แผนการจัดการเรียนรู้บรู ณาการ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
รายวิชาพระพทุ ธศาสนา ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้
บทเรียนสาเรจ็ รปู เว็บไซด์ เรื่อง วันสาคญั ทางพระพุทธศาสนา
(http://www.sites.google.com/site/dongschool1121)
และสื่อประสม จากโปรแกรม 3D Album CS
โดย : นายยรรยง ปกป้อง
ครชู านาญการพิเศษ โรงเรียนบา้ นดงเจริญ
อาเภอคาเขื่อนแกว้ จงั หวัดยโสธร
สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษายโสธร เขต ๑
คานา
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ดี ตอ้ งสอดคลอ้ งกับหลักสูตร มีความชัดเจน และสอดคลอ้ งกันระหวา่ ง
จุดประสงค์ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื การเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล มกี ารปรับปรุงและพัฒนา
เพอ่ื ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และความพรอ้ มของผเู้ รยี นในแต่ละปกี ารศกึ ษาอยูเ่ สมอ
แผนการจดั การเรยี นรู้บรู ณาการ กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวชิ า
พระพทุ ธศาสนา ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1-3 เล่มน้ี เปน็ แผนการใช้นวตั กรรมเพื่อการแก้ปญั หาผู้เรียน ได้แก่
บทเรียนสาเร็จรูปเว็บไซด์ “วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา” และส่ือประสม จากโปรแกรม 3D Album CS
ครผู ้สู อนท่จี ะนาแผนการจัดการเรยี นรนู้ ีไ้ ปใช้ ควรทีจ่ ะศึกษาแผนการจดั การเรยี นรูน้ ้ี ให้เขา้ ใจ
เพ่อื ทาความเข้าใจ และฝกึ ทักษะในกิจกรรมบางอยา่ งให้ชานาญเชน่ การใชโ้ ปรแกรมเปิดเวบ็ ไซด์ของบทเรียน
สาเร็จรปู ทั้ง 3 เรื่อง ขั้นตอนการศกึ ษาบทเรยี น กิจกรรมตา่ งๆ ในบทเรียน การใช้คาถามในกจิ กรรมการ
เรยี นรู้ การสรปุ บทเรยี น ตลอดจนการเตรียมแบบทดสอบ เคร่ืองมือวดั และประเมินผลและส่ือการเรยี นรูอ้ ่ืนๆ
ใหเ้ พียงพอ เหมาะสมกบั ผเู้ รยี นและสภาพห้องเรยี น เป็นตน้ เพ่อื ให้การนาแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการ
นไี้ ปใช้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
ด้วยความปรารถนาดี
นายยรรยง ปกปอ้ ง
ครชู านาญการพเิ ศษ โรงเรียนบ้านดงเจริญ
สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษายโสธร เขต 1
สารบญั
หน้า
ตอนที่ 1 “กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม” ....................................................... 1
กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา
ขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 .......................................................................................................... 2
ความสาคญั ของสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ......................................................................... 2
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ......................................................................................................... 3
คาอธิบายรายวิชาสงั คมศกึ ษา 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ....................................... 5
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้บูรณาการ ......................................................... 6
ตอนท่ี 2 “Web site และ Google Sites” ............................................................................................ 8
ความหมายของเวบ็ ไซด์และเว็บเพจ ................................................................................................. 9
ประเภทของเวบ็ ไซด์ ......................................................................................................................... 9
ประโยชนข์ องเวบ็ ไซด์ ....................................................................................................................... 11
ความรู้เกยี่ วกบั Google Sites ......................................................................................................... 11
ตอนท่ี 3 “บทเรียนสาเรจ็ รปู ” ................................................................................................................ 13
ความหมายของบทเรยี นสาเรจ็ รปู ..................................................................................................... 14
หลกั การสรา้ งบทเรียนสาเร็จรปู ........................................................................................................ 15
ชนดิ ของบทเรยี นสาเรจ็ รปู ............................................................................................................... 16
ประโยชนข์ องบทเรยี นสาเร็จรปู ...................................................................................................... 20
ขอ้ จากดั ของบทเรียนสาเรจ็ รปู ........................................................................................................ 20
ขน้ั ตอนในการสร้างบทเรยี นสาเรจ็ รปู ............................................................................................. 20
ตอนที่ 4 “การเรยี นรู้แบบบูรณาการและทฤษฎีพหปุ ัญญา” ................................................................. 21
ความหมายของบูรณาการ ............................................................................................................... 22
การสอนแบบบูรณาการ .................................................................................................................. 23
ลกั ษณะของการบูรณาการ .............................................................................................................. 23
แนวคิดสาคญั ของการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ ......................................................................... 24
ทฤษฎพี หุปญั ญา (Theory of Multiple Intelligences) ................................................................ 27
หนา้
ตอนที่ 5 “วเิ คราะหห์ ลักสูตรและแผนการจัดการเรียนรวู้ นั สาคญั ” ............................................................. 30
ผังมโนทัศน์รายวชิ าพระพทุ ธศาสนา 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 .............................................................. 31
ความสัมพนั ธข์ องแผนการจัดการเรียนรแู้ ละนวัตกรรมวนั สาคัญ ......................................................... 32
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1 “ตรัสรูป้ รินิพพานในวนั นี้” ....................................................................... 33
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 2 “อรหนั ต์มีประชมุ ไมน่ ดั หมาย” ............................................................... 43
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 3 “รัตนตรยั กอ่ เกดิ จาง่ายดาย” .................................................................. 53
บรรณานกุ รม .............................................................................................................................................. 63
ภาคผนวก ................................................................................................................................................... 65
-แบบประเมนิ การพูดนาเสนอผลงาน .......................................................................................................... 66
-แบบประเมินเจตคติตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน .......................................................................... 67
-ประวัตขิ องผู้จัดทา .................................................................................................................................... 68
-1-
ตอนท่ี 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
-2-
กล่มุ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ความสาคญั ของสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม
สงั คมโลกมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา
และวฒั นธรรม ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนมีความรคู้ วามเข้าใจวา่ มนษุ ยด์ ารงชวี ติ อยา่ งไร ทัง้ ในฐานะปจั เจกบคุ คล
และการอยรู่ ่วมกันในสงั คม การปรบั ตัวตามสภาพแวดลอ้ ม การจัดการทรพั ยากร ที่มีอยูอ่ ย่างจากัด
นอกจากนี้ ยงั ช่วยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจถงึ การพัฒนา เปลีย่ นแปลงตามยคุ สมัย กาลเวลา ตามเหตปุ จั จัยต่างๆ
ทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจในตนเองและผ้อู ืน่ มีความอดทนอดกลนั้ ยอมรบั ในความแตกตา่ งและมคี ุณธรรม
สามารถนาความรูไ้ ปปรับใช้ในการดาเนนิ ชีวติ เป็นพลเมอื งดขี องประเทศชาติ และสังคมโลก
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่รว่ มกันในสังคม ท่ีมคี วาม
เชื่อมโยงสมั พันธ์กนั และมีความแตกต่างกนั อย่างหลากหลาย เพ่อื ชว่ ยให้สามารถปรับตนเอง กับบริบท
สภาพแวดล้อม เปน็ พลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม และคา่ นิยมทเี่ หมาะสม
โดยได้กาหนดสาระต่างๆ ไว้ ดงั น้ี (โรงเรียนบ้านดงเจรญิ , 2559 : 5-10)
- ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคดิ พน้ื ฐานเกย่ี วกับศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม หลกั ธรรม
ของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาที่ตนนับถอื การนาหลักธรรมคาสอนไปปฏิบตั ิ ในการพฒั นาตนเอง
และการอย่รู ่วมกันอยา่ งสันตสิ ุข เปน็ ผกู้ ระทาความดี มคี ่านิยมท่ดี ีงาม พัฒนาตนเองอยเู่ สมอ รวมทงั้
บาเพญ็ ประโยชน์ต่อสงั คม และสว่ นรวม
- หนา้ ท่พี ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนนิ ชีวิต ระบบการเมอื งการปกครอง ในสงั คมปจั จบุ ัน
การปกครองระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ ลักษณะและความสาคญั การ
เป็นพลเมอื งดี ความแตกตา่ ง และความหลากหลายทางวฒั นธรรม ค่านิยมความเช่ือ ปลูกฝังคา่ นยิ มด้าน
ประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าท่ี เสรภี าพการดาเนนิ ชวี ิตอย่างสันติสุข
ในสังคมไทย และสงั คมโลก
- เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจา่ ย และการบริโภคสนิ ค้าและบรกิ าร การบริหารจัดการ
ทรัพยากรทมี่ ีอยอู่ ยา่ งจากดั อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ การดารงชีวิตอยา่ งมีดุลยภาพ และการนาหลกั
เศรษฐกจิ พอเพยี ง ไปใช้ในชีวิตประจาวัน
- ประวตั ศิ าสตร์ เวลาและยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ พัฒนาการของ
มนษุ ยชาติ จากอดีตถึงปัจจบุ นั ความสัมพนั ธ์ และเปลย่ี นแปลงของเหตุการณต์ า่ ง ๆ ผลกระทบที่เกิด
จากเหตกุ ารณ์สาคัญในอดตี บุคคลสาคญั ที่มีอิทธิพลตอ่ การเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความเปน็ มา
ของชาติไทย วัฒนธรรม และภมู ิปัญญาไทย แหลง่ อารยธรรมทสี่ าคญั ของโลก
-3-
- ภูมศิ าสตร์ ลกั ษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรพั ยากร และภมู อิ ากาศ
ของประเทศไทย และภูมภิ าคตา่ งๆ ของโลก การใช้แผนที่และเคร่อื งมือทางภูมิศาสตร์ ความสมั พันธก์ นั
ของส่งิ ต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์ กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และส่งิ ทม่ี นษุ ย์
สร้างข้นึ การนาเสนอข้อมูลภมู สิ ารสนเทศ การอนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อม เพ่ือการพฒั นาท่ียั่งยืน
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส1.1 รู้ และเข้าใจประวตั ิ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา
ท่ตี นนับถือและศาสนาอื่น มศี รทั ธาทถ่ี ูกต้อง ยึดมนั่ และปฏบิ ตั ิตามหลักธรรม เพ่ือ
การอยรู่ ่วมกันอย่างสนั ตสิ ขุ
มาตรฐาน ส1.2 เข้าใจ ตระหนัก และปฏบิ ตั ิตน เปน็ ศาสนกิ ชนทด่ี ี และธารงรกั ษาพระพุทธศาสนา
หรือศาสนาท่ีตนนับถือ
สาระท่ี 2 หน้าท่ีพลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม
มาตรฐาน ส2.1 เขา้ ใจและปฏบิ ตั ิตนตามหนา้ ทีข่ องการเปน็ พลเมืองดี มคี า่ นิยมทดี่ งี าม และธารงรักษา
ประเพณแี ละวฒั นธรรมไทย ดารงชวี ติ อยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอย่าง
สันตสิ ขุ
มาตรฐาน ส2.2 เขา้ ใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปจั จุบัน ยึดม่นั ศรัทธา และธารงรักษาไว้
ซึง่ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส3.1 เข้าใจ และสามารถบรหิ ารจัดการทรพั ยากรในการผลติ และการบริโภคการใชท้ รัพยากร
ท่ีมีอย่จู ากัดได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและคมุ้ คา่ รวมทัง้ เข้าใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อการดารงชีวิตอยา่ งมดี ุลยภาพ
มาตรฐาน ส3.2 เขา้ ใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกิจและความจาเป็น
ของการร่วมมือกันทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก
สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์
มาตรฐาน ส4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยคุ สมยั ทางประวัตศิ าสตร์ สามารถใช้วธิ กี าร
ทางประวัตศิ าสตรม์ าวิเคราะหเ์ หตกุ ารณต์ า่ งๆ อยา่ งเป็นระบบ
มาตรฐาน ส4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนษุ ยชาติจากอดตี จนถึงปัจจบุ นั ในด้านความสัมพนั ธ์และ
การเปลย่ี นแปลง ของเหตุการณอ์ ย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคญั และสามารถ
วเิ คราะหผ์ ลกระทบทเ่ี กดิ ขึ้น
-4-
มาตรฐาน ส4.3 เขา้ ใจความเปน็ มาของชาติไทย วฒั นธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรักความภมู ิใจ
และธารงความเป็นไทย
สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์
มาตรฐาน ส5.1 เขา้ ใจลกั ษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พันธข์ องสรรพส่ิงซ่งึ มผี ลต่อกนั
มาตรฐาน ส5.2 และกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเคร่อื งมอื ทางภมู ิศาสตร์ ในการค้นหา
วิเคราะห์ สรปุ และใชข้ ้อมูลภมู สิ ารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
เขา้ ใจปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างมนษุ ย์ กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ท่กี ่อใหเ้ กิดการ
สร้างสรรคว์ ัฒนธรรม มีจิตสานึก และมีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อมเพื่อ
การพฒั นาที่ยัง่ ยืน
-5-
ส21101 สงั คมศึกษา คาอธิบายรายวชิ าพ้ืนฐาน
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1
กล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชว่ั โมง จานวน 1.5 หน่วยกติ
รแู้ ละวเิ คราะหก์ ารสงั คายนา การเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาเข้าสปู่ ระเทศไทย ความสาคัญของพระพุทธ
ศาสนาตอ่ สังคมไทย พระไตรปิฏก วเิ คราะหพ์ ทุ ธประวตั ิ ประวัติ สาวก ชาดก หลกั ธรรมสาคญั อรยิ สจั 4
พทุ ธศาสนสภุ าษติ กระบวนการคดิ แบบโยนิโสนมสกิ าร การบริหารจติ เจรญิ ปญั ญา ศาสนพธิ ี วถิ ชี วี ติ
ชาวพทุ ธ วันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา หลักธรรมทางศาสนาท่ีตนนับถอื ในการดารงชีวติ แบบพอเพียง
ดูแลรักษาสงิ่ แวดล้อมเพ่ือการอยู่รว่ มกันอย่างสันตสิ ุขศาสนาอ่นื ได้
รู้และวิเคราะห์หลักการ เจตนารมณ์ โครงสร้าง และสาระสาคัญของอานาจอธปิ ไตยในรัฐธรรมนญู แห่ง
ราชอาณาจักรไทยโดยสังเขป เกีย่ วกบั คณุ คา่ ทางวฒั นธรรม ท่ีเปน็ ปัจจัยในการสร้างความสัมพันธ์ทดี่ ี หรอื อาจ
นาไปสคู่ วามเข้าใจผดิ ต่อกัน ปฏิบตั ติ ามกฎหมาย ในการคมุ้ ครองสทิ ธขิ องบคุ คล รวมทง้ั การปฏิบตั ิตนตาม
บทบญั ญัตขิ องรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบนั ทเี่ กีย่ วข้องกับตนเอง และแสดงออกถึงการ
เคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น
เพอ่ื ให้มีความรู้ ความเขา้ ใจในศาสนา การปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายในชีวติ ประจาวัน มีสว่ นรว่ มในกจิ กรรม
ทีส่ ่งเสริมประชาธิปไตย ความสมั พนั ธข์ องส่ิงต่างๆ ในประเทศ ใชท้ รัพยากรอย่างยัง่ ยนื เขา้ ใจเร่ืองราวสาคญั
ในอดตี ศรทั ธา ยดึ ม่ันและมสี ว่ นร่วมในพิธกี รรมทางศาสนา มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม เชอื่ มนั่ รัก ภมู ใิ จ
และมสี ว่ นร่วมในการอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรม ประเพณใี นท้องถนิ่ ตระหนักในสถานภาพ บทบาท สิทธิ หนา้ ท่ใี น
ฐานะพลเมืองดขี องท้องถ่ิน จงั หวดั และประเทศ เหน็ คุณค่าของหลักการเศรษฐกจิ พอเพยี ง และนาไปประยกุ ต์
ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั
รหัสตวั ช้วี ดั
ส1.1 ม.1/1 , ม.1/2 , ม.1/3 , ม.1/4 , ม.1/5 , ม.1/6 , ม.1/7 , ม.1/8 , ม.1/9 , ม.1/10 , ม.1/11
ส1.2 ม.1/1 , ม.1/2 , ม.1/3 , ม.1/4 , ม.1/5
ส2.1 ม.1/1 , ม.1/2 , ม.1/3 , ม.1/4
ส2.2 ม.1/1 , ม.1/2 , ม.1/3
รวมทัง้ หมด 23 ตัวช้ีวัด
-6-
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรียนรู้บรู ณาการ
(สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนาธรรม ภาษาไทย วทิ ยาศาสตร์)
สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส1.1 รู้ และเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทต่ี นนบั ถอื
และศาสนาอ่ืน มีศรัทธาทีถ่ ูกต้อง ยึดม่นั และปฏบิ ัตติ ามหลักธรรมเพ่อื การอยู่รว่ มกนั อยา่ งสันติสขุ
มาตรฐาน ส1.2 เข้าใจ ตระหนกั และปฏิบัตติ น เปน็ ศาสนกิ ชนทด่ี ี และธารงรักษาพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนา
ทตี่ นนบั ถอื
ภาษาไทย
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรแู้ ละความคิดเพอ่ื นาไปใชต้ ัดสินใจ แก้ปัญหาในการ
ดาเนินชวี ิตและมนี สิ ัยรักการอ่าน
สาระท่ี ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขยี นสอ่ื สาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขยี นเร่อื งราวใน
รปู แบบตา่ งๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดูอยา่ งมวี ิจารณญาณและพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความรูส้ กึ ในโอกาส
ต่างๆ อยา่ งมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
วิทยาศาสตร์
สาระที่ ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พอ่ื การดารงชวี ติ ในสังคมท่มี กี ารเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็ว
ใช้ความรแู้ ละทักษะทางดา้ นวิ ทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์ อ่นื ๆ เพ่ือแก้ปัญหา
หรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้
เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสงิ่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการแก้ปญั หาทพี่ บในชีวิตจริงอย่างเปน็ ขน้ั ตอนและเป็นระบบ
ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแกป้ ญั หาได้อยา่ ง
มปี ระสทิ ธภิ าพ รเู้ ท่าทัน และมจี รยิ ธรรม
-7-
ตอนที่ 2
Web site และ Google Sites
-8-
ความหมายของเวบ็ ไซดแ์ ละเว็บเพจ
เวบ็ ไซต์
เวบ็ ไซต์ (องั กฤษ: website, web site, Web site) หมายถงึ หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซง่ึ เชอ่ื มโยงกันผ่าน
ทางไฮเปอร์ลงิ ก์ สว่ นใหญจ่ ัดทาขึ้น เพ่ือนาเสนอขอ้ มูลผา่ นคอมพวิ เตอร์ โดยถูกจัดเก็บไวใ้ นเวลิ ด์ไวด์เว็บ หนา้
แรกของเวบ็ ไซต์ที่เกบ็ ไวท้ ชี่ อ่ื หลักจะเรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซตโ์ ดยท่วั ไปจะใหบ้ รกิ ารต่อผใู้ ชฟ้ รีแต่ขณะเดียวกนั
บางเวบ็ ไซต์จาเปน็ ตอ้ งมีการสมัครสมาชกิ และเสยี คา่ บริการ เพ่อื ทจ่ี ะดูข้อมลู ในเว็บไซตน์ ั้น ซึ่งไดแ้ ก่ ข้อมูล
ทางวิชาการ ข้อมลู ตลาดหลักทรัพย์ หรือข้อมูลสื่อตา่ งๆ ผูท้ าเวบ็ ไซตม์ หี ลากหลายระดับ ตงั้ แตส่ รา้ งเว็บไซต์
สว่ นตัว จนถงึ ระดบั เวบ็ ไซตส์ าหรับธุรกิจ หรือองค์กรตา่ งๆ การเรยี กดเู ว็บไซต์ โดยท่วั ไปนิยมเรยี กดูผา่ นทาง
ซอฟต์แวร์ในลกั ษณะของ เวบ็ เบราว์เซอร์ (http://th.wikipedia.org/wiki)
โฮมเพจ
โฮมเพจ (Home Page) คือเว็บเพจหนา้ แรกซ่ึงเป็นทางเขา้ หลกั ของเวบ็ ไซตป์ กตเิ ว็บเพจทุก ๆ หนา้ ในเวบ็
ไซทจ์ ะถกู ลงิ ค์ (โดยตรงหรือโดยอ้อมกต็ าม) มาจากโฮมเพจ ดงั นั้นบางครั้งจึงมีผใู้ ช้คาว่าโฮมเพจโดยหมายถึง
เวบ็ ไซท์ทัง้ หมด แตค่ วามจรงิ แล้วโฮมเพจหมายถงึ หน้าแรกเท่านั้น ถ้าเปรียบกบั รา้ นค้า โฮมเพจก็เป็นเสมอื น
หนา้ ร้านนั่นเอง ดงั น้ันจึงมักถูกออกแบบให้โดดเด่นและน่าสนใจมากท่ีสุด
ประเภทของเว็บไซด์
การทีจ่ ะสามารถใชง้ านเว็บไซต์ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุดได้นั้น จาเปน็ อย่างย่งิ ท่จี ะตอ้ งเขา้ ใจถึงลกั ษณะของ
เว็บไซต์ และจาแนกแยกแยะได้ว่า เว็บไซต์เหล่านนั้ มีความแตกตา่ ง หรือเหมือนกนั ประการใด รวมถึงมีหน้าที่
หลกั เฉพาะตวั อยา่ งไรบ้าง เว็บไซตส์ ามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ กล่มุ ใหญ่ ๆ ได้ 8 ประเภท ตามลักษณะของเนอื้ หา
และรปู แบบของเวบ็ ไซต์ กลุม่ เวบ็ ทั้ง 8 ประเภท ไดแ้ ก่ (http://www.gotoknow.org/posts/162487)
1. เวบ็ ท่า (Portal site) เวบ็ ทา่ นน้ั อาจเรยี กอีกช่ือหนง่ึ ไดว้ ่าเว็บวาไรตี้ (variety web) ซง่ึ หมายถึง เว็บ
ที่ใหบ้ ริการตา่ งๆ ไว้มากมาย มักประกอบไปด้วยบริการเคร่ืองมอื คน้ หา ทร่ี วบรวมลงิ คข์ องเว็บไซต์ ที่นา่ สนใจไว้
มากมายให้ไดค้ ้นหา รวมถงึ บรกิ ารที่เกย่ี วกับเรือ่ งราวท่มี ีสาระ และบนั เทิงหลากหลายประเภท เชน่ ดหู นงั
ฟงั เพลง ดูดวง ทอ่ งเท่ียว IT เกม สุขภาพ หรอื อน่ื ๆ นอกจากน้นั แล้ว เวบ็ ทา่ ยังมีลกั ษณะในการเป็นแหลง่ แลก
เปล่ยี นความคดิ เห็นของผู้คนในสังคมในเร่ืองเกย่ี วกับประเด็นตา่ งๆ ซ่ึงเรยี กว่า เว็บชุมชน (community web)
คอื เปน็ เวบ็ ท่ใี ห้บรกิ ารพืน้ ทแี่ ก่กลมุ่ คน ผู้ทมี่ คี วามสนใจในเรอ่ื งเดยี วกนั ได้เขา้ มาแลกเปลย่ี นและแสดงความ
คิดเห็นกัน
2. เว็บขา่ ว (News site)เวบ็ ข่าวมักเป็นเว็บไซตท์ ่ีสร้างขึ้นโดยองคก์ รข่าวหรอื สถาบนั สอ่ื สารมวลชนตา่ งๆ
ทีม่ ีสอื่ มวลชนประเภทตา่ งๆ ของตนอยูเ่ ปน็ หลกั เชน่ สถานีโทรทศั น์ สถานวี ทิ ยุ หนงั สอื พิมพ์ นิตยสารวารสาร
หรือแมก้ ระทง่ั กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แตอ่ งค์กรเหล่าน้ี ได้นาเวบ็ ไซต์มาใช้ เปน็ เครอ่ื งมอื ในการส่ือสาร
-9-
อีกรูปแบบหน่ึง เพอื่ นาเสนอข่าว และสาระทเี่ ปน็ การสรุปใจความสาคญั หรือรวบรวมเนอ้ื หาจากขา่ วในรอบ
เดอื นหรือรอบปี ซ่งึ ช่วยให้ผ้ใู ชส้ ามารถคน้ หาขอ้ มูลและติดตามข่าวสารได้ทกุ ทท่ี กุ เวลา แม้วา่ จะอยู่ที่ใดกต็ าม
3. เว็บขอ้ มูล (Information site) เว็บขอ้ มลู นนั้ เปน็ เวบ็ ที่ใหบ้ รกิ ารเกี่ยวกบั การสืบคน้ ขอ้ มลู ขา่ วสาร
หรอื ขอ้ เท็จจรงิ ตา่ งๆ โดยจดั ทาขน้ึ เพ่ือเป็นชอ่ งทางใหป้ ระชาชนหรือกลมุ่ บคุ คลท่ีสนใจ ได้เขา้ มาศึกษา
คน้ ควา้ ขอ้ มูลที่เกี่ยวข้องกบั องคก์ รของตนได้ อกี ท้ังยงั เปน็ การสร้างโอกาสในการประชาสัมพันธ์ และสร้าง
ความเขา้ ใจอันดีใหเ้ กดิ แกป่ ระชาชนในสงั คมอีกดว้ ย
4. เว็บธุรกิจหรือการตลาด (Business/ Marketing site) เวบ็ ธุรกจิ หรือการตลาด เป็นเวบ็ ไซต์ทีม่ ักสรา้ ง
ข้ึนโดยองค์กรธรุ กิจต่างๆ มีจุดม่งุ หมายหลักในการประชาสมั พันธอ์ งค์กร และเพิม่ ผลกาไรทางการค้าโดยเนื้อหา
ส่วนใหญ่ หรอื เกอื บทั้งหมด มักจะเป็นการนาเสนอท่มี ีความน่าสนใจ และตรงใจกลมุ่ เปา้ หมายมากทสี่ ดุ ทั้งน้ี
เพื่อผลกาไรทางธรุ กิจนนั่ เอง
5. เว็บการศกึ ษา (Education site) เวบ็ การศกึ ษา มักเป็นเว็บที่สร้างขน้ึ โดยสถาบนั การศึกษาต่าง ๆ
หรอื องคก์ รท้งั ภาครัฐและเอกชนทีม่ ีนโยบายในการเผยแพรค่ วามรู้ และใหโ้ อกาสในการค้นควา้ หาข้อมลู เพ่ือ
การศกึ ษาแก่นักเรียน นสิ ติ นกั ศึกษา รวมถึงประชาชนทว่ั ไป เว็บการศกึ ษาใหข้ ้อมลู เก่ยี วกบั การเรียนรู้ ทั้งแบบ
ทเี่ ป็นทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ เวบ็ ทีเ่ ก่ยี วกบั การศกึ ษาโดยตรงน้นั ไดแ้ ก่ เว็บของสถาบนั การศกึ ษา หอ้ งสมดุ
และเว็บที่ใหบ้ ริการการเรียนรู้แบบออนไลน์ทเ่ี รยี กว่า อ-ี เลริ น์ นิ่ง (e-learning) นอกจากนี้แล้ว ยงั รวมถงึ เวบ็ ที่
สอนหรือให้ความรู้เก่ียวกับเรือ่ งตา่ งๆ เชน่ การทาเวบ็ การทาอาหาร การถา่ ยภาพ การเขียนโปรแกรม ฯลฯ
6. เว็บบันเทงิ (Entertainment site) เว็บบนั เทงิ มุ่งเสนอและให้บริการต่าง ๆ เพือ่ เสรมิ สรา้ งความ
บนั เทงิ โดยท่ัวไปอาจนาเสนอเร่ืองราวเกย่ี วกับการบนั เทิงทั่วไป เชน่ ดนตรี ภาพยนตร์ ดารา กีฬา ความรกั
บทกลอน การ์ตูน เรื่องขาขนั และรวมถงึ การให้บรกิ ารดาวนโ์ หลด โลโก้ และ ริงโทนสาหรับโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ี
อกี ดว้ ย เว็บประเภทน้ี อาจมรี ูปแบบทเี่ ปน็ อินเตอร์แอคทีฟ ที่ตนื่ ตาตื่นใจ หรือใช้เทคโนโลยมี ลั ติมิเดยี ไดม้ าก
กวา่ เวบ็ ประเภทอื่น
7. เว็บองคก์ รท่ไี มแ่ สวงหาผลกาไร (None-profit organization site) เวบ็ ประเภทน้ี จะเป็นเวบ็ ท่สี รา้ ง
ขนึ้ โดยกลุม่ บคุ คลหรอื องค์กรต่าง ๆ ท่ีมีนโยบายในการสรา้ งสรรค์ท่ีช่วยเหลือสังคม โดยที่ไมห่ วังผลกาไรหรอื
คา่ ตอบแทน ซึง่ กล่มุ บคุ คลหรอื องคก์ รเหล่านี้ ได้แก่ สมาคม ชมรม มูลนิธิ และโครงการต่าง ๆ โดยอาจมี
จุดประสงค์เฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกันเชน่ เพื่อทาความดี สร้างสรรค์สงั คม พิทักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม ปกปอ้ งสทิ ธมิ นุษยชน
รณรงค์ไมใ่ ห้สูบบหุ ร่ี หรอื อาจรวมตวั กันเพื่อดูแลผลประโยชนข์ องสมาชิกในกลุ่ม
8. เว็บส่วนตัว (personal site) เวบ็ ส่วนตัว อาจเป็นเว็บของคน ๆ เดยี ว เพอ่ื นฝงู หรอื ครอบครัวกไ็ ด้
โดยอาจจดั ทาข้ึน ด้วยเหตุผลท่ีแตกตา่ งกัน เชน่ แนะนากลมุ่ เพ่อื น โชว์รปู ภาพ แสดงความคิดเหน็ เขยี น
ไดอารป่ี ระจาวนั นาเสนอผลงาน ถ่ายทอดประสบการณเ์ ก่ยี วกับสิ่งที่เชยี่ วชาญ หรือสนใจ โดยทัง้ หมดนีอ้ าจ
ทาเปน็ เวบ็ ไซต์หรือเป็นเพยี งเว็บเพจหนา้ เดยี วกไ็ ด้
-10-
ประโยชนข์ องเว็บไซด์
เว็บไซด์มปี ระโยชนแ์ ละคณุ ค่า ดังนี้ (http://www.websuay.com/th/web_page/website_benefit)
1. ช่วยสง่ เสรมิ ศกั ยภาพการแข่งขันในด้านธรุ กจิ
2. ช่วยเผยแพรข่ อ้ มลู ข่าวสารและบริการต่างๆ ใหเ้ ปน็ ทีร่ ู้จกั อย่างแพร่หลาย
3. ช่วยให้เขา้ ถงึ กลุ่มลกู ค้า หรือผู้ใชบ้ ริการเป้าหมายได้ทกุ วนั จึงสามารถซอื้ -ขายสนิ คา้ หรือบริการ
ผ่านเวบ็ ไซต์ไดต้ ลอด 24 ชัว่ โมง และทัว่ โลก
4. ช่วยขายสนิ คา้ ทางอินเตอรเ์ นต็ สร้างรายไดโ้ ดยไม่ต้องมหี น้าร้าน หรือสานกั งาน
5. สามารถให้บริการตา่ งๆ ของธรุ กิจหรือองคก์ รแบบออนไลน์ เป็นการอานวยความสะดวกแก่ลูกค้า
6. ช่วยสร้างภาพลกั ษณท์ ี่ดี และทนั สมัย ใหก้ บั องคก์ ร บริษทั และธรุ กจิ ต่างๆ
7. ชว่ ยลดค่าใช้จา่ ยในการโฆษณาประชาสัมพันธธ์ รุ กจิ
8. ช่วยเพม่ิ ยอดขายให้กบั ธุรกจิ เพม่ิ ประสิทธภิ าพในการโฆษณา
9. คอยทาหน้าท่เี ป็นทป่ี รึกษา ให้คาแนะนาตา่ งๆ เกยี่ วกบั สนิ คา้ และบริการแก่ลกู ค้าไดต้ ลอด 24 ช่วั โมง
โดยไมต่ อ้ งรอรา้ นเปิดใหบ้ รกิ าร
10. เป็นการเพิ่มช่องทางในการขายสนิ คา้ และบริการของบรษิ ทั อีกช่องทางหนง่ึ
11. ไม่ต้องเสยี ค่าใชจ้ ่ายสงู สาหรับการท่จี ะมเี วบ็ ไซตเ์ พ่ือติดต่อกับโลกภายนอก
12. การมีหนา้ ร้านทางอินเตอรเ์ น็ต (Homepage) เป็นการเปดิ ตวั ส่ตู ลาดโลก
13. เสรมิ ภาพลกั ษณข์ ององค์กรให้มีความทนั สมัยน่าเช่ือถือมากข้ึน
14. มอี ีเมลใ์ นการตดิ ตอ่ ลกู ค้า เพือ่ ความเป็นสากล และความสะดวก
15. เปน็ โฆษณาบริษทั ฯ หรอื องคก์ รใหเ้ ปน็ ทร่ี จู้ กั ทง้ั ในจงั หวัด ต่างจังหวดั และต่างประเทศ
16. เปน็ การยกระดับมาตรฐานการซ้ือขายภายในประเทศ
ความหมายของ Google Sites
Google Sites ก็คอื เวบ็ ไซตข์ อง Google เปน็ โปรแกรมออนไลน์ ท่ที าให้การสร้างเว็บไซตข์ องทีมให้
ง่ายขนึ้ เหมอื นกับการแกไ้ ขเอกสารธรรมดาๆ ด้วย Google เวบ็ ไซตค์ ณุ สามารถรวบรวมความหลากหลายของ
ขอ้ มูลในทเี่ ดยี ว เช่น รวมวิดโี อ ปฏิทนิ การนาเสนอ เอกสาร หรอื สิง่ ที่แนบ และข้อความอานวยความสะดวก
ให้คุณรว่ มกนั ดู หรือแก้ไขหน้าเวบ็ จะเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ หรือทัง้ องค์กรของคุณ หรือจะท้ังโลกเลย กไ็ ด้
(https://support.google.com/a/answer/90915?hl=th)
ความเป็นมาและคุณลกั ษณะของ Google Sites
1. กเู ก้ิลไซต์ ใหบ้ รกิ ารครง้ั แรกเม่อื เดอื นพฤษภาคม 2551
2. สรา้ งเว็บไซตไ์ ด้สดุ แสนจะง่ายดาย ใชเ้ วลาก่ีนาทีกโ็ ชวผ์ ลงาน
3. ไม่จาเปน็ ตอ้ งรภู้ าษาเขียนเว็บ (HTML) ให้ปวดหัว แค่ใชเ้ วริ ์ดพมิ พง์ านเป็นกเ็ รมิ่ ไดเ้ ลย แถมเมนู
เปน็ ภาษาไทยอีกตา่ งหาก
4. มีแบบเทมเพลตสาเร็จรูปให้เลอื กมากมาย คล้ายๆ กบั แบบสาเรจ็ เพาเวอร์พอยต์
-11-
5. สามารถแชร์เวบ็ ใหเ้ พอ่ื น ๆ รว่ มสร้างสรรคไ์ ด้
6. เปน็ เพ่ือนพอ้ งน้องพกี่ เู กล้ิ ทงั้ หมด เอามาใช้ดว้ ยกนั ได้เลย เช่น อีเมล์ (Gmail) ปฏิทนิ (Calendar)
เอกสาร (Documents) ยทู บู (YouTube) อัลบัม้ ภาพ (Picasa) แผนท่ี (Map) ฯลฯ
7. ทว่ี ่ามาทง้ั หมด ให้บรกิ ารฟรี ไม่เสยี ค่าใช้จา่ ยแตอ่ ยา่ งใด
คุณลักษณะทส่ี าคญั ของผลติ ภัณฑ์
1. กาหนดส่วนตดิ ตอ่ ของเวบ็ ไซต์ด้วยตนเอง เพ่ือทาใหร้ ปู ลักษณข์ องกลุม่ หรือโครงการของคุณมี
ความคล้ายคลงึ กนั
2. สรา้ งหน้าย่อยใหม่ดว้ ยการคลิกปุ่ม
3. เลอื กประเภทหนา้ เว็บจากรายการทีเ่ พ่ิมข้ึนเรื่อยๆ ไดแ้ ก่ หนา้ เว็บ ประกาศ ตู้เอกสาร กระดาน
ขอ้ มลู และรายชือ่
4. รวมศนู ย์ขอ้ มลู ทีใ่ ช้งานรว่ มกนั : ฝังเนอื้ หาทมี่ ีขอ้ มูลมาก (วดิ โี อ เอกสารใน Google Documents
สเปรดชตี งานนาเสนอ สไลดโ์ ชวภ์ าพถา่ ยใน Picasa, Gadget ของ iGoogle) ลงในหน้าเว็บใดๆ
และอัปโหลดไฟล์แนบต่างๆ
5. จดั การการตั้งคา่ การอนญุ าต เพอ่ื ใหเ้ วบ็ ไซต์ของคุณเปน็ ส่วนตวั หรือสามารถแกไ้ ขและดูได้อย่าง
กว้างขวางตามทค่ี ณุ ตอ้ งการ
6. ค้นหาในเน้ือหาของ Google Sites ดว้ ยเทคโนโลยกี ารคน้ หาของ Google
การสรา้ งเว็บไซด์บน Google Site นอกจากท่ีเราจะได้เวบ็ ไซดแ์ ล้ว Google ยังใหพ้ ื้นทีใ่ นการเกบ็
เว็บไซดไ์ ว้บน Google ซง่ึ แน่นอนว่าไมม่ ีวนั ลม่ ดังนน้ั จึงมีทัง้ เว็บไซด์และโฮสตง้ิ ในคราวเดียวกัน Google
ให้พนื้ ท่ใี นการเกบ็ เวบ็ ไซดส์ าหรบั Free Account ไว้ท่ี 100 MB
- พนื้ ท่ีจดั เกบ็ 10 GB* (GB=กกิ ะไบต)์
- ขนาดไฟลส์ งู สุด 10 MB (MB=เมกกะไบต)์
- จานวนหนา้ เวบ็ เพจไมจ่ ากดั
-12-
ตอนท่ี 3
บทเรียนสาเรจ็ รปู (บทเรียนแบบโปรแกรม)
-13-
ความหมายของบทเรียนสาเรจ็ รปู
มผี ู้ให้ความหมายของบทเรยี นสาเร็จรปู หรือบทเรยี นแบบโปรแกรมไว้ดงั น้ี
บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นบทเรยี นท่ีสร้างข้ึน เพอื่ ให้ผูเ้ รียนได้เรียนด้วยตนเอง และก้าวข้ึนไปตาม
ความสามารถของตน เนอื้ หาจะถกู แบ่งออกเป็นส่วนย่อย และเปน็ ขน้ั ๆ จากงา่ ยไปสู่ยาก กรอบท่ีเขยี น
ต่อเนือ่ งกนั นั้น จะตอ้ งคานึงถงึ วธิ ีสอน ทจี่ ะให้นักเรียนไดค้ น้ พบคาตอบด้วยตนเอง แตล่ ะกรอบจะมีคา
ถามและเฉลยไว้ เมอื่ จบบทเรียนแล้ว นักเรยี นจะได้รบั ความรูต้ ามจุดประสงค์ทีต่ ง้ั ไว้ (สุโขทัยธรรมธิราช,
2556 : 228)
บญุ ชม ศรีสะอาด (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2551 : 76-77) กลา่ วว่า บทเรียนแบบโปรแกรม หรอื บทเรยี น
สาเร็จรปู (Programmed Instruction) คือ ส่อื การเรียนการสอนท่ีมงุ่ ให้ผู้เรยี นเรยี นด้วยตนเอง จะเร็วหรอื
ชา้ ตามความสามารถของแตล่ ะบุคคล โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆ กรอบ (Frames) แตล่ ะกรอบจะมี
เนื้อหาทเี่ รียบเรียงไว้มงุ่ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ตามลาดับ โดยมีส่วนทผี่ ู้เรยี นจะต้องตอบสนอง ดว้ ยการเขียน
คาตอบซง่ึ อาจอยู่ในรูปเตมิ คาในช่องว่าง เลอื กคาตอบ ฯลฯ และมีสว่ นที่เปน็ เฉลยคาตอบทถ่ี ูกตอ้ งซึ่งอาจ
จะอยขู่ ้างหน้าของกรอบน้ันหรือกรอบถดั ไปหรืออยู่ที่ส่วนอืน่ ของบทเรยี นกไ็ ดบ้ ทเรียนแบบโปรแกรมทีส่ มบูรณ์
จะมีแบบทดสอบวดั ความกา้ วหนา้ ของการเรยี น โดยทาการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรยี นแลว้ พิจารณาว่า
หลงั เรยี นผเู้ รยี นแตล่ ะคนมีคะแนนมากกวา่ ก่อนเรยี นมากน้อยเพียงใด
-14-
หลกั ของการสร้างบทเรียนสาเรจ็ รูป
การสร้างบทเรียนสาเรจ็ รปู หรอื บทเรียนแบบโปรแกรม จะยึดหลกั ท่ีสาคัญของการสอน 4 ประการ
ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2551 : 77-78)
1. หลกั ของการเรยี นร้เู พมิ่ ทีละน้อย (Gradual Approximation) การเรียนรจู้ ะเกดิ ขน้ึ ได้ดี ถ้ามกี ารจดั
แบ่งขั้นของกจิ กรรมการเรยี นให้เปน็ ข้ันตอนสั้นๆ พอสมควร เพอ่ื ให้เรียนรู้ เป็นขัน้ ๆ ขั้นแรก ๆ เป็นพนื้ ฐาน
เสริม หรอื เชอื่ มโยง หรอื เออื้ ใหเ้ กิดการเรียนรใู้ นข้นั ตอ่ ๆ ไป ถ้ากิจกรรมการเรยี นมขี นั้ ตอนท่ียาว และ
ซบั ซอ้ นเกนิ ไป อาจทาใหผ้ เู้ รียนเบ่อื หน่าย ท้อถอยได้ จากหลกั ดงั กลา่ ว ในการสรา้ งบทเรยี นแบบโปรแกรม
จงึ มกี ารแบง่ เนือ้ หาการเรยี นออกเป็นตอนๆ เปน็ กรอบ ผเู้ รียนจะคอ่ ยเรียนรูส้ ัง่ สมข้นึ ไปเรือ่ ย ๆ เมอื่ เรียน
หลาย ๆ กรอบจนจบบทเรยี น ก็จะบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ครบตามตอ้ งการ
2. หลกั ของการมสี ่วนร่วมอยา่ งจริงจัง (Active Participation) การเรยี นรจู้ ะเกดิ ข้นึ ได้ดี ถา้ ผ้เู รยี น
ทากจิ กรรม เช่น คิดแก้ปญั หา ค้นหาความสัมพนั ธ์ ระลกึ ความรู้เดิม ฯลฯ จากหลักดงั กลา่ ว ในการ
สร้างบทเรียนแบบโปรแกรม จึงมสี ว่ นที่ผ้เู รยี นจะตอ้ งตอบสนองออกมา เช่น เติมข้อความลงในชอ่ งว่าง
หรือเลือกคาตอบทีเ่ หมาะสม ฯลฯ โดยจะตอ้ งตอบสนองอยู่บ่อย ๆ แทบทุกกรอบ บางกรอบอาจตอบ
มากกวา่ 1 ครงั้ ลกั ษณะดังกล่าวจะทาให้ผเู้ รียนติดตามบทเรียนตลอดเวลา
3. หลักของการรูผ้ ล (Feedback) การเรียนรู้จะเกิดขน้ึ ได้ดี ถา้ ผู้เรยี นไดร้ ู้ผลของการกระทาของตน
รวู้ า่ สิ่งทที่ าไปนน้ั ถูกหรือผดิ ถา้ ผิดที่ถูกควรเปน็ อยา่ งไร จากหลักดงั กลา่ วในการสรา้ งบทเรียนแบบโปรแกรม
จงึ มกี ารเฉลยคาตอบที่ถกู ต้อง ให้ผ้เู รียนทราบว่า ที่ได้ตอบสนองไปนนั้ (ทไ่ี ดเ้ ติมข้อความทเี่ หมาะสมลง
ในชอ่ งว่าง หรอื ได้เลอื กคาตอบแล้วนน้ั ) ถูกตอ้ งหรือไม่ โดยเทยี บกบั คาตอบทเี่ ฉลยไวใ้ ห้แลว้
4. หลกั ของความสาเร็จ (Success Experience) การเรยี นรู้จะเกดิ ขึน้ ได้ดี ถา้ ผู้เรยี นรูส้ ึกวา่ ได้รบั
ความสาเรจ็ ทาไดถ้ กู ตอ้ ง ในทางกลบั กนั ถ้าผเู้ รียนไมไ่ ด้รบั ความสาเรจ็ ทาไม่ไดอ้ ยู่บ่อยๆ กจ็ ะเกิดความรสู้ ึก
เบอ่ื หนา่ ยทอ้ ถอยไม่อยากทา จากหลกั ดังกล่าวเหล่าน้ี จงึ มีการปูพื้นฐานเร่มิ จากงา่ ยๆ มีการเขียนยา้ ความรู้
และทีส่ าคัญคือ ในการตอบสนองบทเรยี นจะพยายาม ใหต้ อบโดยท่ีมั่นใจว่า ถ้าผเู้ รียนตดิ ตามอยา่ งตั้งใจ
กจ็ ะสามารถตอบได้ถูกต้อง
นอกจากน้แี ลว้ ในการสร้างบทเรียนแบบโปรแกรม ยังใชห้ ลักของการวจิ ยั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์
กล่าวคือ กระบวนการสรา้ งบทเรยี น หลงั จากทีเ่ ขยี นบทเรยี นเสร็จ จะมีการทดลอง และปรบั ปรงุ หลายคร้ัง
ในคร้งั สุดท้ายทดลองกบั กลมุ่ ตัวอย่างของประชากรทม่ี ุ่งจะให้เรียน โดยใชจ้ านวนคอ่ นขา้ งมาก บทเรยี น
ที่จะนาไปใช้อยา่ งม่นั ใจได้ จะตอ้ งผ่านการทดลองดังกล่าว โดยปรากฏผลทีเ่ ชื่อถอื ได้ นั่นคอื สามารถช่วยให้
ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรเู้ พม่ิ ขึ้นอย่างแนน่ อนและเด่นชดั (มีนัยสาคญั )
-15-
ชนดิ ของบทเรยี นแบบโปรแกรม
บทเรียนแบบโปรแกรมแบง่ ออกตามแผนผงั ได้ดงั น้ี (สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2556 :229)
บทเรียนแบบโปรแกรม
แบบตารา แบบเคร่อื งช่วยสอน
(Programmed text) (Teaching machine program)
ชนดิ เสน้ ตรง ชนิดสาขา ชนิดผสม
(Linear program) (Branching program) (Mixed program)
ประเภท Straight forward linear program
ประเภท Complex linear program
ประเภท Upside down linear program
รูปแบบของบทเรียนแบบโปรแกรมแบบตารา
แบ่งรูปแบบไดด้ ังนี้ (สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2556 :229-246)
บทเรียนแบบโปรแกรมแบบตารา (Programmed text) มักเปน็ รปู เล่มคล้ายตารา นักเรยี น
สามารถเรยี นด้วยตนเอง แบง่ ออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. บทเรียนแบบโปรแกรมชนิดเสน้ ตรง (Linear program) บทเรยี นแบบนี้จะจดั เรยี งจาก
หนว่ ยยอ่ ยที่งา่ ย ไปหายาก ผเู้ รยี นจะต้องเริ่มจากหน่วยแรก จนถงึ หน่วยสดุ ทา้ ยของบทเรียน จะข้าม
หนว่ ยหน่งึ หน่วยใดไม่ได้ บทเรยี นชนดิ เสน้ ตรงน้ี ยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คอื
-16-
1.1 ประเภท Straight forward linear program คอื โปรแกรมทีม่ กี ารเรียงข้อ
ตามลาดับในหนา้ เดยี วกัน ตวั คาถามจะมีทวี่ ่างเว้นไว้ใหเ้ ติมคาตอบ หรอื มีคาตอบให้เลือกตอบ สว่ น
เฉลยอาจอยูด่ า้ นหน้า ด้านหลงั ดา้ นบน หรือด้านลา่ ง ก็ได้ แตต่ ้องอยใู่ นหน้าเดียวกนั กับคาตอบ ที่
นิยมมักจะเอาคาตอบไว้ด้านหน้าของข้อถัดไป
แผนผังของบทเรียนชนดิ น้ี มดี งั นคี้ อื
1 23 4
ก. 1
คาถาม …………………………
…………………………………. คาตอบ
เฉลย ก. 2
คาถาม …………………………
…………………………………. คาตอบ
เฉลย ก. 3
คาถาม …………………………
…………………………………. คาตอบ
1.2 ประเภท Complex linear program การเขียนบทเรยี นแบบน้ี จะแบ่ง
หนา้ กระดาษออกเป็น 3-4 ส่วน ข้อท่ี 1 จะอยู่ส่วนบนของหน้า 1 คาตอบของข้อ 1 จะอยู่
ส่วนบนของหน้า 2 ขอ้ 2 จะอยู่ส่วนบนของหน้า 2 คาตอบของข้อ 2 จะอยู่สว่ นบนของหน้า 3
เรยี งตามลาดับจนถงึ หนา้ สุดท้าย แลว้ จงึ วนกลับมาหนา้ แรก
-17-
แผนผงั ของบทเรยี นชนิดนี้ มีดังนคี้ ือ
หน้า 1. หนา้ 2. หน้า 50. (สุดทา้ ย)
ก.1 เฉลย ก.2 เฉลย ก.50
คาถาม...……… 1 คาถาม...……… 49 คาถาม...………
………...คาตอบ ………...คาตอบ
………...คาตอบ
เฉลย ก.51 เฉลย ก.52 เฉลย ก.53
50 คาถาม...……… 51 คาถาม...……… 52 คาถาม...………
………..คาตอบ ………...คาตอบ ………...คาตอบ
เฉลย ก.54 เฉลย ก.55 เฉลย ก.56
53 คาถาม...……… 54 คาถาม...……… 55 คาถาม...………
………..คาตอบ ………...คาตอบ ………...คาตอบ
การเขยี นบทเรียนแบบโปรแกรมชนดิ น้ี ทาใหย้ ุง่ ยากเสียเวลาเปล่าๆ การเขยี นกรอบก็จะเหมอื น
ประเภท Straight forward linear program ทกุ ประการ เพียงแตว่ ่า เฉลยคาตอบจะอยู่คนละ
หน้ากับคาถาม
1.3 ประเภท Upside down linear program แบบน้ีคล้ายกบั แบบ Straight forward
linear program คอื เขียนกรอบเรียงลงมา เมอื่ เรยี งลาดบั เต็มหนา้ 1 แลว้ กข็ ้ามไปหน้า 3 หนา้ 5
… ต่อไปจนจบเล่ม พอถึงหน้าสดุ ท้ายซ่ึงเป็นหนา้ เลขค่ี ก็กลบั สมุด หรือหนังสือ แลว้ เขียนกรอบยอ้ น
มาจบตรงหน้า 2 แตก่ ลบั หัวกนั กบั หนา้ 1
2. บทเรียนแบบโปรแกรมชนดิ สาขา (Branching program) บทเรียนแบบนี้ จะประกอบ
ดว้ ยกรอบหลกั ซึง่ ผู้เรียนทุกคนจะตอ้ งเรยี น กรอบเหลา่ นี้ เรียกว่ากรอบยนื หมายถงึ กรอบท่เี ป็นลาดบั
ท่แี ทจ้ ริงของบทเรียน ถา้ ผเู้ รียนทาแตล่ ะกรอบถกู ตอ้ งก็จะเรยี นตามกรอบยืนไปตลอด ในแต่ละกรอบ
ยนื จะบรรจเุ น้ือหาที่เปน็ หลกั ของเรื่อง แล้วต่อดว้ ยปัญหาให้ผู้เรยี นตอบ ลักษณะของปญั หานิยมใช้
แบบให้เลอื กตอบชนิด 3 ตวั เลอื ก
-18-
ในแต่ละตวั เลือก จะบอกหน้าและขอ้ กากับไว้ หรอื อาจจะบอกให้ดูคาตอบท่ีกรอบใดกไ็ ด้ ผู้เรียนก็
จะพลกิ ไปดูตามท่บี อกไว้
เมื่อผเู้ รียนเลอื กคาตอบแล้วก็จะมีคาสั่งท้ายตวั เลือกให้ไปอ่านทกี่ รอบสาขา ซึง่ จะเปน็ กรอบที่
บอกว่าผู้เรียนทาผิดหรือถูก ถา้ ผเู้ รียนทาถูก กจ็ ะทากรอบยนื ตอ่ ไป ถ้าผู้เรยี นทาผดิ กจ็ ะอา่ นคาอธิบาย
เพ่ิมเตมิ ท่ีกรอบสาขา แล้วย้อนมาทาทีก่ รอบยืนใหม่ จนกวา่ จะทาถกู ตอ้ ง
บทเรียนแบบโปรแกรมชนดิ นี้ ประกอบด้วยกรอบหลกั หรอื กรอบยืน และกรอบสาขาดังน้ี
กรอบ กรอบ กรอบ
สาขา สาขา สาขา
กรอบยืน กรอบยนื กรอบยืน
กรอบ กรอบ กรอบ
สาขา สาขา สาขา
ก.1
คาถาม………………………..
ก. ……………………… เปิดไปหน้า 4 ข้อ 2
ข. ……………..……….. เปดิ ไปหน้า 10 ข้อ 37
ค. ……………………… เปดิ ไปหนา้ 8 ขอ้ 30
3. บทเรยี นแบบโปรแกรมชนดิ ผสม (Mixed program) เป็นบทเรียนที่ใช้ แบบเสน้ ตรง
และแบบสาขาผสมกนั
-19-
ประโยชน์ของบทเรียนแบบโปรแกรม
บทเรยี นแบบโปรแกรมมีประโยชน์ ดงั นี้ ( สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2556 : 252 )
1. ผู้เรียนมโี อกาสเรียนด้วยตนเอง และมอี สิ ระในการเรียน
2. สง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รียนได้เรยี นตามความสามารถ
3. ชว่ ยผ่อนแรงของผสู้ อนและแกป้ ญั หาการขาดแคลนผู้สอน
4. สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนรูจ้ กั การค้นควา้ และศกึ ษาด้วยตนเอง
5. ฝึกความสจุ รติ และความมวี ินัยในตนเอง
ขอ้ จากดั ของบทเรียนแบบโปรแกรม
บทเรยี นแบบโปรแกรมมีขอ้ จากัด ดงั นี้ ( สุโขทัยธรรมาธิราช, 2556 : 252 )
1. บทเรียนแบบโปรแกรมที่ยดื ยาวเกินไปถงึ 200 - 300 กรอบนั้น จะทาใหผ้ ้เู รียนเบือ่ หนา่ ย
2. ไมส่ ามารถใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรมแทนครไู ดโ้ ดยส้นิ เชงิ บางครัง้ ผ้เู รียนก็อาจจะตอ้ งขอ
คาแนะนาจากผู้สอนบ้าง
3. ถา้ ผู้เรียนไมส่ ุจรติ เปิดดคู าตอบแลว้ มาเตมิ กจ็ ะทาให้เสียผลการเรียน และประเมนิ ผลไดไ้ ม่
แน่นอน
ขน้ั ตอนในการสรา้ งบทเรยี นแบบโปรแกรม
ในการสร้างบทเรยี นแบบโปรแกรมอาจแบง่ ออกเปน็ 4 ข้นั ตอนใหญๆ่ แตล่ ะขั้นตอนมขี น้ั ตอน
ยอ่ ย ซงึ่ มีรายละเอยี ดดังน้ี ( บุญชม ศรีสะอาด, 2551 : 79 - 83 )
1. ข้นั เตรียม ประกอบดว้ ยขั้นตอนย่อย 4 ขนั้ ดงั น้ี
1.1 ศกึ ษาหลักสูตร ขัน้ แรกสดุ จะตอ้ งศึกษาหลกั สูตรใหล้ ะเอยี ด เพ่ือให้ทราบว่า จะต้องสอน
อะไร มเี นอ้ื หาอะไรบา้ ง ทง้ั น้คี วรศึกษาเอกสารหลักสูตรตา่ งๆ เช่นประมวลการสอน คมู่ อื ครู ตารา
เรยี น สมดุ แบบฝึกหัด ฯลฯ
1.2 กาหนดจดุ ประสงค์ เมือ่ ได้กาหนดเน้ือหาไว้แลว้ ต่อไปกจ็ ะต้องกาหนดจดุ ประสงค์เพ่ือ
เปน็ แนวในการเขยี นบทเรยี นและในการสร้างแบบทดสอบ จดุ ประสงค์ ทจ่ี ะกาหนดเป็นจุดประสงค์การ
เรียนรู้ เปน็ การคาดหวังของผ้เู ขยี นบทเรียนน้นั ๆ วา่ หลังจากทผ่ี ้เู รียนเรยี นจบบทเรยี นนั้นแลว้ จะเกดิ
การเรียนร้อู ะไรบา้ ง โดยจะกาหนดเป็นจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม (Behavioral Objectives)
1.3 วิเคราะห์ภารกิจ (Task Analysis) เป็นการวิเคราะหเ์ พอ่ื ทราบว่า ในการเรียนเรือ่ งนนั้
ๆ จะตอ้ งอาศยั ความร้พู ื้นฐานหรือพฤตกิ รรมเมื่อเร่มิ เขา้ เรยี นอะไรบา้ งระหว่างที่เรยี นนั้นจะต้องเรยี นรู้
อะไรบ้าง และพฤติกรรมข้นั สุดท้าย ( Terminal Behavioral ) คืออะไร
-20-
1.4 สรา้ งแบบทดสอบ เปน็ การสร้างแบบทดสอบเพอื่ วัดผลการเรยี นรู้ในบทเรยี นเร่ืองนน้ั
ซ่ึงจะสรา้ งโดยยดึ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมเป็นหลัก แบบทดสอบน้ี นอกจากจะชว่ ยใหท้ ราบผล
การเรยี นหลงั จากเรยี นบทเรียนนัน้ แลว้ ยงั ช่วยใหท้ ราบถึงความงอกงามในการเรียนจากจุดเร่ิมตน้ ถึง
จดุ สุดท้าย โดยการพจิ ารณาคะแนนสอบหลงั เรียน กับก่อนเรียน ถา้ ผลการสอบหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียนมาก ก็ชี้ถงึ วา่ ผเู้ รียนเกดิ ความงอกงามมาก และชถ้ี งึ วา่ บทเรยี นน้ันมีประสทิ ธภิ าพดว้ ย
2. ข้นั ดาเนินการเขยี น ประกอบด้วยขน้ั ตอนยอ่ ย 2 ขนั้ ดังน้ี
2.1 เขยี นบทเรยี น เขียนบทเรียนโดยแบง่ เป็นกรอบ (Frame) ต่างๆ ตัง้ แต่กรอบแรก
จนถึงกรอบสุดทา้ ย อาจเลอื กเขยี นแบบเส้นตรง (Linear Programs) หรอื แบบแตกก่งิ
(Branching Programs) ก็ได้
2.2 ทบทวนและแก้ไข หลงั จากท่ีเขยี นบทเรยี นเสรจ็ แล้วควรท้ิงไว้สกั ระยะหนง่ึ แล้วนามา
พจิ ารณาหาจดุ บกพร่อง เพื่อแกไ้ ขใหด้ ีย่งิ ขน้ึ โดยแกไ้ ขเปล่ยี นแปลงในด้านตา่ งๆ ดงั น้ี
2.2.1 การแกไ้ ขด้านความถูกตอ้ งของเนื้อหา จะตอ้ งพิจารณาตรวจสอบความถูกตอ้ ง
ด้านน้ีเป็นอนั ดบั แรก นอกจากผูเ้ ขียนจะเป็นผู้พิจารณาเองแลว้ ควรมีผูเ้ ชย่ี วชาญทางดา้ นเน้ือหาวิชา
น้ันโดยเฉพาะตรวจสอบ 2-3 คน
2.2.2 การแก้ไขดา้ นการเรยี บเรียงภาษา ผู้เขียนลองเรยี นบทเรียนนั้น โดยสมมติวา่
ตนเองเปน็ นกั เรียน ทยี่ ังไมร่ ูเ้ รอ่ื งมาก่อน และเปน็ เด็กระดบั ปานกลางถ้าเห็นวา่ ณ ท่ใี ดมขี อ้ ความท่ี
ยงั ไมส่ ่อื ความหมายดีพอ นักเรียนอาจไมเ่ ขา้ ใจ ก็จะตอ้ งแก้ไขตรงจดุ นน้ั
2.2.3 การแก้ไขด้านเทคนคิ การเขียน จะตอ้ งพิจารณาหลายดา้ น เชน่ ความตอ่ เนอื่ ง
ของบทเรียน ความเหมาะสมของการแบ่งกรอบ ความเหมาะสม และคณุ ภาพของภาพที่ใช้ (ถ้ามี)
เปน็ ต้น
3. ขนั้ ทดลองและปรับปรุง ประกอบด้วยขั้นตอนยอ่ ย 3 ข้นั ดงั นี้
3.1 ทดลองใช้เป็นรายบคุ คล หลังจากทเ่ี ขยี นบทเรยี นเสร็จเรียบร้อยแลว้ นั่นคอื หลังจาก
เสรจ็ ส้นิ ขั้นตอนท่ี 2 แล้ว กจ็ ะนาบทเรียนนนั้ ไปทดลองใช้กับนกั เรยี นในระดบั ชั้นนน้ั โดยเลอื กทเ่ี รียน
อ่อนหรือเกอื บปานกลาง เพราะจะชว่ ยให้ไดข้ ้อมูลในการแกไ้ ขจุดบกพร่อง ดกี วา่ การเลือกเด็กเกง่
อนึง่ ถา้ เดก็ อ่อนสามารถเรยี นบทเรียนได้ ก็ยอ่ มสามารถประกนั ไดว้ ่า นกั เรียนสว่ นใหญห่ รอื ทั้งหมด
นา่ จะเรยี นได้เชน่ กัน
ถา้ ข้อความตอนใดทีผ่ เู้ รียนไมเ่ ข้าใจ ไม่แน่ใจในการตอบหรือมคี วามคิดเหน็ ใดๆ จากการเรยี น
บทเรียนนน้ั ผู้เขยี นบทเรียนจะบนั ทึก และอภิปรายกบั ผเู้ รียน เพ่อื ท่ีจะทราบจุดทตี่ ้องปรับปรุง การ
ทดลองใชเ้ ป็นรายบุคคลดังกลา่ ว จะทาไปทลี ะคนประมาณ 3-4 ค น แลว้ นาขอ้ มูลท้งั หมดมาปรับปรุง
บทเรยี น
-21-
ตอนท่ี 4
การเรียนร้แู บบบรู ณาการ และทฤษฎพี หปุ ัญญา
-22-
การเรยี นรู้แบบบรู ณาการ
ความหมายของบรู ณาการ
สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Management) หมายถงึ กระบวนการ
จัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ามความสนใจ ความสามารถ โดยเช่ือมโยงเนอื้ หาสาระของศาสตรต์ ่างๆ ที่
เกยี่ วข้องสมั พนั ธ์กัน ให้ผ้เู รยี นเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม สามารถนาความรู้ ทักษะ และเจตคตไิ ปสรา้ งงาน
แกป้ ญั หา และใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ด้วยตนเอง
หลักสตู รบรู ณาการ (Integrated Curriculum) หมายถงึ การรวมเนอ้ื หาสาระ ของวชิ าตา่ งๆ
ในหลกั สูตรทมี่ ีลกั ษณะเหมอื นกันหรือคล้ายกนั และทักษะในการเรียนรู้ ให้เช่อื มโยงสมั พันธเ์ ปน็ สง่ิ เดียวกนั
โดยการต้งั เปน็ หวั ข้อเรือ่ งขึ้นใหม่ และมหี ัวขอ้ ยอ่ ยตามเน้ือหาสาระ อกี ทัง้ สอดคลอ้ งกับบรบิ ทการเรียนร้ขู อง
สังคมอย่างสมดุล มีความหมายแก่ผู้เรยี น และให้โอกาสผ้เู รยี นในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมด้วยตนเองใหม้ ากท่ีสดุ
และการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ทใ่ี ช้วธิ สี อนหลายวิธี จัดกจิ กรรม
ตา่ งๆ ในการสอนเนอ้ื หาสาระท่เี ช่ือมโยงกัน ตลอดจนมีการฝึกทกั ษะทห่ี ลากหลาย (สริ ิพชั ร์ เจษฏาวิโรจน์.
2546 : 16)
นักวชิ าการศกึ ษาหลายทา่ น ได้กลา่ วถึง ความหมายของการจดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการ ไว้ดังน้ี
Lardizabal and Others. (1970 :141) กลา่ ววา่ การเรยี นการสอนแบบบูรณาการ หมายถึงการ
สอนโดยใช้กิจกรรมการเรยี นที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนสามารถแกไ้ ขปญั หาไดด้ ้วยตนเองยงั ผล
ให้เกิดการพฒั นาในดา้ นบุคลิกภาพในทกุ ๆ ดา้ น ผูเ้ รยี นสามารถปรับตวั และตอบสนองต่อทกุ สถานการณ์
การแก้ปัญหาน้ีข้ึนอยู่กับ ประสบการณ์ และความรพู้ ื้นฐาน การสอนแบบบูรณาการจะใหค้ วามสาคัญกบั ครู
และนักเรียนเท่าเทยี มกัน สามารถทากิจกรรมการเรยี นการสอนรว่ มกนั แบบประชาธิปไตย
กาญจนา คณุ ารักษ.์ ( 2522:21) กล่าววา่ การเรียนการสอนแบบบูรณาการหมายถึง กระบวนการ
หรือการปฏบิ ัติเกีย่ วกบั การเรยี นรู้ความสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบทางจิตพสิ ยั และพทุ ธิพิสยั หรอื กระบวนการ
หรือการปฏบิ ตั ิ ในอันท่ีจะรวบรวมความคดิ มโนภาพ ความรู้ เจตคติ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้
ปญั หา เพอ่ื ใหช้ วี ิตมคี วามสมดลุ
สุมานนิ รุ่งเรอื งธรรม.(2522:32) กล่าวว่าการเรียนการสอนแบบบรู ณาการหมายถึงการสอนเพ่อื จัด
ประสบการณใ์ หแ้ กผ่ ้เู รียนเพ่อื การเรียนร้ทู ่ีมีความหมาย ใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะความเปน็ ไปอันสาคัญของสงั คม เพอื่
ดดั แปลงปรับปรงุ พฤติกรรมของผู้เรยี นใหเ้ ขา้ กบั สภาพชวี ติ ไดด้ ียิ่งขนึ้
ผกา สตั ยธรรม.( 2523:45-54) กลา่ ววา่ การเรียนการสอนแบบบูรณาการหมายถงึ ลักษณะการสอน
ทนี่ าเอาวชิ าตา่ งๆ เข้ามาผสมผสานกัน โดยใชว้ ชิ าใดวชิ าหนึ่งเป็นแกนหลักและนาเอาวิชาต่างๆ มาเชือ่ มโยง
สัมพันธ์กันตามความเหมาะสม
-23-
นที ศิรมิ ยั . (2529:63-65) กล่าววา่ การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง เทคนคิ การสอนโดย
เน้นความสนใจ ความสามารถ และความต้องการของผเู้ รยี น ด้วยการผสมผสานเนอ้ื หาวิชา ในแง่มมุ ต่าง ๆ
อย่างสัมพนั ธ์กนั เป็นการสรา้ งความคิดรวบยอดให้เกดิ ขน้ึ ในตัวผูเ้ รยี น และยังสามารถนาความคิดรวบยอด
ไปสรา้ งเปน็ หลักการ เพือ่ ใช้ในการแกป้ ญั หาต่าง ๆ ได้ด้วย
โดยสรปุ การจดั การเรียนรูแ้ บบบรู ณาการ หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรูใ้ ห้
แก่ผ้เู รียนตามความสนใจ ความสามารถ และความตอ้ งการ โดยการเชื่อมโยงสาระการเรียนรูใ้ นศาสตรส์ าขา
ต่างๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์กัน ทั้งนี้เพอ่ื ให้ผู้เรียนเกดิ การเปลี่ยนแปลงปรับปรงุ พฤตกิ รรมของผเู้ รียนท้ังทางดา้ น
สตปิ ัญญา(Cognitive) ทกั ษะ (Skill) และจติ ใจ (Affective) สามารถนาความรแู้ ละทักษะที่ได้ไปแก้ไขปญั หา
ด้วยตนเอง และสามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ไดจ้ รงิ ในชวี ิตประจาวนั
การสอนแบบบรู ณาการ มีกรอบแนวความคิด ดงั นี้
1. ศาสตรท์ กุ ศาสตรไ์ มอ่ าจแยกจากกันโดยเดด็ ขาดได้ เช่นเดยี วกบั วิถีชีวติ ของคนท่ีตอ้ งดารงอยู่
อย่างประสาน กลมกลืนเปน็ องคร์ วม การจัดให้เด็กได้ฝกึ ทกั ษะ และเรยี นรู้เนอ้ื หาตา่ ง ๆ อยา่ งเช่ือมโยง
สัมพนั ธก์ ัน จะทาให้การเรยี นร้มู คี วามหมายสอดคลอ้ งกับชวี ิตจรงิ
2. การจัดการเรยี นรูอ้ ยา่ งบูรณาการ จะช่วยลดความซ้าซ้อนของเนอ้ื หาวิชา ลดเวลาการเรียนรู้
ของผู้เรยี น เปน็ การแบ่งเบาภาระในการสอนของครู
3. การเรียนแบบบูรณการ ทาให้ผ้เู รยี นมโี อกาสได้ใช้ความคดิ ประสบการณ์ ความสามารถ และ
ทกั ษะตา่ งๆ อย่างหลากหลาย ก่อให้เกดิ การเรียนรู้ทักษะกระบวนการ และเนอื้ หาสาระไปพรอ้ มๆ กัน
ลักษณะของการบูรณาการ มีลักษณะโดยสรปุ ดังน้ี
1. การบรู ณาการเชิงเนอื้ หาสาระ เปน็ การผสมผสานเชื่อมโยงเนื้อหาสาระ ในลักษณะการหลอม
รวมกันโดยการตง้ั เป็นหน่วย (Unit) หรือหวั เรือ่ ง (Theme)
2. การบูรณาการเชงิ วธิ กี าร เป็นการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ เข้าในการสอน โดยการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนท่หี ลากหลายวธิ ี การสนทนา การอภิปราย การใช้คาถาม การบรรยาย การค้นควา้
และการทางานกล่มุ การไปศึกษานอกห้องเรียน และการนาเสนอข้อมูลเป็นตน้
3. การบูรณาการความรกู้ ับกระบวนการเรยี นรู้ โดยออกแบบการเรียนรู้ ใหม้ ีท้งั การให้ความรแู้ ละ
กระบวนการไปพรอ้ ม ๆ กัน เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และ กระบวนการ
สรา้ งความคิดรวบยอดเปน็ ตน้
4. การบูรณาการความรู้ ความคิด กับคณุ ธรรม โดยเนน้ ทง้ั พทุ ธิพิสัยและจติ พสิ ัย เปน็ การเรยี น
ท่สี อดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพ่ือทนี่ กั เรยี นจะไดเ้ ป็น “ผูม้ คี วามรู้ คคู่ ณุ ธรรม
-24-
แนวคิดสาคัญของการจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ
Lardizabal and others. (1970:142-143) ไดก้ ล่าวถงึ การจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ ตอ้ งยึด
หลักสาคัญทว่ี า่ แกนกลางของประสบการณอ์ ยู่ทค่ี วามต้องการของผู้เรยี น และประสบการณใ์ นการเรียนรู้จัดเปน็
หนว่ ยการเรียน
หนว่ ยการเรยี นอาจแบง่ แยกออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 3 ประเภท
1. หนว่ ยเนอื้ หา (Subject – Matter Unit) เป็นการเน้นหนว่ ยเนอ้ื หาหรือหวั ข้อเร่ืองต่างๆ หลกั การ
หรอื ส่งิ แวดลอ้ ม
2. หนว่ ยความสนใจ (Center of Interest Unit) จัดเป็นหน่วยขึ้น โดยยดึ พื้นฐานความสนใจ และ
ความตอ้ งการ หรอื จดุ ประสงค์เดน่ ๆของผู้เรียน
3. หนว่ ยเสรมิ สร้างประสบการณ์ (Integrative Experience Unit) เปน็ การรวบรวมประสบการณ์
หรือจดุ เนน้ อยู่ทผ่ี ลการเรียนรู้ และสามารถนาไปส่กู ารปรับพฤตกิ รรม การปรบั ตวั ของผู้เรยี น
หน่วยดังกล่าว หมายถงึ กลุ่มกิจกรรมหรือ ประสบการณท์ ี่จดั ไว้ เพื่อสนองจุดม่งุ หมายหรือสาหรบั
การแกป้ ัญหาใด ปญั หาหนึ่ง การเรียนเริ่มจากจดุ สนใจใหญ่ แลว้ แยกไปสู่กจิ กรรมในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ จนกระทั่ง
ผูเ้ รยี นสามารถตอบสนองสถานการณ์ทก่ี าหนดไว้ได้
Unesco-unep. (1994: 51) กาหนดลักษณะของการบูรณาการการเรยี นการสอนไว้ 2 แบบ คอื
1. แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ไดแ้ ก่ การสรา้ งเร่อื ง (Theme) ขน้ึ มาแล้วนาความรจู้ าก
วชิ าต่างๆมาโยงสมั พันธ์กับ หวั เรือ่ งนน้ั ซ่งึ บางคร้ังเราก็อาจเรียกวธิ ีการบูรณาการ แบบนีว้ ่า สหวทิ ยาการแบบ
หวั ขอ้ (Themetic Interdisciplinary Studies) หรือบรู ณาการทเี่ นน้ การนาไปใช้ เป็นหลกั (Application
-First Approach)
2. แบบพหวุ ทิ ยาการ (Multidisciplinary) ไดแ้ ก่ การนาเรือ่ งทต่ี ้องการจะจัด ให้เกิดการบรู ณาการ
ไปสอดแทรก (Infusion) ไว้ในวชิ าต่างๆ ซึ่งบางครงั้ กอ็ าจเรียกวธิ กี ารบรู ณาการแบบน้วี า่ การบูรณาการท่ีเน้น
เน้อื หารายวชิ าเป็นหลกั (Discipline-First Approach)
สุวิทย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. (2546 : 184-191) ให้แนวคิดในการแบง่ ประเภทการจดั การเรียนรู้
แบบบรู ณาการ เป็น 3 รปู แบบ ดงั น้ี คือ
แบบที่ 1. จาแนกตามจานวนผสู้ อน มี 3 ลักษณะ คอื
1.1 การบรู ณาการแบบผ้สู อนคนเดยี ว ผ้สู อนสามารถจดั การเรียนรู้ โดยเช่อื มโยงสาระการเรยี นรู้
ตา่ งๆ กับหวั เร่ือง ท่ีสอดคลอ้ กบั ชีวติ จรงิ หรือสาระทีก่ าหนดขึ้นมาเชอ่ื มโยงสาระ และกระบวนการเรยี นรทู้ าให้
ผูเ้ รยี นได้ใช้ทกั ษะ และกระบวนการเรียนรู้ไปแสวงหาความรู้ความจรงิ จากหวั ขอ้ เรอ่ื งท่ีกาหนด
-25-
1.2 การบรู ณาการแบบค่ขู นาน มีผ้สู อนตั้งแต่ 2 คนขนึ้ ไป รว่ มกนั จดั การเรียนการสอนโดยอาจ
ยึดหัวข้อเก่ียวกับเร่ืองใดเรอ่ื งหนึ่ง แล้วบรู ณาการเชือ่ มโยงแบบคูข่ นานกันไป ภายใตห้ วั เรอื่ งเดยี วกนั
1.3 การบูรณาการแบบสอนเป็นทีม ผูส้ อนตั้งแต่ 2 คนขน้ึ ไป รว่ มกนั คิดหัวข้อเรอ่ื งหรอื โครงการ
โดยใช้เวลาเรียนต่อเนือ่ งกัน อาจรวมจานวนชว่ั โมงของสาระการเรยี นร้ตู ่างๆ แบบมีเปา้ หมายเดียวกัน
แบบท่ี 2. จาแนกตามกล่มุ สาระการเรียนรู้ แบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
2.1 การบรู ณาการภายในกลมุ่ สาระการเรียนรู้ เป็นลกั ษณะการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ทีม่ งุ่ ให้
ผเู้ รียนสามารถเชอ่ื มโยงแนวคิด ทกั ษะและความคดิ รวบยอดของสาระการเรียนรู้สาระใดสาระหน่ึงนน่ั เอง
2.2 การบรู ณาการระหวา่ งกลมุ่ สาระการเรียนรู้ เปน็ ลกั ษณะการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ที่นาเอา
สาระการเรียนรู้จากหลายกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ มาเชอ่ื มโยงกนั เพอ่ื จดั การเรยี นรู้ภายใต้หวั ข้อเร่อื งเดยี วกนั
แบบท่ี 3. จาแนกตามประเภทของการบูรณาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
3.1 การบูรณาการแบบสหวทิ ยาการ เปน็ ลกั ษณะการบรู ณาการระหว่างกล่มุ สาระการเรียนรู้ การ
นาเอาสาระการเรียนรู้ จากหลายกลุ่มสาระ มาเช่อื มโยงรอ้ ยรัดใหเ้ ปน็ เนอ้ื เดยี วกัน เพื่อจัดการเรียนรภู้ ายใต้
หวั เรื่องเดยี วกนั
3.2 การบรู ณาการแบบพหวุ ิทยาการ เปน็ ลกั ษณะการบูรณาการ ที่ผู้สอนนาเอาเรอ่ื ง หรือสาระ
การเรียนรู้ทตี่ อ้ งการใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรู้ ไปสอดแทรกในสาระการเรยี นรหู้ รือวิชาท่ีตวั เองรับผิดชอบสอน
ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2548: 188-192) แบง่ ประเภทการจดั การเรียนรแู้ บบบูรณาการ เป็น
2 รปู แบบดังน้ี คือ
1. การบรู ณาการภายในวชิ า (Interdisciplinary) หมายถงึ การนาเนอ้ื หาสาระในวชิ าเดียวกนั
หรือกลมุ่ ประสบการณเ์ ดยี วกันมาสมั พันธก์ นั ผูส้ อนสามารถนาสาระทุกเรื่องมาสัมพนั ธ์กันเปน็ เรอ่ื งเดียวได้
2. การบูรณาการระหวา่ งวชิ า (Interdisciplinary หรือ multidisciplinary) หมายถึง การนา
เนื้อหาสาระของสองวชิ าหรือหลายๆ วิชา มาสัมพนั ธใ์ หเ้ ป็นเร่ืองเดยี วกนั ภายใตห้ วั ขอ้ เร่ือง “theme” ที่
เลือกนัน้ ในการบูรณาการระหว่างวิชา สามารถจดั ไดห้ ลายลักษณะด้วยกัน และนาเสนอ 3 รปู แบบ ดงั นี้
2.1 แบบสอดแทรก (Infusion) คอื ลักษณะการจัดการเรียนรู้ จะสอดแทรกเนอื้ หาหรอื ทักษะ
กระบวนการของกลุม่ สาระการเรียนรอู้ น่ื เขา้ ในการจัดการเรียนรู้ในกลมุ่ สาระของตน โดยมีผู้สอน 1 คน
2.2 แบบคูข่ นาน(Parallel) คือลกั ษณะการจัดการเรียนรู้จะมคี รู 2 คนข้ึนไป 2 กล่มุ สาระ
การเรยี นรู้ข้นึ ไปวางแผนร่วมกนั ตามหวั เร่ือง มโนทัศน์ (concept) ปญั หา (problem) เดียวกนั และ
เช่อื มโยงเน้อื หาสาระ กระบวนการและคุณธรรม แล้วต่างคนตา่ งสอนเน้อื หาตามกล่มุ สาระของตนเอง โดย
มเี ปา้ หมายร่วมกัน
-26-
2.3 แบบพหุวทิ ยาการ(Multidisciplinary) แบง่ เป็น 4 ลักษณะดงั นค้ี อื
2.3.1 แบบสอนคนเดยี ว คอื การจัดการเรียนรโู้ ดยเช่ือมโยงสาระการเรียนรู้ตา่ งๆกับหวั เรื่อง/
มโนทัศน์/ปัญหาท่ีสอดคล้องกับชีวิตจรงิ หรือสาระทก่ี าหนดข้ึนมา
2.3.2 แบบแยกกันสอน คือ การจัดการเรียนรู้ จะคล้ายแบบคขู่ นาน โดยเช่ือมโยงสาระการ
เรียนรตู้ า่ งๆ ตามหวั เร่อื ง/มโนทศั น์/ปญั หา แล้วตา่ งคนต่างสอนเนอ้ื หาตามกลุ่มสาระของตวั เองแต่มอบหมาย
ให้ทาโครงงานเช่อื มโยงสาระการเรียนรู้ต่างๆร่วมกัน หรอื บางเรอื่ งจดั สอนด้วยกนั
2.3.3 แบบสอนรว่ มกันหรอื แบบคณะ คือ การจดั การเรียนรจู้ ะรว่ มกันวางแผน ปรกึ ษาหารือ
กาหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอด หรือปัญหาร่วมกนั สรา้ งหนว่ ยเรยี นรู้บรู ณาการร่วมกัน และสอนเป็นทมี หรอื
แยกกนั สอนในบางเรอ่ื ง
2.3.4 แบบข้ามวิชา (Transdisciplinary) คือลักษณะการจดั การเรยี นร้เู ป็นการบรู ณาการทส่ี งู
ขน้ึ สลดั ความเป็น “วชิ า” ของแตล่ ะศาสตรอ์ อกไปเปน็ การเรยี นโดยมเี ค้าโครง หรอื โจทย์ประเด็นปัญหาทว่ี าง
ไว้ ผู้เรียนเรียนรู้หรอื แสวงหาแนวทางการแกป้ ัญหา โดยผา่ นกิจกรรมและการศกึ ษาคน้ ควา้ ที่หลากหลาย
กรมวชิ าการ. (2549 : 3-4) ได้แบ่งประเภทการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการออกเปน็ 2 แบบ คือ
1. การบูรณาการภายในวิชา เป็นการเชือ่ มโยงการสอนระหวา่ งเนอื้ หาวชิ า/กลุ่มประสบการณ์
หรือรายวิชาเดียวกันเข้าดว้ ยกัน
2. การบรู ณาการระหวา่ งวิชา มี 4 รูปแบบ ดงั นี้
2.1 การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก เป็นการสอนในลกั ษณะท่ผี สู้ อนในวิชาหนึ่งสอด
แทรกเน้ือหาวิชาอื่นๆ ในการสอนของตน
2.2 การสอนบรู ณาการแบบคขู่ นาน เป็นการสอนโดยผูส้ อนตงั้ แต่ 2 คนข้นึ ไป รว่ มกัน
วางแผนการสอน โดยมุ่งสอนหวั เร่อื ง ความคดิ รวบยอด หรอื ปัญหาเดยี วกนั แต่สอนต่างวชิ ากัน หรือ
ต่างคนตา่ งสอน
2.3 การสอนบรู ณาการแบบสหวิทยาการ เปน็ การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน แต่มกี าร
มอบหมายงาน หรือโครงการร่วมกัน
2.4 การสอนบูรณาการแบบขา้ มวชิ า หรอื สอนเปน็ คณะ เปน็ การสอนทีผ่ สู้ อนวิชาต่าง ๆ
ร่วมกันสอนเป็นคณะ หรอื เปน็ ทีมวางแผนปรกึ ษาหารือรว่ มกัน โดยกาหนดหวั เรอ่ื ง ความคิดรวบยอด
ปัญหารว่ มกันแลว้ รว่ มกันสอนผู้เรียนเป็นกลุ่มเดยี ว
จากการศกึ ษาการจัดการเรียนรู้บูรณาการดังกลา่ ว ทาให้ผู้วจิ ัย มีแนวคิดทีจ่ ะใช้การจัดกจิ กรรม
แบบบรู ณาการ ในการแกป้ ญั หาผูเ้ รยี นในรายวชิ าอาเซียนศกึ ษา โดยนาสาระการเรยี นรู้อน่ื ๆ ได้แก่ วชิ า
ภมู ศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ มาบรู ณาการแบบสอด
แทรก และแบบคูข่ นาน เพอื่ ใหก้ ารจดั กจิ กรรมบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ และมีประสิทธิภาพ
-27-
ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences)
การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาด หรอื มีความสามารถมากนอ้ ยเพยี งใด ถ้าเรานาระดับสติปัญญา
หรือไอคิว ที่ใชก้ นั อย่ใู นปจั จบุ นั มาเป็นมาตรวัด กอ็ าจได้ผลเพียงเสย้ี วเดียว เพราะวา่ วดั ได้เพยี งเร่ืองของ
ภาษา ตรรกศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และมติ สิ มั พันธ์เพียงบางสว่ นเทา่ น้ัน ยังมีความสามารถอีกหลายดา้ นที่
แบบทดสอบในปัจจุบนั ไม่สามารถวัดได้ครอบคลมุ ถึง เชน่ ความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกฬี า
และความสามารถทางศลิ ปะ เปน็ ตน้
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การด์ เนอร์ (Howard Gardner) นักจติ วทิ ยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เปน็ ผู้
หน่งึ ท่ีพยายามอธบิ ายถงึ ความสามารถที่หลากหลาย โดยคดิ เปน็ “ ทฤษฎีพหุปญั ญา ” (Theory of
Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สตปิ ัญญาของมนุษย์ มีหลายด้านที่มีความสาคญั เทา่ เทยี มกนั
ข้นึ อยกู่ บั วา่ ใครจะโดดเด่นในดา้ นไหนบา้ ง แลว้ แต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถใน
เรื่องใด เปน็ ลักษณะเฉพาะตัวของแตล่ ะคนไป
ในปี พ.ศ. 2526 การด์ เนอร์ ไดเ้ สนอวา่ ปญั ญาของมนุษยม์ ีอยู่อยา่ งน้อย 7 ด้าน คือ ดา้ นภาษา
ดา้ นตรรกศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ดา้ นมิติสัมพันธ์ ดา้ นร่างกาย และการเคลอ่ื นไหว ดา้ นดนตรี ดา้ น
มนุษยสมั พนั ธ์ และดา้ นการเขา้ ใจตนเอง ตอ่ มาปี พ.ศ. 2540 ได้เพมิ่ เตมิ เขา้ มาอีก 1 ดา้ น คอื ดา้ นธรรมชาติ
วทิ ยา เพือ่ ให้สามารถอธิบายได้ครอบคลมุ มากข้นึ จงึ สรปุ ได้วา่ พหุปัญญาตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ ใน
ปจั จบุ ันมีปัญญาอยู่อย่างน้อย 8 ดา้ น ดงั นี้
1. ปญั ญาดา้ นภาษา (Linguistic Intelligence)
คอื ความสามารถในการใช้ภาษาแบบตา่ งๆ ต้ังแต่ภาษาพื้นเมืองจนถึงภาษาอนื่ ๆ สามารถ
รับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสอื่ ภาษาใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจได้ตามทต่ี อ้ งการ ผู้ที่มีปญั ญาด้านน้โี ดดเดน่ กม็ ักเปน็
กวี นักเขียน นักพดู นักหนังสือพมิ พ์ ครู ทนายความ หรือนกั การเมอื ง
2. ปัญญาดา้ นตรรกศาสตร์และคณติ ศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)
คอื ความสามารถในการคิด แบบมเี หตแุ ละผล การคดิ เชงิ นามธรรม การคิดคาดการณ์ และ
การคดิ คานวณทางคณติ ศาสตร์ ผ้ทู ม่ี ีปญั ญาด้านน้โี ดดเดน่ กม็ ักเป็นนักบัญชี นกั สถิติ นกั คณิตศาสตร์ นักวิจัย
นกั วิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร
3. ปญั ญาดา้ นมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)
คอื ความสามารถในการรบั รูท้ างสายตาไดด้ ี สามารถมองเห็นพนื้ ท่ี รปู ทรง ระยะทาง และ
ตาแหน่ง อยา่ งสัมพนั ธ์เชอื่ มโยงกัน แลว้ ถ่ายทอดแสดงออกอยา่ งกลมกลนื มคี วามไวต่อการรับร้ใู นเรือ่ ง
ทศิ ทาง สาหรับผู้ทีม่ ีปญั ญาดา้ นนีโ้ ดดเดน่ จะมที ้งั สายวทิ ย์ และสายศิลป์ สายวทิ ย์ กม็ ักเป็น นกั ประดิษฐ์
วศิ วกร ส่วนสายศิลป์ ก็มักเป็นศิลปนิ ในแขนงตา่ งๆ เช่น จิตรกร วาดรปู ระบายสี เขยี นการ์ตูน นกั ป้นั
นกั ออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เปน็ ต้น
-28-
4. ปญั ญาดา้ นรา่ งกายและการเคล่ือนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence)
คือ ความสามารถในการควบคุม และแสดงออกซ่งึ ความคิด ความร้สู กึ โดยใชอ้ วยั วะส่วนตา่ ง ๆ
ของรา่ งกาย รวมถึงความสามารถในการใชม้ ือประดษิ ฐ์ ความคล่องแคลว่ ความแขง็ แรง ความรวดเรว็ ความ
ยืดหย่นุ ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผสั สาหรบั ผูท้ ม่ี ีปญั ญาด้านนโ้ี ดดเด่น มกั จะเปน็ นกั กฬี าหรอื
ไม่ก็ศิลปินในแขนง นกั แสดง นักฟ้อน นักเตน้ นกั บัลเลย่ ์ หรอื นกั แสดงกายกรรม
5. ปญั ญาดา้ นดนตรี (Musical Intelligence)
คือ ความสามารถในการซึมซบั และเขา้ ถงึ สุนทรยี ะทางดนตรี ทง้ั การได้ยนิ การรบั รู้ การจดจา
และการแตง่ เพลง สามารถจดจาจังหวะ ทานอง และโครงสร้างทางดนตรีไดด้ ี และถา่ ยทอดออกมาโดยการ
ฮัมเพลง เคาะจงั หวะ เล่นดนตรี และรอ้ งเพลง สาหรบั ผทู้ ่มี ปี ัญญาดา้ นนโ้ี ดดเดน่ มักจะเป็นนกั ดนตรี นกั
ประพันธเ์ พลง หรือนกั รอ้ ง
6. ปญั ญาดา้ นมนษุ ยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อ่นื ทงั้ ดา้ นความรสู้ ึกนึกคดิ อารมณ์ และเจตนาท่ีซอ่ นเร้นอยู่
ภายใน มคี วามไวในการสงั เกต สหี นา้ ท่าทาง น้าเสยี ง สามารถตอบสนองได้อยา่ งเหมาะสม สรา้ งมติ รภาพ
ไดง้ า่ ย เจรจาตอ่ รอง ลดความขดั แยง้ สามารถจงู ใจผู้อ่ืนได้ดี เป็นปัญญาดา้ นทจ่ี าเปน็ ต้องมีอยใู่ นทุกคน แต่
สาหรบั ผู้ทมี่ ปี ัญญาดา้ นนโี้ ดดเดน่ มกั จะเป็นครบู าอาจารย์ ผู้ให้คาปรกึ ษา นกั การทตู เซลแมน พนักงาน
ขายตรง พนกั งานตอ้ นรบั ประชาสมั พันธ์ นกั การเมอื ง หรือนักธรุ กิจ
7. ปญั ญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
คอื ความสามารถในการร้จู กั ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเทา่ ทนั ตนเอง ควบคมุ การแสดงออก
อย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์ รวู้ า่ เม่อื ไหรค่ วรเผชญิ หนา้ เมอ่ื ไหร่ควรหลกี เล่ยี ง เม่ือไหร่ตอ้ ง
ขอความชว่ ยเหลอื มองภาพตนเองตามความเปน็ จริง รูถ้ ึงจดุ ออ่ นหรอื ขอ้ บกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกัน
กร็ ้วู า่ ตนมจี ุดแขง็ หรือความสามารถในเรือ่ งใด มีความรูเ้ ทา่ ทนั อารมณ์ ความรสู้ ึก ความคดิ ความคาด
หวงั ความปรารถนา และตัวตนของตนเองอยา่ งแทจ้ ริง เป็นปัญญาดา้ นที่จาเปน็ ต้องมอี ย่ใู นทกุ คนเช่นกัน
เพ่อื ให้สามารถดารงชีวิตอย่างมีคณุ ค่า และมีความสขุ สาหรับผ้ทู ี่มีปญั ญาดา้ นน้ีโดดเด่น มกั จะเป็นนกั คิด นัก
ปรัชญา หรอื นักวิจยั
8. ปัญญาด้านธรรมชาติวทิ ยา (Naturalist Intelligence)
คอื ความสามารถในการรจู้ ัก และเข้าใจธรรมชาตอิ ยา่ งลกึ ซึ้ง เขา้ ใจกฎเกณฑ์ปรากฏการณ์ และ
การรังสรรค์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการสงั เกต เพอ่ื คาดการณค์ วามเปน็ ไปของธรรมชาติ มีความ
สามารถในการจดั จาแนก แยกแยะ ประเภทของส่งิ มีชีวติ ท้งั พืชและสัตว์ สาหรบั ผู้ทม่ี ปี ัญญาด้านนโ้ี ดดเดน่ มัก
จะเป็นนักธรณวี ทิ ยา นกั วิทยาศาสตร์ นกั วิจัย หรอื นักสารวจธรรมชาติ
-29-
ทฤษฎนี ีไ้ ดถ้ ูกนาไปประยุกตใ์ ช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการสง่ เสรมิ การเรยี นร้ตู ่าง ๆ เพือ่ ให้มี
ประสิทธภิ าพสูงสดุ โดยเน้นความสาคัญใน 3 เร่อื งหลัก ดังน้ี
1. แต่ละคน ควรไดร้ ับการส่งเสริมใหใ้ ช้ปัญญาด้านทีถ่ นัด เปน็ เครือ่ งมือสาคัญในการเรยี นรู้
2. ในการจัดกิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ ควรมีรูปแบบท่ีหลากหลาย เพอื่ ให้สอดรบั กบั ปัญญาท่ี
มอี ย่หู ลายดา้ น
3. ในการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ควรวดั จากเครอ่ื งมอื ทหี่ ลากหลาย เพือ่ ให้สามารถครอบคลมุ
ปญั ญาในแต่ละดา้ น
ทฤษฎพี หุปญั ญาของการด์ เนอร์ ชใ้ี หเ้ ห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนษุ ย์ ซ่งึ มหี ลายด้าน
หลายมุม แต่ละดา้ นก็มคี วามอสิ ระ ในการพฒั นาตัวของมันเองใหเ้ จริญงอกงาม ในขณะเดยี วกนั ก็มีการ
บรู ณาการเข้าดว้ ยกนั เตมิ เตม็ ซงึ่ กันและกนั แสดงออกเป็นเอกลกั ษณท์ างปญั ญาของมนษุ ยแ์ ต่ละคน คน
หนึง่ อาจเกง่ เพียงดา้ นเดียว หรอื เก่งหลายดา้ น หรืออาจไมเ่ ก่งเลยสกั ด้าน แตท่ ชี่ ดั เจน คอื แตล่ ะคนมักมี
ปัญญาดา้ นใดดา้ นหนงึ่ โดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มใี ครท่มี ีปญั ญาทกุ ดา้ นเทา่ กันหมด หรอื ไม่มีเลยสกั ด้านเดียว
นบั เปน็ ทฤษฎี ทชี่ ว่ ยจดุ ประกายความหวัง เปิดกระบวนทัศนใ์ หม่ ในการศกึ ษาด้านสติปัญญาของมนุษย์
สามารถนามาประยุกตใ์ ช้ไดท้ ้ังในกลุ่มเด็กปกติ เด็กท่ีมีความบกพรอ่ ง และเด็กที่มคี วามสามารถพิเศษ
-30-
ตอนท่ี 5
วิเคราะห์หลกั สูตรและแผนการจดั การเรยี นร้หู ลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา
-31-
ผังมโนทศั น์ (Graphic View) บรู ณาการ รายวชิ าพระพุทธศาสนา เรอื่ ง วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา
กับกล่มุ สาระการเรยี นรู้อ่นื ๆ
สงั คมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม
สาระที่ 1
ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
- ศกึ ษาเรยี นรู้ / สรปุ องค์ความร้จู าก
บทเรียนเว็บไซด์ เรือ่ ง วนั วิสาขบชู า
วันมาฆบูชา และวนั อาสาฬหบูชา
ภาษาไทย วิทยาศาสตร์
สาระท่ี 1 การอา่ น สาระที่ 4 เทคโนโลยี
สาระท่ี 2 การเขยี น
สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพดู - ใช้เทคโนโลยี ในการสืบคน้ ข้อมลู
- จับใจความ สรุป / ตอบคาถาม เล่นเกม เรียนรบู้ ทเรียนเวบ็ ไซด์
รายงานจากเร่ืองทีอ่ ่าน และฟัง จดั ทา Graphic View และการนา
เสนอผลงาน
-32-
ความสมั พนั ธข์ องแผนการจดั การเรยี นรู้และนวตั กรรมวนั สาคญั
แผนการจัดการเรยี นรู้ บทเรียนสาเรจ็ รูปเว็บไซด์ สื่อประสม เวลา
แผนที่ 1 เรือ่ ง บทเรยี นเวบ็ ไซด์ เร่อื ง 1. ชุดกจิ กรรม เล่ม 1 2 ชั่วโมง
“ตรสั ร้ปู รินิพพานในวนั น้ี” “วนั วิสาขบชู า” 2. เกม “วิสาขบชู า”
3. สรปุ บทเรียน
แผนที่ 2 เรื่อง www.sites.google.com/site/ 4. เรยี นเลน่ เตน้ รอ้ ง
“อรหนั ต์มปี ระชมุ ไมน่ ัดหมาย” dongschool1152
1. ชุดกิจกรรม เลม่ 2 2 ชว่ั โมง
บทเรียนเวบ็ ไซด์ เรื่อง 2. เกม “มาฆบชู า”
“วนั มาฆบูชา” 3. สรุปบทเรยี น
4. เรยี นเล่น เต้นรอ้ ง
www.sites.google.com/site/
dongschool1142
แผนท่ี 3 เรือ่ ง บทเรยี นเว็บไซด์ เร่อื ง 1. ชดุ กจิ กรรม เลม่ 3 2 ชัว่ โมง
“รัตนตรัยก่อเกดิ จางา่ ยดาย” 2. เกม “อาสาฬหบชู า”
“วันอาสาฬหบชู า” 3. สรุปบทเรยี น
4. เรยี นเลน่ เตน้ รอ้ ง
www.sites.google.com/site/
dongschool1122
-33-
แผนการจัดการเรียนรบู้ ูรณาการ
แผนท่ี 1 เรือ่ ง “ตรัสรปู้ รนิ ิพพานในวันน”้ี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1-3 เวลา 2 ชว่ั โมง
ประจาวัน ...................ที่ ........ เดอื น ...................... พ.ศ. ............... ครูผสู้ อน นายยรรยง ปกปอ้ ง
1. สาระการเรียนรู้ และ มาตรฐานการเรยี นรู้
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส1.1 รู้ และเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคัญ ศาสดา หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนบั ถือ
และศาสนาอนื่ มศี รทั ธาที่ถูกตอ้ ง ยึดมนั่ และปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรมเพื่อการอยูร่ ว่ มกนั อย่างสันตสิ ุข
มาตรฐาน ส1.2 เข้าใจ ตระหนัก และปฏบิ ตั ิตน เปน็ ศาสนกิ ชนท่ีดี และธารงรักษาพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนา
ทต่ี นนับถอื
ภาษาไทย
สาระท่ี 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคดิ เพือ่ นาไปใชต้ ัดสนิ ใจ แกป้ ญั หาในการ
ดาเนนิ ชีวิตและมนี สิ ยั รกั การอ่าน
สาระท่ี 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่อื สาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขยี นเร่อื งราวใน
รูปแบบต่างๆ เขียนรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงั และดอู ยา่ งมีวจิ ารณญาณและพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความรูส้ ึกในโอกาส
ต่างๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
วทิ ยาศาสตร์
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพอ่ื การดารงชวี ิตในสังคมที่มกี ารเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว
ใช้ความรแู้ ละทักษะทางดา้ นวิ ทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์ อื่น ๆ เพอื่ แก้ปัญหา
หรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้
เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คานวณในการแกป้ ญั หาท่ีพบในชีวิตจรงิ อย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ
ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาได้อย่าง
มปี ระสทิ ธิภาพ รูเ้ ท่าทัน และมจี ริยธรรม
-34-
2. สาระสาคญั / ความคิดรวบยอด
2.1 วนั วิสาขบูชา ตรงกบั วันขน้ึ 15 ค่าเดือน 6 เปน็ วันคลา้ ยวนั ประสูติ ตรสั รูแ้ ละปรนิ พิ พานของ
องค์พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ซงึ่ สิง่ ทส่ี าคัญยิง่ ในการบังเกิดพระพทุ ธเจา้ ในโลก ก็คอื "ธรรมะ" ท่ี
พระองคท์ รงตรัสรู้ อนั เปน็ หลักในการดาเนนิ ชวี ติ
2.2 วิสาขบูชา ยอ่ มาจากคาวา่ "วสิ าขปรุ ณมีบูชา" แปลว่า "การบชู าในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ"
2.3 การศกึ ษาวนั สาคญั เรอื่ ง วนั วิสาขบูชา จะช่วยใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจ การสรปุ องคค์ วามรู้
และสรา้ งความตระหนกั ในความสาคญั ตลอดจนนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ย่างมีความสขุ
2.4 การสรา้ งเสริมคณุ ธรรมให้เกิดขน้ึ กบั ตนเอง ตลอดจนสามารถแนะนา ให้บุคคลอ่นื นาไปปฏบิ ัติ
นบั ว่าเปน็ การชว่ ยแก้ปญั หาในสงั คมทางหน่งึ และถือเปน็ การให้ “ธรรมทาน” ทป่ี ระเสรฐิ ยงิ่
2.5 ทักษะการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอร์เนต็ มคี วามจาเปน็ สาหรับการสืบค้นข้อมูล ในปัจจบุ ัน
และส่งเสรมิ การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 อธิบายความเป็นมาของวันวิสาขบูชาได้
3.2 บอกความสาคัญของวันวิสาขบูชาได้
3.3 สรปุ ใจความสาคญั ของวนั วิสาขบูชาได้
3.4 สรุปหลักธรรมทีไ่ ดจ้ ากวนั วิสาขบชู าได้
3.5 สรุปกิจกรรมของชาวพทุ ธในวนั วิสาขบูชาได้
3.6 สรปุ องค์ความรูท้ ไ่ี ด้จากการศึกษาบทเรยี นสาเรจ็ รูปเว็บไซดไ์ ด้
3.7 ใช้เทคโนโลยีในการสบื คน้ ข้อมูล และศกึ ษาบทเรียนได้
3.8 เรียนรู้บทเรยี นสาเร็จรูปเวบ็ ไซด์อย่างมีระบบ มวี ินัย และซอ่ื สัตย์
3.9 ร่วมกจิ กรรมอย่างมีความสุข และสนกุ สนาน
4. สาระการเรียนรู้
4.1 ความรเู้ รือ่ ง วันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา
4.2 ความรเู้ ร่ือง วันวิสาขบูชา
4.3 ความรู้เรื่อง กจิ กรรมของชาวพทุ ธในวันวิสาขบูชา
4.4 ทกั ษะการอ่านคาศัพท/์ ประโยคและข้อความ
4.5 ทักษะการพดู ตอบคาถาม/สรปุ สาระสาคญั จากเรือ่ ง
4.6 ทักษะการสรปุ เรอื่ ง (แต่งประโยค/สรุปสาระสาคญั จากเนือ้ หาท่ีอ่าน และจากการชมวดี ีโอ)
4.7 การจัดปา้ ยนิเทศแสดงผลงาน
4.8 ทักษะการใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอินเทอร์เนต็ (การเรยี นรู้ สบื ค้นขอ้ มลู นาเสนอและเล่นเกม)
-35-
5. สมรรถนะทสี่ าคัญของผู้เรียน
5.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร (การเขียนสรปุ สาระสาคัญ พดู ตอบคาถามและนาเสนอข้อมลู )
5.2 ความสามารถในการคิด (ฝกึ ตอบคาถาม คิดเปรยี บเทียบ และคดิ วเิ คราะหจ์ ากวีดิโอ)
5.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ฝึกการใชค้ อมพิวเตอร์ และอินเทอรเ์ นต็ ในการสืบคน้ ข้อมูล
และเรยี นรู้บทเรยี นเวบ็ ไซด์ ตลอดจนการสร้างเกมจากโปรแกรม 3D Album CS)
6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
6.1 รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ (บรู ณาการ ความรู้เกยี่ วกับศาสดาและศาสนาพุทธ รว่ มกจิ กรรมในวนั สาคัญ
ตา่ งๆ ของศาสนาพุทธ และงานประเพณีในชุมชน)
6.2 ซ่อื สตั ย์สจุ ริต (บทเรยี นสาเรจ็ รูปส่งเสริมในดา้ นความซอื่ สตั ย์ตอ่ ตนเอง ไมเ่ ปดิ ดูเฉลยก่อน)
6.3 มวี ินัย (บทเรียนสาเร็จรูปสง่ เสริมให้ผเู้ รียนทาตามขน้ั ตอนในการเรยี น จึงจะบรรลุจดุ ประสงค์)
6.4 ใฝเ่ รยี นรู้ (การมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นไปสบื คน้ ขอ้ มลู และศึกษาดว้ ยตนเองเพม่ิ เตมิ )
7. ชิน้ งาน / ภาระงาน
7.1 บันทกึ คะแนนการทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น
7.2 บันทึกคะแนนการเลน่ เกม “วนั สาคัญทางพระพทุ ธศาสนา”
7.3 ชดุ กจิ กรรม : เปดิ โลกการเรียนรูส้ ูโ่ ลกกว้าง เลม่ 1 เร่อื ง “วนั วิสาขบูชา”
7.4 เกมและสรปุ บทเรียนหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา จากโปรแกรม 3D Album CS
7.5 บัตรคา หรือสไลด์ Power Point คาศพั ท/์ ประโยคสรุปสาระสาคญั เกยี่ วกับหลักธรรม
ทางพระพทุ ธศาสนา
7.6 บัตรคา/แผนภมู ปิ ระโยคสรุปความรเู้ กยี่ วกบั วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
7.7 แฟม้ งานการเขยี น / รายงานการศึกษาคน้ ควา้ ของนกั เรียน
7.8 แผนภมู ิเพลง “วนั วิสาขบูชา”
7.9 แบบประเมนิ เจตคติตอ่ การจดั กิจกรรม และการพูดนาเสนอผลงาน
8. กจิ กรรมการเรียนรู้
8.1 กิจกรรมการเรียนรู้ : บทเรยี นเวบ็ ไซด์ “วนั วิสาขบชู า” (1 ชัว่ โมง 40 นาท)ี
ขั้นนาเขา้ สู่บทเรียน
1. ครูและนกั เรียนจัดเตรียมวสั ดุ อุปกรณใ์ นการจดั กิจกรรม ได้แก่ คอมพิวเตอร์ สายไฟ โปรเจคเตอร์
หรือโทรทศั น์ (หนา้ จอขนาดใหญ่) แบบทดสอบและสือ่ การเรยี นรู้ ให้เพียงพอและเหมาะสม
2. แนะนาเวบ็ ไซด์และวธิ ีใช้เวบ็ ไซด์ (http://www.sites.google.com/site/dongschool1120) ซง่ึ
เปน็ ช่ือเว็บไซด์บทเรยี นสาเรจ็ รูปเรื่อง “วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา” ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น
3. นกั เรียนฝกึ เปดิ เวบ็ ไซด์นห้ี น้าชัน้ เรียน โดยใหน้ าเสนอตอ่ เพอื่ นๆ ทางโปรเจคเตอรห์ รือโทรทศั น์
-36-
4. ก่อนศึกษาบทเรยี นให้เปิดดเู วบ็ ไซด์นาเรือ่ ง เพ่อื ทาความรู้จกั กบั วนั สาคัญตา่ งๆ ก่อน ดังภาพ
5. สนทนาซกั ถามเกย่ี วกับวนั สาคัญตา่ งๆ โดยใชค้ วามรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ ของนกั เรยี น เช่น
-วันทัง้ สามมคี วามสาคญั อยา่ งไร -วันทั้งสาม ตรงกับวันใด
6. จัดกจิ กรรมบูรณาการแบบสอดแทรกวชิ าภาษาไทย (ดังรายละเอียดในกิจกรรม ข้อ 8.2)
ขัน้ จดั กจิ กรรมโดยใช้บทเรยี นเว็บไซด์
7. นักเรยี นใช้เม้าส์คลกิ ไปที่ป้ายชอื่ ดา้ นบน “วันวิสาขบูชา” เพ่อื เร่ิมศกึ ษาบทเรยี น ดงั ภาพ
-37-
8. จะไดห้ น้าเวบ็ ไซดห์ น้าแรกคอื บทนา ให้ผู้เรียนอ่านความรใู้ นกรอบ เพ่อื นาเข้าส่เู รอ่ื ง ดังภาพ
9. ศกึ ษาความรู้ในกรอบ ซึ่งอาจจะมีภาพน่งิ หรอื ภาพเคลื่อนไหวเกย่ี วกบั สถานทีส่ าคัญต่าง ๆ
สนทนา ซักถามเก่ียวกับความรทู้ ี่ได้ โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิม
10. ใช้เมา้ ส์คลกิ ไปท่ีขนั้ ตอนในการเรียน (อยู่แถบข้างขวา) ศกึ ษาขนั้ ตอนในการเรยี น โดยครูช้ีแจง
เพิ่มเตมิ ว่า นักเรียนต้องปฏิบตั ไิ ปตามลาดับ และเพ่ือใหก้ ารเรียนบรรลุจุดประสงค์ นกั เรยี นจะ
ต้องไมเ่ ปิดดเู ฉลยก่อนหาคาตอบเสมอ ไม่เช่นนั้นการศึกษาบทเรยี นจะไม่เกดิ ประโยชน์เลย
11. นักเรียนใช้เม้าส์คลิกและศึกษาคาแนะนาในการเรยี นให้เข้าใจ และพร้อมทีจ่ ะเรียนในลาดบั ต่อไป
-38-
12. ใช้เม้าส์คลกิ ไปท่จี ดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ในแถบด้านขา้ งขวาของหนา้ เวบ็ เพจ ดงั ภาพ
13. อ่านจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่อื ทาความเขา้ ใจว่าเม่อื เรยี นจบบทเรียนน้ีแลว้ นักเรียนจะตอ้ ง
สามารถทาอะไรได้ โดยครชู ้แี จงเพ่ิมเติม
14. ใช้เมา้ ส์คลิกไปท่ีแบบทดสอบกอ่ นเรียน ทีอ่ ยูด่ า้ นขา้ งของหนา้ เวบ็ เพจ ดังภาพ
15. เรม่ิ ทาแบบทดสอบก่อนเรียน จากแบบทดสอบถูกผิด จานวน 10 ขอ้ เพอ่ื ทาใหท้ ราบความรู้
พืน้ ฐานเดมิ ของตนเอง โดยเขียนตอบลงในสมุดแบบฝึกหัด หรือในเอกสารท่ีครจู ัดเตรยี มให้
(นักเรยี นตอ้ งซือ่ สัตยต์ อ่ ตนเอง โดยจะต้องไมเ่ ปดิ ดเู ฉลยก่อนทกุ คร้ัง ไม่เช่นนนั้ การเรยี นบท
เรียนคร้งั น้ี กจ็ ะไม่เกิดประโยชนอ์ ะไรเลย)
-39-
16. ใช้เมา้ ส์คลิกไปท่กี รอบ 1.1 เป็นการเร่ิมศึกษาเน้ือหาของบทเรยี นจากกรอบแรก โดยนักเรยี น
จะต้องใช้ทกั ษะการสังเกต ทักษะการจับใจความสาคัญจากการอา่ นเน้ือหาในกรอบ เพื่อใชใ้ น
การตอบคาถามในกรอบถัดไป
17. ศึกษาบทเรยี นจากกรอบ 1.1 ไปจนถึงกรอบสดุ ทา้ ยตามลาดบั โดยการอา่ น ตอบคาถาม แลว้ จงึ
ตรวจสอบคาตอบในกรอบถดั ไป ซงึ่ ในบางกรอบจะมวี ีดโี อใหน้ กั เรียนดู แล้วจงึ ตอบคาถาม
18. ให้นักเรยี นตอบคาถามลงในชุดกิจกรรมเปิดโลกการเรยี นรสู้ ูโ่ ลกกว้าง เลม่ 1
19. จดั กจิ กรรมบูรณาการแบบสอดแทรก วิชาภาษาไทย (ดงั รายละเอียดในกิจกรรม ขอ้ 8.2)
20. เมื่อนักเรียนศกึ ษาบทเรียนถงึ กรอบสดุ ท้ายแลว้ จึงทาแบบทดสอบหลงั เรยี น และตรวจคาตอบ
ข้ันสรุปบทเรยี น
21. แบง่ กล่มุ แขง่ ขันเล่น “วนั วิสาขบชู า” โดยครูแนะนาวิธเี ปิดโปรแกรมและวธิ ีเลน่ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ
แล้วจงึ เรมิ่ เล่นไปทลี ะคาถาม แต่ละกล่มุ บนั ทกึ คาตอบทลี ะข้อจนครบทกุ ข้อ กล่มุ ไหนทาคะแนน
ไดม้ ากทีส่ ุดเปน็ ฝ่ายชนะ
22. ครูซักถามความร้คู วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั “วนั วิสาขบชู า” จากเนอ้ื หาในบทเรยี นเพ่ิมเติม เช่น
- วันวิสาขบูชา ตรงกับวันใด
- หลกั ธรรมใดท่เี กิดข้ึนในวันน้ี
- กจิ กรรมของชาวพทุ ธใดบา้ ง ทน่ี กั เรียนนาไปปฏบิ ัติ
- วนั วิสาขบูชา มคี วามสาคญั อย่างไร
- วันประสูติของพระพทุ ธเจ้า ผ่านมาแลว้ กี่ปี
23. ศกึ ษาสรุปบทเรียนจาก 3D Album CS และร้องเพลง “วนั วิสาขบูชา”
24. มอบหมายใหน้ กั เรยี นไปศึกษาบทเรียนเวบ็ ไซด์ และค้นควา้ ความรูใ้ นเนอ้ื หาเพ่ิมเติมในเวลาวา่ ง
-40-
8.2 กิจกรรมการเรียนรู้ “ภาษาไทย” (20 นาท)ี
จัดกจิ กรรมบรู ณาการแบบสอดแทรก ในขั้นจดั กิจกรรมบทเรยี นเว็บไซด์
1. นกั เรยี นอา่ นคาศพั ทเ์ กี่ยวกับ วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา และวนั วิสาขบูชา ไดแ้ ก่
- พระพทุ ธเจา้ วนั เพ็ญ ประสตู ิ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ดวงประทปี สิรมิ หามายา
- ลุมพนิ วี นั กสุ ินารา พุทธคยา สิทธัตถะ คฤหัสถ์ บรรพชติ กบลิ พสั ดุ์ เทวทหะ
2. ฝกึ อ่านคาศพั ท์ เตน้ และรอ้ งเพลง จากชดุ กจิ กรรม “เรยี นเลน่ เต้นร้อง”
3. ฝกึ แตง่ ประโยคจากคาเหล่าน้ี ใหไ้ ดใ้ จความสมบรู ณ์ ตัวอย่างเชน่
3.1 พระพุทธเจ้า : พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมวา่ เจา้ ชายสทิ ธัตถะ
3.2 วนั เพญ็ : วนั วิสาขบูชา ตรงกบั วันเพญ็ เดอื น 6
3.3 วนั วิสาขบูชา : วันวิสาขบูชา เป็นวันคลา้ ยวนั ประสูติ ตรสั รู้ ปรินพิ พาน ของพระพุทธเจ้า
3.4 ประสูติ : พระพทุ ธเจา้ ประสตู ิ ณ สวนลมุ พินวี นั
3.5 ตรัสรู้ : พระพทุ ธเจ้าตรสั รู้ เมอื่ พระองคม์ ีพระชนม์มายไุ ด้ 35 พรรษา
3.6 ปรนิ พิ พาน : สถานทีพ่ ระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพาน คอื กสุ ินารา
3.7 พุทธคยา : ปัจจบุ ันสถานทต่ี รัสรู้ของพระพุทธเจา้ เรียกวา่ พุทธคยา
3.8 วิสาขะ : วสิ าขปุรณมีบชู า คอื การบชู าในวันเพ็ญเดอื นวิสาขะ
3.9 สุทโธทนะ : เจ้าชายสิทธตั ถะ เปน็ พระราชโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ
3.10 ประชาบดีโคตรมี : ประชาบดโี คตรมี เปน็ พระกนิษฐาพระนางสริ มิ หามายา
4. อา่ นออกเสียงเพลง “วันวิสาขบูชา” สนทนาซักถามความรเู้ กี่ยวกบั เพลง
5. เลือกอ่านความรู้ในกรอบใดกรอบหน่งึ ของบทเรียนเว็บไซด์ แลว้ เขยี นสรุปสาระสาคัญ
ใหไ้ ดใ้ จความสมบรู ณ์ (ใครทาอะไร/ทีไ่ หน/อยา่ งไร)
6. นกั เรยี นทาชดุ กจิ กรรมเปดิ โลกการเรยี นรูส้ ่โู ลกกวา้ ง เล่ม 1
8.3 กิจกรรมการเรยี นรู้ “เทคโนโลยี” (30 นาท)ี
จดั กจิ กรรมบรู ณาการแบบคู่ขนาน ในช่วั โมงการเรยี นการสอนลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลารู้
1. นกั เรยี นฝึกทกั ษะการสบื คน้ ขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ เร่อื ง “วันวิสาขบูชา”
2. นกั เรยี นฝกึ ทักษะการพมิ พ์คา ตัดและตกแตง่ ภาพ จากโปรแกรม Photoshop
3. นกั เรียนฝกึ ทกั ษะการสรา้ งและตัดต่อวิดโี อ การสรา้ ง Gif Animation จากโปรมแกรม
Camtasia Studio 7 และ Ulead Cool 3D Studio
4. นาผลงานจากกิจกรรมในข้อ 2-3 มานาเสนอ และประเมินผล
5. นาผลงานจากกิจกรรมในขอ้ 4 มาปรับปรุงและพฒั นาชิน้ งาน
6. แบง่ กล่มุ วางแผนการสร้างสรรค์ผลงานประเภทตา่ งๆ ตามความสนใจ
7. ครูและนักเรียนรว่ มจดั แสดงผลงาน ประเมนิ ผลการจัดกิจกรรม .
-41-
9. ส่อื การเรยี นรู้
9.1 บทเรยี นสาเรจ็ รูป ประเภทเว็บไซด์ เร่อื ง “วนั วิสาขบชู า”
ชื่อเวบ็ ไซด์ http://www.sites.google.com/site/dongschool1152
9.2 ชดุ กจิ กรรมเปดิ โลกการเรยี นรสู้ โู่ ลกกว้าง เล่ม 1
9.3 เกมอาเซียน จากโปรแกรม 3D Album CS ไดแ้ ก่ “วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา”
9.4 คอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ หรอื โทรทศั น์จอขนาดใหญ่
9.5 สไลดส์ รุปความรู้เก่ยี วกับวนั วิสาขบูชา จากโปรแกรม 3D Album CS
9.6 บัตรคาหรอื สไลด์ Power Point ความรู้เกี่ยวกับวันวสิ าขบชู า
9.7 คาศัพทส์ าคญั และประโยคสรปุ ความรู้เก่ยี วกบั วันวิสาขบูชา
9.8 เพลง “วันวิสาขบูชา”
9.9 หนังสือเรยี น เอกสารต่างๆ และขอ้ มูลในการสืบคน้ จากห้องสมดุ หรืออนิ เทอรเ์ นต็
9.10 “เรียนเล่น เต้นรอ้ ง” จากโปรแกรม 3D Album CS
9.11 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรยี น ชนดิ ถกู ผดิ จานวน 10 ขอ้
10. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
10.1 การวัดและประเมินผลระหวา่ งจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
-การซักถาม ความรูค้ วามเขา้ ใจ
-การตรวจผลงาน การทาชุดกจิ กรรมเปดิ โลกการเรียนรสู้ ูโ่ ลกกว้าง เล่ม 1
-การตรวจผลงาน การเขยี นสรปุ เรือ่ ง
-การตรวจผลงาน การจดั ป้ายนิเทศ เร่ือง วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา
-การสงั เกตพฤตกิ รรม ได้แก่ การตอบคาถาม การอ่านคา/ขอ้ ความ และการพดู สรปุ เรอ่ื ง
และการรว่ มกิจกรรมในวันสาคัญ และงานประเพณขี องชมุ ชน
10.2 การวดั และประเมินผลหลงั จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
-การทาแบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น
-การสังเกตพฤตกิ รรม ได้แก่ ความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
-การสงั เกตพฤติกรรม ไดแ้ ก่ ความซ่อื สตั ย์ มีวินัย และใฝเ่ รียนรู้
-42-
11. บนั ทึกผลหลังการสอน
11.1 ด้านพุทธพิ สิ ัย (K)
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
11.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
11.3 ดา้ นจิตพิสัย (A)
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
(ลงชือ่ ) ............................................ ครูผู้สอน
(นายยรรยง ปกปอ้ ง)
ครูชานาญการพิเศษ โรงเรยี นบ้านดงเจรญิ
12. ความเห็นของหวั หน้าสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..
(นายสมเพศ คามใส)
ผู้อานวยการ โรงเรยี นบ้านดงเจรญิ
-43-
แผนการจัดการเรียนรบู้ รู ณาการ
แผนที่ 2 เร่ือง “อรหันต์มปี ระชมุ ไม่นัดหมาย” ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1-3 เวลา 2 ช่ัวโมง
ประจาวนั ...................ท่ี ........ เดือน ...................... พ.ศ. ............... ครผู ูส้ อน นายยรรยง ปกป้อง
1. สาระการเรยี นรู้ และ มาตรฐานการเรยี นรู้
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส1.1 รู้ และเขา้ ใจประวัติ ความสาคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาทต่ี นนบั ถือ
และศาสนาอ่นื มีศรัทธาทถี่ กู ต้อง ยดึ มนั่ และปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมเพ่ือการอยูร่ ว่ มกันอย่างสนั ตสิ ขุ
มาตรฐาน ส1.2 เข้าใจ ตระหนกั และปฏบิ ัติตน เป็นศาสนกิ ชนทดี่ ี และธารงรักษาพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา
ท่ีตนนบั ถอื
ภาษาไทย
สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสรา้ งความรู้และความคิดเพ่ือนาไปใช้ตดั สินใจ แกป้ ญั หาในการ
ดาเนินชวี ติ และมีนิสยั รกั การอ่าน
สาระท่ี 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขยี นเขยี นส่ือสาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขียนเรอ่ื งราวใน
รปู แบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมีวิจารณญาณและพูดแสดงความรู้ ความคิดและความรู้สึกในโอกาส
ต่างๆ อย่างมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์
วิทยาศาสตร์
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พือ่ การดารงชวี ติ ในสงั คมทีม่ กี ารเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเรว็
ใช้ความรแู้ ละทกั ษะทางดา้ นวิ ทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์ อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปญั หา
หรอื พฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คานวณในการแกป้ ญั หาทีพ่ บในชวี ติ จรงิ อย่างเป็นขน้ั ตอนและเปน็ ระบบ
ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศและการสือ่ สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาได้อย่าง
มปี ระสทิ ธิภาพ รูเ้ ทา่ ทัน และมจี ริยธรรม
-44-
2. สาระสาคญั / ความคิดรวบยอด
2.1 วันมาฆบูชา หมายถงึ การบูชา ในวันเพ็ญเดือน 3 เนอ่ื งในโอกาสคล้าย วนั ท่ีพระพุทธเจา้
ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์
2.2 วนั มาฆบูชา เป็นวนั ข้ึน 15 ค่า เดอื น 3 มเี หตุการณอ์ ัศจรรยท์ ่ี พระสงฆ์สาวกของพระพทุ ธเจา้
จานวน 1,250 รปู มาเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ณ วัดเวฬวุ นั เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ มไิ ด้นัดหมายกัน
พระสงฆ์ ทัง้ หมดเป็นพระอรหันต์ ผไู้ ด้อภญิ ญา ๖ และเป็นผู้ท่ีไดร้ บั การอุปสมบท โดยตรงจาก
พระพทุ ธเจ้า ในวันน้ีพระพทุ ธเจ้าได้ทรงแสดง โอวาทปาตโิ มกข์
2.3 การศึกษาวันสาคญั เรื่อง วันมาฆบชู า จะชว่ ยให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การสรปุ องคค์ วามรู้
และสร้างความตระหนกั ในความสาคัญ ตลอดจนนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ
2.4 การสรา้ งเสรมิ คณุ ธรรมให้เกดิ ข้นึ กับตนเอง ตลอดจนสามารถแนะนา ให้บุคคลอ่นื นาไปปฏิบัติ
นับว่าเป็นการช่วยแกป้ ญั หาในสังคมทางหนง่ึ และถือเปน็ การให้ “ธรรมทาน” ทีป่ ระเสรฐิ ยงิ่
2.5 ทกั ษะการใชค้ อมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ต มีความจาเปน็ สาหรบั การสืบค้นข้อมลู ในปัจจบุ นั
และส่งเสรมิ การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 อธบิ ายความเป็นมาของวนั มาฆบูชาได้
3.2 บอกความสาคัญของวนั มาฆบชู าได้
3.3 สรปุ ใจความสาคัญของวนั มาฆบูชาได้
3.4 สรุปหลกั ธรรมท่ีได้จากวันมาฆบชู าได้
3.5 สรุปกจิ กรรมของชาวพทุ ธในวนั มาฆบูชาได้
3.6 สรุปองคค์ วามรู้ทไี่ ด้จากการศึกษาบทเรยี นสาเร็จรูปเวบ็ ไซด์ได้
3.7 ใช้เทคโนโลยีในการสืบค้นขอ้ มลู และศกึ ษาบทเรียนได้
3.8 เรยี นรบู้ ทเรียนสาเรจ็ รูปเว็บไซดอ์ ยา่ งมีระบบ มีวนิ ยั และซื่อสตั ย์
3.9 รว่ มกจิ กรรมอยา่ งมคี วามสุข และสนุกสนาน
4. สาระการเรียนรู้
4.1 ความรเู้ รือ่ ง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
4.2 ความร้เู ร่ืองวนั มาฆบชู า
4.3 ความร้เู รอ่ื ง กจิ กรรมของชาวพทุ ธในวันมาฆบูชา
4.4 ทักษะการอ่านคาศัพท/์ ประโยคและข้อความ
4.5 ทักษะการพูดตอบคาถาม/สรปุ สาระสาคัญจากเรอ่ื ง
4.6 ทักษะการสรปุ เรื่อง (แต่งประโยค/สรปุ สาระสาคัญจากเน้อื หาทอ่ี ่าน และจากการชมวดี โี อ)
4.7 ทักษะการใช้คอมพวิ เตอร์และอินเทอรเ์ นต็ (การเรยี นรู้ สืบค้นขอ้ มลู นาเสนอและเลน่ เกม)
-45-
5. สมรรถนะที่สาคญั ของผู้เรียน
5.1 ความสามารถในการสื่อสาร (การเขยี นสรปุ สาระสาคญั พูดตอบคาถามและนาเสนอขอ้ มูล)
5.2 ความสามารถในการคิด (ฝึกตอบคาถาม คิดเปรยี บเทยี บ และคิดวเิ คราะหจ์ ากวดี โิ อ)
5.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ฝึกการใช้คอมพวิ เตอร์ และอนิ เทอรเ์ นต็ ในการสืบค้นข้อมลู
และเรยี นรบู้ ทเรียนเวบ็ ไซด์ ตลอดจนการสรา้ งเกมจากโปรแกรม 3D Album CS)
6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ (บูรณาการ ความรเู้ กยี่ วกบั ศาสดาและศาสนาพทุ ธ รว่ มกจิ กรรมในวนั สาคญั
ต่างๆ ของศาสนาพุทธ และงานประเพณใี นชุมชน)
6.2 ซื่อสตั ยส์ จุ ริต (บทเรยี นสาเรจ็ รูปสง่ เสรมิ ในดา้ นความซือ่ สัตย์ต่อตนเอง ไมเ่ ปิดดูเฉลยกอ่ น)
6.3 มีวนิ ัย (บทเรียนสาเรจ็ รปู สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนทาตามขั้นตอนในการเรยี น จงึ จะบรรลจุ ุดประสงค์)
6.4 ใฝ่เรยี นรู้ (การมอบหมายใหผ้ ้เู รียนไปสบื ค้นขอ้ มลู และศกึ ษาด้วยตนเองเพมิ่ เตมิ )
7. ชนิ้ งาน / ภาระงาน
7.1 บันทึกคะแนนการทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรยี น
7.2 บันทกึ คะแนนการเลน่ เกม “วันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา”
7.3 ชดุ กจิ กรรม : เปดิ โลกการเรียนรู้ส่โู ลกกว้าง เล่ม 2 เรื่อง “วันมาฆบูชา”
7.4 เกมและสรปุ บทเรียนหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา จากโปรแกรม 3D Album CS
7.5 บตั รคา หรอื สไลด์ Power Point คาศพั ท/์ ประโยคสรปุ สาระสาคญั เก่ยี วกับหลักธรรม
ทางพระพุทธศาสนา
7.6 บัตรคา/แผนภมู ปิ ระโยคสรปุ ความรเู้ ก่ยี วกับวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนา
7.7 แฟม้ งานการเขยี น / รายงานการศึกษาค้นคว้าของนกั เรียน
7.8 แผนภูมเิ พลง “วนั มาฆบชู า”
7.9 แบบประเมินเจตคตติ ่อการจัดกจิ กรรม และการพูดนาเสนอผลงาน
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
8.1 กิจกรรมการเรยี นรู้ : บทเรียนเวบ็ ไซด์ “วันมาฆบูชา” (1 ช่วั โมง 40 นาท)ี
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
1. ครแู ละนักเรยี นจัดเตรยี มวัสดุ อปุ กรณ์ในการจดั กิจกรรม ได้แก่ คอมพิวเตอร์ สายไฟ โปรเจคเตอร์
หรือโทรทศั น์ (หนา้ จอขนาดใหญ่) แบบทดสอบและส่อื การเรยี นรู้ ใหเ้ พยี งพอและเหมาะสม
2. แนะนาเวบ็ ไซดแ์ ละวธิ ีใช้เวบ็ ไซด์ (http://www.sites.google.com/site/dongschool1120) ซง่ึ
เปน็ ชอ่ื เว็บไซด์บทเรียนสาเร็จรูปเรื่อง “วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา” ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้
3. นักเรียนฝึกเปิดเว็บไซด์นหี้ นา้ ช้นั เรยี น โดยให้นาเสนอตอ่ เพ่ือนๆ ทางโปรเจคเตอร์หรือโทรทัศน์