46 4. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง และการดูแล การเลี้ยงปลาเพี้ย การดูแลและควบคุมปัจจัยในการเจริญเติบโตของ ปลาประเภทนี้ จำเป็นต้องอาศัยลักษณะของบ่อปลาที่เป็นบ่อดินที่มีพื้นที่ กว้าง มีลักษณะของน้ำที่ไหล เนื่องจากปลาจะมีพฤติกรรมว่ายแทะเล็ม ตามหินและชอบกัดเกล็ดของปลาอื่น กินตะไคร่น้ำและซากพืชซากสัตว์เป็น อาหาร (ชวลิต วิทยานนท์, 2547) สำหรับพ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยงในบ่อดินควรมี ขนาด 400 ตารางเมตรขึ้นไป มีลักษณะกว้าง มีระดับน้ำในบ่อประมาณ 1.2 - 1.5 เมตร แม่ปลาที่มีน้ำหนัก 1,500 - 3,000 กรัม หรือมีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เป็นขนาดที่สามารถเพาะพันธุ์ได้ผลดีและหากจะเลี้ยงเป็นปลา สวยงามจำเป็นต้องจัดทำสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำที่เหมาะสม ได้แก่ การ เพิ่มพืชน้ำ การรักษาปริมาณออกซิเจนไม่ควรต่ำกว่า 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ควบคุมการถ่ายน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับการให้อาหารในขณะที่ปลาถูก ปล่อยลงบ่อดินแล้ว สามารถที่จะให้อาหารประเภท ปลาป่น และรำละเอียด ในอัตราส่วน 1 : 2 สาดให้ทั่วบ่อ วันละ 2 ครั้ง โดยปล่อยในอัตรา 2 ตัวต่อ ตารางเมตร และควบคุมปัจจัยด้านคุณภาพน้ำ ลักษณะของการไหลของน้ำ ให้ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำธรรมชาติมากที่สุด
47 5. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร สิ่งที่จำเป็นที่ต้องทำการควบคุมอย่างใกล้ชิดในการเลี้ยงปลากาดำ คือปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการรอดของปลาในวัยอ่อน และปริมาณอาหารที่ ต้องเหมาะสมต่อช่วงอายุของปลา ดังนั้น ระบบอัจฉริยะที่จะนำมาควบคุม คือการสร้างสภาวะที่เป็นธรรมชาติของปลา ตั้งแต่การควบคุมปัจจัยจาก คุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการเลี้ยง การกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสม ระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำที่จำเป็น ซึ่งประกอบด้วย 5.1 ชุดเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดคุณภาพน้ำที่จำเป็น ได้แก่ ออกซิเจน อุณหภูมิ แอมโมเนีย และสภาพความเป็น ด่าง เป็นต้น โดยชุดเซนเซอร์ดังกล่าวจะต้องเป็นชุดที่สามารถต่อเชื่อมกับ อุปกรณ์แปลงสัญญาณเป็นค่าที่สามารถอ่านได้ด้วยระบบอิลเล็คทรอนิกส์ (transmitter) ของระบบประมวลผลหลัก (Mainboard) ของอุปกรณ์แต่ละ รุ่น 5.2 อุปกรณ์กำนิดพลังงานไฟฟ้า ซึ่งสามารถเลือกได้ 2 ลักษณะคือสามารถใช้ไฟฟ้าที่มี กำลังไฟฟ้า 220 Volt หรือไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตจากธรรมชาติ เช่น โซล่าร์เซลล์ ซึ่งจำเป็นต้องคิดคำนวณปริมาณความต้องการใช้กำลังไฟจาก อุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อได้ 5.3 ระบบควบคุมปัจจัยการทำงานอื่นๆ อาทิ ระบบการตั้งเวลาการเปิด-ปิดการสั่งการและควบคุม อุปกรณ์การถ่ายน้ำ การเติมออกซิเจน การให้อาหารตามปริมาณที่ปลา
48 ต้องการ กล้องวงจรปิดแบบไร้สายที่สามารถมองเห็นผ่านระบบสมาร์ทโฟน เป็นต้น ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นเรื่องจำเพาะของผู้ออกแบบที่ต้องทำการวาง ระบบให้เหมาะต่อการควบคุมปัจจัยต่างๆ ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 11 ภาพที่ 11 ตัวอย่างระบบอัจฉริยะในการเลี้ยงปลา ที่มา: http://www.smartfarmdiys.com/article/163/ เมื่อปลาที่ปล่อยลงบ่อดิน แล้วต้องรักษาและควบคุมปัจจัยของ แหล่งน้ำให้มีการไหลเวียนของน้ำ และรักษาออกซิเจนในน้ำให้มากกว่า 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยอาศัยระบบเติมอากาศบนผิวน้ำ ซึ่งสามารถที่จะใช้ ระบบเซ็นเซอร์ร่วม และการตั้งเวลาสำหรับการเติมอากาศด้วยระบบสั่งการ จากสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งผู้ดำเนินการได้ออกแบบเป็นเว็บไซต์ที่ชุมชนสามารถ เข้าถึงได้ง่าย เป็น www.เกษตรทันสมัยเมืองแพร่.com ดังแสดงในภาพที่ 6
49 6. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดจำหน่าย และแปรรูป ในการผลิตปลากาดำเพื่อจัดจำหน่ายสามารถดำเนินการไม่ยากนัก เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีปริมาณสูงขณะที่ปริมาณของผู้เลี้ยง ปลาประเภทนี้มีจำนวนจำกัด เพราะอัตราการเติบโตของปลานี้ค่อนข้างช้า และเป็นปลาที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้กำจัดซากของเสียก้นบ่อ ซึ่งจะใช้เวลา การเจริญเติบโตพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่พันธุ์ประมาณ 1 ปีดังนั้น ผู้ประกอบการมักเลี้ยงปลาประเภทนี้เป็นปลาสวยงามและปล่อยเลี้ยงแบบ ธรรมชาติผสมผสานกับการเลี้ยงปลาประเภทอื่นร่วมด้วย ความต้องการ ทางการตลาดทางภาคเหนือพบว่าปลาเพี้ยสามารถขายได้กิโลกรัมละ 200 - 400 บาท ปัจจุบันนี้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยังมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่จะ เป็นการประกอบอาหารตามร้านจำหน่ายอาหาร และร้านถนอมอาหารเป็น ปลาตากแห้ง ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 12 ภาพที่12 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปลากาดำหรือปลาเพี้ย ที่มา: https://www.google.com/search?q
50 ส่วนที่ 3 การเลี้ยงกบด้วยระบบอัจฉริยะ
51 1. บทนำ ในปัจจุบันตลาด่างประเทศเปิดกว้างมากขึ้น กบนาที่เป็นผลผลิต ของเกษตรกรเมืองไทยจึงมีโอกาสส่งจ้าหน่ายไปยังต่างประเทศมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณกบตามแหล่งธรรมชาติมีจ้านวนลดน้อยลง เนื่องจากแหล่ง ที่อยู่อาศัยถูกเปลี่ยนแปลงไป การใช้สารพิษก้าจัดศัตรูพืช การใช้ยาก้าจัด วัชพืช ก้าจัดปูนามีสวนท้าลายพันธุ์กบในธรรมชาติให้หมดไป กบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ใช้วลาน้อย ลงทุนน้อย ดูแลรักษาง่าย และ จ้าหน่ายได้ราคาคุ้มกับการลงทุน ประเทศไทยได้มีการเลี้ยงกบมาประมาณ 20 ปี กบที่น้ามาเลี้ยงในระยะแรกคือกบนา (Hoplobatrachus rugulosus) ที่พบทั่วไปหรือเรียกว่า กบพื้นเมือง โดยการจับลูกกบในฤดูฝนน้ามาเลี้ยงใน บ่อดิน ต่อมามีการน้าพันธุ์กบจากต่างประเทศคือ กบบลูฟร็อก (Rana catesbeiana Chaw) ซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในภาคเหนือ เนื่องจากมี ความทนทานต่อสภาพอากาศเย็นกว่ากบนา กบนา กบบลูฟร็อก ภาพที่ 13 กบนาและกบบลูฟร็อก (ที่มา: ตะวันฟาร์มฟาร์กบบ้านนา)
52 ถึงแม้ว่ากบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย แต่มีผู้เลี้ยงกบหลายรายไม่ประสบ ความสำเร็จ เพราะขาดความเข้าใจในการเลี้ยง ไม่เข้าใจในนิสัยของกบ เช่น กบมีนิสัยดุร้ายและชอบรังแกกัน การเลี้ยงกบคละกันไม่คัดขนาดเท่า ๆ กัน ในบ่อเดียวกัน เป็นเหตุให้กบใหญ่รังแกและกัดกินกบเล็กเป็นอาหาร กบเป็นสัตว์ที่ชอบอิสระเสรี สภาพที่เลี้ยงมีลักษณะโปร่ง เช่น เป็นอวน ไนลอนท้าให้กบสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอก กบจะกระตือรือรืนที่จะ ดิ้นรนหาทางออกไปสู่โลกภายนอก โดยจะกระโดดชนอวนไนลอนจนปาก บาดเจ็บและเป็นแผล เป็นเหตุให้ลดการกินอาหารหรือถ้าเจ็บมาก อาจกิน อาหารไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เอกสารค้าแนะน้าเรื่องคู่มือการเลี้ยงกบด้วยระบบ อัจฉริยะนี้ จะแนะวิธีการเลี้ยง การนำระบบอัจฉริยะมาใช้เพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการเลี้ยง ตลอดจนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการแปรรูป โดยแบ่งเนี้อหาเป็น 5 ขั้นตอน (ดังภาพที่ 14) ทั้งนี้เพื่อผู้ที่สนใจจะได้ศึกษา วิธีการเลี้ยงแต่ละแบบเพื่อน้าไปใชใหเหมาะสมกับพื้นที่ทุนทรัพย์และ สิ่งแวดลอมตอไป
53 ภาพที่ 14 ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงกบด้วยระบบอัจฉริยะและการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์และการแปรรูป 2. การวางแผนและเตรียมการเลือกพื้นที่ สถานที่ตั้งโรงเรือนที่ดีของบ่อ อนุบาลลูกกบ แม่พันธุ์ แหล่งน้ำที่เหมาะสม การเตรียมพื้นที่ สถานที่ตั้งโรงเรือนสำหรับเลี้ยงกบที่พบโดยทั่วไปมี 4 วิธี ได้แก่ การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ การเลี้ยงกบในกระชัง การเลี้ยงกบ ในบ่อดินแบบธรรมชาติ และการเลี้ยงกบในบ่อดินกึ่งถาวร โดยแต่ละวิธีมี รายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้ 2.1 การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ เป็นอีกแนวทางอาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้ให้กับเกษตรกร และเป็นที่นิยม เพราะการบริหารจัดการง่าย เช่น การดูแลรักษาเปลี่ยน การวางแผนและเตรียมพื้นที่ สถาน ที่ตั้งโรงเรือนที่ดีของบ่ออนุบาลกบ แม่พันธุ์ แหล่งน้้าที่เหมาะสม ขั้นตอนและวิธีการคัดเลือกสาย พันธุ์ และการเพาะเลี้ยง ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุม ปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร วิธีการเลี้ยง การดูแล การ บ้ารุงรักษาแหล่งน้้าและการ ควบคุมปัจจัย การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์ เพื่อการจัดจ้าหน่าย และแปรรูป
54 ถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ รวมไปถึงการจับเพื่อจำหน่าย สิ่งที่ควรคำนึงถึง ก่อนการเลี้ยงกบ คือ ผู้เลี้ยงควรทำความเข้าใจและศึกษาถึงวิธีการเลี้ยงที่ ถูกต้องก่อนจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงรวมถึงความพร้อม ของผู้เลี้ยงทั้งทุนพื้นที่และช่องทางการขายต่าง ๆ สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับ การเลี้ยงกบ ควรอยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อการดูแล อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มี คุณภาพดีเพียงพอต่อการเลี้ยง เป็นพื้นที่สูงหรือที่ดินดอนเพื่อป้องกันปัญหา น้ำท่วมห่างไกลจากแหล่งชุมชนหรือบริเวณที่มีเสียงอึกกระทึกครึกโครม เพราะจะรบกวนกบในช่วงผสมพันธุ์สำหรับรายละเอียดของบ่อปูนซีเมนต์ สำหรับเลี้ยงกบ มีดังนี้ 2.1.1 ลักษณะบ่อปูนซีเมนต์เลี้ยงกบ การสร้างบ่อเลี้ยงกบมี วัตถุประสงค์ในการสร้างที่แตกต่างกัน เช่น บ่อสำหรับเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยทั่วไปแล้วบ่อกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์คือใช้ สำหรับผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ และเลี้ยงกบขุน หรือกบเนื้อ ในบ่อเดียวกัน แต่ต้องมีจำนวนบ่อหลายบ่อเพื่อให้กบอาศัยเมื่อกบมีขนาด ใหญ่ขึ้น บ่อส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีหลายขนาดเช่น 2 x 2.5, 2 x 3, 3 x 4, 4 x 4, 4 x 5, 4 x 6 เมตร ความลึกอยู่ที่ 1 เมตรและรวมไปถึงบ่อ ซีเมนต์กลมขนาด 1 ถึง 1.5 เมตร ดังนั้น ขนาดและจำนวนของบ่อเลี้ยง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่และเงินทุนที่ผู้เลี้ยง สำหรับพื้นบ่อควรมี การเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม โดยด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30 - 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันน้ำซึมและป้องกันกบ เป็นแผลจากการกระโดด
55 ภาพที่ 15 บ่อซีเมนต์สำหรับเลี้ยงกบ 2.1.2 บ่อซีเมนต์นั้นมีหลายรูปแบบ เช่น ปูพื้นกระเบื้องซึ่งจะ ช่วยให้ทำความสะอาดง่ายหรือทาสีบ่อให้มีสีเหลือง ทั้งนี้สีของกบจะปรับตัว ตามสภาพแวดล้อมที่อยู่ บ่อเลี้ยงกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีสแลนกรองแสง ทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกิน กบ หากสร้างบ่อในที่ร่มจะไม่สามารถฟักไข่หรือเลี้ยงลูกอ๊อดได้ เนื่องจาก ในช่วงนั้นกบต้องการอุณหภูมิสูง นอกจากนี้จะทำให้กบกินอาหารได้ดี แข็งแรง โอกาสการเกิดโรคน้อย ดังนั้น ควรมีการวางระบบน้ำโดยเดินท่อ PVC ไปยังทุกบ่อเพื่อเติมน้ำ ในขณะที่เปลี่ยนน้ำออกจากบ่อและรวมไปถึง การทำแอ่งกระทะก้นบ่อต่อท่อเปลี่ยนถ่ายน้ำเสียออกไปด้วย
56 2.1.3 การจัดการบ่อเลี้ยงกบ สำหรับบ่อปูนซีเมนต์ที่สร้างใหม่ ให้เติมน้ำจนเกือบเต็มบ่อ จากนั้นนำต้นกล้วยหรือใบขี้เหล็กหรือพืชที่มี รสฝาด ขม เปรี้ยวลงไปแช่ในบ่ออย่างน้อย 7 วัน เพื่อลดความเค็มหรือลด ความเป็นด่างของน้ำในบ่อที่จะใช้เลี้ยงกบ จากนั้นปล่อยน้ำตากบ่อให้แห้ง กรณีที่เป็นบ่อปูนซีเมนต์เก่า ให้ขัดตะไคร่น้ำและสิ่งสกปรกออกให้หมด ตากแดดทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 1 วัน หรือล้างทำความสะอาดบ่อด้วยด่างทับทิม แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง จากนั้นล้างทำความสะอาดออกให้หมดแล้ว ตากแดดให้แห้ง ภาพที่ 16 การจัดลักษณะแบบง่ายสำหรับการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์
57 2.2 การเลี้ยงกบในกระชัง บริเวณพื้นที่ๆ มีบ่อน้้า สระน้้าขนาดใหญ่ หรือมีร่องน้้าไหล ผ่านสามารถเลี้ยงกบในกระชังได้ดี ขนาดของกระชังไม่ควรเล็กกว่า 1.0 x 2.0 x 1.0 เมตร หรือใหญ่กว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณพื้นที่ที่จะลอยกระชัง ด้านบนกระชังต้องมีฝาปิดเพื่อป้องกันศัตรู การเลี้ยงในกระชังต้องหมั่น ตรวจดูรอยรั่วหรือรอยขาดของกระชังอย่างสม้่าเสมอ กระชังสามารถใช้เลี้ยง กบได้ดี ตั้งแต่การอนุบาลลูกอ๊อด ลูกกบเล็กไปจนถึงกบใหญ่และพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงวิธีนี้ทำให้กบโตเร็วและสมบูรณ์ มีความสะดวกคือไม่ต้องเปลี่ยนน้้า แต่ขยายพันธุ์กบท้าได้ยาก ภาพที่ 17 ลักษณะของการเลี้ยงกบในกระชัง
58 2.3 การเลี้ยงกบในบ่อดินแบบธรรมชาติ บ่อดินมีความเหมาะสมในการใช้เพาะเลี้ยงกบ เนื่องจากมี การลงทุนต้่า สามารถใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในครัวเรือน และมีที่สภาพ คล้ายคลึงธรรมชาติ ซึ่งขนาดบ่อท้าได้ตั้งแต่ขนาด 2.5 x 3.0 ตารางเมตร แต่ไม่ควรใหญ่เกินกว่า 3.0 x 4.0 ตารางเมตร เนื่องจากต้องมีการคัดขนาด กบและดูแลรักษายาก พื้นที่ควรเลือกบริเวณที่มีแดดส่องถึง โดยท้าการปรับ สภาพพื้นที่เป็นดินให้เรียบ ล้อมรอบบ่อด้วยตาข่ายในล่อนสีฟ้าสูง 1 เมตร ฝังตีน ตาข่ายลึกลงไปในดินประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อกันกบมุดหนีหรือ ศัตรูภายนอกมุดเข้ามาท้าอันตรายกบ บริเวณที่เป็นแอ่งน้้าอาจขุดเป็น บ่อน้้าเล็ก ๆ ถ้าดินสามารถเก็บน้ำได้ ในกรณีที่เป็นสภาพพื้นที่ไม่เก็บน้้าให้ ใช้ภาชนะ เช่น กะละมังขนาดกลาง หรือถังซีเมนต์กลมขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร เป็นตัวกักเก็บน้ำและใช้เลี้ยงกบ ด้านบนปากบ่อ คลุมด้วยตาข่ายไนล่อนสีฟ้าหรือสแลนให้มิดชิดเพื่อป้องกันศัตรูธรรมชาติ เช่น จิ้งเหลน นก แมว งู และคน
59 ภาพที่ 18 การเลี้ยงกบในบ่อธรรมชาติ 2.4 บ่อดินลักษณะกึ่งถาวร เป็นบ่อดินที่พัฒนาขึ้นมาสามารถท้าได้ในลักษณะนี้โดย การก่อขอบบ่อด้วยอิฐบล็อกสูง 2 - 3 ก้อน ต่อขอบด้านบนด้วยตาข่าย ไนล่อนสีฟ้า ด้านบนปากบ่อมีตาข่ายคลุมปิด เพื่อป้องกันศัตรูธรรมชาติอื่น ๆ หรือแมลงปอลงวางไข่ ภายในปรับสภาพพื้นดินให้เรียบขุดบ่อขนาด 1.5 x
60 1.5 เมตร ลึกลงไปในดินประมาณ 50 - 70 เซนติเมตร ฝังท่อระบายน้ำหาก สามารถท้าได้ 3. วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์ 3.1 การเลือกพ่อแม่พันธุ์กบ เริ่มต้นด้วยการแรกเลือกพันธุ์กบที่เราต้องการเลี้ยง เช่น กบนา กบจาน กบบลูฟร็อกซ์ หรือพันธุ์อื่น ๆ พ่อแม่พันธุ์กบที่ดีควรมีอายุ 8 - 9 เดือนขึ้นไป มีน้ำหนักระหว่าง 200 -3 00 กรัมหรือ 2 - 3 ขีด ซึ่งลักษณะพ่อ แม่พันธุ์กบที่ดี ดังนี้ 3.1.1 ลักษณะพ่อพันธุ์กบ กบเพศผู้ที่มีความพร้อมจะ สังเกตเห็นรอยย่นของถุงเสียงที่ใช้ในการส่งเสียงร้องเรียกตัวเมียมีลักษณะสี เทาดำคล้ำที่ใต้คางอย่างชัดเจนทั้ง 2 ข้างและที่บริเวณด้านในของเนื้อหัวแม่ มือของเพศผู้ทั้งสองข้างจะพบแถบหนาสีน้ำตาลมีลักษณะเป็นปุ่มหยาบ ปุ่มนี้ช่วยให้การยึดเกาะที่บริเวณเอวของตัวเมียให้แน่นขึ้นและจะหายไปเมื่อ หมดฤดูผสมพันธุ์ ดังนั้น เมื่อเราสอดนิ้วเข้าใต้ท้องกบเพศผู้จะกอดรัดทันที 3.1.2 ลักษณะแม่พันธุ์กบ กบเพศเมียที่มีความพร้อมสังเกต ได้จากบริเวณเอวมีลักษณะพองโต ท้องอูม และมีผิวหนังสดใส เมื่อพลิกใต้ ท้องขึ้นอาจเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังชัดเจน ในบางตัวที่มีรังไข่แก่จัดอาจ สังเกตเห็นเป็นเม็ดไข่สีดำและที่ด้านข้างลำตัวทั้ง 2 ข้าง เมื่อใช้มือลูบจะมี ลักษณะสาก เพราะมีปุ่มเล็ก ๆ จำนวนมาก ยิ่งมีมากเท่าใดก็แสดงถึงความ
61 พร้อมของเพศเมียมากขึ้นเท่านั้นเพราะปุ่มเล็ก ๆ นี้จะช่วยให้กบตัวผู้เกาะคู่ ได้ดีขึ้น ภาพที่ 19 การเกาะกอดรัดของกบเพศผู้ 3.2 วิธีขยายพันธุ์กบ ปัจจุบันมีวิธีการขยายพันธุ์กบ 2 วิธีคือ การขยายพันธุ์โดยวิธี ธรรมชาติ และการขยายพันธุ์โดยวิธีการฉีดกระตุ้นด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ ผู้เลี้ยงสามารถเลือกใช้ตามความสะดวก 3.2.1 การขยายพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติเวลาที่เหมาะสม สำหรับวิธีนี้จะอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์คือมีนาคมถึงกันยายน ซึ่งทำได้โดยการ คัดพ่อแม่พันธุ์ที่มีความพร้อมใส่ลงไปในบ่อที่เตรียมไว้ปล่อยทิ้งไว้ให้จับคู่และ วางไข่
62 3.2.2 การขยายพันธุ์โดยการฉีดกระตุ้นด้วยฮอร์โมน สังเคราะห์ ทำโดยจัดเตรียมพ่อแม่พันธุ์และบ่อขยายพันธุ์เช่นเดียวกับวิธีแรก แต่มีการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ฉีดพ่อแม่พันธุ์กบ สารนี้จะกระตุ้นให้แม่พันธุ์ ตกไข่และพ่อพันธุ์หลั่งน้ำเชื้อ อัตราปริมาณการฉีด ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อ ของฮอร์โมนที่ใช้ ภาพที่ 20 ฮอร์โมนสังเคราะห์สำหรับกระตุ้นให้แม่พันธุ์ตกไข่
63 3.3 ลักษณะของบ่อขยายพันธุ์ สำหรับบ่อเพาะพันธุ์กบสามารถใช้ได้ทั้งบ่อซีเมนต์กลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 1.5 เมตร บ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 2 x 2.5 เมตร ไปจนถึงขนาด 3 x 4 เมตร หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับพ่อแม่พันธุ์และ ทุนของผู้เลี้ยง บ่อควรกักเก็บน้ำได้ 30 - 50 เซนติเมตร ความสูงของบ่อจะ อยู่ประมาณที่ 1 เมตร บ่อต้องผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว โดยอาจทำด่างทับทิม หรือฟอร์มาลีนในการเตรียมบ่อเบื้องต้น ภาพที่ 21 ลักษณะของบ่อเลี้ยงพ่อและแม่พันธุ์กบ จากนั้นให้เติมน้ำลงไปสูง 5 - 7 เซนติเมตรหรือพอท่วมหลังกบ ถ้าเป็นน้ำประปาต้องใส่น้ำทิ้งไว้ก่อนผสมพันธุ์ 2 - 3 วัน ใส่ใบหญ้าขนหรือ พันธุ์ไม้น้ำ เช่น ผักบุ้งผักตบชวา ใบตำลึง สำหรับเป็นที่เกาะของไข่ บ่อขยายพันธุ์ควรอยู่กลางแจ้ง ได้รับแสงแดดเพียงพอเพื่อช่วยให้ไข่ฟักจาก ตัวเร็วขึ้น โดยทำหลังคาบางส่วนเพื่อป้องกันในกรณีที่ฝนตกหนัก เพราะถ้ามี
64 น้ำฝนตกลงในบ่อจำนวนมากจะทำให้อุณหภูมิและความเป็นกรดด่างของน้ำ ในบ่อเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน มีผลทำให้ลูกอ๊อดช็อคตาย และควรมี ตาข่ายในร่อนคลุมปากบ่อเพื่อป้องกันแมลงปอลงวางไข่ เพราะตัวอ่อน แมลงปอเป็นศัตรูที่สำคัญของลูกอ๊อดและกบเล็ก จากนั้นนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบปล่อยลงไปในอัตรา 1 : 1 หากมี พ่อพันธุ์จำนวนมาก ให้ใส่ในอัตรา 2 : 1 ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร นำใส่ไว้ รวมกัน อาจพ่นน้ำจากสายยางหรือสปริงเกอร์ในบ่อผสมพันธุ์ให้เหมือนกับ ฝนตกเพื่อกระตุ้นการจับคู่ ประมาณ 1 - 3 คืน กบจะผสมพันธุ์และวางไข่ ในช่วงเช้ามืด ราว ๆ ตี 4 ถึง 6 โมงเช้า เมื่อเห็นว่ากบออกไข่แล้ว ให้นำ พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ออกจากบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้แพไข่แตก จากนั้นค่อย ๆ เติม น้ำในบ่อให้สูงเป็น 10 เซนติเมตร แต่ถ้ากบยังไม่วางไข่จะต้องเปลี่ยนน้ำใหม่ อีกครั้งแล้วลองใหม่ แต่ถ้าลองแล้วกบยังไม่วางไข่อีกจำเป็นต้องเปลี่ยนพ่อ แม่พันธุ์ใหม่ 3.4 การอนุบาลลูกกบวัยอ่อน เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้วช่วง 2 - 3 วันแรกยังไม่ต้อง ให้อาหารเพราะลูกอ๊อดยังใช้ไข่แดงที่ติดมาเลี้ยงตัวเองได้ หลังจากนั้นจึงเริ่ม ให้อาหารเม็ดสำหรับลูกกบวันละ 1 ครั้งๆ ละประมาณ 1 กำมือหรืออาจให้ ไข่แดงบดเป็นอาหารแทนได้โดยเฉลี่ยแล้วใช้วันละ 2 - 3 ฟองต่อลูกอ๊อด 1 ครอก อนุบาลลูกอ๊อดในความหนาแน่นที่เหมาะสมตารางเมตรละ 1,000 ตัว และทำการพัฒนาทุก ๆ 2 - 3 วันต่อครั้งจนกระทั่งเป็นลูกกบ โดย อนุบาลให้ได้ขนาด 1 - 1.5 ซม ในอัตราความหนาแน่นตารางเมตรละ 250
65 ตัว จากนั้นจึงปล่อยลูกกบลงเลี้ยงในอัตราตารางเมตรละ 100 ตัว ซึ่งเป็น ความหนาแน่นที่เหมาะสมและลดปัญหาการเกิดโรค ทั้งนี้ต้องเปลี่ยน ถ่ายน้ำสม่ำเสมอและรักษาความสะอาดของบ่ออนุบาล เมื่อพบกบเริ่มแสดง อาการตัวด่างควรใช้เกลือแกงแช่ในอัตรา 0.5 % (5 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร) นาน 3 - 5 วัน หรือในรายที่มีอาการมากอาจใช้ยา ออกซีเตตร้าชัยคลินแช่ในอัตรา 10 - 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร ติดต่อกันทุกวันนาน 3 - 5 วัน และไม่ควรใช้ยาและเกลือแกงในเวลาเดียวกัน เพราะเกลือจะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดต่ำลง เมื่อลูกอ๊อดมีอายุ20 - 30 วัน จัดเป็นลูกกบเต็มวัย ในช่วงนี้ต้องนำไม้ไผ่มาทำเป็นแพหรือแผ่นโฟม ลอยน้ำเพื่อให้ลูกกบเต็มวัยขึ้นไปอาศัยอยู่ เนื่องจากลูกอ๊อดจะโตเต็มวัยไม่ พร้อมกันอาจมีการรังแกกันจนเกิดแผลทำให้ลูกกบตายได้ ดังนั้น จึงต้องคัด ลูกกบขนาดตัวยาว 2 เซนติเมตร ไปเลี้ยงในบ่อขนาด 3 x 4 เซนติเมตร ที่เตรียมไว้บ่อละ 1,000 ตัว 4. ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยง การดูแล การบำรุงรักษาแหล่งน้ำ และ การควบคุมปัจจัย การดูแลและเลี้ยงกบเต็มวัยจนเป็นกบโต เมื่อคัดลูกกบนำไปเลี้ยงใน บ่อแล้วให้ใส่วัชพืชน้ำและวัสดุลอยน้ำลงไป เช่น แพไม้ไผ่หรือแผ่นโฟม เพื่อให้กบขึ้นไปอาศัยอยู่และนำทางมะพร้าวมาคลุมบ่อเพื่อบังแสงแดดด้วย ในช่วงที่คัดลูกกบลงบ่อซีเมนต์ใหม่ ๆ นี้ให้ใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกกบ ไประยะหนึ่งก่อน
66 เมื่อกบโตขึ้น จึงค่อยให้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงกบโตวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น ในอัตรา 3% ของน้ำหนักตัวกบ ถ้ากบน้ำหนักรวม 100 กิโลกรัม ให้ อาหารวันละ 3 กิโลกรัมและสามารถให้กินอาหารเสริมจากธรรมชาติ เช่น ปลวก ไส้เดือน จิ้งหรีด หรือหนอนนกที่เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงได้เอง เพื่อประหยัดค่าอาหาร ในขั้นตอนนี้ใช้เวลาในช่วงประมาณ 3 เดือนครึ่งถึง 4 เดือนก็สามารถจับกบจำหน่ายได้ สำหรับน้ำที่ใช้เลี้ยงกบ ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็น กรด-ด่างของน้ำ ค่า pH ของน้ำควรอยู่ประมาณ 7 รวมถึง ตรวจความ กระด้าง ค่าอัลดาไลนิตี้ ปริมาณแอมโมเนียแร่ธาตุในน้ำว่าเหมาะสมหรือไม่ ในส่วนนี้อาจดูยุ่งยากวุ่นวายแต่จะเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม น้ำประปาควรพัก น้ำไว้ 2 - 3 วัน แล้วค่อยปล่อยลงบ่อน้ำ อย่างไรก็ตาม น้ำจากบ่อน้ำหรือ แหล่งน้ำสาธารณะอาจมีคุณภาพของน้ำไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมีที่ ใช้ในการเกษตร ดังนั้น ควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อ พักเก็บกักน้ำไว้ก่อน หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำ ไว้ก่อนค่อยนำมาใช้ แต่บางพื้นที่น้ำบาดาลมีคุณภาพที่ดีก็นำมาเลี้ยงกบรุ่น ๆ ได้เลย
67 5. ระบบอัจฉริยะเพื่อการควบคุมปัจจัยการเลี้ยงและการให้อาหาร สิ่งสำคัญในการเลี้ยงกบคือการควบคุมสภาพแวดล้อมของบ่อรวมถึง การให้น้ำและอาหารในบ่อเลี้ยงกบ โดยสามารถเลี้ยงกบได้โดยระบบ อัตโนมัติ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง ประหยัดเวลาในการดูแลกบ ซึ่ง สามารถควบคุมการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบ IoT (Internet of Things) ที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ และโปรแกรมควบคุมดังนี้ 5.1 การใช้ Mainboard สำหรับบรรจุโปรแกรมในการควบคุม การทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ การอ่านค่าและบันทึกผลการอ่านค่าของเซ็นเซอร์ ตรวจวัดคุณภาพน้ำ การสั่งการปิด-เปิดอุปกรณ์สร้างสภาวะแวดล้อมที่ เหมาะกับพฤติกรรมของกบ เป็นต้น โดยสามารถอ่านค่าและสั่งการผ่าน ระบบสมาร์ทโฟนที่แสดงผลแบบปัจจุบัน (real time) ได้ 5.2 การใช้อุปกรณ์สำหรับการควบคุม และการแจ้งค่าเชิง ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่สามารถแสดงผลแบบปัจจุบัน (real time) เช่น ชุดเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพน้ำในการเลี้ยง ชุดการให้ อาหาร ชุดควบคุมแสงสว่างและสร้างสภาวะแวดล้อมให้กับกบดังแสดง ตัวอย่างในภาพที่ 6
68 6. การจัดการผลผลิตและผลิตภัณฑ์กบเพื่อการจัดจำหน่ายและการแปร รูปถนอมอาหาร 6.1 การขายลูกกบ สามารถขายให้กับผู้ที่สนใจนำไปเลี้ยงต่อ หรือให้กับผู้ที่สนใจ นำไปปรุงเป็นอาหาร โดยแนวทางการขายที่จะสามารถทำรายได้ให้ผู้เลี้ยงได้ โดยผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเริ่มหาลูกค้าจากตลาดใกล้บ้าน ตลาดนัดแหล่งชุมชน ตามแหล่งที่อยู่อาศัยอื่นหรือแหล่งรับซื้ออื่น ๆ ที่อาจจะต้องเสาะหาเองตาม แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทางโซเชียลและอินเทอร์เน็ต ตามเพจตามกลุ่มต่าง ๆ ใน Facebook 6.2 การจัดการตลาดและการจัดจำหน่ายผลผลิต ราคาจำหน่ายสามารถแบ่งราคาขายได้หลายราคา สามารถ ขายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ โดยส่วนใหญ่ขายเมื่อตอนอายุ 8 - 9 เดือน ราคา โดยประมาณ คือคู่ละ 350 ถึง 500 บาท แต่ที่นิยมเชิงพาณิชย์คือการขาย กบเนื้อที่ใช้เวลาเจริญเติบโตเต็มที่ตั้งแต่เป็นลูกกบมาจนถึงจัดจำหน่ายใช้ เวลาประมาณ 80 วัน น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 200 - 300 กรัม เป็นกบที่มีขนาด 4-6 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาตั้งแต่ 70 - 90 บาท ราคานี้อาจปรับขึ้น - ลงขึ้นอยู่ กับปริมาณการผลิต และความต้องการของตลาด กบที่ตลาดต้องการและให้ ราคาสูง จะต้องมีผิวเหลือง เพราะจะดูสะอาด เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับการจัดการด้านการตลาดกบมี แนวทาง 3 แนวทาง ได้แก่
69 1) การเลี้ยงและจับจำหน่ายในตลาดชุมชน และพื้นที่ใกล้บ้าน ซึ่งวิธีการนี้เป็นที่นิยมของเกษตรกรในชนบท เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย และเป็น การขายถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่ราคาเป็นไปตามการกำหนดของผู้เลี้ยงกบ 2) การเลี้ยงตามใบสั่งซื้อของพ่อค้าคนกลาง โดยพ่อค้าจะเป็น นคนกำหนดปริมาณกบ สำหรับจัดจำหน่ายตามแนวทางของผู้ค้ากบ โดย อาจขายส่งตามโรงงานขนาดเล็ก จนถึงโรงงานแปรรูปขนาดกลางถึงขนาด ใหญ่ ในประเทศและต่างประเทศ การจัดหน่ายส่วนใหญ่พ่อค้าคนกลางเป็น ผู้กำหนดราคา 3) การเลี้ยงและจัดจำหน่ายในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การขายลูก กบ หรือเรียกว่า ลูกอ๊อด และแปรรูปกบเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่ม เช่น กบย่าง รมควัน กบแปรรูปแช่แข็ง (เน้นส่งออก) เพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 80 - 90 บาท เป็น 1,500 บาท นอกจากนี้ ยังมีหนังกบตากแห้ง กบแช่แข็ง ส่งออก ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกบยัดไส้ และกบแดดเดียว ทั้งยังจำหน่ายทั้ง กบเล็ก กบเนื้อ และกบพ่อแม่พันธุ์ดังภาพตัวอย่าง กบแดดเดียว
70 ภาพที่ 8 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์แปรรูปกบ ที่มา: https://www.technologychaoban.com/fisherytechnology/article_84307 ................................................................................................ …………………………………………………………………………………… ................................................................................................ ...................................................................................... ...................................................................................... ...................................................................................... ... ................................................................................................ ........
71 บรรณานุกรม การเพาะปลากาดำ. สืบค้นจาก: https://www.youtube.com/ watch?v= 2h9bnAQrD7Q. [สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2565] ชวลิต วิทยานนท์. (2547). คู่มือการเลี้ยงปลาน้ำจืด. กรุงเทพฯ: สารคดี. 232 หน้า. เทคโนโลยีประมง เปิดสูตรการเลี้ยงกบ. สืบค้นจาก https://www.techno logychaoban.com /fishery-technology/article_84307. [สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2565] ผลิตภัณฑ์ปลาเพี้ย. สืบค้นจาก https://www.google.com/search?q [สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2565]. ฟาร์มกบอัจฉริยะ ด้วยระบบ IOT. (ม.ป.ป.). สืบค้นจาก https://nia3portal.emworkgroup.co.th/info/innovation/ite m/18870. [สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2565] ระบบอัจฉริยะสำหรับการเลี้ยงปลา. สืบค้นจาก: http://www.smartfarmdiys.com /article /163/. [สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2565] ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดแพร่. (2559). การจัดทำองค์ความรู้ เรื่อง การเพาะและอนุบาลปลากาดำ. สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
72 ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลำปาง, กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง. (ม.ป.ป.). เรื่อง ปลากาดำ สืบค้นจาก https://www.zoothailand.org/animal_view.php?detail_id=2 5&c_id. [สืบค้นเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2565] ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัด เชียงใหม่. (2557). การเพาะเลี้ยงกบ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่อง ไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพ: หจก. ภูมิวาริน กราฟิกเฮ้าส์. 20 หน้า. https://www.youtube.com/watch?v=AnOM4sqkK98 https://www.technologychaoban.com/marketing/article_156512 https://www.otoptoday.com/view_product.php?product_id=15683
73 แหล่งอุดหนุนทุน มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาได้รับทุนอุดหนุนวิจัยและนวัตกรรมจาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) แผนงานวิจัย เรื่อง การพัฒนา ต้นแบบนวัตกรรมการจัดการเกษตรผสมผสานตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อรองรับการจัดหลักสูตรการเรียนรู้คู่กับการทำงาน ปีงบประมาณ 2565 คณะผู้จัดทำคู่มือ รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยศรี ธาราสวัสดิ์พิพัฒน์ รองศาสตราจารย์ ดร.ช่วงโชติ พันธุเวช อาจารย์ ดร.รัตนา ปานเรียนแสน
ได้รัด้บรัทุนทุอุดหนุนนุวิจัวิยจัและนวัตวักรรมจากสำ นักนังานคณะกรรมการวิจัวิยจัแห่งห่ชาติ This project is funded by National Research Council of Thailand (NRCT