The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Final วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ ปีที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nunthikarn Suansane, 2023-04-10 21:19:09

วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข

Final วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ ปีที่ 3

วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 0


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 1 วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ ปีที่3 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 ทปี่รึกษาผทู้รงคุณวุฒิ 1. นางศรีวรรณา ตันศิริ 2. นางชุดาภรณ์ ศิริสนธิ 3.นางสาววาณีรัตน์ รุ่งเกียรติกุล บรรณาธิการ นางกาญจนา อนุตริยะ ทปี่รึกษา 1. นางเชาวนีเพชระบูรณิน 2. นางสุกัญญา เลาหรัตนาหิรัญ 3. นางอ าภา จากน่าน 4. นางเกษณีตระการศิโรรัตน์ 5. นางพรทิพย์สุนทรนันท์ 6. นางมนภรณ์ วิทยาวงศรุจิ 7. นางวรรณา งามประเสริฐ 8. นางวิไลพร มหัทธนาภิวัฒน์ 9.นางยุพดี เชาวณาพรรณ์ 10. นางสาวชลธิชา นิวาสเวส กองบรรณาธิการ 1. นางวิลาสินี กิจโอภาส 2. นางสาวสุภาพรรณ สุขคล้าย 3. นางพาณี แสงจันทร์ 4. นางสุมัชฌา เปาวรัตน์ 5. นางสาวพรภัทรา ครองยศ 6. นางขวัญเรือน พิณรัตน์ 7. นางพรแก้ว ปัญญสิน 8. นางชมพูนุช บัวแก้ว 9. นางสาวสรวงพร ทีโส 10. นางจินตนา นัคราจารย์ 11. นางสาวกณิษา กลิ่นนฤนาท 12. นางวนิดา ปาวรีย์ พิมพ์ที่: โรงพิมพ์........................................... โทรศัพท์ โทรสาร http://www. ทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย สองท่าน ทัศนะและเนื้อหาที่ปรากฏในวารสาร ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนา สาธารณสุขและการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรด้านการ สาธารณสุขและการแพทย์ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติรวมถึง ประชาชนผู้สนใจทั่วไป 2. เพื่อเป็นแนวทางไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานของสาธารณสุข สร้างสรรค์และพัฒนาทางด้านวิชาชีพ 3. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดทางวิชาการ ส านักงาน มูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ ส านักงานเขตห้วยขวาง ชั้น 6 กทม. 10310 โทรศัพท์ 0-2276-3904 http://phn.bangkok.go.th ฝ่ ายศิลป์ บริหารการพยาบาล (ด้านบริหารอนามัย)รุ่นที่ 14 ก าหนดออก ปีละ 1 ฉบับ มกราคม-ธันวาคม ศูนย์บริการสาธารณสุข 8 บุญรอด รุ่งเรือง ศูนย์บริการสาธารณสุข 9 ประชาธิปไตย ศูนย์บริการสาธารณสุข 13 ไมตรีวานิช ศูนย์บริการสาธารณสุข 17 ประชานิเวศน์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 26 เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 28 กรุงธนบุรี ศูนย์บริการสาธารณสุข 30 วัดเจ้าอาม ศูนย์บริการสาธารณสุข 55 เตชะสัมพันธ์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 58 ล้อม-พิมเสน ฟักอุดม ศูนย์บริการสาธารณสุข 60 รสสุคนธ์ มโนชญากร ศูนย์บริการสาธารณสุข 65 รักษาศุข บางบอน ส านักงานพัฒนาระบบสาธารณสุข


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 2 สารบัญ บรรณาธิการแถลง ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความประจา ฉบับ (Peer Review) บทความวิจัย • ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชน 5-15 ศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร • การพัฒนารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในโรงงานผลิต 16-28 เบาะรถยนต์ ในนิคมอุสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด • ปัจจัยสนันสนุนทางสังคมจากครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย 29-38 เบาหวานชนิดที่2 ศูนย์บริการสาธารณสุข39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร • ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากร 39-46 ในกองเภสัชกรรมและศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร • ผลการใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม 47-56 เพื่อการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน เขตหนองเขม กรุพงเทพมหานคร • ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความหว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่4 บางแวก เขตภาษีเจริญ 57-66 กรุงเทพมหานคร • ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 67-77 3อ. 2ส. ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุของเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ค าแนะน าในการเตรียมต้นฉบับ 78-83


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 3 บรรณาธิการแถลง สวัสดีพี่น้องพยาบาลและชาวสาธารณ สุขทุกท่านค่ะวารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณ สุข กรุงเทพฯ ปีที่ 3 ประกอบด้วยงานวิจัยและบทความที่น ามาเผยแพร่ให้บุคลากรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และสามารถน าไปพัฒนาผลงาน ทางวิชาการภายในฉบับนี้มาพร้อมกับบทความและงานวิจัยที่น่าสนใจ 7 เรื่องประกอบด้วยงานวิจัยเรื่องปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวกับพฤติกรรม การดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่2 โดยทั้ง 2 เรื่อง เป็นงานวิจัยที่ได้ศึกษาถึงพฤติกรรม การดูแลตนเอง ตลอดจน การสนับสนุนทางสังคมในการดูแลผู้ป่ วยเบาหวาน ซึ่งโรคเบาหวานนับว่าเป็นโรคเรื้อรังที่พบว่ามีจ านวนผู้ป่ วยเพิ่มมากขึ้น การศึกษาดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นแนวทางการดูแลผู้ป่ วยเบาหวานและการสนับสนุนทางสังคมอย่างไร นอกจากนี้ยังมี การพัฒนารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในโรงงานผลิตเบาะรถยนต์การศึกษารูปแบบการ ดูแลด้านอาชีวอนามัยในโรงงานเพื่อการดูแลสุขภาพของพนักงานนั้น ควรจะมีรูปแบบอย่างไรที่เหมาะสม รวมถึงการศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน ซึ่งปัจจุบันการใช้อาหารเสริมนับว่า เป็นที่นิยม และมีแนวโน้มที่มากขึ้น การศึกษาท าให้ทราบถึงปัจจัยที่มีผลต่อการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามิน ส าหรับงานวิจัยผลการใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วมเพื่อการ ป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้น ศึกษากระบวนการการมีส่วนร่วมในการป้องกันการสูบบุหรี่ในเด็กวัยรุ่นนั้น มีวิธีการ อย่างไรที่จะสามารถป้องกันการสูบบุหรี่ในเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ นอกจากนี้ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของ ผู้สูงอายุและความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. ของผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุนอกจากจะดูแลด้านร่างกายแล้ว ด้านจิตใจนับว่ามีความส าคัญการดูแลต้องใช้หลักของการดูแลแบบ องค์รวมและครอบคลุมทุกด้าน จากการศึกษาจะเป็นแนวทางที่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพ ที่ดีของผู้สูงอายุต่อไป กองบรรณาธิการขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติและให้ความไว้วางใจส่งผลงานลงตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ รวมถึง ผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านจากสถาบันต่างๆ ที่ให้ความกรุณาพิจารณาประเมินบทความพร้อมให้ข้อเสนอแนะและปรับปรุงแก้ไข ผลงานทุกเรื่องให้มีคุณภาพตามมาตรฐานและสามารถตีพิมพ์เผยแพร่เพื่อน าไปพัฒนางานที่เป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพและสาย งานที่เกี่ยวข้องยิ่งๆขึ้นไปสุดท้ายขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนวารสารด้วยดีเสมอมา เป็นก าลังใจ ให้กองบรรณาธิการจัดท าวารสารที่มีประโยชน์ต่อวิชาชีพ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่สนใจขยายผลทางการศึกษาเพื่อให้ พวกเราและประชาชนทุกคนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรงสดใสยิ่งขึ้นค่ะ แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้านะคะ วาณีรัตน์ รุ่งเกียรติกุล บรรณาธิการ


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 4 ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความประจ าฉบับ (Peer Review) รศ.ดร. อาภาพร เผ่าวัฒนา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ. ดร.แอนน์ จิระพงษ์สุวรรณ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รศ.ดร.รักชนก คชไกร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.ดร.ทัศนีย์ รวิวรกุล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ผศ.วัลยา ตูพานิช คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ผศ.อมรรัตน์ เสตสุวรรณ คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ผศ.ดร.ม.ล. สมจินดา ชมพูนุท การพยาบาลอนามัยชุมชน สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ผศ.ดร.กนกวรรณ สุวรรณปฏิกรณ์ การพยาบาลอนามัยชุมชน สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ผศ.ดร.วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ดร.รังสรรค์ มาระเพ็ญ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ภก.ลัคนา เลื่อนไธสงค์


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 5 ปัจจัยทมี่ีความสัมพนัธก ์ ับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในชุมชนของศูนยบ ์ ริการสาธารณสุข 40 บางแคส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร บทคัดย่อ การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการได้รับการสนับสนุนทางสังคมกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การ เข้าถึงบริการสาธารณสุขและการได้รับการสนับสนุนทางสังคม กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างจ านวนทั้งหมด 113 คน คัดเลือกตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยเชิงส ารวจและศึกษาความสัมพันธ์เก็บรวบรวบข้อมูลโดย ใช้แบบสอบถาม ซึ่งได้รับการตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหาได้ค่า IOC เท่ากับ 0.89 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาช ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานเท่ากับ 0.898 ด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขเท่ากับ 0.838 ด้านการ ได้รับการสนับสนุนทางสังคมเท่ากับ 0.880 และพฤติกรรมการดูแลตนเองเท่ากับ 0.830 น าข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปใช้สถิติเชิงพรรณนา หาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ สมมุติฐานโดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรส์ ันโปรดักโมเม้นต์(Pearson's Product Moment Correlation Coefficient) ผลการศึกษาพบว่า ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร อยู่ในเกณฑ์ระดับสูง (x̅= 16.64) ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน อยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (x ̅= 4.42) ด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุด (x̅= 4.55) ด้านการได้รับ การสนับสนุนทางสังคมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (x̅= 4.41) และพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในเกณฑ์ระดับสูง (x̅= 64.42) การศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน ด้าน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคม กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวาน พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานและปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข มี ความสัมพันธ์ ในระดับต ่า (0.342 และ 0.428) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับ โรคเบาหวาน และปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในระดับต ่ามาก (0.134และ -0.025) อย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ ค าส าคัญ: พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชน บังอร วงศส์ูงยาง*


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 6 Factor Related to Selfcare Behavior of Diabetes Mellitus PatientsinCommunityfromHealth Public Center Bangkok 40 Bang Khae. Abstract The purpose of this research was determined to study of knowledge about diabetes mellitus of diabetes mellitus patient and to study of perceived severity of diabetes, the way access to public health that support from social with self carebehaviors of diabetes mellitus patients and study of the relationship between the way access to public health which support from social with self carebehaviour of diabetes patients in community from Health Public Center Bangkok 40 Bang Khae.The sample of 113 participants collected data by questionnaire and analysed by computer program for finding frequency, percent, average and standard deviation and using correlation coefficient by apply pearson’s product moment formula for analyse between questions. The result of study revealed that knowledge level about diabetes of diabetes mellitus patients in community from Health Public Center Bangkok 40 Bang Khae with a very high-level (x̅= 16.64)a study of perceived severity of diabetes with a medium high level ( x̅= 4.42) the way access to public health with a high level (x̅= 4.55) the support from social with a medium high level (x̅= 4.41) and self carebehaviour of diabetes patients with a very high-level (x̅= 64.42) The findings suggest that factor of perceived severity of diabetes and factor of the way access to public health are related at the 0.05 level of significance but none of any relationship between knowledge factor of the support from social with self carebehaviour of diabetes mellitus patients in community from Health Public Center Bangkok 40 Bang Khae. Keywords: selfcare behavior of people with diabetes in the community Bung-on Wongsongyang


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 7 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา โรคเบาหวานเป็นโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของทุก ประเทศทั่วโลกเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้า ผู้ป่ วยสามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดได้ก็จะท าให้ สามารถด ารงชีวิตอยู่อย่างปกติสุขดังนั้นจุดมุ่งหมายในการ รักษาโรคเบาหวาน คือการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดให้ ใกล้เคียงกับปกติเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจจะ เกิดขึ้น (มยุรีหอมสนิท, 2556) การที่ผู้ป่ วยโรคเบาหวานมี พฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการรับประทานอาหารการ รับประทานยาและการออกก าลังกาย รวมทั้งการจัดการกับ ความเครียดจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ ศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค มีผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่มารับ การรักษาในคลินิกจ านวนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2557-2559โดยปี 2560 มีผู้ป่ วยโรคเบาหวานในทะเบียนรักษา จ านวน 1,021 คน และข้อมูลการเยี่ยมบ้านผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชน เดือน มิถุนายน 2560 มีผู้ป่ วยโรคเบาหวานในทะเบียนชุมชน จ านวน 673 คน โดยผู้ป่ วยเบาหวานจะได้รับการแนะน าการดูแลสุขภาพ การให้ค าปรึกษาการเยี่ยมบ้านจากบุคลากรสุขภาพ และ อาสาสมัครสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่ วยมีพฤติกรรม การดูแลตนเองถูกต้องและสามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือด ได้จากการสุ่มส ารวจผู้ป่ วยโรคเบาหวานจ านวน 60 คน พบว่า มากกว่าครึ่ง(ร้อยละ 52.45) ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน ้าตาล ในเลือดได้ดังนั้นผู้ป่ วยเหล่านี้จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการท าให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การดูแลตนเองผู้ป่ วยโรคเบาหวานภายในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพฯ คาดว่าผลของ การศึกษาครั้งนี้สามารถใช้ในการวางแผนการดูแลผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข40 บางแคต่อไป วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาปัจจัยในด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานการเข้าถึงบริการด้าน สาธารณสุข และการได้รับการสนับสนุนทางสังคมของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปั จจัยด้านความรู้ เกี่ยวกับโรคเบาหวานการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการได้รับการสนับสนุนทาง สังคมกับพฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ค าถามการศึกษา 1. พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานครเป็นอย่างไร 2. ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการได้รับการ สนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่ วยโรคเบาหวานภายในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานครหรือไม่อย่างไร สมมติฐานการศึกษา ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานการรับรู้ความ รุนแรงของโรคเบาหวานการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการ ได้รับการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือผู้ป่ วย โรคเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแคส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในระหว่างเดือน ตุลาคม พ.ศ.2559- มิถุนายน พ.ศ.2560จากทะเบียนผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชน จ านวน 673 คน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 8 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือผู้ป่ วย โรคเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนไว้ภายในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข40 บางแคส านักอนามัยกรุงเทพมหานครในระหว่าง เดือนตุลาคม พ.ศ.2559- มิถุนายน พ.ศ.2560จ านวน 113 คน โดยวิธีสุ่มแบบง่ายแล้วก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างส าเร็จรูป ของ Krejcieand Morgan (บุญมีพันธุ์ไทย, 2557) ได้กลุ่ม ตัวอย่างจ านวน 113 คน จากการเทียบตารางขนาดประชากร 2. วิจัยเป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานการรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวานการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการได้รับการ สนับสนุนทางสังคมกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชน 3. พื้นที่ศึกษาก าหนดพื้นที่คือผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 4. ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลใช้ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2560 ถึงวันที่18 สิงหาคม พ.ศ.2560 ตัวแปรทใี่ช้ในการศึกษา 5.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ 5.1.1 ปัจจัยด้านความรู้เรื่องโรคเบาหวาน 5.1.2 ปัจจัยด้านการรับรู้การรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน 5.1.3 ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข 5.1.4 ปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคม 5.2 ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการดูแลตนเองของ ผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร วิธีการด าเนินการศึกษา ประชากรที่ศึกษาครั้งนี้เป็ นผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ที่ขึ้นทะเบียนในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึงเดือนมิถุนายน 2560 รวม 49 ชุมชน จ านวน 673 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยการจับสลากขึ้นมา 1แขวง จาก 4แขวง (แขวงบางแค แขวงบางแคเหนือ แขวง หลักสอง) ได้แขวงบางไผ่ ซึ่งมีผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่ขึ้น ทะเบียน จ านวน 160 คน ในแขวงบางไผ่มีทั้งหมด 10ชุมชน แล้วน าไปค านวณจ านวนกลุ่มตัวอย่างโดยการเทียบตามตาราง กลุ่มตัวอย่างของKrejcie and Morgan(บุญมีพันธุ์ไทย,2557) ก าหนดจ านวนกลุ่มตัวอย่าง 113 คน หลังจากนั้นผู้วิจัยท า การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling)โดย วิธีการจับสลากแบบไม่แทนที่ (Sampling without Replacement) จนได้กลุ่มตัวอย่างครบจ านวน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาขึ้นจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วยส่วนที่ 1 คุณลักษณะส่วนบุคคล ส่วนที่ 2 ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความ รุนแรงของโรคเบาหวาน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม และส่วนที่ 3 พฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน โดยผ่านการตรวจสอบ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 คน มีค่า ดัชนีความความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 0.89 หลังจากนั้นน าไปปรับปรุง และทดลอง กับกลุ่มตัวอย่างจ านวน 40 คนหาอ านาจจ าแนกรายข้อและ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาค รอนบาช (Alpha-Coefficient Cronbach)ไดค้ ่าสมั ประสิทธิ์ความเช่ือม่นัของแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน เท่ากับ 0.898 ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานเท่ากับ 0.903 ด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เท่ากับ 0.838 ด้าน การได้รับการสนับสนุนทางสังคมเท่ากับ 0.880และส่วนที่ 3 พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานเท่ากับ 0.830จากนั้นเก็บข้อมูลจริงกับกลุ่มตัวอย่างน าข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปหา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ ทดสอบสมมุติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์ ส ห สั ม พั น ธ์ แ บ บ เ พี ย ร์สั น (Pearson’s Correlation Coefficients)


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 9 ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของ ศู น ย์บ ริก า รส า ธ า รณ สุข 40 บ า งแ ค ส า นั ก อ น า มั ย กรุงเทพมหานคร จ านวน 113 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 23 เพศหญิงร้อยละ 77 ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 76.10 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 69.90 มีระดับ การศึกษาต ่ากว่ามัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 71.70 และ ระยะเวลาของการป่ วยด้วยโรคเบาหวาน มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ร้อยละ 55.80การวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง สรุปผลได้ ดังนี้ 1. ปั จจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ใน ระดับสูง ปัจจัยด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน อยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอยู่ ในระดับมากที่สุดและปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทาง สังคมอยู่ในระดับมาก 2. พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน โดยรวมอยู่ในระดับสูง (x̅ = 2.39, SD = 0.25) 3. ความสัมพันธ์ของปัจจัยแต่ละด้าน พบว่าปัจจัย ในด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคและปัจจัยด้านการเข้าถึง บริการสาธารณสุขมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแล ตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในระดับต ่า (r = 0.342 และ 0.428) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัย ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และปัจจัยด้านการได้รับ การสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแล ตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในระดับต ่ามาก (r = 0.134 และ0.25) อย่างไม่มีนัยส าคัญ ทางสถิติ


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 10 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ตาราง 1 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคด้าน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การได้รับการสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ตาราง 2 แสดงผลการทดสอบสมมุติฐานที่ว่า “ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานการ เข้าถึงบริการสาธารณสุข และการได้รับการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร” *มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยทศี่ึกษา SD ระดับปัจจัย ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 0.83 0.12 มาก ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรค 4.42 0.37 มาก ด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข 4.55 0.43 มากที่สุด ด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคม 4.41 0.45 มาก พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน 64.42 0.25 ระดับสูง ปัจจัยทศี่ึกษา r Sig. ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 0.134 0.158 ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรค 0.342** 0.000 ด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข 0.428** 0.000 การได้รับการสนับสนุนทางสังคมด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน -0.025 0.793


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 11 อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ดูแลตนเองผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานครพบ ประเด็นที่น่าสนใจน ามาอภิปรายผล ดังนี้ 1. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้าน 1.1 ปัจจัยด้านความรู้เรื่องโรคเบาหวาน ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร มีความรู้เรื่องโรคเบาหวาน อยู่ในระดับสูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของกุสุมา กังหลี (2556) ซึ่งได้ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการควบคุมระดับน ้าตาลใน เลือดปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือด ของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดย ภาพรวมปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับต ่า เนื่องจากปัจจุบันมีช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น 1.2 ปัจจัยด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน อยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.42, SD = 0.37) แสดงว่าผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ในชุมชนตระหนักถึงความรุนแรงของโรคเบาหวาน ซึ่งหากควบคุม ระดับน ้าตาลในเลือดไม่ได้ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของวรรณรา ชื่นวัฒนา และ ณิชานฎ สอนพักดี (2557) ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ต าบลแม่นางอ าเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานในระดับมาก 1.3 ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอยู่ใน ระดับ ม ากที่ สุด (x̅= 4.55, SD = 0.43) ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของธีรยา วชิรเมธี (2550) ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์ ปัจจัยน า ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริมกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่ วย โรคเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือด ได้ในโรงพยาบาลขอนแก่น ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่าการได้รับ การสนับสนุนด้านการให้ก าลังใจเอาใจใส่ กระตุ้นเตือนจาก บุคคลใกล้ชิด แพทย์ พยาบาล ระดับมาก และสอดคล้องกับ การศึกษาของศิริวรรณ อินทรวิเชียรคชา (2555) ซึ่งศึกษาปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล จังหวัดอุบลราชธานี 1.4 ปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคมใน ระดับมาก ( = 4.41, SD = 0.45) ซึ่งสอดคล้องกับวิจัยของ อรทัย วุฒิเสลา (2553) ซึ่งศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการ ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน จังหวัด มุกดาหาร และงานวิจัยของศิริวรรณ อินทรวิเชียรคชา (2555) ที่ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่มารับบริการที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล จังหวัดอุบลราชธานีและสอดคล้องกับ การศึกษาของกุสุมา กังหลี (2556) ซึ่งศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ต่อการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 2. พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชนอยู่ในระดับสูง( = 64.42, SD = 6.65) ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของกฤษณ า ค าลอยฟ้า (2557) ซึ่งศึกษาและ เปรียบเทียบความแตกต่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ของปัจจัยส่วนบุคคลในผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลแก้งสนามนาง อ าเภอแก้งสนามนาง จังหวัด นครราชสีมา การศึกษาพบว่าผู้ป่ วยโรคเบาหวานมีพฤติกรรม การดูแลตนเองในภาพรวมอยู่ในระดับมากงานวิจัยของวรรณรา ชื่นวัฒนา และณิชานฎ สอนพักดี(2557) พฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานต าบลแม่นาง อ าเภอบาง ใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมอยู่ในระดับสูง การศึกษาของอุมากร ใจยั่งยืนและคณะ (2559) ซึ่งศึกษาการ ดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชน จังหวัดสุพรรณ บุรี ผลการวิจัย พบว่าผู้สูงอายุที่ป่ วยด้วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีพฤติกรรมในการดูแลตนเองในภาพรวม ของผู้ป่ วยอยู่ในระดับดีการศึกษาของสุปรียา เสียงดัง (2560) ซึ่งศึกษ าพ ฤ ติก รรม การดูแลสุขภาพ ต น เองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดไม่ได้โรงพยาบาล สิงหนคร อ าเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลาผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองผู้ป่ วยเบาหวานที่ควบคุม


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 12 น ้าตาลไม่ได้ในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลสิงหนครอยู่ใน ระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของหนึ่งฤทัย จันทร์อินทร์ (2559) ได้ศึกษาพฤติกรรมการดูแลเท้าของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับการ ตรวจรักษาที่ศูนย์เบาหวานโรงพยาบาลตากสิน ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่ วยมีพฤติกรรมการดูแลเท้าระดับสูง 3. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ปัจจัยแต่ละด้าน พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคและปัจจัยด้านการเข้าถึง บริการสาธารณสุขมีความสัมพันธ์ในระดับต ่ากับพฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการ สาธารณสุข 40บางแค ส านักอนามัยกรุงเทพฯอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปั จจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ในชุมชน ของศู น ย์บ ริการสาธารณ สุข 40 บ างแค ส านั กอน ามั ย กรุงเทพมหานคร ในระดับต ่ามากอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ สอดคล้องกับการศึกษาของ ศิริวรรณ อินทรวิเชียรคชา (2555) ซึ่งศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่มารับบริการที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล จังหวัดอุบลราชธานี และธีรยา วชิรเมธี (2550) ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยน าปัจจัยเอื้อ และปัจจัย เสริมกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดได้ในโรงพยาบาลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น งานวิจัยของสุปรียาเสียงดัง (2560) ศึกษา พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่ ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดไม่ได้ โรงพยาบาลสิงหนคร อ าเภอ สิงหนครจังหวัดสงขลา สอดคล้องกับงานวิจัยของวรรณรา ชื่น วัฒนา และนิชานาฎ ศรภักดี (2557) ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการดูแล ตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่มารับการตรวจรักษาคลินิก เบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลแม่นาง ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่ วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลตนเอง เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมโรค และรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อการดูแลสุขภาพของผู้ป่ วย โรคเบาหวานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ส่วนที่ไม่สอดคล้องกับ การศึกษาครั้งนี้คือการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม อาจ เนื่องมาจากวิถีการด าเนินชีวิตของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เป็นสังคมที่เน้นวัตถุนิยม และ ความทันสมัยแบบตะวันตกท าให้ไม่ค่อยมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมีน้อย จึงจ าเป็นต้องพึ่งตนเอง ท างานเพื่อตนเองหรือเพื่อครอบครัวของตัวเอง ความผูกพันใน ครอบครัวมีน้อยมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผูกพันกับเพื่อนบ้านมีน้อยลง สมาชิกของแต่ละครอบครัวมี สถานที่ท างานต่างสถานที่และต่างอาชีพ มักใช้เวลาส่วนมากใน การท างานเพื่อร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ท าให้มีเวลาในการสังสรรค์ต่อกันน้อย ประโยชนท์ ไี่ด้รับจากการวิจัย 1. ได้ทราบถึงพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 2. สามารถน าข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการดูแลผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชนมีพฤติกรรมการดูแลตัวเองที่ถูกต้องเหมาะสมไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานและมีภาวะสุขภาพอนามัย ที่ดีต่อไป ข้อเสนอแนะส าหรับการศึกษา 1. จากผลการวิจัยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าควรจะปรับปรุง และพัฒนาการบริหารจัดการการดูแลผู้ป่ วยโรคเบาหวานใน ชุมชน เรียงตามล าดับผลการวิจัยดังนี้ 1.1 ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานของ ผู้ป่ วยโรคเบาหวานโดยรวมอยู่ในระดับสูง ดังนั้นควรพัฒนา กิจกรรมการให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวานแก่ผู้ป่ วยเบาหวานโดย ใช้การสื่อที่มีความทันสมัยเพื่อให้เหมาะสมกับวิถีการด ารงชีวิต ของคนเมืองในปัจจุบัน เช่นกลุ่ม Line และ Facebook เป็ น


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 13 ช่องทางในการติดต่อสื่อสารให้ความรู้ค าแนะน า รวมทั้งให้ ค าปรึกษาในด้านสุขภาพแก่ผู้ป่ วย และญาติ 1.2 ปัจจัยด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน อยู่ในระดับมากต้องให้ผู้ป่ วยตระหนักถึงความรุนแรงของ โรคเบาหวานซึ่งหากควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดไม่ได้ก็อาจ ส่งผลต่อสุขภาพอาจเกิดโรคแทรกซ้อน และอาจเสียชีวิตก่อนวัย อันควรได้จะท าให้ผู้ป่ วยโรคเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแล ตนเองได้ดี 1.3 ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอยู่ใน ระดับมากที่สุดต้องควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ผู้ป่ วย โรคเบาหวานเชื่อมั่นในการบริการของสถานพยาบาล 1.4 ปัจจัยด้านการได้รับการสนับสนุนทางสังคมอยู่ ในระดับมาก ควรส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่าย โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ช่วยเหลือ ซึ่งกันและ กันเป็นการพบปะสังสรรค์ในชุมชน ท าให้การด าเนินชีวิตของ ผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นยิ่งขึ้น 2. จากผลการวิจัยพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับสูง การ พัฒนารูปแบบจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อเป็นการส่งเสริมและ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ในชุมชนในแต่ละด้านให้มีความเหมาะสม 3.จากการทดสอบสมมุติฐานพบว่าปัจจัยด้านการรับรู้ ความรุนแรงของโรคและปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนของศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค ส านักอนามัย กรุงเทพมหานครเชิงบวกความสัมพันธ์ในระดับ ต ่าดังนั้นต้องเพิ่มความตระหนักให้ผู้ป่ วยโรคเบาหวานรับรู้ความ รุนแรงของโรค และปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่ วยโรคเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ข้อเสนอแนะสา หรับการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษาเชิงทดลองเกี่ยวกับกิจกรรมการสร้างเสริม สุขภาพแก่ผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนเพื่อใช้เป็นแนวทางใน การแก้ไขปัญหาของผู้ป่ วยโรคเบาหวานต่อไป 2. ควรมีพัฒนารูปแบบบริการหรือศึกษา โดยจัดโปรแกรม การดูแลตนเองให้กับผู้ป่ วยโรคเบาหวานในชุมชนเป็นรายบุคคล หรือใช้ระบบแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อพัฒนางานบริกการต่อไป


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 14 เอกสารอ้างอิง กฤษณา ค าลอยฟ้า. (2557). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานในคลินิกโรคเบาหวานโรงพยาบาลแก้งสนาม นางอ าเภอแก้ง สนามนาง จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี, 17(1-6), 17-30. กุสุมา กังหลี. (2557). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระ มงกุฎเกล้า. วารสารพยาบาลทหารบก, 15(3), 256-270. ธีรยา วชิรเมธาวี. (2550). ความสัมพันธ์ของปัจจัยน าปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริมกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดได้ในโรงพยาบาลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสต รมหาบัณฑิต สาขาวิชา สุขศึกษา และการสร้างเสริมสุขภาพบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น). บุญมี พันธุ์ไทย. (2557). ระเบียบวิธีวิจัยการศึกษาเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค าแหง. มยุรี หอมสนิท. (2556). การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเบาหวานใน: ประเสริฐอัสสันตชัย (บรรณาธิการ). ปัญหาสุขภาพที่ พบบ่อยในผู้สูงอายุและการป้องกัน. (น. 195-220). กรุงเทพมหานคร: ยูเนี่ยน ครีเอชั่น. วรรณรา ชื่นวัฒนา และ นิชานาฎ สอนพักดี. (2557).การดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ต าบลแม่นาง อ าเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี.วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี, 6(9-12), 163-170. ศิริวรรณ อินทรวิเชียรคชา. (2555). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่มารับ บริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต าบลจังหวัดอุบลราชธานี. (วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการ สร้างเสริมบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี). สาธิต วรรณแสง วรรณี นิธิยานันท์ และ ชัยชาญดีโรจนวงศ์. (2550). สถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยสมาคมโรคเบาหวาน และต่อมไร้ท่อ แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ. สุธาสินี จันทรจิรติกุล. (2551). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ใน โรงพยาบาลกรุงเทพ. (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชาเอกโรคติดเชื้อ และวิทยาการระบาดบัณฑิต,มหาวิทยาลัยมหิดล). สุปรียา เสียงดัง. (2560). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดไม่ได้โรงพยาบาล สิงหนคร อ าเภอ สิงหนคร จังหวัดสงขลา. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาล และการสาธารณสุขภาคใต้, 4(1-4), 191-203. สุภาภรณ์ อนุรักษ์อุดม. (2552). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพด้านโภชนาการของผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที่2ที่มารับ บริการรักษาในคลินิก โรงพยาบาลมะการักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตสาขา พยาบาลผู้ใหญ่,มหาวิทยาลัยคริสเตียน). หนึ่งฤทัย จันทร์อินทร์. (2559). พฤติกรรมการดูแลเท้าของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับการตรวจรักษาที่ศูนย์เบาหวานโรงพยาบาลตาก. (วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบารามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล). อรทัย วุฒิเสนา. (2553). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน จังหวัดมุกดาหาร. (วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการสร้างเสริมสุขภาพบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี). อุมากร ใจยั่งยืน, ณัฎฐวรรณ ค าแสน, เพ็ญรุ่ง วรรณดี และสาวิตรี แก้วน่าน. (2559). การดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่ป่ วยด้วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชน จังหวัดมหาสารคราม. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 6(11-12).214-222.


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 15 Cohen, J. (1988). Statisistical Power Analysis.forbehaviouralscienc. Hillsdale, N. Lawrence. Erlbaum Associates.Edward Schneiderand Jack M. Guralnik. The Aging of America. 1990. 263:17. McEwen, M. M., Pasvogel, A., Gallegos, G., & Barrera, L. (2010). Type 2 diabetes self-management socialsupportintervention in the U.S. Mexico Border. Public Health Nursing. 27(4), 310-319. Rattic,B.A., Shrauger, D. G.,Recker, R.R., Gallagher, T. F., &Wiltse, H. (1986). A randomizedstudy of the effects of a home diabetes education program. Diabetes Care, 9, 173-178. Richard Crackhell. (2010).The Ageing Pupulation. Key issues for the new Pareament. House of commonsLibbralyResauch2010. Government Actuary’ Department. Roger, E.M. (1983). Diffusion of Innovation. 3rd ed. New York. The Free, B. A., Shrauger, D. G., Recker, R.R., Gallagher, T. F., & Wiltse, H. (1986).A randomized study of the effects of a home diabeteseducation program. Diabetes Care, 9, 173-178.


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 16 การพัฒนารูปแบบการจัดบรกิารอาชีวอนามัยเพอื่การสร้างเสริมสุขภาพใน โรงงานผลิตเบาะรถยนต์ ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ฉันทนา จันทวงศ์* จันทร์ทิพย์ อินทวงศ์** ศิรินทร์ทิพย์ ชาญด้วยวิทย์** ยุพา ดาวเรือง *** บทคัดย่อ พยาบาลมีบทบาทส าคัญในการจัดบริการอาชีวอนามัยในสถานประกอบการที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การวิจัย เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหาร ผู้จัดการแผนกบุคคล และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย วิศวกรออกแบบระบบ หัวหน้างาน และพยาบาล จ านวน 10 คน และพนักงานระดับปฏิบัติการ จ านวน 19 คน ที่เต็มใจเข้าร่วมวิจัยกระบวนการพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการ จัดบริการพยาบาลอาชีวอนามัย โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการส ารวจสถานการณ์ปัญหาภาวะสุขภาพ การจัดบริการอาชีวอนามัย บทบาทของพยาบาล และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง น ามาร่วมกันสังเคราะห์และพัฒนาเป็นรูปแบบ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมของ ผู้เกี่ยวข้อง กิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบ คือสร้างศักยภาพของทีมงาน อบรม/จัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ/ป้องกันโรค และพา ทีมงานท าการควบคุมทางวิศวกรรม การบริหารจัดการและการควบคุมที่คน ประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ส ารวจกลุ่ม อาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก แบบประเมินปัจจัยเสี่ยงด้านลักษณะการท างานซ ้าๆเดิมและความถี่ของ รยางค์ส่วนบน เครื่องมือสมรรถภาพทางกาย แนวทางการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ผลการวิจัยได้รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยแบบมีส่วนร่วมจากการท างานเป็นทีมของบุคลากรทางด้านอาชีวอนามัย ที่มี ประสิทธิภาพ มีพยาบาลในทีมสามารถร่วมกันแก้ปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อซึ่งสามารถประเมินปัญหา เลือกปัญหาที่จ าเป็นต้อง แก้ไขเร่งด่วน ด าเนินการแก้ไขปัญหา และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูก ในช่วง 6เดือนหลังเข้าร่วมกิจกรรม ผลพบว่าดีขึ้นโดยพนักงาน มีอาการเจ็บปวดลดลง ได้แก่ บริเวณข้อมือ/มือจากร้อยละ 73.7เหลือ ร้อยละ 47.4หลังส่วนล่างจากร้อยละ 63.2เหลือร้อยละ 42.1 ผลการตรวจสมรรถภาพทางกาย พนักงานมีแรงบีบมือจากระดับต ่ามาก 10 คน เปลี่ยนเป็นระดับปานกลาง 1 คน ระดับต ่า 3 คน มีแรงเหยียดขาจากระดับดีเยี่ยม 2 คนเพิ่มเป็น 4 คน ระดับดีมากจาก 1 คน เพิ่มเป็น 3 คน ระดับต ่า 12 คน เปลี่ยนเป็นระดับ ปานกลาง 4 คน ระดับต ่า 5 คน นั่งงอตัวไปข้างหน้า เปลี่ยนจากระดับต ่ามาก 2 คนและระดับต ่า 5 คนเป็นระดับปานกลาง 8 คน ระดับต ่า 2 คน ข้อเสนอแนะ รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการการพยาบาล อาชีวอนามัยในสถานประกอบการขนาดกลาง ที่มีพยาบาลท างานแบบเต็มเวลา มีผู้บริหารและทีมงานที่ให้ความร่วมมือ ค าส าคัญ: รูปแบบการจัดบริการพยาบาลอาชีวอนามัย โรงงานผลิตเบาะรถยนต์


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 17 Development of Occupational Health Services Model for Health Promotion in Automotive Seating Factory, Eastern Seaboard Industrial Estate ChantanaChantawong, ChanthipIntawong SirintipChanduaywit,YupaDaoraung Abstract Occupational health nurse have the important role in providing occupational health services. The objectives of this participatory action research were to develop occupational health services model for health promotion in automotive seating factory, Eastern seaboard industrial estate. The research subjects consisted of working team (included administrator, and HR manager, safety manager, line supervisors, nurse) and 19 workers from medium scale automotive seating factory which is willing to participate. The model development process were1) analyze and synthesized the survey data about the health problem of workers, occupational health services providing, Role and responsible of occupational health nurse and related literature to form occupational health services model for health promotion by participatory of relevant staff and workers. The model development activities were 1) staff team building: (administrator, line supervisors, safety, nurse, and representatives of the staff), training and meeting staff team and 2) Leading the team to implement in engineering control, administrative control and personal control. 3) evaluation. Research instrument included symptoms survey of WMSD with standard Nordic instrument, Assessment Repetitive Task (ART tool), physical fitness test, focus group guideline and in-depth interview guideline. The statistical analysis using descriptive statistics. The results showed that the developed occupational health services model was launched by staff team, especially nurse participate in the team. The effective staff team can identify the health problem, select the urgent problem, solve the problem, then evaluation. The intervention can reduce the prevalence of musculoskeletal pain after intervention for 6 months; wrist/hand pain lower the prevalence from 73.7 % to 47.4%, lower back pain lower the prevalence from 63.24% to 42.1 %. The scores of physical fitness increased after the intervention; grip strength from very low for 10 workers to be medium level 1 worker and low level for 3 workers, Leg strength in excellent from 2 workers going up to 4 workers, in good level from 1 workers going up to 3 workers, from lower level 12 workers turn to be medium level 4 workers and lower level 5 workers, sit and reach test from very low level for 2 workers and low level for 5 workers turn to be medium level 8 workers and low level 2 workers. This study suggested that the occupational health services model for health promotion that was developed in this study can apply to medium scale factory which have full time nurse and have good participation of administrator, staff, and workers. Keywords: occupational health services model, automotive seating factory.


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 18 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา การสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกันโรคและความ ปลอดภัยของผู้ประกอบอาชีพ เป็นสิ่งส าคัญและเป็นที่ตระหนักกัน ดี ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน หากผู้ประกอบอาชีพมี สุขภาพอนามัยดี และได้ท างานในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย จะเป็น การลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการประกอบอาชีพ เช่น อันตราย จากการท างาน ปัญหาการเจ็บป่ วยด้วยโรคจากการท างาน ฯลฯ การดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของผู้ประกอบอาชีพ ต้องอาศัยบุคลากรทางด้านอาชีวอนามัยหลายประเภท อาทิ พยาบาล แพทย์ เจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยในการท างาน นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม นักการยศาสตร์ เป็นต้น แต่เนื่องจาก แต่ละวิชาชีพมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลสุขภาพคนท างานใน ลักษณะที่แตกต่างกัน พยาบาลอาชีวอนามัยเป็นบุคลากรทาง สุขภาพที่มีบทบาทหน้าที่ในการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และ ปกป้องสุขภาพของคนท างานจากอันตรายที่อาจเกิดจากการ ท างานโดยการจัดบริการอาชีวอนามัยในสถานประกอบการที่ ครอบคลุมทั้งด้านการรักษาพยาบาลเบื้องต้น การป้องกันโรค การ ส่งเสริมสุขภาพ การฟื้นฟูสุขภาพ และการบริหารจัดการในดูแล สุขภาพของพนักงานและคนท างานให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิต ที่ดี และมุ่งสู่การมีสุขภาพสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้าน สุขภาพของคนท างาน (Rogers,1994) บริการอาชีวอนามัยเป็นการ จัดบริการที่มุ่งเน้นด้านการป้องกันโดยการแนะน านายจ้าง ลูกจ้าง ในสถานประกอบการ ด าเนิ นการให้สิ่ งแวดล้อมในสถาน ประกอบการปลอดจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและโรคจากการ ท างานเพื่อท าให้ผู้ท างานมีสุขภาพกายและจิตที่ดีสอดคล้องกับ งานและลักษณะการท างานที่เหมาะสมกับผู้ท างาน การจัดการดูแลสุขภาพอนามัยในการท างานให้แก่ พนักงาน คือการจัดให้มีบริการอาชีวอนามัยขึ้นในสถาน ประกอบการ โดยที่งานอาชีวอนามัยนั้นเป็นงานสาธารณสุขงาน หนึ่งที่ให้บริการเพื่อการดูแลสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพที่อาจ ประสบอันตรายหรือสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพจากการท างาน ให้ มีสุขภาพอนามัยที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม งานบริการอาชีวอนามัยที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพต้องเกิด จากบุคลากรในทีมอาชีวอนามัยที่ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ ของตนอย่างถูกต้อง และมีศักยภาพในการให้บริการอย่างครบ วงจร รวมไปถึงนายจ้างหรือผู้บริหารสถานประกอบการ และ ผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพพนักงานทุกส่วน/แผนก อาทิเช่น ผู้จัดการแผนกบุคคล เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย วิศวกรความ ปลอดภัย เป็ นต้น ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ และต้องมีหน้าที่ ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดสภาพการท างานที่ปลอดภัย (ราชกิจจานุเบกษา, 2548) โดยจะต้องน าเอามาตรการต่าง ๆ ที่ จ าเป็นมาใช้ในการป้องกันโรคหรือการประสบอันตรายให้กับ ลูกจ้างดังนั้น ถ้าผู้บริหารมีความตระหนักและมีความสามารถ ในการบริหารจัดการบริการอาชีวอนามัยได้อย่างครอบคลุมแล้ว ก็จะท าให้การด าเนินงานอาชีวอนามัยในสถานประกอบการมี ประสิทธิภาพ พยาบาลเป็ นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทส าคัญ ในการ จัดบริการอาชีวอนามัยในสถานประกอบการที่มุ่งเน้นทั้งการ สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพโดยการ จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม คุ้มครองความปลอดภัยและความผาสุก ของคนท างานจัดบริการดูแลสุขภาพปรับสภาพงานและ สิ่งแวดล้อมในการท างานให้มีความเหมาะสมตามความสามารถ ของพนักงาน ซึ่งพยาบาลอาชีวอนามัยจะต้องมีสมรรถนะเชิงวิชาชีพ มีความรู้ ความสามารถ ประยุกต์องค์ความรู้จากศาสตร์สาขา ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาเป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพพนักงาน รวมถึงการด าเนินงานด้านต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนการด าเนินงาน ด้านอาชีวอนามัย เพื่อดูแลสุขภาพผู้ประกอบอาชีพให้เกิด สวัสดิภาพและความปลอดภัย (พิมพ์พัฒน์ จันทร์เทียน,วิกร ตัณฑวุฑโท, สุรชัย จิวเจริญกุล, &พนิต เข็มทอง, 2555) งานวิจัยที่ผ่านมา ภาวนา อานามวัฒน์ (2551) ศึกษา เรื่องการจัดบริการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของสถาน ประกอบการประเภทอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะในโรงงาน ขนาดเล็กและขนาดกลาง จังหวัดระยอง พบว่าองค์ประกอบของ บุคลากรในการจัดบริการอาชีวอนามัยความปลอดภัย ส่วนใหญ่ไม่มีบุคลากรด้านสุขภาพโดยไม่มีแพทย์ ร้อยละ 77.14 และไม่มีพยาบาลวิชาชีพร้อยละ 68.57 และไม่มีเจ้าหน้าที่


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 19 ความปลอดภัยระดับวิชาชีพร้อยละ 71.43 การจัดบริการ อาชีวอนามัยในสถานประกอบการที่มีพนักงาน 201-1,000 คน พบว่า มีการจัดกิจกรรมร้อยละ 100ได้แก่ กิจกรรมการให้ข้อมูล เบื้องต้นแก่สถานประกอบการ อาทิเช่น ข้อมูลด้านสุขภาพการ เจ็บป่ วยของพนักงาน ข้อมูลด้านความปลอดภัยและอุบัติเหตุ มีกิจกรรมการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพร้อยละ 100 ทางเคมี ร้อยละ 60 การประเมินสุขภาพตามความเสี่ยง มีการ ตรวจสมรรถภาพการได้ยิน การมองเห็น สมรรถภาพปอด มีการ เฝ้าระวังสุขภาพของพนักงาน ได้แก่การตรวจสุขภาพก่อน เข้างาน ระหว่างท างาน แต่ไม่มีการตรวจสุขภาพก่อนการเข้า ท างานหลังเจ็บป่ วย มีการแนะน ามาตรการป้องกันและควบคุม สิ่งคุกคามต่อสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพโดยการ จัดกิจกรรมส่งเสริม กระตุ้น ให้ความรู้ด้านเสียงตามสาย และ แจ้งหัวหน้างาน ส าหรับการศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นรูปแบบการ จัดบริการที่จัดบริการอาชีวอนามัยที่ให้บริการโดยสถานบริการ สาธารณสุขภาคเอกชนในสถานประกอบการขนาดใหญ่และ ขนาดกลาง ส่วนใหญ่เป็ นรูปแบบการจัดบริการที่จัดบริการ อาชีวอนามัยที่ให้บริการโดยภาคเอกชน (Private health center model) เป็ นการให้บริการจากตัวแทนธุรกิจการให้บริการ ภาคเอกชนเป็นผู้ด าเนินการจัดขึ้น และเสนอขายบริการให้แก่ สถานประกอบการการบริหารจัดการจะเป็นการด าเนินงานโดย ภาคธุรกิจที่จัดตั้งเอง โดยไม่มีส่วนร่วมจากตัวแทนของสถาน ประกอบการ รวมทั้งไม่มีการว่าจ้างการจัดบริการ ท าให้บริการที่ จัดเป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นไปตามที่ International Labour Organization; ILO ก าหนด รวมทั้งไม่ได้เน้นการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ที่เป็นปัญหาล าดับต้นๆของสถานประกอบการและแก้ปัญหาโดย ขาดการมีส่วนร่วมจากตัวแทนของสถานประกอบการ ยังไม่มีผู้ใด ศึกษาการพัฒนารูปแบบการพยาบาลอาชีวอนามัยเพื่อการสร้าง เสริมสุขภาพโดยมีส่วนร่วมจากตัวแทนของสถานประกอบการที่ เน้นการพัฒนาบทบาทพยาบาลในการจัดบริการในสถาน ประกอบการขนาดกลางที่มีพนักงานมากกว่า 800 คน การศึกษา ครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนา และทดลองใช้รูปแบบการ จัดบริการพยาบาลอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพใน สถานประกอบการซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการ การพยาบาลอาชีวอนามัยที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้พนักงาน มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลลดค่าใช้จ่าย ของสถานประกอบการและประเทศชาติ สถานประกอบการได้ผล ผลิตที่สูงขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการ สร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ ค าถามการวิจัย รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริม สุขภาพในสถานประกอบการที่พัฒนาด้วยกระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมมีลักษณะอย่างไร สมมุติฐานการวิจัย รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริม สุขภาพ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมจะช่วยสร้างเสริมสุขภาพของ พนักงานในสถานประกอบการ กรอบแนวคิด 1. ผู้วิจัยใช้แนวคิดกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมี ส่วนร่วมแบบด าเนินการโดยอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกันกับ ผู้ร่วมวิจัย (mutual collaboration approach) ตามแนวคิดของ แคมมิสและแมคแทคการ์ท (Kemmise & Mctaggart, 1988) ได้กล่าวถึงวงจรของวิจัยเชิงปฏิบัติการเริ่มต้นที่การวางแผน (Planning) เป็นการวางแผนเพื่อน าไปสู่วิธีการปฏิบัติ ต่อมาคือการปฏิบัติ (Action) คือการปฏิบัติการตาม แผนที่วางไว้ จากนั้นเข้าสู่การสังเกตเพื่อติดตามผลการ ปฏิบัติงาน (Observation) และขั้นตอนสุดท้ายคือการสะท้อน (Reflection) เป็นการสะท้อนคิดผลจากการปฏิบัติงานว่าบรรลุ วัตถุประสงค์ตามแผนที่วางไว้หรือไม่ กระบวนการนี้จะช่วยให้ ผู้วิจัยได้เรียนรู้ เข้าใจถึงจุดอ่อน จุดแข็งของแผนเพื่อน าไปสู่การ ปรับแผนงานในขั้นตอนต่อไป


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 20 2. ผู้วิจัยใช้แนวคิดการจัดบริการอาชีวอนามัยตาม แนวคิดการจัดบริการอาชีวอนามัย ขององค์กรแรงงานระหว่าง ประเทศ (International labor organization: ILO, 1985) กิจกรรมการจัดบ ริการอาชีวอนามัย (ILO, 1985) ประกอบด้วย 1)การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของสถานประกอบการ 2)การเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ 3)แจ้งผลการ เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมให้นายจ้างทราบเกี่ยวกับสิ่งคุกคามต่อ สุขภาพที่ตรวจพบแนะน าถึงมาตรการที่ควรด าเนินการในการ ป้องกันควบคุมสุขภาพและสิ่งที่นายจ้างลูกจ้างควรกระท า 4) การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ (health risk assessment) 5)การเฝ้าระวังสุขภาพของพนักงาน(surveillance of workers’ health)6)แนะน ามาตรการป้องกันและควบคุมสิ่งคุกคามต่อ สุขภาพตามแนวทางอาชีวสุขศาสตร์ 7)การจัดการปฐม พยาบาลและแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน 8)การจัดบริการสุขภาพ ประกอบด้วยกิจกรรมการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการท างาน และสุขภาพทั่วไป 9)การฟื้นฟูสภาพ (rehabilitation) ร่างกาย และจิตใจให้พนักงานให้กลับมาท างานตามปกติได้ในระยะเวลา อันเหมาะสม 10)การปรับงานให้เหมาะกับพนักงาน 11)การ คุ้มครองกลุ่มเสี่ยง 12)การฝึกอบรมและการให้ข้อมูล 13)การ สร้างเสริมสุขภาพ (health promotion) งานวิจัยเรื่องนี้เน้นการ จัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคโดย เลือกปัญหาที่ทีมงานของสถานประกอบการเห็นว่าควรแก้ไข เป็นอันดับแรกมาเป็นสถานการณ์ที่ใช้ในการจัดบริการอาชีวอ นามัย นั่นคือปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และใช้กิจกรรมการ จัดบริการอาชีวอนามัย ได้แก่ การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ การเฝ้าระวังสุขภาพของพนักงาน จากนั้นจึงจัดบริการสุขภาพ เพื่อแก้ปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยแนะน ามาตรการป้องกัน และควบคุมสิ่งคุกคามต่อสุขภาพตามแนวทางอาชีวสุขศาสตร์ การฝึ กอบรมและการให้ข้อมูล การปรับงานให้เหมาะกับ พนักงาน และการสร้างเสริมสุขภาพ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน กับทีมงานของสถานประกอบการและพนักงานระดับปฏิบัติการ วิธีด าเนินการวิจัย การด าเนินการวิจัยระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2558 ถึงตุลาคม 2560 ภายหลังจากได้รับการอนุมัติจากกรรมการ จริยธรรมเรียบร้อยแล้ว รูปแบบการวิจัย การวิจัยนี้เป็นรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วน ร่วม (Participatory Action Research: PAR) ซึ่งใช้การวิจัย ผสมกันในระหว่างการเก็บข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณ(Quantitative Method) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ผู้บริหารสถานประกอบการ ผู้จัดการแผนกบุคคล และ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยหรือวิศวกรความปลอดภัย พนักงาน ระดับปฏิบัติการในสถานประกอบการขนาดกลาง เขตพื้นที่ภาค ตะวันออก กลุ่มตัวอย่าง ผู้บริหารสถานประกอบการ ผู้จัดการแผนกบุคคล และ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยหรือวิศวกรความปลอดภัย พนักงาน ระดับปฏิบัติการ ในสถานประกอบการขนาดกลาง เขตพื้นที่ภาค ตะวันออก ที่ยินดีเข้าร่วมงานวิจัย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ คัดเข้า จ านวน 19 คน การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ในสถานประกอบการขนาดกลาง เขตพื้นที่ภาตะวันออก ที่ให้ความร่วมมือ เครื่องมือ เครื่องมือวิจัย แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินกลุ่มอาการ ผิดปกติของระบบกระดูก โครงร่างกล้ามเนื้อ ใช้แบบส ารวจกลุ่ม อาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก (Symptoms Survey) โดยดัดแปลงจากแบบสอบถามมาตรฐาน นอร์ดิดของคูรินกาและคณะ (Kuorinka et al., 1987) เป็นการ ระบุต าแหน่งของความผิดปกติกลุ่มอาการผิดปกติของ กล้ามเนื้อ และโครงร่างของกระดูกในช่วง 7วันและ 12เดือนที่


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 21 ผ่านมาโดยลักษณะของแบบสอบถามเป็นข้อค าถามแบบปิด โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน ดังนี้ ไม่มีอาการผิดปกติในทุกต าแหน่ง 0 คะแนน มีอาการผิดปกติตั้งแต่ 1 ต าแหน่งขึ้นไป 1 คะแนน ส่วนที่ 2 การประเมินระดับความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ที่ มีความเฉพาะและสอดคล้องกับในแต่ละลักษณ ะงานใช้ เครื่องมือ Assessment RepetitiveTask (ART tool)หรือ แบบ ประเมินปัจจัยเสี่ยงด้านลักษณะการท างานซ ้าๆเดิมและความถี่ ของรยางค์ส่วนบน ประเมินปัจจัยเสี่ยดังนี้ 1)การท างานที่ต้อง ท าซ ้าๆเดิมและความถี่ 2)การออกแรง การท างานที่ต้องออกแรง ยึดจับสิ่งของด้วยมือ 3)ท่าทางการท างานไม่เหมาะสม 4)ปัจจัย เสริม ได้แก่ ระยะเวลาของการท างานก่อนหยุดพัก อัตราหรือ ความเร็วในการท างาน ปัจจัยอื่นๆ (การใช้ถุงมือในการท างาน การใช้เครื่องมือ งานที่มีแรงกดเฉพาะที่ของมือและแขนแสง สว่างในการท างาน) และระยะเวลาท างาน การให้คะแนน การให้คะแนนตามตารางตามที่ก าหนดไว้ และจัดระดับความเสี่ยงในแต่ละปัจจัย แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับความเสี่ยงต ่า (สีเขียว) ระดับความเสี่ยงปานกลาง (สีเหลือง) และระดับความเสี่ยงสูง (สีแดง) การแปลผลคะแนนความเสี่ยงจัดระดับความเสี่ยงของ ลักษณะงานเพื่อน าไปปรับปรุง แก้ไข แบ่งเป็ น 3 ระดับ คือ คะแนน 0-11 (สีเขียว) ระดับความเสี่ยงต ่า เสนอแนะให้ พิจารณ าปั จจัยเสี่ยงด้านบุคคล ร่วมด้วย คะแนน 12-21 (สีเหลือง) ระดับความเสี่ยงปานกลางควรมีการตรวจสอบ วิเคราะห์เพิ่มเติม คะแนน 22ขึ้นไป (สีแดง) ระดับความเสี่ยงสูง ตรวจสอบ วิเคราะห์เพิ่มอย่างเร่งด่วน ส่วนที่ 4แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวทางการ สนทนากลุ่มย่อย คุณภาพของเครื่องมือ ใช้แบบการประเมินความเสี่ยงอาการผิดปกติของระบบ โครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อ ส านักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรคและการประเมินร่างกาย ส่วนบนแบบรวดเร็ว(Rapid Upper Limb Assessment: RULA) เป็นเครื่องมือมาตรฐานจึงไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือ วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล การพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัย เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ ด าเนินการพัฒนา รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัย โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการ ส ารวจสถานการณ์ภาวะสุขภาพ การจัดบริการอาชีวอนามัย บทบาทของพยาบาลและภาคีเครือข่ายการท างานในสถาน ประกอบการ ซึ่งเป็นการศึกษาในระยะที่ 1ของการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ รวมทั้งวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันสังเคราะห์และพัฒนาเป็น รูปแบบโดยใช้หลักการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องได้แก่พยาบาล ประจ าสถานประกอบการเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย กิจกรรมด าเนินการพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบมีขั้นตอนดังนี้ 1. จัดตั้งทีมงานของบริษัทท างานร่วมกับทีมวิจัยก าหนด บทบาทหน้าที่ ระบบการท างานร่วมกัน 2. ระบุปัญหาด้านการยศาสตร์ และจัดล าดับความ ส าคัญ คัดเลือกแผนกที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องด าเนินการ เลือกได้แผนก seating (ประกอบเก้าอี้นั่งในรถยนต์) 3. รวบรวมข้อมูลจากการใช้เครื่องมือประเมิน และ รายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง น าข้อมูลมาวิเคราะห์และหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยงด้านการยศาสตร์จาก ลักษณะ งานและผลการส ารวจกลุ่มอาการผิดปกติ ทางระบบกล้ามเนื้อ และโครงสร้างกระดูกของพนักงาน ผู้จัดการแผนกบุคคล หัวหน้างาน วิศวกรออกแบบระบบตัวแทนพนักงานระดับ ปฏิบัติการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนา รูปแบบคือการสนทนากลุ่ม (focus group) ประชุมปรึกษาหารือ อบรมและจัดกิจกรรมเพื่อสร้างศักยภาพของทีมงาน อบรมและ จัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ/ป้องกันโรคให้พนักงานกลุ่มที่ เลือกมาแก้ไขปัญหาน ารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยที่ พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ ประเมินผล 4. สนทนากลุ่ม (focus group) ระหว่างทีมวิจัยและ ทีมงานของโรงงาน เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะในการ แก้ปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ร่วมกันหาแนวทางปรับปรุงและ แก้ไขทั้งในส่วนของสิ่งคุกคามจากงานและแก้ไขที่ตัวพนักงาน 5. อบรมทีมงานของโรงงานประกอบด้วยพยาบาล ผู้บริหาร ผู้จัดการแผนกบุคคล และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย วิศวกรออกแบบระบบ หัวหน้างานจ านวน 10 คน เนื้อหาที่อบรม


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 22 ได้แก่ ความรู้ด้านการยศาสตร์ การประเมินระดับความเสี่ยง ด้านการยศาสตร์ที่มีความเฉพาะและสอดคล้องกับในแต่ละ ลักษณ ะงานโดยใช้ ART tool และการใช้เครื่องมือส ารวจ กลุ่มอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก ประเมินสมรรถภาพทางกาย 6. ทีมวิจัยและทีมงานของโรงงาน ร่วมกันส ารวจกลุ่ม อาการผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ประเมิน สมรรถภาพทางกาย ส ารวจปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์ด้วย เครื่องมือ ART tool 7. ทีมวิจัยน าเสนอผลการส ารวจกลุ่มอาการผิดปกติของ ระบบกล้ามเนื้อโครงสร้างกระดูกและผลการส ารวจความเสี่ยง ทางการยศาสตร์ด้วยเครื่องมือ ART tool และน าเสนอผลการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการผิดปกติ ของระบบกล้ามเนื้อโครงสร้างกระดูกเพื่อให้ทีมงานของสถาน ประกอบการเข้าใจปัญหาและสาเหตุของปัญหาและเสริมสร้าง แรงจูงใจในการแก้ปัญหาร่วมกัน 8. ทีมวิจัยและทีมงานของสถานประกอบการร่วมกัน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยใช้หลักการ ป้องกันตามหลักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม 3ระดับ ดังนี้ 8.1 การแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล (personal control) พบปัญหาพนักงานปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยปวดที่หลังส่วนล่าง 12 คน (ร้อยละ 63.2) ข้อมือ/มือ 11 คน (ร้อยละ 57.9) เป็นต้น ดังตารางที่ 1 ดังนั้น intervention ที่จัดให้ได้แก่ ร่วมกันจัดอบรม พนักงานแผนก seating จ านวน 2 รอบ อบรมครั้งที่ 1 เรื่อง ปัจจัยเสี่ยงโรคที่เกิดจากการท างานและการป้องกันแนวทางการ ปรับปรุงแก้ไขปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (การปรับท่าทาง การ ยกเคลื่อนย้ายที่ถูกวิธีการใช้ Hand tool) สาธิตและสาธิต ย้อนกลับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเสริมสร้างความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อโดยนักวิทยาศาสตร์การออกก าลงกาย ขอความ ร่วมมือหัวหน้างานและพนักงานในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุก วันก่อนเริ่มงานครั้งละ 10 นาที การเสริมสร้างความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อ (weight training) ขอให้พนักงานกลับไปท าที่บ้าน โดยมีพยาบาลและหัวหน้างาน คอยติดตามกระตุ้นเตือน เสริมสร้างแรงจูงใจ อบรมพนักงานครั้งที่ 2 เน้นย ้าเรื่องปัจจัย เสี่ยงโรคที่เกิดจากการท างานและการป้องกัน ผลการปรับปรุง แก้ไขปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่ด าเนินการแล้ว ทั้งที่ตัวคน สถ านี งาน เค รื่องมื อ และการบ ริห ารจัด ก าร น าค วาม เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นภายหลัง intervention ไปแล้ว 3 เดือน ได้แก่กลุ่มอาการผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อโครงสร้าง กระดูกและความเสี่ยงทางการยศาสตร์ และสมรรถภาพทาง กายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ โครงสร้างกระดูก เน้นย ้าปัญหาที่ยังต้องปรับปรุงสร้างแรงจูงใจ ในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การพักระหว่างเวลางาน การปรับ ท่าทางการท างาน 8.2 การแก้ปัญหาด้านการบริหารจัดการ (Administrativecontrol) พบปัญหาคือ พนักงานต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมๆ ในการท างานซ ้าๆ เดิมตลอด เวลาท างาน 12ชั่วโมง ช่วงเวลาพัก พนักงานไม่ได้พักการใช้กล้ามเนื้อ โดยพนักงานส่วนใหญ่จะเล่น โทรศัพท์ มือถือ ดังนั้น intervention ที่จัดให้ได้แก่ ขอให้พนักงาน ได้พักการใช้กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ช่วงพัก ระหว่างเวลางานสองครั้ง ๆ ละ 10 นาทีและช่วงกลางวัน โดย หัวหน้างานและผู้จัดการแผนก จัดสถานที่ให้ได้นั่งพิงพนัก หรือ นอน 8.3 การแก้ปัญหาด้านการควบคุมทางวิศวกรรม (engineering control) พบปัญหาคือพนักงานต้องออกแรงยก โครงเหล็กพนักเก้าอี้น ้าหนัก 9-13 กิโลกรัมวันละ 60ชิ้น รวมทั้ง สถานีงานหรือโต๊ะท างานของแผนก latching สูงและลึกเกินไป ดังนั้น intervention ที่จัดให้คือ แก้ปัญหาที่สถานีงาน วิธีการ ท างาน และเครื่องมือที่ใช้ 9. ติดตามผลการแก้ไขปัญหาการยศาสตร์ ครั้งที่ 1 หลังท า intervention การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเสริมสร้าง ความของกล้ามเนื้อ ติดตามการบริหารจัดการ (การท า Job Rotation) การปรับสถานีงาน การปรับท่าทางการท างาน ทีม วิจัยปรึกษาหารือแนวทางปรับปรุงแก้ไขกับทีมงาน กรณีผลการ ติดตามยังไม่ได้ด าเนินกิจกรรมนั้น ๆ 10. ประเมินกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบกระดูก กล้ามเนื้อ และทดสอบสมรรถภาพทางกายติดตามผลการแก้ไข ปัญหาการยศาสตร์ ครั้งที่ 2 หลังท า intervention ห่างจากครั้ง แรก 3เดือน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 23 11. สนทนากลุ่มเพื่อปรึกษาหารือแนวทางปรับปรุงแก้ไข กรณีผลการติดตามยังไม่ได้ด าเนินกิจกรรมนั้น ๆ 12. ติดตามผลการแก้ไขปัญหาการยศาสตร์ ครั้งที่ 3 หลังจากท า intervention 6เดือน 13. ขั้นประเมินผลได้ท าการประเมินกลุ่มอาการผิดปกติ ทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูก การประเมินสมรรถภาพทางกาย ช่วงหลัง intervention ประเมินการแก้ปัญหาทางวิศวกรรมและ การแก้ปั ญหาทางการบริหาร หลังท า intervention 6 เดือน สรุปผลปิดโครงการ ปรึกษาหารือการด าเนินกิจกรรมต่อของ บริษัทในประเด็น ใครท า ท าต่อ อย่างไร การวิเคราะหข์ ้อมูลโปรแกรมและสถิติทใี่ช้ บันทึกและการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณ ด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ ดังนี้ 1)ข้อมูลทั่วไป ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการ วิเคราะห์ข้อมูล เช่น ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 2)ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดย Content analysis สรุปผลการวิจัย ได้ทีมท างานของสถานประกอบการที่ประกอบด้วย ผู้จัดการฝ่ ายทรัพยากรบุคคลและความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยวิชาชีพเจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคล ผู้จัดการ แผนกหัวหน้างานพยาบาล เป็นทีมงานที่มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการจัดบริการอาชีวอนามัยโดยสถานประกอบการเอง โดยเฉพาะการจัดบริการด้านแก้ปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ เน้นการปรับบทบาทการท างานของพยาบาลร่วมกับทีม ในการจัดบริการอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ ผลการวิจัย พบว่า แม้พยาบาลมีสภาพการจ้างในรูปแบบของคู่สัญญา (Contractor) ในรูปของบริษัทซึ่งระบุบทบาทพยาบาลชัดเจน ในด้านการรักษาและปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น และ ปฏิบัติงานพยาบาลอาชีวอนามัยเป็นบางส่วน เช่น การวิเคราะห์ ปัญหาสุขภาพจากการตรวจสุขภาพประจ าปี เพื่อก าหนด แนวทางในการในการเฝ้าระวังสุขภาพ ส่วนบริการอื่น ๆ จะปฏิบัติเมื่อได้รับการร้องขอให้มีส่วนร่วมเป็นครั้งคราวเท่านั้น ภายหลัง interventionได้ 6 เดือน พยาบาลเริ่มเข้าใจบทบาท ตนเองดีขึ้น และภายหลัง intervention ได้ 6 เดือน พยาบาลได้ เข้ารับการอบรมการพยาบาลอาชีวอนามัยระยะสั้น 60ชั่วโมง พยาบาลปฏิบัติบทบาทได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ศักยภาพ สูงขึ้น ร่วมกิจกรรมพัฒนารูปแบบอย่างเข้าใจมากขึ้น ท าให้งาน พัฒนารูปแบบฯ ประสบความส าเร็จในที่สุด ระบบบริหารจัดการงานบริการอาชีวอนามัย มีการ ท างานเป็นทีมรูปแบบการท างานแบบมีส่วนร่วมเจ้าหน้าที่ความ ปลอดภัยระดับวิชาชีพ ท างานร่วมกับหัวหน้างาน ผู้จัดการ แผนก มีวิศวกรออกแบบระบบมีบทบาทในการออกแบบ กระบวนการท างานปรับสถานีงานและเครื่องมือ ผลการด าเนินงานตามหลักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม 3 ระดับ 1. การแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล พนักงานได้ท ายืดเหยียด กล้ามเนื้อทุกวัน ๆ ละ 10 นาที อย่างต่อเนื่อง นาน 6 เดือน และ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพนักงานได้ท าที่บ้านวัน ละ 30 นาที เพียง 2-3 คน 2. การแก้ปั ญ ห าด้าน การควบ คุม ท างวิศ วกรรม เนื่องจากโครงการพัฒนารูปแบบฯ ได้น าเสนอผลการประเมินสิ่ง คุกคามทางการยศาตร์(ergonomic hazard) ให้ทีมท างานของ บริษัท ท าให้เข้าใจถึงการแก้ปั ญหาในการปรับสถานีงาน ในแผนก latching ได้มอบหมายให้วิศวกรออกแบบระบบ ด าเนินการร่วมกับกลุ่มงานความปลอดภัยติดตั้งอุปกรณ์ช่วยยก แทนคนติดตั้ง hoist ในการช่วยยกชิ้นงานที่มีน ้าหนักมากโดย การติดตั้ง light/jib crane (อุปกรณ์ช่วยยกแทนคน) 2จุด 3. การปรับปรุงสถานีงาน ได้ปรับปรุงความสูงของโต๊ะ และระยะเอื้อมภายหลังการทดลองใช้พบว่าโต๊ะสูงเกินไปก าลัง ปรับความสูงอีกครั้ง ระยะเอื้อมสั้นลงเหมาะสมดีแล้วการ แก้ปัญหาด้านการบริหารจัดการ ได้ท า Job rotation ทุกเดือน ตามเป้าหมายของการผลิตและและทักษะของพนักงาน การจัด สถานที่ให้พนักงานได้พักการใช้กล้ามเนื้อ ในช่วงเวลาพัก ระหว่างเวลางานและพักเที่ยงจัดพื้นที่พักผ่อนเพื่อให้พักผ่อน กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วน อื่น ๆ จากตารางที่ 1


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 24 ตารางที่1 เปรียบเทียบความชุกของกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก ก่อนและหลังการปรับปรุง ทางการยศาสตร์ (n=19) ส่วนของร่างกายทมี่ี อาการ อาการผิดปกติ 19 คน ก่อนการอบรม หลังการอบรมครั้งทสี่อง ไม่มี จ านวน (ร้อยละ) จ านวน (ร้อยละ) ไม่ตอบ แบบสอบถาม ไม่มี จ านวน (ร้อยละ) จ านวน (ร้อยละ) ไม่ตอบ แบบสอบถาม คอ 9(47.4) 8 (42.1) 2 (10.5) 7 (36.8) 6 (31.6) 6 (31.6) ไหล่ 9 (47.4) 8 (42.1) 2 (10.5) 6 (31.6) 7 (36.8) 6 (31.6) แขนส่วนบน 10 (52.6) 7 (36.8) 2 (10.5) 7 (36.8) 6 (31.6) 6 (31.6) ข้อศอก 13 (68.4) 4 (21.1) 2 (10.5) 10 (52.6) 3 (15.8) 6 (31.6) แขนส่วนล่าง 9 (47.4) 8 (42.1) 2 (10.5) 7 (36.8) 6 (31.6) 6 (31.6) ข้อมือ/ มือ 5 (26.3) 11 (57.9) 3 (15.8) 4 (21.1) 9 (47.4) 6 (31.6) หลังส่วนบน 8 (42.1) 9 (47.4) 2 (10.5) 5 (26.3) 8 (42.1) 6 (31.6) หลังส่วนล่าง 5 (26.3) 12 (63.2) 2 (10.5) 7 (36.8) 6 (31.6) 6 (31.6) สะโพก/ต้นขา 12 (63.2) 5 (26.3) 2 (10.5) 11 (57.9) 2 (10.5) 6 (31.6) เข่า 12 (63.2) 5 (26.3) 2 (10.5) 9 (47.4) 4 (21.1) 6 (31.6) เปรียบเทียบความชุกของอาการผิดปกติทางระบบกระดูก โครงร่างกล้ามเนื้อในช่วง 12เดือน ที่ ผ่านมาระหว่างก่อน interventionกับหลัง intervention นาน 6 ต้นขาจากร้อยละ 26.3 เหลือร้อยละ10.5 น่อง จากร้อยละ 31.6เหลือ ร้อยละ 15.8และ ปวดลดลงคอ ไหล่ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์ เชิงลึกพนักงาน ดังนี้ พนักงานชายคนหนึ่งแผนก head rest, arm rest เดือน พบว่าพนักงานมีอาการเจ็บปวดลดลงได้แก่ หลัง ส่วนล่างจากร้อยละ 63.2เหลือ ร้อยละ 31.6 สะโพกเคยปวดจน ต้องฉีดยาและทักษะของพนักงานการจัดสถานที่ให้พนักงานได้พัก การใช้กล้ามเนื้อจัดพื้นที่พักผ่อนเพื่อให้พักผ่อนกล้ามเนื้อหลังและ กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการแก้ปัญหาทั้ง 3 ด้าน ส่งผลต่อการลดอาการผิดปกติลดลงและเพิ่มสมรรถภาพทางกาย ดังตารางที่ 1และ2 นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก พนักงาน ดังนี้พนักงานชายคนหนึ่งแผนก head rest, arm rest เคยปวดจนต้องฉีดยา และเคยข้อมือบวม ปัจจุบัน ไม่มีอาการบวม ไม่ต้องไปฉีดยา และไม่มาขอยาcounter pain พนักงาน ยืดเหยียด เป็นประจ าและปรับท่าทางการท างาน พนักงานที่เคยปวดหลังจาก ยกเบาะ ไม่มาขอยาแก้ปวด counter pain ปวดหลังลดลงไม่หยิบ frame มือเดียว ระวังท่าทางการท างานมากขึ้น พนักงานแผนก conveyor ปวดต้นแขนลดลง จากออกก าลังกาย ท่าทางการยก ถูกต้องมากขึ้น


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 25 ตารางที่2 ผลการตรวจสมรถภาพทางกายพนักงานที่เข้ารับการตรวจ ก่อนการอบรมและหลังการอบรมครั้งที่สอง (n=19) แรงบีบมือ ก่อนการอบรม หลังการอบรมครั้งท่สีอง จ านวน ร้อยละ จ านวน ร้อยละ ดีมาก 1 5.26 1 5.26 ดี 1 5.26 0 0.00 ปานกลาง 7 36.84 8 42.11 ต ่า 0 0.00 3 15.79 ต ่ามาก 10 52.63 7 36.84 แรงเหยียดขา ก่อนการอบรม หลังการอบรมครั้งทสี่อง จ านวน ร้อยละ จ านวน ร้อยละ ดีเยี่ยม 2 11.11 4 22.22 ดีมาก 1 5.56 3 16.67 ดี 0 0.00 2 11.11 ปานกลาง 3 16.67 4 22.22 ต ่า 12 66.67 5 27.78 น่ังงอตัวไปข้างหน้า ก่อนการอบรม หลังการอบรมครั้งทสี่อง จ านวน ร้อยละ จ านวน ร้อยละ ดีมาก 0 0.00 2 11.11 ดี 6 35.29 6 33.33 ปานกลาง 4 23.53 8 44.44 ต ่า 5 29.41 2 11.11 ต ่ามาก 2 11.76 0 0.00 เปรียบเทียบผลการตรวจสมรรถภาพทางกายระหว่างก่อน intervention กับหลัง intervention พบว่าพนักงานมีแรงบีบมือ จากระดับต ่ามาก 10 คน เปลี่ยนเป็นระดับปานกลาง 1 คน ระดับต ่า 3 คน พนักงานมีแรงเหยียดขาจากระดับดีเยี่ยม 2 คน เพิ่มเป็น 4 คน ระดับดีมาก จาก 1 คนเพิ่มเป็ น 3 คน ระดับต ่า 12 คน เปลี่ยนเป็นระดับปานกลาง 4 คน ระดับต ่า 5 คน นั่งงอตัวไป ข้างหน้าเปลี่ยนจากระดับต ่ามาก 2 คนและระดับต ่า 5 คน เป็นระดับปานกลาง 8 คน ระดับต ่า 2 คน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 26 อภิปรายผล 1. ปัจจัยแห่งการส าเร็จของการพัฒนารูปแบบการ จัดบริการอาชีวอนามัย 1.1 การพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัดบริการ พยาบาลอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในสถาน ประกอบการโดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับมีความ ต้องการแก้ปัญหาสุขภาพพนักงานของบริษัทเมื่อได้รับการน า หรือพาให้ท าได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการ เสริมสร้างก าลังใจ แรงจูงใจและการติดตามการท ากิจกรรมอย่างสม ่าเสมอท าให้ ได้รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยและผลลัพ ธ์ตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2 ความเข้มแข็งของทีมงานของสถานประกอบการ และวิธีการพัฒนาที่เหมาะสมใช้เวลาไม่มากโดยในขั้นอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพของทีมงานมีการใช้วีดีโอที่เป็นวิธีการ ปฏิบัติงานจริงของพนักงานในโรงงาน ร่วมกับการสอดแทรก ความรู้ ความตระหนักและทักษะของทีมวิจัยท าให้สร้างความ ตระหนัก และกระตุ้นให้ทีมงานมุ่งมั่นที่จะร่วมกันลดปัจจัยเสี่ยง และแก้ไขปัญหาการยศาสตร์ 1.3 จากการที่เป็นสถานประกอบการขนาดกลาง มีพนักงานมากกว่า 800 คน สายการบังคับบัญชาเพียงระดับ เดียว ท าให้ ทีมวิจัยติดต่อประสานงานกับ จป.ที่ได้รับมอบหมายให้ เป็นผู้ประสานงาน และผู้ประสานงานกับทีมท างานของบริษัท ได้แก่ พยาบาล จป.ระดับหัวหน้า ผู้จัดการแผนก หัวหน้างาน ได้ อย่างรวดเร็วและได้พบปะหารือการท างานร่วมกันอย่างใกล้ชิด กับทีมท างานที่มี 10 คน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การ ติดตามผลการด าเนินงานจาก จป.ระดับหัวหน้าและการ สนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงท าให้การพัฒนารูปแบบครั้งนี้ ประสบความส าเร็จ 1.4 การพัฒนาบทบาทพยาบาลในการจัดบริการ อาชีวอนามัยท าให้พยาบาลเข้าใจบทบาทตนเองดีขึ้นให้บริการ อาชีวอนามัยครอบคลุมมากยิ่งขึ้นจากกการสนับสนุนด้าน วิชาการการสร้างแรงจูงใจจากทีมวิจัยอย่างสม ่าเสมอ การติดตาม ผลการท างานอย่างใกล้ชิดจาก จป.พยาบาลจึงปฏิบัติบทบาท ได้ครอบคลุมมากขึ้น ศักยภาพสูงขึ้น ร่วมกิจกรรมพัฒนารูป แบบอย่างเข้าใจมากขึ้น ท าให้งานพัฒนา รูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยครอบคลุม ประสบความส าเร็จ ในที่สุด 1.5 การมีการท างานประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี ระหว่าง จป. กับพยาบาล จป. กับ วิศวกรระบบ จป. กับหัวหน้างาน ท าให้การป้องกันควบคุมทั้ง 3 ระดับ (engineering control, administrative control, personal control) ได้ผลดี 1.6 การท างานพัฒนารูปแบบที่จะประสบความส าเร็จ ได้ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ ด้าน โดยต้องเตรียมทีมท างานของบริษัทโดย ให้ความรู้ เสริมทักษะด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง จนมีความพร้อม จึงเริ่มท า intervention ไปพร้อมกับทีมวิจัย และต้องได้เวลาที่ สะดวกของทั้งสองฝ่ าย ซึ่งในบริษัทนี้ จป.ระดับบริหาร ให้เวลา เป็นอย่างมากทั้งทีมท างานที่ประชุมปรึกษาหารือร่วมกันหลาย ครั้ง รวมทั้งให้เวลาในการอบรมพนักงาน 2รอบ และหัวหน้างาน ให้ความร่วมมือในการดูแลให้พนักงานได้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกวัน ก่อนเริ่มท างาน ปัจจัยที่ส าคัญอีกประการคือ intervention ไม่ ยากเกินไป ทีมวิจัยใช้ภาษาง่าย ๆในการอธิบายท า intervention ในประเด็นที่ยังท าไม่ได้ซ ้า ๆ และให้โอกาสพนักงานถามข้อ สงสัยได้ตลอดเวลาที่ทีมวิจัยลงไปในไลน์การผลิต ซึ่งลงไป บ่อยครั้งจึงคุ้นเคยกับพนักงานและได้รับความร่วมมือจาก พนักงานเป็นอย่างดี ประโยชน์ที่ได้รับ รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการ การพยาบาลอาชีวอนามัยที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพอัน จะส่งผลให้พนักงาน มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ลดค่าใช้จ่าย ของสถานประกอบการและประเทศชาติ สถานประกอบการ ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นต่อไป


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 27 ข้อเสนอแนะในการน าผลวิจัยไปใช้ ผู้บริหาร หัวหน้างาน ของโรงงานท าเบาะรถยนต์ ควรน ารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยเพื่อการสร้างเสริม สุขภาพในโรงงาน ไปใช้ในการจัดแก้ปัญหาการยศาสตร์เพื่อลด ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการผิดปกติทางระบบโครงร่าง กระดูกและกล้ามเนื้อ โดยการสร้างทีมการยศาสตร์ อบรม ให้ความรู้เสริมสร้างความตระหนักร่วมกันกับพนักงานในการ ค้นหาปัจจัยเสี่ยง วิเคราะห์หาสาเหตุ ด าเนินการปรับปรุง และ ประเมินผลรูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยที่พัฒนาขึ้น สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการการ พยาบาลอาชีวอนามัยในสถานประกอบการขนาดกลางใน โรงงานอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ที่มีพยาบาลท างานแบบ เต็มเวลา มีผู้บริหารและทีมงานที่ให้ความร่วมมือ รวมทั้ง น ารูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดบริการ อาชีวอนามัย ใน ปัญ ห าอื่น ๆ ต่อ ไป เช่น ปัญ ห าระค าย เคือ งผิวห น ัง ระคายเคืองทางเดินหายใจ ข้อเสนอแนะในการวิจัยต่อไป ควรพัฒนารูปแบบการจัดบริการอาชีวอนามัยในที่มีสภาพการ จ ้างงาน พ ย าบ าลแบ บ บ างเวล า และ พ ัฒ น าใน สถ าน ประกอบการขนาดเล็ก มีพนักงาน จ านวน 200 - 499 คน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 28 เอกสารอ้างอิง ธัญรัศม์ สุขบัว, สุรินธร กลัมพากร, วันเพ็ญ แก้วปาน, และอาภาพร เผ่าวัฒนา. (2552). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานตาม บทบาทด้านการสร้างเสริมสุขภาพของพยาบาลอาชีวอนามัย.วารสารพยาบาลสาธารณสุข,23(2), 28-44. พิมพ์พรรณ ศิลปสุวรรณ, อรวรรณ แก้วบุญชู, สุรินธร กลัมพากร, วันเพ็ญ แก้วปาน, และปรียากมล ข่าน. (2550). บทบาทหน้าที่และการ ปฏิบัติงานของพยาบาลอาชีวอนามัยตามมาตรฐานของวิชาชีพในประเทศไทย. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 21(1), 60-79. พิมพ์พัฒน์ จันทร์เทียน, กุลขณิษฐ์ ราเชนบุณยวัทน์, วิกร ตัณฑวุฒโฑ, และพนิต เข็มทอง. (2555). การพัฒนามาตรฐานสมรรถนะเชิง วิชาชีพพยาบาลอาชีวอนามัยในสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรม.(วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (อาชีวศึกษา), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). ส านักความปลอดภัยแรงงาน. (2555). สถานการณ์การด าเนินงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทยปี 2555. กรุงเทพฯ: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน. International Labour Organization (ILO). Inter-national Labour Organization Convention161 concerningOccupational Health Services1985internet]. 1985 [cited 2011 August 20] Availablefrom:http://www.ilo.org/dyn/normlex/en/_INSTRUMENT_ID:312306#A24. Kemmise, S &Mctaggart, R. (1988). The action research planner. (3rd ed). Geelong, Australia: Deakin University Press.Roger, B. (1994). Occupational Health Nursing Concept and Practice. Philadelphia: W.B. Saunders Company. The American Association of Occupational Health Nurses. (2007) . Competencies in occupational and environmental health nursing. AAOHN Journal, 55(11), 442-447.


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 29 ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย เบาหวาน ชนิดที่2 ศนูยบ ์ รกิารสาธารณสุข 39 ราษฎรบ ์ูรณะ กรุงเทพมหานคร ชุรดา เพิ่มทรัพย*์ บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง และหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวกับพฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ท าการศึกษาผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิก ศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จ านวน 169 คนใช้วิธีการสุ่มตามแต่บังเอิญ (Accidental Sampling) ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ถึง วันที่ 30 สิงหาคม 2560เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป หาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์หาความ สมัพนัธโ์ดยใชส้ถิติสมั ประสิทธิ์สหสมัพนัธเ์พียรส์นั ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับสูง ( = 3.65) มีพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมอยู่ใน เกณฑ์เฉลี่ยระดับสูง ( = 3.55) โดยมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับสูง ( = 4.01) ส่วนพฤติกรรมการใช้ยา มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับปานกลาง ( = 3.13) ค่าความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย สนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีความ สัมพันธ์ เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมของผู้ป่ วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 (r xy = 0.380) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 พบว่า พฤติกรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์ คือการป้องกันภาวะแทรกซ้อน (r xy = 0.010) ผลการศึกษา ในครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการพัฒนาการดูแลผู้ป่ วยโรคเบาหวานได้ดีขึ้น และท า ให้ผู้ป่ วยเบาหวานมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป ค าส าคัญ: สนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 30 A study of factors social support from family for self - care behaviors of patients type 2 diabetes mellitus in Health Public Center Bangkok 39 ratchaburana Churada Poemsup Abstract This research is descriptive research which has a purpose to study about family supportandself care behaviors of type 2 diabetes patients and examine their relationships the sample was 169 participants who accessed the health care center,39 Ratburana, by accidental sampling methodstart on August 1st 2017 until August 30, 2017 collected data by interview and analysed by computer program for finding frequency, percent, mean and standard deviation, and using correlation coefficientby apply pearson’s product moment formula for hypothesis testing. The result of study revealed that knowledge social support factor from type 2 diabetes patient’s family at health care center at high level ( = 3.65) self care behaviors of type 2diabetes patients at high level ( = 3.55) and consumer behaviors is maximum average at high level ( = 4.01) but drug use behaviors is minimum average at medium level ( = 3.13)social support factor was positively correlated with self care behaviors of type 2 diabetes patients(r xy= 0.380) and at the 0.05 level of significance find out behaviors which non-relationship is complication protector (r xy= 0.010) Based on the study findings, it can be a pilot study to evaluate and manage for continued development that will be beneficial for type 2 diabetes patient Keyword: family support, Self care behavior, type 2 diabetes patient


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 31 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยที่มี แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากรายงาน ปี 2558มีผู้เสียชีวิต จากโรคเบาหวาน จ านวน 12,621 คน หรือเฉลี่ยวันละ 34 คน คิดเป็นอัตราตาย19.4 คนต่อแสนประชากรส่วนกรุงเทพมหานคร มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน จ านวน 565 คน คิดเป็นอัตราตาย 10.0 คนต่อแสนประชากร(ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, 2560) ผลกระทบของโรคเบาหวาน ก่อให้เกิดการสูญเสียด้านเศรษฐกิจของครอบครัวผู้ป่ วย และ ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเป็น อย่างมากกรุงเทพมหานครเป็นมหานครที่มีประชากรอาศัยเป็น จ านวนมาก มีประชากรจ านวน 5,696,409คน (ส านักยุทธศาสตร์ และประเมินผล กรุงเทพมหานคร, 2558, หน้า 9)จากสภาพ การจราจรหนาแน่นในเมืองใหญ่ ประชากรที่อาศัยอยู่จึงใช้ชีวิต เร่งรีบในการท างานแข่งขันกับเวลาท าให้ไม่มีเวลาในการประกอบ อาหารเพื่อรับประทานด้วยตนเองประกอบกับร้านจ าหน่ายอาหาร สะดวกซื้อมีจ านวนมากส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ไม่ เหมาะสม ด้านการบริโภคอาหาร และเกิดภาวะเครียดได้ง่าย ผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องมีพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่าง เข้มงวด ครอบคลุมพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การออกก าลัง กาย การดูแลเท้าและสุขภาพอนามัยการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี การที่ผู้ป่ วยเบาหวานจะควบคุมอาการของโรคหรือป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนได้หรือไม่นั้น นอกจากความสามารถในการดูแล สุขภาพของตนเอง ครอบคลุมพฤติกรรมในชีวิตประจ าวันในด้าน การบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การดูแลเท้าและสุขภาพ อนามัยการประเมินป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการใช้ยาแล้ว หากได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวที่ดี ซึ่งเป็นแหล่ง สนับสนุนจากบุคคลในครอบครัวและบุคคลที่คุ้นเคยที่ดีจะเป็น แรงเสริมให้ผู้ป่ วยมีก าลังใจ ใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองเหมาะสม ยิ่งขึ้นและจะมีผลท าให้บุคคลมีพฤติกรรมที่จะน าพาไปสู่การภาวะ สุขภาพที่ดีได้ ทั้งนี้ได้น าแนวคิดทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม ของ เฮ้าส์ซึ่งนิยมน ามาประยุกต์ใช้ในการวิจัยมากที่สุดและแนวคิด พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานมาประยุกต์ใช้ในการ วิจัยเนื่องจากผลการทบทวนวรรณกรรม พบว่า แรงสนับสนุนทาง สังคมจากครอบครัวเป็นแหล่งสนับสนุนที่คนทั่วไปนิยมที่จะให้การ ช่วยเหลือและสนับสนุนบุคคลได้ดีที่สุด ช่วยให้บุคคลมีพฤติกรรม ที่พึงประสงค์ ซึ่งถ้าได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพบุคคล จะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากทางการภาครัฐ เป็นการลดภาระ งานของบุคลากรทางการแพทย์และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการ สาธารณสุขของภาครัฐ อีกทั้งยังพบว่างานวิจัยที่ศึกษาถึงแรง สนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2นั้น ส่วนมากเป็นงานวิจัยในผู้ป่ วย เด็กและวัยรุ่นที่เป็นเบาหวานชนิด ที่ 1และเป็นศึกษาการสนับสนุนทางสังคมในภาพรวมเป็นส่วนใหญ่ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิกศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครครั้งนี้จะช่วยให้บุคลากรทีม สุขภาพที่เกี่ยวข้องน าไปใช้เป็นข้อมูลในการก าหนดแนวทางการ ส่งเสริมพฤติกรรมความสามารถในการดูแลสุขภาพ การพัฒนา โปรแกรมการดูแลผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ในด้านการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความ เข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง และการสนับสนุนทาง สังคมของผู้ป่วยต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว และระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์บริการ-สาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 2.เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสนับสนุนทางสังคม จากครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร สมมติฐานของการวิจัย ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวาชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 32 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ผู้วิจัยประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแรงสนับสนุนทาง สังคมของเฮ้าส์(1985) ก าหนดเป็นตัวแปรต้นและตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานประกอบด้วย การบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การดูแลเท้าและ สุขอนามัย การป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการใช้ยาโดยมี ขั้นตอนวิธีการด าเนินการวิจัยดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ประชากรที่ศึกษา เป็ นผู้ป่ วยเบาหวาน ที่ได้รับการ วินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ขึ้นทะเบียน เป็นผู้ป่ วยเบาหวานในคลินิกของศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559จ านวน 300 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่ วยเบาหวานที่ได้รับการ วินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็ นผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ขึ้น ทะเบียนเป็ นผู้ป่ วยเบาหวานในคลินิกของศูนย์บริการ สาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 การ ค านวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยน าจ านวนประชากรมาเปิด เทียบตารางส าเร็จรูปที่ค านวณมาจากสูตรของเครจซี่ และ มอร์แกน (Krejcie & Morgan อ้างถึงในบุญมีพันธุ์ไทย, 2559, หน้า 284) เพื่อหาขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความ เชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 169 คน เลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) ในผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับการรักษาในคลินิก ศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เดือนสิงหาคม 2560 เครื่องมือขั้นตอนการสร้างและการหาคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสัมภาษณ์(Interview) ซึ่งผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจาก การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและจากการศึกษาค้นคว้า จากต าราโดยน ามาพัฒนาและประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับ แนวคิด วัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 แบบสัมภาษณ์ข้อมูลด้านคุณลักษณะส่วน บุคคล จ านวน 4 ข้อ คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา และ ระยะเวลาที่ป่ วยด้วยโรคเบาหวาน ลักษณะของข้อค าถาม เป็นแบบให้เลือกตอบ1 ค าตอบ ส่วนที่ 2แบบสัมภาษณ์ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัว ประกอบด้วยข้อค าถาม จ านวน12 ข้อโดยใช้ แนวคิดการสนับสนุนทางสังคมของเฮ้าส์ (1985) ซึ่งผู้วิจัย ประยุกต์ข้อค าถามมาจากเครื่องมือการวิจัยที่พัฒนา และผ่าน การทดสอบโดยสุภัทรา แพเสือ (2558) มีระดับการวัดเป็น อันตรภาค (Interval - Scale) เป็ นค าถามแบบมาตราส่วน ประมาณ ค่า (Ratingscale) 5 ระดับ คือมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด จ านวน 12ข้อ แบ่งเป็ น 4 ด้าน ได้แก่ การสนับสนุนทางด้านอารมณ์, การประเมินเปรียบเทียบ ปัจจัยการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน 1. การบริโภคอาหาร 2. การออกก าลังกาย 3. การดูแลเท้าและสุขอนามัย 4. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน 5. การใช้ยา


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 33 , ข้อมูลข่าวสาร และการสนับสนุนด้านสิ่งของ การเงิน และ แรงงานก าหนดเกณ ฑ์การให้คะแนน แบบสัมภาษ ณ์ ประกอบด้วยข้อค าถามในเชิงบวกทั้งหมด การให้คะแนน มากที่สุด ให้ 5 คะแนน จนถึงน้อยที่สุดให้ 1 คะแนน ส่วนที่ 3 แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วยข้อค าถาม 25 ข้อ ซึ่งผู้วิจัยประยุกต์ข้อค าถามมาจากการทบทวน วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎีโรคเบาหวาน และพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่ วยเบาหวานของเทพ หิมะทองค า (2554) มีระดับการวัดเป็นอันตรภาค (Interval Scale) เป็นข้อค าถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ คือ ปฏิบัติทุกวัน ปฏิบัติเป็นประจ า ปฏิบัติ บ่อยครั้ง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง และไม่ปฏิบัติโดยแยกเป็นราย พฤติกรรมประกอบด้วย พฤติกรรมการบริโภคอาหาร, การออกก าลังกาย, การดูแลเท้าและสุขอนามัย, ป้องกัน ภาวะแทรกซ้อน และการใช้ยา การให้คะแนนการปฏิบัติให้ 5 คะแนน (ค าถามเชิงบวก) ให้ 1 คะแนน (ค าถามเชิงลบ) และหากไม่ปฏิบัติ ให้ 1 คะแนน(ค าถามเชิงบวก) ให้5 คะแนน (ค าถามเชิงลบ) ขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ดังนี้ 1. ศึกษาต ารา เอกสาร งานวิจัยและวิทยานิพนธ์ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง พฤติกรรมการดูแลตนเองของ ผู้ป่ วยเบาหวาน เพื่อน ามาเป็นแนวทางในการด าเนินการ สร้างแบบสัมภาษณ์ 2. ก าหนดนิยามศัพท์เฉพาะ ได้แก่ พฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 3. ร่างค าถามเรื่องปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวาน ช นิ ด ที่ 2 ศู น ย์บ ริก ารส าธารณ สุข 39 ราษ ฎ ร์บู รณ ะ กรุงเทพมหานคร ให้มีความสอดคล้องกับนิยามที่ก าหนดไว้ 4. น าแบบสอบถามที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วหา ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน ผู้วิจัยขอความอนุเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมความเที่ยงตรง ของเนื้อห า (Content Validity) พ บ ว่า ค าถาม ใน แบ บ สัมภาษณ์ที่มีค่า IOC ระหว่าง 0.8-1.0 มีจ านวน 63ข้อ 5. น าแบบสัมภาษณ์ ที่ผ่านการตรวจสอบจาก ผู้ทรงคุณวุฒิ และได้ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่ม ตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจริงระหว่างวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 21กรกฎาคม 2560จ านวน 30คน เพื่อหาค่าความสัมพันธ์ ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item-Total Correlation) แล้วคัดเลือกข้อค าถามที่มีอ านาจจ าแนกตั้งแต่ 0.20ขึ้นไป ไว้ใช้ เป็นค าถามจริงผลปรากฏว่ามีข้อค าถามที่ใช้ในการวิจัยใช้ได้ จ านวน 37ข้อ ซึ่งหาค่าอ านาจจ าแนกโดยการวิเคราะห์ความ เชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสมัภาษณ์โดยวิธีหาค่าสมัประสิทธิ์ แอลฟา (Alpha coefficient) ของครอนบาช (Cronbach) ได้ค่า สัมประสิทธิ์ความเช่ือม่ันทั้งฉบับเท่ากับ 0.85 ตอนที่ 2 ปัจจัย สนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวเท่ากับ 0.94 ตอนที่ 3 พฤติกรรมการดูแลตนเองมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.87 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิ จั ยขอความอนุ เคราะห์จากคณ บ ดี คณ ะ สาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัย รามค าแหงในการออกหนังสือ ถึ งผู้อ านวยการส านั กอนามั ย กรุ งเทพมหานคร และ ผู้อ านวยการศูนย์บริการสาธารณ สุข 39ราษฎร์บูรณ ะ กรุงเทพมหานครเพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยขอความ อนุเคราะห์ทดสอบเครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูล 2. ชี้แจงวัตถุประสงค์ รูปแบบการเก็บข้อมูลการวิจัยให้กับ ผู้อ านวยการ, หัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลและบริหารทั่วไป, พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากรสายงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่ วย เบาหวานในคลินิกของศูนย์บริการสาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้องและ ทันเวลา 3. จัดเตรียมแบบสัมภาษณ์และวัสดุอุปกรณ์ในการเก็บข้อมูล 4. การเก็บข้อมูล ผู้วิจัยแนะน าตัวเองชี้แจงวัตถุประสงค์ และรูปแบบการเก็บข้อมูลเพื่อขอความร่วมมือจากกลุ่มตัวอย่าง เป็ นรายบุคคลลงรหัสระบุถึงล าดับของกลุ่มตัวอย่างในแบบ สัมภาษณ์ 5. ผู้วิจัยเป็นผู้ด าเนินการเก็บรวบรวมแบบสัมภาษณ์ ด้วยตนเองกับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับ บริการในคลินิกศูนย์บริการสาธารณสุข39ราษฎร์บูรณะ


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 34 กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ตามหมายเลขการเข้ารับบริการล าดับที่ 1 ถึง 10 6. ผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้องความครบถ้วนของ แบบสัมภาษณ์ทั้งหมดจ านวน 169 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 ของกลุ่มตัวอย่างที่ก าหนด การวิเคราะหข์ ้อมูล ผู้วิจัยน าแบบสัมภาษณ์ที่เก็บรวบรวมข้อมูลได้ จ านวน 169 ฉบับ มาวิเคราะห์ข้อมูลจัดระบบข้อมูลลงรหัส และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป (SPSS) ของ คอมพิวเตอร์โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละตอน ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ และร้อยละใช้วิเคราะห์ปัจจัย ส่วนบุคคล และค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานใช้วิเคราะห์ ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว และพฤติกรรมการ ดูแลตนเอง น าเสนอในรูปตารางประกอบการบรรยาย 2. วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ปัจจัยสนับสนุนทางสังคม จากครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย เบาหวานชนิดที่ 2โดยใชส้ถิติสมั ประสิทธิ์สหสมัพนัธเ์พียรส์นั (Pearson's Product Moment CorrelationCoefficient) ก าหนดระดับความมีนัยส าคัญทางสถิติ (Level of Significant) ที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยและการอภิปรายผล ผลการศึกษา ส่วนที่ 1ข้อมูลด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ผู้ตอบ แบบสัมภาษณ์ จ านวน 169 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อย ละ 72.8 มี อายุ ระห ว่ าง 56-70 ปี ร้อ ย ละ 65.1 มี ระดับ การศึกษาจบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 64.5และ ระยะเวลาที่ ป่ วยด้วยโรคเบาหวานอยู่ระหว่าง 5-10 ปี ร้อยละ 37.9 ส่วนที่ 2 ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว ของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2โดยรวมอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ระดับสูง ( = 3.65, S.D.= 0.92) โดยปัจจัยด้านอารมณ์ การยอมรับผู้ป่ วยเป็ นโรคเบาหวานมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ( = 3.98, S.D.= 1.04)อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับสูงส่วนปัจจัย ด้านการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภาวะน ้าตาล ในเลือดต ่ามีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ( = 3.17, S.D.= 1.44) อยู่ใน เกณฑ์เฉลี่ยระดับปานกลาง ส่วนที่ 3 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่ วย เบาหวานชนิดที่ 2 ผลดังนี้


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 35 ตารางที่1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยรวมและรายด้าน (n = 169 คน) พฤติกรรมการดูแลตนเอง S.D. ระดับ 1. การบริโภคอาหาร 4.01 0.63 สูง 2. การออกก าลังกาย 3.37 1.09 ปานกลาง 3. การดูแลเท้าและสุขอนามัย 3.95 0.74 สูง 4. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน 3.31 0.46 ปานกลาง 5. การใช้ยา 3.13 0.34 ปานกลาง รวม 3.55 0.44 สูง จากตารางที่ 1 พบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองของ ผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับสูง ( = 3.55, S.D.= 0.44) โดยพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหาร มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ( = 4.01, S.D. = 0.63) อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ระดับสูงส่วนพฤติกรรมด้านการใช้ยา มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ( = 3.13, S.D. = 0.34) อ ยู่ ใน เก ณ ฑ์ เฉ ลี่ ย ระ ดั บ ป า น ก ล า ง ตารางที่2 ผลการทดสอบสมมติฐานที่ว่า “ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วย เบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร” ความสัมพนัธป์ ัจจัยการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวกบัพฤตกิรรมดูแลตนเอง r xy Sig. 1. การบริโภคอาหาร 0.318 0.000* 2. การออกก าลังกาย 0.236 0.002* 3. การดูแลเท้าและสุขอนามัย 0.430 0.000* 4. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน 0.010 0.895 5. การใช้ยา 0.166 0.031* รวม 0.380 0.000* จากตารางที่ 2 พบว่าปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง โดยรวมของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 (r xy= 0.380) อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05โดยพฤติกรรมด้านการดูแลเท้า และสุขอนามัยมีค่าความสัมพันธ์กับการสนับสนุนทางสังคม จากครอบครัวสูงที่สุด (r xy= 0.430) ส่วนพฤติกรรมที่ไม่มี ความสัมพันธ์ คือ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน (r xy= 0.895)


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 36 การอภิปรายผล จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปตามสมมุติฐาน การวิจัย ได้ดังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการสนับสนุนทางสังคมจาก ครอบครัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พบว่าปัจจัยการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีความสัมพันธ์ เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05จากแนวคิดการสนับสนุนทางสังคมที่มีความเชื่อว่า บุคคลจะมีพฤติกรรมที่ดีและเหมาะสมได้นั้นจ าเป็นต้องได้รับ การสนับสนุนช่วยเหลือทั้งวัตถุ สิ่งของ ก าลังใจ และการ ช่วยเหลือจากบุคคลรอบข้างทั้งใกล้ชิด และเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เพื่อจะท าให้รู้สึกมีคุณค่า ความส าคัญ มีพลังที่จะด าเนินชีวิต หรือกระท าสิ่งต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพอธิปรายได้ว่าการ สนับสนุนจากบุคคลอื่นๆทั้งคนในครอบครัวหรือบุคคลอื่นที่ เกี่ยวข้องจะเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าและก าลังใจในการแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่เอื้อให้เกิดพฤติกรรมง่าย ขึ้นไม่ว่าการสนับสนุนช่วยเหลือที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ย่อมมีประโยชน์ ส่งเสริมให้บุคคลมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งผลการวิจัยมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของจิราพร กลิ่นประทุม (2552) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจ เรื่องโรคเบาหวานการสนับสนุนทางสังคมกับการดูแลตนเองของ ผู้ป่ วยเบาหวานพบว่า ความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคเบาหวาน และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการดูแล สุขภาพตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติ สุภัทราแพเสือ(2558) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชนเขตเมือง กรุงเท พ ม ห าน ค รพ บ ว่าก ารสนับ สนุ น จาก ค รอบ ค รัวมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ Hause (1985) ศึกษาครอบครัวที่สมาชิก ป่ วยเป็นเบาหวาน พบว่าการได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับการฉีดอินซูลิน ด้วยตนเอง และการ ควบคุมอาหารของผู้ป่ วยเบาหวาน Penning (1990) ศึกษา การรักษาผู้ป่ วยเบาหวานโดยครอบครัวบ าบัด พบว่า การได้รับ แรงสนับสนุนจากครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการลด จ านวนครั้งของการมารับบริการในโรงพยาบาล และผู้ป่ วย สามารถควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดได้ Kvam และ Lyons (1991) ศึกษาการปรับตัวของผู้ป่ วยเบาหวานโดยจัดโปรแกรม สุขศึกษาพบว่า การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อนมีผล กับการแก้ปั ญ หา และการปรับตัวด้านสุขภาพของผู้ป่ วย เบาหวาน การได้รับการสนับสนุนจากสังคมมีผลกับการควบคุม ระดับน ้าตาลในเลือดแต่ผลการวิจัยแตกต่างกับงานวิจัยของ อุษาศรี แสงสง่า (2554) ศึกษาปั จจัยที่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วย เบาหวานชนิดที่ 2 กรุงเทพมหานคร พบว่าสมาชิกในครอบครัว และกลุ่มเพื่อน เพื่อนบ้านและชุมชน องค์กรในชุมชน ไม่มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติสุธีรา บุญแต้ม (2556) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2จังหวัด สุพรรณบุรี พบว่าปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมต่อการดูแล ตนเองไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองเรื่องการ บริโภคอาหารและการออกก าลังกายเพื่อการควบคุมระดับ น ้าตาลในเลือดของผู้ป่ วยเบาหวาน ข้อเสนอแนะส าหรับการศึกษา จากผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีความสัมพันธ์ เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่ วยเบาหวานชนิดที่ 2 ดังนั้น เจ้าหน้าที่บุคลากรสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความส าคัญ กับการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวในการช่วยเหลือของ บุคคลในครอบครัวของผู้ป่ วยเบาหวานโดยสนับสนุนให้ครอบครัว เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการดูแลผู้ป่ วยเพื่อให้ผู้ป่ วยมี พฤติกรรมการดูแลตนเองได้ดีขึ้นเกิดภาวะสุขภาพที่ดีท าให้มี คุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปโดยการจัดกิจกรรมการสนับสนุนทาง สังคมจากครอบครัว ดังนี้ 1)ด้านอารมณ์ การจัดกิจกรรมที่ ท า


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 37 ให้รู้สึกได้ว่าได้รับความรัก ความไว้วางใจ จริงใจ เอาใจใส่ ยกย่อง เห็นคุณค่าแสดงความผูกพัน ได้แก่ แสดงการยกย่อง ชมเชย การให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้รางวัลเกียรติบัตร 2)ด้านการประเมิน การจัดกิจกรรมที่ท าให้เห็นว่ามีพัฒนาการที่ดีมีความสามารถมี ศักยภาพสูง และมีผลดีเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น หรือเมื่อ เปรียบเทียบกับห้วงเวลา ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นผลการควบคุม น ้าหนัก การตรวจน ้าตาลในเลือด การวัดความดันโลหิตที่ดีขึ้น ท าให้บุคคลได้รับรู้ผลการกระท าที่ผ่านมาว่าเหมาะสมถูกต้อง หรือไม่ 3)ด้านข้อมูลข่าวสาร การจัดกิจกรรมที่ท าให้รู้สึกได้ว่า ได้รับข้อมูล และข่าวสารอันเป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ คู่มือ เอกสารแผ่นพับแหล่งข้อมูลศึกษา ค้นคว้าทางสื่ออิเลคโทรนิกส์ทางอินเตอร์เน็ต หรือจากแหล่งข้อมูล จากบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้ค าแนะน า ความรู้กลวิธีต่าง ๆ ที่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนา พฤติกรรม การดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น 4)ด้านวัตถุสิ่งของการเงิน และแรงงาน การจัดกิจกรรมที่ท าให้รู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน ช่วยเหลือ ด้านวัสดุสิ่งของเงิน แรงงาน เพื่อให้พฤติกรรมการ ดูแลตนเองเป็นไปได้ง่ายและถูกต้อง เช่นการได้รับกล่องยาเพื่อ การรับประทานยาอย่างถูกต้องครบมื้อการได้รับแปรงสีฟันไม้ขูด ลิ้นพัฒนาพฤติกรรมการดูแลช่องปาก การสนับสนุนค่าเดินทาง ในการมาพบแพทย์ตามนัด และการนัดพบญาติ ผู้ดูแล เมื่อ ผู้ป่ วยไม่มารักษาตามแพทย์นัดและกินยาไม่ถูกต้อง 2. พฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการใช้ยามีระดับ ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ดังนั้น ควรพัฒนาวิธีการหรือรูปแบบการจัด กิจกรรมโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเองด้าน การใช้ยา มีการให้สุขศึกษา การตรวจสอบติดตามผลให้ชัดเจน ขึ้น เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือของ บุคลากรสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ผ่านกระบวนการสอนและ ติดตามการใช้ยาในผู้ป่ วยรายบุคคล การจัดกิจกรรมกลุ่ม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (self-help group) การจัดโปรแกรมการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเสริมพลังบุคคล (empowerment) 3.การสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นการบริหารจัดการในการจัดกิจกรรมการให้บริการผู้ป่ วย เบาหวาน ด้านการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การตรวจเลือด ประจ าปีตรวจจอประสาทตาจ าเป็นต้องมีการเฝ้าระวังการติดตาม และการส่งต่อเมื่อมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็น ระบบ ข้อเสนอแนะสา หรับการศึกษาครั้งต่อไป 1. การวิจัยครั้งนี้ ท าการศึกษาเฉพาะผู้ป่ วยที่มารับการ รักษาในคลินิกศูนย์บริการสาธารณสุข 39 ราษฎร์บูรณะเท่านั้น ไม่ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่ วยในชุมชนที่หน่วยงานรับผิดชอบ ทั้งหมด ดังนั้นควรมีการศึกษาวิจัยในกลุ่มประชากรที่เป็นผู้ป่ วย โรคเบาหวานในชุมชนที่รับผิดชอบเพิ่มเติม 2. ควรมีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการจัดโปรแกรม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมจากครอบครัวของผู้ป่ วยเบาหวานเพื่อ พัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองกับการ สนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว ของผู้ป่ วยโรคเบาหวาน ที่เห ม าะสม กับ ศูน ย ์บ ริก ารสาธารณ สุข ส านักอ น ามัย กรุงเทพฯ 3. ควรมีการวิจัยทดลองจัดโปรแกรมการเรียนรู้เรื่อง เบาหวานและการดูแลตนเองให้แก่ผู้ป่ วยเบาหวาน โดยการ ประยุกต์แนวคิดการดูแลตนเอง การจัดการตนเอง และการให้แรง สนับสนุนทางสังคมรูปแบบกิจกรรมใช้วิธีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 38 เอกสารอ้างอิง จิราพร กลิ่นประทุม. (2552). ความสมัพนัธ์ระหว่างความรูค้วามเขา้ใจเรือ่งโรคเบาหวานกบัการสนบัสนนุทางสงัคมกบัการดูแลตนเองของ ผูป้่วยเบาหวาน. กรุงเทพมหานคร.(วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามค าแหง). บุญมี พันธ์ไทย. (2559). ระเบียบวิธีวิจัยการศึกษาเบื้องต้น(พิมพ์ครงั้ที่4).เอกสารการสอนกระบวนวิชา MER 3903 ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาเบื้องต้น.กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค าแหง. ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณ สุข. (2560). สถิติสาธารณ สุขปี 2558. ค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2560, จาก http://www. bps. moph.go.th/new_bps ส านักยุทธศาสตร์ และประเมินผล กรุงเทพมหานคร. (2558). หนังสือสถิติกรุงเทพมหานคร 2558. ค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2560, จาก http://www. bngkok.go.th/pipd/page/sub/ 9050 สุธีรา บุญแต้ม. (2556). ปัจจยัทสี่มัพนัธ์กบัพฤตกิรรมการดูแลตนเองของผูป้่วยเบาหวานชนดิที่2 จังหวัดสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหิดล. สุภัทราแพเสือ. (2558). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชนเขตเมือง กรุงเทพมหานคร.สารนิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหิดล. อุษาศรีแสงสง่า. (2554). ปัจจยัทมี่ีความสมัพนัธ์กบัพฤตกิรรมการดูแลตนเองและระดบันา้ ตาลในเลือดของผูป้่วยเบาหวานชนดิที่2 กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Hauser S.(1985).The contribution of family environment to perceived competence an illness adjustment in diabetes and acutely illness adolescents.Fam Relat. Kvam SH, Lyons JS.(1991).Assessment of coping strategies,socialsupport,and general healthstatusinindividuals withdiabetes mellitus. Psychol Report. Penning VE.(1990). diabetes mellitus: behavior medicine. New York; Willey. Schafer LC, McCaul KD, Glasgow RE. (1986). Supportive and non-supportive family behaviors: relationship to adherence andmetabolic control in persons with type I diabetes. Diabetes Care.


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 39 ปัจจัยทมี่ีความสัมพนัธก ์ ับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑเ ์ สริมอาหารประเภทวิตามนิ ของบุคลากรในกองเภสัชกรรมและศนูยบ ์ ริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ศิริภัทร เฑียรกุล* รศ.ดร.สุรเดช ส าราญจิตต์** บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามินและศึกษาปั จจัยที่มีกเสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัชกรรม และ ศูนย์บริการ สาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยผู้วิจัยมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด จ านวน 86 คน และซึ่งกลุ่ม ตัวอย่างตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 100 ของประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าสูงสุด ค่าต ่าสดุค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสมัพันธ์แบบเพียรส์ัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยทางสังคมที่ได้รับในการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.58) พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินโดยภาพรวมอยู่ในระดับดี (Mean = 2.89) ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยทางสังคมกับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางสังคม ด้านสื่อ/สิ่งพิมพ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกมากที่สุดต่อพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน อย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.01 ค าส าคัญ: ผู้บริโภค, พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน 1 *นักศึกษาหลักสูตรปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค าแหง **ผู้รับผิดชอบหลัก รองศาสตราจารย์ประจ าภาควิชาบริหารสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค าแหง


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 40 Factors correlated with the consumption of vitamin supplements inthe Pharmaceutical Division and Public Health Centers 53 branch ThasaiHealth Department, Bangkok. SiripatThienkul, SuradejSamranjit Abstract This study was descriptive study. The objective was to study the consumption of vitamin supplements and factors affected the consumption of vitamin supplements. The study was conducted in the personnel’s at the pharmaceutical division and public health centers 53 Thasaibranch.The personnel of the Pharmaceutical Division and Public Health Centers 53 branch Thasai. The researchers distributed questionnaires to all respondents were 86. All of responders represented to 100% of the population, representing 100 percent of the population. Data were collected by researcher is questionnaires. By analyzing the frequency, percentage, maximum, minimum, average, and standard deviation, and Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient. The results indicated that social factor that social factors have been in the consumption of vitamin supplements was moderate overall (Mean = 3.58) Consumer behavior supplement vitamin overall was good (Mean = 2.89).The relationship between social behavior and consumption of vitamin supplements. From this study, it can be concluded that social media/publications have a positive correlation to the behavior of consumption of vitamin supplements. Statistically significant at the 0.01 level. Keywords: customer, consumption habits of vitamin supplements


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 41 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา ในปั จจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินวาง จ าหน่ายหลากหลายชนิดแต่ละชนิดมีการโฆษณาสรรพคุณ เช่น ช่วยเสริมสร้างสุขภาพบุคลิกภาพหรือแม้แต่ผิวพรรณให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการรับประทานอาหารในแต่ละวันอาจได้รับสารอาหารหรือ แร่ธาตุส าคัญไม่ครบถ้วนจึงอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะท าให้ประชาชน หันมาเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินเพื่อชดเชย ซึ่งมีจ าหน่ายทั้งในร้านขายยาตัวแทนบริษัทยาและในอินเทอร์เน็ต สินค้าบางอย่างอาจไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา และมี ส่วนผสมที่เป็ นอันตรายต่อผู้บริโภค จึงมีความจ าเป็ นอย่างยิ่ง ที่ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องมีการศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามินก่อนบริโภคอย่างรอบคอบ ในปีพ.ศ.2548ได้มีการศึกษาพฤติกรรมการบริโภควิตามิน ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่าวิตามินซีได้รับความนิยม จากผู้บริโภคมากที่สุดรองมาคือวิตามินรวม และวิตามินผสมแร่ธาตุ ตามล าดับวัตถุประสงค์หลักของการบริโภควิตามินคือเพื่อเสริม สุขภาพให้แข็งแรงโดยส่วนใหญ่ เป็ นผู้หญิงวัยท างาน (กิตติพร วงศ์สืบสันตติ, 2548) และจะเห็นได้ว่าผู้หญิงวัยท างานเป็ นกลุ่ม ประชากรเป้าหมายของการท าการตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามิน เนื่องจากสุขภาพและบุคลิกภาพมีผลต่อการท างานและการ ใช้ชีวิตในสังคม ผู้หญิงวัยท างานจ านวนมากจึงให้ความส าคัญกับการ ดูแลตัวเอง อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยนี้พบว่ามีประชากรบางส่วน ซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้กับญาติและคนรู้จักแสดงให้เห็นว่ามีประชากร บางส่วนบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินจากการแนะน า ของคนใกล้ชิดโดยไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงหรือความจ าเป็นที่ควรได้รับ นอกจากนี้มีงานวิจัยศึกษากลุ่มผู้บริโภคซึ่งเป็นนักศึกษาที่มีการใช้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน และใช้ติดต่อกันนานกว่า 4 เดือน ซึ่งบางรายมีผลข้างเคียง คือ สารเคมีตกค้าง (คคนางค์ ตียเกษม , 2545) สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของช่วงวัยผู้บริโภคที่ แนวโน้มมีอายุลดลงเรื่อย ๆ การโฆษณาที่เข้าถึงความต้องการมี สุขภาพและบุคลิกที่ดีของผู้บริโภคท าให้การตัดสินใจซื้อมาทดลองใช้ ท าได้ง่าย อย่างไรก็ตามการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามินอาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น การบริโภควิตามินเอในปริมาณมาก ขณะตั้งครรภ์อาจท าให้ทารกพิการได้(กิตติพร วงศ์สืบสันตติ, 2548) เป็นต้น ดังนั้นการบริโภคอาหารเสริมและวิตามินจึงควรอยู่ภายใต้ ค าแนะน าของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อความปลอดภัย ผู้บริโภคควรได้รับค าแนะน าก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามินโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเภสัชกรผู้ซึ่งมีโอกาสได้ พบกับผู้บริโภคตั้งแต่แรกชี้แจงข้อบ่งใช้ ข้อห้ามใช้ วิธีการใช้และ อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเพื่อความปลอดภัยและได้ผลสูงสุด ดังนั้นการศึกษานี้จึงมุ่งเน้นถึงการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัชกรรม และศูนย์บริการ สาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ค าถามการวิจัย ปัจจัยทางสังคมได้แก่ ครอบครัวสังคมสื่อ/สิ่งพิมพ์ บุคลากร ทางการแพทย์มีปัจจัยสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์ อาหารผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทั้งเหตุผลด้านภาวะสุขภาพ บุคลิก ความงาม ตลอดจนการใช้สื่อโฆษณาต่าง ๆ โดยเฉพาะสังคม ออนไลน์ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามินได้การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกระจายในทุกช่วงอายุ ของประชากรซึ่งอาจมีเหตุผลที่ต่างกันในการเลือกบริโภคสะดวก มากขึ้น สมมติฐานการวิจัย ปัจจัยทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว สังคม สื่อ/สิ่งพิมพ์ บุคลากรทางการแพทย์ มีปัจจัยสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทวิตามินของบุคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 42 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ปัจจัยส่วนบุคคล - เพศ - อายุ - ระดับการศึกษา - อาชีพ - โรคประจ าตัว ปัจจัยทางสังคม - ครอบครัว - สังคม - สื่อ/สิ่งพิมพ์ - บุคคลากรทางการแพทย์ พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมประเภทวิตามิน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 43 รูปแบบในการวิจัย เป็ นการวิจัยเชิงพรรณ นา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาหาปัจจัยสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโรคผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือบุคคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ที่ยินดีเข้าร่วมการวิจัย วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า เครื่องมือทใี่ช้ในการวิจัย (ลักษณะของเครื่องมือ/การแปลผล) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม มี 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามิน จ านวน 5 ข้อ ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับ การศึกษา อาชีพ โรคประจ าตัว เป็ นค าถามปลายปิ ดให้ เลือกตอบและค าถามปลายเปิดให้เติมข้อความ ส่วนที่ 2 ปัจจัยทางสังคมที่ได้รับในการใช้ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารประเภทวิตามินจ านวน 12 ข้อ ประกอบด้วย ครอบครัวสังคมสื่อ/สิ่งพิมพ์บุคลากรทางการแพทย์ลักษณะของ ข้อค าถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) โดย ก าหนดค่าน ้าหนักตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ ได้รับมาก ที่สุด ได้รับมาก ได้รับปานกลาง ได้รับน้อย และได้รับน้อยที่สุด ส่วนที่ 3 พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามิน จ านวน 50ข้อ ลักษณะของข้อค าถามเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยก าหนดค่าดังนี้ ปฏิบัติเป็นประจ า ปฏิบัติบ่อยครั้ง ปฏิบัติบางครั้งปฏิบัตินาน ๆ ครั้ง และไม่เคยปฏิบัติเพื่อทดสอบสมมติฐานโดยวิเคราะห์ค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ (Validity 1.การหาความตรงเชิงเนื้อหา(Content Validity) โดยน า แบบสอบถามที่สร้างขึ้นให้ผู้ททรงคุณวุฒิ จ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และความสอดคล้องกับเนื้อหา ที่ต้องการวัด ความชัดเจนของข้อค าถามและภาษาที่ใช้ ได้ค่า CVI 0.8 จากนั้นน าไปปรับตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิแนะน า 2. ทดสอบความเชื่อมั่น (Reliability) น าแบบสอบถามที่ ปรับปรุงตามค าแนะน าของผู้ทรงคุณวุฒิไปทดลองใช้กับกลุ่มคน ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 30 คน โดยการใช้ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach (Cronbach’ s Alpha Coefficient) ได้ค่าความเชื่ อมั่ นของปั จจัยทางสังคมและ พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน เท่ากับ0.81และ 0.89 ตามล าดับ การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้ศึกษาด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดย ใช้แบบสอบถาม พร้อมแนะน าตนเอง ชี้แจงวัตถุประสงค์ของ การศึกษา และอธิบายรายละเอียดในการตอบแบบสอบถาม ให้แก่กลุ่มตัวอย่าง 2. รวบรวมและตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูล น าแบบสอบถามมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม ส าเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Sciences) ค่าสถิติที่น ามาวิเคราะห์ได้แก่ 1. สถิติเชิงพ รรณ นา (Descriptive Statistic) ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ปัจจัยทางสังคม และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เสริมประเภทวิตามิน วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าสูงสุดค่าต ่าสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 44 2. สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistic) วิเคราะห์ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโรคผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัชกรรม และ ศูนย์บริการสาธารณ สุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยวิเคราะหค์ ่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ เพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) สรุปผลการวิจัย ผู้ตอบแบบสอบถามที่บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามิน จ านวน 75 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 77.3 และเพศชาย ร้อยละ 22.7 อายุเฉลี่ย 39.87 ปี โดยส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 24 – 36 ปี ร้อยละ 41.3 ระดับการศึกษา ร้อยละ 61.3 มีการศึกษาระดับปริญญาตรี มากที่สุดส่วนใหญ่มีอาชีพเป็ นลูกจ้างประจ า ร้อยละ 44.0 ไม่มีโรคประจ าตัว ร้อยละ 78.7และมีโรคประจ าตัว ร้อยละ 21.3 ปัจจัยทางสังคมที่ได้รับในการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อ พิจารณารายด้าน พบว่า ด้านครอบครัว โดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ด้านสังคม โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านสื่อ/ สิ่งพิมพ์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และด้านบุคลากรทาง การแพทย์ โดยรวมอยู่ในระดับสูง พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามินโดยภาพรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน โดยพิจารณาจากสรรพคุณที่ได้รับมากที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมกับพฤติกรรมการ บริโภคผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารประเภทวิตามิน พบว่า ครอบครัว มีระดับความสัมพันธ์ต ่ากับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามิน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สังคม มีระดับความสัมพันธ์ต ่ากับพฤติกรรมการบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 สื่อ/สิ่งพิมพ์ มีระดับความสัมพันธ์ปานกลางกับ พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน อย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01และบุคลากรทางการแพทย์ มีระดับความสัมพันธ์ต ่ากับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามิน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การอภิปรายผล จากการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร พบประเด็นส าคัญที่ควรน ามา อภิปราย ดังนี้ 1. การศึกษาพบว่า ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามิน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 39.87 ปี ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 24 - 36 ปี มีการศึกษาระดับ ปริญญาตรี เป็นลูกจ้างประจ า และไม่มีโรคประจ าตัว 2. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยทางสังคมที่ได้รับในการบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินโดยภาพรวมอยู่ในระดับปาน กลาง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าได้รับปัจจัยด้านบุคลากรทาง การแพทย์มากที่สุดอยู่ในระดับสูงทั้งนี้อาจเนื่องมาจากบุคลากร ทางแพทย์มีความรู้ทางด้านสุขภาพที่ดี และมีความน่าเชื่อถือ 3. พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน โดย พิจารณาจากสรรพคุณที่ได้รับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก สรรพคุณของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้รับและส่งผล ต่อผู้บริโภคโดยตรง 4. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมกับ พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมด้านสื่อ/สิ่งพิมพ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกมากที่สุดต่อพฤติกรรมการบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 (r = 0.368) ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้บริโภคสามารถ เข้าถึงสื่อ/สิ่งพิมพ์ในการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามินได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ สิรินดา ปัญญาสวัสดิ์(2554, หน้า 109) ที่ได้ศึกษาเรื่องการรับรู้ เกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตอ าเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ผลการศึกษาพบว่า สื่อ โฆษณาส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตอ าเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 45 สอดคล้องกับการศึกษาของยุวดี จิรัฐิติเจริญ (2555, หน้า 98) ที่ได้ศึกษาเรื่องการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่มีต่อการ ตัดสินใจซื้ออาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัด ปทุมธานี ผลการศึกษาพบว่าสื่อโฆษณามีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการซื้ออาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัด ปทุมธานี อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และสอดคล้อง กับการศึกษาของศุภชัย วังลัยค า (2557, หน้า 115) ที่ได้ศึกษา เรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด ในอ าเภอเมืองเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า สื่อโฆษณามีผลใน การซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดในอ าเภอเมืองเชียงใหม่ รองลงมาคือบุคลากรทางการแพทย์ สังคม และครอบครัวมี ความสัมพันธ์ทางบวกต่อพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามิน ตามล าดับ ประโยชนท์ ไี่ด้รับจากงานวิจัย 1.ท าให้ทราบพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัชกรรม และ ศูนย์บริการสาธารณ สุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 2. ท าให้ทราบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากรใน กองเภสัชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 3. น าข้อมูลที่ได้ไปก าหนดแนวทางการให้ความรู้ เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทวิตามินอย่าง ถูกต้องและปลอดภัย ข้อเสนอแนะในการน าวิจัยไปใช้ 1. เมื่อต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามิน ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ค าแนะน าได้ อย่างถูกต้อง และปลอดภัย 2. จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยทางสังคมได้แก่ ครอบครัว สังคม สื่อ/สิ่งพิมพ์ และบุคลากรทางการแพทย์ มีความสัมพันธ์ ทางบวกกับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท วิตามิน ซึ่งมีความสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยอื่น ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเน้นให้มีการร่วมมือกันทุกฝ่ ายทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชนในการให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ รวมทั้ง ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินผ่านสื่อ ต่าง ๆ ให้มีความถูกต้อง ชัดเจน ไม่เป็นการโฆษณาเกินความ เป็นจริง ผู้บริโภคควรพิจารณาและตรวจสอบความถูกต้องของ ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ข้อเสนอแนะในการทา วิจัยครั้งต่อไป จากผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินของบุคลากรในกองเภสัช กรรม และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 สาขาท่าทราย ส านัก อนามัย กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. ท าการศึกษาในกลุ่มประชากรที่มากขึ้น เพื่อวิเคราะห์ พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน 2. ผลการศึกษาในครั้งนี้สามารถน าข้อมูลไปใช้เป็ น แนวทางในการวางแผนการให้สุขศึกษาเกี่ยวกับการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทวิตามิน 3. ท าการศึกษาเพิ่มเติมในการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารประเภทอื่น ๆ เพื่อดูแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคต่อไป


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 46 เอกสารอ้างอิง กิตติพร วงศ์สืบสันตติ. (2548). การศึกษาพฤติกรรมการบริโภควิตามินของผูบ้ริโภคในเขตจงัหวดักรุงเทพมหานคร.(ภาคนิพนธ์บริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต). คคนางค์ ตียเกษม. (2545).การใช้วิตามินและเกลือแร่เสริมของนักศึกษาวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเชียงใหม่.การค้นคว้าแบบอิสระ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เปรมจิต ตังสกุล. (2558). ปัจจยัทีม่ีอิทธิพลต่อการตดัสินใจซือ้ผลิตภณัฑ์อาหารเสริมเพอื่สขุภาพของผูบ้ริโภคในเขตเทศบาลนครอบุลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี. (วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี). ยุวดี จิรัฐิติเจริญ. (2555).การสือ่สารการตลาดแบบบูรณาการทีม่ีต่อการตดัสินใจซือ้อาหารเสริมเพอื่สขุภาพของผูบ้ริโภคในจงัหวดัปทุมธานี. (วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย). รุ้งใหม่ ประจักษ์วงศ์. (2556). ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของบุคลากรในโรงพยาบาลสกลนคร. (วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยขอนแก่น). ศุภชัย วังลัยค า. (2557).พฤติกรรมผูบ้ริโภคในการซือ้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดในอ าเภอเมืองเชียงใหม่.การค้นคว้าแบบอิสระ บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สิรนิดา ปัญญาสวสัดิ์. (2554).การรบัรูเ้กีย่วกบัปัจจยัทมี่ีอทิธิพลต่อการตดัสนิใจเลือกบริโภคผลิตภณัฑ์เสริมอาหารเพอื่สขุภาพของผูบ้ริโภคใน เขตอา เภอปากคาด จงัหวดับึงกาฬ.การค้นคว้าอิสระบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 47 ผลการใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม เพอื่การป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร พรแก้ว ปัญญสิน* บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อ ด้านสุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วมเพื่อการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กวัยรุ่นชายและหญิง อายุ10-14 ปี ในชุมชนพื้นที่เขตหนองแขม จ านวน 70 คน จับฉลากเลือกชุมชน 2 ชุมชนเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบและคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัด เข้ากลุ่มละ 35 คน กลุ่มทดลองได้รับกิจกรรมตามโปรแกรมที่ประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (A-I-C) มีกิจกรรมการเรียนรู้ 4 ครั้ง ประกอบด้วยกิจกรรมการสร้างความรู้ความเข้าใจ (Appreciation: A) เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของบุหรี่กิจกรรมการสร้างแนวทางพัฒนา (Influence: I) เพื่อส่งเสริมการรับรู้ประโยชน์ของการ ป้องกันการสูบบุหรี่กิจกรรมสร้างแนวทางปฏิบัติ(Control:C) เพื่อส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการรับรู้ อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และกิจกรรมน าแผนกิจกรรมสู่การปฏิบัติเพื่อการป้องกันการสูบบุหรี่รวมระยะเวลาการศึกษา 6 สัปดาห์เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลลัพธ์โปรแกรมด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่การรับรู้ความรุนแรงของโรค ที่เกิดจากการสูบบุหรี่การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้สมรรถนะแห่ง ตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่โดยวิธีตอบแบบสอบถามด้วยตนเองในระยะก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test, Paired t-test ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (A-I-C) เพื่อการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน มีคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่การรับรู้ความรุนแรงที่เกิดจากการสูบบุหรี่การรับรู้ ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการปฏิบัติเพื่อการไม่สูบบุหรี่สูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ซึ่งผลจากการเข้าร่วมกิจกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชนท าให้กลุ่มตัวอย่างเกิดการรับรู้ถึงโทษและพิษภัยของบุหรี่ และเกิดความมั่นใจตนเองในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่สูงขึ้นด้วยซึ่งสามารถน าไป ประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ในวัยรุ่นกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป ค าส าคัญ: ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ, กระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม, การป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้น


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 48 Effect of applying Health Belief Model and Appretiation-Influence-Control (A-I-C) to prevent smoking among early adolescent in community,NongKhaem district, Bangkok PornkaewPanyasin Abstract This Quasi-Experimental research aimed to study the effect of applying Health Belief Model along with Appreatiation-Influence-Control (A-I-C) for smoking prevention among early adolescent in community, Nong Khaem district, Bangkok. The sample were 70 adolescents aged 10-14 years old from Nong Khaem district. Then two communities in the district were randomly chosen as controlled and experimental group. A purposive sampling technique was used to recruit sample accordant to inclusion criteria in which resulted in 35 samples each group. The experimental group received a 4 steps program applied Health Belief Model and A-I-C. The 4-step learning program included;an activity provided knowledge and understanding about disadvantages and harm of smoking (Appreciation: A), an activity promoted development in perception about advantages of smoking prevention (Influence: I), an activity endorsing self-efficacy to avoid smoking behavior and learning what are the threat towards smoking avoidance (Control: C), and the last activity bringing all the plans into smoking preventive action. The duration of the program was 6 weeks. Data were collected to assess the effect of the program in terms of perception about smoking as the risk factor of many health problem, severity of illness aggravated by smoking, advantages of smoking prevention, threat of smoking avoidance, self-efficacyin smoking avoidance, and behavior to avoid smoking by using pre-post experiment self-questionnaire. Data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, independent t-test, and paired t-test. The result revealed that after joined the program applying Health Belief Model and A-I-C to prevent smoking among early adolescents in community, the mean score of behavior of smoking prevention in terms of perception about smoking as the risk of many health problem, severity of illness aggravated by smoking, advantages of smoking prevention, threat of smoking avoidance, self-efficacy in smoking avoidance, and behavior to avoid smoking significantly increased from the pre-test score, and higher in controlled group (p-value<0.05). According from the result, joining the smoking prevention in community program allowed the controlled group to be aware of disadvantages and harm of smoking as well as develop more self-confidence in smoking avoidance. The program effects more smoking preventive behavior which can be applied to promote smoking preventive behavior in otheradolescent group. Keyword: Prevent smoking among early adolescent, Health Belief Model, Appretiation-Influence-Control (A-I-C)


วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 49 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา บุหรี่เป็ นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งที่แพร่หลายทั่วโลกแม้ใน แต่ละปี ประเทศจะมีรายได้จ านวนมากจากผลิตภัณฑ์บุหรี่แต่ ขณะเดียวกันประเทศก็สูญเสียในด้านเศรษฐกิจจากการน า งบประมาณไปรักษาผู้ป่ วยที่เกิดจากผลของการสูบบุหรี่จ านวน มหาศาลเช่นกันเนื่องจากบุหรี่เป็ นปัจจัยหนึ่งของปัจจัยเสี่ยง ในการคร่าชีวิตคนไทยก่อนวัยอันควรและเป็ นสาเหตุส าคัญ ที่เพิ่มโอกาสท าให้เกิดโรคร้ายต่างๆ อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคถุงลม โป่ งพอง โรคหัวใจเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคเกี่ยวกับ ระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นต้น อีกทั้งการสูบบุหรี่ยังส่งผลร้าย ต่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่ได้รับควันบุหรี่ ซึ่งในปี ค.ศ.2013องค์การ อนามัยโลก (2013) รายงานว่ามีคนเสียชีวิตจากการใช้ยาสูบ และ การสัมผัสกับควันบุหรี่ ปีละ 5 ล้านคนในทุก 6วินาที ร้อยละ22 ของประชากรโลกเริ่มสูบบุหรี่อายุ 15 ขึ้นไป จากผลการส ารวจ วัยรุ่นทั่วโลกปรากฏว่าวัยรุ่นประมาณ 1.8 พันล้านคนมีพฤติกรรม การสูบบุหรี่ส่วนในประเทศไทยก็มีแนวโน้มการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และผู้สูบบุหรี่มีอายุน้อยลงเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2550วัยรุ่น ที่เริ่มสูบบุหรี่อายุ17 ปี และปี พ.ศ. 2554 มีอายุลดลงเป็น 16.2 ปี (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2558) จากการศึกษา พบว่า ปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในกลุ่มวัยรุ่นมาจากปัจจัย ภายนอก ได้แก่ การกระตุ้นจากสิ่งเร้าที่เป็นกลุ่มเพื่อนที่มีอิทธิพล มากความต้องการเป็นเหมือนกลุ่มที่สูบบุหรี่ การได้รับการยอมรับ จากกลุ่มเพื่อน สูบแล้วคิดว่าเท่ห์ เติบโตเป็นผู้ใหญ่และการเข้าถึง บุหรี่ของกลุ่มวัยรุ่น (กมลภู ถนอมสัตย์และรัชนี สรรเสริญ, 2554) ศูนย์บริการสาธารณสุข 48 นาควัชระอุทิศ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลสร้างเสริม สุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ของกรุงเทพฯ มีการ ให้บริการรักษาผู้ป่ วยติดสารเสพติดทุกประเภททั้งเชิงรับและเชิงรุก จากการคัดกรองการสูบบุหรี่ผู้มารับบริการในแผนกผู้ป่ วยนอก ปีพ.ศ.2560จ านวน 2,350 คนพบว่ามีผู้สูบบุหรี่จ านวน 258 คน คิดเป็นร้อยละ10.98 ผู้สูบบุหรี่เหล่านี้พักอาศัยอยู่ทั่วไปในพื้นที่ แม้ว่าศูนย์บริการสาธารณสุข 48 นาควัชระอุทิศจะได้ด าเนินการ ให้บริการทั้งเชิงรับและเชิงรุกบริการด้านการบ าบัดรักษาและการ ป้องกันการสูบบุหรี่ แต่ก็ยังพบว่ามีผู้สูบบุหรี่ในพื้นที่จ านวน ค่อนข้างสูง ดังนั้นการป้องกันการสูบบุหรี่ในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน นอกจากการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถในการหลีกเลี่ยงการสูบ บุหรี่ควรมีการฝึกทักษะการปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนรวมถึงการสร้าง ค่านิยมที่ไม่สูบบุหรี่ซึ่งจะเป็ นปั จจัยที่ส าคัญในการป้องกัน การสูบบุหรี่ของวัยรุ่นและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากแนวคิดดังกล่าวผู้ศึกษาได้ประยุกต์แนวคิดทฤษฎี แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ร่วมกับ กระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (Appreciation Influence Control: A-I-C)มาใช้ในการออกแบบกิจกรรมการป้องกันการ สูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชนโดยให้กลุ่มวัยรุ่นเข้ามามี ส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการคิดวิเคราะห์ก าหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดกิจกรรมตามแผนที่ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นเป็นกระบวนการ เสริมสร้างการเรียนรู้จากการฝึกทักษะปฏิบัติซึ่งจะท าให้กลุ่ม วัยรุ่นเกิดการรับรู้เกิดความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเกิดความตระหนักในการดูแล สุขภาพตนเอง ครอบครัวและชุมชนให้ปลอดภัยจากพิษภัยของ บุหรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะน าไปสู่การลดจ านวนผู้สูบบุหรี่ รายใหม่ รวมทั้งลดผลกระทบจากปัญหาทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เกิดจากสูบบุหรี่ วัตถุประสงคท์่ัวไป เพื่อศึกษาผลการใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้าน สุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วมเพื่อการ ป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน เขตหนองแขม กรุงเทพฯ วัตถุประสงค์เฉพาะ 1. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพ จากการสูบบุหรี่การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการสูบ บุหรี่การรับรู ้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่การรับรู้ อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การรับรู้สมรรถนะแห่งตน ในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่ ภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการป้องกัน การสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน


Click to View FlipBook Version