท่ีจะ
ทําลายวิหารกะบะฮฺ กองกําลังของนครมักกะฮฺไม่มีกําลังพอที่จะต้านกองทัพของอับรอฮะหฺอันมหึมาน้ีได้ ชาว
มักกะฮฺ ต่างก็ทําได้เพียงแต่เฝูามองเหตุการณ์ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าเท่านั้น พระองค์อัลลอฮฺทรง
ปกปูองวิหารกะบะฮฺ และยับยั้งแผนอันช่ัวร้ายของกองทัพอับรอฮะหฺนี้โดยการส่งฝูงนกชนิดหน่ึงเรียกว่า “อะ
บาบีล” นกแต่ละตัวคาบก้อนกรวดชนิดหนึ่งท่ีมีเช้ือร้ายไปท้ิงท่ีกองทัพของอับรอฮะห์ และเช้ือร้ายนั้นได้
แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ กองทัพของอับรอฮะหฺ ถึงกับราบพนาสูรท้ังคนท้ังช้างและม้า ร่างกายของคนและ
สตั ว์เหมือนกบั ธญั พชื ท่ถี ูกแมลงกดั กนิ ดงั ท่ีอัลกุรอานได้บันทึกไว้ในซูเราะฮฺ อัล - ฟีล พวกทหารของอับรอฮะหฺ
ตา่ งลา่ ถอยหนีด้วยความกลวั ท่หี นีไมท่ นั ก็กลายเปน็ ศพตายระเนระนาด อับรอฮะหฺต้องถอนทัพกลับอย่างระสํา
ระส่าย เขาเองกถ็ กู พษิ รา้ ยนน้ั ด้วยและเสียชีวิตลงในเวลาตอ่ มา
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 23
ใบงานท่ี 1
1. อธิบายเก่ยี วกับการกําเนิดของทา่ นนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. จงอธิบายถงึ การกาํ เนดิ ของปชี า้ ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 24
ใบความรทู้ ่ี 2
ชีวิตตอนปฐมวัยของทา่ นทา่ นนบีมฮู มั มัด (ซ.ล.)
ท่านนบีมูฮัมมัด ( ซ.ล.) กําพร้าบิดาต้ังแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาซ่ึงล้มปุวยและเสียชีวิตที่มะดีนะฮฺฮฺใน
ขณะท่ีเดินทางกลับจากการค้าที่ซีเรีย เม่ือนบีมูฮัมมัดได้ประสูติน้ัน อามีนะฮฺผู้เป็นมารดาได้แจ้งข่าวไปยังท่าน
อับดลุ มุฏเฏาะลบิ ผู้เป็นปุูของท่านนบี ท่านจึงส่งคนมารับไป และท่านได้พาเด็กน้อยผู้นี้ไปยังวิหารกะบะฮฺ และ
ต้ังชื่อว่า “มูฮัมมัด” ซึ่งชื่อน้ีไม่เป็นท่ีคุ้นเคยแก่ชาวอาหรับมากนัก ตามธรรมเนียมของชาวอาหรับในสมัยนั้น
มักจะส่งลูกน้อยไปยังทะเลทรายหลังจากสัปดาห์แรกที่เกิดมา และให้อยู่ท่ีน้ันจนกระท่ังอายุได้ 5 หรือ 6 ขวบ
ช่วงแรกอามีนะฮฺได้มอบให้นางษุวัยบะฮฺซ่ึงเป็นคนใช้ของอบูละฮับ ลุงของท่านนบี เป็นแม่นมท่านนบีอยู่สอง
สามวัน ต่อมาท่านอับดุลมุฏเฏาะลิบได้ว่าจ้างนางหะลีมะฮฺจากเผ่าสะอฺด์ ซึ่งเป็นหญิงชนบทคนหนึ่งให้เป็นแม่
นมของท่านนบีและนําท่านไปเลี้ยงที่ชนบท เมื่อท่านนบีมีอายุครบ 6 ขวบ นางได้ส่งท่านนบีคืนแก่มารดาของ
ท่านเล้ียงดูต่อไป ในช่วงที่นางหะลีมะฮฺได้เลี้ยงดูท่านนบีน้ันนางได้รับโชคผลและความจําเริญอย่างมากมาย
ผิดปกติ อามีนะฮฺมีความสุขมากท่ีลูกชายของเธอได้กลับมาสู่อ้อมอกของเธออีกคร้ังหนึ่ง การไปอยู่ในชนบททํา
ให้เขาเป็นคนท่ีมีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง มีความคล่องแคล่วและรู้ภาษาอาหรับแท้ๆ จากทะเลทราย ซึ่ง
เหล่านี้เป็นรากฐานท่ีจะก้าวสู่เป็นบุคคลท่ีสําคัญในอนาคตต่อไป อามีนะฮฺ ต้องการพาบุตรชายให้ไปรู้จักญาติ
ทางมารดา และสรา้ งความคนุ้ เคยกับพวกลุงซ่ึงเป็นเผ่านัจญารในนครมะดีนะฮฺฮฺ โดยมีทาสหญิงของนางที่มีช่ือ
วา่ อมุ มุอัยมัน ติดตามไปดว้ ย ขากลับจากมะดีนะฮฺฮฺ ขณะเดนิ ทางมาถึงสถานที่หน่ึงมีชื่อว่า อัล - อับวา นางอา
มีนะฮฺก็ล้มปุวยลงและเสียชีวิตอยู่ที่นั้น หลังจากนั้นทาสหญิงผู้ซื่อสัตย์ก็พาเด็กน้อยกําพร้าบิดาและมารดา
กลับมายังนครมักกะฮฺ นบีมูฮัมมัดก็อยู่ภายใต้การอุปการะของปูุคืออับดุลมุฏเฏาะลิบ แต่ก็แค่เพียง 2 ปีเท่าน้ัน
ปูกุ ถ็ ึงแก่กรรมอีก ซ่งึ ขณะนน้ั นบีมฮู มั มดั อายุได้แค่เพียง 8 ปี เท่านั้น ฉะนั้นนบีมูฮัมมัดจึงเป็นเด็กกําพร้าทั้งพ่อ
แม่และปุูตั้งแตอ่ ายุยงั นอ้ ย
หลังจากน้ัน หน้าที่เล้ียงดูนบีมูฮัมมัดก็ตกเป็นของอบูฏอลิบผู้เป็นลุง ซึ่งรักเอ็นดูหลานชายอย่างย่ิง
จนกระทัง่ เตบิ ใหญ่ เน่ืองจากลงุ ของทา่ นไมใ่ ชค่ นรา่ํ รวย นบมี ูฮัมมดั จงึ ต้องทาํ งาน โดยพาฝูงแกะและอูฐตามเนิน
เขาและหบุ เขาในทะเลทราย นบีมูฮัมมัดมีนิสัยกรุณาต่อคนยากจน และผู้มีทุกข์มาต้ังแต่เยาว์วัย เป็นคนที่ชอบ
อยู่อย่างสงบ รักการคิดใคร่ครวญ ผู้คนในเผ่าเดียวกันต่างก็รักใคร่และให้เกียรติเพราะท่านมีนิสัยอ่อนโยน มี
อธั ยาศัยไมตรี การทที่ ่านถือความซ่อื สตั ย์ ซือ่ ตรงตอ่ หน้าที่ เป็นอย่างย่ิงอย่างไม่สะทกสะท้านน้ัน ทําให้นบีมูฮัม
มัดได้รบั การขนานนามวา่ “อลั อมีน” ซึง่ แปลวา่ ผ้คู วรแก่การเชื่อถือหรอื ผูท้ ไี่ ด้รบั การไว้วางใจ
เมื่ออายุได้สิบสองปี นบีมูฮัมมัดได้เดินทางไปค้าขายท่ีซีเรียกับลุง และท่ีซีเรียนี้เองท่านได้พบกับ
นักบวชชาวครสิ เตยี นคนหนึ่งมชี ื่อว่า “บูฮยั รอ” ซึ่งได้ทํานายว่ามูฮัมมัดจะเป็นนบีองค์สุดท้ายและได้กล่าวไว้ว่า
“หลานชายของท่านมลี กั ษณะเป็นมหาบรุ ุษแท้ๆ ท่านจงเล้ียงดเู ขาอย่างดีเถิด” หลังจากนั้นท่านอบูฏอลิบจึงนํา
หลานชายของทา่ นกลบั มายังมกั กะฮฺ และรักษาความลับนี้ไมใ่ หใ้ ครรู้
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารคี 2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 25
ใบงานท่ี 2
1. อธิบายชีวติ ตอนวัยเยาวข์ องท่านนบมี ูฮัมมัด (ซ.ล.) มาพอเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. อธบิ ายถึงสาเหตทุ ่ีทาํ ให้นบีมูฮมั มัดได้รบั การขนานนามว่า “อลั อมนี ”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
3. ลักษณะใดของท่านนบีมูฮัมมดั ทส่ี ร้างความประทบั ใจแกเ่ คาะดญี ะฮฺ ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 26
ใบความร้ทู ่ี 3
การแตง่ งานของท่านนบมี ฮู ัมมัด (ซ.ล.)
ผลจากการค้าขายในครั้งนี้ ทําให้ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)ได้มีโอกาสรู้จักกับเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺ ซึ่งใน
เร่ิมแรกรู้จักในนามลูกจ้างกับนายจ้าง ต่อมาด้วยกิตติศัพท์แห่งความซื่อสัตย์ของท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)
ประกอบกับความสามารถในเชิงธุรกิจที่สามารถนํากําไรอย่างมหาศาลให้แก่นาง ทําให้นางมีความสนใจในตัว
ท่านนบีเป็นอย่างมาก และได้เสนอตัวขอร่วมชีวิตกับท่าน นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ในขณะน้ันนางเป็นหญิงหม้ายมี
อายุได้ 40 ปี เคยแต่งงานมาแลว้ 2 คร้ัง มีบตุ รรวมทั้งหมด 3 คน หญิง 1 ชาย 2 คน นางเป็นคนเผ่าอะสัด นาง
เป็นหญิงท่ีมีเกียรติและรํ่ารวยมากในนครมักกะฮฺ นางได้ส่งแม่ส่ือชื่อว่า นุฟัยซะฮฺ ซึ่งเป็นเพื่อนของนางไปพูด
เจรจากับท่านนบมี ูฮมั มดั (ซ.ล.) ก็รับคําด้วยเตม็ ใจ ซ่งึ ในขณะนั้นท่านนบีมฮู ัมมัด (ซ.ล.)มอี ายุได้เพียง 25 ปี
ชีวิตใหม่ของท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)จึงเปิดฉากขึ้น คือชีวิตของการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความรักและ
ความสุข ความมั่งคั่งของนางบัดนี้ก็เป็นของท่านนบีด้วย ถึงแม้ว่าท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)เป็นผู้รับผิดชอบใน
ธรุ กิจของนาง แต่หัวใจของท่านนั้นมไิ ด้หมกมุ่นอยู่กับงานอย่างเดียว ความรํ่ารวยมิได้มีความหมายสําหรับท่าน
แต่ประการได้ ท่านใช้ความม่งั คั่งซือ้ และปลดปล่อยทาสและหญิงรับใช้หลายคนให้เป็นอิสระ นอกจากน้ีท่านยัง
ไดป้ ลดเปล้ืองหนี้สินแก่ผู้ที่ยากไรซ้ ง่ึ ไม่สามารถทจ่ี ะชําระหนี้ของตนเองได้ ชวี ิตการแต่งงานของท้ังสองดําเนินไป
ด้วยความสขุ นางเคาะดญี ะฮฺ นยิ มชมชอบความปรีชาสามารถ และบุคลกิ ภาพอันสง่างามของท่านนบีเป็นอย่าง
มาก นางปล่อยให้ท่านมีเวลาเป็นของตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เลย ยามท่ีท่านมีความเศร้าโศก
และความทุกข์ นางก็คอยปลอบโยนและให้กําลังใจท่านตลอดเวลา ท่านนบีอยู่ร่วมชีวิตกับนางด้วยความ
ซอื่ สตั ย์ รกั ใคร่และเอน็ ดูจนถึงวาระสดุ ท้ายของนาง ทา่ นนบไี ด้บุตรกับนางด้วยกัน 6 คนเป็นบุตรชาย 2 คน ซึ่ง
ทง้ั หมดได้เสยี ชีวติ ตง้ั แตย่ งั เด็ก สว่ นบุตรสาว 4 คน คอื ซยั นบั รุกอ็ ยยะฮฺ อุมมุกุลษูม และฟาตีมะฮฺ นอกจากน้ี
นางได้มอบทาสคนหนึ่งชื่อว่า ซัยดฺ บิน หาริษะฮฺให้แก่ท่านนบีและท่านนบีได้ให้อิสระภาพพร้อมกับประกาศ
เป็นลูกบุญธรรมของทา่ น
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 27
ใบงานที่ 3
1. ท่านนบีมฮู ัมมัด (ซ.ล.) แต่งงานกบั เศรษฐนี ชี ่ืออะไร และมีบุตรดว้ ยกนั ก่ีคน ช่อื อะไรบ้าง ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. ทา่ นนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) แต่งงานกบั นางเคาะดญี ะฮฺเม่ืออายเุ ท่าไร และมีอายตุ ่างกบั ภรรยากปี่ ี ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
3. ทา่ นนบมี ฮู มั มัด (ซ.ล.) แต่งงานกบั นางเคาะดญี ะฮฺ โดยทน่ี างเคาะดีญะฮฺเคยแต่งงานมาแล้วกค่ี ร้งั และเคยมี
ลูกมาแลว้ กี่คน ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
4. ทา่ นใดคือภรรยาคนแรก และคนสุดท้ายของทา่ นนบีมูฮัมมดั (ซ.ล.) ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 28
ใบความรทู้ ่ี 4
การไดร้ บั โองการและการประกาศเผยแผ่ศาสนาอสิ ลามของนบีมูฮัมมดั (ซ.ล.)
เม่ืออายุย่างเข้าปีท่ี 40 ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) มักใช้เวลาส่วนใหญ่คํานึงใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ต่างๆ
เพ่งพินิจถึงความจริงของชีวิตและความเป็นไปของโลก ในขณะท่ีชาวอาหรับมีชีวิตอย่างปุาเถื่อนและงมงายอยู่
กับรูปเคารพของแต่ละเผ่า นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) มักจะไปที่ถ้ําในภูเขาฮิรออฺซ่ึงอยู่ทางเหนือของมักกะฮฺ ประมาณ
สามไมล์ และใชเ้ วลาอยทู่ น่ี ัน่ เดือนหน่งึ ทุก ๆ ปี เพ่อื แสวงหาความสงบ นั่งสํารวมจิต โดยมีคนใช้เอาอาหารและ
เสบียงไปส่ง อยู่มาวันหน่ึงในขณะท่ีท่านกําลังนั่งอย่างสงบในถ้ําฮิรออฺ ได้มีมะลาอิกะฮฺตนหน่ึงปรากฏตัวเข้ามา
หาท่าน ท่านไดเ้ ลา่ เหตกุ ารณ์ในครัง้ น้ันไวว้ า่ :
“ญิบริลได้มาหาฉัน แล้วกล่าวว่า “(มูฮัมมัด) จงอ่านเถิด ” ฉันก็ตอบว่า " ฉันอ่านไม่เป็น " เขาได้กอด
รดั ฉันจนกระทงั่ ฉนั คิดว่าจะตาย หลังจากน้ันเขาก็คลายออก เขาทาอย่างน้ันสามคร้ัง แล้วในครั้งท่ีส่ีเขาก็กล่าว
ว่า “(มูฮมั มัด) จงอ่านเถดิ ” ฉันไดต้ อบวา่ " ฉันอ่านไม่เป็น " แล้วเขาก็กล่าวนาโองการอัลกุรอานท่ีว่า " จงอ่าน
เถิด (มูฮัมมัด) ด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด จงอ่าน
เถิด และพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงใจบุญย่ิง ผู้ทรงสอนด้วยปากกาทรงสอนมนุษย์ในส่ิงท่ีเขาไม่รู้ … (อัลกุรอาน ซู
เราะฮอฺ ลั อะลัก อายะฮฺ 1-5)”
เมื่อท่านนบีได้อ่านแล้วมะลาอิกะฮฺตนนั้นก็ได้หายจากไป ท่านนบีรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน ท่าน
รสู้ ึกหวาดกลวั จึงรีบกลับบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺฟัง ท่านคิดว่าถูกผีเข้าสิงหรือมีจิตใจไม่ปกติ
แต่นางเคาะดีญะฮผฺ ้มู ีจิตใจที่เขม้ แขง็ ยนื ยนั ว่า
“โอ้ลูกของลุงเอ๋ย ท่านจงดีใจและจงยืนหยัดต่อไปเถิด ดิฉันขอสาบานต่อผู้ซึ่งตัวของดิฉันอยู่ในอุ้งพระ
หัตถ์ของพระองค์ ดฉิ นั หวงั ว่าท่านจะต้องเป็นนบแี ห่งประชาชาตนิ ี้”
และแลว้ นางก็พาสามีของนางไปหา “วะเราะเกาะฮฺ” บุตรของเนาฟัล ผู้เป็นลูกพ่ีลูกน้องคนหน่ึงของนาง
ชายผู้น้ีเป็นคนท่ีมีความรู้ในคัมภีร์ของชาวคริสเตียนและยิว เม่ือวะเราะเกาะฮฺฟังรายละเอียดต่างๆ จากนาง
เคาะดีญะฮฺแล้ว ท่านได้กล่าวขึ้นวา่
“ถ้าหากเร่ืองท่ีเธอเล่าท้ังหมดนั้นเป็นความจริง นี่จะต้องเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน
พระเจ้าองค์นี่แหละท่ีทรงพูดกับโมเซสที่ภูเขาซีนาย มูฮัมมัดจะเป็นนบีของชนชาตินี้ จงบอกเขาเถิดว่า จงมี
ความเข้มแข็ง”
ต่อมาไม่นานนัก มะลีกะฮฺญิบรีลได้เข้ามาหาท่านนบีอีกพร้อมนําโองการใหม่มาโดยกล่าวว่า “ โอ้ผู้อยู่
ใต้ผ้าคลุม จงลุกข้ึนตักเตือนเถิด จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า จงทาตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์ จงหลีกเล่ียงความไม่
สะอาดทงั้ มวล จงอย่าให้เพื่อท่ีจะไดก้ ลับคนื มา และเพื่อพระเจ้าจงอดทนเถิด … ( อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลมุดัซ
ซิร อายะฮฺท่ี 1-7) ” ท่าน นบีได้เล่าเร่ืองโองการน้ีให้นางเคาะดีญะฮฺฟัง ซึ่งโองการดังกล่าวได้ส่ังให้ท่านทําการ
เผยแพร่ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะไปเผยแพร่ให้กับใคร ท่านเคาะดีญะฮฺ พยายามปลอบโยน และยืนยันว่าจะอยู่เคียง
ข้างท่านตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรข้ึน นางได้พาสามีของนางไปหาวะเราะเกาะฮฺอีกครั้งหน่ึง และเล่าเร่ือง
ทงั้ หมดทเี่ กิดข้นึ กับสามขี องนางให้แกว่ ะเราะเกาะฮฺฟงั ด้วยความรอบรขู้ องวะเราะเกาะฮฺ ทา่ นได้กล่าววา่
“ขอสาบานว่าท่านคือนบีของชนชาตินี้ ท่านจะถูกทาร้าย ท่านจะถูกด่า ถูกจองล้างจองผลาญ และถ้า
ฉันยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น ฉันจะช่วยมูฮัมมัดเผยแพร่ศาสนา จะช่วยงานของพระเจ้าเคียงคู่กับนบีของพระองค์
และพระเจา้ ทรงทราบดีถงึ เจตนารมณ์ของฉนั ”
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 29
ใบงานท่ี 4
1. ขณะท่ีท่านกําลงั น่ังอย่างสงบในถ้าํ ฮริ ออไฺ ด้มีมะลาอิกะฮฺตนหน่ึงปรากฏตวั เขา้ มาหาท่านนบีและสั่งให้ท่านทํา
อะไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. ท่านนบีมูฮัมมดั (ซ.ล.) มีการเรยี กรอ้ งเชิญชวนสู่อิสลามเมื่ออายุเทา่ ไร และมวี ิธกี ารเชญิ ชวนเข้ารบั อสิ ลาม
อย่างไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
3. ลงุ ของทา่ นนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ชี่ออะไร เขา้ รับอิสลามหรอื ไม่ และมีพฤติกรรมต่อท่านนบีอย่างไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 30
ใบความรู้ที่ 5
การอพยพไปอบีสสิเนีย
เน่ืองจากชาวมุสลิมถูกทําร้ายและประหัตประหารเช่นน้ี ท่านนบีจึงได้แนะนําให้พวกเขาไปหาที่พึ่งใน
ดินแดนอ่นื ในสมยั นน้ั อบิสสิเนียเป็นท่ีร้จู ักดขี องชาวมกั กะฮฺในฐานะท่ีเป็นตลาดสินค้าของอารเบีย ในเดือนท่ี 7
ของปีที่ 5 ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ชาวมุสลิมผู้ชาย 11 คน และผู้หญิง 4 คน รวมทั้งท่านอุษมาน
บุตรอัฟฟานและภรรยาของท่านได้เดินทางไปยังเมืองอบิสิเนีย ซึ่งในเวลานั้น กษัตริย์แห่งอบิสิเนียคือ นะญาซี
ไดต้ ้อนรับชนมสุ ลมิ เหลา่ น้ดี ้วยอัธยาศัยไมตรี
เมอ่ื บรรดาหวั หน้าชาวมักกะฮฺรู้เร่ืองถึงการอพยพของชาวมุสลิมน้ี พวกเขาได้สั่งให้เหล่าทหารพวกเขา
ออกติดตามไป แต่ก็ไม่ทัน พวกเขากไ็ ม่ละความพยายาม ในฐานะท่ีประเทศอบิสิเนียมีมิตรไมตรีกับนครมักกะฮฺ
พวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺจึงส่งทูตไปเข้าเฝูากษัตริย์อบิสิเนียเพื่อขอให้ พระองค์ทรงขับพวกมุสลิมออกจาก
อาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกและฟังเหตุผลทั้งสองฝุาย และในท่ีสุดพระองค์ทรงประทับใจใน
อุดมการณ์ของฝุายชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก จึงทรงอนุญาตให้ชาวมุสลิมพํานักอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ได้
อยา่ งสงบ ทตู ของหวั หน้าชาวมักกะฮจฺ งึ ตอ้ งกลับไปยังมักกะฮฺดว้ ยมือเปลา่ อย่างผดิ หวัง
ผลทีส่ าํ คัญท่ีไดจ้ ากการอพยพในครั้งนี้ก็คือ ทําให้ชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺมีกําลังใจมากขึ้นเมื่อได้รู้ว่า
ขณะนีย้ งั มีสถานทอ่ี กี แหง่ หนึ่งที่พวกตนสามารถหลบไปพึ่งอาศัยให้พ้นจากการประหัตประหารของชาวมักกะฮฺ
ได้ ในที่สุดเหตุการณ์คร้ังน้ีก่อให้เกิดความคิดท่ีจะทําการอพพยโยกย้ายชาวมุสลิมจากมักกะฮฺไปยังเมืองมะดี
นะฮฺฮฺฮในเวลาต่อไป ในขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมในมักกะฮฺเพิ่มความลําบากยากแค้นยิ่งขึ้นอันเน่ืองมาจากชาว
มักกะฮฺเสียหน้าและได้รับความผิดหวังจากกษัตริย์อบิสิเนีย จึงเพ่ิมความโกรธแค้นต่อชาวมุสลิมมากขึ้นเป็น
ทวีคูณ
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 31
ใบงานที่ 5
1. การอพยบหลบภยั ไปอยู่ที่อบิสเิ นยี คร้ังท่ี2 มีผ้อู พยพหลบหนีไปจาํ นวนกค่ี น ประกอบดว้ ยใครบา้ ง ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. “โอ้ทา่ นลุงของฉัน … ถงึ แมจ้ ะเอาดวงอาทิตยม์ าวางในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร์มาวางบนมือซ้ายก็
ตาม ฉนั กจ็ ะไม่ขอเลกิ ภารกจิ ของฉันอันน้ี” เปน็ คาํ พูดของใคร กลา่ วถงึ ใคร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
3. การอพยพหลบภยั ไปอยทู่ ่ีอบิสิเนยี คร้ังที่ 2 ทา่ นนบมี ูฮมั มดั (ซ.ล.) ไดร้ ับขา่ วรา้ ยอะไรบ้าง ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 32
ใบความรูท้ ี่ 6
สนธสิ ัญญาอะเกาะบะฮฺครัง้ ที่ 1
ในขณะที่หนึ่งปีผ่านไป ตรงกับปีท่ี 12 แห่งการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี เดือนอันศักดิ์สิทธ์ิและ
ฤดูกาลแห่งการแสวงบุญกลับมาถึง ผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจํานวน 12 คน เข้าพบท่านนบีที่ภูเขาอัลอะ
เกาะบะฮฺ และไดเ้ ข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านด้วยสนธิสัญญาท่ีเรียกว่า “ สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งที่1 ”
ในสนธิสัญญาน้ีพวกเขาตกลงกันที่จะยึดมั่นในเรื่องเอกภาพของพระเจ้าโดยไม่กราบไหว้รูปเคารพ จะไม่ลัก
ขโมย หรือลว่ งประเวณี จะไม่ฆา่ ลกู ๆ ของตน หรอื ไมท่ าํ ความชว่ั ทง้ั ๆ ที่รู้ และจะต้องยอมรับคําบัญชาของพระ
เจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งส้ิน พวกผู้แทนจากเมืองยัษริบเหล่าน้ีก็ยินดีรับฟังตามเงื่อนไขดังกล่าว ในตอนขา
กลับไปยังเมืองยัษริบน้ันนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ส่งมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาด้วย เพื่อสอนกุรฺอานและ
หลักคําสอนของอิสลามให้คนเหล่าน้ัน หลังจากสนธิสัญญาน้ีแล้ว อิสลามจึงได้เร่ิมแพร่หลายไปในเมืองยัษริบ
อยา่ งรวดเรว็ มุสอบั อาศัยอยกู่ ับบรรดามสุ ลมิ ของเผา่ เอาสฺ และค็อซรอ็ จญ์ และได้สอนศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า
และการเปิดเผยสจั ธรรมใหพ้ วกเขา จํานวนมสุ ลิมในเมืองยษั ริบได้เพิ่มข้นึ เรื่อยๆ เม่ือเดือนศักด์ิสิทธิ์หวนกลับมา
มุสอับก็เดินทางมายังนครมักกะฮฺ และรายงานผลความก้าวหน้าในเร่ืองพลังอํานาจและการผนึกกําลังของ
มุสลิมในเมืองมะดีนะฮฺฮฺให้ท่านนบีฟังและได้แจ้งแก่ท่านด้วยว่าคนเหล่าน้ันจะมาทําการแสวงบุญในฤดูกาลนี้
เปน็ จํานวนมากกว่าที่เคยเปน็ มา
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 33
ใบงานท่ี 6
1. สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครัง้ ที่1 มีผู้แสวงบุญจากเมืองยัษรบิ จาํ นวนกคี่ นท่ีเขา้ รว่ ม ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
2. ในสนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครง้ั ท่ี1 มกี ารตกลงกนั อย่างไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ 34
ใบความรู้ท่ี 7
สนธสิ ัญญาอะเกาะบะฮคฺ รง้ั ท่ี 2
ปี ค.ศ. 622 ได้มีจาํ นวนผแู้ สวงบญุ จากเมืองยษั รบิ จํานวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบสามคนและสตรีสองคน
เมื่อนบีมูฮัมมัดได้ทราบข่าวนี้ ท่านก็คิดจะทําสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับพวกเขาซ่ึงนอกจากคําสั่งสอนของ
อิสลามอย่างสุภาพอ่อนโยนและสอนให้อดทนแล้ว ท่านต้องการทําสัญญาเรียกร้องให้พวกเขาพร้อมท่ีจะ
เสียสละในการปกปอู งภยนั ตรายต่างๆ และโต้ตอบการประทุษร้ายและการรุกรานท่ีอาจเกิดข้ึนแก่ท่านนบีมูฮัม
มดั (ซ.ล.) และชาวมสุ ลมิ
นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) จึงได้ติดต่ออย่างลับๆ กับพวกหัวหน้ากลุ่มนั้นและได้ทราบว่าพวกเขาก็เตรียมตัวไว้
อย่างดีแล้วที่จะทํางานเช่นนั้น พวกเขาตกลงที่จะไปพบกันท่ีเขาอัลอะเกาะบะฮฺ ในตอนกลางคืนของวันท่ีสอง
แห่งการแสวงบุญ มุสลิมจากเมืองยัษริบเก็บการนัดพบน้ันไว้เป็นความลับ มิให้แพร่งพรายให้แก่ผู้ไม่ศรัทธาใน
เผ่าของพวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ตามท่ีนัดไว้
โดยลอบมาในความมืดยามคํ่าคืน เมื่อพวกเขามาถึงอัลอะเกาะบะฮฺท้ังชายและหญิงก็ขึ้นไปบนภูเขาและรอ
ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) อยู่ท่ีนั่น นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) มาถึงพร้อมด้วยลุงของท่านคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏ
เฏาะลิบ อัลอับบาส ซ่ึงตอนนั้นยังมิได้เปล่ียนมารับอิสลาม แต่ด้วยความเป็นห่วงหลานชายจึงติดตามมาด้วย
สญั ญาอลั อะเกาะบะฮฺครง้ั น้ีเรยี กว่า “สนธิสัญญาอลั อะเกะบะฮฺครั้งที่สอง ” ข้อความท่ีสําคัญในสัญญาคร้ังนี้คือ
กลุ่มตัวแทนจากเมืองยัษริบนี้ สัญญาท่ีปกปูองนบีมูฮัมมัด(ซ.ล.) และจะกระทําทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการ
ปกปูองภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาเอง การทําสัญญาของพวกยัษริบในครั้งน้ีมี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เป็น
หัวหน้าของกลุ่มน้ี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เข้ารับอิสลามหลังจากท่ีมีการทําสนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺ ฉบับแรก
ข่าวน้ีเมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารู้สึกไม่พอใจทันท่ี พวกเขาได้พากันมาหาหัวหน้าของ
เผา่ ค็อซร็อจญ์ ณ ท่ีพกั แตฝ่ าุ ยมสุ ลมิ กเ็ งียบเสีย ทําให้พวกกุร็อยซฺไม่สามารถที่จะจับผิดได้ เพราะไม่มีหลักฐาน
ที่ชดั เจน ดังนั้นพวกยัษริบจึงรีบกลับเมืองก่อนท่ีพวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได้ เมื่อพวกกุร็อยซฺรู้ความจริง พวก
เขาจึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทัน คงจับได้ชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใส่โซ่ตรวนและ
ทรมาน จนกระทั่ง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ ต้องไปขอถ่ายตัวเขาด้วยเงิน
จํานวนหน่ึงเพือ่ ให้พน้ โทษ สนธิสัญญาทาํ ให้ทา่ นนบีมีความหวังและเป็นการเปิดประตูสู่ชัยชนะ ส่วนพวกกุร็อย
ซฺมีความกลัวและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าถ้าขบวนการน้ียังไม่ถูกทําลายอย่างถอนรากถอนโคน
อนาคตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ชัยชนะของมูฮัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใช้มารตราการข้ัน
เด็ดขาดกับมูฮัมมัดและชาวมุสลิม ท่านนบีก็รู้ดีว่าการนองเลือดระหว่างพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไม่มี
ทางหลีกพ้น ท่านจึงส่ังให้มิตรสหายตลอดจนสาวกของท่านอพยพไปยังเมืองยัษริบ มุสลิมจึงเร่ิมอพยพไปทีละ
คนทีละกลมุ่ บางคร้ังก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ท้ังนี้เพื่อไม่ให้พวกกุร็อยซเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตามบางคนท่ีจับได้ ก็
ถูกทรมานไป
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ 35
ใบงานท่ี 7
1. จงสรุปเร่ืองราวการทาํ สนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺครงั้ ที่ 2 มาพอสงั เขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 36
ใบความร้ทู ่ี 8
การอพยพสูเ่ มอื งมะดนี ะฮฺฮฺ
มกั กะฮเฺ ปน็ สถานท่แี ห้งแลง้ เต็มไปดว้ ยเนินเขา สภาพทางภูมศิ าสตร์นบั วา่ มีอิทธิพลต่อผู้คนในเมืองเป็น
อย่างมากทีเดียว ชาวมักกะฮฺมักเป็นคนอารมณ์ร้ายและไม่ค่อยมีความคิดที่ลึกซ้ึง ตรงกันข้ามยัษริบเป็นเมืองท่ี
อุดมสมบรู ณม์ พี ชื ผลไมม้ ากชนิด ดนิ ฟาู อากาศ กไ็ มท่ ารณุ เหมอื นมักกะฮฺ ผคู้ นจึงมจี ิตใจอ่อนโยน มีความเกรงใจ
และช่างคิด เพราะฉะน้ันในระยะต้นของการเผยแพร่อิสลามเมืองมะดีนะฮฺฮฺจึงเป็นท่ี ๆ เหมาะสมมากกว่ามัก
กะฮฺมาก ในมะดีนะฮฺฮไฺ มม่ พี วกนักบวชคอยต่อตา้ นความเจริญเตบิ โตของอิสลามเหมือนในมักกะฮฺ ฉะน้ันจึงเป็น
การง่ายท่ีจะเผยแพร่คําสอนศาสนาอิสลามมากกว่าท่ีอ่ืน นอกจากน้ีในเมืองนี้ยังมีชาวยิวอาศัยอยู่ด้วย พวกยิว
ถือว่ามูฮมั มดั เปน็ ผ้สู นบั สนนุ คมั ภรี ์ของพวกตน ฉะนัน้ พวกเขาจงึ รอตอ้ นรับทา่ นนบดี ้วยความกระตือรือรน้
หลังจากทที่ ่านนบีได้ส่ังสานุศิษย์ของท่านให้โยกย้าย อพยพไปอยู่ท่ีเมืองยัษริบแล้ว ประกอบกับทราบ
ขา่ ววา่ พวกกรุ อ็ ยซกฺ าํ ลังวางแผนจะสังหารทา่ นนบอี ย่างแนน่ อน และในเวลาเดียวกันนั้น ท่านนบีได้รับคําบัญชา
จากพระเจ้าให้เดินทางไปพร้อมกับท่านอบูบักรฺ ท่านนบีได้หลบออกจากบ้านในเวลากลางคืน โดยให้ท่านอะลี
บุตร อบูฎอลิบ นอนอยู่บนเตียงของท่าน ภายใต้สถานการณ์ที่คนหนุ่มจากเผ่าต่างๆ ได้ล้อมรอบบ้านท่านเพ่ือ
รอการสังหารทา่ น ทา่ นได้หลบหนอี อกไปกับอบูบักรโ์ ดยไปหลบอยู่ในถ้ําแห่งหนึ่ง ซ่ึงอยู่ไม่ไกลจากเมืองมักกะฮฺ
นัก โดยไม่มีใครเห็น นอกจากอับดุลลอฮฺ ลูกของอบูบักรฺ กับน้องสาวสองคนของท่าน คือ อาอิชะฮฺ และอัสมา
ทั้งสองไดซ้ อ่ นอยู่ในถํา้ เป็นเวลาสามวนั ดว้ ยความช่วยเหลือจากพระเจา้ พวกกรุ ็อยซฺตามตัวไม่พบ ถึงแม้ว่าพวก
เขาได้มาถงึ ปากถํา้ แล้วกต็ าม เพราะวา่ หน้าปากถ้ํามีใยแมงมุมและมีนกพิราบมาสร้างรังอยู่ โดยที่พวกเขานึกไม่
ถงึ วา่ ทา่ นนบีอยใู่ นถาํ้ นั้น
เมื่อเหน็ ว่าปลอดภยั ดีแล้ว ทา่ นนบแี ละอบูบกั รฺจึงออกเดนิ ทางต่อไป โดยมีคนใช้ชื่อว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ
อุรัยกิต เป็นผู้นําทาง ซ่ึงได้นําทางสองไปทางตอนใต้ของมักกะฮฺ แล้วออกเดินทางไปอย่างระมัดระวังตาม
เส้นทางที่ไม่มีผู้คนใช้ เพ่ือหลีกเล่ียงไม่ให้พบกับพวกกุร็อยซฺ ในวันท่ี 2 เดือนร็อบบิลอุลอัววัล ตรงกับเดือน
กรกฎาคม ค.ศ. 622 ท่านนบีมาถึงที่เมืองกุบาอฺ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองยัษริบประมาณ 6 ไมล์ ณ ท่ีน้ันท่านนบีได้
สร้างมัสยิด ซึ่งมีช่ือว่า มัสยิดกุบาอฺ และถือว่าเป็นมัสยิดแห่งแรกในอิสลาม ท่านนบีได้พักท่ีนั้นเป็นเวลา
ประมาณสองอาทิตย์ จึงเดินทางเข้าเมืองยัษริบในวันศุกร์โดยมีชาวเมืองยัษริบออกมาต้อนรับเป็นจํานวนมาก
เหตุการณค์ รงั้ นเ้ี รยี กว่าการอพยพหรอื ฮิจญเ์ ราะฮอฺ นั เปน็ การเร่ิมตน้ ศกั ราชของชาวมสุ ลิม
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 37
ใบงานที่ 8
1. สาเหตุใดทท่ี า่ นนบีมูฮมั มัด (ซ.ล.) ได้อพยพไปเมืองมะดีนะฮฺฮฺ ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ใครที่ได้รบั คาํ บญั ชาจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ใหน้ อนบนเตยี งแทนที่นบมี ูฮมั มัด(ซ.ล.)กอ่ นอพยพไปเมืองมะดีนะฮฺ ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. เม่ือทา่ นนบีได้มาอยทู่ เ่ี มืองยัษริบแลว้ ภารกิจแรกที่ท่านนบีมฮู มั มดั (ซ.ล.) ทําคืออะไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ทานใดไดอพยพพรอมกับทานนบีมูฮมั มัด (ซ.ล.) ไปยงั นครมะดนี ะฮฺ ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ทานนบีมฮู มั มัด (ซ.ล.) ไดหยุดพักการเดนิ ทางขณะอพยพไปเมืองมะดนี ะฮฺ ณ สถานท่ีตําบลใด ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 38
ใบความร้ทู ี่ 9
การทาสนธสิ ญั ญา
“ในนามของพระผู้เปน็ เจ้าผูท้ รงเมตตา ผทู้ รงปราณี นี่คือข้อตกลงที่ศาสทูตมูฮัมหมัดและผู้ถือตามเขา
เข้ารว่ มและต่อสูร้ ว่ มกับพวกเขา พวกเขาคือชุมชนอันหนึ่งอันเดียวกัน………………………………………..ชาวยิวผู้ใด
ที่ทําตามพวกเราย่อมมีสิทธ์ิที่จะได้รับความช่วยเหลือของเรา และมีสิทธิ์เช่นเดียวกับพวกเราคนหน่ึงโดยไม่มี
ความอยุติธรรมหรือความลําเอียง สัญญาสันติภาพอิสลามน้ีมีอยู่หน่ึงเดียวมิอาจแบ่งแยกได้……………………….
ในขณะท่ีชาวยิวต่อสู้อยู่ข้างเดียวกับผู้ศรัทธาพวกเขาจักใช้จ่ายทรัพย์สินเท่าเทียมกับผู้มีศรัทธา ชาวยิวใน
ตระกลู เอาส์คอื ประชาชาติเดียวกับผู้ศรัทธา ชาวยิวมีศาสนาของพวกเขาและมุสลิมก็มีศาสนาของพวกเขา ทั้ง
สองฝาุ ยไดร้ ับความปลอดภยั ของอาณาประชาราษฎ์และผู้อยู่ใต้อุปถัมป์ของพวกเขา นอกจากผู้อยุติธรรมและ
อาชญากรในหมู่พวกเขา ผู้อยุติธรรมและอาชญากร ย่อมทําลายตัวเองและครอบครัวของเขาเท่าน้ัน ชาวยิว
ตระกลู อัลนัจญาร ตระกลู อัลฮาริษ ตระกลู ชาอิดะฮ์ ตระกูลยุชาม ตระกูลอัลเอาส์ ตระกูลษะอ์ละบะฮ์ ญัฟนะฮ์
และตระกูลอัชชุตัยบะฮ์ ต่างก็มีสิทธ์ิและศักด์ิศรีเช่นเดียวกับตระกูลเอาส์ ผู้อยู่ใต้การคุ้มครองอุปถัมป์ของ
เผา่ ษะอ์ละบะฮก์ ม็ สี ทิ ธิศ์ ักศรเี ช่นเดียวกัน ในฐานะท่ีเป็นสมาชิกของเผ่าเอง ในทํานองเดียวกันผู้ใต้การคุ้มครอง
ของชาวยิว ก็มีสิทธ์ิและหน้าที่เช่นเดียวกับยิวเองจะไม่มีผู้ท่ีกล่าวถึงมาข้างต้นนี้จักไปสงคราม นอกจากศาสน
ทตู มฮู ัมหมัด (ขอความสันตจิ งมีแด่ท่าน) จะอนุญาต…………..หากว่าชาวยิวต่อสู้อยู่ในฝุายผู้มีศรัทธาพวกเขาจัก
ใช้จา่ ยทรัพย์สินของเขาเท่าเทียมกับผศู้ รัทธา เมืองยัซริบจะสร้างสถานสักการะสําหรับฝุายต่างๆของคําสัญญา
น้ี เพ่ือนบ้านของพวกเขาจะได้รับการปฎิบัติเช่นเดียวกับพวกเขา ตราบเท่าท่ีไม่ก่ออาชญากรรม หรือกระทํา
อั น ต ร า ย ใ ด ส ต รี อ า จ จ ะ ไ ม่ ถู ก รั บ ไ ว้ ใ ต้ ก า ร ป ก ปู อ ง ถ้ า ห า ก ค ร อ บ ค รั ว ข อ ง น า ง ไ ม่
ยนิ ยอม………………………………………………”
(มูฮัมมัดมหาบรุ ษุ แห่งอิสลาม น183-186 โดย หซู ยั น์ ฮัยกลั แปลโดย กิติมา อมาทตั และคณะแปล)
นี่คือสนธิสัญญาของท่านศาสนทูตที่ทําข้ึนเม่ือสิบส่ีศตวรรษท่ีผ่านมาซ่ึงยังคงเป็นหลักฐานท่ีคงเหลือจนถึงทุก
วันน้ี
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ 39
ใบงานท่ี 9
1. จงสรุปเนื้อหาในสนธิสัญญาของท่านนบีมูฮัมมัดท่ีทําข้ึนเม่ือสิบส่ีศตวรรษท่ีผ่านมาซ่ึงยังคงเป็นหลักฐานที่
คงเหลือจนถึงทกุ วันนี้มาพอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อตั ตารคี 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 40
ใบความรทู้ ่ี 10
สถาบนั ทางการเมืองสมัยท่านนบีมฮู มั มดั (ซ.ล.)
ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) พยายามสร้างความรู้สึกความเป็นพ่ีน้องขึ้นระหว่างคนเหล่าน้ันให้มากท่ีสุด
เพราะท่านแลเห็นความจริงท่ีว่าอาณาจักรอิสลามจะมีรากฐานที่แข็งแรงไม่ได้หากไม่ได้รับการค้ําจุนจาก
ประชาชนทุกฝุาย ความมีขันติต่อศาสนาอื่นๆ นั้นเป็นส่ิงท่ีจําเป็นในเม่ือมีคนหลายเผ่าหลายชาติอาศัยอยู่
รวมกัน ด้วยวัตถุประสงค์น้ีท่านนบีจึงได้จัดตั้งระเบียบขึ้นเรียกว่า “ธรรมนูญแห่งมะดีนะฮฺฮฺ” ซึ่งเป็นระเบียบ
เพือ่ การเลกิ ลม้ การอาฆาตพยาบาทกนั ระหว่างเผา่ และเพื่อให้สิทธิ์ต่างแก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะชาวยิวท่ี
อาศยั อย่ใู นมะดนี ะฮฺฮฺและรอบๆ มะดนี ะฮฮฺ ฺ เน้ือความสําคญั ในธรรมนญู นน้ั มอี ยดู่ ังน้ี
1 ) ชมุ ชนทัง้ หลายทลี่ งนามในพันธะสัญญาน้ีจกั เปน็ ชาตเิ ดยี วกัน
2 ) ถา้ กลมุ่ ชนใดท่ลี งนามในพนั ธะสัญญาน้ีถูกข้าศึกศัตรูรุกรานชนกลุ่มอ่ืนจะรวมกําลังกันช่วย ทําการ
ปกปอู ง
3) จกั ไม่มีกลุ่มชนใดในชาติเดียวกันนี้ไปทําสนธิสัญญาอย่างลับๆ กับพวกกุร็อยช์ หรือให้ที่พ่ึงพาอาศัย
แก่คนเหล่านน้ั หรือช่วยเหลือคนเหล่าน้นั ใหต้ ่อต้านชาวมะดีนะฮฮฺ ฺ
4) ชาวมุสลิม ชาวยิวและชุมชนอื่นๆ ของสาธารณรัฐนี้ย่อมมีอิสระที่จะนับถือศาสนาของตนได้และ
ปฏิบตั กิ ิจตามศาสนาของตนไดโ้ ดยไมม่ ีใครขัดขวาง
5) การการะทําผิดสว่ นตัวเลก็ ๆ น้อยๆ ของผทู้ ีไ่ มใ่ ช่มุสลมิ จะตอ้ งถอื ว่าเป็นความผิดส่วนตัวไม่เก่ียวข้อง
กับชุมชนทบี่ คุ คลนน้ั อยู่
6) ผ้ทู ี่ถกู กดขจ่ี ะตอ้ งได้รบั การปกปอู ง
7) นับต้ังแต่นี้ไปการทําให้เลือดตกยางออก การฆ่าและความรุนแรงต่างๆ ถือว่าเป็นส่ิงหะรอม (น่า
รังเกยี จ) ในมะดีนะฮฺฮฺ
8) นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) นบีแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นประธานของสาธารณรัฐ และจะเป็นศาลอุทธรณ์
สูงสดุ ในดนิ แดนนี้
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 41
ใบงานท่ี 10
1. “ธรรมนูญแห่งมะดนี ะฮฮฺ ฺ” มเี นอ้ื ความสาํ คัญอยา่ งไร อธบิ ายมาพอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. นักประวัตศิ าสตรท์ ี่ไมห่ วงั ดีต่ออสิ ลามหลายทา่ นกลา่ วหาศาสนาอิสลามวา่ เป็นอย่างไร ?
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารคี 2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 42
ใบความร้ทู ่ี 11
สงครามทส่ี าคัญ
สงครามบดั ร์
สงครามบัดร์เป็นสงครามคร้ังแรก และเป็นสงครามท่ีสําคัญท่ีสุดที่เกิดข้ึนระหว่างชาวมุสลิมกับพวก
กุรอ็ ยซฺ เกิดขึ้นในเดอื นรอมฏอนปที ี่ 2 หลงั จากอพยพ หรือ ค.ศ. 624 ณ บ่อบัดร์ ซ่ึงกองทัพมุสลิมมีจํานวนพล
313 คน ส่วนกองทัพกรุ อ็ ยซฺมีจํานวนผลประมาณหนง่ึ พันคน โดยมีอบญู ะฮลั เป็นแมท่ ัพ
สงครามอุฮดุ
พวกกุร็อยช์ไม่อาจจะลืมความพ่ายแพ้อย่างยับเยินท่ีฝุายตนได้รับในสงครามบัดร์ได้ ทําให้หัวหน้าบาง
คนของพวกเขาอยา่ งเช่นอบูญะฮช์และอุตบะฮฺได้ถูกฆ่าตายไปในการต่อสู้คร้ังนั้น ในปีที่ 3 แห่งฮิจญ์เราะฮฺพวก
กุรอ็ ยช์ไดเ้ คลื่อนกองทพั มจี ํานวน 3000 คนภายใตก้ ารนาํ ของอุบซู ุฟยานตรงมายงั มะดีนะฮฺฮฺ
สงครามกับยวิ เผา่ นะฎรี
เผ่านะฎีรเป็นชาวยิวหน่ึงในสามเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺฮฺ คือ ยิวเผ่าก็อยนุกออฺ และยิวเผ่า
กรุ อ็ ยซะฮฺ ส่วนสงครามยวิ เผา่ นะฎีรนัน้ เกิดข้ึนเมื่อเดือนร็อบบลิ อุลอัววัล ปที ่ี 4 แห่งฮเิ ราะฮศฺ ักราช
สงครามคเู มอื ง (ค็อนดัก)
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนซาวัล ปีที่ 5 ของฮิเราะฮศักราช เกิดข้ึนในรอบๆ เมืองมะดีนะฮฺฮฺ ท่ีมีชื่อว่า
สงครามคเู มอื ง หรือค็อนดักนนั้ เพราะว่าฝาุ ยมุสลมิ ได้ขุดครู อบๆ มะดนี ะฮฺฮฺเพอ่ื ปกปอู งการโจมตขี องฝุายศตั รู
การพชิ ิดค็อยบรั สงครามคร้ังสดุ ทา้ ยกับพวกยิว
สงครามน้ีเกิดข้ึนในเดือนมะหฺรอม ปีท่ี 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตําบลค็อยบัร ทางตอนเหนือของ
เมอื งมะดีนะฮฮฺ ฺ ท่มี ชี ่ือวา่ คอ็ ยบรั ยิวท่อี ยใู่ นตาํ บลนี้เป็นกลุ่มที่แข็งแรงท่ีสุด เมื่อเปรียบเทียบกับยิวกลุ่มอ่ืนๆ ใน
อารเบีย หัวหน้าพวกเขามีช่ือว่า ซัลลาม อิบนุมิกชาม ท่านนบีได้ยกกองทัพซึ่งประกอบด้วยนักรบฝีมือดี
ประมาณ 1,600 คน และทหารมา้ อีก 100 คน เข้าจู่โจมพวกยวิ ที่ค็อยบัรอย่างกระทันหนั โดยที่พวกเขาไม่ทราบ
ลว่ งหน้า
สงครามมุฮ์ตะฮุ
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนญะมาดิลเอาวัล ปีท่ี 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตําบลมุอ์ตะฮฺในเขตประเทศ
ชาม นับว่าเป็นสงครามแรกที่กองทัพมุสลิมเผชิญหน้ากับกองทัพโรมัน กองทัพมุสลิมมีจํานวนพลประมาณ
3,000 คน ส่วนกองทพั ของไบแซนไตน์รวมแล้วมีจาํ นวนพลไมน่ ้อยกวา่ 200,000 คน
การสู้รบท่หี ุนยั น์และฎออีฟ
อาหรับเผ่าฮะวาซิน และเผ่าษะกีฟได้รวมตัวกันเพ่ือที่จะต่อต้านฝุายมุสลิม หัวหน้าของพวกเขาชื่อว่า
มาลกิ อิบนุ เอาฟ์ ไดร้ วบรวมกําลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพ่ือเตรียมพร้อมท่ีจะเผชิญหน้ากับฝุายมุสลิม เมื่อ
ท่านนบที ราบข่าวถงึ การเคลื่อนไหวของเผา่ ฮะวาซนิ จึงมคี ําสั่งใหร้ ีบเร่งเตรยี มกําลังท่ีจะโจมตีข้าศึกโดยสามารถ
รวบรวมร้พี ลได้จํานวน 12,000 คน และมีมุสลิมใหมจ่ ากชาวมกั กะฮฺรว่ มสบทบอีก 2,000 คน
สงครามตะบคู
สงครามนี้เกิดข้ึนในเดือนระญับ ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ สถานที่แห่งหนึ่งมีช่ือว่าตะบูก สาเหตุ
ของสงครามกลา่ วคอื จกั รพรรดิ ฮรี าคลอิ สุ (Heraclius) แห่งโรมันไมพ่ อใจกบั อทิ ธพิ ลของศาสนาอิสลาม
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารีค2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 43
ใบงานท่ี 11
1. สงครามท่สี าํ คญั ในสมัยทา่ นนบีมฮู มั มัด (ซ.ล.) ไดแ้ ก่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
2. จงอธิบายสาเหตขุ องสงครามคเู มือง (ค็อนดัก)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
3. สงครามมุฮ์ตะฮุเกดิ ข้ึนเม่ือใด จงอธิบาย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
วิชาศาสนประวตั ิ2 (อัตตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 44
ใบความรูท้ ี่ 12
การสิน้ ชวี ติ ของนบีมูฮัมมดั (ซ.ล.)
ปีท่ีสิบเอ็ดของศักราชอิสลาม นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) เริ่มมีอาการปุวยไข้เกิดข้ึนเป็นระยะๆ แต่ท่านก็ไม่ได้
หยดุ ย้งั ในการคดิ ใครค่ รวญหาทางปกปูองศาสนาอิลามให้พ้นจากภัยของศัตรู เม่ือท่านได้ทราบข่าวว่าชาวโรมัน
กําลังตระเตรียมกองทัพขนาดใหญ่เพ่ือที่จะเข้าโจมตีแว่นแคว้นอาณาจักรของมุสลิมแถบชายแดนซีเรีย ท่านได้
ออกคาํ สั่งแตง่ ตงั้ อุซญามะฮ ลูกชายของท่านซัยด์ ซึ่งขณะน้ันอายุเพียง 20 ปีทําหน้าที่เป็นแม่ทัพ นํากองทัพไป
เผชญิ หน้ากับทหารไบแซนไตน์
ในวันรุ่งขนึ้ เปน็ วันจันทร์ อาการออ่ นเพลียและไข้ได้กําเริบสูงขึ้นและอาการเร่ิมทรุดลงตามลําดับ ท่าน
ทราบดีว่าเวลาที่ท่านได้กลับไปสู่พระผู้อภิบาลได้ใกล้เข้ามาแล้ว ในท่ีสุดท่านก็ได้เสียชีวิตในวันจันทร์ที่สิบสอง
ของเดอื นเราะบิอุลเอาวัลในปีท่ีสิบเอ็ดหลังจากปีฮิจญเราะห์ ตรงกับวันท่ี 8 เดือนมิถุนายน ปี ค . ศ .632 รวม
อายุได้ 63 ปี
เมื่อข่าวนบีส้ินชีวิตแพร่ขยายออกไปบรรดามุสลิมต่างเร่งรีบมายังมัสญิด เพื่อมาสืบให้รู้แน่ชัดว่าข่าวท่ี
พวกเขาไดร้ ับนัน้ เป็นความจริงแค่ไหน เพราะไม่มีใครอยากเชื่อว่านบีได้จากไปแล้ว สหายคนสนิทของท่านและ
เป็นพ่อตาของท่านคือ อุมัร อิบนุ อัล ค็อฎฎ็อบตกตะลึงต่อข่าวนี้ท่านถึงกับชักดาบออกมาจากฝักพลางร้อง
ประกาศว่าใครขืนพูดว่านบีตายฉันจะตัดคอคนพูดทันที ขณะท่ีเกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายกันอยู่นี้มาสาวก
ของนบีคนหน่ึงได้รีบนําข่าวการส้ินชีวิตไปแจ้งให้อบุบักร์ ท่านก็ได้รีบรุดมายังบ้านของท่านนบี ท่านได้ออกไป
ยืนอยู่ท่ีบริเวรด้านหน้าของมัสญิดและได้ประกาศแก่ผู้ชุมนุมว่า “หากพวกท่านมีความเคารพต่อนบีมูฮัมมัด
อย่างจริงใจพึงรู้เถิดว่ามูฮัมมัดได้ส้ินชีวิตแล้ว แต่ถ้าหากท่านมีความเคารพบูชาต่อพระผู้เจ้าแล้วขอให้รู้เถิดว่า
พระเจ้าทรงยงั่ ยนื ไมม่ ีการดับสลาย”
แล้วท่านอบูบักร์ก็ได้อัญเชิญคัมภีร์ อัล กุรอาน เพ่ือประกาศให้บรรดาคนท่ัวไป ณ ท่ีนั้นได้รําลึกและ
เตือนสติว่า “และมูฮัมมัดไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นศาสนทูตคนหน่ึง ซึ่งก่อนหน้าน้ีก็มีบรรดาศาสนทูตท่ีได้
ล่วงลับไปแล้วเป็นจํานวนมาก ฉะน้ันหากว่าเขาได้ตายลงหรือถูกฆ่าตายพวกเจ้าก็ไม่ควรท่ีจะหันกลับไปสู่
ศาสนาเดิม” (อลั กรุ อาน ซเู ราะฮ อาลิอมิ รอน อายะฮ 144)
เม่ือคําประกาศน้ีส้ินสุดลง บรรดามุสลิมก็ได้คลายความสับสนว้าวุ่นท้ังๆ ที่พวกเขาก็ต่างเคยได้ยิน
โองการน้ีมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่อบูบักร์จะอัญเชิญมาเตือนกันพวกเขายอมรับไม่ได้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับ
ทราบข่าวการเสียชีวิตของนบีในเวลากะทันหันและรวดเร็วโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน มาบัดน้ีพวกเขาไม่สงสัยอีก
แลว้ วา่ นบีได้จากพวกเขาแลว้ อยา่ งไม่มวี ันกลับเช่นเดียวกบั บรรดานบอี ่นื ๆ ในอดตี
วชิ าศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารีค2) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ 45
ใบงานที่ 12
1. จงอธบิ ายการส้นิ ชวี ิตของท่านนบมี ฮู ัมมดั (ซ.ล.) มาพอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………...............……………………………………………………………………………………………………………………
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อตั ตารคี 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 46
บทที่ 2
เรอ่ื ง คณุ ลักษณะและแบบอยา่ งของทา่ นนบีมฮู มั มดั (ซ.ล)
1. เป็นผฟู้ ัง และผู้พดู ทดี่ ี
เม่ืออยู่ในวงสนทนา ท่านมักจะเปน็ ผฟู้ งั มากกวา่ จะเปน็ ผพู้ ดู ท่านจะพูดแต่เฉพาะเวลาท่ีจําเป็นจะต้อง
พูดเท่านั้น เสียงของท่านดังชัดเจน การพูดก็ชวนฟัง และมีเสน่ห์ ท่านพูดและหยุดเป็นจังหวะ เว้นวรรค
ระหว่างประโยค เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจําง่าย คําพูดของท่านไม่ยืดยาวจนเกินความจําเป็น และไม่ส้ันจน
ไมไ่ ด้ความ หากแต่เป็นคําพูด ที่กระชับและสละสลวย ท่านจะไม่พูดสอดแทรกขึ้น ในขณะท่ีผู้อ่ืนกําลังพูดอยู่
แต่ถ้าเป็นเรื่องท่ีค้านกับบัญญัติศาสนา ท่านจะห้ามมิให้พูด หรือมิฉะนั้นท่านก็จะปลีกตัวออกจากที่นั่น
เสีย ท่านจะไม่กล่าวคําพูดท่ีไร้ความหมาย หรือพูดสิ่งท่ีไม่อยู่ในประเด็นที่กําลังสนทนากันอยู่ หากมีผู้ฟังอยู่
หลายคน ท่านก็จะไม่จดจ่อแต่เฉพาะกลุ่มใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ท่านจะหันหน้าไปยังผู้ฟังแต่ละคน
สลบั กันไป และ ทา่ นไม่ชอบการตะโกน หรือ ทาํ เสยี งดงั
2. พดู แตค่ วามจริง
ท่านนาบีเคร่งครัดมากในการพูดความจริง แม้แต่คําพูดหยอกล้อของท่านก็ยังเป็นความจริง ท่านไม่
เคยพดู ส่งิ ทไ่ี ม่เปน็ ความจรงิ เลย แมแ้ ตศ่ ตั รูและผ้มู ุ่งร้ายต่อท่านต่างเคยเรียกท่านว่า คนบ้า และคนผีเข้า แต่ไม่
มีผู้ใดกล้าเรียกท่านเป็นคนโกหกเลย ครั้งหน่ึง มีคนหลายคนได้พร้อมใจกันมาสารภาพกับท่านว่า “มูฮัมหมัด”
พวกเราเช่ือทกุ สงิ่ ท่ที ่านพูด เพราะว่าเรายงั ไมเ่ คยได้ยนิ ท่านพูดโกหกเลย
ในช่วงทที่ า่ นนาบีไดร้ ับบัญชาให้เผยแผ่อิสลามอย่างเปิดเผย และชาวอาหรับส่วนใหญ่ยังต่อต้าน ซ่ึงที่
บนภูเขา เศาะฟา ท่านลุกขึ้นพูดต่อหน้าชาวอาหรับท่ีมิใช่มุสลิมว่า “ถ้าฉันบอกว่ามีกองทัพมหึมาซ่อนอยู่หลัง
ภูเขานั้นและเตรียมจะจู่โจมพวกท่าน ท่านจะเชื่อฉันหรือไม่” เสียงนับร้อยตะโกนว่า “แน่นอนย่ิง ท่านไม่เคย
พูดเทจ็ เลย” นค่ี อื ความซื่อตรงทีไ่ ด้รับการยอมรับอยา่ งสูงสุดจากสงั คม
คร้ังหนงึ่ ก่อนทอ่ี ลั ลอฮจฺ ะทรงแต่งตั้งท่านเป็นผู้ประกาศศาสนา หุ้นส่วนธุรกิจคนหน่ึงบอกให้ท่านไปรอ
ที่มุมถนนแห่งหน่ึง โดยสัญญาว่าจะกลับมาในเวลาไม่กี่นาที แต่ชายคนนั้นกลับลืมสัญญา ท่านนาบีจึงยืนรอ
ชายผนู้ ้นั เป็นเวลาถึง 3 วัน จนในวนั ท่ี 4 ชายคนน้นั ก็ผา่ นมาทางน้ัน เขาต้องก็ต้องตกตะลึงเม่ือเห็นท่านนาบี
ยังยืนอยู่ เขาจงึ เสียใจมากท่ีลมื สญั ญาอย่างสนทิ ทา่ นนาบี จงึ กลา่ วว่า “ทําใจให้สบายเถิด ฉันสัญญาแล้วว่าจะ
รอท่านจนกว่าทา่ นจะมา ฉันจงึ ตอ้ งรกั ษาคําพูด”
3. เปน็ คนข้อี าย
ท่านนาบีเป็นคนขี้อายยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก เม่ือท่านเดินผ่านท่ีชุมนุมชน ท่านก็มักจะผ่านไปอย่าง
เงียบๆ ท่านไม่เคยหวั เราะอย่างลืมตวั เลย แตถ่ ึงกระน้นั ท่านกจ็ ะยิม้ แย้มอยเู่ สมอ
4. รักความสะอาดเรยี บรอ้ ย
ทา่ นนาบมี ีนิสัยรกั ความสะอาดเรยี บร้อย ครั้งหนึ่งท่านเหน็ ชายหนุ่มคนหนึ่งนงุ่ ห่มเสอ้ื ผา้ ที่สกปรก ท่าน
จึงกล่าววา่ “ ชายคนนี้ช่างดูดายแม้แต่เสื้อผา้ ของเขาเอง ”
คนมั่งมีทรัพย์ผู้หนึ่งได้มาหาท่านนาบี โดยท่ีเขาแต่งกายอย่างซอมซ่อ ท่านนาบีจึง ได้ให้ข้อสังเกต
ว่า “ พระเจ้าทรงทรงโปรดปรานให้ท่านมีทรัพย์มากมาย ดังน้ัน ท่านก็ควรจะให้มันปรากฏให้เห็นบ้างท่ี
เครอ่ื งแตง่ กายของทา่ น ”
วิชาศาสนประวตั 2ิ (อัตตารคี 2) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 47
เม่ือใดท่ีท่านนาบีแลเห็นรอยเป้ือนท่ีผนังมัสยิด ท่านก็จะเอาไม้ขูดมันออกทันทีท่านแนะนําให้เผา
การบูร และไม้หอม(ไม้กฤษณา) ในที่ชุมนุมชน เพื่ออันเป็นสิริ มงคล และเพื่อให้กลิ่นหอมของมันกระจายท่ัว
สถานที่น้ัน ซึ่งท่านนาบีเองก็ใช้น้ําหอมอยู่บ่อยๆ ในโอกาสต่างๆ กันครั้งหน่ึงเม่ือเห็นชายคนหน่ึงปล่อยผมเผ้า
ยงุ่ เหยิง ทา่ นจึงได้อุทานวา่ “ อะไรกัน ! เขาทําไมไมเ่ อาใจใส่ แม้เพียงจะหวผี มใหเ้ รยี บร้อยสักหน่อย ”
ท่านนาบีไม่อาจทนดูผู้ที่ทําการอันน่ารังเกียจ หรือสร้างความเดือดร้อนบนทางสัญจรได้ ท่านได้แสดง
ความเกลียดชังต่อผู้ที่ชอบปัสสาวะหรืออุจจาระ บนทางสัญจร หรือใต้ร่มไม้ที่ผู้คนใช้เป็นที่พักร้อน
ท่านนาบีเคยห้ามมิให้ผู้ใดถ่ายปัสสาวะในกระโถน หรือภาชนะอื่นด้วยความมักง่าย และเกียจคร้าน
ทา่ นนาบรี งั เกยี จส่งิ ทีม่ ีกล่ินเหม็นฉุน ทา่ นเคยกาํ ชับว่า ผ้ทู ่รี ับประทานหวั หอม กระเทียม หรืออาหารที่
มีกล่ินฉุน ไม่ควรเข้าไปในมัสยิด หรือ ทําละหมาดรวมกับคนมากๆ ดังนั้นจึงควรล้างปาก หรือ แปรงฟันเสีย
ก่อนทจี่ ะไปรว่ มในท่ชี ุมนมุ ชน
5. เป็นคนเรียบง่าย ใช้ชีวติ อยา่ งสมถะ
ท่านนาบีไม่ชอบชีวิตท่ีวุ่นวาย และท่านก็มักจะแนะนําผู้อ่ืนไม่ให้ใช้ชีวิตแบบนั้น ซึ่งชีวิตภาย ใน
ครอบครัวของทา่ นเปน็ ไปอยา่ งเรียบๆ ง่ายๆ โดยปกติแลว้ ท่านนาบีจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่ฉูดฉาด ซ่ึงแสดง
ถึงความเรียบง่าย และความเป็นสุภาพของท่าน ท่านนุ่งห่มด้วยเส้ือผ้าหยาบๆ ท่ีทําจากขนแกะอยู่เสมอ ซึ่ง
เส้ือผ้าท่ีท่านสวมอยู่ในขณะสิ้นใจก็เป็นเส้ือผ้าชนิดหยาบๆ เช่นกัน ท่ีนอนของท่านก็ทําด้วยผ้าชนิดหยาบๆ
หรือไม่ก็จากหนังสัตว์ยัดด้วยเปลือกต้นอินทผลัม บางทีก็เป็นเพียงผ้าธรรมดาพับ 2 ทบ ในสมัยที่อาณาจักร
อิสลาม มีอาณาเขตกว้างขวางต้ังแต่ยะมัน (เยเมน) จรด ซีเรียน้ัน ท่ีบ้านของท่านนาบีมูฮัมหมัด (ซ็อลฯ) นบี
แห่งอิสลาม มเี ครอ่ื งใช้เพยี งเตยี งนอนธรรมดาเตยี งหนึง่ กับถุงหนังสัตว์สําหรับใส่น้ํา ถุงหน่ึง เท่านั้นเอง เสบียง
อาหารทเี่ หลอื ติดบา้ นอยู่ในวันทที่ า่ นสน้ิ ใจ มเี พียงขา้ วสารสองสามกํามอื เทา่ นัน้ เอง
6. เอ้ือเฟอื้ เผอ่ื แผ่
ท่านนาบีเป็นคนใจดีที่สุด ความใจดีและความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่เป็นนิสัยที่แท้จริงของท่าน ท่านไม่เคย
ปฏิเสธต่อคนยากจนท่ีมาขอจากท่านเลย ท่านเคยพูดว่า “ฉันเป็นแต่เพียงผู้หยิบย่ืนให้ และ เป็นผู้รักษาทรัพย์
เท่านั้นเอง อลั ลอฮฺเปน็ ผ้ทู รงอนุมัตกิ ารจา่ ย” เมือ่ มีคนยากจนมาขอจากท่าน ท่านจะให้เสมอ ถ้าท่านพอจะมีให้
ได้ แต่ถ้าท่านไม่มี ท่านก็จะปลอบใจเขา หรือไม่เช่นนั้น ท่านก็จะบอกให้เขามาหาท่านใหม่ในโอกาสหน้า ท่าน
ไม่เคยกินด่ืมอาหารเพียงคนเดียว ท่านจะเรียกผู้อ่ืนให้มาร่วมกินกับท่านด้วยเสมอ เม่ือมีผู้ใดนําอาหารมามอบ
ให้แกท่ ่าน ท่านก็จะแจกจา่ ยอาหารนน้ั ใหไ้ ด้กนิ กนั ทว่ั ถึงเสยี กอ่ น แล้วท่านจึงจะกนิ อาหารนนั้ ได้อยา่ งเต็มใจ
7. ทางานบา้ นด้วยตัวเอง
ท่านนาบีทํางานทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเอง ท่านรีดนมแพะ ซักเส้ือผ้าเอง ท่านปะเสื้อด้วยตนเอง
ซ้ือข้าวของเอง ชว่ ยภรรยาทาํ งานบา้ น เม่ือรองเท้าของท่านเกิดชํารุด ท่านจะซ่อมแซมเอง ทําถังตักน้ําเองท่าน
เคยนวดและทานํ้ามันอูฐ และเมื่อจําเป็น ท่านก็ตีตราอูฐด้วยตนเอง และ ท่านเคยช่วยคนใช้นวดแปูง
ครั้งหน่ึงมีคนส่ังนํ้ามูกลงในมัสยิด ท่านนาบีได้เอาหิน เช็ดส่ิงที่น่ารังเกียจน้ันท้ิงไปด้วยตัวของท่านเอง
นอกจากนี้ ทา่ นยังเคยซอ่ มแซมบา้ นเองดว้ ย