The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการเลี้ยงปลาและกบ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rtana, 2023-07-01 09:36:10

คู่มือการเลี้ยงปลาและกบ

คู่มือการเลี้ยงปลาและกบ

คู่มือ คู่มือนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย เรื่อง ต้นแบบนวัตกรรม การจัดการฟาร์มเลี้ยงปลาและกบพื้นถิ่น ภายใต้แผนงานวิจัย เรื่อง การพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมการจัดการเกษตร ผสมผสานตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อรองรับการจัดหลักสูตรการเรียนรู้คู่การทำ งาน ได้รับทุนอุดหนุนวิจัยและนวัตกรรมจากสำ นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ THIS PROJECT IS FUNDED BY NATIONAL RESEARCH COUNCIL OF THAILAND (NRCT) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยศรี ธาราสวัสดิ์พิพัฒน์ และคณะ การเลี้ยงปลาและกบด้วยระบบอัจฉริยะ


ก คู่มือการเลี้ยงปลาและกบด้วยระบบอัจฉริยะ รศ.ดร.ชัยศรี ธาราสวัสดิ์พิพัฒน์ และคณะ คู่มือนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง ต้นแบบนวัตกรรม การจัดการฟาร์มเลี้ยงปลาและกบพื้นถิ่น ภายใต้แผนงานวิจัยเรื่องการพัฒนาต้นแบบ นวัตกรรมการจัดการเกษตรผสมผสานตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อรองรับการจัดหลักสูตรการเรียนรู้คู่การทำงาน ได้รับทุนอุดหนุนวิจัยและนวัตกรรมจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ This project is funded by National Research Council of Thailand (NRCT)


ก คำนำ คู่มือการเลี้ยงปลานิล ปลากาดำหรือปลาเพี้ย และกบด้วยระบบ อัจฉริยะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย เรื่อง ต้นแบบนวัตกรรมการจัดการ ฟาร์มเลี้ยงปลาและกบพื้นถิ่น ภายใต้แผนงานวิจัย เรื่อง การพัฒนาต้นแบบ นวัตกรรมการจัดการเกษตรผสมผสานตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม ่เพื่อ รองรับการจัดหลักสูตรการเรียนรู้คู่การทำงาน อุดหนุนทุนวิจัยจากสำนักงาน การวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายในเล่มประกอบด้วย การวางแผนและเตรียม พื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และแหล่งน้ำที่เหมาะสม วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ การอนุบาลลูกปลา การเลี้ยง และการจับที่เหมาะสม ขั้นตอนและวิธีการ เลี้ยง การดูแล ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและการให้ อาหาร และการจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่ายและ แปรรูป ซึ่งได้จากการถอดความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์พื้นบ้าน เกษตรกร ที่ประกอบกิจการเลี้ยงปลานิล ปลากาดำหรือปลาเพี้ย และกบที่มีชื่อเสียงใน ภูมิภาคต่าง ๆ โดยทำการวิเคราะห์เนื้อหาความสอดคล้อง และประเด็น สำคัญที่เป็นปัจจัยและขั้นตอนของความสำเร็จในการเลี้ยงปลานิล และ ปลากาดำหรือปลาเพี้ย และกบเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้นำไปใช้ในการศึกษาและ ใช้เป็นคู่มือการเลี้ยงปลา และกบด้วยระบบอัจฉริยะต่อไป รศ.ดร.ชัยศรี ธาราสวัสดิ์พิพัฒน์ และคณะ


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ส่วนที่ 1 การเลี้ยงปลานิลด้วยระบบอัจฉริยะ 1 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปลานิล 2 2. การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และ แหล่งน้ำที่เหมาะสม 5 3. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล การบำรุงแหล่งน้ำ และการควบคุมปัจจัย 18 4. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและ การให้อาหาร 28 5. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่าย และแปรรูป 33 ส่วนที่ 2 การเลี้ยงปลากาดำหรือปลาเพี้ยด้วยระบบอัจฉริยะ 38 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปลากาดำ 39 2. การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และ แหล่งน้ำที่เหมาะสม 41 3. วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์การอนุบาลลูกปลา การเลี้ยง และการจับที่เหมาะสม 43


ค สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 4. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง และการดูแล 45 5. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและ การให้อาหาร 46 6. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่าย และแปรรูป 48 ส่วนที่ 3 การเลี้ยงกบด้วยระบบอัจฉริยะ 50 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกบ 51 2. การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และ แหล่งน้ำที่เหมาะสม 53 3. วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ และเพาะเลี้ยง 60 4. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล การบำรุงแหล่งน้ำ และการควบคุมปัจจัย 65 5. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและ การให้อาหาร 67 6. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่าย และแปรรูป 68 บรรณานุกรม 71


1 ส่วนที่ 1 การเลี้ยงปลานิลด้วยระบบอัจฉริยะ


2 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปลานิล ปลานิล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oreochromis niloticus (Linn.) มีริมฝีปากบนและล่างเสมอกัน บริเวณแก้มมีเกล็ด 4 แถว ลำตัวมีสีเขียวปน น้ำตาลและมีลาดพาดขวาง 9 – 10 แถบ ครีบหลัง ครีบก้นและครีบหางมีจุดขาว และเส้นสีดำตัดขวาง ครีบหลังมีอันเดียว ประกอบด้วยก้านครีบแข็ง 15 – 18 อัน และก้านครีบอ่อน 12 – 14 อัน ครีบก้น มีก้านครีบแข็ง 3 อัน และก้านครีบอ่อน 12 – 14 อัน บนแถบเส้นข้างลำตัวมีเกล็ด 33 เกล็ด และจากเส้นข้างลำตัว ลงมาถึงแนวส่วนหน้าของครีบก้น 13 เกล็ด ลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล ตรง กลางเกล็ดมีสีเข้ม ที่กระดูกแก้มมีจุดสีเข้มอยู่ 1 จุด ปลานิลมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีความอดทนและปรับตัวเข้า กับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี กินอาหารทั้งพืชและสัตว์ สามารถกินได้ทั้ง แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ซากอินทรีย์และอนินทรีย์ที่เน่าเปื่อย รวมทั้งจุลินทรีย์และพืชน้ำต่าง ๆ เป็นปลาที่กินอาหารในเวลากลางวันและ หยุดกินอาหารในเวลากลางคืน กินอาหารได้ทั้งที่ผิวน้ำ กลางน้ำ และก้นบ่อ จัดเป็นสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่าง แพร่หลายในคนไทยทั่วทุกภาค ปลานิลมีต้นกำเนิดมาจากพันธุ์ปลา Nile tilapia จำนวน 50 ตัว ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะเมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฏราชกุมาร https://www.posttoday.com/life/ /462690


3 แห่งประเทศญี่ปุ่นได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลี้ยงไว้ในบ่อที่ สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต จนแพร่ขยายพันธุ์เป็นจำนวนมาก ปลาชนิดนี้ เจริญเติบโตได้รวดเร็ว มีขนาดเฉลี่ยถึง 178.8 กรัม ในระยะเวลา 6 เดือน เป็นปลามีรสชาติดีเลี้ยงง่ายเจริญเติบโตเร็วสามารถนำไปแปรรูปได้ หลากหลาย สามารถเพาะพันธุ์ขายเป็นลูกปลาวัยอนุบาลและเลี้ยงขายเป็น ปลาเนื้อได้(ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ อุตรดิตถ์, 2565) ปัจจุบันมีการเลี้ยงปลานิลเพื่อเป็นธุรกิจในครอบครัวกันอย่าง แพร่หลายในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยวิธีและเทคนิคการเลี้ยงมี รูปแบบที่คล้ายและต่างกันตามบริบทของพื้นที่ ระดับความรู้ของเกษตรกร และเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้เพิ่มผลผลิตในการเลี้ยง โดยเกษตรกรใน บางพื้นที่มีการเลี้ยงในกระชังบก กระชังในบ่อหรือแหล่งน้ำ บ่อปูน บ่อดิน และมีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาอย่างต่อเนื่อง อาทิ สายพันธุ์ที่สามารถทนต่อ สภาวะแวดล้อม หรือเร่งผลผลิตให้ทันต่อความต้องการของตลาดผู้บริโภค ทนต่อโรคที่มาจากจากแหล่งน้ำ โดยเกษตรกรบางแห่งมีการพัฒนา เทคโนโลยีในการเลี้ยงที่สามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อ การผลิตปลาเลี้ยง อาทิ การเลือกใช้เทคโนโลยีแบบอัจฉริยะในการควบคุม ปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ การควบคุมปริมาณการให้ อาหาร และประเมินผลผลิตที่ทันต่อการความต้องการของตลาด เป็นต้น


4 ในเอกสารฉบับนี้ จะได้นำเสนอแนวทางการเพาะเลี้ยงปลาสลิดด้วย ระบบอัจฉริยะ ตลอดจนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการแปรรูป แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ ภาพที่ 1 ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงปลาสลิดด้วยระบบอัจฉริยะและการจัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการแปรรูป การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และแหล่งน้้าที่เหมาะสม วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ การอนุบาลลูกปลา การเลี้ยง และการจับที่เหมาะสม ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล การบ้ารุงแหล่งน้้า และการควบคุมปัจจัย ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุม ปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์ เพื่อการจัดจ้าหน่าย และแปรรูป ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. .. …………………………………………………………………………………… … .................................................................................................


5 2. การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และแหล่งน้ำที่เหมาะสม 2.1 ลักษณะของสถานที่เลี้ยงปลานิล การวางแผนการเลี้ยงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเกษตรกรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเตรียมพื้นที่ แหล่งน้ำ ลักษณะของสถานที่เลี้ยงอย่าง เหมาะสม โดยแยกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 2.1.1 การเลี้ยงในระยะขยายพันธุ์ปลา ในช่วงผสมพันธุ์ วางไข่ ปลานิลเพศผู้จะแยกออกจากฝูงไปสร้างรัง โดยปลาจะเลือกบริเวณ เชิงลาดหรือก้นบ่อที่มีระดับน้ำลึกระหว่าง 0.5 – 1.0 เมตร วิธีการสร้างรังนั้น ปลาจะปักหัวลงลำตัวตั้งฉากกับพื้นดิน แล้วใช้ปากพร้อมกับเคลื่อนไหวลำตัวเขี่ย ดินตะกอนออก จากนั้นจะอมดินตะกอนและงับเศษสิ่งของต่าง ๆ ออกไปทิ้งนอก รัง ทำเช่นนี้จนกว่าจะได้รังที่มีลักษณะค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 – 35 เซนติเมตร ลึกประมาณ 3 – 6 เซนติเมตร หลังจากสร้างรังเสร็จ เรียบร้อยแล้ว พ่อปลาจะหวงอาณาเขตโดยจะไล่ปลาอื่นให้ออกจากบริเวณ รังที่สร้างไว้และแสดงพฤติกรรมเกี้ยวปลาเพศเมีย เมื่อเลือกปลาเพศเมียได้ ถูกใจแล้ว จะแสดงอาการจับคู่กัน โดยใช้หางดีดและกัดกันเบา ๆ และเริ่ม การผสมพันธุ์วางไข่ โดยปลาเพศผู้ใช้บริเวณหน้าผากดุนที่ใต้ท้องปลาเพศ เมียเพื่อกระตุ้นให้วางไข่ ปลาจะวางไข่ครั้งละ 10 – 15 ฟอง ปริมาณไข่ที่วาง รวมกันแต่ละครั้งมีประมาณ 50 – 600 ฟอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลา เมื่อแม่ปลาวางไข่แต่ละครั้งพ่อปลาจะว่ายน้ำไปเหนือไข่พร้อมกับปล่อย น้ำเชื้อลงไปผสมกับไข่ จากนั้นแม่ปลาจะเก็บไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไว้ใน ปาก โดยจะทำเช่นนี้จนกว่าการผสมพันธุ์แล้วเสร็จ ใช้เวลาประมาณ 1 – 2


6 ชั่วโมง แม่ปลาจะว่ายออกจากรังและพ่อปลาจะคอยหาโอกาสเลือกปลาเพศ เมียตัวอื่นต่อไป แม่ปลานิลจะฟักไข่ในปาก โดยขยับปากให้น้ำไหลเข้าออก ในช่องปลาอยู่เสมอเพื่อช่วยให้ไข่ที่อมไว้ได้รับน้ำสะอาด ทั้งเป็นการป้องกัน ศัตรูที่จะมากินไข่ด้วย ไข่ที่ปลานิลเพศเมียอมไว้ในปากจะมีพัฒนาการขึ้น เป็นลำดับ ไข่ปลานิลจะพัฒนาเป็นลูกปลาวัยอ่อนที่อาหารยังไม่ยุบ ภายใน 8 วัน ลูกปลานิลวัยอ่อนจะเกาะรวมกันเป็นกลุ่มโดยว่ายวนเวียนอยู่ บริเวณหัวของแม่ปลา ลูกปลาจะว่ายเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องปากแม่ปลา เมื่อมีภัย เมื่อลูกปลาอายุครบ 13 - 14 วัน นับจากแม่ปลาวางไข่ ลูกปลานิล จะเริ่มกินอาหารจำพวกพืชและไรน้ำขนาดเล็ก และหลังจากมีอายุ 3 สัปดาห์ ขึ้นไป ลูกปลาจะกระจายแตกฝูงไปหากินเลี้ยงตัวเองได้โดยลำพัง สำหรับการเตรียมสถานที่ บ่อ และคุณภาพน้ำสำหรับเลี้ยง ปลาในช่วงนี้สามารถดำเนินการได้ทั้งในบ่อดิน บ่อซีเมนต์ และกระชัง พ่อแม่ พันธุ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ ควรเป็นปลาที่สมบูรณ์ ไม่มีบาดแผล ปลอดโรค และมีขนาดไล่เลี่ยกันคือมีความยาวตั้งแต่ 15 – 25 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 150 – 200 กรัม จำนวนพ่อแม่ปลาที่ปล่อยลงเพาะพันธุ์ประมาณ 1 – 5 ตัว ต่อตารางเมตร ควรปล่อยในอัตราส่วนเพศผู้ 1 ตัว ต่อเพศเมีย 2 – 5 ตัว แสดงได้ดังตารางที่ 1 ดังนี้


7 ตารางที่1 ลักษณะของการเตรียมสถานที่ และการควบคุมปัจจัยที่เหมาะสม ของช่วงปลาขยายพันธุ์ ลักษณะบ่อ ขนาดของบ่อ ปัจจัยควบคุม คุณภาพน้ำ บ่อซีเมนต์ • บ่อกลมหรือบ่อ เหลี่ยม – พื้นที่ ผิวบ่อ ประมาณ 10 ตารางเมตร • อัตราการปล่อย 1 - 5 ตัวต่อ ตารางเมตร • พ่อ-แม่พันธุ์ที่ สมบูรณ์ • ปล่อยพ่อพันธุ์ ต่อแม่พันธุ์ 1:2 • ระยะเวลา 1 สัปดาห์สังเกต ปากตัวเมีย • การเพาะพันธุ์ ประมาณ 2 เดือน • อาหาร ผสม ปลายข้าว : สาหร่าย : รำ ละเอียด 1:2:3 อัตราการให้ อาหาร 2 % โดยน้ำหนัก ปลา • ออกซิเจน มากกว่า 4 มิลลิกรัม/ลิตร • ความเป็นกรดด่าง 6.5 - 8.5 • ให้มีการไหล ของน้ำ ตลอดเวลา


8 ลักษณะบ่อ ขนาดของบ่อ ปัจจัยควบคุม คุณภาพน้ำ กระชัง ไนลอน ตาถี่ • ขนาดประมาณ 5 x 8 x 2 เมตร • อัตราการปล่อย 1 - 5 ตัวต่อ ตารางเมตร • วางกระชังใน บ่อดิน • ความสูงจาก พื้นบ่อ ประมาณ 1.0 เมตร • ควบคุมปัจจัย คล้ายบ่อ ซีเมนต์ • ออกซิเจน มากกว่า 4 มิลลิกรัม/ลิตร • ความเป็นกรดด่าง 6.5 - 8.5 • ให้มีการไหล ของน้ำ ตลอดเวลา บ่อดิน • ขนาด 50 - 1600 ตาราง เมตร • อัตราการปล่อย 1 - 5 ตัวต่อ ตารางเมตร • ควรเป็นบ่อลึก ไม่เกิน 2 เมตร • ทำการเตรียม บ่อ ผ่านการ ทำลายเชื้อ และศัตรูปลา ในบ่อด้วย โล่ติ๊น และปูน ขาว • ควบคุมปัจจัย คล้ายบ่อ ซีเมนต์ • ออกซิเจน มากกว่า 4 มิลลิกรัม/ลิตร • ความเป็นกรดด่าง 6.5 - 8.5 • ให้มีการไหล ของน้ำ ตลอดเวลา


9 2.1.2 การเลี้ยงในระยะอนุบาลลูกปลา ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ สำคัญในระดับแรก หลังจากที่ปลาได้มีการผสมพันธุ์และวางไข่ ปลานิล สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี โดยใช้ระยะเวลา 2 – 3 เดือนต่อครั้ง แต่ถ้า ได้รับอาหารเพียงพอและเหมาะสม ในระยะเวลา 1 ปี จะสามารถผสมพันธุ์ ได้ 5 – 6 ครั้ง ขนาดอายุและช่วงการสืบพันธุ์ของปลาแต่ละตัวจะแตกต่าง กันไปตามสภาพแวดล้อม และสภาพทางสรีรวิทยาของปลาเอง โดยพบว่า ปลานิลจะเริ่มมีพัฒนาการของไข่และน้ำเชื้อเมื่อมีความยาวประมาณ 6.5 เซนติเมตร การเตรียมบ่อดินและกระชังอนุบาลลูกปลา โกยเลนบริเวณก้น บ่อและตากบ่อ จากนั้นใส่ปูนขาวอัตรา 100 ถึง 150 กิโลกรัมต่อไร่ สูบน้ำ เข้าบ่อผ่านถุงกรอง และนำกระชังไปวางไว้ในบ่อกระชังสูงกว่าพื้นบ่อ ไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ทำการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เหมาะสม ก่อนนำ ลูกปลาลงอนุบาล โดยการปล่อยต้องตรวจสอบความแข็งแรงของลูกปลา และปรับอุณหภูมิตู้ปลาให้ใกล้เคียงกับน้ำ 2.1.3 การเลี้ยงช่วงจับเพื่อจำหน่าย ระยะเวลาการจับ จำหน่าย ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของปลานิลและความต้องการของตลาด โดยทั่วไปเป็นปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อรุ่นเดียวกันจะใช้เวลา 1 ปี จึงจะ จับจำหน่าย เพราะปลานิลที่ได้มีน้ำหนักประมาณ 2 - 3 ตัวต่อกิโลกรัม เป็น ขนาดของปลาที่ตลาดต้องการ ส่วนปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงหลายรุ่นในบ่อ เดียวกัน ระยะเวลาการจับจำหน่ายขึ้นอยู่กับราคาของปลาและความต้องการ ของผู้ซื้อ


10 2.2 วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ การเตรียมพ่อแม่พันธุ์ทำได้โดยการเลี้ยงจนถึง 6 เดือนแล้ว นำมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากนั้นคัดเอาไข่ออกมาฟักเป็นตัวแล้วทำ การแปลงเพศ วิธีการเอาไข่ปลามาทำการเพาะพันธุ์ปลาเป็นวิธีการที่จะทำ ในบ่อซีเมนต์ เพราะทำง่าย คนงานไม่เปียก เวลาจะเอาไข่ปลาคือเอาไข่ออก จากปากปลา วิธีการจะเอาไข่มาใส่ในถังซึ่งต้องเอาออกจากปลาปาก เมื่อรีด ไข่เสร็จแล้วจะเอามาฟักที่บ่อเดิม อีกประมาณ 7 วัน โดยสามารถเอาไข่จาก พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีก ซึ่งจะเอาไข่ทุก 7 วัน สำหรับขั้นตอนการรีดไข่ปลา เรียกว่า “การเคาะไข่ปลา” การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์สังเกตจากลักษณะภายนอกที่สมบูรณ์ ปราศจากเชื้อโรคและบาดแผลสำหรับปลาพ่อแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์เพศนั้นดูได้ จากอวัยวะเพศ ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะมีสีชมพูแดงเรื่อ ส่วนปลาเพศผู้สังเกต จากสีของตัวปลาเข้มสดใส มีความยาวลำตัว 15 - 25 เซนติเมตร น้ำหนัก 150 ถึง 200 กรัมขึ้นไป ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. .. …………………………………………………………………………………… …


11 ภาพที่ 3 วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์


12 2.3 การอนุบาลลูกปลา ไข่ปลานิลเป็นไข่ประเภทไข่จม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1.8 – 2.0 มิลลิเมตร ตัวอ่อนมีถุงไข่แดงขนาดใหญ่ ไข่จะฟักเป็น ตัวภายในเวลา 4 วัน ในน้ำอุณหภูมิ 27 – 28 องศาเซลเซียส ไข่ปลานิลจะ พัฒนาเป็นลูกปลาวัยอ่อน 5 ระยะ (แสดงดังภาพที่ 2) คือ 1) ระยะไม่มีตา (uneyed) ระยะนี้ไข่ยังคงเป็นสีเหลืองอ่อน ตลอดทั้งฟอง ยังไม่มีพัฒนาการใด ๆ 2) ระยะมีตา (eyed) ไข่ยังคงมีสีเหลือง และมีจุดดำรอบ ๆ ไข่ 3) ระยะก่อนฟักเป็นตัว (pre–hatch) เป็นระยะที่ไข่เปลี่ยนเป็นสี น้ำตาล สังเกตเห็นส่วนตาและหางชัดเจน 4) ระยะฟักเป็นตัวอ่อน (hatch fry หรือ yolk sac fry) เป็น ระยะที่ลูกปลาฟักออกเป็นตัว แต่ยังมีถุงไข่แดงติดอยู่ และเป็นช่วงที่ เกษตรกรมักจะใช้ช่วงนี้เป็นช่วงของการผลิตปลานิลแบบแปลงเพศ โดย อาศัยการให้ฮอร์โมนที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ลูกปลาที่มีเพศตามที่ต้องการ 5) ระยะตัวอ่อนว่ายน้ำ (swim–up fry) เป็นระยะที่ถุงไข่แดง ยุบและลูกปลาสามารถว่ายน้ำได้


13 ภาพที่ 2 พัฒนาการของไข่และตัวอ่อนปลานิล 5 ระยะ (กรมประมง, 2559) การฟักไข่ปลานิลโดยทำการแยกระยะไข่ระยะเดียวกันอยู่ ด้วยกัน ทำการล้างฆ่าเชื้อโรคไข่ปลาด้วยน้ำเกลือความเข้มข้นสูง จากนั้น นำไปฝากในถาดฟักในระบบน้ำหมุนเวียนเพื่อให้ไข่ปลาและลูกปลามี การเคลื่อนที่และได้รับออกซิเจนตลอดเวลา การพัฒนาไข่และตัวอ่อน แบ่งเป็น 5 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นไข่สีเหลืองอ่อน ระยะที่ 2 ระยะนี้เริ่ม เห็นตาเป็นจุด ๆ ไข่ยังคงมีสีเหลือง ระยะที่ 3 ระยะการฟักเป็นตัว สังเกต ส่วนตาและหางได้ชัดเจนไม่สามารถว่ายน้ำได้ ระยะที่ 4 เป็นระยะที่ลูกปลา ฟักเป็นตัวมีถุงไข่แดงติดอยู่ และระยะที่ 5 เป็นระยะที่ถุงไข่แดงยุบและ


14 ลูกปลาสามารถว่ายน้ำได้เมื่อสิ้นสุดที่ระยะที่ 5 แล้วให้นำลูกปลาไปอนุบาล ต่อในกระชัง การให้อาหารโดยจะเริ่มให้อาหารเมื่อถุงไข่แดงยุบ ลูกปลาอายุ 1 วันถึง 1 เดือนให้อาหารผงโปรตีนไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์อายุ 1 เดือน ขึ้นไปให้อาหารปลาชนิดเม็ดลอยน้ำวันละ 4 มื้อ เวลา 8.00 น. 10.00 น. 14.00 น 16.00 น เพศผู้จะเป็นที่นิยม เนื่องจากโตไวกว่าจึงมีการแปลงเพศ ปลานิลโดยใช้ข้อมูลสังเคราะห์ 17 Alpha methyltestosterone ผสมกับ อาหารผงโปรตีน ไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ให้กินเป็นระยะเวลา 21 วัน ในอัตราความเข้มข้น 60 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม อัตราส่วนผสม อาหารปลานิลแปลงเพศฮอร์โมน 60 มิลลิกรัม อาหารผสมชนิดโปรตีน ไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ 1 กิโลกรัม เอทิลแอลกอฮอล์ 1 ลิตร นำฮอร์โมน ละลายในเอทิลแอลกอฮอลล์ แล้วจึงนำไปเทลงในอาหารและคนให้เข้ากัน การอนุบาลลูกปลานิลแปลงเพศในกระชังขนาด 2 x 5 x 1.5 เมตร ปล่อยลูกปลาอนุบาล 15,000 ตัวถึง 20,000 ตัว ให้อาหาร 30 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักปลาในแต่ละวัน หลังจากอนุบาลครบ 21 วันจะได้ลูก ปลานิลขนาด 2 - 3 เซนติเมตรหรือที่เรียกว่า “ขนาดใบมะขาม” สามารถ จำหน่ายให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงในบ่อดินเพื่อขายเป็นปลาเนื้อต่อไป สำหรับ การเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ควรใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 0.5 ถึง 3.0 ไร่ จำนวนและขนาดลูกพันธุ์ที่ปล่อยลงบ่อจะต้องมีขนาด พอเหมาะไม่เล็กเกินไป เพราะจะมีอัตรารอดที่ต่ำ ขนาดสม่ำเสมอ ควร ตรวจสอบรอยโรคและความแข็งแรงของลูกพันธุ์ โดยสังเกตจากลักษณะ


15 ภายนอกด้วยตาเปล่า ลำตัวต้องไม่มีสีซีดผิดปกติ ตัวไม่เป็นรอยด่าง ไม่ช้ำเลือด หรือมีแผลบริเวณลำตัว เกล็ดไม่หลุด ครีบไม่หักกร่อน ไม่ว่ายน้ำ และการทรงตัวที่ผิดไปจากปกติ เช่น อาการว่ายน้ำแบบควงสว่าน หรือเซื่อง ซึม ว่ายน้ำช้าหรือไม่ค่อยว่ายน้ำเลย อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ได้ว่าลูกปลามี ความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย ภาพที่ 4 การอนุบาลลูกปลานิล


16 2.4 การเลี้ยงและการจับที่เหมาะสม ระยะเวลาการจับจำหน่ายไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของ ปลานิลและความต้องการของตลาด โดยทั่วไปปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อ รุ่นเดียวกัน จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะจับจำหน่าย เพราะปลานิลที่ได้จะ มีน้ำหนักประมาณ 2 - 3 ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดที่ต้องการส่วน ปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน ระยะเวลาการจับจ่าย จำหน่ายขึ้นอยู่กับราคาปลาและความต้องการของผู้ซื้อ การจับปลานิลทำได้ 2 วิธี ดังนี้ 2.4.1 การจับปลาแบบไม่วิดบ่อแห้ง จะใช้อวนตาห่างจับปลา เพราะจะได้ปลาที่มีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ การตีอวนจับปลากระทำโดย ผู้จับจำหน่ายและยืนเรียงแถวหน้ากระดาน โดยมีระยะห่างกันประมาณ 4.5 เมตร โดยอยู่ทางด้านหนึ่งของบ่อ จากนั้นลากอวนไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อ ตามความยาวแล้วยกอวนขึ้น หลังจากนั้นนำสวิงตักปลาใส่เข่งเพื่อชั่งขาย ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนได้ปริมาณตามที่ต้องการ ส่วนปลาเล็กคงปล่อยเลี้ยงใน บ่อต่อไป การลากอวนแต่ละครั้งจะมีปลาอื่นเป็นผลพลอยได้เสมอ เช่น ปลาดุก ปลาหลด ปลาตะเพียน ปลาช่อน เป็นต้น สำหรับการคัดขนาดของ ปลากระทำได้ 2 วิธี ถ้านำปลาไปจำหน่ายที่องค์การสะพานปลา องค์การ สะพานปลาจะจัดการคัดขนาดให้ แต่ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาจำหน่ายปลาที่ ปากบ่อ เกษตรกรจำเป็นต้องทำการคัดขนาดปลาเอง 2.4.2 การจับปลาแบบวิดบ่อแห้ง ก่อนทำการจับปลาจะต้อง สูบน้ำออกจากบ่อให้เหลือน้อยแล้วจึงตีอวนจับปลาเช่นเดียวกับวิธีแรก


17 จนกระทั่งปลาเหลือจำนวนน้อยจึงสูบน้ำออกจากบ่ออีกครั้งหนึ่งและ ขณะเดียวกันจะตีน้ำไล่ปลาให้ไปรวมกันอยู่ในร่องบ่อ โดยร่องบ่อนี้จะเป็น ส่วนที่ลึกอยู่ด้านหนึ่งของบ่อ เมื่อน้ำในบ่อแห้ง ปลาจะมารวมกันอยู่ที่ร่องบ่อ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสามารถจับปลาขึ้นจำหน่ายต่อไป การจับปลา ลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะทำทุกปีในฤดูแล้งเพื่อตากบ่อให้แห้งและเริ่มต้น เลี้ยงปลาในฤดูการผลิตต่อไป ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ …………………………………………………………………………………… ................................................................................................ ................................................................................................ .................................................................................................. ......................................................................................... ................................................................................. ................................................................................................... .....


18 3. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล การบำรุงรักษาแหล่งน้ำและควบคุม ปัจจัย 3.1 ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง แม้ว่าปลานิลจะเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย แต่ในการเพาะเลี้ยงเพื่อให้ ได้รับผลดีเป็นที่น่าพอใจจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิธีการเพาะเลี้ยง เป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1.1 บ่อ สำหรับบ่อที่ใช้เลี้ยงลูกปลานิลควรเป็นบ่อดินรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไป ระดับของน้ำในบ่อ ควรลึกประมาณ 1 เมตร ตลอดปี ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้เลี้ยงปลาซึ่งมีขนาดโต และใช้สำหรับเพาะลูกปลาพร้อมกันไปด้วย เพราะถ้าเป็นบ่อซึ่งมีขนาดเล็ก แล้ว ลูกปลาที่เกิดขึ้นใหม่จะทวีจำนวนแน่นบ่ออย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกปลา เหล่านี้มีขนาดไม่โต ปลานิลเป็นปลาที่วางไข่โดยการขุดหลุมตามก้นบ่อ ดังนั้น จึงควรมีชานบ่อหรือทำให้ตามขอบบ่อมีส่วนเชิงลาดเทมาก ๆ ซึ่งจะ เป็นแหล่งตื้น ๆ สำหรับให้แม่ปลาได้วางไข่ ถ้าบ่อนั้นอยู่ใกล้กับแม่น้ำ เช่น คู คลอง แม่น้ำ ไม่จำเป็นจะต้องวิดน้ำเข้าออก เพียงแต่ทำท่อระบายน้ำแล้ว กรุด้วยตะแกรงตาถี่เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาที่เลี้ยงไว้หลบหนีออกไปได้ และ ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูของปลาที่เลี้ยงไว้หลบหนีเข้ามาอีกด้วย แต่ถ้า บ่อนั้นไม่สามารถจะทำท่อระบายน้ำได้จำเป็นต้องสูบน้ำเข้าบ่อเมื่อเวลาน้ำ ลดลง และต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำในเวลาที่เกิดน้ำเสีย


19 3.1.2 การเตรียมบ่อ วิธีการเตรียมบ่อแตกต่างกันตามชนิดของบ่อ 2 แบบ ได้แก่ บ่อใหม่ และบ่อเก่า ดังนี้ • บ่อใหม่ หากเป็นบ่อที่ขุดใหม่ ดินมักมีคุณภาพเป็น กรด ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อ ในอัตรา 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อที่ 10 ตาราง เมตร • บ่อเก่า จำเป็นต้องปรับปรุงบ่อ โดยกำจัดวัชพืชออก ให้หมด เช่น ผักตบชวา จอก บัว และหญ้าต่าง ๆ เพราะวัชพืชเหล่านี้จะ ปกคลุมผิวน้ำเป็นอุปสรรคต่อการหมุนเวียนของอากาศ ซ้ำยังจะเป็นที่ หลบซ่อนอยู่อาศัยของศัตรูที่เป็นอันตรายต่อปลา และเป็นการจำกัดเนื้อที่ซึ่ง ปลาต้องใช้อยู่อาศัยอีกด้วย ก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยง ต้องกำจัดศัตรูของ ปลานิลให้หมดเสียก่อน ได้แก่ พวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาบู่ และปลาดุก ถ้ามีสัตว์จำพวกเต่า พบ เขียด งู ควรกำจัดให้พ้นบริเวณ บ่อนั้นด้วย วิธีกำจัดอย่างง่าย ๆ คือ การระบายน้ำออกให้แห้งบ่อแล้ว จับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึ้นให้หมด แต่ถ้าบ่อนั้นไม่อยู่ใกล้ทางน้ำ ไม่สะดวกแก่ การระบายน้ำออกควรใช้โล่ติ๊นสด ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม ต่อปริมาณน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร วิธีใช้คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด นำลงแช่น้ำสัก 1 หรือ 2 ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลาย ๆ ครั้งจนหมด แล้วนำไป สาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูดังกล่าวจะตายลอยขึ้นมาหมด แล้วเก็บออกทิ้ง อย่าปล่อย ให้เน่าอยู่ในบ่อเพราะจะทำให้น้ำเสียได้ ก่อนที่จะปล่อยปลาลงเลี้ยงควรทิ้ง บ่อนั้นไว้ประมาณ 7 - 10 วัน เพื่อรอฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมดเสียก่อน


20 3.1.3 การปล่อยปลาลงเลี้ยง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการปล่อยปลาลงเลี้ยงมี 2 ประเด็น หลัก ได้แก่ • จำนวนปลาที่ปล่อย เนื่องจากปลานิลเป็นปลาที่ ขยายพันธุ์ได้เร็ว ดังนั้น จำนวนปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงในบ่อครั้งแรกจึง ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มากนัก สำหรับบ่อขนาดเนื้อที่ 1 งาน (400 ตาราง เมตร) ควรใช้พ่อแม่ปลานิลเพียง 50 คู่ หรือถ้าเป็นลูกปลาซึ่งมีขนาดเล็กควร ปล่อยเพียง 400 ตัว หรือ 1 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร • เวลาปล่อยปลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับปล่อย ปลาควรเป็นเวลาเช้าหรือเวลาเย็น เพราะระยะเวลาดังกล่าวนี้อุณหภูมิของ น้ำไม่ร้อนเกินไป ก่อนที่จะปล่อยปลาควรเอาน้ำในบ่อใส่ปนลงไปในภาชนะที่ บรรจุปลา แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 - 3 นาที เพื่อให้ปลาคุ้นกับน้ำใหม่ เสียก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ จุ่มปากภาชนะที่บรรจุปลานิลลงบนผิวน้ำพร้อม ตะแคงภาชนะปล่อยให้ปลาแหวกว่ายออกไปอย่างช้า ๆ 3.1.4 การใส่ปุ๋ย โดยทั่วไปแล้วปลาจะกินอาหารซึ่งเกิดขึ้น โดยธรรมชาติและจากที่ให้สมทบเป็นจำนวนเกือบเท่า ๆ กัน ดังนั้น ในบ่อ เลี้ยงปลาควรดูแลให้มีอาหารธรรมชาติเกิดขึ้นอยู่เสมอ จำเป็นที่จะต้องมีการ ใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่ มูลวัว มูลควาย มูลหมู มูลเป็ดและมูลไก่ นอกจากปุ๋ยมูลสัตว์ดังกล่าวแล้ว สามารถใส่ปุ๋ยหมักและ ปุ๋ยพืชสดต่าง ๆ ได้อัตราการใส่ปุ๋ย ในระยะแรกนั้นควรใส่ประมาณ 250 - 300 กิโลกรัมต่อไร่ ในระยะหลัง ๆ ควรใส่ในอัตราครั้งละครึ่งหนึ่งของ


21 ระยะแรก วิธีการใส่ปุ๋ย ถ้าเป็นปุ๋ยคอก ควรตากให้แห้งเสียก่อน เพราะถ้า เป็นปุ๋ยที่ยังสดอยู่จะทำให้น้ำในบ่อมีแก๊สพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ำมาก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อปลา การใส่ปุ๋ยคอกควรใช้วิธีหว่านลงไปในบ่อให้ ละลายไปทั่ว ๆ อย่าโยนให้ตกอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ส่วนปุ๋ยพืชสดนั้น ควรเทสุม เป็นกองไว้ตามมุมบ่อ 1 หรือ 2 แห่ง โดยมีไม้ไผ่ปักล้อมไว้เป็นคอกรอบกอง ปุ๋ยพืชสดนั้นเพื่อป้องกันมิให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัวลอยกระจัดกระจาย 3.1.5 การให้อาหาร ปลานิลเป็นปลาที่กินอาหารได้ทุกชนิด ดังนั้น ปลาชนิดนี้จึงเป็นปลาที่ให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะพวกอาหารธรรมชาติ ที่มีอยู่ในบ่อ เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ ในบ่อ ตลอดจนสาหร่ายและแหน ถ้าต้องการให้ปลาโตเร็วควรให้อาหาร สมทบ เช่น รำ ปลายข้าว กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง กากมะพร้าว แหนเป็ด และปลาป่น เป็นต้น การให้อาหารแต่ละครั้งไม่ควรให้ปริมาณมากจนเกินไป ควรกะให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของปลาเท่านั้น ส่วนมาก ควรเป็นน้ำหนักราว 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง ถ้าให้อาหาร มากเกินไป ปลาจะกินไม่หมด เสียค่าอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ และ ยังทำให้น้ำเน่าเสีย เป็นอันตรายแก่ปลาได้บ่อที่มีอาหารธรรมชาติมากหรือ น้อยสังเกตได้โดยการดูสีของน้ำ ถ้าน้ำในบ่อมีสีเขียวแสดงว่ามีอาหารจำพวก พืชเล็ก ๆ ปนอยู่มาก แต่ถ้าน้ำในบ่อมีสีค่อนข้างคล้ำ มักจะมีอาหารจำพวก ไรน้ำมาก พวกพืชเล็ก ๆ และไรน้ำมาก นับว่าเป็นอาหารธรรมชาติที่มี ประโยชน์ต่อการเลี้ยงปลาเป็นอย่างดี


22 3.1.6 การเจริญเติบโต ปลานิลเป็นปลาที่มีการเจริญเติบโต เร็ว เลี้ยงในเวลา 1 ปี จะมีน้ำหนักถึง 500 กรัม และเป็นปลาที่แพร่ ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว พ่อแม่ปลาซึ่งมีขนาดโตเต็มที่ เมื่อปล่อยลงเลี้ยง ในบ่อจะเริ่มวางไข่ภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ชุดนี้จะเริ่ม วางไข่ได้ต่อไปอีกเมื่อมีอายุประมาณ 3 – 4 เดือน ด้วยเหตุที่ปลานิลแพร่ ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้จำนวนของปลาในบ่อ มีปริมาณมากจนเกินไป หากพบว่ามีลูกปลาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ควรจะ จับลูกปลาแบ่งออกไปเลี้ยงยังบ่ออื่นบ้าง เพราะถ้าปล่อยให้อยู่กันอย่าง หนาแน่น ปลาจะไม่เจริญเติบโตและจะทำให้อัตราการแพร่พันธุ์ลดน้อยลง อีกด้วย 3.2 การดูแล และการบำรุงรักษาแหล่งน้ำและควบคุมปัจจัย ในการเลี้ยงปลานิลให้ผลผลิตสูงจำเป็นต้องมีการดูแล และ การบำรุงรักษาแหล่งน้ำและที่คุณภาพน้ำที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ต้อง ควบคุมในบ่อปลานิล มีดังนี้ 1) ความเป็นกรด-ด่าง (pH) คือ ความเข้มข้นของไฮโดรเจน ไอออนที่มีอยู่ในน้ำในบ่อเลี้ยงปลาจะมีผลเปลี่ยนแปลงของค่าความเป็น กรด-ด่างในน้ำทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน เนื่องจากแพลงก์ตอนพืชและ พืชน้ำมีการสังเคราะห์แสงในตอนกลางวัน ท้าให้ค่าความเป็นกรด-ด่าง สูงขึ้นและค่อย ๆ ลดในตอนกลางคืน ซึ่งมีผลต่อการเลี้ยงปลาโดยตรงคือ ท้าให้ปลาไม่เติบโต และตายได้ ช่วงความเป็นกรด-ด่าง ที่เหมาะสมต่อ การเพาะเลี้ยงปลานิลอยู่ในช่วง 6.5 - 8.3 การตรวจหาค่าความเป็นกรด-ด่าง


23 สามารถวัดได้โดยใช้กระดาษวัดพีเอช จุ่มลงไปในน้ำแล้วน้าไปเทียบสีบน กล่องกระดาษวัดพีเอช น้ำที่เป็นกรดสามารถแก้ได้ด้วยการใส่ปูนขาว หรือ ปุ๋ยที่มีสภาพเป็นด่าง เช่น ปุ๋ยไนเตรท ส่วนน้ำที่เป็นด่างจะเติมปุ๋ยกรด เช่น แอมโมเนียซัลเฟต โดยปกติน้ำที่เป็นด่างจะพบได้น้อยกว่าน้ำที่เป็นกรด 2) ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO) ปลาต้องการ ออกซิเจนในการหายใจเมื่อออกซิเจนในน้ำลดลง ปลาจะโผล่มาหายใจที่ ผิวน้ำ ปริมาณของออกซิเจนในการเลี้ยงในช่วงอนุบาลลูกปลาไม่ควรต่ำกว่า 4 พีพีเอ็ม ส่วนปลาที่โตแล้วค่าออกซิเจนไม่ควรต่ำกว่า 2 พีพีเอ็ม ซึ่งปัจจัยที่ มีผลต่อการละลายออกซิเจนในน้ำมีดังนี้ (1)อุณหภูมิ ออกซิเจนจะละลายในน้ำได้ดีและมากเมื่อ อุณหภูมิของน้ำลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นจะท้าให้ออกซิเจนละลาย น้ำได้น้อยลง อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลานิลควรอยู่ในช่วง 25 - 32 องศาเซลเซียส (2)ความเค็ม น้ำที่มีความเค็มต่ำออกซิเจนจะละลายได้ดี ถ้าน้ำมีความเค็มสูงออกซิเจนจะละลายน้ำได้น้อยลง ความเค็มในการเลี้ยง ปลานิลไม่ควรเกิน 0.25 พีพีที (3)การสังเคราะห์แสง ถ้าพืชน้ำและแพลงก์ตอนพืชมี การสังเคราะห์แสงมาก ปริมาณออกซิเจนในน้ำจะเพิ่มมากขึ้น (4)การหายใจ ถ้าสัตว์น้ำ พืชน้ำ และพรรณไม้น้ำมีปริมาณ หนาแน่นมาก จะท้าให้มีการใช้ออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น อาจท้าให้เกิดภาวะ ขาดออกซิเจนและท้าให้ปลาตายได้ ปริมาณออกซิเจนที่เหมาะสมต่อ


24 การเลี้ยงปลานิล ไม่ควรต่ำกว่า 3.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ควรต้องระมัดระวัง มากในช่วงเช้า มักจะพบปรากฏการณ์ของปลาลอยหัวในตอนเช้า แสดงให้ เห็นว่าปริมาณออกซิเจนในบ่อเลี้ยงก้าลังลดลง ดังนั้น จึงต้องมีการเปิด เครื่องตีน้ำเพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำ 3) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 )ถ้าระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ ในน้ำมีค่าสูงจะท้าให้ปลาตาย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการสังเคราะห์แสงของพืช น้ำและแพลงก์ตอนพืชในน้ำ ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มมากขึ้นใน เวลากลางคืน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงปลานิล ไม่ควรสูงเกิน 30 มิลลิกรัมต่อลิตร 4) อุณหภูมิ (Temperature) ปลานิลเป็นสัตว์เลือดเย็นจึง ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ได้เมื่อน้ำมีการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิอย่างกะทันหันจะท้าให้ปลาช็อคตายได้ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อ การเลี้ยงปลานิลจะอยู่ในช่วง 25 - 32 องศาเซลเซียส 5) ความกระด้างของน้ำ (Hardness) เกิดจากปริมาณของ เกลือแคลเซียมที่ละลายอยู่ในน้ำทั้งหมด ซึ่งปริมาณเกลือเหล่านี้มีผลต่อ การเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ เป็นส่วนประกอบของกระดูก เปลือก กุ้ง ปูหอย และมีผลต่อการฟัก และการเจริญของตัวอ่อน เป็นต้น น้ำในบ่อปลานิลควร มีความกระด้างอยู่ที่ 15 - 300 มิลลิกรัมต่อลิตร ถ้าในบ่อเลี้ยงปลา มีค่าความกระด้างต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลิตร จะท้าให้ปลาเจริญเติบโตช้า เครียด และตายได้


25 6) ความเป็นด่าง (Alkalinity) หมายถึง คุณภาพน้ำที่ท้าให้ กรดเป็นกลาง ความเป็นด่างของน้ำประกอบด้วย คาร์บอเนต ไบคาร์บอเนต และไฮดรอกไซด์ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่มีพิษต่อปลา แต่เป็นตัวช่วยควบคุม ไม่ให้น้ำมีการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรด-ด่างอย่างรวดเร็ว ค่าความเป็น ด่างที่เหมาะสมส้าหรับการเลี้ยงปลามีค่าอยู่ระหว่าง 25 - 500 มิลลิกรัมต่อ ลิตร 7) ความเค็ม (Salinity) หมายถึง ปริมาณของเกลือแร่ต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเดียมคลอไรด์ที่ละลายอยู่ในน้ำ ความเค็มของน้ำมีผลต่อระบบ ควบคุมปริมาณน้ำภายในร่างกายของปลา การเปลี่ยนแปลงความเค็มของน้ำ อย่างกะทันหันท้าให้ปลาตายได้ ปลานิลเป็นปลาที่สามารถทนทานต่อ การเปลี่ยนแปลงของความเค็มได้ในช่วงกว้างและทนทาน สามารถเพาะเลี้ยง ได้ในน้ำที่มีความเค็ม 0 - 25 พีพีเอ็ม 8) สารประกอบไนโตรเจน (แอมโมเนีย และไนไตรท์) เป็น สารประกอบที่เป็นพิษต่อสัตว์น้ำ แหล่งของสารประกอบไนไตรท์ในน้ำ ส่วนใหญ่มาจากสารอินทรีย์ ซึ่งเกิดจากขบวนการเน่าสลายของเศษอาหาร ที่เหลือ แพลงก์ตอนที่ตาย เศษซากพืชซากสัตว์ สารอินทรีย์อื่น ๆ โดย จุลินทรีย์และปล่อยแอมโมเนียไนไตรท์สู่น้ำในบ่อเลี้ยง ความเป็นพิษของ แอมโมเนียจะรบกวนท้าให้สัตว์น้ำสูญเสียพลังงานในการก้าจัดแอมโมเนีย ออกนอกร่างกายมากกว่าปกติ ส่วนไนไตรท์จะไปรบกวนการแลกเปลี่ยน ออกซิเจนของเม็ดเลือด ท้าให้สัตว์น้ำขาดออกซิเจนได้ ถ้ามีปริมาณมากท้า ให้สัตว์น้ำอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคต่ำ และติดเชื้อได้ง่าย ปริมาณแอมโมเนีย


26 รวมในบ่อปลานิล ไม่ควรเกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร และไนไตรท์ไม่ควรเกิน 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร การป้องกันทำได้โดยการควบคุมการให้อาหารไม่ให้ เหลือ เปลี่ยนถ่ายน้ำและถ้ามีปริมาณของแอมโมเนียสูงมาก ๆ สามารถใส่ เกลือแกงเพื่อลดความเป็นพิษได้ โดยใส่ในอัตรา 200 - 250 กิโลกรัมต่อไร่ ทุก 1 - 2 สัปดาห์ เพิ่มเครื่องตีน้ำ 9) ฟอสฟอรัส เป็นธาตุอาหารที่จ้าเป็นต่อพืช ท้าให้พืชน้ำ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หากมีปริมาณมากเกินไปจะท้าให้ออกซิเจนในน้ำ มากเกินไป เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ ดังนั้น ในบ่อปลานิลไม่ควรมีปริมาณ ของฟอสฟอรัสสูงกว่า 0.6 มิลลิกรัมต่อลิตร 10) ความโปร่งแสง (Transparency) ความโปร่งแสงของ บ่อปลาสามารถบ่งบอกถึงคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงได้ น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ จะมีความโปร่งแสงน้อย ในบ่อปลานิลควรอยู่ในช่วง 30 - 60 เซนติเมตร 11) ความขุ่น (Turbidity) เกิดจากตะกอนแพลงก์ตอน โคลนตม ฝุ่นละออง และสารอินทรีย์ต่าง ๆในบ่อปลา ท้าให้แสงส่องผ่านลงไป ในน้ำได้น้อย ท้าให้พืชน้ำสังเคราะห์แสงได้น้อย และยังเข้าไปอุดตันที่ ซี่เหงือกของปลา ขัดขวางการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่เหงือกปลา การวัดค่า ความขุ่นค่อนข้างยุ่งยากแก่ผู้ปฏิบัติงานในฟาร์ม จึงหันมาใช้ค่าความโปร่งใส แทน ท้าการวัดโดยใช้แผ่นวงกลมทาสีขาว - ด้า เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร หย่อนลงไปในบ่อจนถึงความลึกที่มองไม่เห็นแผ่น โดยความขุ่นที่ เหมาะสมส้าหรับการเลี้ยงปลานิลควรอยู่ในช่วง 30 - 60 เซนติเมตร


27 12) ก๊าซไข่เน่า (Hydrogen Sulfide) เกิดจากขบวนการย่อยสลาย ของเสีย และเศษอาหารตกค้างในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งมีผลท้าให้ปลาตาย ปริมาณก๊าซควรอยู่ในช่วง 0.1 - 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร ดังนั้น ในการเลี้ยงควร มีการตรวจสอบสภาพพื้นบ่อในช่วงเดือนที่ 8 - 12 ว่ายังมีสภาพดีหรือไม่ โดยสังเกตดินก้นบ่อว่ามีสีด้าคล้ำให้ท้าการแก้ไขโดยการลดปริมาณอาหาร เพิ่มเครื่องให้อากาศ เปลี่ยนถ่ายน้ำให้มาก เพื่อระบายของเสียพื้นก้นบ่อ ดูด เลนหรือตะกอนสีด้าที่เน่าเสียออกไปในบ่อเก็บเลน ใส่ปูนขาวและเกลือแกง ลงในบ่อเป็นระยะ เมื่อหมดการเลี้ยงในแต่ละครั้ง ต้องท้าการตากบ่อให้แห้ง และใส่ปูนขาวที่ก้นบ่อให้ทั่ว ภาพที่ 4 บ่อในการเลี้ยงดูแลพ่อพันธุ์แม่พันธ์ปลานิล


28 4. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร สำหรับการเลี้ยงปลานิล สิ่งที่จำเป็นที่ต้องทำการควบคุมอย่าง ใกล้ชิด คือ ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการรอดของปลาในวัยอ่อน และปริมาณ อาหารที่ต้องเหมาะสมต่อช่วงอายุของปลา ดังนั้น ระบบอัจฉริยะที่จะนำมา ควบคุมคือการสร้างสภาวะที่เป็นธรรมชาติของปลา ตั้งแต่การควบคุมปัจจัย จากคุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการเลี้ยง การกำหนดปริมาณอาหารที่ เหมาะสม ระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำที่จำเป็น ประกอบด้วย 4.1 ชุดเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดคุณภาพน้ำที่จำเป็น ได้แก่ ออกซิเจน ความเป็นกรด-ด่าง (pH) อุณหภูมิ แอมโมเนีย และสภาพความเป็นด่าง เป็นต้น โดยชุดเซนเซอร์ดังกล่าวจะต้องเป็นชุดที่ สามารถต่อเชื่อมกับอุปกรณ์แปลงสัญญาณเป็นค่าที่สามารถอ่านได้ด้วย ระบบอิเล็คทรอนิกส์ (transmitter) ของระบบประมวลผล หลัก (Mainboard) ของอุปกรณ์แต่ละรุ่น 4.2 อุปกรณ์กำนิดพลังงานไฟฟ้า สามารถเลือกได้ 2 ลักษณะคือสามารถใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟฟ้า 220 Volt หรือไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตจากธรรมชาติ เช่น โซล่าร์เซลล์ ซึ่งจำเป็นต้องคิดคำนวณปริมาณความต้องการใช้กำลังไฟจากอุปกรณ์ที่ ต้องการเชื่อมต่อได้ 4.3 ระบบควบคุมปัจจัยการทำงานอื่นๆ ระบบการตั้งเวลาการเปิด-ปิด การถ่ายน้ำ การให้อาหารตาม ปริมาณที่ปลาต้องการ การเปิด-ปิด เครื่องให้ออกซิเจนกับน้ำด้วยระบบ


29 ควบคุมหรือสั่งการ กล้องวงจรปิดแบบไร้สายที่สามารถมองเห็นผ่านระบบ สมาร์ทโฟน เป็นต้น ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นเรื่องจำเพาะของผู้ออกแบบที่ต้อง ทำการวางระบบให้เหมาะต่อการควบคุมปัจจัยต่างๆ ดังแสดงตัวอย่างใน ภาพที่ 5 ภาพที่ 5 ตัวอย่างระบบอัจฉริยะในการเลี้ยงปลา ที่มา: http://www.smartfarmdiys.com/article/163/ ซึ่งผู้ดำเนินการได้ออกแบบเป็นเว็บไซต์ที่ชุมชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย เป็น www.เกษตรทันสมัยเมืองแพร่.com ดังแสดงในภาพที่ 6


30 ภาพที่ 6 การควบคุมปัจจัยการเลี้ยงปลาแบบอัจฉริยะ


31 ภาพที่ 6 การควบคุมปัจจัยการเลี้ยงปลาแบบอัจฉริยะ (ต่อ)


32 ภาพที่ 6 การควบคุมปัจจัยการเลี้ยงปลาแบบอัจฉริยะ (ต่อ)


33 5. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่ายและแปรรูป 5.1 การจัดการตลาดและการจัดจำหน่ายผลผลิต เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลจะมีการจำหน่ายผลผลิตในหลาย ลักษณะ ได้แก่ ขายปลีกแก่พ่อค้าต่าง ๆ ที่เข้ามารับซื้อจากฟาร์ม ซึ่งมีทั้ง พ่อค้าขายปลีกในตลาดหรือพ่อค้ารวบรวมในพื้นที่และจากต่างท้องถิ่นหรือ ส่งให้องค์การสะพานปลาขาย ส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรจะขายแก่พ่อค้า ผู้รวบรวม 66 – 71 % และนำไปขายแก่พ่อค้าขายส่งที่องค์การสะพานปลา 21 % และขายในรูปลักษณะอื่น ๆ 3 - 6 % ราคาและผลผลิตปลานิลแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน ตลาดใน ชนบทมีความต้องการปลาขนาดเล็กเพื่อการบริโภค ซึ่งตรงกันข้ามกับตลาด ในเมืองมีความต้องการปลาขนาดใหญ่ ราคาของปลาจึงแตกต่างกัน ปัจจุบัน ราคาปลานิลแล่เฉพาะเนื้อมีราคาอยู่ระหว่าง 75 - 80 บาท/กก. และสำหรับ ปลานิลแช่แข็งทั้งตัวอยู่ระหว่าง 30 - 35 บาท/กก. ความเคลื่อนไหวของราคาที่เกษตรกรขายได้และราคาขายส่ง เป็นไปในลักษณะทิศทางเดียวกันและขึ้นอยู่กับฤดูกาล ในการขายปลาโดย ปกติราคาขายจะสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน สำหรับราคา จำหน่ายที่ฟาร์มอยู่ที่ขนาดของปลาอยู่ระหว่าง 12 - 15 บาท/กก. สำหรับ ราคาขายปลีกโดยเฉลี่ยราคาอยู่ที่ 20 - 25 บาท/กก. ผลต่างระหว่างราคา ฟาร์มและราคาขายปลีกเท่ากับ 8 - 10 บาท/กก. ปัจจุบันผู้บริโภคภายในประเทศ เริ่มสนใจที่จะบริโภคปลานิล เพิ่มสูงขึ้น และกรมประมงมีโครงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาการเพาะเลี้ยง


34 ปลานิล ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคภายในประเทศไทยรู้ถึงคุณค่าของ อาหารโปรตีนจากปลานิลมากขึ้น โอกาสที่การจำหน่ายภายในประเทศ จึงน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตามไปด้วย ผลผลิตปลานิลส่วนใหญ่จะบริโภค ภายในประเทศ เป็นรูปสด 89 % ในการแปรรูปทำเค็ม ตากแห้ง 5 % ย่าง 3 % และที่เหลือในรูปอื่น ๆ สำหรับปลานิลทั้งตัว และในรูปแช่แข็งมี จำหน่ายในประเทศโดยผู้ผลิตคือโรงงานและจำหน่ายให้ภัตตาคารหรือ ร้านอาหาร ดังนั้น ตลาดของปลานิลส่วนใหญ่ยังใช้บริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มีโรงงานห้องเย็นเริ่มรับซื้อปลานิล ปลานิลแดง เพื่อแปรรูป ส่งออก จำหน่ายต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เป็นต้น โดยโรงงานจะรับซื้อปลาขนาด 400 กรัม ขึ้นไป เพื่อแช่ แข็งส่งออกทั้งตัว และรับซื้อปลาขนาด 100 - 400 กรัม เพื่อแล่เฉพาะ เนื้อแช่แข็งหรือนำไปแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป ด้านราคาส่งออกนั้นขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และอุปทานของตลาดโลกเป็นสำคัญ เมื่อประเทศคู่แข่ง เช่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย สามารถผลิตได้มากจะทำให้ประเทศไทยส่งขายได้น้อย เพราะ เนื่องจากผลผลิตปลานิลแช่แข็งทั้งในรูปปลาทั้งตัวและปลาทั้งตัวควักไส้มี ราคาสู้กับประเทศคู่แข่งไม่ได้ 5.2 ปัญหาการตลาดปลานิลของเกษตรกร ตลาดปลานิลพ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนดราคาและปริมาณ การซื้อ โดยที่พ่อค้าคนกลางจะเข้าไปรับซื้อถึงฟาร์ม เพราะเกษตรกร ส่วนใหญ่ไม่สามารถนำผลผลิตออกมาขายที่ตลาด เนื่องจากขาดอุปกรณ์ใน


35 การจับและลำเลียง อีกทั้งยังไม่มีความรู้ในด้านการตลาด ปัญหาที่สำคัญซึ่ง เป็นตัวกำหนดราคาที่เกษตรกรพบอยู่เสมอ คือ 1) ขนาดพันธุ์ปลา ปลานิลเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้สามารถ ออกลูกตลอดทั้งปีเป็นปลานิลเพศเมียส่วนใหญ่และลูกปลาจึงมีขนาดเล็ก และไม่ได้น้ำหนักตามที่ผู้ซื้อต้องการ 2) กลิ่นโคลนของเนื้อปลา เนื่องจากปลานิลที่เลี้ยงยังใช้เศษ อาหารวัสดุที่เหลือจากการบริโภค หรือเลี้ยงปลาผสมผสานทำให้ปลาแล่เนื้อ มีกลิ่นโคลน 3) การจับและลำเลียงผิดวิธีปลาที่เกษตรกรจับส่วนมาก วิดบ่อและปลาตายจำนวนมาก การจับส่งลำเลียงไม่ถูกวิธีเมื่อนำไปบรรจุจะ มีแบคทีเรียสูง ทำให้เนื้อปลามีสีเขียว 4) เกษตรกรขาดแคลนเงินทุน ทำให้เมื่อปลามีขนาดโตพอ จำหน่ายได้ เกษตรกรจะรีบขายทันที ทำให้ราคาต่ำ 5.3 แนวโน้มการเลี้ยงปลานิลในอนาคต ปลานิลเป็นปลาที่ตลาดผู้บริโภคมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากจำนวนประชากรมีอัตราการเจริญเติบโตสูงจึงส่งผลต่อแนวโน้ม การเลี้ยงปลาชนิดนี้ให้มีลู่ทางแจ่มใส โดยไม่ต้องกังวลปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากเป็นปลาที่มีราคาดีไม่มีอุปสรรคเรื่องโรคระบาดเป็นที่นิยมบริโภค และเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในทั่วทุกภูมิภาค เพราะสามารถนำมาประกอบ อาหารได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันปลานิลสามารถส่งเป็น สินค้าออกไปสู่ต่างประเทศในลักษณะของปลาแล่เนื้อ ตลาดที่สำคัญ ๆ อาทิ


36 ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี เป็นต้น ดังนั้น การเลี้ยงปลานิลให้มีคุณภาพ ปราศจากกลิ่นโคลนย่อมจะส่งผลดีต่อการบริโภค การจำหน่ายและการให้ ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด 5.4 การแปรรูปปลานิล ปลานิลที่จะนำมาแปรรูปได้ต้องมีขนาดตัวน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัมขึ้นไป ในกรณีที่มีการรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงปลานิล รวบรวมปลานิลมาจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงภายในกลุ่มต้องรวมตัวกันเพื่อ พัฒนาการแปรรูปปลานิล ปลาต้องสดและไม่มีกลิ่นคาว ถ้ามีกลิ่นคาวจะไม่ เหมาะนำไปแปรรูปได้เพราะมีกลิ่นติด สามารถใช้เกณฑ์นี้ในการคัดเลือก ปลาและสามารถทำได้ทั้งปี ในแหล่งพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอ ปลานิลแปร รูปสามารถขายเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ปลานิลสวรรค์ ลาบปลานิลแห้ง ซูชิปลานิล เหงือกปลานิลปรุงรส ขนมพายปลานิล เค้กปลานิล เส้นบะหมี่ปลานิล กรอบ เค็มปลานิล คุกกี้ก้างปลานิล ฯลฯ ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 8


37 ภาพที่ 8 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปลานิลแปรรูป ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=AnOM4sqkK98 https://www.technologychaoban.com/marketing/article_156512 https://www.otoptoday.com/view_product.php?product_id=15683


38 ส่วนที่ 2 การเลี้ยงปลากาดำหรือปลาเพี้ยด้วยระบบอัจฉริยะ


39 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปลากาดำ ปลากาดำหรือปลาเพี้ย (Greater Black Shark) มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Morulius chrysophekadion ปลากาดำเป็นปลาพื้นเมืองของไทย โดย ทางภาคเหนือเรียกว่า ปลาเพี้ย ภาคอีสาน เรียกว่า ปลาอีตู๋ อีก๋ำ มีรูปร่าง คล้ายปลาตะเพียน พบตามแหล่ง น้ำธรรมชาติมีชุกชุมในลุ่มแม่น้ำ กลอง แม่น้ำปิงวัง ยม และน่าน เป็นปลาน้ำจืดเป็นปลาที่มีรสชาติ ดีนิยมบริโภคและเลี้ยงเป็นปลา สวยงาม ปัจจุบันการผสมเทียม ปลากาดำประสบผลสำเร็จทำให้มี พันธุ์ปลาปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติและส่งขายตลาดต่างประเทศเพื่อเลี้ยง เป็นปลาสวยงาม ปลากาดำมีลำตัวเรียวยาว แบนข้าง พื้นลำตัวสีม่วงดำหรือน้ำดำ เกล็ดมีขนาดใหญ่คลุมตลอดลำตัวยกเว้นส่วนหัว หัวเรียวแหลม ปากยืดหด ได้ ไม่มีฟัน ริมฝีปากบนและล่างเป็นหยัก มีติ่ง เนื้อเป็นฝอยสั้น ๆ อยู่รวมกัน เป็นกระจุก มีหนวด 2 คู่ ครีบหลัง มีขนาดใหญ่และสูงมาก ครีบหู ครีบท้อง และครีบก้น เรียวยาวและมีขนาดไล่เลี่ยกัน ครีบหางยาวเป็นแฉกเว้าลึก ครีบทุกครีบมีสีดำ มีพฤติกรรมว่ายแทะเล็มตามหินและชอบกัดเกล็ดของ ปลาอื่น กินตะไคร่น้ำและซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร (ชวลิต วิทยานนท์, 2547) https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/b 6/Labeo_chrysophekadion_Bleeker.jpg


40 ปัจจุบัน ปลากาดำหรือปลาเพี้ยเป็นปลาที่นิยมของผู้บริโภคใน ภาคเหนือและอีสาน เนื่องจากเป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย นิยมนำมาทำอาหาร ประเภทลาบ และต้มยำ นอกจากนี้ นิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม จึงเป็น ปลาพื้นถิ่นประเภทหนึ่งที่ควรค่ากับการส่งเสริมการเลี้ยง เนื่องจากเป็นปลา ที่ต้องการที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ โดยเฉพาะแหล่งน้ำธรรมชาติทาง ภาคเหนือของประเทศ มีอัตราการเจริญเติบโตเต็มวัยที่ช้า ตัวโตเต็มที่มี น้ำหนักประมาณ 5 - 8 กิโลกรัม จัดเป็นปลาน้ำจืดขนาดกลาง สำหรับแหล่ง เพาะเลี้ยงเชิงธุรกิจเพื่อการจัดจำหน่ายยังมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น หากดำเนินการเพาะเลี้ยงและมีการส่งเสริมกันอย่างจริงจังน่าจะทำให้เกิด การสร้างรายได้ และแหล่งอาหารให้กับประชากรของประเทศได้เป็นอย่างดี ในเอกสารฉบับนี้ จะได้นำเสนอแนวทางการเพาะเลี้ยงปลากาดำ หรือปลาเพี้ยด้วยระบบอัจฉริยะ ตลอดจนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และ การแปรรูป แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้


41 ภาพที่ 9 ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงปลากาดำด้วยระบบอัจฉริยะและการจัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการแปรรูป 2. การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และแหล่งน้ำที่ เหมาะสม การวางแผนการเลี้ยงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเกษตรกรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเตรียมพื้นที่ แหล่งน้ำ ลักษณะของสถานที่เลี้ยงอย่าง เหมาะสม โดยมีการทดลองเลี้ยงที่ได้ผลทั้งภาคเอกชน และภาครัฐหลายแห่ง และการเลี้ยงที่แตกต่างกัน ในช่วงของการอนุบาลลูกปลาสามารถทำเป็น บ่อซีเมนต์หรือบ่อพลาสติกควรเป็นบ่อกลมที่มีขนาดความจุของน้ำไม่มากนัก ที่ระดับความลึกไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร และเมื่อลูกปลาโตประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร นิยมที่จะเลี้ยงในบ่อดินธรรมชาติที่มีการจัดการหมุนเวียนของน้ำ การวางแผนและเตรียมพื้นที่ โรงเรือน บ่อเลี้ยง และแหล่งน้้าที่เหมาะสม วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ การอนุบาลลูกปลา การเลี้ยง และการจับที่เหมาะสม ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุม ปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์ เพื่อการจัดจ้าหน่าย และแปรรูป


42 การให้ออกซิเจนให้คล้ายกับแหล่งน้ำธรรมชาติให้มากที่สุด ดังแสดงตัวอย่าง ในภาพที่ 10 อย่างไรก็ตาม ก่อนการเลี้ยงต้องทำการเตรียมบ่อดิน กำจัดศัตรูของ ปลาเสียก่อนโดยตากบ่อให้แห้ง ประมาณ 4 - 5 วัน แล้วเติมน้ำลงไป ประมาณ 30 เซนติเมตร ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์จึงเติมน้ำเข้าบ่อสูง ประมาณ 1 เมตร โดยสังเกตดูว่าน้ำในบ่อดินออกสีเขียว แสดงว่าเกิด แพลงก์ตอน ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติแล้วนำลูกปลาไปปล่อยในบ่อนั้นได้ สำหรับพื้นที่ในการปล่อยปลาพ่อแม่พันธุ์ควรใช้พื้นที่บ่อดิน ประมาณ 400 ตารางเมตรขึ้นไป ระดับน้ำในบ่อ 1.2 - 1.5 เมตร อัตราการปล่อยแม่พันธุ์ ปลาที่ 1 ตัวต่อ 5 - 6 ตารางเมตร ................................................................................................ …………………………………………………………………………………… .................................................................................................. ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ .. .................................................................................................. ......


43 ภาพที่ 10 แสดงตัวอย่างบ่อเลี้ยงปลา ช่วงอนุบาล และบ่อตัวเต็มวัย


44 3. วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ การอนุบาลลูกปลา การเลี้ยง และการจับที่ เหมาะสม 3.1 การคัดเลือกสายพันธุ์ เนื่องจากปลากาดำเป็นปลาที่ไม่พบการเลี้ยงและขยายพันธุ์ ที่แพร่หลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ มาทำ การเพาะเลี้ยง ทดลองขยายพันธุ์โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ประเภท Suprefact (buserelin acetate) ในอัตรา 10 - 20 ไมโครกรัมต่อน้ำหนัก ปลา 1 กิโลกรัมร่วมกับยาเสริมฤทธิ์domperidone 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก ปลา 1 กิโลกรัม สามารถกระตุ้นให้แม่ปลาตกไข่ได้หลังจากการฉีดครั้งที่สอง แล้วประมาณ 4 ชั่วโมง แม่พันธุ์ปลาจะมีไข่พัฒนาถึงขั้นที่สามารถรีดไข่ได้ แล้วจึงปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติและมีการฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์ กระตุ้นการวางไข่และนำเชื้อตัวผู้ฉีดลงไปในไข่ จากนั้นนำไข่มาอนุบาลใน ถังไฟเบอร์กลาสหรือบ่อซีเมนต์ จนฟักออกมาเป็นตัว โดยต้องมี การหมุนเวียนและให้อากาศตลอดเวลา รวบรวมไข่ที่ผสมแล้วโปรยลงในถัง ฟักไข่ ทิ้งไว้ประมาณ 12 - 15 ชั่วโมง อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเพาะฟักไข่ ปลากาดำนั้นอยู่ระหว่าง 25 - 28 องศาเซลเซียส โดยมีอัตราการปฏิสนธิ เฉลี่ย 81.95 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการฟักเฉลี่ย 56.70 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะ ย้ายไปใส่บ่อซีเมนต์เพื่ออนุบาลลูกปลาโดยใช้เวลาประมาณ 5 - 7 วัน ให้ได้ขนาดที่เหมาะสมเนื่องจากอัตรารอดมีไม่มาก ประมาณ 20% (ข้อมูล: ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จังหวัดแพร่)


45 3.2 การอนุบาลลูกปลา เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัวประมาณ 2 - 3 วัน ลูกปลาจะเริ่มกิน อาหารเมื่อถุงไข่แดงยุบ จึงเริ่มให้อาหารสมทบ โดยใช้ไข่แดงต้มสุก บดละเอียด ละลายน้ำสาดให้ทั่ว เป็นเวลา 2 วัน เมื่อลูกปลาอายุได้ ประมาณ 5 วัน จึงนำลูกปลาไปปล่อยลงอนุบาลในบ่อดินที่เตรียมไว้ต่อไป ขนาดประมาณ 600 ตารางเมตร ทำการกำจัดศัตรูของปลาเสียก่อนโดยตาก บ่อให้แห้ง ประมาณ 4 - 5 วัน แล้วเติมน้ำลงไปประมาณ 30 เซนติเมตร ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์จึงเติมน้ำเข้าบ่อสูง ประมาณ 1 เมตร โดยสังเกต ดูว่าน้ำในบ่อดินออกสีเขียว แสดงว่าเกิดแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติ แล้วนำลูกปลาไปปล่อยในบ่อนั้นได้ในอัตรา 800,000 - 1,000,000 ตัวต่อ บ่อ หลังจากนั้นให้อาหารผสม โดยใช้ปลาป่นและรำละเอียดในอัตราส่วน 1 : 1 ละลายน้ำสาดให้ทั่วบ่อ วันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 2 กิโลกรัม เป็นเวลา 7 วัน เมื่อลูกปลาเริ่มว่ายขึ้นผิวน้ำให้อาหารดังกล่าวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยไม่ต้อง ละลายน้ำ สาดให้ทั่วบ่อ วันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 3 กิโลกรัม เป็นเวลา 20 วัน หลังจากอนุบาลเป็นเวลา 30 วัน จะได้ลูกปลากาดำขนาดความยาวประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร จำนวน 150,000 - 200,000 ตัวต่อบ่อ คิดเป็นอัตรารอด เฉลี่ยประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ทำการรวบรวมลูกปลาไปปล่อยในบ่อดิน ขนาดใหญ่เพื่อเลี้ยงต่อไป โดยปล่อยในอัตรา 2 ตัวต่อตารางเมตร หรือ 3,000 ตัวต่อไร่


Click to View FlipBook Version