ก่อนที่จะมาเข้าสู่เนื้อหานิยายของเรา
เราขอมาแปะคำเตือนอะไรนิดๆหน่อยๆกันดีกว่าค่ะ
CW : character death, power dynamic, การเสียดสีสังคม,
การแสดงออกทางความคิดที่อาจทำให้ไม่พอใจ
ในนิยายเรื่องนี้ เป็นเพียงการนำเสนอประเด็นสังคมในอีกมุมมองหนึ่งเท่านั้น
ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงแต่อย่างใด ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณส่วน
ตัวของท่าน และแสดงความคิดเห็นของตนเองในนิยายเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
และหากความคิดของเรา ทำให้ผู้อ่านเกิดความไม่พอใจ ต้องขออภัยมา ณ ที่
นี้ ด้วยนะคะ
คาร์เนชั่น เป็นไม้ดอกอายุสั้น มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์คือ
Dianthus caryophyllus L. ลำต้นสูง60-90 เซนติเมตร ใบเป็น
รูปแถบเรียวยาว เส้นกลางใบเป็นร่องลึก ใบสีเขียวเข้มอมฟ้า โคน
ใบที่หุ้มข้อโป่งพองเล็กน้อย ดอกมีทั้งชนิดดอกเดี่ยวและดอกช่อ
ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกานพลู มีสีขาว ชมพู เหลือง ส้ม แดง ปลูก
เป็นไม้ตัดดอก ไม้ประดับแปลง ดอกใช้แต่งกลิ่นเหล้าและไวน์ให้
หอม
แต่รู้อะไรไหม ว่าดอกแต่ละสีของคาร์เนชั่นเอง มีความหมายนัย
ของแต่ละดอกในตัวมันเอง อย่างดอกสีชมพู หมายถึง ความรักที่
กำลังผลิบาน, ดอกสีขาว หมายถึง ความโชคดี ความยินดี, ดอกสี
เหลือง หมายถึง การดูหมิ่นเหยียดหยาม และสุดท้ายคือ ดอก
คาร์เนชั่นสีแดง
Prologue
A red carnation
'ดอกคาร์เนชั่นสีแดง
ดอกไม้ประจำราศีมีน นอกจากจะหมายถึงการบอกความรู้สึกว่ารักให้กับผู้ที่มอบให้แล้ว
ยังเป็นดอกไม้แห่งความฝันอันลึกลับ
ใช่ ความฝัน
ทุกคนก็ต้องมีความฝันเป็นของตัวเองใช่ไหม ขนาดเรายังมีเลยไม่ใช่เหรอ
แปลกแฮะ เห็นเขาบอกว่าคนที่ไม่มีความฝัน คือคนที่ตายไปแล้ว หรือแบบนี้ แปลว่าเธอไร้
ค่าในโลกใบนี้แล้วเหรอ
แต่เราว่าไม่นะ คนเราไม่ได้ต้องมารับความคาดหวังของใครอยู่แล้ว นี่คือชีวิตของเธอนะ
อย่ายอมแพ้กับการตามหาความฝันล่ะ
ไม่สิ แล้วทำไมเราต้องมาสนใจคนอื่นด้วย สนใจแค่ตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ อนาคตคนอื่น
มันไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้นสักหน่อย
ในโลกที่มีการแข่งขันแบบนี้ แค่เอาตัวเองรอด มันก็พอแล้ว ถูกไหมล่ะ
แต่เธอรู้อะไรไหม ความฝันที่เราบอกว่าเรามีน่ะ
ในอนาคตมันก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้ ความฝันของเราไม่เคยมั่นคงเลย
แต่เหมือนยิ่งโต ความฝันเรามันก็ยิ่งเล็กลง เล็กลง เล็กลงขึ้นทุกที
สวนทางกับอายุของเราเลยเนาะ
แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยเราก็ยังมีความฝัน หวังว่าเราและทุกคน จะคว้ามันให้ได้นะ’
- unmeandream
1
จบประโยค เด็กสาวกดเผยแพร่บทความที่ตนเขียนลงไปในเว็บบล็อกส่วนตัวของเธอทันที
ก่อนที่จะกดปิดเว็บนั้น และพับหน้าจอของโน๊ตบุ้คลง แสงตะวันอ่อนๆ สาดเข้ามาผ่านม่าน
เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์เริ่มจะลับสายตาแล้ว เด็กสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวโปรดก่อนจะทิ้งตัว
ลงนอนบนเตียงอันแสนนุ่มของเธอ
เธอย้ายหอมาอยู่คนเดียวได้สักพักแล้ว เนื่องจากบ้านของเธอนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน คง
ลำบากแน่ถ้าให้ไปเช้าเย็นกลับทุกวัน พ่อและแม่ของเธอก็ทำงานทั้งวัน ไม่มีเวลาไปรับส่งเธอ
หรอก แต่เธอก็เข้าใจดี การอยู่หอนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยก็แค่ทนเหงา แต่ได้เป็นตัวของตัว
เองเยอะเลย ต้องมีคนแบบเธอบ้างแหละ ที่อยากจะย้ายมาอยู่หอ ใช่ไหมล่ะ
หลังผละออกจากหน้าจอแสงสีฟ้าของโน๊ตบุ้คมา เธอก็เปิดโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู เช็ค
การเคลื่อนไหวต่างๆตามปกติ แต่สักพักกล่องข้อความในแอปที่เรียกว่าทวิตเตอร์ก็มีสีแดงขึ้น
‘มีน พรุ่งนี้อย่าลืมนะเว้ย มีพรีเซนท์งานหัวข้อความฝันในวัยเด็ก เตรียมด้วยนะ’
‘เออๆ ไม่ลืมหรอก ทำสไลด์เสร็จแล้ว’ เด็กสาวพิมพ์ตอบกลับไปหาเพื่อนของเธอ
เธอชื่อมีน มินณรินทร์ โชติกา นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่สี่ ในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอ
เรียนอยู่สายศิลป์-ภาษาฝรั่งเศส จริงๆ เธอก็ไม่ได้ชอบภาษาฝรั่งเศสอะไรนักหรอก เธอแค่อยาก
มีภาษาที่สามติดตัวเพียงเท่านั้นเอง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกที่การแข่งขันเยอะขนาดนี้ ก็ต้องโดด
เด่นไว้ก่อน ใช่ไหมล่ะ แต่เอาเข้าจริง ถ้าต้นทุนเรามีเยอะ ความโดดเด่นของเราก็จะเพิ่มไปด้วย
ตามโลกทุนนิยมนั่นแหละ
2
มีนปิดโทรศัพท์ของตัวเองลง ก่อนจะเอนตัวลงนอนราบไปบนเตียง หัวข้อความฝันในวัยเด็ก
เหรอ ในวัยเด็กของเด็กหญิงที่ชื่อมีนคนนี้ ก็แทบไม่มีอะไรโดดเด่นด้วยซ้ำ เธอเป็นแค่เด็ก
ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามจะทำคะแนนให้ได้สูงๆ เพราะผู้ใหญ่บอกมาว่าเราจะได้รับโอกาสดีๆ
ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าคะแนนมันเป็นสิ่งสำคัญในระบบการศึกษานี่นา ชีวิตที่วนเวียนอยู่กับ
คะแนนในหลาย10วิชา จะให้เอาอะไรกับความฝันมากมายล่ะ แต่ถ้าจะให้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ
ความฝันของมีน ก็มีอะไรให้เล่าอยู่บ้างแหละนะ
นิยามคำที่1 : ความฝัน
ความฝัน หมายถึง การเห็นเป็นเรื่องราวเมื่อหลับ, โดยปริยายหมายถึงการนึกเห็นในขณะที่
ตื่นอยู่ ซึ่งไม่อาจจะเป็นจริงได้
https://dictionary.sanook.com
3
First red carnation
carnation seeds has been
เด็กหญิงมินณรินทร์ โชติกา เรียกง่ายๆ ว่ามีน ได้เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีความ
พร้อมมากนักในตอนนั้น ความลำบากที่จะต้องดิ้นรนนั้นมีมากเหลือเกิน แต่เด็กน้อยมีนก็ไม่ได้
รับรู้อะไร คงเพราะเธอเด็กเกินไป และครอบครัวของเธอก็โอบอุ้มเธอมาเป็นอย่างดี ไม่ให้เธอ
ได้พบกับความลำบากเลย อีกสาเหตุเพราะเธอเป็นลูกคนเดียว แม่ของเธออยากมีลูกมาก แต่น่า
เสียดายที่ร่างกายของเธอไม่แข็งแรงพอ การที่เธอได้ให้กำเนิดมีน นับได้ว่าเป็นโชคชะตาหรือ
ความโชคดีของเธอก็ไม่อาจรู้ได้
เมื่ออายุได้สามขวบ เธอก็ได้เข้าโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง สังคมที่มีแต่คนชนชั้นupper
middle class ไปจนถึง ชนชั้นคนรวยแบบเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ครอบครัวมีนเธอไม่
ได้เป็นแบบพวกเขาหรอก ครอบครัวเธอเป็นชนชั้นกลางค่อนไปในชนชั้นแรงงานด้วยซ้ำ แต่
ครอบครัวเธอก็อยากให้เธอได้อยู่ในโรงเรียนและสังคมที่ดีๆ ตัวเด็กสาวเองก็ไม่รู้ถึงเรื่องนี้หรอก
เธอเรียนอยู่ในโรงเรียนนั้นตั้งแต่ช่วงอนุบาล เมื่อขึ้นประถม เธอเริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น เด็ก
หญิงมีนเติบโตมาเป็นเด็กผู้หญิงที่สดใส น่ารัก ใครๆ ก็อยากเล่นกับเธอ โดยเฉพาะครูหลายคน
ที่จะเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ สวนกับครอบครัวของเธอที่พ่อและแม่ต้องทำงานอย่างหนัก นอกจากนี้
เธอยังมีป้าที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน ช่วงในวัยเด็กเธอก็อยู่กับปู่และย่ามาโดยตลอด แต่เธอก็ไม่ได้
รู้สึกห่างเหินกับพ่อแม่ของเธอเลยแม้แต่น้อย นี่คงเป็นอีกหนึ่งในความโชคดีของพ่อและแม่ของ
เธอล่ะมั้ง
ความฝันแรกของเธอได้เกิดขึ้นครั้งแรกในวัย7ขวบ
“หนูมีนจ้ะ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรหรอ”
4
“อยากเป็นหมอค่ะ”
“ทำไมถึงอยากเป็นหมอล่ะ”
“เพราะหนูอยากช่วยเหลือคนค่ะ” หนูน้อยมีนตอบด้วยความมั่นใจ แววตาที่เต็มไปด้วย
ความมุ่งมั่น
“แบบนี้นี่เอง” ครูว่าจบก็หันไปถามเพื่อนคนอื่นในห้องต่อ เพื่อนผู้หญิงหลายๆ คนมักจะ
ตอบว่า หมอ พยาบาล ดารา นักร้อง ดีไซเนอร์ ส่วนเพื่อนผู้ชาย มักจะตอบ ทหาร ตำรวจ หมอ
วิศวกร อาชีพทั้งหมดนี้ก็ถูกวนเวียนตอบไปคนแล้วคนเล่า และคงไม่ใช่แค่เด็กในห้องเรียนของ
มีนหรอกที่ตอบแบบนี้ เด็กในประเทศไทยอีกหลายล้านชีวิตก็คงจะตอบแบบนี้เช่นกัน
น่าแปลกใจจริงๆ ความฝันในวัยเด็กของพวกเรา ทำไมมันถึงคล้ายกันไปหมดเสียได้ หรือ
เพราะว่าเรายังเด็กเกินไป จึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ มันยังมีอาชีพอีกมากมายที่ไม่ได้
ถูกพูดถึงและยกย่อง ดูตลกร้ายใช่ย่อย ที่ทุกอาชีพนั้นมีความสำคัญเหมือนกันหมด แต่กลับมี
บางอาชีพที่ถูกยกย่องมากกว่าอาชีพอื่นๆ เพียงเพราะอาชีพเหล่านั้นสามารถเห็นความสำคัญได้
ชัดเจนมากกว่า ช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ
แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นความฝันสำคัญอะไรสำหรับเด็กสาวคนนี้หรอก เธอก็แค่ตอบตามเพื่อนๆ
คนอื่นและพ่อแม่ของเธอเท่านั้น อย่างว่า เด็กขนาดนั้นจะเอาอะไรไปรู้ว่าตัวเองอยากเรียน
อะไร อยากทำอาชีพอะไร แค่ค้นหาตัวเองยังไม่เจอเลย
ระบบการศึกษาไทย บีบคั้นให้เด็กต้องพยายามไปมากเท่าไหร่ เด็กคนไหนเก่งก็จะรอด ใคร
ไม่เก่งก็จะตายลงและถูกทิ้งในระบบการศึกษา มีนก็คงเป็นเด็กที่รอดจากระบบนี้มาได้ แต่นี่มัน
ก็แค่จุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
5
มีนน่ะ เป็นเด็กที่ได้รับพรสวรรค์ให้เป็นเด็กเรียนเก่งตั้งแต่แรกแล้ว เธอแทบไม่มีความทรง
จำเลยว่าต้องอ่านหนังสือสอบ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ต้องตั้งใจเรียน เธอก็เป็นเพียงเด็กผู้
หญิงธรรมดาที่ไปโรงเรียนเพื่อทำกิจกรรมสนุกๆ กับเพื่อนแล้วก็กลับบ้านเท่านั้น แต่คะแนน
และเกรดที่เธอทำได้นั้น กลับสูงตลอดมา เธอเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็ว และสามารถเข้าใจเนื้อหา
ของวิชาได้อย่างง่ายดาย การเป็นนักเรียนในโรงเรียนนี้ของมีน เธอเป็นคนที่อยู่บนยอดสูงเสมอ
จนกระทั่งสองปีต่อมา
“มินณรินทร์ 2/10” คำประกาศคะแนนจากปากของครูวิชาภาษาไทย สายตาหลายคู่ใน
ห้องจับจ้องมองมาที่เด็กสาวมีนที่ตอนนี้เรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่3
“มีนสอบตกเหรอ”
“ทำไมคะแนนมีนน้อยแบบนั้นอะ”
“นั่นดิ ปกติก็ได้คะแนนเยอะมาตลอดนะ ตรวจคะแนนผิดรึเปล่า” แม้แต่เพื่อนๆ ในห้องยัง
ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แล้วเจ้าตัวจะเชื่อได้อย่างไร มีนได้แต่นั่งเงียบ กลั้นน้ำใสๆ ที่คลออยู่ใน
ตาไม่ให้มันออกมา
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เราพลาดตรงไหนกัน เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่นา ทำไมล่ะ
ทำไมกัน
หลายคำถามที่มีนไม่สามารถหาคำตอบมาอธิบายได้ เป็นครั้งแรกที่สายของชิงช้าที่แขวนอยู่
บนที่สูงที่มีนได้นั่งนั้นขาดลง การไม่เคยผิดหวังเลยมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้แหละ หลังจากนั้น
ถึงแม้ว่ามีนจะยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม แต่เธอก็ได้เรียนรู้แล้วหนึ่งอย่างในชีวิต ‘ความผิดหวังและ
ความไม่สมบูรณ์แบบ’
6
นิยามคำที่2 : ระบบทุนนิยม
ระบบทุนนิยม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่ทำงานตามกลไกตลาด ซึ่งผู้เล่นหลักจะมีอยู่สี่กลุ่ม
กลุ่มแรก คือ นายทุน หรือเจ้าของทุนที่เป็นเจ้าของกิจการ รวมถึงนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นของ
บริษัทเหล่านี้ และผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่เกิดขึ้น กลุ่มที่สอง คือ กลุ่ม
ลูกจ้างและพนักงาน ที่ทำงานให้บริษัท หรือกิจการ ได้รับค่าจ้างและเงินสวัสดิการต่างๆ
เป็นการตอบแทน กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าของบริษัท ประกอบด้วยบุคคลต่างๆ
อาชีพต่างๆ ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐที่ไม่ได้ทำงานให้บริษัท แต่มีรายได้จากทางอื่นที่ซื้อ
สินค้าและเป็นลูกค้าของบริษัท กลุ่มที่สี่ คือ รัฐบาลที่มีรายได้จากภาษีของประชาชน และนำ
เงินภาษีเหล่านี้มาใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
https://www.thaipost.net/main/detail/50546
7
“THE PURPOSE OF OUR
LIVES IS TO BE HAPPY.”
— DALAI LAMA
Second red carnation
carnation seeds has been
เด็กหญิงมีนตอนนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ พ่อและแม่ของเธอตัดสินใจให้เธอไป
เรียนพิเศษที่ใหม่ หลังจากที่เธอได้เรียนพิเศษคณิตมาสามปีแล้ว ต้องยอมรับในพ่อแม่ของเธอ
จริงๆที่สามารถหาที่เรียนพิเศษที่ใหม่ และยังสามารถส่งเธอไปเรียนพิเศษได้อีกด้วย ถามว่าแล้ว
มันพิเศษอย่างไรล่ะ เรียนพิเศษใครๆ ก็เรียนกัน ใช่ เพราะใครๆ ก็เรียนกันนี่แหละ มันถึงเป็น
เรื่องแปลก
ทำไมน่ะเหรอ ทั้งๆ ที่เราเรียนเนื้อหาที่โรงเรียน เราก็ควรจะได้รับความรู้ที่ครบถ้วนแล้ว
แต่ทำไมเด็กนักเรียนยังจะต้องขวนขวายความรู้จากที่เรียนพิเศษอีกล่ะ มันไม่ตลกไปหน่อย
เหรอ ที่การเรียนพิเศษกลายเป็นสิ่งจำเป็นในระบบการศึกษาทั้งๆ ที่มันควรเป็นทางเลือก
มากกว่า รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนพิเศษ แต่ถ้าจะปฏิเสธว่าการเรียนพิเศษนั้นได้เปรียบกว่าก็คง
พูดไม่ออก แนวข้อสอบที่จะได้รับ สรุป แนวทาง หรือแม้แต่เนื้อหาที่โรงเรียนไม่สอนแต่เอามา
ออกสอบ ครูที่เรียนพิเศษหรือที่เรียกว่า ติวเตอร์ เขากลับรู้ได้หมดอย่าง น่ามหัศจรรย์จริงๆ
การที่ช่องโหว่ของการศึกษามันมีมากขนาดนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เด็กน้อยมีนก็เลือกที่จะเรียนพิเศษตามที่พ่อแม่ของเธอส่งให้ ที่นั่น
เธอได้พบกับโลกใบใหม่ที่เธอไม่เคยพบมาก่อน เธอใช้เวลาไม่นานก็เริ่มคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้
และยังได้เจอเพื่อนใหม่ๆ อีกด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอใช้เวลาไม่นานก็เริ่มคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้
และยังได้เจอเพื่อนใหม่ๆ อีกด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอยังไม่คุ้นชินสักที คือติวเตอร์ในสถานที่แห่งนี้
ต่างหาก
ที่เรียนพิเศษนี้มีติวเตอร์อยู่สามคน ครูนารา สอนภาษาไทย ครูแก้ว สอนวิทย์ และคนสุดท้าย
คนที่มีบทบาทในชีวิตของมีนและเด็กนักเรียนอีกหลายๆคน ครูพิไล สอนคณิต และเจ้าของ
8
สถาบันที่เรียนพิเศษแห่งนี้ ครั้งแรกที่มีนได้ก้าวเข้ามาสู่สถาบันแห่งนี้ สิ่งแรกที่มีนได้เห็น คือ
การที่เด็กประมาณสองสามคน มาทำท่าลุก-นั่งกันเป็นว่าเล่น ตอนนั้นตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจ
เท่าไหร่ แต่พอเธอได้เริ่มเรียน เธอก็เริ่มเห็นและเข้าใจ
“เอาล่ะ ทำข้อสอบชุดนี้ให้เสร็จนะ แล้วเรามาเฉลยกัน ใครไม่ผ่าน คัดข้อที่ผิดแล้วมาส่ง
ด้วยนะ เริ่มทำได้เลยจ้า” ครูแก้วพูดขึ้นในคาบ
มีนและเพื่อนๆ ในห้องต่างพากันเปิดชุดข้อสอบและเริ่มนั่งทำ ในห้องเรียนนี้มีประมาณ
เกือบ20คน ก็บอกแล้ว ว่าการเรียนพิเศษเป็นสิ่ง'จำเป็น'ในระบบการศึกษา และนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง
สิ่งที่มีนได้เรียนรู้จากสถาบันแห่งนี้
ข้อแรก การท่องจำและการคัด ก็การเรียนในปัจจุบันน่ะ ความเข้าใจมาทีหลัง ต้องจำและ
นำไปทำในข้อสอบให้ได้ก่อนถึงจะเป็นเรื่องดี แต่ตัวมีนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนือบ่ากว่าแรง
อะไร หนำซ้ำเธอยังชอบอีกด้วย อย่างเช่นตัววิตามิน เธอก็จำมันได้ขึ้นใจเลยล่ะ
ข้อสอง ถ้าทำผิดก็ต้องทำโทษ การไม่ทำการบ้านมา เป็นสิ่งที่เจอได้บ่อยในเด็ก เคยมีเพื่อน
ร่วมชั้นของมีน เธอเป็นเด็กที่ไม่เคยทำการบ้านมาเลยสักครั้ง จนเรื่องหนักถึงขั้นต้องคุยกับผู้
ปกครอง และแน่นอน มีนไม่ได้มีปัญหากับข้อนี้เลย เพราะเธอทำมาตลอด ถึงแม้ว่าจะมีลอก
เพื่อนบ้าง ลืมบ้างแต่ก็แทบนับครั้งได้
ข้อสาม ข้อที่เธอตกใจมากเมื่อได้ยิน การร้องไห้ ไม่ได้ช่วยอะไร
มีนตอนนั้น เธอเป็นเด็กที่อ่อนโยน และอ่อนไหวได้ง่าย เธอมักจะร้องไห้ได้กับทุกๆ เรื่อง
แต่เมื่อเธอเจอครูพิไล น้ำตาสักหยดที่เคยไหลออกจากดวงตานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นต่อหน้าครูพิไล
เลยแม้แต่น้อย
9
เนื่องจากสถาบันนี้ไม่ได้สอนเพียงแต่รุ่นของมีนอย่างเดียว วัยเด็กประถมต้นก็มีอยู่มากมาย
คิดไปคิดมาก็แอบเศร้าเหมือนกันนะ ทำไมเด็กเล็กๆ จะต้องมานั่งเรียนพิเศษหนักขนาดนี้ด้วย
นะ พวกเขาควรได้ออกไปใช้ชีวิตไม่ใช่เหรอ ควรได้ออกไปเล่นสนุก ออกไปเจอโลกกว้าง ไม่ใช่
อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมกับตัวหนังสือมากมายเต็มไปหมด แต่ก็เข้าใจแหละนะ อนาคตมันรัดคอ
เราอยู่นี่นา
ครูพิไล คือคนที่เริ่มประโยคนี้ขึ้น และมีนก็จำมันได้อย่างดี ครูพิไลเป็นครูที่โดดเด่นและมี
บทบาทที่สุดในสถาบันนี้ และก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไม ครูพิไลนอกจากจะเป็นติวเตอร์
แล้ว เธอก็ยังเรียนปริญญาโทควบคู่กันไปด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเธอสามารถแบ่งเวลาได้เก่งขนาด
นี้ เธอสามารถสอนและทำวิทยานิพนธ์ได้ และนอกจากนี้ ครูพิไล รวมถึงครูคนอื่นในที่แห่งนี้
เขาไม่ได้แค่มาสอนและก็จบไป เขาได้ให้อะไรหลายอย่างกับมีน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีนไม่เคยเจอมา
ก่อนในสังคมของโรงเรียนเอกชน สังคมที่ผู้ปกครองเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเปิดเรื่องอะไร ทาง
โรงเรียนก็จะต้องยอมผู้ปกครองก่อนเสมอ แต่สำหรับที่นี่ มันไม่ใช่
“คือลูกของคุณแม่เขาไม่ทำการบ้านมาส่งพิไล ซึ่งเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว พิไลเลยให้เขา
นั่งทำให้เสร็จแล้วค่อยปล่อยเขากลับ” ครูพิไลยืนพูดอยู่กับใครสักคน ด้วยความสงสัย มีนจึงหัน
ไปมองดูว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ก็พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าของครูพิไลพร้อม
กับแม่ของเด็กคนหนึ่งที่จะมารอรับลูกกลับ
“ค ฮึก ครูครับ ผ ฮึก ผมปวด ฮึก ปวดหัว ฮือ” เด็กผู้ชายคนนั้นพูดพร้อมร้องไห้สะอึก
สะอื้น
“ปวดหัวหรอ เอาพารามั้ย ครูมีพารานะ เนี่ย เดี๋ยวเอาพาราให้กินแล้วก็นั่งทำต่อเลย”
10
ครูพิไลพูดพร้อมก้มไปหยิบขวดของยาพาราขึ้นมา เด็กผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไร ได้แต่สะอื้น
และหันไปหาแม่ของเขา ครูพิไลจึงพูดขึ้นต่อ
“รบกวนคุณแม่กลับไปก่อนเลยนะคะ เดี๋ยวถ้าน้องทำงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวพิไลจะโทรบอก
เอง รบกวนคุณแม่กลับได้เลยนะคะ เพราะไม่งั้นเขาก็จะไม่ทำงานสักที เขาจะร้องแต่กลับบ้าน
ค่ะ” เป็นประโยคที่ตรงไปตรงมาที่สุด แม่ของเด็กคนนั้นก็ไม่ว่าอะไร และขอตัวกลับไปก่อน แต่
นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายคนนั้นหยุดร้องไห้เลย
“แล้วหนูจะร้องไห้ทำไม ร้องไห้แล้วมันช่วยอะไรรึเปล่า ร้องไห้แล้วงานตรงหน้าจะเสร็จมั้ย
ครูอยู่กับหนูได้ถึงมืด ครูจะนอนที่นี่เลยก็ได้ หนูจะนอนกับครูเลยมั้ย หรือหนูจะทำงานแล้วกลับ
บ้านครับ” ครูพิไลถาม เด็กผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไร นำมือเล็กๆ ของตนปาดน้ำตา ก่อนจะหยิบ
ดินสอใกล้มือขึ้นมาเขียนต่อ โดยมีครูพิไลนั่งคุมอยู่ด้านหน้า
เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่มีนจำได้ขึ้นใจ แต่มีนก็ไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไร
ต่อ เนื่องจากเธอต้องกลับบ้านพอดี ประโยคนั้นเธอไม่มีวันลืมเลยล่ะ แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เธอก็
เคยมีเหตุการณ์ที่โดนครูพิไลดุเธอเหมือนกัน ครูที่นี่ทุกคน ถ้าไม่โกรธก็จะใจดีมาก แต่ถ้าโกรธ
เมื่อไหร่ น่ากลัวทุกคน ซึ่งตัวมีนก็โดนมาหมดแล้วล่ะ ครูที่นี่ นอกจากจะสอนเนื้อหาได้ดีแล้ว ก็
ยังสอนอะไรต่างๆ อีกมากมาย การได้เจอสังคมใหม่ๆ ฝึกการปรับตัวของมีน เหตุการณ์
มากมาย ที่ทำให้มีนเข้มแข็งขึ้น และเปลี่ยนความคิดของมีนไปตลอดกาล
และนั่นทำให้มีนได้พบกับความฝันใหม่ อาชีพครู
จากอาชีพหมอในวัยเด็ก สู่อาชีพครู ความฝันที่เปลี่ยนไปเพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
ใครสักคน ที่เราเห็นเขาเป็นต้นแบบ เราชอบความคิด ทัศนคติ ยกย่องเขา และคิดว่าในสักวัน
เราจะต้องเป็นแบบเขาให้ได้
11
แม้ในความเป็นจริงนั้น อาชีพครูมันมีอะไรมากกว่าที่มีนได้รู้ ถ้าเป็นติวเตอร์เองน่ะ มันก็ไม่
เท่าไหร่หรอก แต่ถ้ารับราชการครูเนี่ยสิ อาชีพครู นอกจากจะต้องสอนและให้ความรู้แล้ว ยัง
ต้องสอนการใช้ชีวิตของเด็กด้วย
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ปัจจุบันครูไทยเราเป็นแบบนั้นจริงหรือ ความจริงแล้วสิ่งที่ครูไทยให้
นอกจากความรู้ มันคือสุขภาพจิตที่โดนทำลายต่างหาก ใช่ ไม่ใช่ครูทุกคนที่แย่ แต่ครูที่ดีก็แทบ
นับคนได้ด้วยซ้ำ เด็กที่โดนครูกดขี่ก็มีมากมาย การศึกษาฆ่าเด็กไปมากมายแค่ไหน หนึ่งใน
ปัจจัยก็คือครูนี่แหละ
แต่ก็นะ ระบบข้าราชการครูมันมีอะไรมากกว่านั้นนี่นา สังคม ระบบอุปถัมภ์ การประจบ
ผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างข่าวที่มีครูมาเรียกร้องอาหารกลางวันเด็กที่ได้ในปริมาณน้อย แต่กลับโดน
กลุ่มของแม่ครัวและญาติขับไล่ ทั้งๆ ที่ตนนั้นแค่มาเรียกร้องสิทธิ์ให้กับเด็ก ซึ่งสาเหตุคาดว่ามา
จากผู้อำนวยการของโรงเรียน เห็นมั้ยล่ะ เป็นครู ถ้าไม่อยู่ในกรอบและคิดจะทำอะไรบางอย่าง
ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องดี แต่มันทำให้โรงเรียนเสียหาย ก็โดนหมดอยู่ดี โรงเรียนส่วนมากน่ะ แคร์
ภาพลักษณ์เป็นไหนๆ
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างมีน ก็ยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่องอะไรพวกนี้ เธอได้ค้น
พบกับความฝันใหม่ ที่เปล่งประกายในความคิดของเธอ อาชีพหมอในความฝันของเธอเมื่อครั้ง
ยังเด็กกว่านี้ ได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความฝันใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเธอเอง ก็จำ
ภาพความฝันในอาชีพหมอของเธอไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
นิยามคำที่3 : ครู
ครู หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สำหรับ
นักเรียน หรือ นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
https://th.wikipedia.org
12
Third red carnation
carnation seeds has been
หนึ่งปีต่อมา ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เข้ามาหาที่ตัวของมีน ที่ตอนนั้นเธออยู่เพียง
ประถมศึกษาปีที่5
“ขอโทษนะครับ มีนลูก ออกมาข้างนอกหน่อย” ปู่ที่คอยไปรับไปส่งเธอมาที่เรียนพิเศษทุก
วัน เปิดประตูห้องเข้ามาและพูดขึ้น
“ค่ะ” มีนตอบไป แต่เธอก็สับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะปู่ของเธอดูรีบร้อนผิดปกติ
เธอยืนขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องที่เรียนพิเศษไป ครูที่สอนเธออยู่ก็ไม่ว่าอะไร
“มีนฟังดีๆ นะ ป้าหนูโดนรถชน”
สิ้นสุดประโยค มีนได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับความตกใจและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อะไรนะ ป้าเราโดนรถชนเหรอ เรื่องจริงเหรอ แล้วเขาเป็นยังไงบ้างแล้วนะ
มีนได้แต่นั่งนิ่ง น้ำตาค่อยๆไหลออกมา ความสูญเสียที่พุ่งเข้ามาหาเธอโดยที่เธอไม่ทันได้เตรียม
ใจด้วยซ้ำ เธอยังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่ต้องมาเจอเรื่องสะเทือนใจหนักขนาดนี้เสียแล้ว ปู่ของ
เธอก็รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน จึงขอรับเธอกลับบ้านไปก่อน
ข้อสรุปของเหตุการณ์เกิดขึ้น ป้าของมีนและคู่กรณีเสียชีวิตทั้งคู่ เหตุเกิดจากมีรถคันหนึ่ง
ขับมาเบียดกับคู่กรณี จึงทำให้เกิดความโมโห และเกิดการแข่งขันกัน ทั้งสองไม่มีใครยอมผ่อน
ความเร็วให้ใคร รถอีกคันได้แซงนำหน้ารถคู่กรณี และเกิดการหักเลี้ยว จึงทำให้ป้าของมีน ต้อง
หัวเลี้ยวรถจนข้ามไปยังถนนอีกฝั่ง เนื่องจากถนนเส้นนั้นไม่มีเกาะกลางกั้น และรถของป้ามีน
ก็ได้ชนเข้ากับรถของคู่กรณีที่ตามหลังป้าของมีนมา เกิดเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
มารยาทในการจราจร เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่กลับไม่มีใครใส่ใจมันเท่าที่ควร ถ้าจะให้ว่าเกี่ยวกับ
วีรกรรมของคนที่ขับรถบนท้องถนน ก็เกรงว่าพูดไปสิบปีก็ไม่น่าจะจบ ไม่ว่าจะเป็นความ
ประมาท รีบร้อน ไม่สนใจใคร เห็นแก่ความต้องการของตัวเอง แม้กระทั่งรถพยาบาลวิ่งเปิด
13
ไฟมา ก็ยังมีคนไม่หลบให้ ตลกร้ายดีนะ หรือแม้แต่คนข้ามถนน การที่มีรถจอดให้ข้าม คนข้าม
ถนนก็ต้องก้มหัวเป็นการแสดงว่าขอบคุณ
แต่เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมต้องก้มหัวขอบคุณด้วย มารยาทเหรอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นมารยาทของ
ผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องปฏิบัติและหยุดให้คนข้ามเหรอ แต่สังคมของเรามันก็สอนต่อๆ กันมาแบบนี้
เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แม้แต่มีนเวลาจะข้ามถนนยังต้องก้มหัวให้รถที่ผ่านเลย หรือแม้แต่คุณ
ก็ยังก้มหัวใช่มั้ยล่ะ เห็นมั้ยว่าคนไทยน่ะ มีมารยาทงามมากเลยใช่ไหม
แต่ความจริงก็คือความจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว เวลาก็เอามันกลับมาไม่ได้ เวลาต่อมา งาน
แห่งความโศกเศร้าในชุดสีขาวและดำได้เกิดขึ้น ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ว่าแรก ยันวันสุดท้าย ที่
ร่างอันไร้ความรู้สึก นึกคิด และจิตใจ จะสลายกลายเป็นผุยผง และไม่หวนคืนมาอีกเลย แต่
ความเศร้าโศกก็ไม่ได้หายไปจากบ้านแม้แต่ใด ครอบครัวที่แต่ก่อนเคยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อม
ตา กลับต้องมีสมาชิกคนหนึ่งหายไป ช่องว่างที่ถูกเติมไปด้วยความเสียใจและความโกรธ ที่กว่า
จะหลุดพ้นออกมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตัวเด็กน้อยเอง ก็ต้องผ่านมันมาให้ได้เหมือนกัน เพราะโลกมันหมุนอยู่ตลอด เวลาไม่เคยรอ
ใคร เวลาไม่เคยให้เราได้พักเสียใจ ได้มีความสุข ได้หยุดวิ่งสักครั้ง สุดท้าย ทุกคนก็ต้องอยู่บนลู่
วิ่งแห่งโลกอันกว้างใหญ่ ที่มันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเราไม่สามารถวิ่งมันต่อไปได้อีกแล้ว เหมือน
อย่างที่ป้าของมีนเป็น แต่จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้มีนได้รู้ว่าชีวิตของคนเราน่ะ มันแขวนอยู่บน
เส้นด้ายตลอดเวลา บางทีมันก็เกิดเหตุขึ้นเพราะเรา บางทีเราก็ทำได้ดีแล้ว แต่กลับต้องรับผลก
ระทบเพราะผู้อื่น ชีวิตของคนเรามันไม่ได้ยาวอย่างที่คิดหรอก ใช้มันให้คุ้ม ทำให้ทุกๆ วัน
เหมือนวันสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิต เพราะบางทีความตาย มันก็มาต้อนรับเราแบบไม่ทันตั้งตัว
และอย่าลืมนะ ไม่ใช่แค่เราที่จะต้องจากไป คนรอบๆ ตัวของเราก็เช่นกัน อยู่กับคนที่เรารักให้
14
เต็มที่ ดูแลเขาให้เต็มที่ เพราะเราไม่รู้ได้เลย ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเขาไปจนถึงเมื่อ
ไหร่ ดีกว่าเรามาเสียดาย ตอนที่ดูแลเขาไม่ได้อีกแล้ว การเคาะโลงก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขารับรู้ใน
สิ่งที่เราอยากทำให้เขา เท่ากับตอนที่เขามีชีวิตอยู่หรอก
มีนเองกลับมาใช้ชีวิตปกติเช่นเดิม เพียงแต่ไม่มีคนที่เธอรักอยู่แล้ว เธอยังคงวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง
เพื่อตามหาความฝันของเธอต่อไป ถึงแม้ว่าตอนนั้น ตัวเธอไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไหร่ เพราะความ
ยังเด็ก อนาคตที่เธอจะต้องคิดมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ที่เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของเธอตอนนั้นก็
ว่าได้
คือการสอบให้ติดโรงเรียนประจำจังหวัดตามที่แม่ของเธอต้องการนั่นเอง
นั่นไม่ใช่ปัญหาของมีนเลย ตัวเด็กน้อยเองก็มั่นใจ ว่าสิ่งที่แม่ของเธอเลือกให้ เป็นสิ่งที่ดี
ที่สุดสำหรับตัวเธอแล้ว ความจริง โรงเรียนในปัจจุบันของเธอก็มีที่รองรับให้เธอเข้าเรียนมัธยม
ต่อแล้ว แต่เพราะครอบครัวของเธอ ตัดสินใจที่จะย้ายบ้าน จากการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความ
วุ่นวายในเมือง มาสู่ชานเมืองที่พอจะหาความสงบที่ในตัวเมืองให้ไม่ได้อยู่บ้าง เนื่องจากแม่ของ
เธอนั้น ต้องกลับมาดูแลยายที่อยู่ชานเมือง จึงทำให้ครอบครัวของเธอต้องย้ายมาทุกคน
นั่นจึงทำให้เธอต้องสอบเข้าโรงเรียนนี้ให้ได้ ความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กในวัยประถมที่
กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยมัธยม มันก็มีเพียงเท่านี้แหละ อาชีพที่ใฝ่ฝัน มันก็แค่ของประกอบ ที่มีไว้
เพื่อเวลาผู้ใหญ่ถาม เราจะได้มีคำตอบไว้ ก็เพียงเท่านั้น
นิยามคำที่4 : กฎจราจร
กฎจราจร หมายถึง ส่วนหนึ่งของกฎหมายจราจร ซึ่งเป็นกฎหมายหลักในการบังคับ
ควบคุมการจราจรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีความเป็นระเบียบ
https://sites.google.com/
15
Fourth red carnation
carnation seeds has been
เวลาล่วงเลยไปหนึ่งปีต่อมา เข้าสู่จุดหักเหของชีวิตอีกครั้ง เมื่อปีนี้ มีนเองที่เริ่มเติบโตขึ้น
จากเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากมาย มาสู่เด็กที่เริ่มจะเรียนรู้อะไรได้เยอะขึ้น มองย้อนกลับไป
ในหกปีที่ผ่านมา ตัวมีนเอง ก็ได้ประสบเจอเรื่องราวต่างๆ ทั้งความสุข ความทุกข์ การสูญเสีย
การสมหวัง การผิดหวัง ตอนแรกก็คงดูไม่มีอะไร แต่ถ้าลองทบทวนอีกที สิ่งที่เราได้ผ่านมามันมี
มากมายเหลือเกิน เราทุกคนบนโลกนี้เก่งกันมากๆ เลยนะ นอกจากจะแบกรับความคาดหวัง
ของตัวเองแล้ว ยังต้องแบกรับความคาดหวังของคนอื่นอีก ทั้งๆ ที่นี่มันคือชีวิตของเราเองแท้ๆ
ก็เหมือนกับมีน ที่ในตอนนี้ เธอก็ต้องแบกรับความคาดหวังของคนในครอบครัว ติวเตอร์ที่
เรียนพิเศษ รวมถึงตัวเธอเอง ที่ก็อยากจะทำมันให้ได้เหมือนกัน นับว่าเป็นแรงผลักดันที่โหดใช่
ย่อยเลยล่ะ
มีนเริ่มอ่านหนังสือและเตรียมตัวที่จะสอบเข้าที่เรียนพิเศษของเธอก็ติวเข้มอย่างหนัก เพื่อ
สามารถการันตีความมั่นใจได้ว่า เด็กนักเรียนของตัวเองจะต้องสอบติด เพราะนอกจากจะ
เป็นการช่วยเด็กแล้ว สิ่งที่แอบแฝงอยู่ก็คือชื่อเสียงที่สถาบันจะได้รับอย่างไงล่ะ
ลองคิดดูว่า คนที่เขามีลูก บางส่วนเขาก็ต้องอยากให้ลูกของตัวเองได้รับสิ่งที่ดีๆ อยู่แล้ว
แล้วอะไรจะมาเป็นตัวบอกล่ะ ว่านั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับลูกของเขา ก็ต้องเป็นผลงานและ
ประสบการณ์ที่ผ่านมา ถูกต้องไหมล่ะ หากติวเตอร์ในสถาบันนั้น สามารถทำให้เด็กสอบติดได้
สถาบันนั้นก็จะได้รับชื่อเสียง และเป็นที่เชิดหน้าชูตา ดูได้จากการเอารูปเด็กนักเรียนทั้งหลายที่
สอบติดมาแปะๆ ให้ดูมีมากมายสะเหลือเกิน
แต่ว่านะ แล้วคนที่ไม่ประสบความสำเร็จล่ะ ช่างน่าขำที่เวลามีเด็กประสบความสำเร็จ ส่วน
มากเมื่อรู้ว่าเด็กคนที่เรียนที่กวดวิชาที่ไหน เขาก็จะให้เครดิตกับทางสถาบันมากกว่า แต่ทำไม
เวลาเด็กทำไม่สำเร็จ ถึงไปโทษที่ตัวเด็กๆ แทนล่ะ ก็จริงอยู่ ที่ถ้าเด็กสอบไม่ติดบางคนอาจจะ
16
เพราะเขาไม่ตั้งใจ แต่ก็เห็นกันอยู่มากมายที่เด็กมันพยายามแล้ว แต่มันได้แค่นี้ ซึ่งแค่นี้ของเด็ก
น้อยคนนั้น มันไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่บางคนเลย แล้วทำไมเวลาเด็กสอบติด ผู้ใหญ่บางคน
ถึงไม่ชื่นชมตัวเด็กๆ บ้างนะ เขาก็พยายามมามากมายไม่ต่างกัน แต่ทุกอย่างถูกเทไปทาง
สถาบันกวดวิชาหมด น่าคิดจริงๆ
มีนพยายามทำในทุกๆ ส่วนของเธอให้เต็มที่ เพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนที่เธอใฝ่ฝัน เอ๊ะ หรือ
ว่าแม่ของเธอใฝ่ฝันกันนะ แต่เอาเถอะ เด็กอายุ11ขวบคนนี้ ก็ไม่ได้มีความคิดมากมายอยู่แล้ว
ว่าโรงเรียนที่เธออยากเข้าคืออะไร ถ้าให้พูดจริงๆ เธอก็คงเลือกที่จะเข้าโรงเรียนดังๆ ตามเพื่อน
ของเธออีกเช่นเคย และเพราะเหตุที่ต้องย้ายบ้าน มาอยู่ในสถานที่ใหม่ ทำให้เธอเองก็ไม่รู้ว่าที่
แห่งนี้มีอะไรบ้าง และสิ่งไหนเหมาะกับเธอ และตามสิ่งที่แม่ของเธอบอกเสมอว่า “แม่เลือกสิ่งที่
ดีที่สุดให้กับมีน” มีนก็ว่าตามอย่างง่ายดาย
เธอไปตระเวนสอบในสนามสอบหลายๆ ที่ ทั้งเอกชน รัฐบาล ทั้งแบบห้องพิเศษ และห้อง
ธรรมดา แต่ในรอบห้องพิเศษนี้เอง คือรอบที่เธอตั้งใจทำมันมากที่สุด เพราะห้องนั้นคือสิ่งที่เธอ
ต้องการยังไงล่ะ
โรงเรียนที่เธอต้องการสอบเข้าแบ่งออกเป็นสองรอบด้วยกัน คือห้องพิเศษ และห้อง
ธรรมดา
ห้องพิเศษ ให้พูดในศัพท์ปัจจุบันก็ห้องกิฟต์ ห้องที่เด็กเรียนเก่งๆ จะสอบเข้าไปได้ ในความ
คิดของคนทั่วๆ ไปอะนะ ซึ่งทางโรงเรียนก็จะแบ่งออกเป็น กิฟต์วิทยาศาสตร์ กิฟต์คณิตศาสตร์
กิฟต์อังกฤษ และ กิฟต์คอมพิวเตอร์
“มีนลูก มันมีสี่สายให้เลือก หนูอยากเข้าสายไหน” พ่อของเธอถามขึ้น มีนมองลงไปในใบ
สมัครสอบของเธอ
17
“หนูเลือกกิฟต์อังกฤษแล้วกันค่ะ มันน่าจะทางของหนูที่สุด” มีนว่าจบก่อนจะหยิบปากกา
ขึ้นมาขีดเครื่องหมายถูกต้องลงในใบสมัครของเธอ นับตั้งแต่วินาทีนั้นนั่นเอง ที่มีนได้เริ่มต้นที่
จะเลือกเดินในทางสายภาษาของตัวเองแล้ว
ตัวมีนเองก็ไม่ได้รู้มากมายหรอก ว่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกจะมาสายนี้คืออะไร เพราะตัวเธอ
เองก็ไม่ได้เรียนวิทย์ไม่เก่งหรือเรียนคณิตไม่เก่ง ปกติเกรดของเธอนั้น ทำได้ดีมาโดยตลอดใน
ทุกๆ รายวิชา ภาพจำของคนเรียนสายภาษา ก็มักจะเป็นคนที่หนีวิทย์คณิตมา ซึ่งตรงส่วนนี้
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ที่ถึงแม้ว่าโลกจะไปไกลแค่ไหน จะเกิดโลกาภิวัตน์ไปอีกสักเพียงใด
ความคิดของคนบางคนก็ไม่ได้ไปไกลตามโลกสักที การคิดแค่นี้และต้องการจะเหมารวมคนที่
เรียนสายภาษาแบบนี้ มันเป็นการด้อยค่าสายภาษาและเป็นการกดไปในตัว โดยที่คนคิดเขา
อาจจะไม่ได้รู้สึกก็ได้ กี่ครั้งแล้วที่เด็กเรียนสายภาษาถูกมองว่าเรียนง่ายกว่าวิทย์คณิต ความ
พยายามกี่อันที่ถูกลดทอนและมองข้าม เพียงเพราะไม่ได้เรียนอะไรที่วิชาการ เป็นตัวเลข และ
การท่องจำที่เป็นรูปธรรมเหมือนเด็กวิทย์คณิต แล้วการฝึกพูด การเขียน การท่องจำคำศัพท์
การเข้าใจภาษานั้นล่ะ ตรงส่วนนี้ ทำไมใครหลายๆ คนถึงได้มองข้ามไปนะ
แต่ถึงแบบนั้น มีนเองก็ยังเลือกเดินในสายภาษา ส่วนหนึ่งคงมาจากอิทธิพลของพ่อเธอเป็น
คนที่ชอบภาษามากๆ แต่ในตอนเด็กๆ พ่อของเธอไม่ได้รับโอกาสมากนักที่จะได้เรียน เมื่อมีน
ตัดสินใจที่จะเข้าเรียนสายนี้ พ่อของเธอจึงสนับสนุนเป็นพิเศษ และอีกส่วน เพราะเธอเรียน
โรงเรียนเอกชนและเธอเรียนห้องสองภาษา จึงทำให้เธอผูกพันทางด้านภาษามากกว่าด้านอื่นๆ
เธอจึงเลือกในส่งที่เธอมั่นใจว่า เมื่อเธอเลือกเดินแล้ว เธอจะไม่เสียใจในภายหลัง
เพราะนี่คือทางเลือกอีกก้าว ที่จะเป็นตัวตัดสินใจในอนาคตของเธอ
18
นิยามคำที่5 : เรียนพิเศษ
เรียนพิเศษ หมายถึง การเรียนการสอนนอกห้องเรียนเพื่อเติมหรือเสริม การเรียนแบบปกติ
จากในห้องเรียน ถือเป็น ‘บริการ’ รูปแบบหนึ่ง
https://thestandard.co/
19
“GET BUSY LIVING OR
GET BUSY DYING.”
— STEPHEN KING
Fifth red carnation
carnation seeds has been
“มีนลูก เห็นที่เขาประกาศผลสอบยัง” พ่อของเธอพูดขึ้น หลังจากที่เธอนั้นได้สอบเข้าห้อ
งกิฟต์อังกฤษตามที่เธอใฝ่ฝันมาสักระยะ
“ยังเลยค่ะ มันประกาศแล้วเหรอคะ” มีนตอบพร้อมกับเดินมาหาพ่อและแม่ของเธอที่นั่งอยู่
หน้าคอมฯ
“ประกาศแล้ว พ่อกำลังจะเช็กรายชื่อในเว็บฯ อยู่” พ่อของเธอตอบ
พ่อของมีนได้คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของทางโรงเรียน และคลิกไปตรงหมวดหมู่ รายชื่อผู้ที่
สอบติด แล้วเลื่อนลงไปดูรายชื่อของผู้ที่สอบติดห้องกิฟต์อังกฤษ
“มีนลูก หนูสอบติดแล้วนะ ได้ที่สามของห้องด้วย” สิ้นสุดประโยค พ่อแม่และมีนก็ตะโกน
ดีใจกันออกมา ชื่อเด็กหญิงมินณรินทร์ โชติกา ได้สอบติดห้องกิฟต์อังกฤษด้วยคะแนนอันดับที่
สามของห้อง แค่นี้ ครอบครัวของมีนก็ดีใจจนไม่รู้จะดีใจอย่างไรแล้ว รวมถึงตัวมีนเอง ความ
คาดหวังที่เธอแบกรับมาตลอด ตอนนี้มันก็ได้คลี่คลายลงแล้ว
หลายเดือนผ่านไป บ้านอันแสนสุขหลังเดิมได้เปลี่ยนไป และก็ถึงเวลาที่สังคมของมีนจะ
ต้องเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ตัวของมีนเองก็กลัว ที่จะต้องมาเจอกับสังคมใหม่ ที่เธอต้องปรับตัว
และตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำอย่างไรดี แต่พ่อแม่ของเธอก็เข้าใจและพยายามให้
กำลังใจมีนเสมอมา
เปิดเทอมวันแรกของมีนด้วยความที่เธอเป็นเด็กใหม่ และไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามาก่อน
แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ทุกคนก็ต่างมีเพื่อนกันมาหมดแล้ว การใช้ชีวิตโดดเดี่ยวตัวคนเดียวแบบ
นี้ ทำให้มีนไม่ค่อยจะรู้สึกดีสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ต้องปรับตัวต่อไป และถึงแม้จะมีเพื่อนที่เข้าหา
มีนเอง แต่ความรู้สึกบางอย่างของมีน กลับบอกให้มีนอย่าไปสนิทกับเพื่อนคนนี้มากนัก มีนจึง
ไม่ได้ใส่ใจเพื่อนกลุ่มนั้นสักเท่าไหร่
20
จนกระทั่ง เมื่อถึงคาบเรียนนาฏศิลป์ แน่นอนว่าคงหนีไปพ้นการรำ และจะต้องมีการจับ
กลุ่มกันเพื่อที่จะทำงาน ครูนาฏศิลป์ไม่ได้มีการบังคับว่าใครจะอยู่กับใคร จึงเกิดการเลือกแบบ
อิสระ และแน่นอนเลยว่า ตัวของมีนที่มาด้วยตัวคนเดียวและไม่มีเพื่อน จะมีกลุ่มก็เป็นเรื่อง
ลำบาก ซึ่งมีนก็ทำใจไว้แล้วแต่ทว่า
“แกๆ แกยังไม่มีกลุ่มใช่ไหม” เด็กผู้หญิงตัดผมสั้นตามกฎการไว้ผมของโรงเรียนเอ่ยถามมีน
“อื้ม ยังไม่มีเลย” มีนพูดตอบอย่างเป็นมิตร
“งั้น แกมาอยู่กลุ่มไหม”
“ได้เลย” มีนว่าจบ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พามีนมานั่งกับกลุ่มของตน เธอแนะนำตัวว่าชื่อขิม
พร้อมกับแนะนำเพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอให้รู้จัก และนั่นก็เป็นครั้งแรก ที่มีนได้มี'เพื่อน'ใน
โรงเรียนแห่งนี้สักที
วันเวลาผ่านไป มีนตัดสินใจที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้มากขึ้น กินข้าวด้วยกัน เล่น
ด้วยกัน และถึงแม้จะไม่เข้าใจกันบ้าง เพราะตัวมีนเองเป็นเด็กใหม่คนเดียว ที่ทั้งกลุ่มนั้นไม่เคย
รู้จักกันมาก่อน แต่มีนเองก็ผ่านมันมาได้ และเริ่มที่จะสนิทสนมกันมากขึ้น
นอกจากเรื่องสังคมที่มีนต้องปรับตัว เรื่องการเรียนก็เช่นกัน เพราะตัวมีนนั้นเรียนเอกชน
มาก่อน ก่อนที่จะมาเรียนโรงเรียนรัฐบาล ทำให้ตัวรายวิชา การพักระหว่างเรียน การเดินเรียน
และอื่นๆก็เป็นสิ่งที่เธอต้องมาเริ่มต้นกันใหม่เช่นกัน เคยเกิดกรณีที่มีนหาห้องเรียนไม่เจอและ
ต้องเข้าเรียนสาย ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ตัวของมีนเองจำได้ไม่เคยลืมเลยล่ะ แต่สุดท้ายเธอก็
ผ่านมันมาได้ นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากครั้งหนึ่งในชีวิตของเธอก็ว่าได้
21
“เอาล่ะ ครูจะให้นักเรียนบอกอาชีพที่ตัวเองอยากเป็นมาคนละหนึ่งอาชีพนะ ไล่กันตั้งแต่
คนนี้ถึงคนสุดท้ายตรงมุมห้องนะ” ครูแนะแนวเอ่ยขึ้นในคาบเรียนของตัวเอง
วิชาแนะแนว วิชาที่ดูจะมีประโยชน์ต่อตัวนักเรียนมากมาย เพราะนอกจากจะสามารถเป็น
แนวทางในการเรียนแล้ว ก็ยังสามารถช่วยนักเรียนในส่วนอื่นๆ ได้อีกด้วย แต่รู้อะไรไหม ว่า
แนะแนวของบางโรงเรียน มันไม่ได้ช่วยตัวเด็กขนาดนั้นเนี่ยสิ ส่วนใหญ่ก็เกิดจากเด็ก ครู และ
โรงเรียน ที่ไม่ใส่ใจกับวิชาตัวนี้มากพอ ทั้งๆ ที่วิชานี้สามารถจะเป็นทางเลือกให้เด็กได้ค้นหาตัว
เอง เพื่อที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรในอนาคต เด็กบางคนไม่ใส่ใจที่เรียนวิชานี้ มองว่าเป็นวิชามา
นั่งคุยกันเฉยๆ ครูที่สอนแนะแนวบางคน ไม่ใส่ใจกับเด็กนักเรียนมากพอ เพราะอย่างว่า เขา
แนะแนวหลายห้อง ก็ไม่ได้มาลงรายละเอียดเท่ากับครูที่ปรึกษาหรอก โรงเรียน ที่ก็ไม่ได้สนใจ
จะทำให้วิชานี้เป็นวิชาที่สำคัญมากมายเท่าที่ควร นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่วิชาแนะแนวไม่ได้ทำ
หน้าที่ในสิ่งที่มันควรจะเป็นแต่แรกแล้ว
หลังครูแนะแนวพูดจบ เพื่อนร่วมห้องของมีนก็ทยอยกันตอบ ซึ่งแต่ละคำตอบที่ได้รับนั้น
กลับเปลี่ยนไปจากตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง จากอาชีพหมอ พยายาม ตำรวจ ทหาร มาสู่นักธุรกิจ
นักเขียน นักข่าว ทนายความ ศาล อาชีพที่เหล่านักเรียนได้พูดถึงนั้น เริ่มจะมีอาชีพที่หลาก
หลาย และซับซ้อนมากขึ้น แต่อย่างว่า การที่เลือกจะมาเรียนภาษาแล้ว คำตอบเกี่ยวกับอาชีพ
ก็คงจะไปในทิศทางนั้น แต่ทว่า
“อยากเป็นเภสัชค่ะ” ขิม เพื่อนของมีนที่เธอได้รู้จักเป็นคนแรกของโรงเรียนพูดขึ้น
“หืม เภสัชเหรอ ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ” ครูแนะแนวถาม
“เพราะว่าแม่ของหนูทำงานเป็นพยาบาล หนูเลยอยากทำงานเป็นเภสัชค่ะ แม่หนูเขาก็
อยากให้เป็นเหมือนกัน”
22
“เอาล่ะ ครูจะให้นักเรียนบอกอาชีพที่ตัวเองอยากเป็นมาคนละหนึ่งอาชีพนะ ไล่กันตั้งแต่
คนนี้ถึงคนสุดท้ายตรงมุมห้องนะ” ครูแนะแนวเอ่ยขึ้นในคาบเรียนของตัวเอง
วิชาแนะแนว วิชาที่ดูจะมีประโยชน์ต่อตัวนักเรียนมากมาย เพราะนอกจากจะสามารถเป็น
แนวทางในการเรียนแล้ว ก็ยังสามารถช่วยนักเรียนในส่วนอื่นๆได้อีกด้วย แต่รู้อะไรไหม ว่า
แนะแนวของบางโรงเรียน มันไม่ได้ช่วยตัวเด็กขนาดนั้นเนี่ยสิ ส่วนใหญ่ก็เกิดจากเด็ก ครู และ
โรงเรียน ที่ไม่ใส่ใจกับวิชาตัวนี้มากพอ ทั้งๆที่วิชานี้สามารถจะเป็นทางเลือกให้เด็กได้ค้นหาตัว
เอง เพื่อที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรในอนาคต เด็กบางคนไม่ใส่ใจที่เรียนวิชานี้ มองว่าเป็นวิชามา
นั่งคุยกันเฉยๆ ครูที่สอนแนะแนวบางคน ไม่ใส่ใจกับเด็กนักเรียนมากพอ เพราอย่างว่า เขา
แนะแนวหลายห้อง ก็ไม่ได้มาลงรายละเอียดเท่ากับครูที่ปรึกษาหรอก โรงเรียน ที่ก็ไม่ได้สนใจ
จะทำให้วิชานี้เป็นวิชาที่สำคัญมากมายเท่าที่ควร นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่วิชาแนะแนวไม่ได้ทำ
หน้าที่ในสิ่งที่มันควรจะเป็นแต่แรกแล้ว
หลังครูแนะแนวพูดจบ เพื่อนร่วมห้องของมีนก็ทยอยกันตอบ ซึ่งแต่ละคำตอบที่ได้รับนั้น
กลับเปลี่ยนไปจากตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง จากอาชีพหมอ พยายาม ตำรวจ ทหาร มาสู่นักธุรกิจ
นักเขียน นักข่าว ทนายความ ศาล อาชีพที่เหล่านักเรียนได้พูดถึงนั้น เริ่มจะมีอาชีพที่หลาก
หลาย และซับซ้อนมากขึ้น แต่อย่างว่า การที่เลือกจะมาเรียนภาษาแล้ว คำตอบเกี่ยวกับอาชีพ
ก็คงจะไปในทิศทางนั้น แต่ทว่า
“อยากเป็นเภสัชค่ะ” ขิม เพื่อนของมีนที่เธอได้รู้จักเป็นคนแรกของโรงเรียนพูดขึ้น
“หืม เภสัชหรอ ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ” ครูแนะแนวถาม
“เพราะว่าแม่ของหนูทำงานเป็นพยาบาล หนูเลยอยากทำงานเป็นเภสัชค่ะ แม่หนูเขาก็
อยากให้เป็นเหมือนกัน”
23
“แล้วทำไมถึงไม่ไปเรียนวิทย์คณิตล่ะ สอบไม่ติดเหรอ” อ่า เยี่ยมจริงๆ เลย ถึงแม้จะดูเป็น
คำถามธรรมดา แต่ก็มีอะไรแอบแฝงอยู่นั่นแหละนะ
“เปล่าค่ะ หนูชอบภาษา” ขิมยังคงตอบสุภาพเช่นเดิม
“อ๋อ งั้นคนต่อไปเลย” ครูแนะแนวตอบพร้อมชี้ไปที่คนถัดไป
เห็นไหม ว่าบางทีความชอบ ก็สวนทางกับอาชีพที่อยากเป็น ที่บอกว่าถ้าเราชอบอะไรก็ไป
ทำอาชีพนั้น ความเป็นจริงจะได้สักกี่คนกันนะ และกี่ความฝันที่ล้มหายไปเพราะสังคมที่บีบคั้น
ให้เรื่องเงินทองเป็นอย่างแรก หน้าตาสังคมเป็นอย่างที่สอง และความชอบเป็นลำดับสุดท้าย
แต่ก็พูดไม่ได้หรอกนะ โลกแห่งทุนนิยมมันก็ต้องดิ้นรนกันแบบนี้นี่แหละ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่
ได้ทำในสิ่งที่ชอบเลยสักหน่อย อย่าพึ่งทิ้งความฝันนั้นล่ะ
“เอาล่ะ เด็กผู้หญิงใส่แว่นคนนั้นอยากเป็นอะไรคะ” ครูแนะแนวพูด พร้อมชี้ไม้มาทางมีน
“หนู อยากเป็นนักแปลค่ะ” มีนตอบไป ครูแนะแนวพยักหน้าก่อนที่จะชี้ไปที่คนถัดไป
ความฝันของมีนได้ถูกเปลี่ยนอีกครั้งแล้วล่ะ บางที การที่เธอเลือกที่จะตอบอาชีพนี้ เป็น
เพราะว่าเป็นอาชีพที่ตรงสายของเธอมากที่สุด จึงทำให้เธอเลือกที่จะทำอาชีพนี้ ซึ่งตัวมีนเอง ก็
จินตนาการไว้อย่างสวยงามเกี่ยวกับอาชีพนักแปล ความฝันใหม่ที่ได้กำเนิดขึ้นกับมีนในวัย
มัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ที่เป็นความหวังใหม่ของเธอ และมีนก็หวังว่าตัวเธอเองจะต้องทำมันให้ได้
นอกจากนี้ เวลามีใครถามเรื่องอาชีพ มีนก็จะตอบนักแปลเสมอ ซึ่งคนในบ้านของเธอก็ไม่ได้
ติดอะไร รวมถึงสนับสนุนเธออยู่เสมอ และคนอื่นที่ได้รับคำตอบนี้ ต่างก็ไม่ได้มีข้อกังขาใดๆ
เป็นความโชคดีของมีนที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่สนับสนุนเธอแบบนี้ คิดดูว่ามีเด็กกี่คนแล้วที่
เลือกสายการเรียนหรืออาชีพที่อยากเป็นเพราะผู้ใหญ่เป็นคนเลือกให้ ทั้งๆ ที่นี่คือชีวิตของเด็ก
เขาควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะก้าวไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่ใช่เป็นหมากรุกที่พ่อแม่คอยมา
24
เลือกเดินให้หรือเปล่านะ เด็กกี่คนที่ต้องเจ็บปวดจากเรื่องพวกนี้ ทำไมผู้ใหญ่บางคนถึงไม่เข้าใจ
มันสักทีกันนะ
จริงๆแล้วสำหรับมีน พ่อแม่ของเธอก็คอยเลือกเส้นทางให้เดินมาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเธอก็
พอที่จะมีสิทธิ์เลือกอยู่บ้าง แต่คงเพราะมีนยังเด็ก พ่อและแม่ของเธอจึงเลือกที่จะนำทางไว้ก่อน
เป็นการแนะนำและเลือกสิ่งที่ดีให้กับมีน แต่การได้เลือกเดินของมีนจริงๆนั้น มันเริ่มต้นในปีต่อ
มาต่างหาก
นิยามคำที่6 : แนะแนว
แนะแนว หมายถึง กระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สร้างเสริม
ให้เขามีคุณภาพเหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน
https://th.wikipedia.org
25
“THE UNEXAMINED
LIFE IS NOT WORTH
LIVING.”
— SOCRATES
Sixth red carnation
carnation seeds has been
“มีน แม่ว่าตอนม.4 แม่อยากให้มีนไปเรียนที่โรงเรียนนี้นะ เป็นโรงเรียนประจำ หนูสามารถ
เอาโควตาแล้วมีสิทธิ์เข้ามหาลัยได้เลยนะลูก เพื่อนแม่เขาก็บอกว่ามันดี” แม่ของมีนพูดขึ้นหลัง
จากที่เรียนมีนมาคุย
“อ๋อ ก็ดีนะคะ” คำว่า ดี ที่มีนได้ตอบแม่ของเธอไปนั้น มีความหมายแอบแฝงอยู่
ความจริง เธอก็พอจะรู้อยู่นานแล้ว เรื่องโรงเรียนที่แม่อยากให้เธอไปต่อตอนมัธยมปลาย
แต่เพียงครั้งนี้เป็นครั้งที่แม่ของเธอนั้นคุยอย่างจริงจัง ซึ่งตัวของมีน ที่แทบจะไม่ปฏิเสธแม่ของ
เธอมาทั้งชีวิต และความคาดหวังใหม่ครั้งนี้ เธอก็ปฏิเสธไม่ลงเช่นกัน
ความคาดหวังใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีนต้องการเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาอยู่ม.2 แต่
ต้องคิดถึงเรื่องมัธยมปลายเสียแล้ว เวลาของโลกนี่ ไม่มีที่ให้พักหายใจเลยนะ แต่ตัวของมีนเอง
อยากจะพักหายใจให้เต็มที่ วิ่งแล้ว ก็ต้องห้ามหยุดวิ่ง เดินได้ แต่อย่าช้า เพราะมีคนอีกมากมาย
พร้อมจะแซงเรา ถึงแม้ใครจะบอกเราว่า ไม่ต้องสนใจคนอื่นสิ สนใจแค่ตัวเองก็พอ แต่มันจะพอ
จริงๆ เหรอ เพราะสุดท้ายแล้ว คนก็ให้คุณค่าความพยายามของคนที่ได้ที่หนึ่ง ที่สอง และที่
สามอยู่ดี
แต่ความคาดหวังนี้ มันก็เป็นแรงให้เธอ เลิกที่จะเดินตามหมากที่แม่ของเธอได้วางไว้แล้ว
หลังจากนั้นเธอก็คอยหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะไปคุยกับแม่ของเธอเรื่องโรงเรียนตอนม.4
ช่วงเวลานั้น เธอก็เรียนปกติทุกอย่างๆ และเธอก็ได้เพื่อนคนใหม่ที่ชื่อว่ามิริน
จริงๆ มิรินก็คือเพื่อนร่วมห้องของเธอตั้งแต่ม.1แล้ว เพียงแต่ว่าอยู่คนละกลุ่มกับมีน และตัว
มีนเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเพื่อนคนอื่นๆ มากนัก แต่เพราะงานกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ ทำให้มีนได้วน
กลับมารู้จักมิรินอีกครั้ง มิรินคือคนที่แปลกมากๆ สำหรับมีน เพราะมิรินนั้นคือ เด็กที่ไม่มีความ
ฝันนั่นเอง
26
“มิริน ไม่มีอาชีพที่อยากเป็นในอนาคตเลยเหรอ”
“ก็ไม่นะ มันยังหาตัวเองไม่เจออะ”
“แล้วที่มิรินตอบว่าอยากเป็นทนายล่ะ”
“อ๋อ แม่เราเคยพูดถึงอาชีพนี้อะ เราก็เลยตอบ จะให้ไปตอบว่าไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวก็โดนตั้งคำถาม
ที่หลายข้อ เราเลยตอบปัดๆ ไป” สิ้นสุดประโยคนี้ ทำให้มีนได้รู้ว่า เด็กที่ยังหาตัวเองไม่เจอน่ะ
มันมีมากมายแค่ไหนกัน
มิริน เพื่อนใหม่ของมีน มักจะให้มุมมองใหม่ๆ กับมีนเสมอ มิรินเป็นเด็กที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น
เป็ด เพราะมิรินเอง แทบจะทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่สุดไปทางไหนสักทาง เอาเข้าจริง เด็กไทยเรา
ก็เป็นแบบนี้กันแทบทุกคนอยู่แล้ว รายวิชาที่มีมากมาย และเราไม่มีสิทธิ์เลือกวิชาที่จะลงเรียน
และก็ต้องทำเกรดให้ได้ดี ไอนี่ก็ต้องทำให้ได้ ไอนั่นก็ต้องทำให้ได้ จึงทำให้ใครหลายๆคนนั้น
กลายเป็นเป็ด ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่เก่งไปสักทาง
และเมื่อไปสุดสักทาง ก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่เขาทำได้ดี สิ่งไหนที่เขาชอบ สิ่งไหนที่เขา
ถนัด เพราะเขาจะต้องทำให้ได้ทุกอัน ทำได้ไม่ดี แต่ก็ต้องทำได้ไม่แย่เหมือนกัน นี่ก็คงเป็นอีก
หนึ่งสาเหตุที่เด็กหลายคนหาตัวเองไม่เจอสักที และนอกจากนี้ เด็กก็ไม่ได้มีเวลาไปหาตัวเอง
ขนาดนั้น เพราะก็ต้องรีบจบให้ได้ตามที่สังคมกำหนด ไม่งั้นสังคมก็จะตั้งคำถาม ทั้งๆที่ เราจะ
จบเมื่อไหร่มันก็ควรเป็นเรื่องของเรา แต่ในเมื่อสังคมให้โลกหมุนแบบนี้ เราก็ต้องว่าตามนั้น
มิรินก็เป็นเป็ดอีกตัวและคนไร้ความฝันในระบบการศึกษา นอกจากนี้ มิรินก็ยังเรียนพิเศษ
เหมือนกันมีน แต่เรียนค่อนข้างที่จะเยอะ เพราะชีวิตทั้งหมดของมิริน ก็ทุ่มให้กับการเรียน
ตลอด แต่ตัวมิรินเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพราะตัวมิรินเองก็เป็นคนเลือกที่จะทำ และมิรินก็ไม่
ได้เอาจริงเอาจังถึงขั้นว่าจะต้องเกรดดีมากมาย ที่มิรินลงก็ให้เหตุผลว่า ว่าง เพียงเท่านั้น
27
มิรินนี่ ไม่เหมือนใครเลยนะ มีนก็คิดในใจแบบนั้น แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีของมีนที่ได้มาเจอมิริน
เพราะทำให้มีน สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้แล้ว เรื่องโรงเรียนใหม่ที่แม่ต้องการให้เธอ
ไป
มิรินแนะนำให้เธอรู้จักกับพรีดีกรี เพราะตัวมิรินเองก็สนใจที่จะเรียนเหมือนกัน พรีดีกรีก็คือ
การเรียนมหาลัยในระดับมัธยมปลาย ซึ่งนี่ก็เป็นทางออกที่มีนเลือกที่จะไปคุยกับแม่ของเธอ
เธอบอกกับแม่ของเธอว่าเธอนั้นยังไม่พร้อมที่จะไปอยู่หอประจำ และเธอยากที่จะเรียนที่
โรงเรียนเดิมไปจนถึงม.6ก่อน แต่เธอก็วางแผนไว้ว่าจะตอนม.ปลาย เธอจะสมัครเรียนพรีดีกรี
แล้วเธอจะเก็บปริญญาสองใบ ดูเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหมล่ะ แต่ส่วนหนึ่งที่เธอต้อง
ดิ้นรนเพราะว่าโรงเรียนที่เธอเรียนอยู่ มันคือโรงเรียนประจำจังหวัดก็จริง แต่ชื่อเสียงของ
โรงเรียนมันไม่ได้ส่งไปไกลถึงมหาลัยในเมือง และเธอเองก็กลัวว่าเธอจะไม่สามารถสู้คนในเมือง
ได้อีกด้วย
อยากจะเข้าหาความเจริญ ก็ต้องดั้นด้นไปหาในเมือง แต่ทำไมความเจริญที่อัดแน่นในเมือง
ไม่ออกมาสู่ชนบทบ้างนะ อย่าอ้างเรื่องความสงบที่คนชนบทต้องการเลย ความเจริญทั้งด้าน
การศึกษา ไฟฟ้า น้ำประปา แม้แต่ความเจริญนี้ยังเข้าไม่ถึงตัวเขาเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายทั่วสารทิศ
ก็ต้องวิ่งเข้าหาเมืองอยู่ดี
เมื่อแม่เธอได้ยินข้อเสนอของมีนที่ยื่นมา แม่ของเธอก็ไม่ว่าอะไรแถมยังเห็นดีเห็นงามอีกด้วย
ความจริงแล้วมีนจะบอกความจริงแต่แรกไปเลยก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องหาข้อเสนออะไรมากมาย
แม่ของเธอก็พร้อมจะยินดี แต่ตัวมีนเองนั้น กลัวว่าแม่ของเธอจะไม่เข้าใจและตั้งคำถาม เพราะ
เธอเองก็รู้ดี ว่าโรงเรียนที่แม่ของเธอแนะนำ ดีกว่าโรงเรียนปัจจุบันของเธอเป็นไหนๆ เธอจึง
ต้องหาข้อเสนอที่มันพอจะดีพอๆ กันนั่นเอง
28
และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้มีนได้ตั้งตัว เธอก็เข้าสู่ปีสุดท้ายของมัธยมต้นเสีย
แล้ว
นิยามคำที่7 : ทำได้อย่างเป็ด
ทำได้อย่างเป็ด หมายถึง ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เป็นเลิศสักอย่าง
https://www.wordyguru.com
29
“LIFE IS NEVER EASY.
THERE IS WORK TO BE
DONE AND OBLIGATIONS
TO BE MET,
OBLIGATIONS TO TRUTH,
TO JUSTICE, AND TO
LIBERTY.”
— JOHN F. KENNEDY
Seventh red carnation
carnation seeds has been
มีนในวัย15ปี ที่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มัธยมศึกษาปีที่สาม วัยที่เด็ก
หลายล้านคน ต้องเลือกทางเดินของตัวเองอีกครั้ง ว่าจะไปสายวิทย์คณิต หรือจะสายศิลป์ ซึ่ง
ตัวของมีนเอง เธอก็ตั้งใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ว่าตัวเธอเองนั้น อยากจะไปสายศิลป์ ซึ่งศิลป์ที่เธอ
เลือก คือศิลป์คำนวณนั่นเอง และกลุ่มเพื่อนของเธอหลายๆ คน ก็เลือกที่จะไปต่อสายนี้กันทั้ง
สิ้น ก็ยกเว้นแต่
“เราว่าจะเอาโควตาวิทย์คณิตอะ” มิรินพูดขึ้น หลังจากบทสนทนาที่คุยกันในกลุ่มได้พูดถึง
การยื่นโควตาเข้าต่อม.4ในโรงเรียน ซึ่งสิ่งที่ใช้ก็มีเพียงแค่เกรดเท่านั้น ซึ่งเพื่อนในกลุ่มมีนก็ทำ
เกรดได้ดีกันพอสมควร จึงไม่ต้องกังวลการหลุดโควตาเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ ทำไมอะ” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ก็เรายังหาตัวเองไม่เจอ เลยเลือกวิทย์คณิตไว้ มันไปต่อสายอื่นง่ายดี” มิรินว่า
“เออ เราเข้าใจ เราก็ยังหาตัวเองไม่เจอเหมือนกัน แต่เราสู้วิทย์คณิตไม่ไหวเลยมาศิลป์
คำนวณดีกว่า” เพื่อนอีกคนพูด
และนี่ก็เป็นอีกจุดสำคัญที่ทำไมห้องวิทย์คณิตถึงมีมากกว่าห้องอื่นๆ และทำไมคนถึงเรียน
นักเรียนหนา เอาเข้าจริงๆ คนที่จะมีสายนี้อย่างจริงจังก็มีอยู่หรอก แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะไม่รู้
จะเรียนอะไรต่อในมหาลัย จึงเลือกสายวิทย์คณิต เพราะสามารถที่จะไปทางคณะที่ใช้สายนี้
หรือจะเปลี่ยนมาเข้าคณะของศิลป์ก็ไม่ได้รับความเสียหายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเรียนศิลป์ไปแล้ว
อยากจะเข้าคณะสายวิทย์คณิตขึ้นมา ก็คงจะเป็นเรื่องยากใช่ย่อย น่าเศร้าจริงๆ การที่เด็ก
หลายคนต้องมาเจออะไรแบบนี้
ส่วนตัวของมีนเอง ที่เธอเลือกศิลป์คำนวณเพราะศิลป์ภาษาที่ทางโรงเรียนมีให้ ความจริง
แล้วเรียกว่าเป็นห้องบ๊วยยังจะง่ายกว่า เพราะห้องนั้นจะรวมเด็กที่ทำเกรดเฉลี่ยได้ไม่ค่อยดีอยู่
30
รวมกัน นั่นจึงทำให้มีนเลือกที่จะมาศิลป์คำนวณแทน เห็นไหมล่ะ ก็บอกแล้ว ว่าศิลป์ภาษา
เป็นศิลป์ที่คนในคุณค่ากับมันน้อยที่สุดอยู่แล้ว
ตัวมิรินเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแย่สักเท่าไหร่ เพราะตอนไปเรียนจริงๆ ถ้ามิรินไม่ไหว เธอก็
ตัดสินใจจะยื่นเรื่องย้ายสายอยู่แล้ว และมิรินก็ไปสนใจเรื่องการเข้ามหาลัยของทางรุ่นพี่
มากกว่า เนื่องจากวันหนึ่ง มีนเห็นว่ามิรินกำลังเช็กดูเกี่ยวกับการสอบเข้าของรุ่นพี่ม.6
“โหมิริน แกดูของรุ่นพี่ม.6เลยเหรอ ไม่เร็วไปรึเปล่า” มีนถาม
“มันก็ต้องดูเลยนี่แหละ 3ปีมันเร็วยิ่งกว่าติดจรวด”
“อ๋อ แล้วสรุปแกจะยังเข้านิติอยู่ไหม” ถึงแม้ว่าตัวมิรินเองจะบอกว่ายังหาตัวเองไม่เจอก็
เถอะ แต่เธอเองก็พอคิดถึงอาชีพทนายอยู่บ้าง เลยมองคณะนิติศาสตร์ไว้
“ก็คงงั้น แล้วแก อยากเข้าคณะอะไร” มิรินถาม
“ไม่รู้สิ คงอักษรแหละมั้ง”
“อ๋อ แล้วอาชีพนักแปลอะ”
“นั่นเราก็ไม่รู้เหมือนกัน” มีนตอบ และก็เป็นอีกครั้ง ที่มีนไม่มั่นใจในความฝันของตัวเอง
จะว่าแบบไหนดีล่ะ ความจริง ทางสายภาษาก็ยังเป็นสิ่งที่เธอชอบอยู่ เพียงแต่ว่า เมื่อเธอโต
ขึ้น ต่อให้เธอจะอายุแค่15 แต่เธอก็ศึกษาอะไรหลายอย่าง เธอได้รู้ถึงความจริงอีกอย่างที่ว่า
งานศิลป์ในประเทศของเรา มันให้ค่าน้อยแค่ไหน งานแปลที่เธอเคยศึกษา ถึงแม้ในบางเว็บไซต์
จะบอกเงินเดือนตามปกติ แต่เมื่อเธอไปศึกษาเพิ่มเติมก็รู้ว่าค่าตอบแทนของงานแปลน่ะ มัน
ช่างน้อยสะเหลือเกิน และตัวมีนเองก็เกร็งว่า หากความฝันของเธอยังอยู่แบบนี้ต่อไป อนาคต
ในโลกทุนนิยมของเธอจะรอดจริงๆ เหรอ
หรือแม้กระทั่งงานศิลป์ทางด้านศิลปะก็ตาม รูปภาพหลายรูปที่มีมูลค่ามากมาย กลับถูกตี
31
ราคาออกมาเพียงหลักสิบ อย่างมากก็หลักร้อย น่าเศร้าจริงๆ ที่คนทำงานสายผลิตด้านศิลปะ
ถูกมองข้ามความพยายาม การฝึกฝน ค่าอุปกรณ์และเวลาในการลงมือต่างๆ หายไปกับรูปภาพ
หนึ่งรูป ที่คนหลายคนมองว่ามันเป็นเพียงรูปภาพหนึ่งใบเท่านั้น นอกจากนี้สายผลิตอย่างนัก
เขียนนิยาย ก็ถูกมองข้ามไปอีกเช่นกัน ซึ่งอาชีพนี้ มีนก็เคยคิดถึงอยู่บ้าง แต่ก็ต้องปัดตกไปด้วย
สาเหตุเดียวกัน หรือการเรียนนิเทศ ถึงแม้ในปัจจุบันจะเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว แต่คนหลายคนก็
ยังมีอคติกับมันอยู่ และไม่อยากให้ลูกของตนนั้นเรียนในทางสายนี้ ไม่งั้นจะมีประโยค นักเขียน
ไส้แห้ง นักวาดไส้แห้ง ได้อย่างไรล่ะ
และแล้ว เวลาประกาศโควตาผู้ที่ได้ก็มาถึง มีนนั้นได้โควตาศิลป์คำนวณอันดับที่1ของทั้ง
สาย ซึ่งเพื่อนๆ ของมีก็แสดงความยินดี รวมถึงตัวมีนที่ดีใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อเธอได้โควตา
เท่ากับว่าเธอจะต้องหาชมรมที่จะอยู่ต่อในตอนม.4 เนื่องจากตอนที่เธออยู่มัธยมต้นนั้น ด้วย
ความที่เธอเรียนกิฟต์อังกฤษ เธอจึงถูกบังคับให้เข้าชมรมอังกฤษไปโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่เข้าใจ
เหมือนกัน ชมรมเป็นสิ่งที่เด็กควรได้เลือกที่จะทำสิ แต่ทำไมถึงมาบังคับกันได้นะ
เมื่อต้องหาชมรม เธอกับเพื่อนๆ จึงเลือกที่จะเข้าชมรมจิตอาสา ไม่ใช่เพราะมีนหรือเพื่อน
เป็นคนดีอะไรมากมายหรอก เพียงเพราะว่า มันสามารถนำไปใส่พอร์ตเพื่อที่จะยื่นเข้ามหาลัย
ได้ เห็นไหมล่ะ ทำอะไรก็ต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น ซึ่งมีนก็ยื่นใบสมัครชมรมไป และก็
จะมีวันที่นัดสอบสัมภาษณ์
มีนได้ข่าวมาจากรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นหลายๆ คนว่าการสอบสัมภาษณ์นั้นเป็นอะไรที่โหด
มาก ซึ่งตัวมีนเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไมการสอบสัมภาษณ์จะต้องทำให้โหด ทำให้กดดัน
ทำให้เครียด ของแบบนี้มีผลดีต่อผู้สัมภาษณ์ตรงไหน จะซ้อมให้มารับแรงกดดันตอนโตเหรอ
32
แต่แรงกดดันที่รับได้ของเด็กวัยมัธยมต้นกับเด็กที่เรียนจบแล้วมันต่างกันนะ แต่ก็เอาเถอะ จะ
อ้างเรื่องอีกสารพัดแค่ไหน สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนโดนสัมภาษณ์เสียไปแน่ๆ ก็คือสุขภาพจิตยังไงล่ะ
“เดี๋ยวน้องมีนเชิญคนต่อไปเลยนะคะ” รุ่นพี่ที่รออยู่หน้าห้องพูด มีนคือคนลำดับที่สี่ที่ได้เข้า
สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นก็มีเพื่อนเธอสองคนที่เข้าไปสอบ ซึ่งเพื่อนของเธอทั้งสองคนนั้น เป็นคนที่
ไม่ได้พูดเก่งมากมาย และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อนของเธอสองคน ร้องไห้หลังจากสอบสัมภาษณ์
เสร็จ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้รับคำปลอบใจจากรุ่นพี่ที่แสนดีว่า ไม่เป็นไรนะ ปีของพี่เจอหนักกว่านี้
อีก
น่าฉงนเสียจริง ทำไมคนส่วนมาก ถึงชอบปลอบเด็กด้วยประโยคอะไรแบบนี้กันนะ ไม่ว่า
เมื่อไหร่ที่เด็กบ่นว่าเหนื่อยหรือเสียใจกับอะไร ก็มักจะมีคนให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไรนะ ของพี่
หนักกว่านี้อีก สิ่งที่เด็กต้องการ ไม่ใช่ความรู้สึกดีที่ตัวเองนั้นโดนน้อยกว่าคนอื่น แต่คือกำลังใจ
แค่นั้นเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคำนี้มันยากตรงไหน การให้กำลังใจเช่น เก่งมากแล้วนะ ทำเต็ม
ที่แล้ว เพียงแค่นี้ มันปากหนักถึงพูดไม่ได้หรืออย่างไร หรือแม้แต่ โตมาเดี๋ยวก็หนักกว่านี้อีก
ประโยคสองประโยคนี้ เป็นประโยคที่มีนเบื่อที่จะฟังมันเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะ
ครอบครัวของเธอก็พูดประโยคแบบนี้กับเธอบ่อยเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาของมีน มีนก็เดินเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรุ่นพี่ที่นั่งทำ
หน้าบึ้งตึงเกือบยี่สิบคน จากที่สังเกต ก็คงเอามาเพื่อให้ดูกดดันเพียงเท่านั้น แต่พี่ที่จะถาม
คำถามแก่ผู้สัมภาษณ์จริงๆ ก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้น และประโยคแรกที่มีนได้ยินในห้อง
สัมภาษณ์ก็คือ
“ขยะมันเกะกะน้องหรือเปล่าคะ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น เมื่อเห็นมีน
เดินข้ามขยะที่ขว้างหน้าของตน
33
“อ๋อไม่ค่ะ” มีนตอบ
“ให้พี่ไปทิ้งให้ไหมคะ” รุ่นพี่อีกคนพูด เชิงลองใจว่าผู้สัมภาษณ์จะตอบอะไร
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ” มีนว่าจบก็แอบเตะขยะไปทางด้านข้างเล็กน้อยตามประสา จากนั้นก็เริ่ม
การสัมภาษณ์ขึ้น ความตื่นเต้นของมีนที่มีอยู่เต็มปรอท ใจของมีนที่เต้นเร็วและแรงจนรู้สึกว่า
มันจะออกมาจากอก คงเพราะตัวมีนนั้น ไม่ได้เตรียมอะไรเกี่ยวกับการสัมภาษณ์มากมาย รู้
เพียงพื้นๆ ของชมรมเท่านั้น เพราะตัวมีนเองรู้สึกว่า เราก็ควรตอบอะไรที่เป็นตัวเรามากที่สุด
แทนที่จะเป็นการเตรียมคำตอบมา
และเมื่อถามไปสักพัก มีนก็ต้องเจอกับคำพูดบางอย่าง ที่สร้างความไม่พอใจแก่มีนมากๆ
“น้องได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่คะ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
“ได้3.94ค่ะ”
“แล้วน้องเข้าสายอะไรคะ”
“หนูเข้าสายศิลป์คำนวณค่ะ” สิ้นสุดคำตอบ รุ่นพี่คนนั้นนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะเอ่ยต่อ
“ทำไมถึงไม่เข้าวิทย์คณิตล่ะ เกรดน้องเข้าวิทย์คณิตได้สบายเลยนะ”
“เพราะว่าหนูไม่ชอบวิทย์คณิตเท่าไหร่ค่ะ”
“แต่ศิลป์คำนวณก็เรียนคณิตเหมือนกันนะ”
“หนูรู้สึกว่าหนูไม่ถนัดทางด้านวิทย์ค่ะ แต่หนูถนัดคณิตมากกว่า แล้วหนูก็เรียนภาษามาด้วย
เลยเข้าศิลป์คำนวณค่ะ” มีนตอบอย่างมั่นใจ
“อ๋อ เสียดายเนาะ” รุ่นพี่พูดเสียงเบาคล้ายจะบ่นพึมพำกับเพื่อน แต่มีนนั้นได้ยิน จึงทำให้
มีนเกิดความไม่พอใจอย่างมาก อะไรกัน มาเสียดายอะไร ก็ไม่ชอบวิทย์คณิตนี่มันเข้าใจยาก
มากเหรอ คนที่ทำเกรดได้ดี จำเป็นที่จะต้องอยู่วิทย์คณิตเพียงเท่านั้นเหรอ แล้วคนที่เลือก
34
สายอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ทำเกรดได้ดีเลยหรือ มีนก็พอจะเข้าใจว่าอาจเป็นคำพูดที่พูดออกมาโดยไม่ได้
คิดอะไร แต่คำว่า “เสียดาย” ที่เขาได้พูดถึง นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วนะ ว่าเขามีความคิดแบบ
ไหน
สิ้นสุดการสัมภาษณ์ก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว มีนจึงรีบกลับบ้านทันทีและไม่ได้พูดคุยกับ
เพื่อนที่เหลือต่อ มีนไม่เสียน้ำตาให้สักหยดกับการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ แอบสะใจเสียด้วยซ้ำ
เพราะเอาเข้าจริงๆ ดูเหมือนเมื่อรุ่นพี่กลุ่มนี้เจอคนที่กล้าพูดหน่อย พวกเขาก็ดูไม่ได้อะไรมาก
สักเท่าไหร่ และรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าทำหน้าบึ้งตึงสิบคนก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากเท่าไหร่ นี่
แหละ จึงทำให้สงสัยว่า แล้วจะทำให้มันกดดันไปเพื่ออะไร
แต่ก็เอาเถอะ เรื่องราวมันก็ผ่านมาแล้ว ตัวมีนเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะถ้าติดได้ก็
ดี ถ้าไม่ติด มีนเองก็ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่ ถือสะว่ามาหาประสบการณ์เพียงเท่านั้น
นิยามคำที่8 : สอบสัมภาษณ์
สอบสัมภาษณ์ หมายถึง การสอบท่วงทีวาจาและไหวพริบ พิจารณาดูชั้นเชิงและความ
สามารถของผู้เข้าสอบ ว่าจะเป็นผู้เหมาะสมตามที่ต้องการหรือไม่
https://dictionary.sanook.com
35