The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ccharoenkrung, 2022-01-09 22:47:12

วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

ปีที่ 17 ฉบับที่ 2

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  43

"new normal" แปลว่า ความปกติใหม่ ฐานชีวิตวิถี 1. ราคจริต (ผูม้ ีราคะเป็ นความประพฤติ
ใหม่ หมายถึง รูปแบบการดาเนินชีวิตอย่างใหม่ที่ ปกติ ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม - one of
แตกต่างจากอดีต ตอ้ งเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีชีวิตใหม่ lustful temperament) กรรมฐานคู่ปรับสาหรับแก้ คอื
ภายใต้หลกั มาตรฐานใหม่ที่ไม่คุน้ เคย รูปแบบวิถี อสุภะและกายคตาสติ
ชีวิตใหม่น้ี ประกอบดว้ ยวิธีคิด วิธีเรียนรู้ วิธีสื่อสาร
วิธีปฏิบตั ิและการจดั การ การใชช้ ีวิตแบบใหม่เกิดข้ึน 2. โทสจริต (ผูม้ ีโทสะเป็ นความประพฤติ
หลงั จากเกิดการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่และรุนแรง ปกติ ประพฤติหนกั ไปทางใจร้อนหงุดหงิด - one of
อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ทาใหม้ นุษยต์ อ้ งปรับตวั เพ่อื รับมือ hating temperament) กรรมฐานท่ีเหมาะ คือ พรหมวิหาร
กับ ส ถ า น ก า ร ณ์ ปั จ จุ บัน ม า ก ก ว่ า จ ะ ธ า ร ง รั ก ษ า และกสิณ โดยเฉพาะวณั ณกสิณ
วิถีด้ังเดิม ดังน้ัน ตอ้ งใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยี
สารสนเทศ เพื่อให้ชีวิตของมนุษยง์ ่ายข้ึน ทุกอย่าง 3. โมหจริต (ผูม้ ีโมหะเป็ นความประพฤติ
เชื่อมถึงกนั ไดท้ ุกอุปกรณ์ ทุกท่ี ทุกเวลา ผูค้ นจะถูก ปกติ ประพฤติหนักไปทางเขลา เหงาซึม เงื่องงง
กระทบจากเทคโนโลยี ขอ้ ดีที่เด่นชดั ของการเปลี่ยนแปลง งมงาย - one of deluded temperament) กรรมฐานท่ี
ดงั กล่าว คือ การกระตุน้ ให้เกิดการมีส่วนร่วมของ เก้ือกูล คือ อานาปานสติ และพึงแก้ด้วยมีการเรียน
ประชาชนโดยง่าย การขจัดความยุ่งยากและขจัด ถาม ฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาลหรืออยกู่ บั ครู
ความสิ้นเปลืองทรัพยากร ตอบสนองการใช้ชีวิต
แบบสะดวกสบายของคนมากข้ึน การเรียนรู้ในส่ือ 4. สทั ธาจริต (ผมู้ ีศรัทธาเป็นความประพฤติ
ต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลาในการเดินทาง ปกติ ประพฤติหนกั ไปทางมีจิตซาบซ้ึงช่ืนบาน นอ้ มใจ
หลายองคก์ รทางานที่บา้ น เรียนที่บา้ น รวมท้งั ทาให้ เลื่อมใสโดยง่าย - one of faithful temperament)
มีระบบการทางานท่ีมีความโปร่งใสมากข้ึน สามารถ พึงชกั นาไปในส่ิงที่ควรแก่ความเลื่อมใส และความเชื่อ
ตรวจสอบไดง้ ่ายข้ึนผ่านเทคโนโลยี แต่ขอ้ เสียเกิด ท่ีมีเหตุผล เช่น พจิ ารณาอนุสติ 6 ขอ้ ตน้
ก า ร แ บ่ ง ปั น แ ล ะ ก ร ะ จ า ย ข่ า ว ท่ี ไ ม่ ไ ด้ พิ จ า ร ณ า
ไตร่ตรองก่อนจนเกิดความเสียหาย ดงั น้นั พฤติกรรม 5. พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (ผมู้ ีความรู้เป็น
ทางสังคมในยคุ น้ี จึงควรใชส้ ติและมีความรอบคอบ ความประพฤติปกติ ประพฤติหนักไปในทางใช้
ไม่ไหลไปตามกระแสและไม่ประมาท ความคิดพจิ ารณา - one of intelligent temperament)

จริต 6 หรือจริยา หมายถึง ความประพฤติ 6. วติ กจริต (ผมู้ ีวิตกเป็นความประพฤติปกติ
ปกติ ความประพฤติซ่ึงหนักไปทางใดทางหน่ึง ประพฤติหนักไปทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน - one of
อันเป็ นปกติประจาอยู่ในสันดาน พ้ืนเพของจิต speculative temperament) พึงแก้ด้วยส่ิงที่สะกดอารมณ์
อุปนิสัย พ้ืนนิสัย แบบหรือประเภทใหญ่ ๆ แห่ง เช่น เจริญอานาปานสติ หรือเพง่ กสิณ เป็นตน้
พฤติกรรมของคน แบ่งออกเป็ น 6 ประเภท เรียกว่า
จริต 65 ไดแ้ ก่ องค์ประกอบของพฤตกิ รรม6
จากที่กลา่ วมาขา้ งตน้ พอสรุปไดว้ ่า พฤติกรรม
เป็ นผลของการเลือกปฏิกิริยาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสถานการณ์ต่าง ๆ พฤติกรรม
ของมนุษย์ มีองคป์ ระกอบ 7 ประการ คือ

44  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

1. เป้าหมายหรือความมุ่งหมาย ซ่ึงก่อให้ อานาจสูงสุด เพราะป็ นแรงผลกั ดนั ที่จะทาให้ชีวิต
เกิดพฤติกรรม เช่น ความตอ้ งการมีหนา้ มีตาในสังคม อยูร่ อด มนุษยจ์ ะต่อสู้ด้ินรนทุกวิถีทาง เพื่อให้ไดม้ า
ซ่ึงสิ่งที่จะมาบาบดั ความตอ้ งการทางร่างกาย ทาให้
2. ความพร้อม หมายถึง ระดบั วฒุ ิภาวะและ มนุษยแ์ สดงพฤติกรรมต่าง ๆ ซ่ึงอาจจะเป็ นท้งั ทาง
ความสามารถที่จาเป็ นในการทากิจกรรม ที่ดีท่ีถูกตอ้ งหรือทางที่ไม่ถูกตอ้ งก็ได้ ความตอ้ งการ
ทางร่างกายท่ีจะทาใหช้ ีวิตอยรู่ อด ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการ
3. สถานการณ์ หมายถึง ลู่ทางหรือโอกาส อาหาร น้า อากาศ อุณหภูมิท่ีพอเหมาะ การพกั ผ่อน
ใหเ้ ลือกทากิจกรรมเพอ่ื สนองความตอ้ งการ การขบั ถา่ ย การสืบพนั ธุ์ ความปลอดภยั

4. การแปลความหมาย เป็ นการพิจารณา 1.2 ความต้องการทางจิตใจ เป็ นแรง
ลูท่ าง เพอื่ เลือกหาวิธีท่ีสนองความตอ้ งการ ผลกั ดันที่อยู่ในระดับสูงข้ึนกว่าความต้องการทาง
ร่างกาย นกั จิตวิทยากลุ่มโครงสร้างของจิต ตรวจสอบ
5. การตอบสนอง คือ การดาเนินทากิจกรรม จิตตนเอง (introspection) ความตอ้ งการทางจิตใจน้ี
ตามที่ตดั สินใจเลือกสรรแลว้ ความเชื่อในพระพุทธศาสนา เช่ือว่า แรงผลักดัน
พฤติกรรมของมนุษยอ์ นั เป็ นผลมาจากแรงผลกั ดนั
6. ผลลพั ธท์ ี่ตามมาคอื ผลที่เกิดข้นึ การกระทา ในตัวมนุษย์น้ันคือ ความอยากซ่ึงเรียกว่า ตัณหา
กิจกรรมน้นั ซ่ึงอาจไดผ้ ลตรงขา้ มที่คาดไว้ (craving)

7. ปฏิกิริยาต่อความผิดหวงั เป็ นปฏิกิริยาท่ี ตณั หา 3 (ความทะยานอยาก - craving)
เกิดข้ึนไมส่ ามารถตอบสนองตามความตอ้ งการ ซ่ึงแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 อยา่ ง8,9 คือ

ปัจจัยสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมของ 1. กามตณั หา คอื ความอยากในสิ่งท่ีน่าใคร่
มนุษย์ มี 3 ประการ น่าปรารถนา น่าพอใจ ในรูป รส กล่ิน เสียง และ
สมั ผสั
สาเหตุของพฤติกรรมน้นั เกิดจาก พฤติกรรม
ภายในส่งผลให้เกิดพฤติกรรมภายนอก การปรับ 2. ภวตณั หา คือ ความอยากจะเป็ นในภพ
พฤติกรรม มีพ้ืนฐานและยึดแนวคิดของทฤษฎีการ ความอยากในภาวะของตวั ตน
เรี ยนรู้เป็ นหลักในการให้ความหมาย การปรับ
พฤติกรรม เช่น O’Leary KD, et al. ไดใ้ หค้ วามหมาย 3. วิภวตัณหา คือ ความอยากในวิภพ
ไวว้ า่ “เป็นการประยกุ ตท์ ฤษฎีการเรียนรู้และขอ้ คน้ พบ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตน จาก
จากจิตวิทยาการทดลอง เพื่อใชใ้ นการเปล่ียนแปลง ความเป็ นอย่างใดอย่างหน่ึ งอันไม่ปรารถนา
พฤติกรรม ของมนุษย”์ มี 3 ปัจจยั ดงั น้ี7 อยากทาลาย อยากดับสู ญ ความใคร่ อยากท่ี
ประกอบดว้ ยวิภวทิฏฐิ ความอยากเป็นตวั ผลกั ดนั ให้
1. พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นจากแรง มนุษยก์ ระทาทุกสิ่งทุกอย่าง เพ่ือให้ไดม้ าท่ีจะสนอง
ผลกั ดันภายในตวั ของมนุษย์ ความอยากน้นั

แรงผลกั ดันที่ทาให้มนุษยแ์ สดงพฤติกรรม
ต่าง ๆ ออกมา คือ ความตอ้ งการ ซ่ึงความตอ้ งการน้ี
จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1.1 ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกาย เป็ น
แรงผลักดันท่ีอยู่ในระดับพ้ืนฐานที่สุด แต่มีพลัง

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  45

ความสาคัญของพฤตกิ รรมมนุษย์ ความรู้สึกตัว เปรียบเทียบภูเขาน้าแข็งท่ีลอยอยู่
เขา้ ใจพฤติกรรมตนเองและผูอ้ ื่น ประพฤติ ไดแ้ ก่ จิตสานึก (conscious) คือ รู้ตวั มีเหตุผล ซ่ึงจะมี
ให้ถึงความเป็ นปกติทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยูร่ ้อยละ 10 จิตก่ึงสานึก (subconscious) จิตใตส้ านึก
สามารถควบคุมพฤติกรรม นาไปประยุกตเ์ พ่ือปรับ (unconsciousness) คือ ไม่รู้ตวั เลย เก็บกด ก้าวร้าว
ใช้ในการดาเนินชีวิต สามารถอธิบายพฤติกรรม ซ่ึงจะมีอยรู่ ้อยละ 90
ความประพฤติท่ีดีงามการหาเล้ียงชีพสุจริต เป็ น
การป้องกันหรื อบรรเทาปัญหาสังคม นาไปสู่ 2. โครงสร้างของจิต (structure of mind)
การพฒั นาคุณภาพชีวิต พฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาน้ัน
สืบเนื่องมาจากการทางานของพลงั จิต 3 ส่วน ไดแ้ ก่
หลกั การ แนวคิด ทฤษฎจี ิตวิทยา อิด (id) เป็ นส่วนที่ติดมาต้ังแต่กาเนิด เรี ยกว่า
การพฒั นาพฤติกรรมมนุษย์ ควรส่งเสริม สัญชาตญาณ ความอยาก ตณั หา ความกา้ วร้าว อีโก้
พลงั 4 คือ พลงั สร้างสรรค์ พลงั ปรับตวั พลงั ร่วมมือ (ego) เป็ นส่วนท่ีทาหน้าท่ีควบคุมพฤติกรรมที่
และพลงั แสวงหา เช่น การสนับสนุนให้ผูป้ ่ วยกลา้ แสดงออกของ id ให้เหมาะสม และซุปเปอร์อีโก้
เผชิญความเป็ นจริง คือ กล้าเผชิญความกลัวและ (super ego) เป็ นส่วนของคุณธรรมในแต่ละบุคคล
แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ การส่งเสริมให้ผูป้ ่ วย จริยธรรม จรรยาบรรณ
ป รั บ เ ป ลี่ ย น พ ฤ ติ ก ร ร ม สุ ข ภ า พ โ ด ย ใ ห้ เ ชื่ อ มั่น ใ น
ศกั ยภาพตนเอง การสร้างความร่วมมือระหวา่ งผูป้ ่ วย 3. สัญชาตญาณ พฤติกรรมท่ีเป็นไปเองโดย
ญาติผปู้ ่ วย และบุคลากรดา้ นการแพทย์ กลา้ ประเมิน ธรรมชาติของแต่ละชนิดของอินทรีย์ ไม่จาเป็ นตอ้ ง
วิ ธี ป ฏิ บัติ แ ล ะ ก ล้า รั บ ผิ ด ช อ บ ใ น ส่ิ ง ที่ ต น เ อ ง ไ ด้ มีการเรียนรู้ ได้แก่ 1) สัญชาตญาณแห่งการมีชีวิต
ตดั สินใจเลือก แสวงหากิจกรรมท่ีสร้างคุณค่าทาง (life instincts) เป็ นแรงขับทางเพศ (sexual drive)
จิตใจใหก้ บั ผปู้ ่ วยดว้ ยพฒั นาจิตตปัญญา หรือความรัก (eros) และ 2) สญั ชาตญาณแห่งความตาย
Freud SA10 เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาโลก และบิดา (death instincts) เป็นแรงขบั ทางกา้ วร้าว ความพินาศ
แห่งจิตวิเคราะห์ ชาวออสเตรีย ฟรอยด์ เป็ นคนแรก
ให้ความสาคัญของพัฒนาการในวยั เด็ก ถือเป็ น 4. กลไกการป้องกนั ตวั ไดแ้ ก่ การเก็บกด
รากฐานพัฒนาการของบุคลิกภาพตอนวยั ผู้ใหญ่ โทษคนอื่น ปากวา่ ตาขยบิ การถอยกลบั การปฏิเสธ
เช่ือว่า พฤติกรรมมนุษย์ใน 5 ปี แรกของมนุษย์มี ความจริง การหาเหตุผลเขา้ ข้างตนเอง องุ่นเปร้ียว
ความสาคญั ท่ีสุด เกิดข้ึนเน่ืองจาก แรงขบั แรงจูงใจ มะนาวหวาน การเลียนแบบ การยา้ ยที่ การทดแทน
หรือพลังงานภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับ จินตนาการ
จิตใตส้ านึก (unconsciousness) แนวคิดของกลุ่ม
จิตวิเคราะห์ มี 5 ประการ คือ 5. พฒั นาความตอ้ งการทางเพศและบุคลิภาพ
1. ระดับของจิตใจ ( level of the mind) มี 5 ข้นั คอื 1) ข้นั ปาก (oral stage) 0 – 18 เดือน พงึ พอใจ
ฟรอยด์ เช่ือว่า จิตมีพลัง แบ่งจิตออกเป็ น 3 ระดับ อยู่ท่ีช่องปาก 2) ข้นั ทวารหนกั (anal stage) 18 เดือน -
3 ปี พึงพอใจทางทวารหนัก 3) ข้นั อวยั วะเพศ (phallic
stage) 3 - 5 ปี พึงพอใจอยู่ที่อวยั วะสืบพนั ธุ์ 4) ข้นั แฝง
(latency stage) 6 - 12 ปี เป็ นระยะท่ีเด็กเก็บกด

46  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ทางเพศ และ 5) ข้นั สนใจเพศตรงขา้ ม (genital stage) ปัจจัยพื้นฐานพฤติกรรมมนุษย์ตามแนว
อายุ 12 ปี ข้ึนไป มีความต้องการทางเพศ ฟรอยด์
เช่ือว่า บุคลิกภาพของผใู้ หญ่ท่ีแตกต่างกนั เนื่องมาจาก จิตวทิ ยา
ประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อเวลาในวยั เด็ก และ นักจิตวิทยาเช่ื อว่า พฤติกรรมมนุ ษย์
ข้ึนอยู่กับเด็กแต่ละคนแก้ปัญหาของความขัดแยง้
ของแต่ละวยั อยา่ งไร ส่ ว น ใ ห ญ่ จ ะ ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บัติ ต า ม แ บ บ แ ผ น ข อ ง
กฎระเบียบและวัฒนธรรมท่ีมีอยู่ในสังคมน้ัน ๆ
2. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของ ซ่ึงมนุษยย์ อ่ มเขา้ ใจในสถานภาพ และบทบาทตามที่
กลุ่มสังคมคาดหวังดังน้ัน พฤติกรรมมนุษย์
ส่ิงแวดล้อม แนวทศั นะของกลุ่มจิตวิทยามนุษยน์ ิยม ผูน้ าสาคญั
อริสโตเติล เป็ นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์เชิง ได้แก่ Roger CR 13 กล่าวว่า ความเช่ือเบ้ืองต้นของ
กลุ่มจิตวิทยามนุษย์นิยม มีดังน้ี มนุษย์มีจิตใจ
ประจกั ษ์ มุมมองต่อ “ความสุข” สร้างความเปลี่ยนแปลง ตอ้ งการความรัก ความอบอุ่น ความเขา้ ใจ ท้งั ยงั มี
ใหก้ บั โลก “เราควรมีชีวิตอยอู่ ยา่ งไร” สรุปความงา่ ย ๆ ขีดความสามารถเฉพาะตวั ไม่ใช่จะกาหนดให้เป็ น
น่ันคือ การแสวงหาความสุข อริสโตเติลมองว่า อะไรก็ไดต้ ามใจชอบของคนอื่น ซ่ึงตรงขา้ มกบั แนวคิด
ส่ิงเหลา่ น้ี คือ ส่วนผสมหน่ึงของ “ชีวิตที่ดี” “ชีวิตท่ีได้ ของกลุ่มพฤติกรรมที่เห็นว่า เราสามารถกาหนด
ใชอ้ านาจในการใชเ้ หตผุ ล” ความสุข คือ ความสาเร็จ พฤติกรรมของมนุษยด์ ว้ ยกนั ได้ มนุษยแ์ ต่ละคนเป็น
โดยรวมในชีวติ ภาวะความสุขที่ไม่ไดอ้ ยใู่ ตจ้ ิตสานึก ผูซ้ ่ึงพยายามที่จะรู้สึก เข้าใจตนเอง และต้องการ
สภาวะที่เป็ นมากกว่าความเบิกบานใจเป็ นส่ิงท่ีเรา บรรลุศกั ยภาพสูงสุดของตน (self-actualization) จึง
สามารถตดั สินใจท่ีลงมือทาอย่างใดอย่างหน่ึง การมี ไม่ยากนักที่ จะเส ริ มส ร้ างใ ห้บุ คคล คิ ดวิ เ ค รา ะ ห์
ยูไดโมเนียเกิดข้ึนได้ คือ “การพฒั นาลกั ษณะนิสัยท่ี เขา้ ใจตน และนาจุดดีมาใช้ประโยชน์เพ่ือพฒั นาเอง
ถูกตอ้ ง” หรือการรู้จกั ท่ีควบคุมอนั เหมาะสมในเวลา เชื่อว่า มนุษย์มิใช่ทาสของแรงผลักดันต่าง ๆ แต่
ท่ีเหมาะสม เรียกง่าย ๆ คือ “ความพอดี” (golden มนุษย์ยังเกิดมาพร้อมศักยภาพของความเป็ น
mean) อริสโตเติล เชื่อวา่ คุณธรรมท้งั หมดต้งั อย่ตู รง มนุษยต์ ่าง ๆ เช่น ความอยากรู้ ความสร้างสรรค์ และ
กลางระหวา่ งส่ิงที่แตกตา่ งกนั สองข้วั 11 ความตอ้ งการท่ีจะพฒั นาตนเองจนเตม็ ขีดความสามารถ
Maslow A14 ไดเ้ นน้ ให้เห็นถึงความตอ้ งการใหแ้ ต่ละคน
3. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากท้ังแรงผลักดัน ในการพฒั นาศกั ยภาพของตนให้เป็ นจริงข้ึนมามาก
เป็ นพิเศษ มนุษย์เกิดมาพร้อมด้วยความต้องการ
ภายในตวั ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม อย่างเป็ นอิสระ 5 อย่าง ตามลาดับความสาคัญ
Bandura A12 ทฤษฎีการเรี ยนรู้ทางสังคม ทฤษฎีลาดบั ข้นั ความตอ้ งการข้นั พ้ืนฐานของมนุษย์
Maslow A ได้ ดงั น้ี
นกั จิตวทิ ยาที่ใหค้ วามสาคญั แก่ องคป์ ระกอบภายใน
ตวั มนุษยแ์ ละสิ่งแวดลอ้ มต่างก็มีอิทธิพลต่อกนั และกนั 1. ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ท า ง ด้ า น ร่ า ง ก า ย
เป็นตวั ก่อใหเ้ กิดพฤติกรรม (physiological needs )

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  47

2. ความต้องการความปลอดภัย (safety แวบข้ึนมาในสมองทันที) มีผลการทดลอง สรุป
needs) ได้ว่า โดยปกติแล้วคนเราจะมีวิธีการเรียนรู้และ
การแกป้ ัญหา ตอ้ งอาศยั ความคิดและประสบการณ์
3. ความต้องการความรักและความเป็ น เดิมมากกว่า การลองผิดลองถูก เมื่อสามารถ
เจา้ ของ (belongingness and love needs) แกป้ ัญหาในลกั ษณะน้นั ไดแ้ ลว้ ถา้ เผชิญกบั ปัญหาที่
คล้ายคลึงกันก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันที เพราะ
4. ความตอ้ งการได้รับความนับถือยกย่อง มนุษยส์ ามารถจดั แบบ (pattern) ของความคิดใหม่
(esteem needs) เ พื่ อ ใ ช้ ใ น ก า ร แ ก้ปั ญ ห า ที่ ต น เ ผ ชิ ญ อ ยู่ ไ ด้ อ ย่ า ง
เหมาะสม หลักการรับรู้ของมนุษย์ เป็ นพ้ืนฐานที่
5. ความต้องการท่ีจะเข้าใจตนเองอย่าง สาคัญในการเรี ยนรู้มีผลให้ นักการศึกษานาม าใช้
แทจ้ ริง (self-actualization needs) ประโยชน์ได้มาก เพราะการรับรู้เป็ นปัจจยั สาคัญ
ของการเรี ยนรู ้ การทดลองของกลุ่มการเรี ยนรู้ ด้วย
Watson JB15 เป็นบิดาแห่งพฤติกรรมศาสตร์ การหยงั่ รู้
และเป็ นบิดาแห่งจิตวิทยาสมัยใหม่ ลักษณะของ
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของวตั สันและ ปั จ จั ย พื้ น ฐ า น พ ฤ ติ ก ร ร ม ม นุ ษ ย์ ท า ง
พาฟลอฟ คือ 1) การวางเงื่อนไขเป็ นสาเหตุท่ีทาให้
เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม 2) พฤติกรรม วิทยาศาสตร์ด้านชีวภาพ
ส่วนใหญ่ของบุคคลที่แสดงออกมาน้ัน เกิดจาก การใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์
การวางเงื่อนไขมากกว่าพฤติกรรมที่แสดงออกตาม
ธรรมชาติ และ 3) การศึกษาพฤติกรรมที่เกิดจาก พฤติกรรมมนุษย์ จาแนกได้ ดังน้ี ด้านพนั ธุกรรม
เรียนรู้ของมนุษยแ์ ละสัตวม์ ีความใกลเ้ คยี งกนั ลกั ษณะที่ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม เช่น ลกั ษณะทางกาย
ความผิดปกติทางจิต เชาวป์ ัญญา ดา้ นการทางานของ
ทฤษฎีการเรี ยนรู้ด้วยการหย่ังรู้ (insight ระบบในร่างกาย ระบบประสาท ระบบต่อม ระบบ
learning)16 นักจิตวิทยาที่สาคญั 3 คน คือ เวอร์ไทเมอร์ กลา้ มเน้ือ
คอฟฟ์ กา้ และเคอเลอร์ เรียกว่า กลุ่มเกสตลั ท์ กล่าวว่า
“การเรี ยนรู้ ที่ เห็ นส่ วนรวมมากกว่าส่ วนย่อ ย น้ ัน 1. ความปกติของสมองและระบบประสาท
จะตอ้ งเกิดจากประสบการณ์เดิม และการเรียนรู้ย่อม จะมีส่วนสาคญั ต่อพฤติกรรมมนุษยใ์ นดา้ นความรู้สึก
เกิดข้ึน 2 ลกั ษณะ คือ นึกคิด ตลอดจนดา้ นจิตใจ หากสมองผิดปกติย่อมมี
ผลให้พฤติกรรมของบุคคลเปล่ียนแปลงไปด้วย
1. การรับรู้ (perception) หมายถึง การแปล การผิดปกติของสมอง อาจเน่ืองมาจากโรคต่าง ๆ เช่น
ความหมายหรือการตีความต่อสิ่งเร้าของอวยั วะรับ ไขม้ าเลเรียข้ึนสมองสมองไดร้ ับความกระทบกระเทอื น
สัมผสั ส่วนใดส่วนหน่ึงหรือท้งั ห้าส่วน ไดแ้ ก่ หู ตา เน้ืองอกในสมอง เป็นตน้
จมูก ลิ้น และผิวหนัง และการตีความน้ี มักอาศัย
ประสบการณ์เดิม 2. ความพิการทางร่างกาย หรือเจ็บป่ วย
เร้ือรัง โรคเร้ือรังน้ันมีหลายลกั ษณะและเกิดข้ึนได้
2. การหยงั่ เห็น (insight) หมายถึง การเรียนรู้ จากหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดข้ึนในร่างกายเป็ น
ด้วยตนเอง จะเกิดแนวความคิดในการเรียนรู้หรือ
การแกป้ ัญหาข้ึนอย่างฉับพลันทนั ที (เกิดความคิด

48  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

เวลานานกว่าจะแสดงอาการ และอาจทาให้อวยั วะ เพือ่ ป้องกนั และลดภาวะปัญญาอ่อนและพฒั นาการชา้
บางส่วนในร่างกาย เกิดปัญหาหรือใชง้ านไดไ้ ม่เต็มท่ี ของเด็กไทย18
ซ่ึงโรคเร้ือรังบางชนิดยงั ไม่สามารถรักษาให้หายขาด
ได้ ทาได้เพียงควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงข้ึนหรือ บูรณาการ การพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ใน
ลกุ ลามไปยงั อวยั วะส่วนอ่ืน ๆโดยตวั อยา่ งของโรคเร้ือรัง ยุควิถีชีวิตใหม่ ภายใต้ ทฤษฎีจิตวิทยาและ
ที่พบไดบ้ ่อยคือ โรคหอบหืดโรคภูมิแพ้โรคขอ้ อกั เสบ พทุ ธศาสนา
โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง และ
โรคหัวใจ ทาความเข้าใจโรคที่เป็ นอยู่ให้ดีท่ีสุด ปัจจยั พ้นื ฐานดา้ นสิ่งแวดลอ้ มทางธรรมชาติ
การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงน้ันถือเป็ นเร่ืองสาคญั ทางสังคมและทางครอบครัว อิทธิพลของส่ิงแวดลอ้ ม
ในการใชช้ ีวิต โดยออกกาลงั กายอยา่ งเหมาะสมเป็น ต่าง ๆ เหลา่ น้ีทาให้มนุษยม์ ีพฤติกรรมท่ีจะหาทางต่อสู้
ประจา หรือปรับเปล่ียนรูปแบบการใช้ชีวิตในดา้ น และเอาชนะ ทาให้เกิดวฒั นธรรม รูปแบบต่าง ๆ ข้ึน
ตา่ ง ๆ เช่น รับประทานอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ พกั ผอ่ น วิลเลี่ยม เจมส์ เป็ นบิดาจิตวิทยาอเมริกัน เชื่อว่า
ใหเ้ พยี งพอ เลิกสูบบุหรี่ และเลิกด่ืมสุรา เป็นตน้ สัญชาตญาณ เป็ นลกั ษณะหรือสาเหตุสาคญั ท่ีทาให้
คนเราปรับตวั ให้เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ ม กล่าววา่ “หนา้ ท่ี
3. โรคจิตและโรคประสาท เป็ นกลุ่มโรค ข อ ง จิ ต แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ที่ ส่ ง ผ ล ต่ อ พ ฤ ติ ก รรม ”
ทางอารมณ์ (mood disorders) เป็ นโรคเร้ื อรังท่ีมี ไดท้ าการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างจิต กบั พฤติกรรม
ความชุกตลอดชีวติ สูงและก่อใหเ้ กิดความ สูญเสียท้งั ใหค้ วามสาคญั กบั วิธีการที่มนุษยใ์ ชป้ รับตวั ให้เขา้ กบั
ต่อสุขภาพและคณุ ภาพชีวิต17 ส่ิงแวดลอ้ ม โดยเชื่อว่า จิตเป็ นตวั ก่อให้เกิดปัญญา
จิตมีหน้าท่ีควบคุมกระบวนการทุกอย่างภายใน
4. ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กาเนิด ร่ างกาย เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่ งแวดล้อมได้
ในประเทศไทย ทารกที่ได้รับการตรวจคัดกรอง อยา่ งเหมาะสมข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ของแต่ละคน
โดยกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ 699,331 ราย สอดคลอ้ งกับทฤษฎีของจอห์น ดิวอ้ี เช่ือว่าการคิด
พ บ ภา วะ พ ร่ อง ไ ท รอย ด์ฮอ ร์ โ ม นแ ต่ก า เ นิ ด อ ย่า ง ของมนุษยม์ ุ่งเพ่ือแกป้ ัญหาและลดความเครียดและ
ผิดปกติ 1,663 ราย คิดเป็ นร้อยละ 0.24 เด็กท่ีไดร้ ับ ความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึน และเช่ือว่าประสบการณ์เป็ น
การตรวจยืนยนั มีจานวนท้งั สิ้น 1,530 ราย คิดเป็ น ส่ิงสาคญั ทาให้คนปรับตวั ต่อส่ิงแวดลอ้ ม ใชแ้ นวคิด
ร้อยละ 92 ผลการตรวจยืนยนั พบว่า ปกติ 1,182 ราย เรียนรู้แบบลงมือทา (learning by doing)19
คดิ เป็นร้อยละ 71.08 ผิดปกติ 348 ราย คิดเป็นร้อยละ
20.98 สาเหตุเกิดจากเด็กเร่ิมการรักษาช้า จึงควร คุณค่ าของการพัฒนาพฤติกรรมทาง
ส่ งเสริ มความรู้และการตระหนักถึงความสาคัญของ พุทธศาสนา20
การตรวจวิ นิ จฉัย โรค และ ให้ กา ร รั ก ษา ต้ ัง แต่ แ ร ก
เป้าหมายสาคัญ คือ เด็กที่มีผลการตรวจคัดกรอง การจดั การพฤติกรรมมนุษยต์ ามแนวจริตใน
ผิดปกติ ควรไดร้ ับการรักษาโดยให้เร่ิมกินยาภายใน พระพุทธศาสนา คือ ราคะ โทสะ โมหะ สัทธา พุทธิ
อายุ 2 สัปดาห์ และกินยาต่อเนื่องจนครบเกณฑ์ และวิตกจริต จริยธรรม หมายถึง ความสัมพนั ธ์ของ
หลกั ศีลธรรมไดแ้ ก่ ความดีและความชว่ั ความถูกตอ้ ง

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  49

และไม่ถกู ตอ้ ง รูปแบบตามหลกั พทุ ธจิตวิทยาจาแนก ความโลภ ความโกรธ และความหลงได้ ดงั น้นั ภาวะ
ตามประเภทจริต มี 3 ข้นั ตอน ของจิต ที่เป็นหน่ึง ซ่ึงเกิดจากการเจริญสติปัฎฐาน 4
ดงั กล่าวน้ี จึงมีพลงั ท่ีจะขจดั ทุกขเวทนาท่ีเกิดข้ึนให้
1. รู้สภาวะอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละจริต หายไป ซ่ึงเรียกวา่ “กายบาบดั ” และ “จิตบาบดั ” ดว้ ย
(moral reasoning) คือ ความเข้าใจในเหตุผลของ ธรรมโอสถ คือ สติปัฎฐาน 4 ซ่ึงสามารถทาให้ทุกข์
ความถูกตอ้ งดีงาม สามารถตดั สินแยกความถูกตอ้ ง กาย ทุกข์ใจ หายไป อย่างหมดสิ้น21 จากการศึกษา
ออกจากความไม่ถกู ตอ้ งไดด้ ว้ ยการคดิ แนวคิดทฤษฎีดงั ที่กลา่ วมา พบวา่ พฤติกรรมมนุษยน์ ้นั
เป็นธรรมชาติท่ีสามารถปรับเปล่ียนได้ การปรับเปล่ียน
2. รู้กระบวนการการพฒั นาการเปลี่ยนผา่ น อาจเกิดข้ึนจากการอบรม การดาเนินการพัฒนา
ทางจิต (moral attitude and belief) คอื ความพงึ พอใจ ปรับเปลี่ยนด้วยกระบวนการตามหลักวิชาจาก
ความศรัทธาเลื่อมใสนิยมยินดีมาเป็ นแนวทางใน ส่ิงแวดลอ้ มและแรงขบั ภายในตนเอง จะเป็นบคุ คลที่
การประพฤติปฏิบตั ิตน มีคุณสมบัติของบัณฑิตที่ครบถ้วน ด้วยหลัก
สัปปุริสธรรม 722 หมายถึง ธรรมท่ีทาให้คนเป็ น
3. รู้เป้าหมายของสภาวะจิตท่ีถูกพัฒนา สัตบุรุษ หรือเป็ นคนดี มีคุณธรรม เป็ นคนเก่ง มี
แสดงพฤติกรรม (moral conduct) คือ การกระทา 7 ประการ ดว้ ยกัน คือ 1) ธัมมญั ญู- เป็ นผูร้ ู้จักเหตุ
หรือการแสดงออกของบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ คือ รู้ หลักความจริ งของธ รรมชาติ รู้ หน้าท่ี
ปลูกฝังคุณธรรมต่าง ๆ เป็นการปลูกฝังนิสัยท่ีดี รู้จกั 2) อัตถัญญู- เป็ นผู้รู้จักผล คือ รู้ความมุ่งหมาย
วิธีทาใจ ให้สงบ และผ่อนคลายความทุกข์ ผูป้ ฏิบตั ิ 3) อัตตัญญู- เป็ นผูร้ ู้จักตน คือ รู้ฐานะ เพศ กาลัง
อยู่เป็ นประจาย่อมจะมีความมนั่ คงทางอารมณ์และ ความถนัด และคุณธรรม 4) มัตตัญญู- เป็ นผูร้ ู้จัก
มีภูมิคุม้ กนั โรคทางจิต เกิดอานิสงส์ในชีวิตประจาวนั ประมาณ คือ รู้ความพอเหมาะพอดี 5) กาลัญญู-
เพิ่มประสิทธิภาพในการทางาน การเล่าเรียน และ เป็ นผู้รู้จักกาล คือ รู้ว่าเวลาไหน ควรทาอะไร
การทากิจทุกอยา่ ง ช่วยเสริมสุขภาพกายและใช้รักษา 6) ปริ สัญญู- เป็ นผู้รู้จักชุมชน คือ รู้จักมารยาท
โรคได้ ระเบียบวินัย และ 7) ปุคคลญั ญู - เป็ นผูร้ ู้จกั บุคคล
คือ รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคล ซ่ึงเป็ นไปตาม
ธรรมโอสถท่ีปรากฏในพระไตรปิ ฎก หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คอื ความพอประมาณ
ท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้ในการรักษาโรคในยามอาพาธ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุม้ กนั ท่ีดีในตวั การปฏิบตั ิน้ี
หรื อเจ็บป่ วย พอสรุ ปหลักการของธรรมะ คือ เป็ นหัวใจสาคญั ของจริยธรรม หมายถึง ความประพฤติ
การเจริญสติปัฎฐาน 4 นอกจากจะใชใ้ นการปฏิบัติ กิริยาท่ีควรประพฤติ เมื่อนาจริยธรรมวิชาชีพไป
เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานแลว้ ยงั สามารถนามาใช้ ประพฤติปฏิบัติจริ งในสาขาวิชาชีพ และใช้
รักษาการเจ็บป่ วย บรรเทาความทุกขเ์ วทนาท่ีเกิดจาก ธรรมจริยาเป็ นหลกั ประพฤติในชีวิต จะเป็ นส่วน
โรคต่าง ๆ การเจริญสติปัฎฐาน 4 เป็ นหลกั การใน สนบั สนุนและส่งเสริมใหเ้ กิดสมดุล มีความสุข เป็น
การใชก้ าลงั ของสติ สมาธิ และขนั ติ คอื ความอดทน
อดกล้นั เพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นชัดในสังขารท้งั 4
คือ กาย เวทนา จิต และธรรม โดยพจิ ารณาเห็นธรรม
ท้งั หลายดว้ ยความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติเพอื่ กาจดั

50  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ประโยชน์ท้งั กบั ตนเองและผูอ้ ่ืน ใชใ้ นการครองตน ดงั น้ัน ทศั นคติท่ีเก่ียวกบั ตนเอง จึงเป็ นตวั กาหนด
ครองคนและครองงาน ดาเนินชีวิต ท่ีแสดงออกเป็ น พฤติกรรมที่สาคญั ในการพฒั นาตนเองน้ัน ตอ้ งมี
พ้ืนจิต พ้ืนนิสัยของแตล่ ะบคุ คล การเรียนรู้ (learning) ซ่ึงการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพน้นั
ประกอบไปด้วยปัจจยั ท่ีสาคญั คือ วุฒิภาวะ ได้แก่
ทฤษฎีการควบคุมและพัฒนาพฤติกรรม ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม ประสบการณ์เดิม
มนุษย์ มี 3 ทฤษฎี23 คือ การจูงใจ สภาพทางอวัยวะรับความรู้สึ กและ
ประสาทสัมผสั การเรียนรู้ควรส่งเสริมมนุษยใ์ หเ้ กิด
1. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข เพ่ือปรับเปล่ียน การเปลี่ยนแปลงท้งั ด้านความรู้และเจตคติเก่ียวกับ
พฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์น้ัน ใช้วิธีการ พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติ
เสริมแรงและจูงใจ คือ เปลี่ยนแปลงไปในพฤติกรรม พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพใ ห้ดีย่ิงข้ึน ต่ อไป
ดา้ นบวก และเสริมแรงดา้ นลบเพื่อหลีกเล่ียงส่ิงที่ไม่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิสัยสามารถของแต่ละ
พึงประสงค์ ปัจจัยท่ีทาให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ บุคคล มาจากปัจจัยทางด้านเจตคติ ซ่ึงความรู้
ประกอบด้วย ปัจจยั ทางชีวภาพ ปัจจยั ทางอารมณ์ ความเขา้ ใจจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติของ
ปัจจยั ทางความคดิ ปัจจยั ทางสงั คม บคุ คลน้นั ดงั น้นั การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นผล
จากความรู้ เจตคติประสบการณ์ และการฝึกฝน
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ ทางปัญญาสั งคม
พฒั นาโดยนกั จิตวิทยาชาวแคนนาดา ชื่อ อลั เบอร์ต อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ต า ม ท ฤ ษ ฎี
บันดูร่า ให้ความสาคัญของการปฏิสัมพันธ์ของ พฤติกรรมนยิ ม25
อินทรียแ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม และถือว่าการเรียนรู้ก็เป็ น
ผลของปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผูเ้ รียนและสิ่งแวดลอ้ ม บุ ค ค ล ท่ี มี ระ ดับ ค วา ม เชี่ ย วช า ญส่ ว น บุ ค ล
โดยผูเ้ รียนและส่ิงแวดลอ้ มมีอิทธิพลต่อกันและกนั (personal mastery) เป็ นรากฐานขององค์การแห่ง
เช่ือว่าพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนจะคงตวั เสมอ ท้งั น้ีเพราะ การเรียนรู้ซ่ึงมีองคป์ ระกอบพ้ืนฐาน คอื
ส่ิงแวดลอ้ มเปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอ และท้งั ส่ิงแวดลอ้ ม
และพฤติกรรมมีอิทธิพลซ่ึงกนั และกนั 24 1. มีวิสัยทศั น์ส่วนบุคคล (personal Vision)
ทาใหบ้ ุคลากรทุกคนเห็นคุณค่าภายใน มน่ั ใจยกระดบั
3. ทฤษฏีการฝึ กควบคุมต นเอง เป็ น ความสามารถของตนเอง กระตือรือร้น ใฝ่ หาท่ีจะ
กระบวนการพฒั นาปรับปรุงพฤติกรรมทางปัญญา เรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ อยเู่ สมอ
จึงทาให้มนุ ษย์ต้องพัฒนาพฤติกรรมต นเ อง
ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มและสังคมใหม่ โดยมี 2. มีการจัดการกับความตึงเครี ยดอย่าง
การใชห้ ลกั ธรรมมาปรับใชใ้ หถ้ ูกจริต เพ่ือแกป้ ัญหา สร้างสรรค์ (holding creative tension) สร้างแรงจูงใจ
หรือเพ่ือความสาเร็จในงาน เท่าที่การทางานยัง ใฝ่สมั ฤทธ์ิสามารถ บริหารความขดั แยง้
ไม่สิ้นสุด นักจิตวิทยามองว่า พฤติกรรมส่วนมาก
ของมนุษยถ์ ูกกระตน้ มาจากสัญชาตญาณ ที่มีมาแต่ 3. การเรียนรู้โดยใชจ้ ิตใตส้ านึก (subconscious)
กาเนิด บุคลิกภาพของมนุษย์ สัมพนั ธภาพกบั เพื่อน เป็ นสมาชิกท่ีดีขององค์การสามารถ ควบคุมจิตใจ
มนุษยด์ ้วยกัน และความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกบั ตนเอง และพฤติกรรมของตนเอง

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  51

คุณลักษณะของมนุษย์ในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่ กระทาความช่ัวใด ๆ การฝึ กฝนทาสมาธิให้เกิด
พงึ ประสงค์ การต้งั มนั่ ของจิตใจ ทาใหเ้ กิดภาวะมีอารมณ์หน่ึงเดียว
ของกุศลจิต เป็ นจิตใจท่ีสงบผ่องใสบริสุทธ์ิเป็ นจิตที่
ความเครี ยด ความกดดัน ความกังวล เข้มแข็ง ม่ันคง แน่วแน่ ทาให้เกิดปัญญาสามารถ
และความเศร้า จากภัยโควิด- 19 และโรคเร้ือรัง พจิ ารณาเห็นทุกอยา่ งตรงสภาพความเป็นจริง สามารถ
องค์ดาไลลามะซ่ึงเป็ นองค์ประมุขของชาวพุทธ รู้จกั ตนเอง เสริมสร้างความดีให้มีพลงั เข็มแข็งขจดั
ทว่ั โลก ไดอ้ อกมาแสดงความห่วงใยมวลมนุษยชาติ ความไม่ดีออกไป พฒั นาตนเองอย่างถูกตอ้ งดีข้ึน
ด้วยการแนะนาให้สวดมนต์ ทาสมาธิและใช้ โดยประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต ด้านการเรียน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มาเป็ นทางออก การสอน การงาน สามารถครองตน ครองคน ครองงาน
ในการต่อสู้กบั ภยั โควิด- 19 ในคร้ังน้ี เพราะการปฏิบตั ิ มีภาวะผูน้ าการเปล่ียนแปลงตามหลักอิทธิบาท 4
ดังกล่าวจะส่งผลให้จิตเรามีพลงั งานในดา้ นบวกที่ ซ่ึงประกอบ ด้วยการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์
สามารถรู้เท่าทนั ความกลวั ต่อโรคภยั และเม่ือมีจิตท่ี การสร้างแรงบนั ดาลใจ การกระตุน้ ปัญญา การคานึงถึง
เข้มแข็งก็สามารถเยียวยาสุขภาพกายภายนอกได้ ความเป็ นปัจเจกบุคคล โดยบุคคลตอ้ งยึดหลกั ธรรม
และท่านยงั ได้นาหลกั ปฏิบตั ิของชาวพุทธไปเชื่อม อิทธิบาท 4 (คุณธรรมท่ีนาไปสู่ความสาเร็จแห่งผลที่
ประสานกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มุ่งหมาย) ไดแ้ ก่ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร)
ตะวันตก ซ่ึงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวทาง จิตตะ (ความคิด คือ ต้งั จิตรับรู้ในส่ิงที่ทา) และวิมงั สา
ปฏิบัติแบบน้ี ช่วยในการบาบดั โรคได้ท้ังทางกาย (หมน่ั ใชป้ ัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล
และทางใจ ช่วยใหจ้ ิตอยู่กบั เวลาปัจจุบนั สามารถทิง้ และตรวจสอบ) เป็ นธรรมท่ีคอยสกดั ก้นั อุปสรรคต่อ
ความนึกคิดทาให้รู้สึกเบากายและใจ เพราะการหยุด ความสาเร็จและเป็ นแรงเสริมกาลงั ใจให้การทางาน
ความคิดช่วยบาบัดโรคต่าง ๆ ได้26 ผูป้ ่ วยจึงควร บรรลุวตั ถุประสงค์27 หากองคก์ รมีสมาชิกได้เพิ่มขีด
จัดการกับความคิดของตนเอง โดยพยายามเข้าใจ ความสามารถของตนอย่างต่อเน่ืองท้งั ในระดบั บุคคล
ความเป็นจริง ไมโ่ ทษตวั เอง ลดความคาดหวงั ลงบา้ ง ระดับกลุ่ม และระดับองค์กร เพ่ือไปสู่จุดหมาย
หรืออาจใช้วิธีฝึ กสมาธิเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและ ยกระดับและปรับเปล่ียนเป็ นองค์กรแห่งการเรียนรู้
จัด ก า รกับ ค ว า ม คิ ด ค ว า ม รู้ สึ กข อง ต น เ อง ไ ด้ดี ข้ ึน บุคคลในองคก์ รมีรูปแบบความคิดใหม่ ๆ หมน่ั ฝึ กฝน
ความสุขแบบเรียบง่ายและยงั่ ยืน เป็นคุณสมบตั ิของ ตนเองให้มีวินัย 5 ประการ ได้แก่ มีความเช่ียวชาญ
ผู้ที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาจริ ยธรรมของตน ส่วนบุคคล (personal mastery) มีแบบแผนทางความคิด
ประกอบดว้ ย ความรู้ธรรมชาติของชีวิต ความใฝ่ หลกั (mental model) มีจิตสานึกที่ดี มีการสร้างวิสัยทัศน์
จริยธรรม แสวงหาความถูกต้องเป็ นธรรม พฒั นา ร่วมกัน (shared vision) มีการเรียนรู้ร่วมกันเป็ นทีม
ความสามารถของตนเอง ไดแ้ ก่ การฝึกวินยั ข้นั พ้ืนฐาน (team learning) และการคิดเชิงระบบ (systems thinking)
เช่น การพ่ึงตนเอง ความรับผิดชอบต่อตนเองและ เพ่ือขยายศักยภาพ แก้ปัญหา และการสร้างสรรค์
สงั คม การรักษาศีล ศีลเป็นตวั กาหนดใหม้ ีความเมตตา นวตั กรรมอย่างต่อเนื่อง28 การพฒั นาพฤติกรรมมนุษย์
กรุณา เป็นผใู้ ห้ความซ่ือสัตย์ ทาใหง้ ดเวน้ ในการท่ีจะ

52  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ในยุคชีวิตวิถีใหม่ มีความสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ ผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นให้ความสาคัญท่ี
ชานาญ วงรัศมีเดือน และคณะ29 สังเคราะห์ได้ จิตวิทยา เน่ืองจากใช้วิธีวิทยาศาสตร์ในการศึกษา
องค์ความรู้เรื่อง การจัดการพฤติกรรมมนุษย์ตาม ปัญหาพฤติกรรมมนุษย์ในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่สาคัญ
แนวจริตในพระพุทธศาสนาว่า การปรับพฤติกรรม ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ด้านสังคม สาธารณสุข
มนุษย์อย่างได้ผล จาเป็ นจะต้องมีส่ิงสาคัญที่มี เศรษฐกิจ มีสาเหตุมาจากการเกิดตณั หา คอื กามตณั หา
ส่วนประกอบอย่างเหมาะสมระหว่างเหตุ คือ จริต ภวตณั หา และวภิ วตณั หา ก่อใหเ้ กิดความทุกขท์ างกาย
และองคธ์ รรมกบั ปัจจยั ต่าง ๆ กลา่ วคือ หลกั ธรรมตรง และทุกข์ทางใจ เพ่ือขจดั ความทุกข์ จาเป็ นอย่างยิ่ง
ตามจริต เง่ือนไขปัจจยั เหมาะสม ลงมือปฏิบตั ิจนเกิด ตอ้ งพฒั นาพฤติกรรมมนุษย์ โดยจดั การพฤติกรรม
การตื่นรู้ เป็ นยาปรับจริต ให้มีความสมดุลจนเปลี่ยน ตามหลักจริต 6 เป็ นผูม้ ีเมตตา รักษาศีล ทาสมาธิ
พฤติกรรมที่พึงประสงค์ บุคคลท่ีได้รับยาน้ีแล้วจะ เจริญสติปัฎฐาน 4 ซ่ึงเป็ นธรรมโอสถ “กายบาบัด”
กลายเป็ นบุคคลที่แสดงออกทางพฤติกรรมอย่าง และ “จิตบาบัด” โดยพิจารณากาย เวทนา จิต และ
เหมาะสมตามจริตน้ัน ๆ เป็ นบุคคลที่มีคุณภาพและ ธรรม มีการเสริมแรงดว้ ยหลกั ธรรม แห่งความสาเร็จ
เปี่ ยมดว้ ยความสามารถตามจริตของตน ธรรมโอสถ คือ อิทธิบาท 4 อนั ประกอบดว้ ย ฉนั ทะ ความพงึ พอใจ
สาหรับการปรับจริตท่ีมีรูปแบบเรียกว่า CAC model ในส่ิงที่ทา วิริยะดว้ ยความเพียร จิตตะ มีจิตต้งั ใจมน่ั
หมายถึง C = ปัจจยั (conditions) ประกอบดว้ ย แรงขบั ให้วิมงั สาตรึกตรองให้รอบคอบ ใช้ทฤษฎีจิตวิทยา
(drive) ส่ิงเร้า (stimulus) การตอบสนอง (response) ดงั ท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ เป็ นแรงขับ จนเกิดปัญญารู้แจ้ง
การเสริมแรง (reinforcement) A = การตื่นรู้ (awaken) ตามความเป็ นจริง และพัฒนาตนตามหลักธรรม
ประกอบดว้ ย ปัญญา (wisdom) และการหยง่ั รู้ (insight) สัปปุริสัตธรรม 7 ประการ คือ รู้จกั เหตุ รู้จกั ผล รู้จกั ตน
C = เหตุ (causes) ประกอบดว้ ย จริต (caritas) และ รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน รู้จักบุคคล
องคธ์ รรม (dhamma) การพฒั นาพฤติกรรมมนุษยโ์ ดยการรับรู้ตนเองและ
ปรับจริตตนเอง ที่มีรูปแบบเรียกวา่ CAC model ส่งผล
สรุป ให้มีพฤติกรรมท่ีดี คือ เป็ นคนดี มีคุณธรรม เป็ น
คนเก่ง ท้งั ในสภาพการณ์ปกติและเมื่อเผชิญปัญหา
การพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ คือ พัฒนา หรือขัดแยง้ ประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตเพิ่มขีด
การกระทาทางกาย วาจา และใจ ซ่ึงเนน้ พฒั นาจิตหรือ ความสามารถของตนอย่างต่อเน่ือง ท้งั ระดับบุคคล
ความคิดก่อน เพ่ือให้พฤติกรรมภายในควบคุม ระดบั กลมุ่ ระดบั องคก์ ร จริยธรรมมีส่วนสาคญั ในการ
พฤติกรรมภายนอก ส่งผลให้เกิดความเขา้ ใจตนเอง ท่ีจะพฒั นาพฤติกรรมมนุษยเ์ กิดสนั ติสุขไดอ้ ยา่ งยงั่ ยืน
และผูอ้ ื่น ซ่ึงจะนาไปสู่การยอมรับปรับเปลี่ยนและ ผเู้ ขยี นบูรณาการ สรุปได้ ดงั แผนภูมิท่ี 1
พฒั นา สามารถดารงชีวิตอย่างเป็ นสุขและอยู่ร่วมกบั

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  53

แผนภูมทิ ี่ 1 แสดงการบูรณาการการพฒั นาพฤติกรรมมนุษยใ์ นยคุ ชีวิตวิถีใหมภ่ ายใตท้ ฤษฎีจิตวิทยาและพุทธศาสนา

อภิปรายผล ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ยุค new normal
รับผิดชอบตนเอง สังคม มีเมตตา และยึดหลัก
ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษยใ์ นยุคชีวิต อิทธิบาท 4 เป็ นแนวทางสู่ความสาเร็จ เพื่อให้เกิด
วิ ถี ใ ห ม่ มี ปั จ จัย ที่ มี ผ ล ต่ อ พ ฤ ติ ก ร ร ม ม นุ ษ ย์ ปัญญาปรับตัว เปล่ียนแปลงให้ตนเอง ครอบครัว
ประกอบดว้ ยปัจจยั ภายใน คอื ร่างกาย จิตใจและปัจจยั สังคม มีความสุข อยู่อย่างสมดุล ตามหลักทฤษฎี
ภายนอก คือ สภาพสิ่งแวดล้อม เป็ นสิ่งเร้ากระตุ้น จิตวทิ ยาอริสโตเติลท่ีวา่ ความดีสูงสุดคอื การทาหนา้ ที่
ความตอ้ งการ เหตุท่ีให้เกิดทุกข์ หมายถึง ตณั หา 3 อย่างเหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยเหตุผล เพื่อชีวิตท่ีดี
คือ กามตณั หา ภวตณั หา วิภวตณั หา ทาให้มนุษยม์ ี เป็ นคนดี มีคุณธรรม ที่ประกอบด้วยเหตุผลหรือ
ความทุกขร์ ้อน เพราะถูกไฟกิเลส แผดเผา ส่ิงเหล่าน้ี ปัญญา สามารถควบคุมอารมณ์และความอยาก ด้วย
ทาให้มนุษยม์ ีพฤติกรรมออกมาในรูปแบบ จริต 6 ใน เหตุผลปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมส่งผลใหพ้ ฤติกรรมดีงาม
การพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ ทางพุทธศาสนาต้อง การอยู่ร่วมกนั อย่างเก้ือกูล และพฒั นาศกั ยภาพของ
ฝึ กฝนตามขอ้ ปฏิบตั ิเพื่อควบคุมและพฒั นาพฤติกรรม ทรัพยากรมนุษย์อย่างมีคุณค่า เกิดสันติสุขและมี
ตนเอง ซ่ึงเป็ นเกณฑ์ตัดสินคุณค่า ความดีงามของ ประสิทธิภาพอยา่ งยงั่ ยนื
มนุษย์ และเป็นตวั ช้ีวดั มาตรฐานทางจริยธรรม จาแนก
ออกเป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ ระดบั ตน้ คือ ศีล ระดบั กลาง
คือ สมาธิ หรือสติปัฎฐาน 4 และระดบั สูง คือ ปัญญา
ทาให้พฤติกรรมดีตามหลกั ธรรม สัปปุริสธรรม มีสติ
ไม่ประมาท ประพฤติตามมาตรการการป้องกันและ

54  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ข้อเสนอแนะ 6. Cronbach L. Educational psychology. New York:
Harcourt, Brace and World, Inc; 1963.
1. กาหนดนโยบายให้ญาติผู้ป่ วยและ
บุคลากรด้านการแพทย์ใช้หลักจริ ยธรรมดู แลและ 7. O’Leary KD, Wilson GT, Kalish HI. อ้างถึงใน
รับผดิ ชอบ สมโภชน์ เอ่ียมสุภาษิต. ทฤษฎีและเทคนิคการ
ปรับพฤติกรรม. กรุ งเทพฯ: สานักพิมพ์
2. กาหนดให้ระบบบริ การสุ ขภาพใช้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ; 2556. หนา้ 2-3.
หลกั การแพทยแ์ บบมีส่วนร่วมของทกุ ฝ่าย
8. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม
3. เพื่อขจัดความทุกข์ท้ังปวงจึงควรมี ฉบับปรับขยาย เล่มที่ 22. พิมพ์คร้ังท่ี 39,
การพฒั นาพฤติกรรมมนุษย์แบบวิถีชีวิตใหม่ด้วย กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ;
ความไม่ประมาท 2557. หนา้ 494.

กติ ติกรรมประกาศ 9. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม
ฉบับปรับขยาย เล่มที่ 35. พิมพ์คร้ังท่ี 39,
ผูจ้ ัดทาขอขอบคุณผูท้ รงคุณวุฒิ ขอกราบ กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ;
ขอบคุณอาจารย์ มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั 2557. หนา้ 494.
และบรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
ท่ีใหค้ วามเมตตาและกรุณาร่วมมือดว้ ยดีมาตลอด 10. Freud SA. General introduction to psycho
analysis. New York: Boni and Reve right; 1937.
เอกสารอ้างองิ
11. พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม. วิเคราะห์แนวคิด
1. Feldman RS. Understanding psychology. 8thed. ทางปรั ชญาของพลาโต้กับอริ ส โต เติ ล .
New York: McGraw-Hill; 2008. p.5. วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริ ทรรศน์
2016; 2: 48-50.
2. WundtWM.Principles ofphysiologicalpsychology.
Cambridge: Harvard University; 1969. 12. Bandura A. Social learning theory. New Jersy:
Englewood Cliffs; 1997.
3. ผุสดี โตสวัสด์ิ. การบาบัดรักษาโรคด้วยวิธี
การปฏิบตั ิกรรมฐาน. วารสารปรัชญาปริทรรศน์ 13. Roger CR. Client-centered therapy: its current
2562;24.หนา้ 1.4.สุรพลอิสรไกรศีล.ราชบณั ฑิต practice implication and theory. London:
บญั ญัติศัพท์คาว่า New Normal [อินเทอร์เน็ต]. Constable & Co; 2003. p.1902 - 87.
2563. เข้าถึงเม่ือ 22 ต.ค. 2564]. เข้าถึงได้จาก:
https://www.facebook.com/surapol.issaragrisil. 14. Coon D, Mitterer JO. Introduction to psychology:
gateways to mind and behavior. Boston: Cengage
5. พระธรรมปิ ฎก(ป.อ.ปยุตฺโต).พจนานุกรมพุทธศาสน์ Learning; 2013. p. 25-6.
ฉบับประมวลศัพท์ เล่มที่ 29. พิมพ์คร้ังที่ 9.
กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2538. หนา้ 435. 15. Watson JB. Psychology as the behaviorist views
it. Psychological Review 1913; 20: 158-77.

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  55

16. Nova Bizz. ทฤษฎีการเรี ยนรู้ด้วยการหยั่งรู้ 24. สุรางค์ โคว้ ตระกูล. จิตวทิ ยาการศึกษา.กรุงเทพฯ :
[อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เขา้ ถึงเม่ือ 22 ต.ค. 2564]. สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2553.
เข้าถึงได้จาก: https://www.novabizz.com/NovaAce/ หนา้ 238-9.
Learning/insight.
25. Senge PM. The fifth discipline: the art and
17. Gilmour H, Patten SB. Depression and work practice of learning organization. New York:
impairment. Health Rep 2007; 18: 9-22. Doubleday/Currency; 1990. หนา้ 139-73.

18. จุฬาลกั ษณ์ คุปตานนท.์ การตรวจคดั กรองภาวะ 26. พระครูวโิ รจน์กาญจนเขต, พระครูสิริกาญจนาภิรักษ.์
พร่องไทรอยดฮ์ อร์โมนแต่กาเนิดในประเทศไทย. วิปัสสนากรรมฐานเพิ่มพลงั จิตสู้ภยั โควิด-19:
วารสารวิจยั ระบบสาธารณสุข 2561; 12: 452-5. บทเรียนจากองคด์ าไลลามะ. วารสารศิลปการจดั การ
2563; 4: 409.
19. Dewey J, McDermott EW. The philosophy of
John Dewey. New York: Putnam Sons; 1973. 27. พระพรหมคุณาภรณ์.(ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต). ธรรมนูญ
ชีวิตพุทธจริยธรรมเพ่ือชีวิตที่ดีงาม. กรุงเทพฯ :
20. สุพตั รา กวีธนกุล, สิริวฒั น์ ศรีเครือดง, วิชชุดา บริษทั พมิ พส์ วยจากดั ; 2556. หนา้ 160.
ฐิติโชติรัตนา. การพฒั นารูปแบบการเปล่ียนผ่าน
ทางจิต ตามหลักพุทธจิตวิทยาจาแนกตาม 28. เสาวลักษณ์ สุ ทธิ พรโอภาส . ภาวะผู้นา
ประเภทจริต. วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ การเปลี่ยนแปลงตามหลักอิทธิบาท 4 ของ
2563; 6: 72. ผูบ้ ริหารท่ีส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ใน
โรงเรียนกลุ่มกรุงธนใตส้ ังกดั กรุงเทพมหานคร.
21. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม วารสารบณั ฑิตศาสน์ 2563; 19: 41.
ฉบับปรับขยาย เล่มที่ 19. พิมพ์คร้ังท่ี 39.
กรุงเทพฯ:โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ; 29. ชานาญ วงรัศมีเดือน, สุวิญ รักสัตย์, ธวัช
2557. หนา้ 194. หอมทวนลม, พระเมธาวินัยรส. การจัดการ
พฤติกรรมมนุษยต์ ามแนวจริตในพระพทุ ธศาสนา.
22. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต). พจนานุกรม วารสารสันติศึกษาปรทรรศน์ มจร 2562; 7:
พุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม เล่มที่ 37. 766-77.
พิมพค์ รั้งที่ 34. สานักพิมพก์ ารศึกษาเพื่อ
สันติภาพพระธรรมปิ ฎก; 2559. หน้า 237-8.

23. Karlsson ML. Healthy workplaces: factors of
importance for employee health and organizational
production. Stockholm: Karolinska Institute;
2010.

56  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทความวิจัย
Research Article

อุบัติการณ์และปัจจยั เสี่ยงของภาวะสงสัยติดเชื้อระยะแรกในทารกแรกเกดิ
ของโรงพยาบาลปราสาท

ปิ ยดา พรใหม่* พ.บ. วว. กมุ ารเวชศาสตร์
*กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลปราสาท จงั หวดั สุรินทร์

บทคดั ย่อ วนั รับบทความ: 1 พฤษภาคม 2564
วนั แกไ้ ขบทความ: 1 ธนั วาคม 2564
วนั ตอบรับบทความ: 2 ธนั วาคม 2564

บทนา: การติดเช้ือระยะแรกในทารกแรกเกิด เป็ นสาเหตุสาคญั ท่ีทาให้เกิดความพิการและเสียชีวิตในทารก
จึงจาเป็ นตอ้ งวินิจฉัยภาวะน้ีให้ไดต้ ้งั แต่แรกเร่ิม เพื่อป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยการประเมินความเสี่ยง
และคน้ หาทารกกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดการติดเช้ือระยะแรก

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสงสัยติดเช้ือระยะแรกในทารกแรกเกิดของ
โรงพยาบาลปราสาท ต้งั แต่ เดือนเมษายน พ.ศ. 2562 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563

วิธดี าเนินการวิจัย: ศึกษายอ้ นหลงั เกบ็ ขอ้ มลู ทารกสงสยั ติดเช้ือระยะแรก 71 ราย และทารกไม่พบการติดเช้ือระยะแรก
710 ราย โดยเก็บขอ้ มูลปัจจยั เส่ียง อาการทางคลินิก ผลตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ และการรักษาดว้ ยยาปฏิชีวนะ

ผลการวิจัย: อุบตั ิการณ์ของภาวะสงสัยติดเช้ือระยะแรกในทารกแรกเกิด คือ 39.9 ต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 ราย

ทารกท่ีสงสัยติดเช้ือระยะแรกจะแสดงอาการใน 24 ชว่ั โมงแรกหลงั คลอด (ค่ามธั ยฐาน 6 ชว่ั โมง) อาการทาง
คลินิกที่พบมากที่สุด คือ หายใจลาบาก (ร้อยละ 79.1) น้าตาลในเลือดต่า (ร้อยละ 38.9) ตวั เหลือง (ร้อยละ 36.1)
กินนมไดไ้ ม่ดี (ร้อยละ 25) และเขียว (ร้อยละ 12.5) ผลเพาะเช้ือในกระแสเลือดของทารกสงสัยติดเช้ือเป็นลบ

ทุกราย ไดว้ ิเคราะห์ปัจจยั เสี่ยงท่ีมีผลต่อการติดเช้ือโดยใช้ multiple logistic regression ผลการศึกษาพบว่า ปัจจยั
เส่ียงท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั ภาวะสงสัยติดเช้ือระยะแรกในทารกแรกเกิด คือ ทารกคลอดก่อนกาหนด (OR: 4.83,

95% CI: 2.20-10.61) ทารกน้าหนักตวั น้อย (OR: 10.98, 95% CI: 5.77-20.89) ภาวะขาดออกซิเจนของทารก
แรกเกิด (OR: 7.52, 95% CI: 2.32-24.33) มารดาติดเช้ือในถุงน้าคร่า (adj OR: 20.58, 95% CI: 2.97-142.73)
มารดาน้าเดินก่อนเจบ็ ครรภค์ ลอดนานมากกวา่ หรือเทา่ กบั 18 ชวั่ โมง (adj OR: 3.56, 95% CI: 1.53-8.31) มารดา
มีไขก้ ่อนคลอดมากกว่าหรือเท่ากบั 38 องศาเซลเซียส (adj OR: 3.01, 95% CI: 1.06-13.49) มารดามีตกขาว

ผิดปกติขณะต้งั ครรภ์ (adj OR: 1.98, 95% CI: 1.11-3.55) และการคลอดด้วยเคร่ืองสุญญากาศ (adj OR: 4.80,
95% CI: 1.53-15.10)

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  57

บทความวิจัย
Research Article

อุบัติการณ์และปัจจยั เสี่ยงของภาวะสงสัยติดเชื้อระยะแรกในทารกแรกเกดิ
ของโรงพยาบาลปราสาท

ปิ ยดา พรใหม่* พ.บ. วว. กุมารเวชศาสตร์
*กลุม่ งานกมุ ารเวชกรรม โรงพยาบาลปราสาท จงั หวดั สุรินทร์

บทคดั ย่อ (ตอ่ ) วนั รับบทความ: 1 พฤษภาคม 2564
วนั แกไ้ ขบทความ: 1 ธนั วาคม 2564
วนั ตอบรับบทความ: 2 ธนั วาคม 2564

สรุป: เป้าหมายในการประเมินการติดเช้ือระยะแรกในทารกแรกเกิด คือ การคน้ หาทารกกลุ่มเสี่ยง โดยพิจารณา

จากความเส่ียงช่วงปริกาเนิด ไดแ้ ก่ ประวตั ิของทารก เช่น ทารกคลอดก่อนกาหนด น้าหนกั ตวั น้อย ทารกขาด
ออกซิเจนแรกเกิด ประวตั ิของมารดา เช่น การตกขาวผิดปกติขณะต้งั ครรภ์ การเจ็บป่ วยของมารดาก่อนคลอด
เช่น มารดามีไข้ การติดเช้ือในถุงน้าคร่า น้าเดินก่อนคลอด วิธีการคลอด อาการทางคลินิก และผลตรวจทาง
หอ้ งปฏิบตั ิการ

คาสาคญั : ภาวะสงสัยติดเช้ือระยะแรก ทารกแรกเกิด อุบตั ิการณ์ ปัจจยั เส่ียง

58  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทความวิจัย
Research Article

Incidence and risk factors of suspected early-onset neonatal sepsis in
Prasat Hospital

Piyada Pornmai MD* Dip, Thai Board of Pediatrics
*Pediatric unit, Prasat hospital, Surin Thailand

Abstract Received: May 1, 2021
Revised: December 1, 2021
Accepted: December 2, 2021

Introduction: Early-onset neonatal sepsis (EOS) is the commonest cause of neonatal morbidity and mortality.
Early diagnosis of neonatal sepsis is essential to prevent severe complications. Risk factors of EOS have been
defined, to identify and evaluate infants at risk for EOS.

Objective: To determine the incidence and risk factors of suspected EOS in infants born at Prasat hospital from
April 1, 2019 to March 31, 2020.

Materials and Methods: A case-control study was conducted at Prasat hospital. Data were derived from the
medical records of 71 suspected sepsis cases and 710 non- sepsis controls. Perinatal risk factors, clinical
manifestations, laboratory results, and antibiotics treatment were reviewed.

Results: The incidence of suspected EOS was 39.9 per 1,000 live births. Infants with suspected EOS were
admitted in the first 24 hours of their life (median age of onset: 6 hours). The common clinical manifestations
were respiratory distress (79.1%), hypoglycemia (38.9%), hyperbilirubinemia (36.1%), feeding problem (25%)
and cyanosis (12.5%). No infant had positive blood culture or proven infection. Multiple logistic regression
analysis showed that prematurity (OR: 4.83, 95% CI: 2.20-10.61), low birth weight (OR: 10.98, 95% CI:
5.77-20.89), birth asphyxia (OR: 7.52, 95% CI: 2.32-24.33), maternal chorioamnionitis (adj OR: 20.58, 95%
CI: 2.97-142.73), premature rupture of membrane ≥ 18 hours (adj OR: 3.56, 95% CI: 1.53-8.31), maternal
fever ≥ 38oC (adj OR: 3.01, 95% CI: 1.06-13.49), abnormal vaginal discharge during pregnancy (adj OR: 1.98,
95% CI: 1.11-3.55), and vacuum extraction (adj OR: 4.80, 95% CI: 1.53-15.10) were risk factors associated
with suspected EOS.

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  59

บทความวจิ ยั
Research Article

Incidence and risk factors of suspected early-onset neonatal sepsis in
Prasat Hospital

Piyada Pornmai MD* Dip, Thai Board of Pediatrics
*Pediatric unit, Prasat hospital, Surin Thailand

Abstract (Cont.) Received: May 1, 2021
Revised: December 1, 2021
Accepted: December 2, 2021

Conclusions: The goal of clinical assessment in EOS is to identify high-risk newborns, considerated by: (I)
perinatal risk factors; neonatal history ( prematurity, low birth weight, birth asphyxia) , maternal history
(abnormal vaginal discharge during pregnancy), maternal disease (fever, chorioamnionitis, premature rupture

of membrane), mode of delivery, (II) clinical status of the newborn, and (III) laboratory results.

Key words: suspected early-onset sepsis, neonate, incidence, risk factors

60  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทนา กาหนดอายคุ รรภน์ อ้ ยกว่า 37 สปั ดาห์ ถงุ น้าคร่าแตก
ก่อนเจ็บครรภ์คลอด (premature rupture of membrane:
ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือดระยะแรกเป็ น PROM) นานมากกว่า หรือเท่ากบั 18 ชว่ั โมง มารดา
สาเหตุการเสียชีวิต และความพิการในทารกแรกเกิด มีไข้มากกว่า 38 oC หรื อมารดามีน้ าคร่ าติดเช้ือ
ที่พบบ่อย โดยเฉพาะกลุ่มทารกน้าหนักตวั น้อย1, 2 (chorioamnionitis) 3) ติดเช้ือ GBS ทางเดินปัสสาวะ
ภาวะติดเช้ือระยะแรกในทารก (early-onset neonatal และ 4) เคยมีประวัติคลอดทารกติดเช้ือ GBS9
sepsis: EOS) คือ การติดเช้ือในทารกที่เกิดภายใน ปัจจุบนั การรักษาทารกที่อาจมี (suspected) หรือมี
72 ชัว่ โมงแรกหลงั คลอด โดยพบเช้ือแบคทีเรียใน
เลือด และ/หรือพบเช้ือแบคทีเรียในน้าไขสันหลงั 3 (proven) ภาวะ EOS ใชก้ ารประเมินปัจจยั เส่ียงตา่ ง ๆ
เช้ือสาคัญท่ีเป็ นสาเหตุของ EOS คือ Group B ร่วมกบั อาการทางคลินิกของทารกเป็นหลกั 10
Streptococcus (GBS) โดยพบอุบตั ิการณ์ของ EOS
ในสหรัฐอเมริกา 0.3-2.4 ต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 ราย1 จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยเสี่ยง
ส่วนการศึกษาในประเทศไทยพบอุบัติการณ์ของ สาคญั ของมารดาท่ีทาใหท้ ารกมีโอกาสติดเช้ือมากข้ึน
EOS ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา้ 13 ต่อทารกเกิด ได้แก่ การมีน้าเดินก่อนเจ็บครรภ์คลอดนานกว่า
มีชีพ 1,000 ราย4 นอกจากน้ียงั มีการศึกษา และเก็บ หรือเท่ากบั 18 ชวั่ โมง และมารดามีไขม้ ากกว่า หรือ
ข้อมูลจากโรงพยาบาลอู่ทอง จังหวดั สุพรรณบุรี เท่ากับ 38 oC11, 12, 13 ท้ังน้ีจากการศึกษาเพ่ิมเติมยัง
โรงพยาบาลพงั งา โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จงั หวดั พบว่า หากมารดามีไข้ช่วงระยะเจ็บครรภ์คลอด
ร้อยเอด็ และโรงพยาบาลประโคนชยั จงั หวดั บุรีรัมย์ นอกจากส่งผลเพ่ิมการติดเช้ือในกระแสเลือดของ
พบอุบัติการณ์ของ EOS 14.5-20.9, 37, 52.6 และ ทารกแล้ว ยังเพ่ิมอัตราการตายในทารกแรกเกิด
55.8 ต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 ราย ตามลาดบั 5, 6,7,8 อีกดว้ ย14, 15

ภายหลัง American Academy of Pediatrics Chan GJ, et al.16 ทาการศึกษา พบวา่ มารดา
( AAP) แ ล ะ Centers for Disease and Prevention ที่มีการติดเช้ือขณะต้ังครรภ์ (mothers with lab-
(CDC) ไดอ้ อกแนวทางป้องกนั การติดเช้ือ GBS ใน confirmed infection) เช่น พบการติดเช้ือแบคทีเรีย
มารดา และทารกในปี พ.ศ. 2535 และล่าสุดในปี ในเลือด การติดเช้ือในถุงน้าคร่า และการติดเช้ือ
พ.ศ. 2554 ส่งผลใหอ้ ุบตั ิการณ์ติดเช้ือในทารกลดลง ทางเดินปัสสาวะ จะเพ่ิมความเส่ียงในการเกิด EOS
เหลือ 0.1 - 1.4 ต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 ราย ปัจจัย ในทารกถึง 6.6 เท่า (95% CI: 3.9-11.2) ส่วนกลุ่ม
เสี่ยงของการติดเช้ือ ซ่ึงหญิงต้งั ครรภ์ต้องได้รับยา ทารกท่ีมารดาตรวจพบแบคทีเรียในช่องคลอด โดยท่ี
ปฏิชีวนะ เพ่ือป้องกนั การติดเช้ือ GBS (intrapartum ไม่มีอาการทางคลินิกของการติดเช้ือ (mothers with
antibiotic prophylaxis: IAP) มี 4 ข้อ ได้แก่ 1) ผล colonization) จะเพิ่มความเส่ียงในการเกิด EOS ถึง
เพาะเช้ือจากช่องคลอดหรือทวารหนักข้ึน GBS ที่ 9.4 เท่า (95% CI: 3.1-28.5) เม่ือทาการศึกษากลุ่ม
อายุครรภ์ 35 - 37 สัปดาห์ 2) กรณีไม่ทราบสถานะ ทารกท่ี คลอดจากมารดาที่ มี ภาวะน้ าเดิ นก่ อนเจ็บ
ติดเช้ือ GBS แต่มีปัจจัยเสี่ ยงได้แก่ คลอดก่อน ครรภ์คลอดนานกว่า หรือเท่ากับ 18 ช่ัวโมง และ
ทารก คล อดก่ อนก าหนดอายุครรภ์น้อยกว่า

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  61

37 สปั ดาห์ จะเพ่มิ ความเส่ียงในการเกิด EOS 2.3 เทา่ การติดเช้ือจึงให้การรักษาทันที โดยไม่ได้รอผล
(95% CI: 1.0-5.4) การเพาะเช้ือในเลือด

นอกจากน้ัน ยงั มีการศึกษาปัจจยั เสี่ยงของ การวินิจฉัย EOS ในการศึกษาน้ีได้นิยาม
ทารกท่ีสัมพนั ธ์กบั การติดเช้ือในช่วงแรกเกิด ไดแ้ ก่ ตาม WHO review 201623 คือ ภาวะติดเช้ือในกระแส
ทารกคลอดก่อนกาหนด ทารกแรกเกิดน้าหนกั นอ้ ยกว่า เลือดของทารก หมายถึง ภาวะท่ีผูป้ ่ วยมีผลเพาะเช้ือ
2,500 กรัม11 ทารกคลอดด้วยเคร่ื องสุญญากาศ17 จากเลือด หรือน้าไขสันหลงั เป็นผลบวก และ/หรือมี
ภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิด5, 18, 19 และการท่ีทารก อาการทางคลินิก อย่างน้อย 2 ขอ้ ร่วมกับผลตรวจ
ไดร้ ับสารอาหารจากหลอดเลือดดา20 ทางหอ้ งปฏิบตั ิการ อยา่ งนอ้ ย 2 ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี

ท้งั น้ี ภาวะติดเช้ือในทารกแรกเกิด ยงั คงเป็น อาการทางคลนิ ิก
ปัญหาสาคญั ในการวินิจฉยั เน่ืองจากทารกท่ีมีภาวะ 1. core temperature มากกว่า 38.5 oC หรือ
ติดเช้ือมกั แสดงอาการไม่จาเพาะ อาจมีอาการน้อย นอ้ ยกวา่ 36 oC และ/หรือ temperature instability
หรือไม่มีอาการ จนถึงรุนแรงเสียชีวิตได้ และยงั 2. cardiovascular instability คือ
สามารถพบอาการไดท้ ุกระบบ นอกจากน้ีวิธีมาตรฐาน
ในการการวินิจฉัยการติดเช้ือ ได้แก่ การเพาะเช้ือ - tachycardia (mean heart rate มากกว่า
ในเลือด หรือในน้าไขสันหลงั ให้ผลบวกค่อนขา้ งต่า 2 เทา่ ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคา่ ปกติตามอาย)ุ
ผลลบลวงสูง21 ดงั เช่น การศึกษาของ Jermsirisakpong
W, et al.22 ไดท้ าการศึกษาอุบตั ิการณ์ติดเช้ือในกระแส - bradycardia (mean heart rate น้อยกว่า
เลือดของทารกท่ีคลอดก่อนกาหนดช่วง 7 วนั แรก percentile ท่ี 10 ของคา่ ปกติตามอาย)ุ
หลงั คลอด ในโรงพยาบาลพระปกเกลา้ จงั หวดั จนั ทบรุ ี
พบว่า อุบตั ิการณ์การติดเช้ือในทารกท่ีคลอดก่อน - heart rate เพ่มิ ข้ึนนานมากกวา่ 30 นาที
กาหนดในช่วง 7 วนั แรกหลงั คลอด คือ ร้อยละ 14.1 ถึง 4 ชวั่ โมง โดยหาสาเหตุไมไ่ ด้
และร้อยละ 90 ของทารกที่มีอาการของการติดเช้ือใน
กระแสเลือดตรวจไมพ่ บเช้ือซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศึกษา - urine output < 1 ml/kg/hr
ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา้ 4 พบภาวะติดเช้ือใน - hypotension ( mean arterial pressure
ทารกแรกเกิดอายุน้อยกว่า หรือเท่ากับ 72 ช่ัวโมง นอ้ ยกวา่ percentile ท่ี 5 ของคา่ ปกติตามอาย)ุ
จานวน 125 ราย ไม่พบผลบวกในการเพาะเช้ือจาก - mottled skin
เลือด 136 คร้ัง และจากน้าไขสันหลงั 10 คร้ัง ดงั น้ัน 3. skin/ subcutaneous พ บ petechial rash
การวินิจฉยั ภาวะติดเช้ือในทารกแรกเกิด จึงมกั อาศยั หรือ sclerema
อาการทางคลินิก ปัจจยั เสี่ยงต่าง ๆ รวมท้งั ผลการ 4. respiratory instability คือ มี apnea หรื อ
ตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการเบ้ืองตน้ หากสงสยั วา่ อาจมี tachypnea (respiratory rate > 60/min) หรือมีการใช้
ออกซิเจนมากข้ึน หรือใชเ้ คร่ืองช่วยหายใจ
5. gastrointestinal signs พบ feeding intolerance
poor sucking abdominal distension
6. non-specific signs เช่น irritability lethargy
hypotonia

62  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ผลตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ าร บนั ทึกที่สร้างข้ึน (case record form) เก็บขอ้ มูลจาก
1. white blood cells (WBC) count : < 4,000 การทบทวนเวชระเบียน โครงการวิจัยได้ผ่าน
cells/mm3 หรือ > 20,000 cells/mm3 การเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาจริ ยธรรม
2. platelet count < 100,000 cells/mm3 การวิจยั ในมนุษย์ โรงพยาบาลปราสาท (หมายเลข
3. glucose intolerance อยา่ งนอ้ ย 2 ครงั้ คือ รับรองการวิจยั ในมนุษยเ์ ลขท่ี PSH REC AF05-09/01.0)
hyperglycemia (blood glucose > 180 mg/dL) หรือ
hypoglycemia (blood glucose < 45 mg/dL) แ บ บ บัน ทึ ก ข้อ มู ล ( case record form)
จากสถิติการติดเช้ือในกระแสเลือดของ ประกอบด้วย ข้อมูลพ้ืนฐานของมารดา ข้อมูล
ทารกแรกเกิด ในหอผู้ป่ วยทารกแรกเกิดของ พ้ืนฐานของทารก และขอ้ มูลเกี่ยวกบั ปัจจยั เส่ียงที่
โรงพยาบาลปราสาท นับต้งั แต่ ปี พ.ศ. 2558-2561 สนใจศึกษา
พบอุบตั ิการณ์ของการติดเช้ือเพ่ิมสูงข้ึน จาก ร้อยละ
3.9 เป็ นร้อยละ 13.6 ผูว้ ิจยั จึงไดท้ าการศึกษาทารก เกณฑ์การคดั เข้า (inclusion criteria)
กลุ่มดงั กลา่ ว 1. ทารกเกิดมีชีพอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ
72 ชว่ั โมง
วัตถปุ ระสงค์ 2. ผปู้ กครองยนิ ยอมใหเ้ ขา้ ร่วมการวจิ ยั

เพ่ือหาอุบัติการณ์ของการติดเช้ือในทารก เกณฑ์การคัดออก (exclusion criteria)
แรกเกิดระยะแรก ท้งั น้ียงั ศึกษาปัจจยั เส่ียงท่ีสัมพนั ธ์ 1. ทารกคลอดก่อนถึงโรงพยาบาล
กับการติดเช้ือในทารก เพ่ือนาขอ้ มูลท่ีได้มาประยุกต์ 2. ผปู้ ่ วยท่ีเก็บขอ้ มลู การศึกษาไม่ครบ
ใช้ในการวางแผนแนวทางการวินิจฉัย การรักษา
เพ่ือลดอตั ราการป่ วย และอัตราการตายของทารก การคานวณ sample size
แรกเกิดท่ีมีภาวะติดเช้ือ p1= P (exposure/case) = 0.060 จากข้อมูล
ของโรงพยาบาลประโคนชัย พบทารกที่มีภาวะติด
วธิ ีดาเนนิ การวิจัย เ ช้ื อ แ ร ก เ กิ ด 107 ร า ย จ า ก ท า ร ก ท่ี ค ล อ ด ใ น
โรงพยาบาลรวม 1,919 ราย
การศึกษาน้ีเป็นการศึกษาแบบ retrospective p2 = P ( exposure/control) = 0. 558 จ า ก
case control study ในทารกแรกเกิดอายนุ อ้ ยกว่าหรือ อุบัติการณ์ภาวะติดเช้ือแรกเกิดของโรงพยาบาล
เทา่ กบั 72 ชวั่ โมง ที่คลอดในโรงพยาบาล ในระหวา่ ง ประโคนชยั คอื 55.8 ตอ่ ทารกเกิดมีชีพ 1,000 ราย
วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2563 r = 5 (Ratio (case: control))
ที่ไดร้ ับความยินยอมจากผูป้ กครอง เริ่มเก็บข้อมูล Alpha = 0.05, Z(0.975) = 1.959964
พ้ืนฐานของมารดา และทารกต้ังแต่แรกเกิดใน Beta = 0.20, Z(0.800) = 0.841621
หอผูป้ ่ วยคลอด หอผูป้ ่ วยหลงั คลอด และหอผูป้ ่ วย
ทารกแรกเกิด ของโรงพยาบาลปราสาท โดยเก็บ
ขอ้ มูลทารกที่เขา้ เกณฑ์การศึกษา บันทึกตามแบบ

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  63

r = 5 ดังน้ัน ต้องเก็บข้อมูลจานวน case นยิ ามศัพท์
10 ราย และ control 50 ราย เป็นอยา่ งนอ้ ยจึงจะแสดง - prematurity คือ ทารกที่คลอดก่อน
นยั สาคญั ทางสถิติ กาหนดอายคุ รรภน์ อ้ ยกวา่ 37 สปั ดาห์
- very low birth weight (VLBW) คือ
ทารกที่เขา้ เกณฑ์การศึกษา จะได้รับ ทารกน้าหนกั ตวั ต้งั แต่ 1,000 - 1,499 กรัม
การประเมิน และตรวจร่างกาย ตามแนวทางการดูแล - low birth weight (LBW) คือ ทารก
ทารกที่สงสัยภาวะติดเช้ือ ติดตามอาการทางคลินิก น้าหนกั ตวั ต้งั แต่ 1,500 กรัม - 2,499 กรัม
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การเพาะเช้ือ - normal birth weight คือ ทารกน้าหนักตวั
จากเลือด การตรวจนับเม็ดเลือดขาว และปริมาณ ต้งั แต่ 2,500 กรัม - 3,999 กรัม
เกล็ดเลือดอย่างเหมาะสม และพิจารณารักษาด้วย - excessive birth weight คื อ ท า ร ก
ยาปฏิชีวนะ น้าหนกั ต้งั แต่ 4,000 กรัมข้นึ ไป
- birth asphyxia คือ คะแนน APGAR
นยิ ามผ้ปู ่ วย นาทีท่ี 5 นอ้ ยกวา่ 7
1. ก ลุ่มทารก ติ ดเช้ื อใ นก ระ แส เลื อ ด - abnormal vaginal discharge คือ ตกขาว
ระยะแรก คือ กลุ่มทารกแรกเกิดท่ีไดร้ ับการวินิจฉัย ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น สี กล่ิน
ภาวะติดเช้ือภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลงั คลอดตาม ปริมาณ เป็นตน้
WHO review 201623 จ า ก ก า ร วิ นิ จ ฉัย ดัง ก ล่ า ว วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยขอ้ มูลพ้ืนฐานของทารก
สามารถแบง่ ผปู้ ่ วยเป็น 2 กลมุ่ ดงั น้ี และมารดา นาเสนอข้อมูลเป็ นร้อยละ (percent)
ค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard
- ผู้ป่ วยสงสัยติดเช้ือในกระแสเลือด deviation: SD) และค่ามัธยฐาน (median) แสดง
(suspected neonatal sepsis) คือ ผูป้ ่ วยที่ได้รับ ความสัมพนั ธ์ของปัจจยั ด้วยค่าความเสี่ยงสัมพทั ธ์
การวินิจฉยั ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือดโดยพิจารณา (odds ratio: OR) ด้วยการวิเคราะห์แบบ multiple
จากอาการทางคลินิก ผลตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ logistic regression การประมาณค่าขอบเขตความเช่ือมนั่
เบ้ืองตน้ ตาม WHO review 201623 และผลเพาะเช้ือ ร้ อ ย ล ะ 95 ( 95% confidence interval: 95% CI)
ในเลือดใหผ้ ลลบ กาหนดระดบั นยั สาคญั ทางสถิติท่ี 0.05 (p = 0.05)

- ผปู้ ่ วยยนื ยนั ติดเช้ือในกระแสเลือดจริง ผลการวจิ ยั
(proven neonatal sepsis) คือ ผูป้ ่ วยท่ีไดร้ ับการวินิจฉัย
ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือด และผลเพาะเช้ือในเลือด ข้อมูลพืน้ ฐานของทารกสงสัยตดิ เชื้อ
ใหผ้ ลบวก ใ น ช่ ว ง ท่ี ท า ก า ร ศึ ก ษ า มี ท า ร ก ค ล อ ด ใ น
โรงพยาบาลปราสาทท้ังหมด 1,752 ราย วินิจฉัย
2. กลุ่มทารกไม่ติดเช้ือ คือ กลุ่มทารกท่ี ทารกสงสัยติดเช้ือในกระแสเลือดระยะแรก จานวน
ไม่มีหลกั ฐานการติดเช้ือในกระแสเลือด และไม่มี
อาการทางคลินิกที่เขา้ ไดก้ บั การติดเช้ือตาม WHO
review 201623

64  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

71 ราย คิดเป็นอุบตั ิการณ์ EOS 39.9 ต่อ 1,000 ทารก 2,500 กรัม 60 ราย ร้อยละ 84.6 ทารกส่วนใหญ่
เกิดมีชีพ เป็นทารกเพศชาย 36 ราย คิดเป็นอตั ราส่วน คลอดปกติทางช่องคลอด 43 ราย คดิ เป็นร้อยละ 60.6
ชาย : หญิง เท่ากับ 1 : 1 ส่วนใหญ่เป็ นทารกคลอด รองลงมา คือ การผ่าตัดคลอด 22 ราย คิดเป็ น
ครบกาหนด 61 ราย คิดเป็ นร้อยละ 85.9 อายุครรภ์ ร้อยละ 31 และคลอดโดยใชเ้ ครื่องสุญญากาศ 6 ราย
เฉลี่ย 37.1±1.9 สัปดาห์ น้ าหนักแรกเกิดเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 8.4 ทารกมีคะแนน APGAR ที่ 5 นาที
2977.4±533.4 กรัม โดยเป็ นทารก LBW 11 ราย น้อยกว่า 7 คะแนน 4 ราย คิดเป็ นร้อยละ 5.6
คดิ เป็นร้อยละ 15.4 และน้าหนกั มากกวา่ หรือเท่ากบั ดงั ตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 แสดงขอ้ มลู พ้นื ฐานของทารกที่คลอดในโรงพยาบาลปราสาท

suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=710)
(n=71)
375 (52.8%)
sex
-
male 36 (50.7%) 34 (4.7%)
668 (94.1%)
birth weight (g) 8 (1.2%)
3,092.2 ± 380.7
very low birth weight -
23 (3.2%)
low birth weight 11 (15.4%) 687 (96.8%)
39.2 ± 1.9
normal birth weight 59 (83.1%)
518 (73%)
excessive birth weight 1 (1.5%) 15 (2.1%)

mean ± SD 2,977.4 ± 533.4 -
177 (24.9%)
gestational age (weeks)
8 (1.1%)
prematurity 10 (14.1%)

term 61 (85.9%)

mean ± SD 37.1 ± 1.9

delivery mode

normal delivery 43 (60.6%)

vacuum extraction 6 (8.4%)

forceps extraction -

cesarean section 22 (31%)

APGAR at 5 minute

birth asphyxia 4 (5.6%)

ข้อมูลพืน้ ฐานของมารดาทารกสงสัยติดเชื้อ จานวนการฝากครรภ์เฉลี่ย 10.2 ± 3.5 คร้ัง พบ
อายุมารดาเฉลี่ย 26.7 ± 6.2 ปี ส่วนใหญ่ ภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมของมารดา ได้แก่
มารดามีอายุในช่วง 20 - 35 ปี คิดเป็ นร้อยละ 78.9 gestational diabetes 9 ราย คิดเป็ นร้อยละ 12.5

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  65

pregnancy induced hypertension 6 ร า ย คิ ด เ ป็ น คิดเป็ นร้อยละ 4.1 มารดาได้รับยาปฏิชีวนะก่อน
ร้อยละ 8.3 และ chronic hypertension 1 ราย คิดเป็ น คลอด 41 ราย คิดเป็ นร้อยละ 57.7 เปรียบเทียบกับ
ร้อยละ 1.4 มารดามีภาวะติดเช้ือระหว่างต้งั ครรภ์ กลุ่มมารดาทารกไม่ติดเช้ือ ไดร้ ับยาปฏิชีวนะ 188 ราย
ได้แก่ abnormal vaginal discharge 26 ราย คิดเป็ น คิดเป็ นร้อยละ 26.4 โดยยาที่กลุ่มมารดาทารก
ร้อยละ 36.1 ติดเช้ือทางเดินหายใจ 6 ราย คิดเป็ น ไม่ติดเช้ือได้รับส่วนใหญ่คือ cefazolin ข้อบ่งช้ีที่
ร้อยละ 8.3 ติดเช้ือทางเดินอาหาร 5 ราย คิดเป็ น ไดร้ ับ คอื ใหก้ ่อนผา่ ตดั คลอด ดงั ตารางที่ 2
ร้อยละ 6.9 และติดเช้ือทางเดินปัสสาวะ 3 ราย

ตารางที่ 2 แสดงขอ้ มูลพ้นื ฐานมารดาของทารกท่ีคลอดในโรงพยาบาลปราสาท

suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=710)
(n=71)
115 (16.2%)
maternal age range (years) 527 (74.2%)
68 (9.6%)
< 20 8 (11.3%) 25.9 ± 7.7

20-35 56 (78.9%) 2±1

>35 7 (9.8%) 1±1

mean ± SD 26.7 ± 6.2 9.7 ± 4.9

gravida 8 (1.1%)
23 (3.2%)
mean ± SD 2±1 6 (0.8%)
54 (7.5%)
parity 2 (0.3%)
5 (0.7%)
mean ± SD 1±1 16 (2.2%)

number of ANC 39 (5.5%)
66 (9.3%)
mean ± SD 10.2 ± 3.5 158 (22.2%)
84 (11.8%)
obstetric complications

pre-eclampsia -

pregnancy induced hypertension 6 (8.3%)

chronic hypertension 1 (1.4%)

gestational diabetes 9 (12.5%)

chorioamnionitis 5 (6.9%)

maternal fever ≥ 38 oC 6 (8.3%)

PROM ≥ 18 hr 5 (6.9%)

infection during pregnancy

urinary tract infection 3 (4.1%)

gastrointestinal infection 5 (6.9%)

abnormal vaginal discharge 26 (36.1%)

respiratory tract infection 6 (8.3%)

66  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ตารางที่ 2 แสดงขอ้ มูลพ้นื ฐานมารดาของทารกที่คลอดในโรงพยาบาลปราสาท (ต่อ)

suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=710)
(n=71)
-
maternal drug administration
26 (3.7%)
steroid - 154 (21.7%)
1 (0.1%)
antibiotic 4 (0.6%)
3 (0.4%)
ampicillin 18 (25%)
cefazolin 19 (26.4%)
ceftriaxone 1 (1.4%)
clindamycin 2 (2.8%)

other 1 (1.4%)

อาการและอาการแสดงของทารกสงสัยติดเชื้อ จากมากไปนอ้ ย ไดแ้ ก่ หายใจลาบาก น้าตาลในเลือดต่า
อาการและอาการแสดงของทารกท่ีสงสัย ภาวะเหลือง กินนมได้ไม่ดี เขียว มีไข้ และซึมลง
ภาวะติดเช้ือพบไดท้ ุกระบบ อาการท่ีพบบ่อยเรียง
ดงั ตารางที่ 3

ตารางท่ี 3 แสดงอาการและอาการแสดงของทารกสงสัยติดเช้ือ

suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=71) (n=711)
onset of symptoms (hr.)
median 6.1 ± 13.3 -
abnormal temperature 2 (0.3%)
hyperthermia 8 (11.1%) 2 (0.3%)
hypothermia 3 (4.2%)
abnormal respiration -
apnea 2 (2.78%) 16 (2.2%)
respiratory distress 57 (79.1%) 1 (0.1%)
abnormal cardiovascular
cyanosis 9 (12.5%) -
hypotension/poor perfusion 4 (5.6%) 12 (1.7%)
abnormal gastrointestinal 1 (0.1%)
feeding problems 18 (25%) 1 (0.1%)
abdominal distension 1 (1.4%)
abnormal neurology -
lethargy/decrease activity 7 (9.7%) 45 (6.3%)
seizure 3 (4.2%) 50 (7%)
hypoglycemia 28 (38.9%)
hyperbilirubinemia 26 (36.1%)

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  67

ผลตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร เกณฑป์ กติ และไม่พบภาวะติดเช้ือที่มีผลเพาะเช้ือใน
ผลตรวจทางห้องปฏิบตั ิการของทารกสงสัย เลือดในน้าไขสันหลงั หรือในปัสสาวะท่ีให้ผลเป็ นบวก
ติดเช้ือ ส่วนใหญ่พบจานวนเมด็ เลือดขาวในเลือดสูง ดงั ตารางท่ี 4
(>20,000 cells/mm3 ) แต่ตรวจพบเกร็ดเลือดอยู่ใน

ตารางที่ 4 แสดงผลตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการของทารกแรกเกิด

suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=710)
(n=71)
581 (81.8%)
white blood cell count (cells/mm3) 1 (0.8%)
101 (78.3%)
ไม่ไดต้ รวจ - 27 (20.9%)

< 5,000 3 (4.2%) 581 (81.8%)
1 (0.8%)
5,000 - 20,000 19 (26.7%) 128 (99.2%)

>20,000 49 (69.1%) 674 (94.8%)
36 (100%)
platelet (cells/mm3)
-
ไม่ไดต้ รวจ -
710 (100%)
< 150,000 5 (7%) -
-
≥ 150,000 66 (93%)
710 (100%)
blood culture -
-
ไม่ไดต้ รวจ -

no growth 71 (100%)

growth -

cerebrospinal fluid culture

ไมไ่ ดต้ รวจ 65 (91.5%)

no growth 6 (100%)

growth -

urine culture

ไมไ่ ดต้ รวจ 69 (97.2%)

no growth 2 (100%)

growth -

การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทที่ ารกได้รับ ทารกได้รับเพ่ิมเติม คือ cefotaxime และ amikacin
ทารกแรกเกิดที่สงสัยภาวะติดเช้ือ ได้รับ โดยพบการใช้ยาปฏิชีวนะ cefotaxime ร่ วมกับ
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหลกั คือ ampicillin และ ampicillin ในทารกที่มีภาวะ hypotension impaired
gentamicin เป็ นสูตรยาแรกทุกราย ยาทางเลือกที่ peripheral perfusion จานวน 4 ราย ในทารกอาการ

68  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

สงสัย meningitis 1 ราย และพบการเปลี่ยนยา อาการแยล่ งในช่วง 48 - 72 ชวั่ โมงหลงั การรักษา ดงั
ปฏิชีวนะจาก ampicillin ร่วมกับ gentamicin เป็ น ตารางที่ 5
cefotaxime ร่วมกบั amikacin 2 ราย เน่ืองจากทารก

ตารางที่ 5 แสดงการรักษาท่ีทารกไดร้ ับ suspected neonatal sepsis no sepsis
(n=71) (n=710)
antibiotic administration duration (days)
mean ± SD 7.4 ± 2.5 -
ampicillin 71 (100%) -
gentamicin 71 (100 %) -
cefotaxime 6 (8.5%) -
amikacin 2 (2.8%) -
-
cloxacillin - -
meropenem - -
total parenteral nutrition - -
proton pump inhibitor - -
H2 receptor antagonist 8 (11.3%) -
mechanical ventilator - -
central line catheter (UVC/UAC) -

วจิ ารณ์ ถึงร้อยละ 57.7 จึงทาให้ผลเพาะเช้ือเป็ นลบได้
รวมท้ังจากการศึกษาท่ีผ่านมาพบว่า การเพาะเช้ือ
อุบตั ิการณ์การเกิด EOS ของทารกคลอดใน แบคทีเรียในเลือดทารกมีความไวค่อนข้างต่า คือ
โรงพยาบาลปราสาท คือ 39.9 ต่อทารกเกิดมีชีพ ร้อยละ 50-80 และผลลบลวงสูง1,26,27 ดงั น้ัน ในทารก
1,000 ราย สาเหตุท่ีทาให้อุบัติการณ์การเกิด EOS ท่ีสงสัยอย่างมากว่ามีการติดเช้ือระยะแรก แม้ผล
ในการศึกษาน้ีสูงเมื่อเทียบกับการศึกษาอื่น4, 5, 20 เพาะเช้ือในเลือดเป็นลบ ยงั มีจาเป็นตอ้ งใหก้ ารรักษา
แต่ใกลเ้ คียงกบั การศึกษาในกลุ่มประเทศกาลงั พฒั นา24,25 ดว้ ยยาปฏิชีวนะนานอยา่ งนอ้ ย 7 - 10 วนั 28
อาจเน่ืองจากเป็ นอุบตั ิการณ์ที่ใชล้ กั ษณะอาการทาง
คลินิกเป็ นหลักในการวินิจฉัย (clinical suspected จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ค ร้ ั ง น้ ี พ บ ปั จ จัย ที่ มี ผ ล ต่ อ
neonatal sepsis) เม่ือติดตามผลเพาะเช้ือในเลือด และ การติดเช้ือของทารกแรกเกิด ไดแ้ ก่ low birth weight
น้าไขสันหลงั ภายหลงั ไม่พบผลบวกจากการเพาะเช้ือ prematurity และ birth asphyxia ซ่ึงสอดคล้องกับ
(no proven neonatal sepsis) สาเหตุสาคัญอาจเกิด การศึกษาท่ีผ่านมา5,18, 19, 29, 30 แต่ไม่พบความสมั พนั ธ์
จากมารดาส่วนใหญ่ได้รับยาปฏิชีวนะก่อนคลอด ของการติดเช้ือระยะแรกกบั ทารกเพศชาย31 ดงั ตารางที่ 6

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  69

ตารางที่ 6 Factors associated early-onset neonatal sepsis by multiple logistic regression analysis

risk factors OR 95% CI p-value

male 1.05 0.64, 1.70 0.854

low birth weight 10.98 5.77, 20.89 <0.001

prematurity 4.83 2.20, 10.61 <0.001

birth asphyxia 7.52 2.32, 24.33 0.001

เม่ือวิเคราะห์ความสัมพันธ์เพิ่มเติม โดย มารดาติดเช้ือในถุงน้าคร่า สัมพนั ธ์ต่อการติดเช้ือ
ควบคุมตวั แปร เพศของทารก อายคุ รรภ์ และน้าหนกั ระยะแรกของทารก ซ่ึงผลการศึกษาสอดคลอ้ งกับ
แรกเกิด พบว่า มารดามีไข้ก่อนคลอด ≥ 38 oC
น้าเดินก่อนเจ็บครรภค์ ลอดนาน ≥ 18 ชวั่ โมง และ การศึกษาท่ีผา่ นมา11, 12, 13, 16, 20 ดงั ตารางท่ี 7.

ตารางท่ี 7 Factors associated early-onset neonatal sepsis by multiple logistic regression analysis (adjusted odds

ratio by sex, gestational age, and birth weight)

risk factors adj OR 95% CI p-value

maternal fever ≥ 38 oC 3.01 1.06, 13.49 0.008

PROM ≥ 18 hrs. 3.56 1.53, 8.31 0.003

chorioamnionitis 20.58 2.97, 142.73 0.002

abnormal vaginal discharge during pregnancy 1.98 1.11, 3.55 0.020

vacuum extraction 4.80 1.53, 15.10 0.007

จากการศึกษาพบว่า มารดาท่ีมีประวัติ ปัจจยั เสี่ยงที่สัมพนั ธ์กบั การติดเช้ือในทารก
abnormal vaginal discharge ขณะต้งั ครรภ์ จะทาให้ แรกเกิดที่พบเพ่ิมเติม คือ การคลอดด้วยเคร่ื อง
ทารกเส่ียงต่อการติดเช้ือมากกว่ามารดาที่ไม่มีภาวะ สุญญากาศ ซ่ึงผลการศึกษาสอดคลอ้ งกบั โรม บวั ทอง
ดังกล่าว 1.98 เท่า ซ่ึงมีแนวโน้มสอดคล้องกับ และคณะ17 แต่แตกต่างจากการศึกษาของ อรภัทร
การศึกษาของ Chan GJ, et al.16 ที่พบว่า ทารกคลอด วิริยอุดมศิริ8 และ ศรัญญา ศรีจนั ทท์ องศิริและคณะ20
จากมารดาท่ีตรวจพบแบคทีเรียในช่องคลอด โดยที่ ที่ ไ ม่ พ บ ค ว า ม สั ม พ ัน ธ์ ข อ ง ก า ร ติ ด เ ช้ื อ กับ วิ ธี ก า ร
ไม่มีอาการหรืออาการแสดงของการติดเช้ือ (mothers คลอดของทารก โดยการศึกษาคร้ังน้ี พบทารกสงสยั
with colonization) จะเพ่ิมความเส่ียงในการเกิด EOS ติดเช้ือท่ีคลอดดว้ ยเครื่องสุญญากาศมีจานวน 6 ราย
9.4 เทา่ (95% CI: 3.1-28.5) คิดเป็ นร้อยละ 8.4 โดยคลอดติดไหล่จานวน 4 ราย
ทารกมีคะแนน APGAR ที่ 5 นาทีนอ้ ยกวา่ 7 จานวน

70  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

3 ราย ทารกแสดงอาการหายใจลาบากทุกราย ผลตรวจทางห้องปฏิบตั ิการเบ้ืองตน้ ส่วนใหญ่พบ
หลังคลอด และมีทารก 2 ราย ได้รับบาดเจ็บจาก จานวนเม็ดเลือดขาวในเลือดสูง ไม่พบการติดเช้ือท่ี
การคลอด พบว่า มีเลือดออกที่เน้ือเยื่อใตห้ นงั ศีรษะ ผลเพาะเช้ือในเลือดให้ผลบวก (proven neonatal
(subgaleal hemorrhage) ร่วมดว้ ย จากขอ้ มูลดงั กล่าว sepsis) จากการวิเคราะห์ดว้ ย multiple logistic
บ่งช้ีได้ว่า ทารกที่คลอดยาก และใช้สูติศาสตร์ regression พบว่า ปัจจัยเสี่ยงสาคัญต่อการติดเช้ือ
หัตถการช่วยคลอดด้วยเครื่องสุญญากาศ มีโอกาส ระยะแรกในทารกแรกเกิด คือ ทารกคลอดก่อน
เกิดการบาดเจ็บจากการคลอด และอาจพบภาวะขาด กาหนด ทารกน้าหนักตวั น้อย ภาวะขาดออกซิเจน
ออกซิเจนแรกเกิดร่วมด้วย ทาให้มีปัจจัยส่งเสริม แรกเกิด มารดามีไขก้ ่อนคลอด ≥ 38 oC น้าเดินก่อน
เ พิ่ ม ค ว า ม เ ส่ี ย ง ต่ อ ก า ร ติ ด เ ช้ื อ ใ น ช่ ว ง แ ร ก เกิ ดไ ด้ เจ็บครรภค์ ลอดนาน ≥ 18 ชวั่ โมง มารดาติดเช้ือใน
จึงไดร้ ับการรักษาดว้ ยยาปฏิชีวนะต้งั แตเ่ ร่ิมตน้ ถงุ น้าคร่า การคลอด vacuum extraction และ abnormal
vaginal discharge ขณะต้งั ครรภ์ ดงั น้นั การให้การรักษา
จากผลตรวจทางห้องปฏิบตั ิการของทารก ทารกที่อาจมี หรือมีการติดเช้ือแรกเกิด จึงพิจารณา
ติดเช้ือพบว่า ส่วนใหญ่พบจานวนเม็ดเลือดขาวใน จากปัจจัยเส่ียงต่าง ๆ ร่วมกับอาการทางคลินิก
เลือดสูง แต่ตรวจพบเกร็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทันที เพื่อลด
และไม่พบภาวะติดเช้ือที่มีผลเพาะเช้ือในเลือดให้ ภาวะแทรกซ้อน และอัตราการเสียชีวิตของทารก
ผลบวก จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า จานวน แรกเกิด
เม็ดเลือดขาวมีความจาเพาะต่า ในการใช้วินิจฉัย
ภาวะติดเช้ือในทารกแรกเกิด32,33 นอกจากน้ีบาง กติ ติกรรมประกาศ
การศึกษามีการใชค้ ่า C-reactive protein (CRP)34 หรือ
ค่า immature to total neutrophil ratio ( I : T ratio)35 ขอขอบพระคุณผูอ้ านวยการโรงพยาบาล
เพ่ือช่วยในการวินิจฉัยการติดเช้ือในกระแสโลหิต ปราสาท กุมารแพทย์ พยาบาลประจาหน่ วย
ของทารกแรกเกิด แตไ่ ม่ไดน้ ามาศึกษาในคร้ังน้ี ทารกแรกเกิด หอผู้ป่ วยกุมารเวชกรรม และ
สูตินรีเวชกรรมทุกท่าน ท่ีรวบรวมขอ้ มูล เพื่อใช้ใน
ข้อสรุป การวิจัยให้ประสบผลสาเร็ จ และขอขอบคุณ
นายวีระพงศ์ สีหาปัญญา ตาแหน่งนกั กายภาพบาบดั
อุบตั ิการณ์ของการติดเช้ือในทารกแรกเกิด ชานาญการ ที่ปรึ กษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
ของโรงพยาบาลปราสาท คือ 39.9 ต่อทารกเกิดมีชีพ ทางสถิติ
1,000 ราย พบอุบตั ิการณ์ค่อนขา้ งสูง เน่ืองจากเป็ น
อุบตั ิการณ์ท่ีใชล้ กั ษณะอาการทางคลินิกเป็นหลกั ใน
การวินิจฉัย (clinical suspected neonatal sepsis)
แต่ใกลเ้ คียงกับการศึกษากลุ่มประเทศกาลงั พฒั นา
ทารกสงสัยการติดเช้ือระยะแรกมกั แสดงอาการทาง
ระบบหายใจมากที่สุด รองลงมา คือ น้าตาลในเลือดต่า

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  71

เอกสารอ้างองิ 7. กิ่งกาญจน์ บุญพิมล. อุบัติการณ์ของภาวะ
ติดเช้ือในทารกแรกเกิด ลกั ษะทางคลินิก และ
1. Stoll BJ, Hansen NI, Sánchez PJ. Eunice ก า ร รั ก ษ า ใ น ท า ร ก ท่ี ค ล อ ด ใ น โ ร ง พ ย า บ า ล
Kennedy Shriver National Institute of Child สุวรรณภมู ิ. ยโสธรเวชสาร 2558; 17: 79-87.
Health and Human Development Neonatal
Research Network. Early onset neonatal sepsis: 8. อรภทั ร วิริยอุดมศิริ. อุบตั ิการณ์และปัจจยั เส่ียง
the burden of group B streptococcal and E. coli ของภาวะติดเช้ือในทารกแรกเกิดระยะแรกที่
disease continues. Pediatrics 2011;127: 817-26. คลอดในโรงพยาบาลประโคนชัย จังหวัด
บุรีรัมย.์ วารสารควบคมุ โรค 2015; 41: 219-26.
2. Weston EJ, Pondo T, Lewis MM. The burden
of invasive early-onset neonatal sepsis in the 9. American Academy of Pediatrics. Group B
United States 2005-2008. Pediatr Infect Dis J Streptococcal infections. In: Pickering LK,
2011; 30: 937-41. Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors.
2015 Red Book. 30thed. Elk Grove Village, IL:
3. Edward MS. Postnatal bacterial infections. In: American Acadamy of Pediatrics; 2015. p.
Martin RJ, Fanaroff AA, Walsh MC, editors. 745-50.
Neonatal perinatal medicine, disease of the
fetus and infant. 9thed. St. Louis: Modby 10. Puopolo KM, Benitz WE, Zaoutis TE;
Elsevier; 2011. p. 793-830. Committee on fetus and newborn; committee
on infectious diseases. Management of neonates
4. พรเพญ็ มนตรีศรีตระกูล, แสงแข ชานาญวนกิจ, born at ≥ 350/ 7 weeks’ gestation with
ปรี ยาพันธ์ แสงอรุณ. อุบัติการณ์ของภาวะ suspected or proven early- onset bacterial
ติดเช้ือในระยะหลงั คลอด ลกั ษณะทางคลินิก sepsis. Pediatrics 2018; 142: e20182894.
และการรักษา ในทารกแรกเกิดที่คลอดใน
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา้ . เวชสารทหารบก 11. Benitz WE, Gould JB, Druzin ML. Risk factors
2547; 57: 237-44. for early- onset group B streptococcal sepsis:
estimation of odds ratios by critical literature
5. สุนันทา จินดารัตน์. ปัจจัยเสี่ยง อาการและ review. Pediatrics 1999; 103: e77.
อ า ก า ร แ ส ด ง ท า ง ค ลิ นิ ก ก า ร ต ร ว จ ท า ง
ห้องปฏิบตั ิการ และ การรักษาภาวะติดเช้ือใน 12. Heath PT, Balfour GF, Tighe H, Verlander
ทารกแรกเกิดท่ีคลอดในโรงพยาบาลอู่ทอง NQ, Lamagni TL, Efstratiou A. Group B
จงั หวดั สุพรรณบุรี. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ streptococcal disease in infants: a case control
ป้องกนั แห่งประเทศไทย 2558; 5: 28-41. study. Arch Dis Child 2009; 94: 674-80.

6. กณั ณิกา อยู่มน่ั . ลกั ษณะการติดเช้ือในกระแส 13. Oddie S, Embleton ND. Risk factor for early
เลือดของทารกแรกเกิดในโรงพยาบาลพงั งา. onset neonatal group B streptococcus sepsis:
วารสารวชิ าการแพทยเ์ ขต 11 2564; 35: 1-15. case-control study. BMJ 2002; 325: 308.

72  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

14. Petrova A, Demiss K, Rhoads GG, Smulian JC, 19. Al- Matary A, Heena H, Alsarheed AS,
Marcella S, Ananth CV. Association of maternal Ouda W, Alshahrani DA, Wani TA, et al.
fever during labor with neonatal and infant Characteristics of neonatal sepsis at a tertiary
morbidity and mortality. Obstet Gynecol 2001; care hospital in Saudi Arabia. J Infect Public
98: 20-7. Health 2019; 12: 666-72.

15. Hornik CP, Forta P, Clarkc RH, Watt K, 20. ศรัญญา ศรี จันท์ทองศิริ , ไกลตา ศรี สิ งห์,
Benjamin DK Jr, Smith PB, et al. Early and late จินันท์ วีรกุล. ปัจจยั เส่ียงที่มีความสัมพนั ธ์กบั
onset sepsis in very low-birth-weight infants การติดเช้ือในกระแสเลือดของทารกแรกเกิด
from a large group of neonatal intensive care ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลยั นเรศวร. วารสาร
units. Early Hum Dev 2012; 8: S69-74. สาธารณสุขศาสตร์ 2558; 45: 256-71.

16. Chan GJ, Lee AC, Baqui AH, Tan J, Black RE. 21. Gerdes JS. Clinicopathologic approach
Risk of early- onset neonatal infection with diagnosis of neonatal sepsis. Clin Perinatol
maternal infection or colonization: a global 1991; 18: 361-81.
systematic review and meta- analysis. PLoS
Med 2013; 10: e1001502. 22. Jermsirisakpong W, Yathavisuthi P, Punavakul U.
Incidence of early onset neonatal sepsis in
17. โรมบวั ทอง,สิกานต์ ขาวนวล,พฒั นสิริ สาราญทิศ, preterm newborn and characteristic of maternal
นิตยา มีเครือรอด. ปัจจัยเสี่ยงของการติดเช้ือ vaginal pathogen, Prapokkloa hospital. J Prapokkloa
ในทารกแรกเกิด โรงพยาบาลกงไกรลาศ Hosp Clin Med Educat Center 2007; 24: 241-8.
จังหวดั สุโขทัย 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน
2549. รายงานการเฝ้าระวงั ทางระบาดวิทยา 23. Fuchs A, Bielicki J, Mathur S, Sharland M, Van
ประจาสปั ดาห์ 2551 ;30: 525-29. Den Anker J. Antibiotic use for sepsis in
neonate and children: 2016 evidence update.
18. Getabelew A, Aman M, Fantaye E, Yeheyis T. WHO Reviews. 2016.

Prevalence of neonatal sepsis and associated 24. Amare D, Mela M, Dessie G. Unfinishes
factors among neonates in neonatal intensive
care unit at selected government hospitals in agenda of the neonates in developing countries:
Shashemene Town, Oromia Regional State,
Ethiopia, 2017. Int J Pediatr 2018; 2018: magnitude of neonatal sepsis: systematic review

7801272. and meta-analysis. Heliyon 2019; 5: e02519.

25. Ganatra HA, Zaidi AM. Neonatal infections in

developing world. Semin Perinatol 2010; 34:

416-25.

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  73

26. Anwer SK, Mustafa S. Rapid identification of 31. Zamora-Castorena S, Murguia-de-Sierra MT.
neonatal sepsis. J Pak Med Assoc 2000; 50: 94-8. Five year experience with neonatal sepsis in a
pediatric center. Rev Invest Clin 1998; 50: 463-70.
27. Gerdes JS, Polin R. Early diagnosis and
treatment of neonatal sepsis. Indian J Pediatr 32. Christensen RD, Rothstein G, Hill HR, Hall
1998; 65: 63-78. RT. Fatal early onset group B streptococcal
sepsis with normal leukocyte counts. Pediatr
28. Simose KA, Anderson- Berry AL, Delair SF, Infect Dis 1985; 4: 242-5.
Davies HD. Early-onset neonatal sepsis. Clin
Microbiol Rev 2014; 27: 21-47. 33. Engle WD, Rosenfeld CR. Neutropenia in
high-risk neonates. J Pediatr 1984; 105: 982-6.
29. Escobar GJ. The neonatal “sepsis work-up”:
personal reflections on the development of an 34. Thatrimontrichai A. Neonatal sepsis in
evidence- based approach toward newborn Thailand. Folia Medica Indonesia. 2018; 54:
infections in a managed care organization. 306-10.
Pediatrics 1999; 103: 360-73.
35. Erum S, Farhan S, Rashid NK, Muhammad
30. Martius JA, Roos T, Gora B, Oehler MK, AK. Immature to total neutrophil ratio as an
Schrod L, Padadopoulos T, et al. Risk factors early indicator of early neonatal sepsis. Pak J
associated with early-onset sepsis in premature Med Sci 2019; 35: 241-6.
infants. Eur J Obstet Gynecol Biol 1999; 85:
151-8.

74  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทความวิจยั
Research Article

ผลของการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ทของหัวหน้าหอผู้ป่ วยต่อ
การปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพที่โรงพยาบาลของรัฐ ระดับทุติยภูมิ
แห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร

เกตแุ ก้ว นิลยาน* สมพนั ธ์ หญิ ชีระนนั ทน์ MS (Nursing)** ปราณี มหี าญพงษ์ ปร.ด.***
*นกั ศึกษาหลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวชิ าการบริหารการพยาบาล) มหาวิทยาลยั คริสเตียน
**อาจารยท์ ่ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์หลกั คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั คริสเตียน
***อาจารยพ์ เิ ศษ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั คริสเตียน

บทคดั ย่อ วนั รับบทความ: 6 มิถุนายน 2564
วนั แกไ้ ขบทความ: 2 ธนั วาคม 2564
วนั ตอบรับบทความ: 3 ธนั วาคม 2564

วัตถปุ ระสงค์: เพ่อื ศึกษาผลของการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทของหวั หนา้ หอผปู้ ่ วยต่อการปฏิบตั ิงาน
ของพยาบาลวชิ าชีพที่โรงพยาบาลของรัฐ ระดบั ทุติยภูมิแห่งหน่ึงในเขตกรุงเทพมหานคร

วิธีดาเนินการวิจัย: การศึกษาคร้ังน้ีเป็ นการวิจยั ก่ึงทดลอง โดยใช้โมเดลการโคช้ ของมวั ร์และโมแลน และ
ผลการปฏิบตั ิของพยาบาลวชิ าชีพใชแ้ นวคิดของกรีนเสลดและจิมมีสัน กลุ่มตวั อยา่ ง 1 กลุม่ คอื พยาบาลวิชาชีพ
จานวน 25 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจยั ประกอบดว้ ย 1) โครงการอบรมเชิงปฏิบตั ิการ
การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทของหวั หนา้ หอผปู้ ่ วย 2) คู่มือการใชก้ ารนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบ
สมาร์ทของหวั หนา้ หอผปู้ ่ วย 3) แนวทางการปฏิบตั ิการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท และ 4) แบบกากบั

การปฏิบตั ิการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล คือ แบบสอบถาม
การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยหาความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ
วิเคราะห์ดว้ ยสถิติ Wilcoxon matched-pairs signed-rank test

ผลการวิจัย: ผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพหลงั การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทสูงกว่าก่อน
การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p <0.05) โดยดา้ นการประสานงานการดูแล
อยใู่ นระดบั มากที่สุด ( X = 4.52, SD = 0.48, Z = -4.40)

สรุป: หวั หนา้ หอผปู้ ่ วยสามารถนาการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทไปใชเ้ พ่อื ส่งเสริมใหพ้ ยาบาลวิชาชีพ

มีผลการปฏิบตั ิงานท่ีดีข้ึน และผูบ้ ริหารระดบั สูงของฝ่ ายการพยาบาลสามารถนาโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทไป
ใชใ้ นการพฒั นาบคุ ลากรทางการพยาบาลเพือ่ ส่งเสริมการนิเทศใหม้ ีประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน

คาสาคญั : การนิเทศ โมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท ผลการปฏิบตั ิงาน

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  75

บทความวจิ ัย
Research Article

The effects of supervision through SMART coaching model of
head nurses on nursing performance of professional nurses at
a public secondary level hospital in Bangkok Metropolis

Ketkaew Nilyarn* Sompan Hinjiranan MS (Nursing)** Pranee Meehanpong PhD***
* Student in Master of Nursing Science Program in Nursing Management, College of Nursing, Christian University
** Assistant professor, major advisor, College of Nursing, Christian University
*** Co-adviser, College of Nursing, Christian University

Abstract Received: June 6, 2021
Revised: December 2, 2021
Accepted: December 3, 2021

Objective: This research was to study the effects of supervision through SMART coaching model of head nurses
on nursing performance of professional nurses at a public secondary level hospital in Bangkok Metropolis.

Materials and Methods: The purpose of this quasi-experimental research. The concepts of SMART coaching
model of Moore & Moran and nursing performance of Greenslade & Jimmieson were used as a conceptual
framework of this study. The samples included one groups: 25 professional nurses were selected by purposive
sampling. The research instruments were consisted of : 1) supervision workshop project on the head nurse's
SMART coaching model 2) supervision handbook on the head nurse's SMART coaching model 3) guideline on
the head nurse's SMART coaching model and 4) procedure on the head nurse's SMART coaching model. The
instrument used for data collection in this study was the set of questionnaires of the nursing performance of
professional nurses. The research data were analyzed for frequency, percentage, mean, standard deviation, and
wilcoxon matched-pairs signed-rank test.

Results: The results of the research revealed that nursing performance of professional nurses participating in
the supervision through SMART coaching model of head nurses was significantly higher than that before
receiving the supervision through SMART coaching model of head nurses (p < 0.05). The coordination of care
was at the highest level ( X = 4.52, SD = 0.48, Z=-4.40).
Conclusion: The results of this study indicate that the head nurses can implement the supervision through
SMART coaching model to promote professional nurses to increase higher performance. The head of nursing
department can adopt SMART coaching model to develop of nurses and promote more effective supervision.

Keyword: supervision, SMART coaching model, performance of professional nurses

76  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทนา การนิเทศช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งเสริ มให้
พยาบาลวชิ าชีพไดม้ ีการพฒั นาความรู้ ความสามารถ
การบริหารจดั การสมยั ใหม่มุ่งเนน้ ผลสัมฤทธ์ิ และทกั ษะการปฏิบตั ิงาน ตลอดจนใชก้ ระบวนการคิด
ของงานเป็ นหลกั แนวคิดการนาผลการปฏิบตั ิงาน เพ่ือพัฒนาปรับปรุ งการปฏิบัติงานของตนเอง
เพ่ือขบั เคลื่อนถูกนาใช้เป็ นเคร่ืองมือในการบริหาร อยา่ งต่อเนื่อง ซ่ึงผนู้ ิเทศจะส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ ๆ
เพ่ือมุ่งผลสัมฤทธ์ิ การมุ่งเน้นผลการปฏิบัติงาน จากสถานการณ์จริงแลว้ มาปรับใชจ้ นเกิดความรู้และ
ของบุคคลถือเป็ นส่วนหน่ึงในการบริหารจัดการ ทกั ษะในการปฏิบตั ิงาน3 ฝ่ ายการพยาบาล กลุ่มภารกิจ
ทรัพยากรบุคคล ซ่ึงเป็นกลไกสาคญั ในการขบั เคล่ือน ดา้ นการพยาบาล โรงพยาบาลราชพพิ ฒั น์ มีเป้าหมาย
ใหบ้ ุคลากรเกิดความกระตือรือร้นในการทางานมากข้ึน ให้บริ การพยาบาลผู้ป่ วยแบบองค์รวม ท้ังด้าน
ทาใหเ้ กิดการดาเนินงานตามแผนการปฏิบตั ิงานและ ร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ครอบคลมุ ท้งั 4 มิติ
โครงการได้อย่างรวดเร็วเห็นผลชัดเจน พยาบาล ประกอบด้วย การดูแล ส่งเสริม ป้องกันและฟ้ื นฟู
วิชาชีพเป็ นบุคลากรที่มีบทบาทในการดูแลสุขภาพ สมรรถภาพ โดยการประเมิน คดั กรอง ให้การพยาบาล
ของประชาชนอย่างใกลช้ ิดในทุกระดบั ของระบบ ตามภาวะสุขภาพ ความเจ็บป่ วยและความรุนแรงของ
บริการสุขภาพ รวมถึงมีหน้าท่ีความรับผิดชอบใน โรคต่อเน่ืองตลอด 24 ชั่วโมง เพ่ือให้การพยาบาล
การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่ วยได้รับ เป็ นไปตามมาตรฐาน แต่พบว่า ผลการปฏิบัติงาน
การพยาบาลแบบองค์รวม ซ่ึงพบว่า ผลการปฏิบตั ิงาน ของพยาบาลวิชาชีพสาเร็ จใหม่ที่ปฏิบัติงานใน
ของพยาบาลวิชาชีพมีความสัมพนั ธ์กบั ความสามารถ หอผู้ป่ วยที่ได้รับการนิเทศจากพยาบาลพี่เล้ียง
ส่วนบคุ คล และพฤติกรรมความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล มี ทั ก ษ ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น อ า ก า ร แ ล ะ ก า ร ว า ง แ ผ น
ดงั น้ัน ความสามารถในการปฏิบตั ิงานส่วนบุคคล การพยาบาลไม่ครอบคลุม เน่ืองจากพยาบาลวิชาชีพ
จึงเป็นสิ่งสาคญั ในการเพ่ิมประสิทธิภาพผลปฏิบตั ิงาน ในหอผปู้ ่ วยไมไ่ ดร้ ับการนิเทศทางการพยาบาลอยา่ ง
การบริการพยาบาล1 เป็ นระบบตามแนวทางการนิเทศ รวมถึงพยาบาล
พ่ีเล้ียงซ่ึงเป็นผนู้ ิเทศไม่ไดผ้ า่ นการศึกษาหรืออบรม
การนิเทศงานเป็ นระบบงานท่ีจาเป็ นของ หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพด้านการสอน ไม่มี
การบริ หารทางการพยาบาล เนื่องจากผู้บริ หาร ความรู้ดา้ นการนิเทศทางการพยาบาล รวมถึงไม่มี
ทางการพยาบาลมีบทบาทในการเป็ นคนกลางของ เทคนิคในการดึงศกั ยภาพของพยาบาลวิชาชีพที่อยู่
การส่ือสารเพ่ือนานโยบายขององคก์ รสู่การปฏิบตั ิที่ ภายใต้การดูแลของพยาบาลพ่ีเล้ียงมาใช้ให้เป็ น
มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมาตรฐานคุณภาพ ประโยชนใ์ นการปฏิบตั ิงาน ส่งผลใหส้ มรรถนะของ
ของวิชาชีพ นอกจากน้ี ผูบ้ ริหารทางการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพซ่ึงเป็นผรู้ ับการนิเทศไม่อยูใ่ นระดบั
ยังเป็ นผูป้ ระสานประโยชน์ ผู้สร้างแรงจูงใจใน เกณฑท์ ่ีคาดหวงั ของหวั หนา้ หอผปู้ ่ วย โดยเฉพาะใน
การปฏิบัติงาน ผูใ้ ห้คาแนะนาปรึกษา ผูเ้ สริมพลงั ด้านการประเมินปัญหา ความตอ้ งการ และการให้
และเป็ นแหล่งความรู้ทางการพยาบาล2 ดังน้ัน ข้อมูลแก่ผู้ป่ วยและครอบครัว ผู้วิจัยสัมภาษณ์
การนิเทศงานจึงเป็ นบทบาทที่สาคัญของหัวหน้า
หอผู้ป่ วยซ่ึงเป็ นผู้บริ หารระดับต้น มีหน้าที่ใน

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  77

พยาบาลพี่เล้ียงจานวน 5 คน พบว่า ส่วนใหญ่ จะมีประโยชนต์ ่อการบริหารงาน สามารถนาไปปรับ
พยาบาลพี่เล้ียงใช้เทคนิ คการสอน (teaching) ใช้ได้จริงร่วมกับการเป็ นพยาบาลพ่ีเล้ียง ส่งผลต่อ
และการสาธิต ไม่เคยใช้เทคนิคการโค้ชมาก่อน ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง พ ฤ ติ ก ร ร ม แ ล ะ พัฒ น า ผ ล
จากการสัมภาษณ์พยาบาลวิชาชีพจานวน 5 คน พบว่า ก า ร ป ฏิ บัติ ง า น ข อ ง พ ย า บ า ล ร ว ม ถึ ง ท า ใ ห้
การสอนและการสาธิต ทาให้พยาบาลสาเร็จใหม่ สัมพนั ธภาพระหวา่ งทีมการพยาบาลขณะปฏิบตั ิงาน
สามารถปฏิบตั ิการพยาบาลในรูปแบบเดิมได้ แต่ไม่ ดีข้ึน10 และพยาบาลมีความพึงพอใจในงานมีการใช้
สามารถสร้างแรงจูงใจในการพฒั นาการพยาบาลสู่ กระบวนการพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาล
งานวิจัยหรื อนวัตกรรมทางการพยาบาล ดังน้ัน ผูป้ ่ วยเป็ นรายบุคคลครอบคลุมองค์รวม การนิเทศ
หัวหนา้ หอผปู้ ่ วยจึงจาเป็ นตอ้ ง นิเทศอย่างมีรูปแบบ ตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทเป็นโมเดลท่ีนิยมใช้
เนื่องจากการนิเทศของหัวหนา้ หอผูป้ ่ วยมีความสัมพนั ธ์ ในการประกอบธุรกิจ ยงั ไมม่ ีการนามาใชเ้ ป็นโมเดล
ทางบวกกับความสามารถในการปฏิบัติงานของ การโคช้ ในการนิเทศทางการพยาบาล โมเดลการโค้ช
พยาบาลวิชาชีพ4 หวั หนา้ หอผปู้ ่ วยเป็ นผมู้ ีอิทธิพลใน แบบสมาร์ทเป็ นโมเดลการโคช้ ที่เน้นการกาหนด
การกระตุน้ และสร้างแรงจูงใจให้พยาบาลวิชาชีพ เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง และสามารถวดั ผลลพั ธ์
มีความพยายามท่ีจะปฏิบตั ิงานเพอื่ ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย ตามแนวทางปฏิบตั ิท่ีผูร้ ับการโคช้ ไดเ้ ลือกใช้ไดใ้ น
ขององคก์ าร5 กรอบระยะเวลาที่กาหนดอยา่ งชดั เจน11 การโคช้ โดย
ใชร้ ูปแบบการสอนแบบมุ่งเนน้ การกาหนดเป้าหมาย
การโคช้ หรือการสอนงานเป็ นการส่งเสริม (goal-focus) จะมีประสิทธิภาพมากกว่ารูปแบบ
ใ ห้ บุ ค ล า ก ร ใ ห ม่ มี ก า ร พ ัฒ น า ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น การสอนท่ัวไป เนื่องจากการกาหนดเป้าหมาย
การปฏิบตั ิงาน ทาให้บุคลากรไดท้ ราบขอ้ มูลที่จาเป็น ท่ีเฉพาะเจาะจง จะสามารถกาหนดแนวทางปฏิบตั ิ
ต่าง ๆ ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงเจตคติ การแสดงออก ชัดเจน โดยผู้โค้ชมีหน้าที่ทาให้ผู้รับการโค้ชมี
ถึงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ไปในทิศทางที่ดี และ ความเข้าใจในตนเองและปรับเปล่ียนพฤติกรรม
การบรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน6 องค์ประกอบ เพื่อใหบ้ รรลเุ ป้าหมายเพ่มิ ประสิทธิภาพการทางาน12
ท่ีสาคัญในการโค้ช คือ รูปแบบการโค้ช การสร้าง
ความสัมพนั ธ์ การวิเคราะห์ปัญหา การแก้ปัญหา ผู้วิจัยในฐานะผูบ้ ริหารทางการพยาบาล
การยอมรับในการเปล่ียนแปลง และการโค้ชตาม ระดบั ตน้ ที่มีบทบาทเป็นผนู้ ิเทศงาน จึงมีความสนใจ
มาตรฐานการโคช้ ระยะส้ันจะฝึ กให้ผูร้ ับการโคช้ มี ที่ จ ะ ศึ ก ษ า ผ ล ข อ ง ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล ก า ร โ ค้ช
ความมั่นใจในตนเอง มีทกั ษะการจัดการเพ่ิมข้ึน7 แบบสมาร์ทต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
รวมถึงการมีความคิดเชิงบวกต่อความท้าทายใน เพ่ือพฒั นาศกั ยภาพพยาบาลวิชาชีพที่มีอยา่ งจากดั ให้
องค์กรมีส่วนร่วมจดั การกับการเปลี่ยนแปลงของ สามารถปฏิบตั ิงานบรรลุเป้าหมายภายใตก้ รอบเวลา
องคก์ รไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ8 ซ่ึงการโคช้ แต่ละวิธี ที่กาหนดไวแ้ ละตอบสนองภารกิจดา้ นการพยาบาล
จะเพิ่มผลการปฏิบตั ิงานและผลลพั ธ์ท่ีแตกต่างกัน9 ขององคก์ รไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพ
การพฒั นาทกั ษะการโคช้ ของผูน้ าทางการพยาบาล

78  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ไดแ้ ก่ การดูแลรักษาพยาบาล การให้ขอ้ มูล การให้
การสนับสนุน และการประสานงานการดูแล
ศึกษาผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ ก า ร ป ร ะ ยุ ก ต์ก ร อ บ แ น ว คิ ด ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล
ในระยะก่อนกบั หลงั มีการนิเทศตามโมเดลการโคช้ การโคช้ แบบสมาร์ทของ Margaret M, Bob TM,Erika J11
แบบสมาร์ท ซ่ึงประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ดังน้ี 1) การกาหนด
เป้าหมายเฉพาะเจาะจง 2) การกาหนดเป้าหมายท่ี
สมมติฐานการวิจยั วัดได้ 3) การดาเนินการให้เป็ นไปตามเป้าหมาย
ผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพหลงั มี 4) การต้งั เป้าหมายตอ้ งมีความเป็นไปไดอ้ ยา่ งสมจริง
การนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ทสูงกว่า และ 5) การกาหนดกรอบเวลาในการบรรลุเป้าหมาย
ก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท เนื่องจากผลจากการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบ
กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั สมาร์ท ทาใหพ้ ยาบาลวิชาชีพซ่ึงเป็ นผูร้ ับการโคช้ มี
การศึกษาคร้ังน้ี ประยุกต์กรอบแนวคิดผล ผลการปฏิบตั ิงานสูงข้ึนทาให้องคก์ ารพยาบาลและ
การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพของ Greenslade โรงพยาบาลได้รับความพึงพอใจจากผูร้ ับบริการ
JH, Jimmieson NL13 ซ่ึงวัดผลการปฏิบัติกิจกรรม สูงข้ึนตามลาดบั ดงั แผนภาพท่ี 1
ตามหน้าท่ีของพยาบาลวิชาชีพประจาหอผูป้ ่ วยใน
โรงพยาบาลระดบั ชุมชน ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
1. การดูแลรักษาพยาบาล
การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทของ 2. การใหข้ อ้ มลู
หวั หนา้ หอผปู้ ่ วย 3. การใหก้ ารสนบั สนุน
1. การกาหนดเป้าหมายเฉพาะเจาะจง 4. การประสานงานการดูแล13
2. การกาหนดเป้าหมายที่วดั ได้
3. การดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมาย
4. การต้งั เป้าหมายตอ้ งมีความเป็นไปไดอ้ ยา่ ง

สมจริง
5. การกาหนดกรอบเวลาในการบรรลเุ ป้าหมาย11

แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ประยกุ ตจ์ ากแนวคิดการโคช้ แบบสมาร์ทโมเดลของ Margaret M,
Bob TM, Erika J11 และ Greenslade JH, Jimmieson NL13

วิธีดาเนินการวจิ ยั อายุรกรรมชาย หอผูป้ ่ วยอายุรกรรมหญิง หอผูป้ ่ วย
ศลั ยกรรมชาย หอผปู้ ่ วยพิเศษ หออภิบาลผปู้ ่ วยหนกั
การวิจยั คร้ังน้ี เป็ นการวิจยั ก่ึงทดลองโดย หอผปู้ ่ วยหลงั คลอด หอผปู้ ่ วยชีวาภิบาล
เป็นการวิจยั แบบ 1 กลุม่ วดั ก่อน-หลงั การทดลอง
กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ พยาบาลวิชาชีพจานวน
ประชากรไดแ้ ก่ พยาบาลวิชาชีพจานวน65 คน 25 คน คานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างจากค่าขนาด
ที่เป็ นพยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในหอผู้ป่ วย

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  79

อิทธิพล (effect size) ที่มีคา่ ขนาดอิทธิพลเทา่ กบั 0.50 จริงและแกไ้ ขตามคาแนะนาจากผทู้ รงคุณวุฒิจานวน
กาหนดระดบั นยั สาคญั ทางสถิติเท่ากบั 0.05 อานาจ 5 ทา่ น
การทดสอบทางสถิติ (power analysis) เท่ากับ 0.80
โดยวิธี เลือกแบบเจาะจง ( purposive sampling) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
โดยมีคุณสมบตั ิตามเกณฑ์ (inclusion criteria) ดงั น้ี 1. การเก็บข้อมูลก่อนการทดลอง ผูว้ ิจัย
1) พยาบาลวิชาชีพระดับชานาญการที่เป็ นแกนนา ประชาสัมพันธ์โครงการวิจัยโดยติดประกาศใน
ของหอผูป้ ่ วย มีส่วนส่งเสริมและดาเนินกิจกรรมท่ี บอร์ดสื่อสารของโรงพยาบาลระยะเวลา 1 เดือน
เก่ียวขอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ตลอดจนช่วย และแจกประกาศประชาสัมพนั ธ์ทกุ หอผปู้ ่ วยเพ่ือให้
กากบั ดูแลและติดตามให้ไดผ้ ลลพั ธ์อย่างที่คาดหวงั อาสาสมคั ร ท่ีสนใจตดั สินใจในการเขา้ ร่วมโครงการ
2) พยาบาลวิชาชีพระดบั ปฏิบตั ิการท่ีมีความพร้อม ผวู้ ิจยั เตรียมผชู้ ่วยวจิ ยั 1 ท่าน เป็นพยาบาลวชิ าชีพจบ
ในการพฒั นาตนเอง 3) ปฏิบัติงานในหอผู้ป่ วยที่ การศึกษาระดับมหาบัณฑิต มีประสบการณ์ใน
หัวหน้าหอผู้ป่ วยซ่ึงเป็ นผูน้ ิเทศมีความสนใจใน การปฏิบตั ิหน้าที่ 10 ปี ทาหน้าท่ีเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ทและผ่าน และช่วยอานวยความสะดวกในการทากิจกรรมกลุ่ม
การอบรมเชิงปฏิบตั ิการการนิเทศตามโมเดลการโคช้ ผวู้ จิ ยั เตรียมผชู้ ่วยวจิ ยั โดยช้ีแจงวตั ถปุ ระสงค์ วธิ ีการ
แบบสมาร์ท ได้แก่ หอผูป้ ่ วยอายุรกรรมชาย และ ทดลอง การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ตลอดจนข้นั ตอนใน
หอผปู้ ่ วยชีวาภิบาล และ 4) ยนิ ยอมเขา้ ร่วมในการวิจยั การทาวิจัยเพื่อให้เข้าใจตรงกัน และให้ผูช้ ่วยวิจัย
ผวู้ ิจยั กาหนดเกณฑใ์ นการคดั ออก (exclusion criteria) ทดลองใชแ้ บบสอบถาม การปฏิบตั ิงานของพยาบาล
ดงั น้ี 1) มีการโอนยา้ ย ลาออกจากหน่วยงานในช่วง วิชาชีพท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั กลุ่มตวั อยา่ งจานวน
นิเทศ และ 2) ไม่ใหค้ วามร่วมมือในการนิเทศ 3 ราย เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจและมีทกั ษะในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลผวู้ ิจยั กาหนดการประชุม เพ่ือแนะนา
เครื่องมือทใี่ ช้ในการวิจัย ตนเองและผูช้ ่วยวิจัย ช้ีแจงวตั ถุประสงค์การวิจัย
1. เครื่ องมือที่ใช้ในการดาเนินการวิจัย ความสาคญั และปัญหาของงานวิจยั การเขา้ ร่วมวิจยั
ประกอบดว้ ย โครงการอบรมเชิงปฏิบตั ิการการนิเทศ การตอบแบบสอบถาม ตลอดจนวิธีการเก็บรวบรวม
ตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทของหัวหน้าหอผูป้ ่ วย แบบสอบถามกบั พยาบาลวิชาชีพท่ีเป็นกลุ่มตวั อย่าง
คูม่ ือการใชก้ ารนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท ที่ใช้ในการศึกษา และให้ผู้ช่วยวิจัยเก็บข้อมูล
ของหัวหนา้ หอผูป้ ่ วย แนวทางการปฏิบตั ิการนิเทศ การปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ โดยการแจก
ตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทแบบกากบั การปฏิบตั ิ แบบสอบถามการวิจยั ใหก้ ลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ นการศึกษา
การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท การเกบ็ ขอ้ มูลก่อนการทดลอง
2. เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2. ข้นั ดาเนินการทดลอง
ไดแ้ ก่ แบบสอบการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
โดยเคร่ืองมือท้งั หมดที่ใชใ้ นการวิจยั ไดร้ ับ 2.1 สัปดาห์ที่ 1 ผู้วิจัยดาเนินการจัด
การตรวจสอบความถูกตอ้ งของเน้ือหาก่อนนาไปใช้
อบรมเชิงปฏิบัติการการนิเทศตามโมเดลการโค้ช

แบบสมาร์ทแก่หัวหน้าหอผูป้ ่ วย ระยะเวลา 1 วนั

80  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

เพื่อให้หัวหน้าหอผู้ป่ วย มีความรู้และทักษะใน อุปสรรค ในการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท
การนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท โดยเน้ือหา หลังจากน้ันร่วมหาแนวทางแกไ้ ขปัญหาและสรุป
ประกอบดว้ ย 1) การกาหนดเป้าหมายท่ีเฉพาะเจาะจง เป็ นแนวทางการนิเทศที่จะดาเนินการต่อไป
2) การกาหนดเป้าหมายท่ีวดั ได้ 3) การดาเนินการให้
เป็ นไปตามเป้าหมาย 4) การต้ังเป้าหมายต้องมี 2.4 สั ป ด า ห์ ท่ี 4 ผู้ วิ จั ย จั ด ใ ห้ มี
ความเป็ นไปได้อย่างสมจริง และ 5) การกาหนด การอภิปรายกลุ่ม เพ่ือติดตามการนิเทศตามโมเดล
กรอบเวลาในการบรรลุเป้าหมาย ผูว้ ิจยั เก็บขอ้ มูล การโค้ชแบบสมาร์ทของหัวหน้าหอผู้ป่ วยตาม
ความรู้ดา้ นการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท แผนการนิเทศที่กาหนดไวค้ ู่มือการนิเทศตามโมเดล
ของหัวหน้าหอผู้ป่ วย หลังเข้ารับการอบรมเชิง การโคช้ แบบสมาร์ท
ปฏิบตั ิการการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท
แก่หวั หนา้ หอผปู้ ่ วยทนั ที 3. การดาเนินการหลงั การทดลอง
3.1 สัปดาห์ท่ี 5 หลงั การทดลอง ผูช้ ่วย
2.2 สัปดาห์ที่ 2 หัวหน้าหอผู้ป่ วย
อายุรกรรมชายและหัวหน้าหอผู้ป่ วยชีวาภิบาล วิจยั ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลผลของการนิเทศ
นาความรู้เรื่องการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท ตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทของหัวหน้าหอผูป้ ่ วย
ไปปฏิบตั ิการโคช้ พยาบาลวิชาชีพณหอผปู้ ่ วยสามญั ชาย ต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพจากกลุ่มตวั อยา่ ง
และหอผปู้ ่ วยชีวาภิบาล โดยปฏิบตั ิตามแผนการนิเทศ โดยใชแ้ บบสอบถามการวิจยั ชุดเดิม
ท่ีกาหนดไว้ หัวหน้าหอผูป้ ่ วยมีบทบาทเป็ นโค้ช
ทาหนา้ ที่กระตุน้ พยาบาลวิชาชีพในการกาหนดเป้าหมาย 3.2 เม่ือผูว้ ิจยั ไดร้ ับแบบสอบถามตอบ
การกาหนดเป้าหมายที่วัดได้ การดาเนินการให้ กลบั มาจากกลุ่มตวั อยา่ ง จะตรวจสอบความสมบูรณ์
เป็ นไปตามเป้าหมาย การต้ังเป้าหมายตอ้ งมีความ ของข้อมูลในแบบสอบถาม กรณีท่ีได้รับแบบ
เป็นไปไดอ้ ยา่ งสมจริง และการกาหนดกรอบเวลาให้ สอบถามไม่สมบูรณ์จะส่งแบบสอบถามกลบั สู่กลุ่ม
บรรลุเป้าหมาย ในการปฏิบัติงานของพยาบาล ตวั อย่างรายบุคคลภายใน 1 วนั โดยผูช้ ่วยวิจยั เป็ น
วิชาชีพของหน่วยงาน ให้คาช้ีแนะในการกาหนด ผนู้ าส่งเพ่ือสอบถามขอ้ มลู เพมิ่ เติม
เป้าหมาย และการดาเนินการประเมินผลยอ้ นกลับ
ท้งั ในดา้ นพฤติกรรมการปฏิบตั ิงานและดา้ นผลงาน การพทิ กั ษ์สิทธ์ิของกลุ่มทดลอง
แก่พยาบาลผรู้ ับการโคช้ ตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ การวจิ ยั คร้ังน้ีผา่ นการพิจารณาต่อคณะกรรมการ
จริ ยธรรมการวิจัยในคนกรุงเทพมหานคร รหัส
2.3 สั ป ด า ห์ ท่ี 3 ผู้ วิ จั ย จั ด ใ ห้ มี โครงการ U029h/62
การอภิปรายกลุ่ม เพ่ือเปิ ดโอกาสใหห้ วั หนา้ หอผปู้ ่ วย การวิเคราะห์ข้อมูล
พยาบาลวิชาชีพมาอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกบั ปัญหา สถิติท่ีใชว้ ิเคราะห์ขอ้ มูล คือ ความถี่ ร้อยละ
ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ทดสอบ
ความแตกต่างในกลุ่มตัวอย่างแบบ 1 กลุ่ม วดั ผล
ก่อนกับหลังการทดลอง เน่ืองจากกลุ่มตัวอย่างมี

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  81

ขนาดเล็กท่ีมีน้อยกว่า 30 คน ไม่เป็ นอิสระต่อกัน ของเครื่องมือค่าดชั นีความตรงตามเน้ือหา (CVI) ได้
การแจกแจงของขอ้ มูลแบบไม่ปกติ วิเคราะห์ดว้ ยสถิติ เท่ากับ 0.85 ค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟาของครอนบาค
wilcoxon matched-pairs signed-rank test กาหนดค่า (cronbach’s alpha coefficient) เท่ากบั 0.93
นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 การตรวจสอบคุณภาพ

ผลการวิจัย

ตารางท่ี 1 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตวั อยา่ งจาแนกตามขอ้ มูลส่วนบุคคล (n = 25)

ข้อมูลส่วนบคุ คล จานวน (คน) ร้อยละ

เพศ 96
4
หญิง 24
100
ชาย 1
40
การศึกษา 24
24
ปริญญาตรี 25 8
4
อายุ
60
21 - 25 ปี 10 40

26 - 30 ปี 6 48
28
31 - 35 ปี 6 20
4
36 - 40 ปี 2

41 - 45 ปี 1

หน่วยงานที่ปฏิบตั ิงาน

หอผปู้ ่ วยชีวาภิบาล 15

หอผปู้ ่ วยอายรุ กรรมหญิง 10

ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน

1 - 4 ปี 12

5 - 10 ปี 7

11 - 15 ปี 5

16 - 20 ปี 1

82  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

จากตารางที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็ น ชีวาภิบาล จานวน 15 คน คิดเป็ นร้อยละ 60 และ
พยาบาลวิชาชีพ ส่วนมากเป็นเพศหญิง จานวน 24 คน หอผูป้ ่ วยอายุรกรรมหญิงจานวน 10 คน คิดเป็ น
คิดเป็ นร้อยละ 96 การศึกษาระดับปริ ญญาตรี ร้อยละ 40 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน
คิดเป็ นร้อยละ 100 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21 - 25 ปี 1 - 4 ปี จานวน 12 คน คดิ เป็นร้อยละ 48 รองลงมามี
จานวน 10 คน คิดเป็ นร้อยละ 40 รองลงมามีอายุ ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน 5 - 10 ปี จานวน 7 คน
ระหว่าง 26 - 30 ปี จานวน 6 คน คิดเป็ นร้อยละ 24 คิดเป็ นร้อยละ 28 น้อยที่สุ ดมีประสบการณ์
และมีอายุระหว่าง 31 - 35 ปี จานวน 6 คน คิดเป็ น การปฏิบัติงาน 16 - 20 ปี จานวน 1 คน คิดเป็ น
ร้อยละ 24 นอ้ ยท่ีสุดอายรุ ะหวา่ ง 41 - 45 ปี จานวน 1 คน ร้อยละ 4
คิดเป็ นร้อยละ 4 ปฏิบตั ิงานที่ปฏิบตั ิงานที่หอผูป้ ่ วย

ตารางที่ 2 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพในระยะก่อนกบั หลงั การ
นิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท จาแนกรายดา้ น

ผลการปฏบิ ตั งิ านของพยาบาลวิชาชีพ
ด้าน ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง Z p -value

ดา้ นการประสานงาน X SD X SD
ดา้ นการดูแลรักษาพยาบาล
ดา้ นการใหข้ อ้ มูล 3.15 0.28 4.52 0.48 -4.40 0.00
ดา้ นการใหก้ ารสนบั สนุน 3.14 0.20 4.33 0.43 -3.85 0.00
ผลการปฏิบตั ิงานโดยรวม 3.04 0.18 4.26 0.56 -4.38 0.00
2.97 0.28 3.55 0.26 -4.32 0.00
3.08 0.14 4.17 0.38 -4.37 0.00

จากตารางที่ 2 พบว่า เม่ือเปรียบเทียบผล มาตรฐานเท่ากับ 0.14 และผลการปฏิบัติงานของ
การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพโดยรวมในระยะ พยาบาลวิชาชีพโดยรวมหลงั การนิเทศตามโมเดล
ก่ อ น กับ ห ลัง ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล ก า ร โ ค้ช แ บ บ การโค้ชแบบสมาร์ทมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.17
สมาร์ท พบวา่ ผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.38 เมื่อเปรียบเทียบ
โดยรวมหลังมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบ ผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพรายดา้ น พบวา่
สมาร์ทสูงกว่าก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ช ดา้ นที่มีคะแนนเฉล่ียเพ่ิมข้ึนสูงสุด 3 อนั ดบั แรก เรียง
แ บ บ ส ม า ร์ ท อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ ที่ ร ะ ดั บ ตามลาดบั คือ ดา้ นการประสานงาน ก่อนมีการนิเทศ
p< 0.05 โดยผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ ตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท คะแนนเฉล่ียเท่ากบั
โ ด ย ร ว ม ก่ อ น ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล ก า ร โ ค้ช แ บ บ 3.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.28 หลงั มีการ
สมาร์ทมีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 3.08 ส่วนเบ่ียงเบน นิเทศตามโมเดล การโคช้ แบบสมาร์ทคะแนนเฉลี่ย

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  83

เท่ากับ 4.52 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.48 การโค้ชแบบสมาร์ทคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.26
ด้า น ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า ก่ อ น มี ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 และด้านท่ีมี
การโค้ชแบบสมาร์ทคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.14 คะแนนเฉล่ียต่าสุด คือ ด้านการให้การสนับสนุน
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.20 หลงั มีการนิเทศ ก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ท
ตามโมเดล การโคช้ แบบสมาร์ทคะแนนเฉล่ียเท่ากบั คะแนนเฉล่ียเท่ากับ 2.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
4.33 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.43 ดา้ นการให้ เท่ากบั 0.28 หลงั มีการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบ
ข้อมูล ก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบ สมาร์ทคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 3.55 ส่วนเบ่ียงเบน
สมาร์ทคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.04 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากบั 0.26
มาตรฐานเท่ากับ 0.18 หลงั มีการนิเทศตามโมเดล

ตารางท่ี 3 เปรียบเทียบผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพในระยะก่อนกบั หลงั การนิเทศตามโมเดลการโคช้

แบบสมาร์ท ดว้ ยสถิติ wilcoxon signed rank test

ผลการปฏบิ ตั ิงานของพยาบาล mean sum of Wilcoxon signed rank test

วิชาชีพ rank rank Z Asmp.sig

(2-tails.)

หลงั >ก่อนไดร้ ับการนิเทศตามโมเดล 13.00 325.00 -4.372 .000*

การโคช้ แบบสมาร์ท

(positive ranks)

ก่อน>หลงั ไดร้ ับการนิเทศตามโมเดล 0.00 0.00

การโคช้ แบบสมาร์ท

(negative ranks)

*มีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05

จากตารางที่ 3 พบว่า กลุ่มตวั อย่างพยาบาล สมาร์ทสูงกว่าก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ช
วิชาชีพจานวน 25 คน มีค่าเฉล่ียของลาดบั ท่ีผลตา่ งท่ี แบบสมาร์ทอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั p<0.05
มีเป็นลบเทา่ กบั 0 (sum of rank = 0.00) และมีค่าเฉล่ีย
ของลาดบั ท่ีผลต่างที่มีเป็นบวกเท่ากบั 13.00 (sum of วจิ ารณ์
rank = 325) เมื่อเปรี ยบเทียบความแตกต่างของ
คะแนนเฉล่ียผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ การวิจยั คร้ังน้ี เป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้งั ไว้
ในระยะก่อนกบั หลงั การนิเทศตามโมเดลการโค้ช คือ ผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพหลังมี
แบบสมาร์ ทด้วยสถิติ wilcoxon signed rank test การนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ทสูงกว่า
พบว่า หลังมีการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบ ก่อนมีการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทอย่าง
มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p <0.05) อธิบายไดว้ ่า พยาบาล

84  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

วิชาชีพผูไ้ ด้รับการนิเทศตามโมเดลการโค้ชแบบ ในองค์การกับความสามารถในการปฏิบตั ิงานของ
สมาร์ท พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเจา้ พระยาอภัยภูเบศร์
พบว่า คะแนนความสามารถในการปฏิบตั ิงานของ
มีความสามารถในการกาหนดเป้าหมายที่ พยาบาลวิชาชี พอยู่ในระดับมาก และพบว่า
เป็ นไปได้และสามารถวดั ผลได้ความสามารถใน การนิเทศของหัวหน้าหอผู้ป่ วยมีความสัมพันธ์
การมีส่วนร่ วมและพร้อมรับการเปล่ียนแปลง ทางบวกกับความสามารถในการปฏิบัติงานของ
ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจภายในอย่างมี พยาบาลวิชาชีพ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (r = 0.444,
ทิศทางและเป้าหมายความสามารถในความมุ่งมน่ั ใน p= 0.01) นอกจากน้้ียังพบว่า บรรยากาศองค์การ
การดาเนินการความสามารถในการกระตุน้ พลงั ใน และการนิเทศของหัวหนา้ หอผปู้ ่ วย สามารถร่วมกนั
ตนเองความสามารถในการคาดการณ์ วางแผน ทานายความสามารถในการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
ความสามารถในการติดตามผลลพั ธ์เพ่ิมข้ึนเป็ นไป วิชาชีพโรงพยาบาลเจา้ พระยาอภยั ภูเบศร์ไดร้ ้อยละ
ตามท่ีมวั ร์และโมแลนกล่าวไว้ 13 ซ่ึงสอดคลอ้ งกับ 23.30 (r2 = 0.233)15
การศึกษาผลของการนิเทศตามโมเดลการโคช้ แบบ
โกรว์ของผู้บริ หารการพยาบาลระดับต้นต่อ ผลการวิจัยพบว่า ผลการปฏิบัติงานของ
ความสามารถในการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ พยาบาลวิชาชีพในระยะหลงั การนิเทศตามโมเดล
พบว่า ความสามารถในการปฏิบตั ิงานของพยาบาล การโคช้ แบบสมาร์ทดา้ นการประสานงานการดูแล
วิชาชีพภายหลงั ไดร้ ับการนิเทศตามโมเดลการโคช้ อยู่ในระดบั มากท่ีสุดและสูงกว่าก่อนการนิเทศตาม
แบบโกรวส์ ูงกว่าก่อนมีการใชก้ ารนิเทศตามโมเดล โมเดลการโคช้ แบบสมาร์ทอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ
ก า ร โ ค้ช แ บ บ โ ก ร ว์ อ ย่ า ง มี นั ย ส า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ (p <0.05) สอดคล้องกับการศึกษาผลของการใช้
(p = 0.05)14 และผลการพัฒนารู ปแบบการโค้ช โปรแกรม การนิเทศการพยาบาลแบบมีส่วนร่วมของ
เพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานด้าน หัวหน้าหอผูป้ ่ วยต่อผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
การบริ การสุ ขภาพ พบว่า ความสามารถใน วิชาชีพในสถาบันมะเร็ งแห่ งชาติ พบว่า ผล
การปฏิบตั ิงานดา้ นการบริการสุขภาพก่อนและหลงั การปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในระยะหลัง
การทดลองแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั 6 เช่นเดียวกบั การทดลองด้านการติดต่อ สื่อสารและการสร้าง
การศึกษารูปแบบการพฒั นาทกั ษะการโคช้ ของผูน้ า สัมพนั ธภาพอยู่ในระดบั มากท่ีสุดและสูงกว่าก่อน
ทางการพยาบาล พบว่า รูปแบบการพฒั นาทักษะ การทดลองอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p = 0.011)16
การโค้ชของผู้นาทางการพยาบาลส่ งผล กับ
การเปล่ี ย นแปล งพฤ ติ กร รม แล ะ พัฒน าผ ล ผลการวิจัยพบว่า ผลการปฏิบัติงานของ
ก า ร ป ฏิ บัติ ง า น ข อ ง พ ย า บ า ล ร ว ม ถึ ง ท า ใ ห้ พยาบาลวิชาชีพในระยะหลังการนิเทศตามโมเดล
สมั พนั ธภาพระหวา่ งทีมการพยาบาลขณะปฏิบตั ิงาน การโคช้ แบบสมาร์ทดา้ นการดูแลรักษาพยาบาลอยู่
ดีข้ึน10 และสอดคล้องกับผลศึกษาความสัมพันธ์ ในระดบั มากและสูงกว่าก่อนการนิเทศตามโมเดล
ระหว่างการนิเทศของหัวหนา้ หอผูป้ ่ วย บรรยากาศ ก า ร โ ค้ช แ บ บ ส ม า ร์ ท อ ย่ า ง มี นั ย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ
(p <0.05) สอดคลอ้ งกบั การศึกษาผลของการโคช้ ตอ่

ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  85

ความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลในการป้องกนั ไขสันหลงั ที่ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะพบว่า
การติดเช้ือระบบทางเดินปัสสาวะในผูส้ ูงอายุใน ความสามารถของผูด้ ูแลในการดูแลผูป้ ่ วยบาดเจ็บ
สถานดูแลระยะยาว พบวา่ ภายหลงั การโคช้ พยาบาล ไขสันหลังท่ีได้รับการคาสายสวนปัสสาวะหลัง
มี สั ด ส่ ว น ก าร ป ฏิ บัติ ท่ี ถู ก ต้อ ง ใ น ก า ร ป้ อ ง กันก า ร ไดร้ ับการสอนแนะสูงกว่าก่อนได้รับการสอนแนะ
ติดเช้ื อระบบทางเดินปั สสาวะท่ีสัมพันธ์กับ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p <0.05)20
การคาสายสวนปัสสาวะหลงั การโคช้ มากกว่าก่อน
การโค้ชอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ( p <0.05)17 ผลการวิจัยพบว่า ผลการปฏิบัติงานของ
เช่นเดียวกบั การศึกษาผลของการโคช้ ต่อการปฏิบตั ิ พยาบาลวิชาชีพในระยะหลงั การนิเทศตามโมเดล
ของพยาบาลในการจดั ทา่ นอนทารกเกิดก่อนกาหนด การโคช้ แบบสมาร์ทดา้ นการให้ขอ้ มูลอยู่ในระดับ
ท่ีใส่ทอ่ หลอดลมคอ พบวา่ ภายหลงั การโคช้ พยาบาล มากและสูงกว่าก่อนการนิเทศตามโมเดลการโคช้
มีสดั ส่วนการปฏิบตั ิท่ีถกู ตอ้ งในการจดั ท่านอนทารก แบบสมาร์ทอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p <0.05)
เกิดก่อนกาหนดที่ใส่ท่อหลอดลมคอมากกว่าก่อน สอดคล้องกับการศึกษาการศึกษาผลของการใช้
ไดร้ ับการโคช้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p = 0.001)18 โปรแกรมการนิเทศการพยาบาลแบบมีส่วนร่วมของ
และผลการศึกษาการพฒั นาระบบการสอนงานของ หัวหนา้ หอผูป้ ่ วยต่อผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งหน่ึง วิชาชีพในสถาบนั มะเร็งแห่งชาติ พบว่า ภายหลงั
สังกัดกรมการแพทยก์ ระทรวงสาธารณสุข พบว่า การนิเทศผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพดา้ น
ประสิทธิภาพการทางานของผูป้ ฏิบตั ิงานพยาบาล การสอนผปู้ ่ วยและญาติสูงกวา่ ก่อนมีการนิเทศอย่าง
ใหม่หลงั จากท่ีเขา้ ร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเขา้ ร่วม มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p = 0.026)16
โปรแกรมท้ัง 4 กิจกรรม ได้แก่ การรับใหม่ผูป้ ่ วย
การประเมินผูป้ ่ วยทางระบบประสาท การให้สารน้า จากผลการวจิ ยั ในคร้ังน้ี พบวา่ ผลการปฏิบตั ิงาน
และยาทางหลอดเลือดดา และการพยาบาลผูป้ ่ วยท่ี ข อ ง พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ ห ลัง มี ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล
ได้รับการเจาะน้ าไขสันหลังอย่างมีนัยสาคัญ การโค้ชแบบสมาร์ทสูงกว่าก่อนมีการนิเทศตาม
ทางสถิติ (p = 0.05)19 และการศึกษาผลของการใช้ โมเดลการโค้ชแบบสมาร์ท อย่างมีนัยสาคัญทาง
โปรแกรมการนิเทศการพยาบาลแบบมีส่วนร่วมของ สถิติ (p <0.05) และเม่ือทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมา
หัวหน้าหอผูป้ ่ วยต่อผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาล ยงั ไม่พบการศึกษาผลของการนิเทศโดยใช้โมเดล
วิชาชีพในสถาบนั มะเร็งแห่งชาติ พบว่า ภายหลัง การโค้ชแบบสมาร์ทของหัวหน้าหอผู้ป่ วยต่อ
การนิเทศผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพดา้ น การปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ แต่พบว่า ผล
การดูแลผปู้ ่ วยในภาวะวิกฤตสูงกว่าก่อนมีการนิเทศ ก า ร ศึ ก ษ า ส อ ด ค ล้อ ง กับ ผ ล ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.013)16 เช่นเดียวกับ การโคช้ ในรูปแบบต่าง ๆในดา้ นผลการปฏิบัติงาน
ก า ร ศึ ก ษ า ผ ล ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม ก า ร ส อ น แ น ะ ต่ อ ดงั น้นั ภายหลงั การดาเนินตามการนิเทศตามโมเดล
ความสามารถของผูด้ ูแลในการดูแลผูป้ ่ วยบาดเจ็บ การโคช้ แบบสมาร์ทในระยะเวลา 1 เดือน ผูบ้ ริหาร
ทางการพยาบาล หัวหน้าหอผู้ป่ วยและพยาบาล
วิ ช า ชี พ ไ ด้ ร่ ว ม แ ส ด ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ มี

86  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

ขอ้ เสนอแนะให้ผูว้ ิจยั นาไปพฒั นาระบบการนิเทศ โดยใช้โมเดลการโคช้ แบบสมาร์ท โดยมีการประเมินผล
ตามโมเดลการโค้ชแบบสมาร์ทต่อไปเพื่อให้เกิด ซ้าเป็นระยะ ๆ ทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี
ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ค ร อ บ ค ลุ ม พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ
ทกุ ระดบั ทุกหน่วยงานและมีประโยชน์ในการนาไปใช้ 2.3 ควรศึกษาความพึงพอใจของผูน้ ิเทศ
ไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง และผรู้ ับการนิเทศโดยใชโ้ มเดลการโคช้ แบบสมาร์ท

ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัย กติ ติกรรมประกาศ

1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ฉ บับ น้ี ส า เ ร็ จ ลุ ล่ ว ง ไ ด้ด้ว ย
1.1 ผูบ้ ริหารทางการพยาบาลระดับสูง ความกรุ ณาอย่างสูงสุดจาก รองศาสตราจารย์
ส ม พัน ธ์ หิ ญ ชี ร ะ นัน ท น์ อ า จ า ร ย์ท่ี ป รึ ก ษ า
นาผลการวิจยั ไปใช้ในการกาหนดนโยบาย พฒั นา วิทยานิพนธ์หลกั และอาจารย์ ดร.ปราณี มีหาญพงษ์
ร ะ บ บ ก า ร นิ เ ท ศ ต า ม โ ม เ ด ล ก า ร โ ค้ช แ บ บ ส ม า ร์ ท อาจารยท์ ่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม ผูช้ ่วยศาสตราจารย์
ใหก้ บั พยาบาลวชิ าชีพอยา่ งทวั่ ถึง ดร.สุวิณี วิวัฒน์วานิช ประธานกรรมการสอบ
วิทยานิพนธ์ นางศุภจิต นาคะรัตน์ หัวหน้าพยาบาล
1.2 ผูบ้ ริหารทางการพยาบาลระดบั กลาง โรงพยาบาลราชพิพฒั น์ นางสาววิไล เจียรบรรพต
จัดทาโครงการพัฒนาความรู้การนิเทศ เพื่อให้ หั ว ห น้ า พ ย า บ า ล โ ร ง พ ย า บ า ล ห ล ว ง พ่ อ ท วี ศัก ด์ ิ
ผูบ้ ริหารทางการพยาบาลระดับต้น และพยาบาล ชุตินฺธโร อุทิศ นางนิตยา ฉันทกิจ พยาบาลวิชาชีพ
วิชาชีพระดับปฏิบัติการเข้าใจการนิ เทศทาง ช า น า ญ ก า ร เ ล ข า นุ ก า ร ศู นย์พัฒ น าคุณภาพ
การพยาบาล และนาไปใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม โรงพยาบาลตากสิน ดร. สุมลา พรหมมา พยาบาล
วิชาชีพชานาญการ โรงพยาบาลบางปะกง นายแพทย์
1.3 ผูบ้ ริหารทางการพยาบาลระดบั ตน้ ภูริทตั แสงทองพานิชกุล หัวหน้าฝ่ ายวิชาการและ
นาโมเดลการนิเทศแบบสมาร์ทไปใช้เป็ นแบบอย่าง แผนงาน ผทู้ รงคุณวุฒิและผอู้ านวยการโรงพยาบาล
การนิเทศในการปฏิบตั ิงานการพยาบาลในสาขาอ่ืน ๆ ราชพิพฒั นท์ ี่อานวยความสะดวกในการศึกษา
ต่อไป

2. ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังต่อไป
2.1 ควรศึกษาเปรี ยบเทียบผลของ

การนิเทศโดยใชโ้ มเดลการโคช้ แบบสมาร์ทโดยแยก
กลุ่มตัวอย่างเป็ นสองกลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมและ
ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง แ ล ะ ผู้วิ จัย ค ว ร ใ ช้ วิ ธี ก า ร สั ง เ ก ต ใ น
การประเมินผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
แทนการประเมินตนเองของพยาบาลวชิ าชีพ

2.2 ควรศึกษาการคงอยู่ของผลการ
ปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพหลงั ไดร้ ับการนิเทศ

ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564  87

เอกสารอ้างองิ 6. จุฬารัตน์ หา้ วหาญ, อรชร อินทองปาน. การวิจยั
แ ล ะ พัฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร โ ค้ช เ พ่ื อ พัฒ น า
1. นพดล เพิ่มสมบูรณ์. ปัจจยั ด้านการสอนงาน ความสามารถในการปฏิบตั ิงานดา้ นการบริการ
แ ล ะ ก า ร รั บ รู้ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ต น เ อ ง ท่ี มี สุขภาพ. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
อิทธิพลต่อผลการปฏิบตั ิงานของพนกั งานขาย 2558; 25: 125-8.
รถยนต์ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนล่าง
[วิทยานิพนธ์ปริญญาการจดั การมหาบณั ฑิต]. 7. Bhimani. H. Coaching and mentoring
นครราชสีมา: มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีสุรนารี; framework for nursing leadership development
2552. [Internet]. 2015 [cited 2019 May 25]; Available
from: https://rnao.ca/bpg/get-involved/acpf/
2. Francesco M, Francosis C, Gabriele G, Amelie executive-summaries/hamida-bhimani.
B. Enhancing nurses’ empowerment: The role
of supervisors’ empowering management 8. Anthony MG, Linley C, Geraldine B.
practices. J ADV NURS 2015; 71: 2129-41. Executive coaching enhances goal attainment,
resilience and workplace well-being: a
3. ผ่องพรรณ ธนา, กนกรัตน์ แสงอาไพ, สุทธิศรี randomised controlled study. J Posit Psychol
ตระกูลสิทธิโชค. ผลของการนิเทศทางคลินิก 2009; 4: 396 -407.
ต่อการใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแล
ผปู้ ่ วยเบาหวานและความพงึ พอใจของพยาบาล. 9. Passmore J. An integrative model for executive
วารสารการพยาบาล และการดูแลสุขภาพ 2560; coaching. Consulting Psychology Journal:
35: 53-61. Practice and Research 2007; 59: 68-78.

4. สุพศิ กิตติรัชดา, วารี วณิชปัญจพล. การบริหาร 10. สุมลา พรหมมา. รูปแบบการพัฒนาทักษะ
การพยาบาลสู่คุณภาพการนิเทศการพยาบาล. การโคช้ ของผนู้ าทางการพยาบาล [วทิ ยานิพนธ์
กรุงเทพฯ: สามเจริญพาณิชย;์ 2552. ปริ ญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต]. ฉะเชิงเทรา:
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราชนครินทร์; 2559.
5. วรนุช วงค์เจริ ญ, เพชรน้อย สิ งห์ช่างชัย,
จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง, ปราณี มีหาญพงษ์. 11. Margaret M, Bob TM, Erika J. Coaching
โมเดลสมการโครงสร้างของภาวะผูน้ าของ psychology manual. 2nded. China: Wellcoaches
หัวหน้าหอผูป้ ่ วยใน ตามการรับรู้ของพยาบาล Corporation; 2010.
วิ ช า ชี พ แ ล ะ ค ว า ม ผู ก พัน ใ น ง า น กับ ผ ล
ก า ร ป ฏิ บัติ ง า น ข อ ง พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พใน 12. Grant MA. An integrated model of goal-focused
โรงพยาบาลชุมชน. วารสารทหารบก 2561; 19: coaching: an evidence-based framework for
97-106. teaching and practice. International Coaching
Psychology Review 2012; 7: 146-65.

88  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

13. Greenslade JH, Jimmieson NL. Distinguishing 17. อิฏฐาพร คากุ, นงเยาว์ เกษตรภิบาล, จิตตาภรณ์
between task and contextual performance for จิตรี เช้ือ. ผลของการโค้ชต่อความรู้และ
nurses : development of a job performance การปฏิ บัติ ของ พย า บาล ใ นก า รป้ อ ง กัน
scale. J ADV NURS 2011; 58: 602-11. การติดเช้ือระบบทางเดินปัสสาวะในผูส้ ูงอายุ
ในสถานดูแลระยะยาว. พยาบาลสาร 2561; 44:
14. รุ่งอรุณ บุตรศรี. ผลของการนิเทศตามโมเดล 1-10.
การโค้ชแบบโกรว์ของผูบ้ ริหารการพยาบาล
ระดับต้นต่อความสามารถในการปฏิบัติงาน 18. ธิติมา แปงสุข, มาลี เอ้ืออานวย, จุฑามาศ
ของพยาบาลวิชาชีพ. วารสารมหาวิทยาลัย โชติบาง. ผลของการโค้ชต่อการปฏิบัติของ
คริสเตียน 2563; 26: 84-96. พ ย า บ า ล ใ น ก า ร จัด ท่ า น อ น ท า ร ก เ กิ ด ก่ อ น
กาหนดที่ใส่ท่อหลอดลมคอ. พยาบาลสาร
15. บุษบา หน่ายคอน, อุไรวรรณ กะจะชาติ. 2560; 44: 1-8.
ความสัมพันธ์ระหว่างการนิเทศของหัวหน้า
ห อ ผู้ป่ ว ย บ ร ร ย า ก า ศ ใ น อ ง ค์ ก า ร กั บ 19. ยุพิน เรืองพิสิฐ. การพฒั นาระบบการสอนงาน
ความสามารถในการปฏิบัติงานของพยาบาล ของพยาบาลวิชาชีพ ในโรงพยาบาลเฉพาะทาง
วิชาชีพ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์. แห่งหน่ึง สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวง
วารสารกองการพยาบาล 2553; 37: 28-38. สาธารณสุข [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตร
มหาบณั ฑิต]. นครปฐม: มหาวิทยาลยั คริสเตียน;
16. เบ็ญจพร ไพบูลยพ์ ลายอ้ ย. ผลของโปรแกรม 2558.
ก า รนิ เ ท ศ ก า รพ ย า บ า ล แ บ บ มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง
หวั หนา้ หอผปู้ ่ วยตอ่ การปฏิบตั ิงานของพยาบาล 20. แสงรุ้ง รักอย,ู่ อรพรรณ ลือบุญธวชั ชยั , รุ้งระวี
วิชาชีพในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหน่ึง นาวีเจริญ. ผลของโปรแกรมการสอนแนะต่อ
สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ความสามารถของผดู้ ูแลในการดูแลผปู้ ่ วยบาดเจ็บ
[วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต]. ไขสันหลังที่ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะ.
นครปฐม: มหาวิทยาลยั คริสเตียน; 2558. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก 2558;
26: 44-56.

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  89

บทความวจิ ยั
Research Article

ผลของโปรแกรมการดูแลแบบเอื้ออาทรต่ อความวิตกกังวลและ
ความร่วมมือของผู้ป่ วยในการตรวจสวนหัวใจ

อัณศยา โพธพิ นั ธ์* ทพิ า ต่อสกุลแก้ว ปร.ด.** ศากลุ ช่างไม้ ปร.ด ***
*นกั ศึกษาหลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาการพยาบาลผใู้ หญ)่ มหาวิทยาลยั คริสเตียน
**อาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธห์ ลกั คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน
***อาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธร์ ่วม คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั คริสเตียน

บทคดั ย่อ วนั รับบทความ: 21 มิถุนายน 2564
วนั แกไ้ ขบทความ: 30 พฤศจิกายน 2564
วนั ตอบรับบทความ: 2 ธนั วาคม 2564

วัตถุประสงค์: เพ่ือศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลแบบเอ้ืออาทรต่อความวิตกกงั วลและความร่วมมือของผปู้ ่ วย
ในการตรวจสวนหวั ใจ

วิธีดาเนินการวิจัย: การวิจยั คร้ังน้ี เป็นการวิจยั ก่ึงทดลองแบบสองกลุ่มวดั ก่อนและหลงั การทดลองกล่มุ ตวั อยา่ ง
ไดแ้ ก่ ผปู้ ่ วยที่เขา้ รับการตรวจสวนหวั ใจแบบนดั ล่วงหนา้ ในโรงพยาบาลนครปฐม จานวน 66 ราย แบ่งเป็นกลุ่ม
ควบคุม 33 ราย และกลุ่มทดลอง 33 ราย โดยคดั เลือกแบบสะดวกตามเกณฑ์ท่ีกาหนด กลุ่มทดลองได้รับ
โปรแกรมการดูแลแบบเอ้ืออาทร กลุ่มควบคุมไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บรวมรวม
ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แบบบนั ทึกขอ้ มูลส่วนบุคคล แบบประเมินความวิตกกงั วล และแบบประเมินความร่วมมือ มีค่า
สมั ประสิทธ์ิอลั ฟาของครอนบาคเท่ากบั 0.72 และ 0.76 ตามลาดบั เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่ โปรแกรม
การดูแลแบบเอ้ืออาทรในผูป้ ่ วยที่รับการตรวจสวนหัวใจ วิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยสถิติเชิงพรรณาสถิติ repeated
measures ANOVA สถิติ chi-square และสถิติ independent t- test

ผลการวิจัย: พบวา่ ภายหลงั ไดร้ ับโปรแกรมในระยะก่อนการตรวจสวนหัวใจและขณะรอการตรวจสวนหัวใจ
กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล่ียความวิตกกงั วลนอ้ ยกว่ากลุ่มควบคุมอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (F1,64 = 8.42, p <0.05)
และคะแนนเฉลี่ยความร่วมมือในการตรวจสวนหัวใจของกลุ่มทดลองมากกวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
สถิติ (t= -8.60, p <0.05)

สรุป: พยาบาลสามารถนาโปรแกรมการดูแลแบบเอ้ืออาทรน้ีไปใช้เพ่ิมเติมจากการพยาบาลตามปกติเพื่อเพ่ิม
คุณภาพในการพยาบาลผปู้ ่ วยโรคหลอดเลือดหวั ใจท่ีเขา้ รับการตรวจสวนหวั ใจ

คาสาคัญ: การดูแลแบบเอ้ืออาทร ความวติ กกงั วล ความร่วมมือ การตรวจสวนหวั ใจ

90  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

บทความวิจัย
Research Article

The effects of caring generosity program on anxiety and patient
cooperation in coronary angiography

Unsaya Photipun* Tipa Toskulkao PhD** Sakul Changmai PhD***
*Student in master of nursing science, faculty of nursing, Christian University
**Assistant professor, Major advisor, Faculty of Nursing, Christian University
***Assistant professor, coadvisor, faculty of nursing, Christian University

Abstract Received: June 21, 2021
Revised: November 30, 2021
Accepted: December 2, 2021

Objectives: The purpose of the study was to examine the effects of a caring generosity program on anxiety and

patient cooperation in coronary angiography.

Materials and Methods: This study was a quasi-experimental research with a two-group pretest-posttest
design. The sample comprised 66 patients undergoing elective coronary angiography at Nakhonpathom hospital
and were conveniently selected according to the specific criteria. They were assigned into the experimental
group and the control group and each group consisted of 33 participants. The experimental group received the
caring generosity program, and the control group received the usual nursing care. Data were collected using
questionnaires for demographic data, anxiety and cooperation. The Cronbach’s alpha coefficient of the anxiety
and cooperation questionnaires were 0.72 and 0.76, respectively. The data were analyzed using descriptive
statistics, repeated measures ANOVA, chi-square and independent t- test.

Results: The result revealed that after receiving the program, the experimental group had significantly lower

mean scores in anxiety than those in the control group at the time before and during waiting for coronary
angiography (F1,64= 8.42, p <0.05). The experimental group had significantly higher mean score of cooperation
in coronary angiography than that in the control group (t= -8.60, p <0.05).

Conclusions: The research findings of this study indicated that the caring generosity program could be applied
to decrease anxiety and increase patient cooperation. Hence, nurses should add this program to the usual nursing
care in order to promote better quality of nursing care for the patients undergoing elective coronary angiography.

Keywords: caring generosity program, anxiety, cooperation, coronary angiography

 ปีท่ี 17 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2564  91

บทนา ความยากในการตรวจ หรืออาจเกิดภาวะแทรกซอ้ นได้
ซ่ึงความร่วมมือน้ันเป็ นส่ิงสาคญั ที่ทาให้การรักษา
โรคหัวใจ เป็ นภัยเงียบท่ีคุกคามสุขภาพ ประสบผลสาเร็จ6
ความเป็ นอยู่ของประชากรในปัจจุบนั จากรายงาน
ขององคก์ ารอนามยั โลก (WHO) ปี ค.ศ. 2020 พบวา่ จากการทบทวนวรรณกรรมพบวา่ มีงานวิจยั
กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็ นสาเหตุของ หลากหลายในการดูแลผปู้ ่ วยเพ่ือลดความวิตกกงั วล
การเสียชีวิตอนั ดบั 1 ของประชากรทว่ั โลก1 สาหรับ และทาให้ผูป้ ่ วยเกิดความร่วมมือ เช่น การให้ขอ้ มูล
ประเทศไทยจากขอ้ มูลของกรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ อย่างมีแบบแผนร่วมกบั การฟังดนตรี 7 การพยาบาล
พบว่า ในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 80 ตามแนวปฏิบัติการสวนหัวใจ 8 และการให้ข้อมูล
เ สี ย ชี วิ ต ด้ว ย กล้า มเ น้ื อ หัว ใจ ข าด เ ลื อ ด เฉี ยบพลัน เตรียมความพร้อมก่อนการตรวจสวนหวั ใจ9 เป็นตน้
ซ่ึงโรคน้ีเป็ นสาเหตุของการสูญเสียประชากรไทย นอกจากน้ียงั พบว่า ทฤษฎีการดูแลแบบเอ้ืออาทร
วยั ทางานอนั ดบั ตน้ ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของ Swanson KM10 ยงั เป็ นอีกวิธีที่สามารถช่วยลด
ของประชากร ท้งั ในระดบั บุคคล ครอบครัว สังคม ความวิตกกงั วลและทาให้ผปู้ ่ วยเกิดความร่วมมือได้
และประเทศชาติ เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจาก ซ่ึงมีการศึกษาในผปู้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมอง11 ผปู้ ่ วย
การเสียชีวิตก่อนวยั อันควร แต่หากผูป้ ่ วยได้รับ ท่ีได้รับการยุติการต้ังครรภ์12 และผู้ป่ วยท่ีได้รับ
การตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีจะทาให้ การผา่ ตดั กระดูกสันหลงั ระดบั เอว13
อตั ราการรอดชีวิตเพมิ่ ข้นึ 2
การดูแลแบบเอ้ืออาทรเป็ นการผสมผสาน
ในปัจจุบนั การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจและ ระหว่างการปฏิบตั ิการพยาบาลกบั การดูแลเอาใจใส่
หลอดเลือดท่ีเป็ นวิธีมาตรฐาน คือ การตรวจสวน ความรู้สึกที่ดี สามารถตอบสนองความตอ้ งการของ
หัวใจดว้ ยการฉีดสารทึบรังสี (coronary angiography) ผูป้ ่ วยไดค้ รบถว้ นแบบองค์รวม ท้งั ทางดา้ นร่างกาย
ซ่ึงหมายถึง การวินิจฉัยโรคทางหัวใจ โดยการใส่ จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ซ่ึงสามารถพฒั นาให้
ส า ย ส ว น ขน า ด เ ล็กเ ข้าไ ปใ นห้อง หัวใ จ ผ่า น รู เข็ม เกิดความไวว้ างใจ การใหค้ วามร่วมมือ ความนบั ถือ
ขนาดเล็กเพื่อตรวจลักษณะของหลอดเลือดโดย และความเห็นอกเห็นใจ แต่จากการศึกษายงั ไม่พบ
การฉีดสารทึบรังสี3 แมว้ า่ การตรวจสวนหวั ใจจะเป็น นามาใชใ้ นการดูแลผปู้ ่ วยที่เขา้ รับการตรวจสวนหวั ใจ
วิธีมาตรฐานและทันสมัย แต่ยังพบว่า ข้ันตอน
การตรวจทาให้ผูป้ ่ วยเกิดความกลวั และวิตกกงั วล ดงั น้นั ผวู้ ิจยั จึงมีความสนใจประยกุ ตก์ ารดูแล
ไดถ้ ึงร้อยละ 824 ผปู้ ่ วยมกั มีความวิตกกงั วลขณะเผชิญ แบบเอ้ืออาทรมาใช้ในผู้ป่ วยที่เข้ารับการตรวจ
(state anxiety) สูงกวา่ ระยะหลงั การตรวจสวนหัวใจ5 สวนหัวใจ เพื่อลดความวิตกกงั วลและให้ผูป้ ่ วยเกิด
ร ะ ดับ ค ว า ม วิ ต ก กัง ว ล ท่ี สู ง ข้ึ น ข ณ ะ ท่ี เ ผ ชิ ญ กั บ ความร่วมมือ โดยใช้กรอบแนวคิดของ Swanson
การตรวจสวนหวั ใจจะส่งผลต่อระบบสรีรวิทยาของ KM10 ซ่ึงประกอบไปด้วยกิจกรรมหลัก 5 ด้าน คือ
ร่างกาย ไดแ้ ก่ ทาให้อตั ราการเตน้ ของหัวใจเร็วข้ึน 1) การรู้จกั ในฐานะบุคคลหน่ึง (knowing) 2) การเฝ้า
ความดันโลหิตสูงข้ึน ขาดสมาธิ กระสับกระส่าย ดูแลอยู่เสมอ (being with) 3) การช่วยเหลือทา
หงุดหงิด ทาให้ผูป้ ่ วยท่ีเขา้ รับการตรวจสวนหวั ใจที่ กิจกรรมต่าง ๆให้ (doing for) 4) การสนับสนุนให้
มีภาวะดังกล่าวให้ความร่วมมือลดลง การไม่ให้ ผปู้ ่ วยมีความสามารถ (enabling) และ 5) การดารงไว้
ความร่วมมือขณะตรวจ ส่งผลให้เพิ่มระยะเวลาและ ซ่ึงความเชื่อและศรัทธา (maintaining belief)

92  วารสารโรงพยาบาลเจรญิ กรุงประชารกั ษ์ 

วตั ถุประสงค์การวจิ ัย เอ้ืออาทรจะช่วยให้ผู้ป่ วยได้รับการดูแลแบบ
องค์รวม ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ทาให้
1. เพ่ือเปรี ยบเทียบความวิตกกังวลของ การฟ้ื นหายจากโรคเร็วข้ึน ระยะเวลารักษาลดลง
ผปู้ ่ วยในการตรวจสวนหวั ใจระหวา่ งกล่มุ ควบคุมกบั ผปู้ ่ วยรู้สึกกลวั วิตกกงั วลและเครียดลดลง Swanson
กลมุ่ ทดลอง KM10 ไดน้ าแนวคิดการดูแลแบบเอ้ืออาทรต่อมนุษย์
ของวัตสัน ซ่ึงเป็ นแนวคิดทฤษฎีระดับกลางมา
2. เพื่อเปรียบเทียบความร่วมมือของผูป้ ่ วย พัฒนาเพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติ โดยจาแนกได้เป็ น
ในการตรวจสวนหัวใจระหว่างกลุ่มควบคุมกบั กลุ่ม กิจกรรมการดูแลแบบเอ้ืออาทรท่ีประกอบด้วย
ทดลอง 5 ดา้ น คือ 1) การรู้จกั ในฐานะบุคคลหน่ึง (knowing)
2) การเฝ้าดูแลอยเู่ สมอ (being with) 3) การช่วยเหลือ
สมมติฐานการวจิ ยั ทากิจกรรมต่าง ๆให้ (doing for) 4) การสนบั สนุนให้
1. คะแนนเฉล่ียความวิตกกงั วลของผปู้ ่ วยใน ผปู้ ่ วยมีความสามารถ (enabling) และ 5) การดารงไว้
การตรวจสวนหัวใจกลมุ่ ทดลองนอ้ ยกวา่ กลุม่ ควบคมุ ซ่ึงความเชื่อและศรัทธา (maintaining belief) ผูว้ ิจัย
2. คะแนนเฉลี่ยความร่วมมือในการตรวจ จึงนาทฤษฎีการพยาบาลแบบเอ้ืออาทรของ Swanson
สวนหวั ใจกลมุ่ ทดลองมากกวา่ กล่มุ ควบคุม KM10 มาใช้ในการปฏิบตั ิการพยาบาลโดยแบ่งเป็ น
ก่อนเขา้ รับการรักษาในโรงพยาบาล ก่อนการตรวจ
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั สวนหัวใจ ขณะรอการตรวจสวนหัวใจ และหลงั
การตรวจสวนหวั ใจทาให้ผปู้ ่ วยเกิดความกลวั การตรวจสวนหวั ใจ
และความวิตกกงั วล ส่งผลต่อความร่วมมือใน
การรักษา การลดความวิตกกังวล จึงเป็ นบทบาท
หน้าที่สาคัญของพยาบาลเพ่ือให้ผู้ป่ วยผ่านพ้น
การตรวจสวนหัวใจไปได้ด้วยดี ซ่ึงการดูแลแบบ

โปรแกรมการดูแลแบบเอ้อื อาทรของสแวนสัน ผปู้ ่ วยตรวจสวนหวั ใจ
1. ก่อนเขา้ รับการรักษาในโรงพยาบาล
- ความวติ กกงั วล
- สร้างสมั พนั ธภาพ (maintaining belief) - ความร่วมมือ
- ให้ความรู้เกี่ยวกบั โรค การรักษาท่ีเกี่ยวขอ้ ง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั
การปฏิบตั ิตวั การเขา้ รับการตรวจสวนหวั ใจและมอบคูม่ ือ (enabling)
- นดั หมายโทรศพั ทเ์ ยย่ี มและโทรศพั ทซ์ กั ถามเป็นระยะ (being with)
2. ก่อนการตรวจสวนหวั ใจ
- ตรวจเยี่ยมและเกบ็ ขอ้ มลู ประวตั ิต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การรักษา (knowing)
- เปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ ่ วยระบายความวิตกกงั วลและซกั ถาม (knowing)
- ทบทวนความรู้ตามคมู่ ือ และใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั สถานการณ์ที่ผปู้ ่ วยตอ้ งเผชิญ
เมื่ออยใู่ นห้องสวนหวั ใจ โดยใชว้ ดี ีทศั น์ (enabling)
3. ขณะรอการตรวจสวนหวั ใจ
- อยเู่ ป็นเพือ่ นและใหก้ าลงั ใจ (being with)
4. หลงั การตรวจสวนหวั ใจ
- ให้การช่วยเหลือทากิจกรรมตา่ ง ๆ (doing for)
- ตรวจเยย่ี มผปู้ ่ วยแนะนาการปฏิบตั ิตวั การมาตรวจตามนดั การรับประทานยา
และการสงั เกตอาการผดิ ปกติที่ควรมาพบแพทย์ (enabling)

แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ประยกุ ตจ์ ากทฤษฎีการพยาบาลแบบเอ้ืออาทรของ Swanson KM10


Click to View FlipBook Version