The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาลปกคลอง สรุปคำวินิจฉัย 50

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by surapol_nak, 2023-02-08 08:34:10

ศาลปกคลอง สรุปคำวินิจฉัย 50

ศาลปกคลอง สรุปคำวินิจฉัย 50

สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง สํานักงานศาลปกครอง


สร ุ ปคํ าว ิ น ิ จฉ ัยของศาลปกครองส ู งส ุ ด ป พ.ศ. ๒๕๕๐ ในประเด็ นเก ี่ยวก ั บกระบวนวธ ิี พ ิ จารณาคด ีปกครอง สํานักพฒนาระบบงานคดั ีปกครอง สํานักงานศาลปกครอง


คํานํา เน ื่ องจากการดําเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีในศาลปกครองตามพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามระเบียบของท ี่ประชุมใหญ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ถือเปนเร ื่องใหม ท ี่ เพ ิ่ งพัฒนาข ึ้ นเม ื่อไดมีการจัดต ั้งศาลปกครอง โดยยังมีตําราและเอกสารตางๆ ท ี่ใหคําอธิบาย เก ี่ ยวกับแนวทางการดําเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีของศาลปกครองเพื่อใชในการศึกษาคนควา สําหรับเปนแนวทางในการปฏิบัติงานของเจาหนาที่ที่ เก ี่ ยวของเปนจํานวนนอย ดวยสาเหตุดังกลาวขางตน สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครองสํานักงานศาลปกครอง จึงไดจัดทําเอกสาร“สรุปหลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ จากคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด” ข ึ้ น โดยมีวัตถุประสงคที่จะนําหลักกฎหมาย ซ ึ่งศาลปกครองสูงสุดไดวินิจฉัยวางแนวทางเก ี่ ยวกับกระบวนวิธีพิจารณาคดีของศาลปกครอง มารวบรวม และจัดหมวดหมูใหเปนระบบเพ ื่อใหเปนแหลงขอมูลสําหรับตุลาการศาลปกครองและพนักงานคดีปกครอง ใชประโยชนในการปฏิบัติงาน รวมท ั้ งเพ ื่อใหบุคคลท ั่วไปที่สนใจไดใชในการศึกษาคนควาหลักกฎหมาย ดังกลาว ตลอดจนเพ ื่อใชเผยแพรความรูเก ี่ ยวกับหลักกฎหมายปกครองใหแพรหลายมากย ิ่ งข ึ้ น แตโดยที่ คําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดเก ี่ ยวกับกรณีดังกลาวท ี่ ผานมาในแตละปมีเปนจํานวนมาก จึงได แบงรวบรวมเป  นรายปและเร ิ่ มรวบรวมจากคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดปพ.ศ. ๒๕๕๐ เปนปแรก โดยในการรวบรวมครั้ งน ี้ไดจัดแบงเน ื้อหาออกเปน ๓ ฉบับ ฉบับแรก เปนการรวบรวมคําวินิจฉัย ของศาลปกครองสูงสุดเก ี่ ยวกับเขตอํานาจของศาลปกครอง ฉบับท ี่ สอง เปนการรวบรวมคําวินิจฉัย ของศาลปกครองสงสู ุดเก ี่ ยวกับเง ื่อนไขการฟองคดีปกครอง ซ ึ่ งท ั้ งสองฉบับไดเผยแพรไปเรียบรอยแลว สําหรับฉบับท ี่ สามน ี้เปนการรวบรวมคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดเก ี่ ยวกับกระบวนวิธีพิจารณา คดีปกครอง สํานักงานศาลปกครองหวังวา เอกสารท ี่ไดจัดทําข ึ้ นน ี้จะเปนประโยชนในการสนับสนุน การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง รวมท ั้งเปนแหลงขอมูลในการศึกษาคนควาของผูที่สนใจได ตามสมควร สํานักงานศาลปกครอง มีนาคม ๒๕๕๒


สารบัญ หนา ๑. วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองช้นตั น ๑ ๑.๑ การฟองคดีตอศาล ๒ ๑) ลักษณะของคําฟอง ๒ ๒) ประเภทของคาฟํ อง ๔ ๒.๑) การแกไขเพิ่ มเติมคําฟอง ๕ (๑) คําฟองเพ ิ่ มเตมจะติ องเกยวข ี่ องกับคําฟองเดิมพอท ี่ จะรวม ๖ การพิจารณาและช ี้ ขาดตัดสินเขาดวยกนได ั  (๒)การแกไขเพิ่ มเติมคําฟอง ตองย ื่ นคําขอในชั้ นพิจารณาคดี๙ ของศาลปกครองชั้ นตน ๒.๒)การฟองแยง ๑๐ ๒.๓)การรองสอด ๑๑ ๑.๒ การตรวจคําฟอง ๑๔ ๑) คําฟองตองมีสาระสําคัญครบถวนตามทกฎหมายก ี่ ําหนด ๑๔ ๒) คดีที่นํามาฟองตองอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ๑๔ และการฟองคดีเปนไปตามเงื่อนไขแหงการฟองคดีปกครอง ๒.๑) ศาลตรวจเฉพาะเขตอํานาจศาลปกครองและเงื่อนไขแหงการฟองคดี๑๔ ไมอาจกาวลวงเขาไปวินิจฉยในประเด ั ็นเน ื้ อหาแหงคดี ๒.๒)การพิจารณาวาจะรับคําฟองไวพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่ง ๑๗ ไดหรือไมตองพิจารณาจากขอเท็จจริงท ี่ปรากฏในคําฟองและ ตามบทบัญญัติแหงกฎหมายท ี่ใชบังคับอยูในเวลายื่นฟอง ๓) การดําเนินการกรณีคําฟองมีสาระสําคัญไมครบถวน หรือไมชัดเจน ๑๗ ๔) ผลของคําส ั่ งรบคั ําฟองไวพจารณาิ๑๙ ๔.๑) คําส ั่ งรับคําฟองไว  พิจารณาเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา ๑๙ ๔.๒)คําส ั่ งรับคําฟองท ี่ยื่นฟองเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี๑๙ ไวพิจารณาเน ื่ องจากการย ื่นฟองคดีนั้นเปนประโยชนแกสวนรวม หรือมีเหตุจําเปนอื่น ยอมเปนที่สุด


(๒) หนา ๔.๓)คําส ั่ งศาลที่สั่ งรับคําฟองที่ยื่ นเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี๒๐ ไวพิจารณาโดยผิดหลงวาการย ื่นฟองคดีน ั้นเปนประโยชน แกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอื่น ไมถือวาเปนที่สุด ๑.๓ การแสวงหาขอเท ็จจริงของศาล ๒๑ ๑) การแสวงหาขอเท็จจริงจากคําฟอง คําใหการ คําคัดคานคําใหการ ๒๑ และคําใหการเพ ิ่ มเติม ๒) การแสวงหาขอเท็จจริงนอกเหนือจากท ี่ คูกรณีนําเสนอตอศาล ๒๒ เปนอํานาจดุลพินิจของศาลปกครอง ๑.๔ องคคณะพิจารณาพิพากษา ๒๒ ๑.๕ การน ั่ งพิจารณาคดี๒๔ ๑.๖ การทําคําพิพากษาและคําสง ั่ ๒๔ ๑.๗ การคืนคาธรรมเนียมศาล ๒๕ ๒.วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองสูงสุด ๒๕ ๒.๑ การอุทธรณคาพํ ิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ๒๖ ๑) กรณีที่ พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ๒๖ พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดใหเปนที่สุด ๒) กรณีท่ีพระราชบัญญัติวาดวยการวินิจฉัยช ี้ ขาดอํานาจหนาท่ี๒๖ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดใหเปนที่สุด ๓) กรณีที่ ระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวย ๒๗ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ กําหนดใหเปนที่สุด ๒.๒ การอุทธรณคาสํ ั่ งระหวางพิจารณา ๓๑ ๑) ความหมายของคําส ั่ งระหวางพิจารณา ๓๑ ๒) คําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ จะตองอุทธรณพรอมกับคําพิพากษาหรือ ๓๒ คําส ั่ งช ี้ ขาดคดี ๒.๓ ระยะเวลาการย ื่ นอุทธรณ๓๔ ๑) การอุทธรณคําพิพากษา ๓๔ ๒) การอุทธรณคําสั่ง ๓๕ ๒.๑) ย ื่ นอุทธรณภายในสามสิบวันนับแตวันที่ไดรับแจงคําสั่ง ๓๕ ๒.๒)ย ื่ นอุทธรณภายในสิบหาวันนับแตวันที่ไดรับแจงคําสั่ง ๓๖ ๒.๔ ผูมีสิทธิอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ๓๗


(๓) หนา ๒.๕ การมอบอํานาจใหยื่ นอุทธรณแทน ๓๙ ๒.๖ รูปแบบของคําอุทธรณ๔๐ ๑) คําอุทธรณตองมีขอคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครอง ๔๑ ช ั้ นตน (ขอ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง (๒)) ๒) ขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ ยกข ึ้ นอางในคําอุทธรณตองเปนขอเท็จจริง ๔๓ หรือขอกฎหมายที่ไดยกข ึ้ นวากันมาแลวโดยชอบในศาลปกครอง ช ั้ นตน (ขอ ๑๐๑ วรรคสอง) ๒.๑) ตองเปนขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายที่ไดยกข ึ้ นวากันมาแลว ๔๔ โดยชอบในศาลปกครองชั้ นตน ๒.๒)ขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายอันเกี่ ยวดวยความสงบเรียบรอย ๔๙ ของประชาชนหรือปญหาเก ี่ ยวกับประโยชนสาธารณะ สามารถ ยกข ึ้ นตอสูในชั้ นอุทธรณได ๓) คําอุทธรณตองใชถอยคําสุภาพ ๕๐ ๔) คําอุทธรณตองมีสาระอันควรไดรับการวินิจฉัย ๕๑ ๒.๗ อํานาจของศาลปกครองสูงสุดในการพิจารณาอุทธรณ ๕๒ ๑) กรณีคดีปรากฏเหตุที่มิไดปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงกฎหมายหรือ ๕๓ ระเบียบในสวนที่วาดวยการทําคําพิพากษาและคําสั่ง ตามขอ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๑) ๒) กรณีท ี่ศาลปกครองชั้ นตนฟงขอเท็จจริงยังไมพอแกการวินิจฉัย ๕๕ ช ี้ ขาดคดีตามขอ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๓) ๓) ศาลสามารถยกขอกฎหมายอันเกี่ ยวดวยความสงบเรียบรอยของ ๕๖ ประชาชนขึ้ นวินิจฉัยไดเอง ๓. การขอพิจารณาคดีใหม๕๗ ๓.๑ หลักเกณฑการขอพิจารณาคดีใหม ๕๗ ๑) กรณีที่จะขอใหพิจารณาคดีใหมไดตองเปนกรณีที่ศาลปกครองไดมี ๕๘ คําพิพากษาหรือคําส ั่ งช ี้ ขาดคดีนั้นเสร็จเด็ดขาดแลว ๒) เหตุผลในการขอพิจารณาคดีใหม ๕๙ ๓.๒ ผูมีสิทธิยื่ นคําขอ ๖๓ ๓.๓ ระยะเวลาในการยื่ นคําขอ ๖๔


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง สร ุ ปคําวนิิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ป พ.ศ. ๒๕๕๐ ในประเดนเก ็ ี่ ยวกบกระบวนวั ิธีพิจารณาคด ีปกครอง วิธีพิจารณาคดีปกครองเปนวิธีพิจารณาโดยใชระบบไตสวนซ ึ่ งแตกตางจากระบบ กลาวหาท ี่ใชในศาลยุติธรรม โดยศาลจะเปนผูแสวงหาขอเท็จจริงตางๆ ท ั้ งจากคูกรณีและบุคคล หรือหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐท ี่ เก ี่ ยวของกับขอพิพาทในคดีน ั้ น กระบวนวิธี พิจารณาจึงเก ี่ ยวของกับการดําเนินการของศาลต ั้ งแตการตรวจคําฟอง การแสวงหาขอเท็จจริง การรับฟงพยานหลักฐาน การสรุปสํานวน และการพิพากษาหรือตัดสินช ี้ ขาดคดี โดยที่ศาลปกครองแบงออกเปน ๒ ช ั้ น คือ ศาลปกครองชั้ นตน และศาลปกครอง สูงสุด วิธีพิจารณาคดีจึงแบงออกเปนวิธีพิจารณาคดีในศาลปกครองชั้นตน และวิธีพิจารณา คดีในศาลปกครองสูงสุด ซ ึ่ งมีกระบวนการพิจารณาท ี่ แยกตางหากจากกัน โดยวิธีพิจารณาคดีปกครอง ในศาลปกครองชั้ นตนจะปรากฏอยูในภาค ๒ แหงระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครอง สูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ สวนวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครอง สูงสุดจะปรากฏอยูในภาค ๓ แหงระเบียบเดียวกัน ในสวนของการสรุปคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับกระบวนวิธี พิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นตนในเอกสารนี้นั้น จะไมปรากฏคําวินิจฉัยเกี่ยวกับ วิธีการช ั่ วคราวกอนการพิพากษา เน ื่องจากไดมีการจัดทําเอกสารวิชาการเก ี่ ยวกับเร ื่ องดังกลาว แยกตางหากออกไปเปนการเฉพาะแลว อยางไรก็ดีเน ื่ องจากเน ื้ อหาท ี่ปรากฏในเอกสารฉบับน ี้เปนการสรุปจากคําวินิจฉัย ของศาลปกครองสูงสุดเฉพาะปพ.ศ. ๒๕๕๐ จึงอาจทําใหเน ื้อหาไมครอบคลุมถึงกระบวนวิธี พิจารณาคดีปกครองทั้ งหมด หากแตจะปรากฏเฉพาะในสวนท ี่ มีอยูในคําวินิจฉัยของศาล ปกครองสูงสุดในปดงกลั าวเทานั้น ๑. วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้ นตน วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้ นตนภายใตบังคับของพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของท ี่ประชุมใหญ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ มีรายละเอียดและ ข ั้ นตอนที่สําคัญ ดังน ี้ ๑.๑ การฟองคดีตอศาล วิธีพิจารณาคดีปกครองก็เชนเดียวกับวิธีพิจารณาคดีแพงหรือวิธีพิจารณา คดีอาญา ท ี่ ตองเร ิ่ มตนจากการท ี่ คูกรณีย ื่นฟองคดีตอศาล เม ื่อศาลปกครองรับคําฟองไว พิจารณาแลว จึงจะดําเนินกระบวนพิจารณาไปเปนลําดับจนกระท ั่ งมีคําพิพากษา ๑) ลักษณะของคําฟอง แมกฎหมายไมไดกําหนดวาคําฟองท ี่ ย ื่ นตอศาลปกครองจะตองทําในรูปแบบใด แตกฎหมายไดกําหนดสาระสําคัญของคําฟองไวตามมาตรา ๔๕ วรรคหน ึ่ งแหงพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองฯ วา คําฟองใหใชถอยคําสุภาพและตองมี (๑) ช ื่ อและท ี่ อยูของผูฟองคดี (๒) ช ื่ อหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐท ี่ เก ี่ ยวของอันเปน เหตุแหงการฟองคดี (๓) การกระทําท ั้ งหลายท ี่เปนเหตุแหงการฟองคดีพรอมท ั้ งขอเท็จจริง หรือพฤติการณตามสมควรเก ี่ ยวกับการกระทําดังกลาว (๔) คําขอของผูฟองคดี (๕) ลายมือช ื่ อของผูฟองคดีถาเปนการย ื่นฟองคดีแทนผูอ ื่ นจะตองแนบ ใบมอบฉันทะใหฟองคดีแทนมาดวย ซ ึ่งในปพ.ศ. ๒๕๕๐ มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดเก ี่ ยวกับสาระสําคัญ ท ี่ จะตองระบุในคําฟอง ดังน ี้ ๑.๑) ชื่ อหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐท ี่ เก ี่ ยวของ อันเปนเหตุแหงการฟองคดี ผูถูกฟองคดีเปนผูท ี่ จะตองปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ดังน ั้ น จึงตองกําหนดตัวผูถูกฟองคดีใหชัดเจน ในกรณีท ี่ คําฟองกําหนดตัวผูถูกฟองคดี ไมชัดเจน หรือไมครบถวน ศาลปกครองชั้ นตนสามารถกําหนดตัวผูถูกฟองคด ีใหชัดเจน หรือกําหนดเพ ิ่ มข ึ้ นเพ ื่อใหสอดคลองกับขอเท ็ จจริงในคําฟองและคําขอของผูฟองคดีได ตามท ี่ ผูฟองคดีฟองวา ท ี่ประชุมอธิการบดีแหงประเทศไทยมีมติ เก ี่ ยวกับการใชคะแนนการสอบวัดผลทางการศึกษาแหงชาติข ั้ นพ ื้ นฐาน (โอเน็ต) ในการคัดเลือก


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓ บุคคลเขาศึกษาตอในสถาบันอุดมศึกษาวา ใหใชคะแนนทดสอบท ี่ บุคคลน ั้นไดรับจากการเขาทดสอบ ดังกลาวในครั้ งแรกเทาน ั้ น ทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย เน ื่ องจากผูฟองคดีไดเขา ทดสอบโอเน็ตมาแลวหน ึ่ งคร ั้งและไดรับคะแนนนอยจนทําใหไมสามารถเขามหาวิทยาลัยไดน ั้ น โดยที่ ท ี่ประชุมอธิการบดีแหงประเทศไทยมิไดเกิดข ึ้นโดยผลของกฎหมาย แตเกิดจากการตกลง รวมกันระหวางอธิการบดีของมหาวิทยาลัยของรัฐ มติที่ประชุมอธิการบดีแหงประเทศไทยจึงปราศจาก กฎหมายรองรับ และไมมีสภาพบังคับโดยตัวเอง การท ี่ มติดังกลาวจะเกิดผลในทางปฏิบัติไดน ั้ น จําตองปรากฏดวยว าอธิการบดีของมหาวิทยาลัยของรัฐท ี่ เขารวมประชุมไดอาศัยอํานาจตามกฎหมาย วาดวยมหาวิทยาลัยของรัฐหรือตามท ี่ไดรับมอบจากสภามหาวิทยาลัยท ี่ ตนสังกัด ออกคําส ั่ งหรือ กระทําการตามมติดังกลาว ฉะน ั้ น จึงอนุโลมวาคําฟองคดีน ี้เปนการฟองอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ของรัฐซ ึ่ งรวมเปนท ี่ประชุมอธิการบดีแหงประเทศไทย (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๐๑/๒๕๕๐) การท ี่ ผูฟองคดีฟองคณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาเขตพ ื้ นท ี่ การศึกษาขอนแกน เขต ๒ วาผูถูกฟองคดีประกาศรับสมัครขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาเพ ื่ อแตงต ั้งใหดํารงตําแหนงผูอํานวยการสถานศกษาโดยประกาศว ึ า มีตําแหนงวางเพียง ๑๕ ตําแหนง ซ ึ่ งผูอํานวยการสํานักงานเขตพ ื้ นท ี่ การศึกษาขอนแกน เขต ๒ มีหนาท ี่ รับผิดชอบเก ี่ ยวกับการทําประวัติขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้ นท ี่ ท ี่ ผูฟองคดี สังกัด ตองรูวามีตําแหนงดังกลาววางมากกวาท ี่ประกาศ แตมิไดแจงหรือเสนอตอผูถูกฟองคดี เพ ื่ อทราบ ประกอบกับผูถูกฟองคดีก็ทราบอยูแลวแตไมประกาศใหทราบเพ ิ่ มเติมวามีตําแหนง วางอยูอีก เปนเหตุใหผูฟองคดีตองเสียสิทธิในการไดรับการแตงต ั้ ง จึงนําคดีมาฟองขอให ประกาศตําแหนงวางเพ ิ่ มเติมและบรรจุผูฟองคดีในตําแหนงดังกลาว คดีน ี้ นอกจากจะกําหนดให คณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพ ื้ นท ี่ การศึกษาขอนแกน เขต ๒ เปนผูถูกฟองคดีแลว ศาลชอบท ี่ จะกําหนดใหผูอํานวยการสํานักงานเขตพ ื้ นท ี่ การศึกษา ขอนแกน เขต ๒ เปนผูถูกฟองคดีเพ ิ่ มข ึ้ น เพ ื่อใหสอดคลองกับขอเท็จจริงในคําฟองและคําขอ ของผูฟองคดีตอไป (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๒๑/๒๕๕๐) ๑.๒) การกระทําท ั้ งหลายท ี่เปนเหตุแหงการฟองคดี คําฟองจะตองกลาวถึงการกระทําท ั้ งหลายท ี่เปนเหตุแหงการฟองคดี และมีขอเท็จจริงหรือพฤติการณตามสมควรเก ี่ ยวกับการกระทําดังกลาว ผูฟองคดีท ั้ งสิบบรรยายฟองวา ผูฟองคดีท ั้ งสิบไดใชประโยชนจาก ลําเหมืองสาธารณะทําการเกษตรกรรมมากวา ๑๐ ปแตเจาของท ี่ ดินรายหน ึ่งไดลอมร ั้วปดก ั้ น ลําเหมืองชวงท ี่ไหลผานที่ดินของตนและวางทอระบายน ้ําลงไปในลําเหมือง ทําใหน้ําในลําเหมือง ไหลไมสะดวกและผูฟองคดีท ั้ งสิบไมสามารถเขาไปดูแลลําเหมืองบริเวณดังกลาวไดผูฟองคดี


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔ ท ั้ งสิบไดรองขอใหเทศบาลตําบลท ี่ มีอํานาจหนาท ี่ ดูแลลําเหมืองส ั่งใหดําเนินการร ื้ อถอนร ั้ วและ ทอระบายน ้ํ า แตเทศบาลตําบลมีคําส ั่งใหร ื้ อถอนร ั้วออกไปอยางเดียวไมส ั่งใหร ื้ อถอนทอระบายน ้ํ า ออกไปดวย ผูฟองคดีท ั้ งสิบจึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําส ั่ งของเทศบาลตําบลท ี่ไมส ั่งใหร ื้ อถอน ทอระบายน ้ํ า คําฟองของผูฟองคดีน ี้ ถือเปนคําฟองท ี่ไดกลาวอางถึงการกระทําท ั้ งหลายท ี่เปนเหตุ แหงการฟองคดีพรอมท ั้ งขอเท็จจริงหรือพฤติการณตามสมควรเก ี่ ยวกับการกระทําดังกลาว และ ปรากฏคําขอท ี่ ศาลออกคําบังคับไดรวมท ั้ งคําฟองไดปรากฏชื่ อและท ี่ อยูของผูฟองคดีท ั้ งสิบ ช ื่ อหนวยงานทางปกครองที่ เก ี่ ยวของอันเปนเหตุแหงการฟองคดีและปรากฏลายมือช ื่ อของ ผูรับมอบอํานาจจากผูฟองคดีท ั้ งสิบลงช ื่อในคําฟองแทนซ ึ่งปรากฏหลักฐานตามเอกสารใบมอบ อํานาจท ี่ เสนอมาพรอมกับคําฟอง กรณีจึงเปนคําฟองท ี่ มีความสมบรณูครบถวนตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๗๓/๒๕๕๐) คําฟองที่ผูฟองคดีกลาวลอยๆ วา ผูถูกฟองคดีไมปฏิบัติหนาท ี่ ตามกฎหมายวาดวยขอมูลขาวสารของทางราชการ แตไมมีเอกสารหลักฐานวาผูฟองคดีไดมี หนังสือถึงผูถูกฟองคดีเพ ื่ อขอเอกสารเม ื่อใดและผูถูกฟองคดีดําเนินการอยางใด เปนคําฟอง ที่ไมสมบูรณเน ื่องจากไมมีฐานขอมูลท ี่แสดงในเบื้ องตนวาผูถูกฟองคดีไดละเลยการปฏิบัติหนาท ี่ ตามกฎหมายหรือไมรวมท ั้ งขอมูลบงช ี้ วาผูฟองคดีไดนําคดีมาฟองตอศาลภายในกําหนด ระยะเวลาการฟองคดีหรือไม (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๕๘๕/๒๕๕๐) คําฟองท ี่ ระบุเพียงวาสถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติและ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ออกมติกฎ ระเบียบ หลักเกณฑอ ื่ นๆ เก ี่ ยวกับการคัดเลือกบุคคลเขาศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐโดยนอกเหนืออํานาจหนาที่ทั้งไมประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงไมสามารถใชบังคับไดขอใหเพิกถอนการกระทําทางปกครองดังกลาวท ั้ งหมด ถือวาเปนคําฟอง ท ี่ มิไดระบุการกระทําท ี่เปนเหตุแหงการฟองคดีพรอมท ั้ งขอเท็จจริงหรือพฤติการณตามสมควร เก ี่ ยวกับการกระทําดังกลาวโดยชัดแจงตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้ ง ศาลปกครองฯ แตสามารถแกไขใหถูกตองไดโดยใหระบุวาประสงคจะขอใหศาลเพิกถอน ระเบียบ ขอบังคับ มติหรือคําสั่ง ฉบับใดบาง (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๗๘๖/๒๕๕๐) ๒) ประเภทของคําฟอง มาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ไดบัญญัติใหคําฟอง หมายความวา การเสนอขอหาตอศาล ไมวาจะไดเสนอตอศาลปกครองชั้ นตนหรือศาลปกครอง สูงสุด ไมวาจะไดเสนอในขณะที่ เร ิ่ มคดีโดยคําฟองหรือคํารองขอ หรือเสนอในภายหลังโดยคําฟอง เพ่มเติ ิม หรือแกไข หรือฟองแยง หรือโดยสอดเขามาในคดีไมวาจะดวยความสมัครใจ หรือ ถูกบังคับ หรือโดยมีคําขอใหพิจารณาใหม ดังน ั้ น คําฟองจึงอาจมีไดหลายรูปแบบ ท ั้ งน ี้ศาลปกครอง


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๕ สูงสุดเคยมีคําวินิจฉัยวา คํารองขอใหศาลหมายเรียกธนาคารพาณิชยซ ึ่งเปนผูค ้ําประกันสัญญา จางเหมากอสรางปรับปรุงขยายการประปา มาเปนผูถูกฟองคดีรวมกับเอกชนผูรับจาง และขอ แกไขเพิ่มเติมคําฟองขอใหธนาคารพาณิชยชําระเงินตามสัญญาค ้ําประกันพรอมดอกเบี้ย มีลักษณะเปนคําฟองตามมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๔๖๗/๒๕๕๐ และท ี่ ๔๘๙/๒๕๕๐) ๒.๑) การแกไขเพิ่ มเติมคําฟอง พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ไมไดกําหนดหลักเกณฑ วิธีการ ข ั้ นตอน หรือขอจํากัดเก ี่ ยวกับการแกไขเพิ่ มเติมคําฟองไวเปนการเฉพาะ แตหาก พิจารณาจากขอ ๔๘ ประกอบกับขอ ๖๒ วรรคสาม๑แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ จะไดความวาการขอแกไขคําฟองหรือย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติมจะตองกระทํากอนวัน ส ิ้ นสุดการแสวงหาขอเท็จจริง และคําฟองท ี่ แกไขหรือเพ ิ่ มเติมน ั้ นจะตองเก ี่ ยวของกับคําฟองเดิม พอท ี่ จะรวมการพิจารณาและช ี้ ขาดตัดสินเขาดวยกันได ๒นอกจากน ี้ เม ื่ อคําฟองเพ ิ่ มเติมถือเปน คําฟองดวย การย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติมจึงตองเปนไปตามเงื่อนไขของการฟองคดีดวย เชน ผูฟองคดี ตองไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากเหตุที่ ระบุในคําฟอง เพ ิ่ มเติม (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๐๙/๒๕๕๐) ตองมีการแกไขเยียวยาความเดือดรอนหรือ เสียหายกอนการฟองคดี (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๙๒/๒๕๕๐ และท ี่ ๑๙๒/๒๕๕๐) และตอง ดําเนินการภายในระยะเวลาการฟองคดี (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๔/๒๕๕๐) เปนตน ๑ ระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขอ ๔๘ คําคัดคานคําใหการของผูฟองคดีใหมีไดเฉพาะในประเด็นที่ไดยกข ึ้ นกลาวในคําฟอง คําใหการ หรือที่ศาลกําหนด ถาผูฟองคดีทําคําคัดคานคําใหการโดยมีประเด็นหรือคําขอเพิ่มข ึ้นใหมตางจากคําฟอง คําใหการ หรือที่ศาลกําหนด ใหศาลสั่งไมรับประเด็นหรือคาขอใหม ํ นั้นไวพิจารณา ขอ ๖๒ เมื่อองคคณะไดรับสํานวนคดีจากตุลาการเจาของสํานวนแลว หากเห็นวาไมมีกรณีที่จะตองแสวงหาขอเท็จจริง เพิ่มเติม ใหตุลาการหัวหนาคณะมีคําสั่งกําหนดวันหนึ่งวันใดเปนวันส ิ้ นสุดการแสวงหาขอเท็จจริงในคดีนั้น ใหศาลแจงใหคูกรณีทราบกําหนดวันส ิ้ นสุดการแสวงหาขอเท็จจริงลวงหนาไมนอยกวาสบวิ ัน บรรดาคําฟองเพิ่มเติม คําใหการ คําคัดคานคําใหการ คําใหการเพิ่มเติม รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นๆ ที่ยื่นตอศาล หลังวันส ิ้ นสุดการแสวงหาขอเท็จจริง ไมใหศาลรับไวเปนสวนหนึ่งของสํานวนคดีและไมตองสงสําเนาใหคูกรณีที่เกี่ยวของ ๒ การแกไขเพิ่มเติมคําฟองหรือคําใหการนั้น แมขอกําหนดตามระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จะมิไดกําหนด หลักเกณฑวิธีการ ขั้นตอน หรือขอจํากัดไวก็ตาม แตหากพิจารณาตามขอ ๖๒ วรรคสาม แหงระเบียบดังกลาวแลว ก็พอจะแปล ความหมายไดวา การยื่นคําฟองเพิ่มเติมนั้น จะกระทําไดกอนวันส ิ้ นสุดการแสวงหาขอเท็จจริง และคําฟองเพิ่มเติมจะตองอยูบน พ ื้ นฐานที่เกี่ยวของกับคําฟองเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและช ี้ ขาดตัดสินเขาดวยกันได(คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่๑๐๓/๒๕๕๐ และท ี่ ๗๖๒/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๖ ศาลปกครองสูงสุดไดมีคําวินิจฉัยเก ี่ ยวกับการขอแกไขคําฟอง หรือย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติม ดังน ี้ (๑) คําฟองเพ ิ่ มเติมจะตองเก ี่ ยวของกับคําฟองเดิมพอท ี่ จะ รวมการพิจารณาและชี้ ขาดตัดสินเขาดวยกันได (๑.๑) กรณีเก ี่ ยวของกับคําฟองเดิม เดิมผูฟองคดีฟองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑) และมหาวิทยาลัยมหิดล (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒) วาไมจัดสงขอมูลขาวสารใหแกผูฟองคดี ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปดเผยขอมูลขาวสารใหครบถวน อันเปนคดีพิพาท เก ี่ ยวกับการท ี่ เจาหนาท ี่ ของรัฐละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติ หนาท ี่ ดังกลาวลาชาเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหน ึ่ ง (๒) แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ตอมาในระหวางแสวงหาขอเท็จจริง ผูฟองคดียื่นคําฟองเพิ่มเติมเรียกคาเสียหายจากการท ี่ ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ไมจัดสงขอมูลขาวสารในกรณีขางตนจากผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ ซ ึ่งเปนหนวยงาน ตนสังกัด อันเปนคดีพิพาทเก ี่ ยวกับการกระทําละเมิดของเจาหนาท ี่ ของรัฐอันเกิดจากการละเลย ตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาท ี่ ดังกลาวลาชาเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน กรณีน ี้ เหตุแหงการฟองคดีตามคําฟอง เพ ิ่ มเติมเปนเหตุเดียวกับคดีตามคําฟองเดิม (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๔/๒๕๕๐) ๓ เดิมผูฟองคดีฟองขอใหศาลพิพากษาใหอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (ผูถูกฟองคดี) แกไขเพิ่ มเติมคําส ั่ งเล ื่ อนข ั้ นเงินเดือนประจําปงบประมาณ ๒๕๔๗ และคําส ั่งใหขาราชการรับรางวัลประจําปงบประมาณ ๒๕๔๗ กรณีของผูฟองคดีใหเสร็จส ิ้ น ภายในระยะเวลาที่ ศาลเห็นสมควร ตอมาหลังจากผูฟองคดีย ื่ นคําคัดคานคําใหการเพ ิ่ มเติม และศาลไดเรียกใหผูฟองคดีและผูถูกฟองคดีช ี้ แจงเพ ิ่ มเติมแลว ผูฟองคดีไดย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติม เรียกคาเสียหายจากการท ี่ ผูถูกฟองคดีเลือกปฏิบัติในการเลื่ อนข ั้ นเงินเดือนแกผูฟองคดี ตลอดเวลาสิบปท ี่ ผานมา (ต ั้ งแตป๒๕๓๗ ถึง ๒๕๔๗) พรอมกับเรียกคาเสียหายในกรณีอ ื่ นอีก คือ คาชดเชยเงินบํานาญท ี่ขาดไป คารักษาพยาบาล คาชดเชยความกาวหนาในหนาท ี่ ราชการฯลฯ ศาลเห็นวา คําฟองเพ ิ่ มเติมเรียกคาเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีเลือกปฏิบัติในการเลื่ อนข ั้ น เงินเดือนแกผูฟองคดีถือวาเหตุแหงคําฟองเพ ิ่ มเติมเปนการฟองในมูลละเมิดอันเกิดจากการ ๓ ในคดีน ี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา วันที่รูหรือควรรูเหตุแหงการฟองคดีทั้งสองกรณีเปนวันเดียวกัน การที่ผูฟองคดี ไดยื่นคําฟองเพิ่มเติมตอศาลเมื่อพนหนึ่งปนับแตวันที่รูเหตุแหงการฟองคดีศาลจึงไมอาจรับคําฟองเพิ่มเติมของผูฟองคดี ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๗ พิจารณาและมีคําส ั่ งเล ื่ อนข ั้ นเงินเดือนของผูถูกฟองคดีอันเปนมูลเหตุเดียวกันกับคําฟองเดิม (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๙๒/๒๕๕๐) ๔ เดิมผูฟองคดีฟองขอใหศาลส ั่งใหผูวาการตรวจเงินแผนดิน (ผูถูกฟองคดี) จัดสงสําเนาเอกสารท ี่ เก ี่ ยวของกับกรณีท ี่ ผูฟองคดีรองเรียนตอผูถูกฟองคดี เก ี่ ยวกับการจัดซ ื้ อพัสดุราชการไมชอบดวยกฎหมาย ซ ึ่ งผูฟองคดีรองขอใหจัดสงใหแกผูฟองคดี ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปดเผยขอมูลขาวสาร ตอมาผูฟองคดีไดย ื่ นคําฟอง เพ ิ่ มเติมขอใหศาลกําหนดสํานักงานการตรวจเงินแผนดินเปนผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ และใหชดใช คาเสียหายจากการท ี่ ผูถูกฟองคดีปฏิบัติหนาท ี่ ลาชาเกินสมควรเปนเหตุใหผูฟองคดีตองถูกปลด ออกจากตําแหนง ศาลเห็นวา ผูฟองคดีไดย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติมกอนวันส ิ้ นสุดการแสวงหา ขอเท็จจริง และแมวาคําฟองเพ ิ่ มเติมจะเปนคําขอใหมท ี่เปนคนละขอหากับคําฟองเดิม แตก็ เก ี่ ยวของกับคําฟองเดิมและเปนประเด็นแหงคดีเดียวกันพอท ี่ จะรวมการพิจารณาและช ี้ ขาด เขาดวยกันได (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๐๓/๒๕๕๐) เดิมผูฟองคดีซ ึ่ งดํารงตําแหนงปลัดเทศบาลฟองนายกเทศมนตรี คณะกรรมการประเมินผลงานของปลัดเทศบาล และคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด เปนผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ถึงผูถูกฟองคดีท ี่ ๓ ตามลําดับ ขอใหเพิกถอนคําส ั่ งของผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ท ี่ แตงต ั้ งผูฟองคดีไปประจําสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด และคําส ั่ ง แตงต ั้ งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงและใหเพิกถอนความเห็นของผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ ท ี่ไมผานการประเมินผลงานใหแกผูฟองคดีซ ึ่งศาลปกครองชั้ นตนไดรับคําฟองไวพิจารณาแลว ตอมาผูฟองคดีย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติมขอใหศาลมีคําส ั่ งระงับการรับโอน (ยาย) หรือคัดเลือก ปลัดเทศบาล ระดับ ๗ แทนตําแหนงของผูฟองคดี ศาลเห็นวาประเด็นตามคําฟองเพิ่มเติม ๔ ในคดีน ี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คําฟองเพิ่มเติมเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลปกครองฯ จึงตองยื่นฟองภายในกําหนดหนึ่งปนับแตวันที่รูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีฯลฯ ตามมาตรา ๕๑ แหง พระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ในการพิจารณาและมีคําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนดังกลาว ไดมีการแจงใหผูฟองคดี ไดทราบในแตละปงบประมาณแลว ถือวาผูฟองคดีไดรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีภายในรอบการประเมินพิจารณาเลื่อนขั้น เงินเดือนในปงบประมาณนั้นๆ การที่ผูฟองคดียื่นคําฟองเพิ่มเติมเมื่อวันที่๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ขอใหชดใชคาเสียหาย กรณีการเลือกปฏิบัติในการเลื่อนขั้นเงินเดือน ฯลฯ นั้น คาเสียหายสําหรับการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจําปงบประมาณ ๒๕๓๗ ถึง ๒๕๔๖ จึงเปนการฟองเพิ่มเติมที่พนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีแลว สําหรับคาเสียหายกรณีอื่นๆ เห็นวา เปนคาเสียหาย ที่ไมไดเกิดจากการพิจารณาและมีคําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนของผูถูกฟองคดีโดยตรง ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับความเดือดรอน หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายที่จะมีสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่งแหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนรับคําฟองเพิ่มเติมเรียกคาเสียหายเฉพาะจากคําสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนประจําปงบประมาณ ๒๕๔๗ ไว พจารณาิสวนคําฟองเพิ่มเติมในกรณีอื่นไมรับไวพิจารณา จึงเปนการชอบแลว


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๘ เปนประเด็นท ี่ มีความเก ี่ ยวของกันพอท ี่ จะรวมการพิจารณาและช ี้ ขาดตัดสินเขาดวยกันได (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๙๒/๒๕๕๐) ๕ เดิมผูฟองคดีย ื่ นคําฟองขอใหกรมชลประทาน (ผูถูกฟองคดี) จายเงินคาทดแทนท ี่ ดิน คาตนไมและคาบานเรือนเพ ิ่ มข ึ้ นจากราคาท ี่ กําหนดไวเดิม การท ี่ ผูฟองคดี ย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติม ขอใหผูถูกฟองคดีจายคาทดแทนเพ ิ่ มข ึ้นในสวนของคาแรงร ื้ อถอน คาซ ื้ อ ท ี่ ดินแปลงใหมคาปลูกบานใหมคาตนไมคาเสียโอกาสในการดําเนินธุรกิจ ถือเปนคําฟอง เพ ิ่ มเติมท ี่ เก ี่ ยวของกับคําฟองเดิมพอท ี่ จะรวมการพิจารณาและช ี้ ขาดตัดสินเขาดวยกันได (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๘๙๓/๒๕๕๐) (๑.๒) กรณีไมเก ี่ ยวกับคําฟองเดิม เดิมผูฟองคดีซ ึ่งเปนผูใชบริการสินเช ื่ อสวนบุคคลกับ ผูประกอบธุรกิจท ี่ไมใชสถาบันการเงินไดย ื่นฟองธนาคารแหงประเทศไทยเมื่ อวันท ี่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ ขอใหศาลเพิกถอนประกาศของผูถูกฟองคดีลงวันท ี่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๘ เร ื่ อง การกําหนด หลักเกณฑวิธีการ และเง ื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเช ื่ อสวนบุคคลภายใตการกํากับ สําหรับ ผูประกอบธุรกิจท ี่ มิใชสถาบันการเงิน โดยใหมีผลใชบังคับต้ังแตวันท ี่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เฉพาะในสวนที่กําหนดใหผูประกอบธุรกิจอาจเรียกดอกเบ ี้ ย คาปรับ คาบริการและคาธรรมเนียมใดๆ เก ี่ ยวกับสินเช ื่ อสวนบุคคลภายใตการกํากับ ซ ึ่ งรวมกันแลวตองไมเกินรอยละ ๒๘ ตอปโดยผูฟองคดี อางวาผูใหบริการสินเช ื่ อสวนบุคคลภายใตการกํากับดูแลของผูถูกฟองคดีไดอาศัยประกาศ ดังกลาวเรียกเก็บดอกเบ ี้ ยจากผูฟองคดีซ ึ่งเปนผูใชบริการในอัตราท ี่ สูง ทําใหผูฟองคดีไดรับ ความเดือดรอนหรือเสียหาย ตอมาผูฟองคดีทราบจากคําใหการของผูถูกฟองคดีวา ประกาศ ดังกลาวไดถูกยกเลิกไปแลว และผูถูกฟองคดีไดออกประกาศเรื่ องเดียวกันใหมลงวันท ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙ โดยใหมีผลใชบังคับต ั้ งแตวันท ี่ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ ผูฟองคดีเห็นวาแมประกาศ ฉบับเดิมจะถูกยกเลิกไปแลว แตประกาศฉบับใหมก็ยังคงมีขอความใหผูประกอบธุรกิจเรียก ดอกเบ ี้ยในอัตราไมเกินรอยละ ๒๘ ตอปอยูเชนเดิม จึงขอแกไขคําฟองจากเดิมท ี่ ระบุประกาศ ของผูถูกฟองคดีท ี่ขอใหศาลเพิกถอน คือ ประกาศลงวันท ี่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๘ เปนประกาศ ของผูถูกฟองคดีลงวันท ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙ กรณีน ี้ ศาลเห็นวาในขณะยื่ นคําฟองคดีผูฟองคดี ไดรับผลกระทบจากประกาศของผูถูกฟองคดีลงวันท ี่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๘ ซึ่งมีผลใชบังคับ ๕ ในคดีน ี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีไดรองทุกขกรณีที่ผูบังคับบัญชาปฏิบัติตอตนโดยไมถูกตอง ฯลฯ ตอผูมี อํานาจพิจารณาคํารองทุกขตามกฎหมายแลว และไดนําคดีมาฟองตอศาลปกครองในขณะที่ยังไมพนระยะเวลาเกาสิบวันนับแต วันที่ผูมีอํานาจพิจารณาคํารองทุกขไดรับคํารองทุกขตามที่กฎหมายกําหนดใหพิจารณาคํารองทุกขใหแลวเสร็จ จึงเปนกรณี ที่ผูฟองคดีดําเนินการยังไมครบขั้นตอนตามที่กฎหมายกําหนดกอนนําคดีมาฟองตอศาลปกครอง


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๙ ต ั้ งแตวันท ี่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ยังไมไดรับผลกระทบจากประกาศฉบับใหม ดังน ั้ น ในขณะ ฟองคดีผูฟองคดีจึงยังมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากประกาศฉบับใหมจึงไมมีสิทธิ ฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ศาล ไมอนุญาตใหแกไขเพิ่ มเติมคําฟอง (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๐๙/๒๕๕๐) เดิมผูฟองคดีซ ึ่งเปนผูซ ื้ อท ี่ ดินพรอมส ิ่งปลูกสราง จากผูไดรับใบอนุญาตใหกอสรางอาคาร (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒) ฟองวาเทศบาลตําบล (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑) ละเลยตอหนาท ี่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยไมควบคุมดูแลใหผูถูกฟองคดี ท ี่ ๒ กอสรางอาคารและระบบสาธารณูปโภคใหถูกตองตามแบบแปลนที่ไดรับอนุญาต ขอให หนวยงานทางปกครองที่ เก ี่ ยวของดําเนินการตามอํานาจหนาท ี่ การท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นคําฟองเพ ิ่ มเติม วาผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ กอสรางอาคารรุกล ้ํ าเขตทางหลวง พรอมกบขอให ั เรียกกระทรวงคมนาคมและ กระทรวงมหาดไทยเขามาเปนผูถูกฟองคดีรวม ถือเปนการยกขอเท็จจริงเพ ื่ อต ั้งประเด็นพิพาท แตกตางจากฟองเดิมและมีคําขอใหมเพ ิ่ มเติมจากคําฟองเดิม อันมีผลเปนการฟองบุคคลอ ื่ น ในประเด็นท ี่ไมใชประเด็นพิพาทในคดีเดิม เสมือนเปนการฟองอีกคดีหน ึ่ งตางหากจากคดีเดิม จึงไมใชเปนกรณีแกไขเพิ่ มเติมคําฟองเดิมใหบริบูรณผูฟองคดีชอบท ี่ จะตองย ื่ นคําฟองเปนคดีใหม ตางหาก (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๗๑๒/๒๕๕๐) เดิมผูฟองคดีฟองขอใหผูบังคับบัญชาเปดเผยขอมูล เก ี่ ยวกับการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการ วินิจฉัยการเปดเผยขอมูลขาวสาร ซ ึ่งเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน ึ่ ง (๒) แหงพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองฯ แตคําฟองเพ ิ่ มเติมเปนการฟองวาผูบังคับบัญชามีคําส ั่งลงโทษทางวินัย ในลักษณะกล ั่ นแกลงผูฟองคดีใหเสียหายตอช ื่ อเสียง ถูกดูหม ิ่ นเกลียดชังโดยไมเปนธรรม ขอให เพิกถอนคําส ั่ งดังกลาวและใหชดใชคาเสียหายอันเน ื่ องมาจากการกระทําดังกลาว ซ ึ่งเปนคดีพิพาท เก ี่ ยวกับการท ี่ เจาหนาท ี่ ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายและคดีพิพาทเก ี่ ยวกับการท ี่ เจาหนาท ี่ ของรัฐกระทําละเมิดอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน ึ่ ง (๑) และ (๓) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน คําฟองเพ ิ่ มเติมจึงไมเก ี่ ยวของกับคําฟองเดิม (คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๗๖๒/๒๕๕๐) (๒) การแกไขเพิ่ มเติมคําฟอง ตองย ื่ นคําขอในชั้ นพิจารณาคดี ของศาลปกครองชั้ นตน เดิมผูฟองคดีย ื่นฟองและแกไขเพิ่ มเติมคําฟองใหเจาพนักงาน ที่ดินจังหวัดเชียงใหมสาขาสันทราย (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑) นายอําเภอสันทราย (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒) และกรมที่ดิน (ผูถูกฟองคดีที่ ๓) รวมกันชดใชคาเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมดําเนินการ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๐ ออกโฉนดที่ ดินใหผูฟองคดีเน ื่ องจากผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ คัดคานการรังวัด แตศาลปกครองชั้ นตน เห็นวาผูฟองคดีสามารถย ื่นฟองผูถูกฟองคดีท ี่ ๓ ใหรับผิดไดแตไมอาจย ื่นฟองผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ใหรับผิดเปนการสวนต ัวไดตามมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท ี่ พ.ศ. ๒๕๓๙ สวนการท ี่ ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ คัดคานการรังวัด เปนการดําเนินการในฐานะเดียวกับ เจาของท ี่ ดินท ั่วไป ไมใชเปนการใชอํานาจทางปกครอง จึงมีคําส ั่งไมรับคําฟองในสวนท ี่ฟอง ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ ไวพิจารณา คดีอยูระหวางการพิจารณาของศาลปกครอง สูงสุด ผูฟองคดีย ื่ นคํารองขอใหศาลปกครองสูงสุดเปลี่ยนแปลงตัวผูถูกฟองคดีเพ ื่อใหสอดรับกับ คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนในการฟ  องเรียกคาเสียหายจากหนวยงานของรัฐ ถือเปนการแกไข เพ ิ่ มเติมคําฟองและคําฟองเพ ิ่ มเติมเดิมของผูฟองคดีซ ึ่ งผูฟองคดีชอบท ี่ จะย ื่ นแกไขเพิ่ มเติม คําฟองนี้ไดในชั้ นพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตน ศาลปกครองสูงสุดจึงไมมีอํานาจรับคํารองขอ เปลี่ ยนตัวผูถูกฟองคด ีไวพิจารณาได(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๗๗/๒๕๕๐) ๒.๒) การฟองแยง คําฟองแยง ๖ คือคําฟองของผูถูกฟองคดีที่ฟองผูฟองคดีกลับ โดยถือเปนคําฟองใหม คําฟองแยงน ั้ นตองเก ี่ ยวของกับคําฟองเดิมท ี่ รวมพิจารณาเขาดวยกันได ถาคําฟองแยงไมเก ี่ ยวกับคําฟองเดิม ตุลาการเจาของสํานวนมีอํานาจส ั่งไมรับคําฟองแยง และ คําส ั่ งดังกลาวเปนที่สุด และโดยที่คําฟองแยงถือเปนคําฟอง ดังน ั้ น ผูถูกฟองคดีซ ึ่งเปนผูฟองแยง จึงตองปฏิบัติตามเง ื่อนไขของการฟองคดีดวยเชนกัน เชน กรมศิลปากรไดย ื่นฟองขอใหบริษัทรับเหมากอสราง (ผูถูกฟองคดี ท ี่ ๑) ชําระเงินคาปรับจากการกอสรางอาคารตามสัญญาจางเหมากอสรางไมแลวเสร็จภายใน กําหนดเวลา และขอใหธนาคาร (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒) ชําระเงินตามสัญญาค ้ําประกันการปฏิบัติ ตามสัญญาของผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ฟองแยงมาในคําใหการวา ผูฟองคดีตรวจรับงาน แตละงวดลาชาเกินกวาสามวัน และเหตุที่ การกอสรางลาชาเปนเพราะความผิดและบกพรองของ ผูฟองคดีทําใหผูถูกฟองคดีที่๑ ตองเสียคาใชจายในการทํางานเพิ่มมากขึ้น จึงฟองขอให ผูฟองคดีชดใชคาเสียหาย ศาลเห็นวา เปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ฟองโตแยงสิทธิที่มีตอผูฟองคดี ในมูลสัญญาเดียวกันกับคําฟองของผูฟองคดีจึงเปนคําฟองแยงท ี่ เก ี่ ยวกับคําฟองเดิม และโดยที่ ๖ ระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขอ ๔๔ ผูถูกฟองคดีจะฟองแยงมาในคําใหการก็ไดคําฟองแยงนั้นใหถือเสมือนเปนคําฟองใหม ในกรณีที่คําฟองแยงนั้นเปนเรื่องที่ไมเกี่ยวกับคําฟองเดิม ใหตุลาการเจาของสํานวนสั่งไมรับคําฟองแยง คําสั่งดังกลาว ใหเปนที่สุด


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๑ คําฟองแยงใหถือเสมือนเปนคําฟองใหมตามขอ ๔๔ แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงตองฟองภายในกําหนดระยะเวลาการฟองคดีเม ื่ อผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ฟองแยงเม ื่ อพนกําหนด ระยะเวลาการฟองคดีศาลจึงไมมีอํานาจรับคําฟองไวพิจารณา (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๑๔๑/๒๕๕๐) ๒.๓) การรองสอด ตามระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ขอ ๗๘ กําหนดวา “บุคคลภายนอกซ ึ่ งมิใชคูกรณีอาจเขามาเปนคูกรณีไดดวยการรองสอด ท ั้ งน ี้ใหนําความใน มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงมาใชบังคับโดยอนุโลม” บุคคลภายนอกซ ึ่ งมิใชผูฟองคดีหรือผูถูกฟองคดีอาจรองสอด เขามาเปนคูกรณีในคดีนั้นไดไมวาดวยความสมัครใจเนื่องจากเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อให ตนเองไดรับความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยูหรือเพราะมีสวนไดเสีย ตามกฎหมายในผลแหงคดีนั้น หรือถูกหมายเรียกใหเขามาในคดี ทั้งนี้โดยนําบทบัญญัติ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘๗แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาใชบังคับโดยอนุโลม ๗ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๕๗ บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความไดดวยการรองสอด (๑) ดวยความสมัครใจเองเพราะเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดรับความรับรองคุมครอง หรือบังคับ ตามสิทธิของตนที่มีอยู โดยยื่นคํารองขอตอศาลที่คดีนั้นอยูในระหวางพิจารณาหรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกรองเกี่ยวเนื่องดวย การบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง โดยยื่นคํารองขอตอศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น (๒) ดวยความสมัครใจเองเพราะตนมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีนั้น โดยยื่นคํารองขอตอศาล ไมวาเวลาใดๆ กอนมีคําพิพากษา ขออนุญาตเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวม หรือเขาแทนที่คูความฝายใดฝายหนึ่งเสียทีเดียว โดยไดรับความยินยอมของคูความฝายนั้น แตวาแมศาลจะไดอนุญาตใหเขาแทนที่กันไดก็ตาม คูความฝายนั้นจําตองผูกพันตน โดยคําพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งวามิไดมีการเขาแทนที่กันเลย (๓) ดวยถูกหมายเรียกเขามาในคดี (ก) ตามคําขอของคูความฝายใดฝายหนึ่งทําเปนคํารองแสดงเหตุวา ตนอาจฟองหรือถูกคูความเชนวานั้นฟองตนไดเพื่อการใชสิทธิไลเบ ี้ ยหรือเพื่อใชคาทดแทน ถาหากศาลพิจารณาใหคูความ เชนวานั้นแพคดีหรือ (ข) โดยคําสั่งของศาลเมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคําขอในกรณีที่กฎหมายบังคับ ใหบุคคลภายนอกเขามาในคดีหรือศาลเห็นจําเปนที่จะเรียกบุคคลภายนอกเขามาในคดีเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม แตถา คูความฝายใดฝายหนึ่ง จะเรียกบุคคลภายนอกเขามาในคดีดังกลาวแลว ใหเรียกดวยวิธียื่นคํารองเพื่อใหหมายเรียกพรอมกับ คําฟองหรือคําใหการ หรือในเวลาใดๆ ตอมากอนมีคําพิพากษาโดยไดรับอนุญาตจากศาล เมื่อศาลเปนที่พอใจวาคํารองนั้น ไมอาจยื่นกอนนั้นได การสงหมายเรียกบุคคลภายนอกตามอนุมาตราน ี้ ตองมีสําเนาคําขอ หรือคําสั่งของศาล แลวแตกรณีและคําฟองตั้งตน คดีนั้นแนบไปดวย บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ไมตัดสิทธิของเจาหนี้ในอันที่จะใชสิทธิเรียกรองของลูกหนี้และที่จะเรียกลูกหน ี้ ใหเขามาในคดีดังที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย (มีตอหนาถัดไป)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๒ ศาลปกครองสูงสุดมีคําวินิจฉัยเก ี่ ยวกับการรองสอดเขามาในคดีดังน ี้ แมการเรียกใหบุคคลภายนอกเขามาในคดีดวยการรองสอด ตามมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง ซ ึ่งใหนํามาใชกับ วิธีพิจารณาคดีปกครองโดยอนุโลมตามขอ ๗๘ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จะกําหนดใหการรองสอดตองอยูภายใตบังคับเง ื่อนไขกาหนดระยะเวลาการฟ ํ องคดีก็ตาม แตกรณีท ี่ ศาลเห็นความจําเปนท ี่ จะมีคําส ั่ งเรียกบุคคลภายนอกเขามาในคดีในฐานะผูถูกฟองคดีน ั้ น ศาลชอบท ี่ จะมีคําส ั่ งเรียกใหเขามาในคดีไดตั้ งแตวันที่มีการย ื่นฟองคดีและแมคําส ั่ งดังกลาวจะได ดําเนินการภายหลังวันย ื่นฟองคดีก็ตาม แตก็ใหถือวาศาลมีคําสั่งเรียกในวันยื่นฟองคดีนั้นเอง ดังน ั้ น การท ี่ ศาลเรียกบุคคลเขามาเปนผูถูกฟองคดีท ี่ ๓ ในคดีน ี้ ภายหลังวันย ื่นฟองประมาณ ๒ ปเศษ จึงถือไดวามีการเรียกใหเขามาในคดีต ั้ งแตวันฟองคดีแลว (คําพิพากษาศาลปกครอง สูงสุดท ี่ อ.๘๔/๒๕๕๐) การท ี่ บุคคลภายนอกจะขอรองสอดเขามาเปนผูฟองคดีรวม ตามขอ ๗๘ แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ประกอบกับมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๒) แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง นั้น ผูรองสอดจะตองเปนผูมีสวนไดเสียตามกฎหมาย ในผลแหงคดีหมายความวา ผลของคดีตามกฎหมายเปนผลไปถึงผูรองสอด โดยเปนผูท ี่ ถูก กระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคําพิพากษาในคดีโดยตรง เม ื่ อขอเท็จจริงในคดีเปนกรณีท ี่ องคการบริหารสวนตําบลฟองวาผูวาราชการจังหวัดและคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัด (ตอจากเชิงอรรถที่๗) มาตรา ๕๘ ผูรองสอดที่ไดเขาเปนคูความตามอนุมาตรา (๑) และ (๓) แหงมาตรากอนน ี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งวาตน ไดฟองหรือถูกฟองเปนคดีเรื่องใหมซึ่งโดยเฉพาะผูรองสอดอาจนําพยานหลักฐานใหมมาแสดงคัดคานเอกสารที่ไดยื่นไว ถามคานพยานที่ไดสืบมาแลว และคัดคานพยานหลักฐานที่ไดสืบไปแลวกอนที่ตนไดรองสอด อาจอุทธรณฎีกาคําพิพากษาหรือ คําสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไวและอาจไดรับหรือถูกบังคับใหใชคาฤชาธรรมเนียม หามมิใหผูรองสอดที่ไดเปนคูความตามอนุมาตรา (๒) แหงมาตรากอน ใชสิทธิอยางอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยูแกคูความ ฝายซึ่งตนเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวมในชั้นพิจารณาเมื่อตนรองสอด และหามมิใหใชสิทธิเชนวานั้นในทางที่ขัดกับสิทธิ ของโจทกหรือจําเลยเดิม และใหผูรองสอดเสียคาฤชาธรรมเนียมอันเกิดแตการที่รองสอด แตถาศาลไดอนุญาตใหเขาแทนที่ โจทกหรือจําเลยเดิม ผูรองสอดจึงมีฐานะเสมอดวยคูความที่ตนเขาแทน เมื่อไดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งแลว ถามีขอเกี่ยวของกับคดีเปนปญหาจะตองวินิจฉัยในระหวางผูรองสอดกับคูความฝาย ที่ตนเขามารวม หรือท่ีตนถูกหมายเรียกใหเขามารวม ผูรองสอดยอมตองผูกพันตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น เวนแต ในกรณีตอไปนี้ (๑) เนื่องจากความประมาทเลินเลอของคูความนั้น ทําใหผูรองสอดเขามาเปนคูความในคดีชาเกินสมควร ที่จะแสดงขอเถียงอันเปนสาระสําคัญไดหรือ (๒) เมื่อคูความนั้นจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรงมิไดยกข ึ้นใชซึ่งขอเถียงในปญหาขอกฎหมาย หรือขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญซึ่งผูรองสอดมิไดรูวามีอยูเชนนั้น


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๓ ละเลยตอหนาท ี่ไมพิจารณาหนังสือของผูฟองคดีท ี่ ขอความเห็นชอบในการบรรจุและแตงต ั้ งผูสอบ แขงขันไดเปนพนักงานสวนตําบล ซ ึ่ งหากผูฟองคดีเปนฝายชนะคดีผูท ี่ มีหนาท ี่ ตองปฏิบัติตาม คําพิพากษาคือ ผูวาราชการจังหวัดและคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัด โดยจะตอง พิจารณาหนังสือดังกลาวและดําเนินการอยางหน ึ่ งอยางใด ผูท ี่จะไดรับการบรรจุเปนพนักงาน สวนตําบลตามหนังสือขอความเห็นชอบดังกลาวจึงไมใชผูท ี่ ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับ โดยคําพิพากษาในคดีน ี้โดยตรง ดังน ั้ น จึงไมใชผูมีสวนไดเสียท ี่ จะรองสอดเขามาเปนคูกรณีได (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๗/๒๕๕๐) การท ี่ ผูรองสอดอางวาผูฟองคดีไมนาจะเปนผูมีสิทธิฟองคดี ซ ึ่ งเทากับเปนการปฏิเสธขออางของผูฟองคดีจึงมีลักษณะเปนฝายเดียวกับผถู ูกฟองคดีกรณีจึง เปนการรองสอดขอเขามาเปนจําเลยรวมตามมาตรา ๕๗ วรรคหน ึ่ ง (๒) แหงประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพง ประกอบกับมาตรา ๔๔ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯและขอ ๗๘ แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ซ ึ่ งผูรองสอดจะตองเปนผูมีสวนไดเสียตามกฎหมาย ในผลแหงคดีแตเม ื่ อผูฟองคดีขอใหมีการบังคับเก ี่ ยวกับเร ื่องการใชและเช ื่ อมตอโครงขาย โทรคมนาคมของผูถูกฟองคดีและขอใหชดใชคาเสียหาย โดยหากศาลมีคําพิพากษาบังคับ ตามคําฟองแลว ผูถูกฟองคดีเทาน ั้ นท ี่ จะตองถูกบังคับตามคําพิพากษา ผูรองสอดในฐานะเปน ประชาชนชาวไทยและนักวิชาการ มิไดถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับตามคําพิพากษา แตอยางใด ผูรองสอดจึงไมมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีจึงไมอาจถือไดวาผูรองสอด ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล ี่ยงได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คํารองสอดของผูรองสอด จึงเปนคํารองสอดท ี่ศาลไมอาจรับไวพิจารณาได(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๖๙/๒๕๕๐) การรองสอดเขามาเปนคูกรณีฝายเดียวกับบริษัท ทีโอทีจํากัด (มหาชน) (ผูถูกฟองคดี) น ั้ น ผูรองสอดตองมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีตามคําขอ บังคับของบริษัท ทรูมูฟ จํากัด (ผูฟองคดี) แตการท ี่ ผูฟองคดีมีคําขอบังคับเก ี่ ยวกับเร ื่องการใช และเช ื่ อมตอโครงขายโทรคมนาคมของผูถูกฟองคดีรวมท ั้งการชดใชคาเสียหาย ซ ึ่ งเฉพาะแต ผูถูกฟองคดีเทาน ั้ นท ี่ จะตองถูกบังคับตามคําพิพากษา ผูรองสอดในฐานะที่เปนประชาชน ชาวไทยและนักวิชาการดานนโยบายโทรคมนาคม มิไดถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับ ตามคําพิพากษาแตอยางใด จึงไมมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีผูรองสอดจึงไมใช ผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล ี่ยงได ตามมาตรา ๔๒ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๕๗๙/๒๕๕๐) การท ี่ ผูฟองคดีจะมีคํารองขอใหศาลหมายเรียกใหบุคคลภายนอก เขามาเปนคูกรณีในคดีผูฟองคดีจะตองย ื่ นคํารองตอศาลปกครองชั้ นตนท ี่ พิจารณาคดีกอนมี


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๔ คําพิพากษาโดยทําเปนคํารองระบุเหตุอันสมควรตามขอ ๗๘ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ ประกอบกับมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง ผูฟองคดีไมสามารถย ื่ นคํารองตอศาลปกครองสูงสุดเพ ื่อใหศาลปกครองสูงสุดดําเนินการดังกลาว (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๖๐๗/๒๕๕๐) ๑.๒ การตรวจคําฟอง การตรวจคําฟองเปนข ั้ นตอนแรกของการเร ิ่ มกระบวนพิจารณาคดีปกครอง โดยการตรวจคําฟองเบ ื้ องตนจะพิจารณาจากลักษณะของคําฟองวามีรายการครบถวนตามท ี่ กฎหมายกําหนดหรือไมจากน ั้ นจะพิจารณาวาคดีท ี่ นํามาฟองน ั้นเปนคดีท ี่ อยูในอํานาจพิจารณา พิพากษาของศาลปกครอง และการฟองคดีเปนไปตามเงื่อนไขแหงการฟองคดีปกครองหรือไม ๑) คําฟองตองมีสาระสําคัญครบถวนตามท ี่ กฎหมายกําหนด คําฟองที่ผูฟองคดีกลาวลอยๆ วา ผูถูกฟองคดีไมปฏิบัติหนาท ี่ ตามกฎหมาย วาดวยขอมูลขาวสารของทางราชการแตไมมีเอกสารหลักฐานวาผูฟองคดีไดมีหนังสือถึงผูถูกฟองคดี เพ ื่ อขอเอกสารเม ื่อใดและผูถูกฟองคดีดําเนินการอยางใด  เปนคําฟองท ี่ไมสมบูรณเน ื่องจากไมมี ฐานขอมูลท ี่แสดงในเบื้ องตนวาผูถูกฟองคดีไดละเลยการปฏิบัติหนาท ี่ ตามกฎหมายหรือไมรวมท ั้ ง ขอมูลบงช ี้ วาผูฟองคดีไดนําคดีมาฟองตอศาลภายในกําหนดระยะเวลาการฟองคดีหรือไม (คําส ั่ ง ศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๕๘๕/๒๕๕๐) ๒) คดีที่นํามาฟองตองอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และการฟองคดีเปนไปตามเงื่อนไขแหงการฟองคดีปกครอง ๒.๑) ศาลตรวจเฉพาะเขตอํานาจศาลปกครองและเงื่อนไข แหงการฟองคดีไมอาจกาวลวงเขาไปวินิจฉัยในประเด็ นเน ื้ อหาแหงคดี นอกจากคําฟองจะตองมีรายการครบถวนสมบรูณชัดเจนตามท ี่ กําหนดไวในมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ แลว จะตองปรากฏ ดวยวาขอพิพาทตามคําฟองดังกลาวเปนคดีพิพาทที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมี คําสั่งของศาลปกครอง และการฟองคดีเปนไปตามเง่อนไขแห ื งการฟองคดีหากตรวจคําฟอง แลวปรากฏวาเปนไปตามหลักเกณฑดังกลาวก็ชอบท ี่ศาลปกครองชั้ นตนจะมีคําส ั่ งรับคําฟองน ั้ น ไวพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส ั่ งช ี้ขาดประเด็นพิพาทหรือประเด็นท ี่เปนเน ื้ อเร ื่ องแหงคดีตอไป ศาลไมอาจกาวลวงเขาไปวินิจฉัยประเด็นขอพิพาทหรือประเด็นท ี่เปนเน ื้ อเร ื่ องแหงคดีเสียต ั้ งแต ในชั้นตรวจคําฟองไดดังคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดตอไปนี้


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๕ ในการตรวจคําฟองเพ ื่ อมีคําส ั่ งรับหรือไมรับคําฟองไวพิจารณา น ั้ น ศาลปกครองชอบที่ จะพิจารณาวินิจฉัยแตเพียงวาคดีพิพาทตามคําฟองน ั้นเปนคดีท ี่ อยู ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม และการฟองคดีเปนไปตามเงื่อนไข แหงการฟองคดีตามท ี่ กฎหมายวาดวยการจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง กําหนดหรือไมเทาน ั้ น ถาเห็นวาคดีพิพาทตามคําฟองน ั้นเปนคดีท ี่ อยูในอํานาจพิจารณา พิพากษาของศาลปกครอง และการฟองคดีเปนไปตามเงื่อนไขแหงการฟองคดีตามท ี่ กฎหมาย กําหนด ก็ชอบท ี่ จะมีคําส ั่ งรับคําฟองน ั้นไวพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส ั่ งช ี้ขาดประเด็นพิพาท หรือประเด็นท ี่เปนเน ื้ อเร ื่ องแหงคดีตอไป แตถาเห็นวาคดีพิพาทตามคําฟองน ั้นไมอยูในอํานาจ พิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หรือการฟองคดีไมเปนไปตามเงื่อนไขแหงการฟองคดี ตามท ี่ กฎหมายกําหนด ก็ชอบท ี่ จะมีคําส ั่งไมรับคําฟองน ั้นไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจาก สารบบความ ในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองในขั้ นตอนน ี้ศาลปกครองหาอาจ กาวลวงเขาไปวินิจฉัยประเด็นพิพาทหรือประเด็นท ี่เปนเน ื้ อเร ื่ องแหงคดีไดไม ดังน ั้ น การท ี่ ศาล ปกครองชั้ นตนในคดีน ี้ วินิจฉัยวา ผูฟองคดีซ ึ่งฟองขอใหศาลเพิกถอนคําส ั่ งของเจาพนักงาน ทองถ ิ่ นท ี่ ส ั่งใหผูฟองคดีร ื้ อถอนอาคารสวนท ี่ ตอเติมเพราะเปนการตอเติมท ี่ไมไดรับอนุญาตและ ไมสามารถแกไขเปลี่ยนแปลงใหถูกตองตามกฎหมายวาดวยการควบคุมอาคารไดรวมท ั้ ง คําวินิจฉัยอุทธรณของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณซ ึ่ งยืนตามคําส ั่ งดังกลาว เปนผูทําการ ตอเติมอาคารใหผิดไปจากเงื่อนไขที่ ระบุในใบอนุญาตกอสรางอาคาร อันเปนการกระทําท ี่ ขัดตอ กฎกระทรวง ฉบับท ี่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงเปนกรณีที่ผูฟองคดีกระทําผิดกฎหมายเสียเองแตกลับนําคดีมาฟองตอศาลวาคําส ั่งใหผูฟองคดี ร ื้ อถอนอาคารสวนท ี่ ตอเติมเปนคําส ั่ งท ี่ไมชอบดวยกฎหมาย อันเปนการใชสิทธิทางศาลโดยไมสุจริต ศาลจึงไมอาจรับคําฟองไวพิจารณา ถือเปนกรณีท ี่ศาลปกครองชั้ นตนกาวลวงเขาไปวินิจฉัย ประเด็นขอพิพาทหรือประเด็นท ี่เปนเน ื้ อเร ื่ องแหงคดีเสียต ั้ งแตในชั้ นตรวจคําฟองแลว จึงเปนการไมชอบดวยกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๑๘๙/๒๕๕๐) เม ื่ อคดีอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและผูฟองคดี เปนผูมีสิทธินําคดีมาฟองไดตามกฎหมาย รวมท ั้งเปนการฟองคดีภายในกําหนดระยะเวลา การฟองคดีศาลปกครองจะตองรับคดีไวพิจารณาพิพากษา ดังนั้น ในคดีที่บริษัทประกันภัย ย ื่นฟองกรมทางหลวงใหชดใชคาเสียหายกรณีไมดูแลรักษาตรวจตราปดฝาทอระบายน ้ําในเขต ทางหลวงใหอยูในสภาพเรียบรอย และไมจัดใหมีเคร ื่ องหมายเพ ื่อความปลอดภัยแสดงใหผูใชรถ ใชถนนทราบ เปนเหตุใหรถยนตคันท ี่เอาประกันภัยไวกับบริษัทตกลงไปในทอระบายน ้ํ า ซ ึ่งเปน คดีพิพาทเก ี่ ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองอันเกิดจากการละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๖ กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติและบริษัทประกันภัยไดเขารับชวงสิทธิจากผูเอาประกันภัยในการเรียกรอง คาเสียหายจากกรมทางหลวง บริษัทประกันภัยจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย จากการกระทําของกรมทางหลวง ซ ึ่ งการแกไขหรือบรรเทาความเดือดรอนหรือเสียหายน ั้ น ศาลสามารถมีคําบังคับใหกรมทางหลวงชดใชคาเสียหายดังกลาวไดบริษัทประกันภัยจึงเปน ผูมีสิทธิฟองคดีจึงชอบท ี่ศาลปกครองชั้ นตนจะรับคําฟองน ี้ไวพิจารณา โดยความเสียหาย ท ี่ เกิดข ึ้ นนั้น จะเกิดจากการท ี่ กรมทางหลวงละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ หรือไม เปนประเด็นแหงคดีท ี่ จะตองพิจารณาภายหลังจากท ี่ ศาลมีคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาแลว การท ี่ศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาโดยเห็นวาการฟองคดีน ี้ไมเขาเง ื่อนไข การฟองคดีเน ื่องจากกรมทางหลวงไมมีหนาท ี่ ควบคุมดูแลทางหลวงบริเวณท ี่ พิพาท ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นจึงไมไดเกิดจากการละเลยตอหนาที่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงจึงไมไดเปน ผูกอใหเกิดความเดือดรอนหรือเสียหายแกบริษัทประกันภัยนั้น คําสั่งไมรับคําฟองดังกลาว จึงเปนคําส ั่ งที่ไมชอบ (คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๐๘/๒๕๕๐) ขอสังเกต ในการพิจารณาเง ื่อนไขความเปนผูมีสิทธิฟองคดีพิพาทเก ี่ ยวกับ การท ี่ หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหตอง ปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาท ี่ ดังกลาวลาชาเกินสมควรน ั้ น บางคดีศาลมีคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา เพราะผูฟองคดีเปนผูไมมีสิทธิฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคหน ึ่ ง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้ ง ศาลปกครองฯ โดยใหเหตุผลวาเหตุแหงความเดือดรอนหรือเสียหายท ี่ ผูฟองคดีไดรับมิไดเกิดจาก การละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหผูถูกฟองคดีตองปฏิบัติผูถูกฟองคดีมิไดกระทําการ หรืองดเวนกระทําการอยางหน ึ่ งอยางใดที่เปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย เชน ในคดีท ี่ฟองนายกรัฐมนตรีและสํานักนายกรัฐมนตรีขอใหแตงต ั้ ง คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงเพ ื่ อหาขอสรุปวาผูใดตองรับผิดชอบในการที่ ผูฟองคดีถูกปลด ออกจากราชการทหาร และขอใหเพิกถอนคําส ั่งปลดผูฟองคดีออกจากราชการน ั้ น ศาลปกครอง วินิจฉัยวา ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีเกิดจากการท ี่ ผูบังคับบัญชามีคําส ั่งปลด ออกจากราชการเน ื่ องจากผูฟองคดีขาดหนีราชการไปจากหนวยตนสังกัดของผูฟองคดีเอง ซ ึ่ งหาก ผูฟองคดีเห็นวาคําส ั่ งดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย ก็ชอบท ี่ จะรองทุกขตอผูบังคับบัญชาตาม หลักเกณฑท ี่ กําหนดไวในพระราชบัญญัติวาดวยวินัยทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๖ ผูฟองคดี ไมอาจรองขอตอนายกรัฐมนตรีใหดําเนินการเชนน ั้นได ดังน ั้ น เม ื่ อเหตุแหงการเดือดรอนหรือ เสียหายที่ผูฟองคดีไดรับ มิไดเกิดจากการละเลยตอหนาท ี่ ตามท ี่ กฎหมายกําหนดใหนายกรัฐมนตรี


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๗ ตองปฏิบัตินายกรัฐมนตรีและสํานักนายกรัฐมนตรีจึงมิไดกระทําการหรืองดเวนกระทําการ อยางหน ึ่ งอยางใดที่เปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิ ฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๔๘/๒๕๕๐) ๒.๒) การพิจารณาวาจะรับคําฟองไวพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส ั่ ง ไดหรือไมตองพิจารณาจากขอเท ็ จจริงท ี่ปรากฏในคําฟองและตามบทบัญญัติแหงกฎหมาย ท ี่ใชบังคับอยูในเวลายื่นฟอง ซ ึ่ งมีตัวอยางคําวินิจฉัย ดังน ี้ การพิจารณาวาคดีท ี่ฟองน ั้ นอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลปกครองหรือไมคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครองเปนคําส ั่ งท ี่ ชอบดวยกฎหมาย หรือไมจําตองพิจารณาจากขอเท็จจริงท ี่ปรากฏในคําฟองและเอกสารประกอบคําฟอง และตาม บทบัญญัติแหงกฎหมายท ี่ใชบังคับอยูในเวลายื่นฟองเปนสําคัญ จะพิจารณาจากขอเท็จจริง ท ี่ กลาวอางในภายหลังในชั้ นอุทธรณหรือตามบทบัญญัติแหงกฎหมายท ี่ใชบังคับภายหลังเวลา ย ื่นฟองหาไดไมเม ื่ อผูฟองคดีไดใหขอเท็จจริงไวในคําฟองอยางไร ผูฟองคดีก็ตองรับผิดชอบ ในการใหขอเท็จจริงดังกลาว เพราะเปนขอเท็จจริงท ี่ ผูฟองคดีไดใหไวเอง (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๑๓๙/๒๕๕๐, ท ี่ ๒๔๔/๒๕๕๐, ท ี่ ๒๕๙/๒๕๕๐ และท ี่ ๔๑๕/๒๕๕๐) ๓) การดําเนินการกรณีคําฟองมีสาระสําคัญไมครบถวน หรือไมชัดเจน ตามขอ ๓๗ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา “เมื่อไดรับคําฟองจากพนักงานเจาหนาท ี่ ของศาล ใหอธิบดีศาลปกครองชั้ นตนจายสํานวนคดี ใหแกองคคณะพิจารณาพิพากษาโดยเร็ว ท ั้ งน ี้ ตามหลักเกณฑที่บัญญัติไวในมาตรา ๕๖ ใหตุลาการหัวหนาคณะแตงต ั้ งตุลาการในองคคณะคนหน ึ่งเปนตุลาการ เจาของสํานวน แลวใหตุลาการเจาของสํานวนตรวจคําฟอง ถาเห็นวาเปนคําฟองท ี่ไมสมบูรณ ครบถวนซ ึ่ งผูฟองคดีอาจแกไขไดหรือผูฟองคดีชําระคาธรรมเนียมศาลไมครบถวน ใหตุลาการ เจาของสํานวนมีคาสํ ั่งใหผูฟองคดีแกไขหรือชําระคาธรรมเนียมศาลใหครบถวนภายในระยะเวลา ท ี่ กําหนด ถาไมมีการแกไขหรือชําระคาธรรมเนียมศาลใหครบถวนภายในระยะเวลาที่ กําหนด หรือขอท ี่ไมสมบูรณครบถวนน ั้นเปนกรณีท ี่ไมอาจแกไขใหถูกตองไดหรือเปนคดีท ี่ไมอยูใน อํานาจของศาลปกครอง ใหตุลาการเจาของสํานวนเสนอองคคณะส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา และส ั่ งจําหนายคดีออกจากสารบบความ” จากบทบัญญัติดังกลาว คําฟองท ี่ไมสมบูรณครบถวนซ ึ่ งผูฟองคดีอาจ แกไขไดตุลาการเจาของสํานวนจะตองส ั่งใหผูฟองคดีแกไขคําฟองใหสมบูรณครบถวนภายใน


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๘ ระยะเวลาท ี่ กําหนด ถาไมมีการแกไขภายในระยะเวลาที่ กําหนด หรือขอท ี่ไมสมบูรณครบถวน น ั้นเปนกรณีท ี่ไมอาจแกไขใหถูกตองไดตุลาการเจาของสํานวนตองเสนอองคคณะส ั่งไมรับ คําฟองไวพิจารณาและส ั่ งจําหนายคดีออกจากสารบบความ ในกรณีท ี่ ผูฟองคดีอางวาอยูในสภาวะ ที่ไมสามารถดําเนินการตามคําสั่งศาลไดทันตามกําหนด ศาลตองพิจารณาตามขอเท็จจริง เปนรายกรณีดังตัวอยางคําวินิจฉัยตอไปนี้ ในคดีท ี่ ผูฟองคดีซ ึ่งเปนนักโทษเด็ดขาดในเรือนจําฟองเจาหนาท ี่ ฝายทัณฑปฏิบัติเรือนจํากลางคลองไผวา ผูฟองคดีเปนนักโทษเด็ดขาดช ั้ นกลางที่มีสิทธิสอบเล ื่ อนชั้น จากนักโทษชั้นกลางเปนช ั้ นดีฯลฯ ตามสิทธิท ี่ ผูตองขังจะไดรับตามท ี่ กรมราชทัณฑกําหนดไววา ๖ เดือนใหสอบหนึ่งครั้ง แตผูถูกฟองคดีตัดสิทธิไมใหผูฟองคดีสอบเลื่อนชั้น ทําใหไมมีสิทธิ ไดรับพระราชทานอภัยโทษและเสียสิทธิตางๆ จึงขอใหศาลพิพากษาหรือมีคําส ั่งใหผูฟองคดี มีสิทธิเล ื่ อนช ั้นเปนนักโทษชั้ นดีจนถึงดีเย ี่ ยม ซ ึ่งศาลปกครองชั้ นตนเห็นวาเปนคําฟองท ี่ไมสมบูรณ ครบถวน แตเปนกรณีท ี่ ผูฟองคดีอาจแกไขไดจึงส ั่งใหผูฟองคดีแกไขโดยใหระบุผูถูกฟองคดีและ พฤติการณแหงการฟองคดีใหชัดเจน โดยใหช ี้ แจงเพ ิ่ มเติมภายใน ๑๕ วันนับแตวันท ี่ไดรับหมาย แตผูฟองคดีไมดําเนินการแกไขคําฟองใหสมบูรณครบถวนภายในระยะเวลาที่ กําหนด จึงชอบ ท ี่ ศาลจะมีคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา ขออางของผูฟองคดีท ี่ วาเปนผูตองขังในเรือนจําทําให ไมสามารถทําคําชี้แจงไดทันตามกําหนดเวลานั้นฟงไมขึ้น เพราะแมผูฟองคดีจะเปนผูตองขัง แตก็อยูในสภาวะที่ จะดําเนินการเพ ื่ อช ี้ แจงหรือขอขยายระยะเวลาในการแกไขคําฟองตอศาล ปกครองชั้ นตนกอนพนระยะเวลาท ี่ ศาลกําหนดได(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๓๑/๒๕๕๐) ผูฟองคดี (ส ี่ สิบแปดราย) ย ื่นฟองขอใหเพิกถอนหลักเกณฑท ี่ กลุม สถาบันแพทยศาสตรแหงประเทศไทยกําหนดคุณสมบัติของผูมีสิทธิสมัครสอบคัดเลือกเขา ศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในระบบแอดมิชช ั่ นตรง ตอมามีผูย ื่ นคํารองสอดขอฟอง เชนเดียวกับผูฟองคดีแตไมไดย ื่ นหลักฐานเก ี่ ยวกับการศึกษาและช ี้ แจงตอศาลวาตองการสมัคร สอบเขาศึกษาในคณะใด มหาวิทยาลัยใด ศาลปกครองชั้ นตนจึงส ั่งใหผูรองสอดช ี้ แจงและสง หลักฐานเพ ิ่ มเติมภายใน ๗ วัน แตผูรองสอดไมช ี้ แจงและสงหลักฐานตอศาลภายในเวลา ท ี่ กําหนดโดยอางวา หมายแจงคําส ั่ งดังกลาวไดสงไปยังบานผูชวยผูใหญบานและผูรองสอด ไดรับหมายศาลเกินระยะเวลาท ี่ ศาลกําหนดแลวเปนเหตุใหสงเอกสารไมทันตามเวลาท ี่ ศาล กําหนดน ั้ น เม ื่ อขอเท็จจริงปรากฏวาศาลปกครองชั้ นตนไดสงหมายไปยังท ี่ อยูของผูรองสอด ตามท ี่ แจงตอศาล และตรงกับท ี่ อยูที่ ระบุในบัตรประจําตัวประชาชนของผูรองสอด จึงเปนการสงไป ยังภูมิลําเนาของผูรองสอด และยังปรากฏตามใบตอบรับไปรษณียลงทะเบียนวามีผูรับหมายศาล แลว ซ ึ่ งผูรองสอดจะตองเรงรัดทําคําช ี้ แจงและจัดสงหลักฐานตอศาลภายในระยะเวลาที่ กาหนดํ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๑๙ เมื่อผูรองสอดไมดําเนินการ กรณีจึงตองดวยขอ ๓๗ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธี พิจารณาคดีปกครองฯ จึงชอบท ี่ศาลปกครองชั้ นตนจะมีคําส ั่งไมรับคํารองสอดไวพิจารณา (คําส ั่ ง ศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๙๕/๒๕๕๐) ๔) ผลของคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณา ๔.๑) คําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา คําสั่งของศาลปกครองชั้นตนที่สั่งรับคําฟองไวพิจารณา ถือเปน คําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ ระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหอุทธรณ ระหวางพิจารณาไดผูถูกฟองคดีจึงตองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวพรอมกับการอุทธรณคําพิพากษา หรือคําส ั่ งท ี่ ทําใหคดีเสร็จส ิ้ นเด็ดขาดจากศาลตามขอ ๑๐๐ วรรคสอง แหงระเบียบดังกลาว ซ ึ่ งมี ตัวอยางคําวินิจฉัย ดังน ี้ เม ื่อไดย ื่ นคําฟองตอศาลปกครองชั้ นตนและศาลไดมีคําส ั่ งรับคําฟอง ไวพิจารณาแลว ศาลจะดําเนินกระบวนพิจารณาคดีจนเสร็จคดีแลวมีคําพิพากษาหรือคําส ั่ ง ช ี้ ขาดคดีซ ึ่งในระหวางท ี่ ศาลดําเนินกระบวนพิจารณากอนมีการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดีหากมีกรณีท ี่ ศาลปกครองชั้ นตนจักตองมีคําส ั่งในเรื่องใดๆ ท ี่ มิใชเปนการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดียอมถือวาคําส ั่ ง ดังกลาวเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา ซ ึ่ งหากขอ ๑๐๐ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหอุทธรณระหวางพิจารณาไดจะตองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวพรอมกับ การอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่ งท ี่ ทําใหคดีเสร็จเด็ดขาดจากศาล เม ื่ อคําส ั่งของศาลปกครอง ช ั้ นตนท ี่ รับคําฟองไวพิจารณาน ี้ มิใชการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดีจึงเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา และ ระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหอุทธรณระหวางพิจารณาไดผูถูกฟองคดี จึงไมสามารถอุทธรณวาศาลปกครองไมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน ี้ พรอมกับการอุทธรณ คําส ั่ งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุมครองเพ ื่ อบรรเทาทุกขช ั่ วคราวกอนการพิพากษาคดีเพราะ เทากับเปนการอุทธรณคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตนในระหวางพิจารณาคดี (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๖/๒๕๕๐ และท ี่ ๑๙๓/๒๕๕๐) ๔.๒) คําส ั่ งรับคําฟองท ี่ ย ื่นฟองเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี ไวพิจารณาเน ื่ องจากการย ื่นฟองคดีน ั้นเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอ ื่ น ยอมเปนท ี่สุด ตามขอ ๓๐ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพจารณาคดิ ีปกครองฯ(คําพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๔๒/๒๕๕๐ และท ี่ อ.๒๐๗/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๐ ๔.๓) คําส ั่ งศาลที่ส ั่ งรับคําฟองท ี่ ย ื่ นเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลา การฟองคดีไวพิจารณาโดยผิดหลงวาการย ื่นฟองคดีน ั้นเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมี เหตุจําเปนอื่น ไมถือวาเปนที่สุด ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา บทบัญญัติขอ ๓๐ วรรคสองแหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มีความหมายแตเพียงวาหามมิใหคูกรณีโดยเฉพาะอยางย ิ่ ง ผูถูกฟองคดีอุทธรณโตแยงคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตนตอศาลปกครองสูงสดุ เทาน ั้ น แตไมหามมิใหศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่ งเพิกถอนคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาเม ื่อปรากฏ แกศาลวาการมีคําส ั่ งดังกลาวเปนไปโดยผิดหลงวาคดีเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุ จําเปนอื่น อันเปนการดําเนินกระบวนพจารณาทิ ี่ ผิดระเบียบตามขอ ๗ แหงระเบียบเดียวกัน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๗๙/๒๕๕๐, ท ี่ ๒๐๒/๒๕๕๐, ท ี่ ๔๑๘/๒๕๕๐ และท ี่ ๕๑๑/๒๕๕๐) ศาลปกครองจะรับคําฟองคดีท ี่ ย ื่นฟองเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลา การฟองคดีไวพิจารณากรณีมีเหตุจําเปนอ ื่ นตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองฯ ตองเปนคดีท ี่ มีเหตุจําเปนท ี่ ทําใหผูฟองคดีไมสามารถนําคดีมาฟองภายใน กําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามที่กฎหมายกําหนด แตการที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด อํานาจหนาท ี่ ระหวางศาลมีคําวินิจฉัยวาภายหลังศาลปกครองเปดทําการแลว คดีเก ี่ ยวกับสัญญา ทางปกครองตองย ื่นฟองตอศาลปกครอง นั้น เปนเพียงการวินิจฉัยวาคดีพิพาทในเรื่ องน ั้ นอยูใน เขตอํานาจของศาลใดตามพระราชบัญญัติวาดวยการวินิจฉัยช ี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มิอาจถือเปนเหตุยกเวนบทบัญญัติกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามท่ีกฎหมาย กําหนดไดการที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหนาที่ระหวางศาลมีคําวินิจฉัยดังกลาว จึงมิใชเหตุจําเปนท ี่ ทําใหไมสามารถนําคดีมาฟองภายในกําหนดระยะเวลาการฟองคดี ๘ ดังน ั้ น เม ื่อศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาโดยวินิจฉัยวากรณีท ี่ คณะกรรมการวินิจฉัย ช ี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาลมีคําวินิจฉัยดังกลาวเปนกรณีท ี่ มีเหตุจําเปนอ ื่ น จึงเปนการรับคําฟอง ในสวนท ี่ เก ี่ ยวกับกระบวนพิจารณาในการเสนอคําฟองโดยผิดหลงและมิไดมีการปฏิบัติ ตามบทบัญญัติแหงกฎหมายวาดวยการจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองและเปนการ ดําเนินกระบวนพิจารณาท ี่ ผิดระเบียบตามขอ ๗ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ คําส ั่ งรับคําฟองดังกลาวถึงท ี่ สุดเฉพาะคูกรณีท ี่ จะอุทธรณโตแยงไมไดแตมิไดถึงท ี่ สุดสําหรับ ศาลที่พิจารณาเห็นไดเอง จึงไมเปนท ี่ สุดตามขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบเดียวกัน ท ี่ศาลไมอาจ เพิกถอนได ดังน ั้ น การท ี่ศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่ งเพิกถอนกระบวนพิจารณาท ี่ ส ั่ งรับคําฟอง ๘ คําวินิจฉัยที่วินิจฉัยในทํานองเดียวกนั ไดแกคําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๕๑๑/๒๕๕๐


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๑ ไวพิจารณาและกระบวนพิจารณาท ี่ไดดําเนินตอแตน ั้ นมา แลวมีคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ จึงชอบแลว (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๘๑/๒๕๕๐) ๑.๓ การแสวงหาขอเท็จจริงของศาล การแสวงหาขอเท็จจริงของศาลปกครองนั้น มีขอพิจารณาดังน ี้ ๑) การแสวงหาขอเท ็ จจริงจากคําฟอง คําใหการ คําคัดคานคําใหการ และคําใหการเพ ิ่ มเติม หากศาลเห็นวาขอเท็จจริงที่ไดจากคําฟองนั้น เพียงพอที่จะวินิจฉัย ชี้ขาดคดีไดศาลก็ไมจําเปนตองดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงจนครบทุกขั้นตอนก็ได ทั้งน ี้ ตามที่กําหนดไวในขอ ๖๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ โดยที่วิธีพิจารณาคดีปกครองเปนวิธีพิจารณาโดยใชระบบไตสวน ตุลาการ จึงสามารถแสวงหาขอเท็จจริงไดตามท ี่ เห็นสมควร ตลอดจนสามารถรับฟงขอเท็จจริงนอกเหนือ จากที่คูกรณีใหไวในสํานวนได ดังนั้น เม ื่ อศาลเห็นวาขอเท็จจริงที่ไดจากการแสวงหาขอเท็จจริง เพียงพอท ี่ ศาลจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส ั่ งช ี้ ขาดคดีไดแลว ศาลอาจดําเนินการไมครบ ทุกข ั้ นตอน ศาลอาจทําการสรุปสํานวนไดทันทีโดยไมตองแสวงหาขอเท็จจริงเพ ิ่ มเติมจาก คําคัดคานคําใหการของผูฟองคดีอีก จึงไมมีความจําเปนตองสงสําเนาคําใหการของผูถูกฟองคดี ไปใหผูฟองคดีท ี่ ๒ ทําคําคัดคานคําใหการ ตามขอ ๖๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดี ปกครองฯ หรือไมตองสืบพยานของผูฟองคดีตามท ี่ ผูฟองคดีมีคําขอเน ื่ องจากศาลเห็นวาเปนกรณี ท ี่ไมจําเปนท ี่ จะตองทําการแสวงหาขอเท็จจริงเพ ิ่ มเติมตอไป กรณีดังกลาวมใชิ กรณีท ี่ มีการดําเนิน กระบวนพิจารณาท ี่ ผิดระเบียบแตอยางใด (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๑๙ /๒๕๕๐ และท ี่ อ.๗๔-๗๕/๒๕๕๐) อน ึ่ ง มีคําวินิจฉัยท ี่ นาสนใจเกี่ ยวกับอํานาจศาลในการสั่ งจําหนายคดี ตามขอ ๔๗ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ในกรณีท ี่ ผูฟองคดีมิไดจัดทํา คําคัดคานคําใหการ หรือแจงความประสงคเปนหนังสือใหศาลพิจารณาพิพากษาคดีตอไป ภายในระยะเวลาที่ ศาลกําหนด ซ ึ่งศาลปกครองสูงสุดไดวางหลักการเร ื่ องน ี้ไววา ขอ ๔๗ วรรคสาม และวรรคส ี่ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิใชบทบังคับใหศาลตองมีคําส ั่ ง จําหนายคดีออกจากสารบบความเสมอไป แตใหอํานาจศาลใชดุลพินิจวาจะส ั่งใหจําหนายคดี ออกจากสารบบความหรือไมก็ไดโดยคํานึงถึงความยุติธรรมและเหตุผลอันสมควร รวมท ั้ งจะตอง คํานึงถึงเจตนาของผูฟองคดีดวยวามีเจตนาท ี่ จะละเลยเพิกเฉยตอคําส ั่ งศาลหรือไม (คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๕๐๒/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๒ ๒) การแสวงหาขอเท ็ จจริงนอกเหนือจากท ี่ คูกรณีนําเสนอตอศาล เปนอํานาจดุลพินิจของศาลปกครอง ในการพิจารณาคดีของศาลปกครองนั้น ในเบื้องตนศาลจะทราบ ขอเท็จจริงและพยานหลักฐานเก ี่ ยวกับคดีจากคําฟอง คําใหการ คําคัดคานคําใหการ และคําใหการ เพ ิ่ มเติม และโดยที่ วิธีพิจารณาคดีปกครองเปนวิธีพิจารณาในระบบไตสวน หากขอเท็จจริงหรือ พยานหลักฐานท ี่ไดจากการดําเนินการตามส ี่ ข ั้ นตอนขางตนยังไมชัดเจนครบถวน ศาลปกครอง ยอมมีอํานาจตรวจสอบและแสวงหาขอเท็จจริงนอกเหนือจากที่ปรากฏในคําฟอง คําใหการ คําคัดคานคําใหการ และคําใหการเพ ิ่ มเติมไดและในการแสวงหาขอเท็จจริงน ั้ น ถือเปนอํานาจ ดุลพินิจของศาลปกครองในอันท ี่จะไตสวนบุคคลใดก็ไดตามท ี่ เห็นสมควรหรือตามความเหมาะสม ศาลปกครองไมจําตองดําเนินกระบวนพิจารณาไปในทางหนึ่งทางใดตามความประสงคของคูความ ในคดีหรือตามพยานหลักฐานท ี่ คูกรณีกลาวอางเสมอไป (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๗๘/๒๕๕๐ และท ี่ อ.๑๕๑/๒๕๕๐) ๑.๔ องคคณะพิจารณาพิพากษา ตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ บัญญัติวา ศาลปกครองชั้ นตนตองมีตุลาการในศาลปกครอง ช ั้ นตนอยางนอยสามคน จึงจะเปนองคคณะพิจารณาพิพากษา อยางไรก็ตาม ในการดําเนินการบางอยางกฎหมายไดใหอํานาจตุลาการ นายเดียวดําเนินการไดโดยการไดรับมอบหมายจากองคคณะ ดังบัญญัติไวในมาตรา ๖๑ แหง พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ วา “ใหตุลาการศาลปกครอง คนหน ึ่งคนใดซึ่งไดรับมอบหมายจากองคคณะมีอํานาจ ดังตอไปนี้ (๑) มีคําส ั่ งเรียกใหหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐท ี่ เก ี่ ยวของ ช ี้ แจงขอเท็จจริง หรือใหความเห็นเปนหนังสือเก ี่ ยวกับการปฏิบัติงานของหนวยงานทางปกครอง หรือเจาหนาท ี่ ของรัฐท ี่ เก ี่ ยวของ (๒) มีคําส ั่ งเรียกใหหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท ี่ ของรัฐสงวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอ ื่ นท ี่ เก ี่ ยวของ หรือใหความเห็นในเรื่ องหน ึ่ งเร ื่องใด หรือสงผูแทน หรือเจาหนาท ี่ ของรัฐในหนวยงานทางปกครองนั้ นมาช ี้ แจงหรือใหถอยคําประกอบการพิจารณา (๓) มีคําส ั่ งเรียกใหคูกรณีมาใหถอยคําหรือนําพยานหลักฐานมาประกอบ การพิจารณา


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๓ (๔) มีคําส ั่ งเรียกใหบุคคลท ี่ เก ี่ ยวของกับคดีมาใหถอยคําหรือสงพยานหลักฐาน มาประกอบการพิจารณา (๕) ไตสวนหรือมีคําส ั่งในเรื่องใดที่ มิใชการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดี ท ั้ งน ี้ ตามท ี่ กําหนดในระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ในกรณีจําเปน ตุลาการศาลปกครองหรือบุคคลท ี่ไดรับมอบหมายจากตุลาการ ศาลปกครองมีอํานาจไปตรวจสอบสถานที่ บุคคล หรือส ิ่ งอ ื่นใดเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได” ซ ึ่ งระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยองคคณะ การจายสํานวน การโอนคดีการปฏิบัติหนาที่ตุลาการในคดีปกครอง การคัดคานตุลาการ ศาลปกครอง การปฏิบัติหนาที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจใหดําเนินคดี ปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ ๑๐ และขอ ๑๑ กําหนดไวดังน ี้ ขอ ๑๐ ใหตุลาการศาลปกครองซึ่งไดรับมอบหมายจากองคคณะมีอํานาจ ไตสวนหรือมีคําส ั่งในเรื่ องที่มิใชการวินิจฉัยชี้ ขาดคดีได ขอ ๑๑ ในการดําเนินการเพ ื่ อแสวงหาขอเท็จจริงของตุลาการเจาของสํานวน ใหถือวาตุลาการเจาของสํานวนเปนผูไดรับมอบหมายจากองคคณะใหใชอํานาจตามมาตรา ๖๑ ในสวนท ี่ เก ี่ ยวกับคดีที่ อยูในความรับผิดชอบของตน นอกจากกรณีที่กําหนดไวโดยเฉพาะในขอ ๑๐ และในวรรคหนึ่ งแลวใหตุลาการ เจาของสํานวนใชอํานาจตามท ี่ พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ และระเบียบฯ วาดวยวิธี พิจารณาคดีปกครองฯ หรือตามกฎหมายหรือระเบียบอ ื่ นกําหนดใหเปนอํานาจของศาล เวนแต เปนเร ื่ องเก ี่ ยวกับการดําเนินกระบวนพิจารณา การพิพากษาหรือมีคําส ั่ งท ี่โดยสภาพตองกระทํา เปนองคคณะ หรือเปนเรื่ องท ี่ อยูในอํานาจของประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครอง ช ั้ นตน อนึ่ง ในการที่ตุลาการจะมีคําสั่งตามคํารองหรือคําขอของคูกรณีนั้น ศาลปกครองสูงสุดวางหลักวา ตุลาการจะตองพิจารณาตามเจตนาของคูกรณีไมใชพิจารณาเพียง ถอยคําท ี่ ระบุอยูในคํารองหรือคําขอ เพราะคูกรณีอาจมีความเขาใจคลาดเคลื่อนไป เชน กรณีท ี่ ผูฟองคดีระบุในคํารองวาขอใหพิจารณาคดีใหมแตเม ื่ อพิจารณาเน ื้ อหา ตามคํารองแลว เห็นไดวาเปนการแสดงเหตุผลท ี่ ผูฟองคดีอางวาไมไดจงใจขาดนัดย ื่ นคําคัดคาน คําใหการ ซ ึ่งพอจะแปลเจตนาของผูฟองคดีไดวาเปนการอุทธรณคําส ั่ งจําหนายคดีออกจาก สารบบความของศาลปกครองชั้ นตนวาไมถูกตอง หากศาลปกครองชั้ นตนรับฟงเหตุผลท ี่ ผูฟองคดี กลาวอางมาแลว การดําเนินกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตนอาจเปลี่ยนแปลงไป การท ี่ ผูฟองคดีระบุในคํารองวาเปนคําขอใหพิจารณาคดีใหม เปนเพียงความเขาใจคลาดเคลื่ อนของ ผูฟองคดีเทาน ั้ น ดังน ั้ น เม ื่ อผูฟองคดีย ื่ นอุทธรณภายในสามสิบวันนับแตวันท ี่ไดรับแจงคําส ั่ ง


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๔ จึงชอบท ี่ศาลปกครองชั้ นตนจะดําเนินการตามขอ ๔๙/๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดี ปกครองฯ ตอไป การท ี่ ตุลาการเจาของสํานวนศาลปกครองชั้ นตนนายเดียวมีคําส ั่งใหยกคํารอง ของผูฟองคดีจึงเปนการดําเนินการท ี่ไมชอบดวยมาตรา ๖๑ วรรคหน ึ่ ง (๑) ถึง (๕) แหง พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๒๙/๒๕๕๐) ๑.๕ การน ั่ งพิจารณาคดี ตามระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ขอ ๘๓ กําหนดวา “ในการพิจารณาคดีใหศาลจัดใหมีการน ั่ งพิจารณาคดีอยางนอยหน ึ่ งคร ั้ ง เพ ื่อใหคูกรณีมีโอกาสมาแถลงดวยวาจาตอหนาศาล เวนแตคดีที่ ศาลมีคําส ั่ งจําหนายคดีออกจาก สารบบความ ศาลตองแจงกําหนดวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้งแรกใหคูกรณีทราบลวงหนา ไมนอยกวาเจ็ดวัน” ขอ ๘๔ วรรคหนึ่ง กําหนดวา “ในวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้ งแรก หากคูกรณีประสงคจะย ื่ นคําแถลงเปนหนังสือ ตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง ใหยื่นตอศาลกอนวันนั่งพิจารณาคดีหรืออยางชาที่สุดในระหวาง การน ั่ งพิจารณาคดี” การท ี่ ผูฟองคดีไมไดย ื่ นคําแถลงเปนหนังสือตอศาลกอนวันน ั่ งพิจารณาคดี และคูกรณีท ั้งสองไมมาศาลในวันน ั่ งพิจารณาคดีหลังจากศาลน ั่ งพิจารณาคดีจนเสร็จส ิ้ นแลว ผูรับมอบอํานาจของผูฟองคดีจึงเดินทางมาถึงศาล ดังน ี้ ผูฟองคดีไมอาจกลาวอางไดวา ศาล ปกครองชั้ นตนไมเปดโอกาสใหช ี้ แจงขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญเพ ื่อประกอบการพิจารณาคดี ของศาล และถือวาการดําเนินกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้นตนเปนไปโดยชอบแลว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๑๖๘/๒๕๕๐) ๑.๖ การทําคําพิพากษาและคําสั่ง ในการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีนั้น ศาลสามารถยกขอกฎหมาย อันเก ี่ ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนขึ้ นวินิจฉัยไดเอง ดังท ี่ กําหนดไวในขอ ๙๒ แหง ระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯโดยมีตัวอยางท ี่ศาลปรับบทกฎหมาย ดังน ี้ ขอกฎหมายท ี่ เก ี่ ยวกับระยะเวลาการฟองคดีเปนขอกฎหมายอันเก ี่ ยวดวย ความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลปกครองจึงมีอํานาจยกข ึ้ นวินิจฉัยไดเอง (คําพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๓๒/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๕ ประเด็นพิจารณาในคดีท ี่ วา ผูฟองคดีไดย ื่ นอุทธรณคําส ั่งลงโทษไลออก จากราชการภายในระยะเวลายื่ นอุทธรณหรือไมน ั้ น ศาลจําเปนตองใชบทบัญญัติในมาตรา ๔๐ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบการวินิจฉัย ซ ึ่งศาลปกครองยอม หยิบยกข ึ้ นวินิจฉัยไดเอง ประกอบกับบทบัญญัติดังกลาวเปนเปนบทบัญญัติวาดวยกําหนด ระยะเวลาการย ื่ นอุทธรณคําส ั่งทางปกครอง ซ ึ่ งเทียบเคียงไดกับกําหนดระยะเวลา การฟองคดีเปนปญหาขอกฎหมายเก ี่ ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลปกครอง ยอมยกข ึ้นไดเองเชนเดียวกัน (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๘๗/๒๕๕๐) ๑.๗ การคืนคาธรรมเนียมศาล ศาลปกครองจะมีอํานาจคืนคาธรรมเนียมศาลใหแกผูฟองคดีไดก็เฉพาะแต กรณีท ี่ ศาลอนุญาตใหถอนคําฟอง และส ั่ งจําหนายคดีออกจากสารบบความเพราะไมรับคําฟอง ไวพิจารณาตามขอ ๓๘ ประกอบกับขอ ๘๒ วรรคส ี่ แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ดังน ั้ น เม ื่ อคดีน ี้ศาลปกครองชั้ นตนไดส ั่ งรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาแลวแตผลการพิจารณา ปรากฏวาผูฟองคดีมิไดเสนอขอโตแยงใหอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยกอน จึงไดจําหนายคดีเพ ื่อให คูสัญญาไปดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๑๔ วรรคหน ึ่ ง แหงพระราชบัญญัติ อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ กรณีจึงไมเขาหลักเกณฑท ี่ ศาลจะคืนคาธรรมเนียมศาลใหผูฟองคดี (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๖๙๔/๒๕๕๐) ๒. วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองสูงสุด หากพิจารณาอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑๙ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ แลว อาจแบงวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครอง สูงสุดออกไดเปน ๒ ลักษณะ คือ การพิจารณาคดีท ี่ ย ื่นฟองศาลปกครองสูงสุดโดยตรงและการพิจารณา คดีที่อุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ๙พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑ ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังตอไปนี้ (๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยขอพิพาทตามที่ที่ประชุมใหญตุลาการ ในศาลปกครองสูงสุดประกาศกําหนด (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบดวยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา หรือกฎที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี หรือโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๓) คดีที่มกฎหมายกี ําหนดใหอยูในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด (๔) คดีที่อุทธรณคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นตน


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๖ การพิจารณาคดีท ี่ ย ื่นฟองตอศาลปกครองสูงสุดโดยตรงนั้ น ศาลจะนําวิธีพิจารณา คดีในศาลปกครองชั้ นตนมาใชโดยอนุโลม ท ั้ งน ี้ ตามขอ ๙๘๑๐แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ สวนการพิจารณาคดีท ี่ อุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน จะใช วิธีพิจารณาคดีตามที่กําหนดไวในภาค ๓ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ๒.๑ การอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน เม ื่อศาลปกครองชั้ นตนมีคําพิพากษาหรือคําส ั่งประการใด รวมถึงคําส ั่ งเก ี่ ยวกับ การละเมิดอํานาจศาลหรือคําส ั่ งอ ื่นใดที่ ทําใหคดีเสร็จเด็ดขาด หากคูกรณีไมพอใจยอมมีสิทธิย ื่ น อุทธรณไดภายใน ๓๐ วัน นับแตวันท ี่ไดมีคําพิพากษาหรือคําส ั่ ง ถามิไดย ื่ นอุทธรณตามกําหนด เวลาดังกลาว ใหถือวาคดีน ั้นเปนอันถึงท ี่ สุด ท ั้ งน ี้ ตามมาตรา ๗๓ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้ ง ศาลปกครองฯ อยางไรก็ดีมีขอพิจารณาวา มีคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนบางคําส ั่ งท ี่ กฎหมาย กําหนดใหถึงที่สุดจึงตองหามอุทธรณซ ึ่ งมีสาระสําคัญ ดังน ี้ ๑) กรณีท ี่พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดใหเปนท ี่สุด ไดแกคําส ั่ งอนุญาตใหดําเนินคดีโดยยกเวน คาธรรมเนียมศาลท ั้ งหมด ตามมาตรา ๔๕/๑ วรรคหนึ่ง ๑๑ ๒) กรณีท ี่พระราชบัญญัติวาดวยการวินิจฉัยชี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดใหเปนที่สุด ในกรณีท ี่ มีการย ื่นฟองคดีตอศาลใดแลว หากคูความฝายท ี่ ถูกฟองคดี ย ื่ นคํารองตอศาลท ี่ รับฟองคดีน ั้ นวา คดีดังกลาวไมอยูในเขตอํานาจของศาลท ี่ รับฟอง แตอยูใน อํานาจของอีกศาลหน ึ่ ง ศาลท ี่ รับฟองจะตองรอการพิจารณาแลวสงความเห็นไปยังศาลดังกลาว ในการนี้ คําส ั่ งของศาลท ี่ รับความเห็นท ี่ มีความเห็นพองกับศาลท ี่ สงความเห็น ไมวาจะเห็นวาคดี ๑๐ระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขอ ๙๘ การฟองคดีตามมาตรา ๑๑ (๑) (๒) และ (๓) ใหยื่นคําฟองตอศาลปกครองสูงสุด และใหนําวิธีพิจารณาคดี ปกครองในศาลปกครองชั้นตนตามที่กําหนดไวในภาค ๒ มาใชบังคับกับคดีที่ฟองตามขอนี้โดยอนุโลม ๑๑พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ . ๒๕๔๒ มาตรา ๔๕/๑ การฟองคดีที่ตองเสียคาธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคสี่หากคูกรณีใดยื่นคําขอตอศาล โดยอางวาไมมีทรัพยสินเพียงพอที่จะเสียคาธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผูขอถาไมไดรับยกเวนคาธรรมเนียมศาลจะไดรับ ความเดือดรอนเกินสมควร ถาศาลเห็นวามขีอเท็จจริงเพียงพอที่จะรับฟองไวพิจารณา หรือในกรณีอุทธรณซึ่งศาลเห็นวามีเหตุผล อันสมควรที่จะอุทธรณไดแลวแตกรณีและศาลไตสวนแลวเห็นวามีเหตุตามคําขอจริงก็ใหศาลอนุญาตใหคูกรณีนั้นดําเนินคดี โดยยกเวนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือเฉพาะบางสวนไดคําสั่งใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมดใหเปนที่สุด ฯลฯ ฯลฯ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๗ น ั้ นอยูในเขตอํานาจของศาลตนหรืออยูในเขตอํานาจของอีกศาลท ี่ สงความเห็น และคําส ั่ งของ ศาลท ี่ สงความเห็นท ี่ มีคําส ั่งใหโอนคดีไปยังศาลท ี่ รับความเห็นหรือส ั่ งจําหนายคดีเพ ื่อใหไปฟอง คดียังศาลท ี่ มีเขตอํานาจ ใหเปนท ี่ สุด ท ั้ งน ี้ ตามมาตรา ๑๐ ๑๒ แหงพระราชบัญญัติ วาดวยการวินิจฉัยช ี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เชน คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ส ั่ งจําหนายคดีเพ ื่อใหผูฟองคดีไปยื่นฟอง เปนคดีใหมตอศาลยุติธรรมตามมาตรา ๑๐ วรรคหน ึ่ ง (๑) แหงพระราชบัญญัติวาดวยการวินิจฉัยช ี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือเปนท ี่ สุด ตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พระราชบัญญัติเดียวกัน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๕๗/๒๕๕๐) ๓) กรณีที่ ระเบียบของที่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วา ดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ กําหนดใหเปนที่สุด ซ ึ่ งมีกรณียอยดังตอไปนี้ ๓.๑) คําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาในกรณีท ี่ ย ื่นฟองเม ื่ อพนกําหนด ระยะเวลาการฟองคดีแลว แตศาลเห ็ นวาคดีน ั้นเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุ จําเปนอื่น ในกรณีที่ผูฟองคดียื่นฟองเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดแลีว แตศาลเห็นวาคดีน ั้นเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอ ื่ น โดยศาลเห็นเองหรือคูความ มีคําขอ ศาลจะรับคําฟองไวพิจารณาก็ไดคําสั่งรับคําฟองไวพิจารณาในกรณีนี้ใหเปนที่สุด ๑๒พระราชบัญญัติวาดวยการวินิจฉัยชี้ ขาดอํานาจหนาท ี่ ระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ ในกรณีที่มีการฟองคดีตอศาลใด ถาคูความฝายที่ถูกฟองเห็นวาคดีดังกลาวอยูในเขตอํานาจของอีก ศาลหนึ่ง ใหยื่นคํารองตอศาลที่รับฟองกอนวันสืบพยานสําหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือกอนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก สําหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ใหศาลที่รับฟองรอการพิจารณาไวชั่วคราว และใหจัดทําความเห็นสงไปใหศาลที่คูความ รองวาคดีนั้นอยูในเขตอํานาจโดยเร็ว ในกรณีเชนน ี้ใหศาลที่เกี่ยวของดําเนินการ ดังตอไปนี้ (๑) ถาศาลที่สงความเห็นมีความเห็นวาคดีนั้นอยูในเขตอํานาจของศาลตน และศาลที่รับความเห็น มีความเห็นพองกับศาลดังกลาว ใหแจงความเห็นไปยังศาลที่สงความเห็นเพื่อมีคําสั่งใหดําเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลเดิม นั้นตอไป (๒) ถาศาลที่สงความเห็นมีความเห็นวาคดีนั้นอยูในเขตอํานาจของอีกศาลหนึ่งที่คูความอาง และศาลที่ รับความเห็นมีความเห็นพองกับความเห็นดังกลาว ใหแจงความเห็นไปยังศาลที่สงความเห็นเพื่อมีคําสั่งใหโอนคดีไปยังศาลนั้น หรือสั่งจําหนายคดีเพื่อใหคูความไปฟองศาลที่มีเขตอํานาจ ทั้งน ี้ ตามที่ศาลเห็นสมควรโดยคํานึงถึงประโยชนแหงความยุติธรรม ฯลฯ ฯลฯ คําสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และคําวินิจฉัยของคณะกรรมการที่เกี่ยวกับเขตอํานาจศาลตามวรรคหนึ่ง (๓) ใหเปนที่สุด และมิใหศาลที่อยูในลําดับสูงข ึ้นไปของศาลตามวรรคหนึ่งยกเรื่องเขตอํานาจศาลข ึ้ นพิจารณาอีก ฯลฯ ฯลฯ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๘ ตามขอ ๓๐ วรรคสอง๑๓แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ โดยมีคําวินิจฉัยของศาล ปกครองสูงสุดที่นาสนใจ ดังน ี้ การท ี่ศาลปกครองรับคําฟองในคดีท ี่ ย ื่นฟองเม ื่ อพนกําหนด ระยะเวลาการฟองคดีไวพิจารณา เน ื่ องจากเห็นวาเปนกรณีมีเหตุจําเปนอ ื่ นตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ คําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาดังกลาวเปนท ี่ สุด ตามขอ ๓๐ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําพิพากษาศาลปกครอง สูงสุดท ี่ อ.๔๒/๒๕๕๐) กรณีฟองขอใหกรุงเทพมหานครร ื้ อถอนเสาเหล็กท ี่ปดก ั้ นสะพาน ขามคลองบางลําพูท ี่ พิพาทไดย ื่นฟองเม ื่ อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีแตศาลปกครองชั้นตน เห็นวากรณีมีเหตุจําเปน จึงมีคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณา คําสั่งดังกลาวใหเปนที่สุดตามขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ท ี่ อ.๒๐๗/๒๕๕๐) มีขอสังเกตวา แมขอ ๓๐ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯจะบัญญัติใหคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนที่รับคําฟองที่ยื่นเมื่ อพนกําหนดระยะเวลา การฟองคดีแลวไวพิจารณา เปนคําสั่งที่เปนที่สุดก็ตาม แตบทบัญญัติดังกลาวก็มีความหมาย เพียงวา หามมิใหคูกรณีโดยเฉพาะอยางย ิ่ งผูถูกฟองคดีอุทธรณโตแยงคําส ั่ งดังกลาวตอศาลปกครอง สูงสุดเทาน ั้ น ไมไดหามมิใหศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่ งเพิกถอนคําส ั่ งดังกลาวเม ื่อปรากฏวา การมีคําส ั่ งดังกลาวเปนไปโดยผิดหลงอันเปนการดําเนินกระบวนพิจารณาท ี่ ผิดระเบียบตามขอ ๗ แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯแตอยางใด (คําส่งศาลปกครองส ัูงสุดท ี่ ๑๗๙/๒๕๕๐ และท ี่ ๒๐๒/๒๕๕๐) ๓.๒) คําส ั่ งเก ี่ ยวกับคําขอใหพิจารณายกเวนคาธรรมเนียมศาลใหม ขอ ๔๑/๔ วรรคหน ึ่ ง (๑) แหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา ในคดีที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลเฉพาะบางสวน หรือมีคําส ั่งใหยกคําขอ ผูยื่ นคําขอมีสิทธิย ื่ นคํารองขอใหพิจารณาคําขอน้นใหม ั เพ ื่ ออนุญาตใหนํา ๑๓ระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ขอ ๓๐ การฟองคดีตอศาลปกครองตองยื่นฟองภายในกําหนดระยะเวลาและตามหลักเกณฑที่บัญญัติไวในมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒ คําฟองที่ยื่นเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีแลว ใหศาลมีคําสั่งไมรับไวพิจารณาและสั่งจําหนายคดีออกจาก สารบบความ เวนแตศาลเห็นวาคดีนั้นเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคูกรณีมีคําขอ ศาลจะ รับไวพิจารณาก็ไดคําสั่งรับคําฟองไวพิจารณาใหเปนที่สุด


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๒๙ พยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมวาไมมีทรัพยสินเพียงพอที่จะเสียคาธรรมเนียมศาล หรือ โดยสถานะของผูขอถาไมไดรับยกเวนคาธรรมเนียมศาลจะไดรับความเดือดรอนเกินสมควร เม ื่ อศาลมีคําส ั่งเปนประการใดแลว ใหเปนที่สุด ๓.๓) คําส ั่งไมรับคําฟองแยง ขอ ๔๔ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา ในคดีท ี่ ผูถูกฟองคดีฟองแยงมาในคําใหการ หากคําฟองแยงน ั้นเปนเร ื่ องท ี่ไมเก ี่ ยวกับ คําฟองเดิม ใหตุลาการเจาของสํานวนส ั่งไมรับคําฟองแยง คําส ั่ งดังกลาวใหเป นที่สุด ๓.๔) คําส ั่งไมรับคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่ ง ทางปกครอง ขอ ๗๐ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา ในกรณีท ี่ ศาลเห็นวาคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครองใดยื่นโดยไมมีขออาง หรือขอเท็จจริงเพียงพอ หรือไมมีเหตุผลหรือสาระอันควรไดรับการพิจารณา หรือเห็นได อยางชัดแจงวาไมสมควรมีคําส ั่ งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครอง หรือเปนกรณีท ี่ ศาลจะส ั่งไมรับคําฟองคดีน ั้นไวพิจารณา และจะส ั่ งจําหนายคดีออกจากสารบบความแลว ใหมี อํานาจส ั่งไมรับคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครองนั้น คําส ั่ งดังกลาวใหเปนที่สดุ ๓.๕) คําส ั่ งยกคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครอง เม ื่อศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่งใหทุเลาการบังคับตามกฎหรือ คําส ั่งทางปกครองแลว หากผูมีสวนไดเสียย ื่ นคําขอใหศาลปกครองสูงสุดมีคําส ั่ งระงับคําส ั่ งของ ศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ส ั่ งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครองไวเปนการช ั่ วคราว กอนการวินิจฉยอัุทธรณหากศาลมีคําส ั่ งยกคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําส ั่งทางปกครองแลว ขอ ๗๓ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดใหคําส ั่ งดังกลาวเปนที่สุด ๓.๖) คําส ั่งไมรับหรือยกคําขอใหศาลกําหนดมาตรการหรือ วิธีการคุมครองอยางใดๆ เพ ื่ อบรรเทาทุกขชั่ วคราวกอนการพิพากษา หากผูถูกฟองคดีต ั้งใจจะกระทําซ ้ํ าหรือกระทําตอไปซึ่ งการละเมิด การผิดสัญญาหรือการกระทําท ี่ ถูกฟองรอง หรือผูฟองคดีจะไดรับความเดือดรอนเสียหายตอไป เน ื่ องจากการกระทําของผูถูกฟองคดีผูฟองคดีอาจย ื่ นคําขอใหศาลมีคําส ั่ งกําหนดมาตรการหรือ วิธีการคุมครองอยางใดๆ เพ ื่ อบรรเทาทุกขชั่ วคราวกอนการพิพากษา หรือคูกรณีอาจย ื่ นคําขอให ศาลมีคําส ั่ งกําหนดวิธีการเพ ื่ อคุมครองประโยชนของผูขอในระหวางการพิจารณาหรือเพ ื่ อบังคับ ตามคําพิพากษาไดแตอยางไรก็ดีหากศาลมีคําส ั่งไมรับหรือยกคําขอของผูฟองคดีหรือคูกรณี


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๐ ขอ ๗๖ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดใหคําส ั่ งดังกลาวเปนท ี่ สุด โดยมีตัวอยางคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ดังน ี้ คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ยกคําขอใหระงับหรือชะลอ การเลือกต ั้ งนายกองคการบริหารสวนตําบลแทนตําแหนงของผูฟองคดีไวกอน และคําขอใหผูฟองคดี กลับเขาทําหนาท ี่ นายกองคการบริหารสวนตําบลตอไป จนกวาศาลจะมีคําพิพากษา ยอมเปนท ี่ สุด ตามขอ ๗๓ วรรคสองและขอ ๗๖ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ การท ี่ ผูฟองคดียื่นคํารองอุทธรณคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนจึงเปนการไมชอบตามขอ ๑๐๐ วรรคหน ึ่ ง แหงระเบียบฉบับดังกลาว (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๖๗/๒๕๕๐) คําส ั่งไมรับคําขอใหศาลมีคําส ั่ งกําหนดมาตรการหรือวิธีการ คุมครองเพ ื่ อบรรเทาทุกขช ั่ วคราวกอนการพิพากษาคดีเปนท ี่ สุดตามขอ ๗๖ วรรคสอง แหง ระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงตองหามอุทธรณตามขอ ๑๐๐ วรรคหนึ่ง แหง ระเบียบเดียวกัน เมื่อผูฟองคดียื่นคํารองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาว ศาลปกครองชั้ นตนชอบท ี่ จะมี คําส ั่งไมรับคํารองอุทธรณการท ี่ศาลปกครองชั้ นตนสงคํารองดังกลาวใหศาลปกครองสูงสุด โดยมิไดมีคําส ั่งไมรับคํารองอุทธรณดังกลาว จึงไมชอบดวยกระบวนพิจารณา แตโดยที่ คํารอง อุทธรณของผูฟองคดีเปนคําอุทธรณท ี่ ตองหามโดยชัดแจงตามกฎหมาย ดังน ั้ น เพ ื่ อความรวดเร็ว ในการพิจารณาคดีศาลปกครองสูงสุดจึงมีคําส ั่งไมรับคํารองอุทธรณคําส ั่ งของผูฟองคดีโดยไมจําตอง ยอนสํานวนใหศาลปกครองชั้ นตนดําเนินกระบวนพิจารณาเพ ื่ อมคีําส ั่งใหม (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๖๐๗/๒๕๕๐) ๓.๗) คําส ั่งไมอนุญาตใหถอนคําฟอง การฟองคดีปกครองนั้ น ผูฟองคดีอาจถอนคําฟองในเวลาใดๆ กอนศาลพิพากษาหรือมีคําส ั่ งช ี้ ขาดคดีไดแตในคดีท ี่ เก ี่ ยวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะ หรือคดีที่ การพิจารณาตอไปจะเปนประโยชนแกสวนรวม หรือการถอนคําฟองเกิดจากการสมยอม กันโดยไมเหมาะสม ศาลจะมีคําส ั่งไมอนุญาตใหถอนคําฟองก็ไดซ ึ่ งขอ ๘๒ วรรคส ี่ แหงระเบียบ ฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดใหคําส ั่ งดังกลาวเปนที่สุด ๓.๘) คําส ั่ งเก ี่ ยวกับการอนุญาตใหนําพยานหลักฐานมาสืบ ประกอบคําแถลง ในการพิจารณาคดีปกครองนั้ น ศาลจะตองมีการน ั่ งพิจารณาคดี อยางนอยหน ึ่ งคร ั้ ง เพ ื่อใหคูกรณีมีโอกาสมาแถลงดวยวาจาตอหนาศาล โดยในวันน ั่ งพิจารณาคดี คร ั้ งแรก คูกรณีสามารถย ื่ นคําแถลงเปนหนังสือและมีสิทธินําพยานหลักฐานมาสืบประกอบได อยางไรก็ดีในการที่ ศาลจะอนุญาตใหสืบพยานหลักฐานดังกลาว ศาลมีดุลพินิจท ี่ จะส ั่ งอนุญาตให


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๑ สืบพยานไดเทาที่เกี่ยวของกับคําแถลงและจําเปนแกคดีเทานั้น ซึ่งขอ ๘๔ วรรคสาม แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดใหคําส ั่ งดังกลาวเปนที่สุด ๓.๙) คําส ั่ งรับคําคัดคานหรือคําส ั่ งยกคําคัดคานตุลาการ ตุลาการศาลปกครองในองคคณะพิจารณาพิพากษาคดีหรือตุลาการ ผูแถลงคดีอาจถูกคัดคานการปฏิบัติหนาท ี่ไดตามเหตุแหงการคัดคานผูพิพากษาท ี่ บัญญัติไวใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง รวมถึงเหตุอ ื่ นอันมีสภาพรายแรงซ ึ่ งอาจทําใหการพิจารณา พิพากษาคดีเสียความยุติธรรมตามขอ ๑๔ แหงระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครอง สูงสุด วาดวยองคคณะ การจายสํานวน การโอนคดีการปฏิบัติหนาท ี่ ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดคานตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหนาท ี่ ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจ ใหดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยคูกรณีท ี่ เก ี่ ยวของอาจยกขอคัดคานข ึ้ นอางดวยการ ทําเปนคํารองย ื่ นตอศาลภายในสิบหาวัน นับแตวันท ี่ คูกรณีน ั้ นทราบถึงเหตุท ี่ จะคัดคาน แตตอง เปนเวลากอนศาลมีคําพิพากษาหรือคําส ั่ งช ี้ ขาดคดี นอกจากน ี้ เม ื่อปรากฏเหตุท ี่ ตุลาการศาลปกครองอาจถูกคัดคานได ตุลาการศาลปกครองนั้ นจะย ื่ นคําบอกกลาวตอประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครอง ช ั้ นตนแสดงเหตุที่ ตนอาจถูกคัดคาน แลวขอถอนตัวออกจากคดีนั้ นก็ได เมื่อองคคณะที่พิจารณาคําคัดคานตุลาการศาลปกครอง มีคําสั่ง ยอมรับคําคัดคานหรือยกคําคัดคาน คําส ั่ งดังกลาวเปนท ี่ สุดตามขอ ๑๘ วรรคหน ึ่ ง แหงระเบียบ ของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยองคคณะ การจายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหนาท ี่ ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดคานตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหนาท ี่ ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจใหดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ ๒.๒ การอุทธรณคําส ั่ งระหวางพิจารณา ตามระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ขอ ๑๐๐ วรรคสอง กําหนด วา คําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ ระเบียบน ี้ มิไดกําหนดใหอุทธรณระหวางพิจารณาไดใหอุทธรณคําส ั่ ง ดังกลาวพรอมกับการอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่ งท ี่ ทําใหคดีเสร็จส ิ้ นเด็ดขาดจากศาล ดังน ั้ น การอุทธรณคําส ั่ งระหวางพิจารณาจึงตองแยกพิจารณาวาคําส ั่งใดอุทธรณไดทันทีและคําส ั่งใด ตองรออุทธรณพรอมกับการอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่ งที่ทําใหคดีเสร็จส ิ้ นเด็ดขาด ๑) ความหมายของคําส ั่ งระหวางพิจารณา พระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ และระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ มิไดใหคํานิยามของคําส ั่ งระหวางพิจารณาไวอยางไรก็ดีศาลปกครองสูงสุดไดอธิบาย


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๒ ความหมายของคําส ั่ งระหวางพิจารณาวา เม ื่อไดย ื่ นคําฟองตอศาลปกครองชั้ นตนและศาลไดมี คําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาแลว ศาลจะดําเนินกระบวนพิจารณาคดีจนเสร็จคดีแลวมีคําพิพากษา หรือคําส ั่ งช ี้ ขาดคดี ดังน ั้ น ในระหวางท ี่ ศาลดําเนินกระบวนพิจารณากอนมีการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดี ถือวาคดีอยูในระหวางการพิจารณา หากมีกรณีท ี่ศาลปกครองชั้ นตนจักตองมีคําส ั่งในเรื่องใดๆ ท ี่ มิใชเปนการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดีคําส ั่ งดังกลาวยอมถือวาเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา (คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๑๙๓/๒๕๕๐) ๒) คําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ จะตองอุทธรณพรอมกับคําพิพากษาหรือ คําส ั่ งชี้ ขาดคดี ศาลปกครองสูงสุดไดวินิจฉัยวาคําส ั่ งตอไปนี้เปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา ที่คูกรณีจะตองอุทธรณพรอมกับคําพิพากษาหรือคําส ั่ งที่ทําใหคดีเสร็จเด็ดขาดจากศาล ไดแก ๒.๑) คําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณา การที่ผูถูกฟองคดีอุทธรณวาผูถูกฟองคดีมิใชหนวยงานทางปกครอง เทากับเปนการโตแยงวาคดีน ี้ไมใชคดีพิพาททางปกครองซึ่งไมอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลปกครอง ฉะน ั้ น โดยเนื้ อหาสาระจึงเปนการอุทธรณคัดคานคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ท ี่ รับคําฟองไวพิจารณา ซ ึ่ งคําส ั่ งดังกลาวมิใชการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดีจึงเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา เมื่อระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหอุทธรณระหวางพิจารณาได ผูถูกฟองคดีจึงตองอุทธรณเร ื่ องน ี้ พรอมกับการอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่ งท ี่ ทําใหคดีเสร็จส ิ้ น เด็ดขาดจากศาลตามขอ ๑๐๐ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่ ง ศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๖/๒๕๕๐, ท ี่ ๑๙๓/๒๕๕๐, ท ี่ ๒๖๖/๒๕๕๐ และท ี่ ๓๓๑/๒๕๕๐) แมผูถูกฟองคดีจะระบุในคํารองอุทธรณคําส ั่ งวาเปนการย ื่ น อุทธรณคัดคานคําส ั่งศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ทุเลาการบังคับตามคําส ั่ งของผูถูกฟองคดีแตเม ื่ อ เน ื้ อหาสาระของคํารองอุทธรณคําส ั่ งท ั้งหมดเปนการคัดคานคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ รับคําฟอง ไวพิจารณา โดยไมมีขอความตอนใดเลยที่แสดงใหเห็นวาเปนการคัดคานคําส ั่งของศาลปกครอง ช ั้ นตนท ี่ ส ั่ งทุเลาการบังคับตามคําส ั่ งของผูถูกฟองคดีซ ึ่ งแมวาจะมีคําขอใหศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนคําส ั่ งดังกลาวของศาลปกครองชั้ นตน แตคําขอดังกลาวก็เปนคําขอท ี่ สืบเน ื่ องมาจาก คําขอใหศาลปกครองสูงสุดมีคําส ั่ งเพิกถอนคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตน จึงถือวาเปนคํารองอุทธรณคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ รับคําฟองไวพิจารณา ซ ึ่ งพระราชบัญญัติ จัดต ั้งศาลปกครองฯ และระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหถึงท ี่ สุด แตก็ ถือวาเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณา เม ื่ อระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดให ย ื่ นอุทธรณคําส ั่ งรับคําฟองไวพิจารณาในระหวางพิจารณาไดจึงเปนคําส ั่ งท ี่ หามอุทธรณระหวาง


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๓ พิจารณา ผูมีสวนไดเสียชอบท ี่ จะอุทธรณคําส ั่ งน ี้ พรอมกับอุทธรณคําส ั่ งหรือคําพิพากษาท ี่ ทําให คดีเสร็จส ิ้ นเด็ดขาดจากศาลตามขอ ๑๐๐ วรรคสอง แหงระเบียบดังกลาว (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๕๔๓/๒๕๕๐) ขอสังเกต จากคําสั่งฉบับนี้แสดงใหเห็นวาในการพิจารณา ของศาลปกครองสูงสุด ศาลจะดูจากเน ื้ อหาสาระของคํารองอุทธรณคําส ั่งเปนสําคัญวาเปนคํารอง อุทธรณคําส ั่งใด ๒.๒) คําส ั่ งยกคํารองขอใหเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ส ั่งใหยกคํารองขอใหศาลเพิกถอน คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ ส ั่งใหสงคําฟองไปใหผูถูกฟองคดีท ี่ ๒ ผานทางผูถูกฟองคดีท ี่ ๑ ซ ึ่งเปนตัวแทนประสานงาน เปนคําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ไมมีกฎหมายและระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ กําหนดใหอุทธรณระหวางพิจารณาได คูกรณีจึงไมอาจอุทธรณคําส ั่งของศาลปกครอง ช ั้ นตนดังกลาวในระหวางพิจารณาไดตามขอ ๑๐๐ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณา คดีปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๘๒/๒๕๕๐) ๒.๓) คําส ั่งไมรับคําคัดคานตุลาการ คําส ั่งไมรับคํารองคัดคานตุลาการของศาลปกครองชั้ นตน ที่สั่งในระหวางดําเนินกระบวนพิจารณาคดี เน ื่ องจากคํารองดังกลาวมิไดอางถึงเหตุแหงการคัดคาน ผูพิพากษาตามที่บัญญัติไวในมาตรา ๑๑ (๑) ถึง (๗) แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง ประกอบกับขอ ๑๔ วรรคหน ึ่ งแหงระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวย องคคณะ การจายสํานวน การโอนคดีการปฏิบัติหนาท ี่ ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดคาน ตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหนาท ี่ ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให ดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ มิใชเปนกรณีท ี่ ศาลมีคําส ั่ งยอมรับ หรือยกเสียซ ึ่ งคําคัดคาน ตุลาการ ซ ึ่งเปนท ี่ สุดตามขอ ๑๘ วรรคหน ึ่ ง แหงระเบียบดังกลาว แตเปนกรณีท ี่ ศาลมีคําส ั่ ง ในระหวางดําเนินกระบวนพิจารณาคดีและคําส ั่ งดังกลาวมิใชเปนการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดี จึงเปน คําส ั่ งระหวางพิจารณาท ี่ ตองหามมิใหอุทธรณระหวางพิจารณา โดยตองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาว พรอมกับการอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่ งท ี่ ทําใหคดีเสร็จส ิ้ นเด็ดขาดจากศาลตามขอ ๑๐๐ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๓๐/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๔ ๒.๔) คําส ั่งไมอนุญาตใหเล ื่ อนวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้ งแรก และคําส ั่ ง ไมรับคํารองอุทธรณคําส ั่ งศาลที่สั่งไมรับคํารองขอเล ื่ อนวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้ งแรก คําส ั่งไมอนุญาตใหเล ื่ อนวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้ งแรกและคําส ั่ ง ไมรับคํารองอุทธรณคําส ั่ งศาลท ี่ไมรับคําฟองขอเล ื่ อนวันน ั่ งพิจารณาคดีคร ั้ งแรก เปนกรณีท ี่ ศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่งใดๆ ในระหวางการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีและคําส ั่ งดังกลาวมิใช เปนการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดี จึงเปนคําส ั่ งระหวางพิจารณาซ ึ่ งตองหามมิใหอุทธรณระหวางพิจารณา ตามขอ ๑๐๐ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๑๓๐/๒๕๕๐) ๒.๓ ระยะเวลาการย ื่ นอุทธรณ การอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนน ั้ น ผูอุทธรณจะตอง ย ื่ นอุทธรณภายในระยะเวลาที่ กฎหมายกําหนด ดังน ี้ ๑) การอุทธรณคําพิพากษา การคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตน ผูอุทธรณตองย ื่ นอุทธรณ ภายในสามสิบวันนับแตวันท ี่ไดมีคําพิพากษาตามมาตรา ๗๓ วรรคหน ึ่ งแหงพระราชบัญญัติจัดต ั้ ง ศาลปกครองฯ ซ ึ่งศาลปกครองจะแจงวันนัดอานคําพิพากษาใหคูกรณีทราบลวงหนาตามสมควร ตามมาตรา ๖๙ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังน ั้ น เม ื่ อถึงวันนัดฟงคําพิพากษาแลว ไมวาจะมีคูกรณีมาฟงคําพิพากษาหรือไมจะถือวาวันดังกลาวเปนวันท ี่ ศาลมีคําพิพากษา การนับ เวลาย ื่ นอุทธรณจึงตองเร่ิมนับต ั้ งแตวันท ี่ศาลไดมีคําพิพากษา มิใชวันท ี่ คูกรณีไดรับทราบวามี คําพิพากษา ๑๔ ดังคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดตอไปนี้ ศาลปกครองชั้ นตนมีคําพิพากษาในวันท ี่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๘ วันสุดทายของระยะเวลาสามสิบวันคือวันท ี่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๘ เม ื่ อวันดังกลาวมิใชวันหยุด ตามประกาศเปนทางการหรือตามประเพณีการท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นอุทธรณคําพิพากษาทางไปรษณีย ดวนพิเศษในวันท ี่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ จึงเปนกรณีท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นคําอุทธรณเม ื่ อลวงพน ระยะเวลาท ี่ กฎหมายกําหนด (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๐๑/๒๕๕๐) ศาลปกครองชั้ นตนมีคําพิพากษาเม ื่ อวันท ี่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๐ ระยะเวลาในการคัดคานคําพิพากษาจึงตองเร ิ่ มนับต ั้ งแตวันดังกลาว (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๗๐๒/๒๕๕๐) ๑๔คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่๒๙๐/๒๕๔๘


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๕ ขอสังเกต ระยะเวลาอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน เปนระยะเวลาท ี่ บัญญัติไวในพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองไมอาจยนหรือขยายได ดังคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดตอไปนี้ ศาลปกครองไมมีอํานาจยนหรือขยายระยะเวลาท ี่ พระราชบัญญัติจัดต ั้ ง ศาลปกครองฯ กําหนดใหคูกรณีกระทําการอยางหนึ่งอยางใดในการดําเนินกระบวนพิจารณา คดีปกครอง ดังน ั้ น เม ื่ อมาตรา ๗๓ วรรคหน ึ่ ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว บัญญัติใหย ื่ น อุทธรณคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนตอศาลปกครองชั้ นตนท ี่ มี คําพิพากษาหรือคําส ั่งภายในกําหนดสามสิบวันนับแตวันที่ไดมีคําพิพากษาหรือคําส ั่ ง ถามิไดย ื่ น อุทธรณตามกําหนดเวลาดังกลาวใหถือวาคดีน ั้นเปนอันถึงท ี่ สุด ศาลปกครองจึงไมมีอํานาจยน หรือขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณคัดคานคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนได ผูถูกฟองคดีจึงไมสามารถรองขอขยายระยะเวลาย ื่ นอุทธรณคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครอง ช ั้ นตนได(คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๐๕/๒๕๕๐) ศาลปกครองชั้ นตนมีคําพิพากษาในวันท ี่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๘ วันสุดทาย ของระยะเวลาสามสิบวันคือวันท ี่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๘ เม ื่ อวันดังกลาวมิใชวันหยุดตามประกาศ เปนทางการหรือตามประเพณีการท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นอุทธรณคําพิพากษาทางไปรษณียดวนพิเศษ ในวันท ี่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ จึงเปนกรณีท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นคําอุทธรณเม ื่ อลวงพนระยะเวลา ท ี่ กฎหมายกําหนด อีกท ั้ งพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ไมมีบทบัญญัติใดที่ใหอํานาจ ศาลปกครองมีคําส ั่ งขยายกําหนดระยะเวลาย ื่ นอุทธรณคัดคานคําพิพากษาของศาล (คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๔๐๑/๒๕๕๐) ๒) การอุทธรณคําสั่ง คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ กฎหมายหรือระเบียบฯ วาดวยวิธี พิจารณาคดีปกครองฯ มิไดกําหนดใหถึงที่สุด สามารถยื่นอุทธรณตอศาลปกครองสูงสุดได แตระยะเวลาการย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งอาจแตกตางกันไปตามประเภทของคําสั่ง ๒.๑) ย ื่ นอุทธรณภายในสามสิบวันนับแตวันท ี่ไดรับแจงคําสั่ง ขอ ๔๙/๑ วรรคหนึ่งแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา คําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ไมรับคําฟองไวพิจารณา คําส ั่ งจําหนายคดีออกจาก สารบบความโดยไมมีการวินิจฉัยช ี้ ขาดคดี คําส ั่งลงโทษฐานละเมิดอํานาจศาลตามมาตรา ๖๔ หรือคําส ั่ งอ ื่นใดซึ่งไมตองหามอุทธรณระหวางพิจารณาตามขอ ๑๐๐ วรรคสอง ผูมีสวนไดเสีย มีสิทธิย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวตอศาลปกครองสูงสุดภายในกําหนดระยะเวลาสามสิบวัน


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๖ นับแตวันที่ไดรับแจงคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนนั้น ศาลปกครองสูงสุดมีคําวินิจฉัยเก ี่ ยวกับระยะเวลาการย ื่ นคํารอง อุทธรณคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตน ดังน ี้ ผูฟองคดีไดรับแจงคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ไมรับคําฟอง ไวพิจารณาเม ื่ อวันท ี่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ การผูฟองคดีท ี่ ย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่งศาลปกครอง ช ั้ นตนโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียน ๑๕ วันท ี่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๙ ถือเปนการย ื่ นคํารอง อุทธรณคําส ั่ งตอศาลปกครองสูงสุดเม ื่ อพนระยะเวลาสามสิบวันนับแตวันท ี่ไดรับแจงคําส ั่ ง ของศาลปกครองชั้ นตนตามขอ ๔๙/๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่ ง ศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๘๙/๒๕๕๐) ผูฟองคดีไดรับแจงคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาของศาลปกครอง ช ั้ นตนเม ื่ อวันท ี่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๙ ซ ึ่ งจะครบกําหนดระยะเวลาการย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ ง ในวันท ี่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๙ แตผูฟองคดีย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวทางไปรษณีย ลงทะเบียนเม ื่ อวันท ี่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ถือวาผูฟองคดีย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งเม ื่ อพน กําหนดระยะเวลาตามขอ ๔๙/๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๒๒๕/๒๕๕๐) ศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณา โดยผูรับมอบอํานาจจากผูฟองคดีไดรับสําเนาคําส ั่ งศาลเม ื่ อวันท ี่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ จึงถือวา ผูฟองคดีไดรับแจงคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนโดยชอบดวยกฎหมายในวันท ี่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ ผูฟองคดีตองย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวภายในวันท ี่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ แตผูฟองคดี ย ื่ นคํารองอุทธรณโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนในวันท ี่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๐ จึงเปนการย ื่ น คํารองอุทธรณเม ื่ อพนระยะเวลาสามสิบวันตามขอ ๔๙/๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดี ปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๘๗/๒๕๕๐) ๒.๒) ย ื่ นอุทธรณภายในสิบหาวันนับแตวันท ี่ไดรับแจงคําสั่ง การอุทธรณคําส ั่งใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลเฉพาะบางสวน หรือ คําส ั่งใหยกคําขอยกเวนคาธรรมเนียมศาล จะตองย ื่ นอุทธรณภายในสิบหาวันนับแตวันท ี่ไดรับ แจงคําส ั่ งตามมาตรา ๔๕/๑ แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ ซ ึ่ งบัญญัติวา “การฟองคดี ๑๕การยื่นอุทธรณคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนนั้น มาตรา ๔๖ แหง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับขอ ๑๓ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ใหถือวาวันที่สง คําอุทธรณแกเจาพนักงานไปรษณียเปนวันที่ยื่นอุทธรณตอศาลปกครอง


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๗ ท ี่ ตองเสียคาธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคส ี่ หากคูกรณีใดยื่ นคําขอตอศาลโดยอางวา ไมมีทรัพยสินเพียงพอท ี่ จะเสียคาธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผูขอถาไมไดรับยกเวน คาธรรมเนียมศาลจะไดรับความเดือดรอนเกินสมควร ถาศาลเห็นวามีขอเท็จจริงเพียงพอท ี่ จะ รับฟองไวพิจารณา หรือในกรณีอุทธรณซึ่ งศาลเห็นวามีเหตุผลอันสมควรท ี่ จะอุทธรณไดแลวแตกรณี และศาลไดไตสวนแลวเห็นวามีเหตุตามคําขอจริงก็ใหศาลอนุญาตใหคูกรณีน ั้ นดําเนินคดี โดยยกเวนคาธรรมเนียมศาลท ั้ งหมดหรือเฉพาะบางสวนไดคําส ั่งใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลท ั้ งหมด ใหเปนที่สุด ในกรณีท ี่ ศาลมีคําส ั่งใหยกเวนคาธรรมเนียมศาลเฉพาะบางสวน หรือมีคําส ั่งใหยกคําขอ ผูย ื่ นคําขอมีสิทธิดําเนินการอยางใดอยางหน ึ่ งดังตอไปนี้ภายในสิบหาวัน นับแตวันที่ไดรับแจงคําสั่ง (๑) ย ื่ นคํารองขอใหพิจารณาคําขอน ั้นใหมเพ ื่ ออนุญาตใหตน นําพยานหลักฐานมาแสดงเพ ิ่ มเติมวาไมมีทรัพยสินเพียงพอ ท ี่ จะเสียคาธรรมเนียมศาลไดจริง หรือโดยสถานะของผูขอถาไมไดรับยกเวนคาธรรมเนียมศาลจะไดรับความเดือดรอนเกินสมควร (๒) ย ื่ นอุทธรณคําส ั่ งน ั้ นตอศาลปกครองสูงสุด ฯลฯ ฯลฯ” ศาลปกครองสูงสุดไดมีคําวินิจฉัยในประเด็นเก ี่ ยวกับการอุทธรณ คําส ั่ งยกคําขอยกเวนคาธรรมเนียมศาลของศาลปกครองชั้ นตน ดังตอไปนี้ ผูฟองคดีไดรับแจงคําส ั่ งศาลท ี่ ยกคําขอยกเวนคาธรรมเนียมศาล ของผูฟองคดีเม ื่ อวันท ี่ ๑ กุมภาพันธ๒๕๕๐ ซ ึ่ งผูฟองคดีมีสิทธิยื่ นคํารองขอใหพิจารณาคําขอน ั้นใหม เพ ื่ ออนุญาตใหตนนําพยานหลักฐานมาแสดงเพ ิ่ มเติมวาไมมีทรัพยสินเพียงพอท ี่ จะเสียคาธรรมเนียมศาล ไดจริงหรือโดยสถานะของผูขอถาไมไดรับการยกเวนคาธรรมเนียมศาลจะไดรับความเดือดรอน เกินสมควร หรือย ื่ นอุทธรณคําส ั่ งน ั้ นตอศาลปกครองสูงสุด โดยตองดําเนินการภายในสิบหาวัน นับแตวันท ี่ไดรับแจงคําส ั่งศาลปกครองชั้ นตน ในกรณีน ี้ จึงครบกําหนดสิบหาวันในวันท ี่ ๑๖ กุมภาพันธ๒๕๕๐ เม ื่ อผูฟองคดีย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่งโดยสงใหแกเจาพนักงานไปรษณียเม ื่ อ วันท ี่ ๑๗ กุมภาพันธ๒๕๕๐ จึงเปนการย ื่ นอุทธรณเม ื่ อพนกําหนดแลว (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๓๒๖/๒๕๕๐) ๒.๔ ผูมีสิทธิอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน มาตรา ๗๓ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ บัญญัติ เร ื่ องระยะเวลาการย ื่ นอุทธรณคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนโดยมิได กําหนดวาบุคคลใดเปนผูมีสิทธิอุทธรณอยางไรก็ดีศาลปกครองสูงสุดไดมีคําวินิจฉัยในประเด็น


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๘ เก ี่ ยวกับผูมีสิทธิอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ดังตอไปนี้ ๑) เปนคูกรณีที่ถูกผูกพันในอันท ี่ จะตองปฏิบัติตามคําบังคับของศาล เม ื่ อคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนกําหนดใหนายกเทศมนตรี (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๒) ประเมินผลการปฏิบัติงานของผูฟองคดีเพ ื่ อพิจารณาเล ื่ อนข ั้ นเงินเดือนใหแก ผูฟองคดีใหเปนไปตามกฎหมายใหเสร็จส ิ้นภายใน ๓๐ วัน คําพิพากษาดังกลาวจึงมีผลบังคับ เฉพาะนายกเทศมนตรีหาไดมีผลบังคับถึงปลัดเทศบาล (ผูถูกฟองคดีท ี่ ๑) แตประการใดไม เม ื่ อนายกเทศมนตรีมิไดอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนภายในสามสิบวันนับแต วันท ี่ มีคําพิพากษา และไมปรากฏวานายกเทศมนตรีไดมอบอํานาจใหปลัดเทศบาลกระทําการแทน จึงถือวาคดีเปนอันถึงท ี่ สุด การท ี่ปลัดเทศบาลย ื่ นอุทธรณจึงเปนคําอุทธรณท ี่ ตองหามตามกฎหมาย หรือยื่นโดยผิดระเบียบตามขอ ๑๑๑ (๑) แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๓๐/๒๕๕๐) ในคดีท ี่ประชาชนในเขตองคการบริหารสวนตําบลฟองนายกองคการ บริหารสวนตําบลกรณีละเลยตอหนาท ี่ในการเก็บคาธรรมเนียม การดูแลท ี่ สาธารณะและการปรับลด ปริมาณและรูปแบบโครงการกอสราง น ั้ น ผูมีสิทธิอุทธรณคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาไดแก คูกรณีดังกลาว ผูรองซ่ึงแมจะอยูในฐานะสมาชิกสภาองคการบริหารสวนตําบลและประธานสภา องคการบริหารสวนตําบล แตก็ไมใชคูกรณีในกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้ นตน ผูรองจึง ไมมีสิทธิอุทธรณคําส ั่งในคดีนี้ เพราะขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ ยกข ึ้ นอางในคําอุทธรณจะตอง เปนขอที่ไดยกขึ้นวากันมาแลวโดยชอบในศาลปกครองชั้นตน (คําสั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๒๖๘/๒๕๕๐) แมวาคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตน จะมีผลทําใหเจาพนักงาน ที่ดินตองยกเลิกการออกโฉนดที่ดินใหแกผูฟองคดีแตโดยที่ ผูมีสิทธิย ื่ นอุทธรณคัดคานคําพิพากษา ของศาลปกครองชั้ นตน ตองเปนคูกรณีซ ึ่ งถูกผูกพันโดยคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตน ท ี่ จะตองปฏิบัติตามคําบังคับตามมาตรา ๗๐ วรรคหน ึ่ ง แหงพระราชบัญญัติจัดต ั้งศาลปกครองฯ และขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ ยกข ึ้ นอางในการยื่ นอุทธรณผูอุทธรณจะตองยกข ึ้ นวากลาว มาแลวโดยชอบในศาลปกครองชั้ นตน ตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธี พิจารณาคดีปกครองฯ จึงมีความหมายโดยนัยวาผูอุทธรณจะตองเขามาในกระบวนพิจารณาคดี ของศาลปกครองชั้ นตน เม ื่ อขอเท็จจริงปรากฏวาเจาพนักงานท ี่ ดินไมไดเปนผูฟองคดีผูถูกฟองคดี หรือผูรองสอด จึงไมใชคูกรณีที่จะมีสิทธิอุทธรณคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๖๑๒/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๓๙ ขอสังเกต ผูถูกฟองคดีในคดีท ี่ศาลปกครองชั้ นตนมีคําส ั่งไมรับคําฟอง ไวพิจารณา ไมถือเปนผูมีสวนไดเสียที่จะยื่นคํารองอุทธรณคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา ตามขอ ๔๙/๑ วรรคหน ึ่ ง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๖๑๑/๒๕๕๐) ๒) เปนผูมีสวนไดเสียในคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน ผูท ี่ จะมีสิทธิย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งตอศาลปกครองสูงสุดไดตองเปน ผูมีสวนไดเสียหรืออีกนัยหน ึ่ งก็คือผูท ี่ อาจถูกกระทบกระเทือนจากผลของคําส ั่ งดังกลาวเทาน ั้ น เม ื่ อศาลมีคําส ั่ งอนุญาตใหผูท ี่ไดรับผลกระทบจากผลแหงคําพิพากษาถอนคําขอใหพิจารณาคดีใหม ซ ึ่ งมีผลเปนการลบลางผลแหงการย ื่ นคําขอดังกลาวและทําใหคูกรณีกลับคืนสูฐานะเดิมเสมือน หน ึ่ งวามิไดมีการย ื่ นคําขอดังกลาวเลย กรณีจึงตองมีการบังคับตามคําพิพากษาของศาลปกครอง ช ั้ นตนซ ึ่ งเสร็จเด็ดขาดและถึงท ี่ สุดไปแลว ผูฟองคดีซ ึ่งเปนฝายชนะคดีในศาลปกครองชั้ นตน จึงไมถูกกระทบกระเทือนจากผลของคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ อนุญาตใหมีการถอนคําขอ ใหพิจารณาคดีใหมดังกลาว ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิยื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่ งดังกลาวของศาลปกครอง ช ั้ นตน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๑๖๙/๒๕๕๐) ๒.๕ การมอบอํานาจใหยื่ นอุทธรณแทน การย ื่ นเอกสารหรือพยานหลักฐานตอศาลปกครองนั้ น คูกรณีจะย ื่ นดวย ตนเองหรือมอบฉันทะใหผูอ ื่ นย ื่ นตอศาลหรือพนักงานเจาหนาท ี่ ของศาลก็ได ๑๖ โดยมีขอพิจารณา ดังน ี้ ๑) การมอบอํานาจใหย ื่ นอุทธรณแทนตองทําเปนหนังสือลงลายมือชื่ อ ผูมอบอํานาจ ผูรับมอบ และพยาน ถึงแมวาคณะกรรมการกลางขาราชการองคการบริหารสวนจังหวัดจะได ประชุมและมีมติใหเลขานุการคณะกรรมการกลางขาราชการองคการบริหารสวนจังหวัดเปนผูมี อํานาจฟองและดําเนินคดีปกครองแทน แตโดยที่การมอบอํานาจจะตองกระทําเปนหนังสือ ลงลายมือช ื่ อของกรรมการทุกคน ดังน ั้ น สําเนาบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการกลาง ๑๖ระเบียบของท ี่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขอ ๑๓ การยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐานตอศาล คูกรณีจะยื่นดวยตนเองหรือมอบฉันทะใหผูอื่นยื่นตอศาลหรือ พนักงานเจาหนาที่ของศาล หรือจะทําโดยวิธีสงทางไปรษณียลงทะเบียนก็ไดในกรณีที่สงทางไปรษณียลงทะเบียน ใหถือวาวันที่ สงเอกสารหรือพยานหลักฐานแกเจาพนักงานไปรษณียเปนวันที่ยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐานตอศาล การมอบฉันทะใหผูอื่นยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐาน ใหทําเปนหนังสือลงลายมือชื่อผูมอบ ผูรับมอบ และพยาน


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔๐ ขาราชการองคการบริหารสวนจังหวัดในครั้ งท ี่ มีมติดังกลาวซ ึ่งเปนเพียงเอกสารภายใน หนวยงาน จึงมิใชการมอบอํานาจท ี่ จะนํามาใชกับศาลเม ื่ อเลขานุการคณะกรรมการกลางขาราชการ องคการบริหารสวนจังหวัดย ื่ นอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนในนามของ คณะกรรมการกลางขาราชการองคการบริหารสวนจังหวัดโดยใชสําเนาบันทึกรายงานการประชุม ดังกลาว กรณีจึงมิอาจถือไดวาคณะกรรมการกลางขาราชการองคการบริหารสวนจังหวัดไดย ื่ น อุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนตอศาลปกครองสูงสุด (คําพิพากษาศาลปกครอง สูงสุดท ี่ อ.๔๘/๒๕๕๐) ๒) ศาลมิไดเครงครัดในเนื้อความใหตองระบุวาทําการแทนผูมอบอํานาจ หากในคําอุทธรณมีขอความแสดงใหเห ็ นวาเปนการย ื่ นอุทธรณแทน ก็ถือวาถูกตองแลว ในคดีท ี่ ผูสมัครสอบคัดเลือกเพ ื่ อบรรจุและแตงต ั้ งบุคคลเขารับราชการ ย ื่นฟองคณะกรรมการขาราชการพลเรือนและเลขาธิการคณะกรรมการขาราชการพลเรือน โดยคณะกรรมการขาราชการพลเรือนไดมอบอํานาจใหเลขาธิการคณะกรรมการขาราชการพลเรือน เปนผูดําเนินคดีในศาลปกครองชั้ นตนและศาลปกครองสูงสุดแทน การท ี่ เลขาธิการคณะกรรมการ ขาราชการพลเรือนไดย ื่ นคํารองอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนโดยคําลงทาย อุทธรณไมไดระบุวาอุทธรณในนามคณะกรรมการขาราชการพลเรือน แตในคําอุทธรณหนา ๑ ไดระบุวาผูถูกฟองคดีท ั้ งสองขอย ื่ นอุทธรณจึงเห็นไดวาคําอุทธรณดังกลาวเลขาธิการ คณะกรรมการขาราชการพลเรือนไดย ื่ นคําอุทธรณในนามของคณะกรรมการขาราชการพลเรือนดวย (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๑๕๘/๒๕๕๐) ๒.๖ รูปแบบของคําอุทธรณ ขอ ๑๐๑ แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดรูปแบบ คําอุทธรณไววา“คําอุทธรณใหทําเปนหนังสือและอยางนอยตองระบุ (๑) ช ื่ อผูอุทธรณและคูกรณีในอุทธรณ (๒) ขอคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน (๓) คําขอของผูอุทธรณ (๔) ลายมือช ื่ อผูอุทธรณ ขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ จะยกข ึ้ นอางในการยื่ นคําอุทธรณน ั้ น ผูอุทธรณ จะตองกลาวไวโดยชัดแจงในคําอุทธรณ และตองเปนขอที่ไดยกขึ้นวากันมาแลวโดยชอบ ในศาลปกครองชั้ นตน แตถาปญหาขอใดเปนปญหาอันเก ี่ ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน หรือปญหาเกี่ยวกับประโยชนสาธารณะ ผูอุทธรณจะยกปญหาขอนั้นขึ้นกลาวในคําอุทธรณ


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔๑ หรือในชั้ นอุทธรณก็ได” ซ ึ่ งมีขอพิจารณา ดังน ี้ ๑) คําอุทธรณตองมีขอคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่ งของศาล ปกครองชั้ นตน (ขอ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง (๒)) หากศาลเห็นวาคําอุทธรณใดไมไดมีขอคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่ ง ของศาลปกครองชั้ นตน ซ ึ่งเปนคําอุทธรณท ี่ไมสมบูรณครบถวนตามขอ ๑๐๑ วรรคหน ึ่ ง (๒) แหง ระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ถาศาลเห็นวาเปนคําอุทธรณท ี่ อาจแกไขไดศาลจะมี คําส ั่งใหผูอุทธรณแกไขภายในระยะเวลาที่ กําหนด ถาไมมีการแกไขหรือเปนกรณีท ี่ คําอุทธรณน ั้ น ไมอาจแกไขใหถูกตองไดศาลจะมีคําส ั่งไมรับอุทธรณดังกลาว โดยมีคดีตัวอยางท ี่ ศาลเห็นวา เปนคําอุทธรณที่ไมสมบูรณครบถวน ดังน ี้ คําอุทธรณของผูฟองคดีในคดีฟองเรียกคาทดแทนเพ ิ่ มข ึ้ นจากท ี่ ดิน ที่ถูกเวนคืนเพ ื่ อกอสรางเข ื่อนปาสักชลสิทธ ิ์ ท ี่ วา คําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนไมยุติธรรม เน ื่ องจากผูฟองคดีไดท ี่ ดินมาจากบรรพบุรุษเปนมรดกตกทอดกันมาหลายช ั่ วอายุคน เปนสมบัติ แปลงเดียวและแปลงสุดทายจึงตองการรักษาท ี่ ดินไวใหลูกหลาน เงินคาทดแทนท ี่ หนวยงาน ทางปกครองจายใหน ั้นไมเหมาะสม จึงขอความเปนธรรมตอศาลปกครองสูงสุด เปนคําอุทธรณ ท ี่ไมไดโตแยงวาคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนไมถูกตองหรือไมชอบด วยกฎหมายอยางไร โดยไมไดยกขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายข ึ้ นกลาวอางอยางชัดแจงในคําอุทธรณจึงเปนคําอุทธรณ ท ี่ไมเปนไปตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๙๑-๑๑๕/๒๕๕๐) การท ี่ ผูฟองคดีย ื่ นอุทธรณคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตน โดยกลาวอางเพียงวาศาลปกครองชั้ นตนดําเนินกระบวนพิจารณาตางๆ ไมถูกตอง แตมิไดกลาว โดยชัดแจงวาประสงคจะคัดคานขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายใดในคําพิพากษา ยอมเปน คําอุทธรณที่ไมสมบูรณครบถวน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๒๕๔/๒๕๕๐) คําอุทธรณและคําแกไขเพิ่ มเติมอุทธรณมีรายละเอียดเพียงวา ไมไดรับความเปนความเปนธรรม ถูกกล ั่ นแกลงและเลือกปฏิบัติโดยไมเปนธรรมเทาน ั้ น ถือเปน ขอกลาวอางท ี่ มิใชขอคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตน จึงเปนอุทธรณท ี่ มีรายการ ไมสมบูรณครบถวนตามขอ ๑๐๑ วรรคหน ึ่ ง (๒) แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๐๑/๒๕๕๐) ผูฟองคดีย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา โดยไมปรากฏ ขอคัดคานวาผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนอยางไร และมีคําขออยางไร การท ี่ เพียงแตกลาวอางวาผูฟองคดีมิอาจเห็นพองดวยกับคําส ั่งของศาลปกครองชั้นตน


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔๒ และประสงคจะดําเนินการฟองคดีใหถึงที่สุด นั้น มิใชขอคัดคานคําสั่งของศาลปกครองชั้ นตน และมิไดเปนการขอใหศาลมีคําส ั่ งอยางไร จึงเปนคํารองอุทธรณคําส ั่ งท ี่ไมสมบูรณครบถวน (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๓๕๐/๒๕๕๐) คํารองอุทธรณคําส ั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาของผูฟองคดีไมปรากฏ ขอคัดคานวาไมเห็นดวยกับคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนอยางไร เพียงแตขอใหศาลมีคําส ั่ ง ใหผูถูกฟองคดีเปดเผยขอมูลการสรรหาอธิการบดีท ี่ ผานมาแลวท ั้ งหมดตามพระราชบัญญัติ ขอมูลขาวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพ ื่อประโยชนในการตอสูคดีอันมิใชขอคัดคานคําส ั่ ง ของศาลปกครองชั้ นตน กรณีจึงถือไดวาคํารองอุทธรณของผูฟองคดีเปนคําอุทธรณท ี่ไมสมบูรณ ครบถวนตามขอ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง (๒) แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําสั่ง ศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๔๑๓/๒๕๕๐) เม ื่ อผูฟองคดีทราบคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนท ี่ใหจําหนายคดี เพราะเหตุแหงการฟองคดีหมดส ิ้นไปแลว ผูฟองไดย ื่ นคํารองอุทธรณคําส ั่งของศาลปกครอง ช ั้ นตนความวาผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตน แตไมมีขอเท็จจริงหรือ ขอกฎหมายใดๆ ท ี่ ยกข ึ้ นอางเพ ื่ อคัดคานคําส ั่ งดังกลาว นอกจากแจงความประสงคท ี่ จะอุทธรณ คําส ั่ งท ี่ใหจําหนายคดีคํารองอุทธรณคําส ั่ งของผูฟองคดีจึงมีรายการไมสมบูรณครบถวนตามขอ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง (๒) แหงระเบียบฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุด ท ี่ ๔๘๓/๒๕๕๐) ผูฟองคดีย ื่นฟองตอศาลปกครองวาองคการบริหารสวนตําบลนําท ี่ สาธารณประโยชนทําเลเล ี้ ยงสัตวไปจัดทําแปลงสาธิตปลูกยางพารา และหามราษฎรเขาใชพ ื้ นท ี่ ดังกลาว โดยไมดําเนินการขอใชท ี่สาธารณประโยชนดังกลาวใหถูกตองตามหลักเกณฑและ วิธีการท ี่ กฎหมายกําหนด ขอใหศาลพิจารณาเร ื่ องดังกลาว และศาลปกครองชั้ นตนพิพากษาให องคการบริหารสวนตําบลดําเนินการใหท ี่สาธารณประโยชนดังกลาวกลับคืนสูสถานภาพการใช ประโยชนตามเดิม ดังน ั้ น การท ี่ ผูฟองคดีอุทธรณขอใหศาลพิจารณาใหผูกระทําผิดใชคืนเงิน งบประมาณและชดใชคาเสียหายแกประชาชน รวมท ั้งใหนายกองคการบริหารสวนตําบลออก จากตําแหนง ถือเปนกรณีท ี่ไมปรากฏขอคัดคานวาผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําส ั่ งของศาล ปกครองชั้ นตนอยางไร และคําส ั่งของศาลปกครองชั้ นตนไมถูกตองหรือไมชอบดวยกฎหมาย อยางไร (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท ี่ ๕๗๓/๒๕๕๐)


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔๓ ขอสังเกต ๑. คําอุทธรณท ี่ มิไดระบุขอคัดคานคําพิพากษาหรือคําส ั่งของศาลปกครอง ช ั้ นตน ซ ึ่ งถือเปนคําอุทธรณท ี่ไมสมบูรณครบถวน น ั้ น จะถือวาเปนคําอุทธรณท ี่ อาจแกไข ใหถูกตองไดหรือไม ศาลปกครองสูงสุดไดมีคําวนิิจฉัยเปน ๒ แนวทาง คือ ๑.๑) ถือวาเปนกรณีท ี่ไมอาจแกไขใหถูกตองได(คําส ั่ งศาล ปกครองสูงสุดท ี่ ๑๓๐/๒๕๕๐, ท ี่ ๓๐๑/๒๕๕๐, ท ี่ ๓๕๐/๒๕๕๐ และท ี่ ๔๑๓/๒๕๕๐) ๑.๒) ถือวาเปนกรณีที่ อาจแกไขใหถูกตองไดซ ึ่งศาลปกครองจะตอง มีคําส ั่งใหมีการแกไขคําอุทธรณใหถูกตองภายในระยะเวลาที่ กําหนดกอน (คําส ั่งศาลปกครอง สูงสุดท ี่ ๓๒๘/๒๕๕๐, และท ี่ ๒๕๔/๒๕๕๐) ๒. ในบางคดีศาลพิเคราะหขอความในอุทธรณโดยยืดหยุน กลาวคือ ผูฟองคดีอาจมิไดคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตนอยางชัดเจน แตกลาวอางถึง การดําเนินกระบวนพิจารณาตางๆ ของศาลท ี่ ผูฟองคดีเห็นวาไมถูกตองและสงผลกระทบทําให เสียความเปนธรรมในคดีศาลเห็นวาแมจะมิไดกลาวโดยชัดแจงวาการดําเนินกระบวนพิจารณา ของศาลปกครองชั้ นตนดังกลาวน ั้ น สงผลใหการวินิจฉัยคดีผิดพลาดหรือเสียความเปนธรรมไป อยางไร ก็ถือไดวาเปนคําอุทธรณที่ไดระบุถึงขอคัดคานคําพิพากษาของศาลปกครองชั้ นตนแลว (คําส ั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี๒๕๔/๒๕๕๐) ๒) ขอเท ็ จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ ยกข ึ้ นอางในคําอุทธรณตองเปน ขอเท ็ จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ไดยกข ึ้ นวากันมาแลวโดยชอบในศาลปกครองชั้ นตน (ขอ ๑๐๑ วรรคสอง) ขอ ๑๐๑ วรรคสองแหงระเบียบฯวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา ขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ จะยกข ึ้ นอางในการยื่ นคําอุทธรณน ั้ น ผูอุทธรณจะตองกลาวไว โดยชัดแจงในคําอุทธรณ และตองเปนขอท ี่ไดยกข ึ้ นวากันมาแลวโดยชอบในศาลปกครองชั้ นตน แตถาปญหาขอใดเปนปญหาอันเก ี่ ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนหรือปญหาเก ี่ ยวกับ ประโยชนสาธารณะ ผูอุทธรณจะยกปญหาขอน ั้ นข ึ้ นกลาวในคําอุทธรณหรือในชั้ นอุทธรณก็ได


สํานักพัฒนาระบบงานคดีปกครอง ๔๔ ๒.๑) ตองเปนขอเท ็ จจริงหรือขอกฎหมายท ี่ไดยกข ึ้ นวากันมาแลว โดยชอบในศาลปกครองชั้ นตน๑๗ ในคดีท ี่ ผูฟองคดีย ื่นฟองผูอํานวยการสํานักงานเขตพ ื้ นท ี่ การศึกษา นครราชสีมา เขต ๑ วา เม ื่ อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ผูฟองคดีเขารับราชการคร ั้ งแรกท ี่ จังหวัดสุรินทรตอมา พ.ศ. ๒๕๒๗ ยายมาปฏิบัติราชการท ี่ จังหวัดนครราชสีมาและใชสิทธิเบิกคาเชาบานเร ื่ อยมา จนกระท ั่ ง พ.ศ. ๒๕๒๙ ไดยายเขาพักท ี่ บานพักซ ึ่ งทางราชการจัดใหจึงงดเบิกคาเชาบาน ตอมา พ.ศ. ๒๕๔๔ ทางราชการไดรื้ อบานพักเพ ื่ อกอสรางอาคารหลังใหมผูฟองคดีจึงยายออกและเชา บานพักอาศัยพรอมกับย ื่นขอใชสิทธิเบิกคาเชาบาน แตผูถูกฟองคดีไมอนุมัติโดยอางวาผูฟองคดี เปนผูไมเคยใชสิทธิเบิกคาเชาบานมากอนวันท ี่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๑ อันเปนวันท ี่ พระราชกฤษฎีกา คาเชาบานขาราชการ (ฉบับท ี่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ ซ ึ่ งแกไขเพิ่ มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับท ี่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๑ มีผลใชบังคับ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําส ั่งใหผูถูกฟองคดีอนุมัติให ผูฟองคดีเบิกคาเชาบานไดผูถูกฟองคดีย ื่ นคําใหการวาต ั้ งแตผูฟองคดียายมารับราชการ ท ี่ จังหวัดนครราชสีมา ผูฟองคดีไดเขาพักอาศัยในที่ อยูของทางราชการ ผูฟองคดีไมเคยใชสิทธิ เบิกคาเชาบาน เม ื่อทางราชการใหผูฟองคดีออกจากบานพักในปพ.ศ. ๒๕๔๔ แมจะทําใหผูฟองคดี มีสิทธิขอเบิกคาเชาบานไดแตเปนการไดสิทธิมาภายหลังจากท ี่ พระราชกฤษฎีกาคาเชาบาน ขาราชการ (ฉบับท ี่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ ซ ึ่ งแกไขเพิ่ มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับท ี่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๑ ใชบังคับแลว ผูฟองคดีจึงเปนผูตองหามใชสิทธิ ศาลปกครองชั้ นตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดี อนุมัติเบิกจายคาเชาบานขาราชการใหแกผูฟองคดีผูถูกฟองคดีย ื่ นอุทธรณตอศาลปกครอง สูงสุดวา คําส ั่งใหมีการตรวจสภาพบานเชาของผูฟองคดีท ี่เคยไดรับอนุมัติใหเบิกคาเชาบาน เปนคําส ั่ งที่ไมไดระบุรายละเอียดวาผูขอใชสิทธิเบิกคาเช าบานเปนบุคคลใด และไมมีชื่ อผูฟองคดี อยูในคําส ั่ งดังกลาว จึงไมอาจรับฟงไดวามีการตรวจสภาพบานเชาของผูฟองคดีผูฟองคดีจึงไม สามารถนําหลักฐานดังกลาวมาประกอบการขออนุมัติเบิกคาเชาบานคร ั้งใหมการท ี่ศาลปกครอง ช ั้ นตนรับฟงพยานบุคคลท ี่ใหถอยคําแกไขเพ  ิ่ มเติมเอกสารดังกลาวเพ ื่ อยืนยันวามีการตรวจสภาพ บานเชาของผูฟองคดีจึงเปนการรับฟงเปนพยานที่ไมชอบดวยกฎหมาย ถือเปนการอุทธรณ ในรายละเอียดปลีกยอย ประกอบกับเปนขอเท็จจริงท ี่ มิไดยกข ึ้ นวากันมาแลวโดยชอบในศาล ปกครองชั้นตน จึงเปนอุทธรณตองหามตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบฯ วาดวยวิธี พิจารณาคดีปกครองฯ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท ี่ อ.๒๐/๒๕๕๐) ๑๗ โปรดดูเพิ่มเติมจากคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ .๒๓ /๒๕๕๐, ที่อ.๖๕ /๒๕๕๐, ที่อ.๘๖/๒๕๕๐ คําสั่งศาลปกครอง สูงสุดที่๑๔๘/๒๕๕๐, ที่ ๑๕๙/๒๕๕๐, ที่๓๗๑/๒๕๕๐, ที่๓๗๒/๒๕๕๐, ที่๓๗๓/๒๕๕๐, ที่๓๗๔/๒๕๕๐ และที่๓๙๑/๒๕๕๐


Click to View FlipBook Version