วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 50 2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่น ตอนต้นในชุมชนด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบ บุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ การรับรู้ ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่การรับรู้อุปสรรคของการ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่ระหว่างกลุ่ม ทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการ ป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน ค าถามการวิจัย 1. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วมเพื่อการป้องกันการ สูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชนท าให้วัยรุ่นตอนต้นมี พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ดีกว่าการให้ความรู้แบบปกติ 2.หลังการเข้าร่วมกิจกรรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผน ความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม เพื่อการป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นภายในชุมชนวัยรุ่น ตอนต้นมีพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ดีกว่าก่อนการเข้าร่วม กิจกรรม กรอบแนวคิด การวิจัยครั้งนี้เป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ร่วมกับกระบวนการ วางแผนแบบมีส่วนร่วม (A-I-C) เพื่อป้องกันการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชนสรุปกรอบแนวคิดการวิจัยดังแผนภูมิที่ 1 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แผนภูมิที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย โปรแกรมการประยุกตใ์ช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ร่วมกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (A-I-C) เพื่อป้องกัน การสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน ประกอบด้วย 1. การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ 2. การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ 3. การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ 4. การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ 5. การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 51 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยค รั้งนี้เป็ น การวิจัยในรูป แบ บ กึ่ งท ด ลอง (QuasiExperimentalResearch) โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 ก ลุ่ ม คื อก ลุ่ ม ท ด ลอ ง (Experimental group) แ ละก ลุ่ ม เปรียบเทียบ(Comparison group) ท าการวัดผลก่อนและหลัง การทดลอง (Two-groups and pre-posttest design) และเก็บ รวบรวมข้อมูลก่อนและหลังทดลองทั้งสองกลุ่มโดยจัดให้กลุ่ม ทดลองได้รับโปรแกรมการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแบบแผน ความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model)ร่วมกับกระบวนการ วางแผนแบบมีส่วนร่วม(A-I-C) ระยะเวลาในการด าเนินการ จ านวน 6 สัปดาห์มีกิจกรรมการเรียนรู้ 4 ครั้ง ดังนี้ 1. สัปดาห์แรกเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลและประเมิน การรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกัน การสูบบุหรี่ 2. สัปดาห์ที่1 กิจกรรมการสร้างความรู้และความเข้าใจ (Appreciation: A) เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของบุหรี่และสร้าง สัมพันธภาพในกลุ่มสมาชิกโดยให้สมาชิกเขียนบัตรค าชื่อและ จุดเด่นของตนเองแล้วแนะน าตัวให้สมาชิกทุกคนรู้จักแบ่งกลุ่ม วิเคราะห์และอภิปรายสภาพปัญหาการสูบบุหรี่ในปัจจุบันผู้วิจัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารพิษในควันบุหรี่โดยสาธิตด้วย หุ่นจ าลองและอภิปรายร่วมกัน 3.สัปดาห์ที่2 กิจกรรมการสร้างแนวทางในการพัฒนา (Influence: I) ส่งเสริมการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ โดยแบ่งกลุ่มให้สมาชิกวาดภาพและเขียนข้อความเกี่ยวกับ สถานการณ์หรือสภาพของบ้านหรือชุมชนที่สมาชิกคาดหวัง อยากให้เป็ นและร่วมค้นหาแนวทางเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ที่ตั้งไว้กลุ่มร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น 4.สัปดาห์ที่ 3 กิจกรรมสร้างแนวทางปฏิ บัติ (Control: C) ส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการ รับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่โดยแบ่งกลุ่มสมาชิก แสดงบทบาทสมมติการปฏิเสธและฝึ กทักษะการจัดการ ความเครียดสมาชิกกลุ่มน ากิจกรรมที่คัดเลือกมาจัดท า แผนปฏิบัติและวางแผนปฏิบัติจริงในชุมชน 5. สัปดาห์ที่ 4 กิจกรรมน าแผนกิจกรรมสู่การปฏิบัติเพื่อ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างประสบการณ์ในการ ป้องกันการสูบบุหรี่โดยให้กลุ่มจัดกิจกรรมการป้องการสูบบุหรี่ ในชุมชน และร่วมอภิปรายปัญหา อุปสรรคหลังสิ้นสุดการจัด กิจกรรมให้สมาชิกแต่ละคนเขียนความตั้งใจและค าสัญญากับ ตนเองที่มีความตั้งใจจะไม่สูบบุหรี่และผู้วิจัยให้ก าลังใจในความ ตั้งใจที่จะไม่สูบบุหรี่ ตัวแทนกลุ่มสรุปสิ่งที่ได้จากกิจกรรมและ การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน 6. สัปดาห์ที่ 6 เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลและ ประเมินการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการ ป้องกันการสูบบุหรี่หลังสิ้นสุดโครงการด้วยแบบสอบถามชุดเดิม กิจกรรมการสร้างความรู้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร วัยรุ่นตอนต้นในชุมชนเขตหนองแขมกรุงเทพมหานคร จ านวน 1,045 คน กลุ่มตัวอย่าง วัยรุ่นตอนต้นที่อยู่ในชุมชนพื้นที่เขตหนองแขมคัดเลือก ชุมชนโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับฉลากชุมชนในพื้นที่เขตหนองแขมมา2 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนสงวนค าและชุมชนสวัสดิการหนองแขมโดยคัดเลือก กลุ่มตัวอย่างในแต่ละชุมชนแบบเจาะจง (PurposiveSampling) กลุ่มละ 35 คน ได้เป็ นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบการ ค านวณ ขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Gass(1996) ก าหนดค่าความเชื่อมั่นที่ 0.05 อ านาจการทดสอบ (Power) เท่ากับ 0.80และการประเมินขนาดอิทธิพล (Effect size)(Polit, 1999) ได้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 29 คน และเพิ่มขนาดกลุ่ม ตัวอย่างเพื่อป้องกันการสูญหายอีกร้อยละ 20ได้กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มละ 35 คน เกณฑ์คัดเข้า 1. เป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนพื้นที่เขตหนองแขมเป็น เวลาไม่น้อยกว่า 1ปี 2. มีอายุตั้งแต่ 10-14 ปี
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 52 3. ไม่สูบบุหรี่ หรือเคยสูบบุหรี่แต่หยุดสูบมาแล้วไม่น้อย กว่า 6 เดือน 4. สามารถอ่านออก เขียนได้ 5. ผู้ปกครองยินดีและอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการวิจัย เกณฑ์คัดออก 1. ย้ายออกนอกพื้นที่เขตหนองแขม 2. เข้าร่วมกิจกรรมไม่ครบตามก าหนด เครื่องมือการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เครื่องมือ ที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1.เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการป้องกัน การสูบบุหรี่ของวัยรุ่นตอนต้นในชุมชน ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นตาม แนวคิดทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) และมีด าเนินกิจกรรมด้วยกระบวนการวางแผนแบบ มีส่วนร่วม (A-I-C) สัปดาห์ละ 1 ครั้งรวม 4 ครั้ง 2. เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองโดยการปรับปรุงจากแบบสอบถามของ ศิริธิดา ศรีพิ ทักษ์ และคณ ะ (2555) ซึ่งได้ท าการศึกษ า ประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันการสูบบุหรี่ของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุพรรณบุรี ลักษณะแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 7 ส่วน คือ ส่วนที่1ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 10 ข้อ ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษาปัจจุบันพักอาศัยอยู่กับ ใคร ค่าใช้จ่ายที่ได้รับต่อวัน กิจกรรมที่ท าบ่อยที่สุดในเวลาว่าง การสูบบุหรี่ของคนในครอบครัวการสูบบุหรี่ของเพื่อนสนิท ประวัติการสูบบุหรี่และ การใช้สารเสพติดอื่น ๆ ส่วนที่ 2แบบวัดการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบ บุหรี่มีลักษณะเป็ นแบบมาตราประเมินค่า (rating scale) แบ่ง ออกเป็น 5ระดับตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert, 1961อ้างถึงในบุญชม ศรีสะอาด,2553) เป็นค าถามปลายปิ ดให้เลือกค าตอบเพียงข้อ เดียวคือเห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วยไม่แน่ใจไม่เห็นด้วย และไม่เห็น ด้วยอย่างยิ่ง ประกอบด้วยค าถามข้อความเชิงบวกและเชิงลบ จ านวน 10ข้อมีค่าคะแนนระหว่าง 10-50 คะแนน การทดสอบหา ความเที่ยงของแบบประเมินได้ค่า Cronbach’s alphaเท่ากับ 0.747 ส่วนที่ 3 แบบวัดการรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่มีลักษณะเป็นแบบมาตราประเมินค่า(rating scale) แบ่งออกเป็น 5 ระดับตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert,1961อ้างถึงใน บุญชม ศรีสะอาด, 2553) เป็นค าถามปลายปิดให้เลือกค าตอบ ได้เพียงค าตอบเดียว คือ เห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งประกอบด้วยค าถามข้อความ เชิงบวก และข้อความเชิงลบจ านวน 10ข้อ มีค่าคะแนนระหว่าง 10 - 50 การท ดสอบ ค วาม เที่ ยงของแบ บ ป ระเมิ น ได้ค่ า Cronbach’salpha เท่ากับ 0.812 ส่วนที่ 4แบบวัดการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบ บุหรี่มีลักษณะเป็ นแบบมาตราประเมินค่า (rating scale) แบ่ง ออกเป็น 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert, 1961อ้างถึงในบุญชม ศรีสะอาด, 2553) เป็ นค าถามปลายปิ ดให้เลือกค าตอบได้เพียง ค าตอบเดียว คือเห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วย ไม่แน่ใจไม่เห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งประกอบด้วยค าถามข้อความเชิงบวกและค าถาม ข้อความ เชิงลบจ านวน 10ข้อ มีค่าคะแนนระหว่าง 10-50 คะแนน การทดสอบความเที่ยงของแบบประเมินได้ค่า Cronbach’s alpha เท่ากับ 0.815 ส่วนที่ 5แบบวัดการรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการ สูบบุหรี่มีลักษณะเป็นแบบมาตราประเมินค่า (rating scale) แบ่ง ออกเป็น 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert, 1961อ้างถึงใน บุญชม ศรีสะอาด, 2553) เป็นค าถามปลายปิดให้เลือกเพียงค าตอบเดียว คือเห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วยไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งประกอบด้วยค าถามข้อความเชิงบวกและค าถามข้อความ เชิงลบจ านวน 10ข้อมีค่าคะแนนระหว่าง 10-50 การทดสอบ ความเที่ยงของแบบประเมินได้ค่าCronbach’s alpha เท่ากับ 0.724 ส่วนที่ 6 แบบวัดการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่มีลักษณะเป็นแบบมาตราประเมินค่า (rating-scale) แบ่ง ออกเป็น 4 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert, 1961อ้างถึงในบุญชม ศรีสะอาด, 2553) เป็นค าถามปลายปิดให้เลือกเพียงค าตอบเดียวคือ มั่นใจมากที่สุด มั่นใจมาก มั่นใจน้อย และไม่มั่นใจเลยประกอบด้วย ข้อค าถามเชิงบวกจ านวน 10ข้อ มีค่าคะแนนระหว่าง 10-40 คะแนน ส่วนที่ 7 แบบวัดการปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่ ซึ่งมี ลักษณะเป็นแบบมาตราประเมินค่า (rating scale) แบ่งคะแนน ออกเป็น 4 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert, 1961อ้างถึงในบุญ ชม ศรีสะอาด, 2553) เป็นค าถามปลายปิ ดให้เลือกค าตอบ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 53 ได้เพียงค าตอบเดียว คือปฏิบัติทุกครั้ง ปฏิบัติบางครั้ง ปฏิบัติ นาน ๆ ครั้ง และไม่เคยปฏิบัติ ประกอบด้วยค าถามข้อความเชิง บวกและค าถามข้อความเชิงลบจ านวน 10 ข้อ มีค่าคะแนน ระหว่าง10-40 คะแนน การทดสอบความเที่ยงของแบบประเมิน ได้ค่า Cronbach’s alpha เท่ากับ 0.955 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้น าเครื่องมือไปตรวจสอบคุณภาพ โดยการหาความเที่ยงตรง (Validity) และความเที่ยงตรง (Reliability) มีรายละเอียดดังนี้การหาความตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยน าแบบสอบถามที่ท าการปรับปรุงแก้ไข แล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงของ เนื้อหาความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ การใช้ภาษาและให้ คะแนน ตามเกณฑ์แล้วน าผลการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญมา หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) (สมนึกภัททิยธานี, 2556) ทดสอบความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบสอบถาม โดยการน าแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตาม เนื้อหาและได้ปรับปรุงและแก้ไขแล้วน าไปทดลองใช้ (Try Out) กับวัยรุ่นในชุมชนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่จะ ศึกษาจ านวน 30 รายน าคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความ เที่ยงตรงของแบบสอบถามโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์แอลฟา ของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ในการศึกษา ครั้งนี้ใช้ค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.7 ขึ้นไปเป็นค่าที่ยอมรับได้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์, 2553) วิธีเกบ็รวบรวมขอ้มูล 1. ท าหนังสือจากศูนย์บริการสาธารณสุข 48 นาควัชระอุทิศ เพื่อขออนุญาตผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้าร่วมกิจกรรม 2. ให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามด้วยตนเองก่อนเข้า ร่วมกิจกรรมในสัปดาห์แรกและหลังสิ้นสุดโปรแกรมในสัปดาห์ที่6 การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถิตทิใี่ช้ การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social Science) โดยก าหนดนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เป็นเกณฑ์ในการ ยอมรับหรือปฏิเสธสมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) บรรยาย ลักษณะข้อมูลส่วนบุคคลและพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงการเกิดโรคจากการสูบบุหรี่การรับรู้ ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่การรับรู้ประโยชน์ของ การไม่สูบบุหรี่การรับรู้อุปสรรคของการไม่สูบบุหรี่การรับรู้ สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัว เพื่อการไม่สูบบุหรี่โดยการใช้สถิติแจกแจงความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 2. สถิติวิเคราะห์(Analytical Statistics) มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อ สุขภาพจากการสูบบุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่ การรับรู ้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การรับรู้สมรรถนะ แห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการปฏิบัติตัวเพื่อการ ไม่สูบบุหรี่ก่อนการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม เปรียบเทียบโดยใช้สถิติ Independent t-test 2.2 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อ สุขภาพจากการสูบบุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การ รับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้สมรรถนะ แห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัวเพื่อการไม่ สูบบุหรี่ภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติ Paired t-test 2.3 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อ สุขภาพจากการสูบบุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การรับรู้สมรรถนะ แห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัวเพื่อการ ไม่สูบบุหรี่หลังจากการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม เปรียบเทียบโดยใช้สถิติIndependent t-test
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 54 สรุปผลการวิจัย ส่วนที่1 ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มทดลอง 1. ส่วนมากเป็นเพศหญิงจ านวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 62.86 2. ส่วนมากอายุ 13 ปีจ านวน10 คนคิดเป็นร้อยละ 28.57 3. ก าลังเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมากที่สุด จ านวน22 คน คิดเป็นร้อยละ 62.86 4. ส่วนมากอาศัยอยู่กับบิดามารดาจ านวน 20 คน คิดเป็น ร้อยละ 57.14 5. ส่วนมากได้รับค่าใช้จ่ายวันละ 10-50 บาท จ านวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 42.86 6. กิจกรรมที่มักท าเวลาว่าง 3 อันดับแรก คือ ดูโทรทัศน์ จ านวน 35 คนคิดเป็นร้อยละ100เล่นเกมจ านวน 25 คน คิดเป็น ร้อยละ 71.43 และฟังเพลงจ านวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 40 ตามล าดับ 7. ในครอบครัวมีคนสูบบุหรี่จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อย ละ 34.29 8. มีเพื่อนสนิทสูบบุหรี่ 7 คน คิดเป็นร้อยละ 20 9. เคยสูบบุหรี่จ านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 10. เคยใช้สารเสพติดอื่น ๆ จ านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.86และสารเสพติดที่เคยใช้มากที่สุด คือ เบียร์ จ านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.86 กลุ่มเปรียบเทียบ 1. ส่วนมากเป็นเพศหญิงจ านวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 2. ส่วนมากอายุ 12 ปีจ านวน10 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 3. ก าลังเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมากที่สุด จ านวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 65.71 4. ส่วนมากอาศัยอยู่กับบิดามารดาจ านวน 19 คน คิด เป็นร้อยละ54.29 5. ส่วนมากได้รับค่าใช้จ่ายวันละ 51-100 บาท จ านวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 40 6. กิจกรรมที่มักท าเวลาว่าง 3อันดับแรก คือ ดูโทรทัศน์ จ านวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 100เล่นเกมจ านวน 21 คน คิด เป็นร้อยละ 60 และคุยโทรศัพท์จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 34.94 ตามล าดับ 7. มีคนในครอบครัวสูบบุหรี่จ านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.86 8.มีเพื่อนสนิทสูบบุหรี่จ านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 9. เคยสูบบุหรี่จ านวน 7คน คิดเป็นร้อยละ20 10. เคยใช้สารเสพติดอื่น ๆ จ านวน 10คน คิดเป็ น ร้อยละ 22.86 และสารเสพติดที่เคยใช้มากที่สุด คือ เบียร์ จ านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 ส่วนที่2 พฤติกรรมการสูบบุหรี่ 1. การวิเคราะห์ระดับคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมในการ ป้องกันการสูบบุหรี่ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพจากการ สูบบุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ การ รับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่การรับรู้อุปสรรคของ การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัวเพื่อการไม่สูบบุหรี่ของ กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง พบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบมีระดับ ของคะแนนเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง 2. การเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อ สุขภาพจากการสูบบุหรี่การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้ถึงอุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้ถึง สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการปฏิบัติตัว เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ก่อนการทดลอง ระหว่างกลุ่มทดลองและ กลุ่มเปรียบเทียบ พบว่าไม่แตกต่างกัน 3.การเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อ สุขภาพจากการสูบบุหรี่ การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดจาก การสูบบุหรี่ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับรู้สมรรถนะ แห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการปฏิบัติตัวเพื่อการ ไม่สูบบุหรี่ภายในกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการทดลองพบว่า หลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ (p<0.001)
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 55 4. การเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยง ต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่การรับรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิด จากการสูบบุหรี่ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการสูบบุหรี่ การรับรู้ถึงอุปสรรคของการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การรับรู้ สมรรถนะแห่งตนในการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัว เพื่อการไม่สูบบุหรี่หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและ กลุ่ม เปรียบเทียบ พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่ม เปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p<0.05) ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย 1.วัยรุ่นส่วนใหญ่ให้ความส าคัญกับกลุ่มเพื่อนชอบท า ตามอย่างกลุ่มเพื่อน ดังนั้นกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ ควรใช้แรงจูงใจจากกลุ่มเพื่อนในการส่งเสริมกิจกรรมรวมกลุ่ม เพื่อนในเชิงสร้างสรรค์ให้มากขึ้นและสนับสนุนให้มีการวางแผน ด าเนินงานร่วมกันจะท าให้การรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2.ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ไม่สูบบุหรี่เพราะมีความ เชื่อว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี มีผลเสียกับตนเองและในคน รอบข้าง ดังนั้นควรส่งเสริมกิจกรรมที่จะมีผลต่อความเชื่อของ กลุ่มเป้าหมาย มีกลวิธีที่เหมาะสมน่าสนใจและน่าติดตาม หรือ การใช้สื่ออุปกรณ์ที่ทันสมัย เป็นต้น 3.การวิจัยเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในชุมชน ควรให้ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชน เช่น ครู อาจารย์ บิดา มารดา และผู้ปกครอง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการ เป็ นต้นแบบที่ดีรวมทั้งเป็ นผู้สนับสนุนช่วยเหลือให้เ กิด พฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน 4.บุคลากรทางด้านสาธารณสุข ครู อาจารย์ ผู้น าชุมชน รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของเด็กและเยาวชนควรเพิ่มการ ติดตาม การกระตุ้นเตือน และการคอยให้ก าลังใจอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยเชิงคุณภาพเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นเพื่อเปรียบเทียบผลของการ วิจัยว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ จะแตกต่างกันหรือไม่ เพื่อน าไปเป็นแนวทางในป้องกันการสูบ บุหรี่ของเด็กและเยาวชนต่อไป 2. ควรมีการพัฒนาโปรแกรมป้องกันการสูบบุหรี่และการ หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่มือสองควบคู่กันเพื่อท าให้เกิด พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงและไม่สูบบุหรี่อย่างถาวร 3. ควรมีการศึกษาวิจัยรูปแบบงานบริการด้านสาธารณสุข ในการป้องกันการสูบบุหรี่ที่ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อน ามาใช้ เป็นแนวทางในการด าเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา การสูบบุหรี่ของเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. ควรมีการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ให้มี กิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่นการใช้กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน การสร้างแกนน าเด็กหรือเยาวชนในการป้องกันการสูบบุหรี่ใน ชุมชนการสร้างบุคคลต้นแบบ ไม่สูบบุหรี่หรือสร้างชุมชน ต้นแบบปลอดบุหรี่ เป็นต้น
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 56 เอกสารอ้างอิง กมลภู ถนอมสัตย์และรัชนี สรรเสริญ. (2554). ปัจจัยที่สมัพนัธ์กบัการสูบบุหรี่ในระยะเร่ิมตน้ของนกัเรียนชายชัน้มัธยมศึกษาตอนตน้ สงักัด สา นกังานเขตพนื้ทกี่ารศกึษาตราด.วารสารการพยาบาลและการศึกษา, 4(3), 34-47. บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์สุวีริยาสาส์น. บญุธรรม กิจปรีดาบรสิทุธิ์. (2553). เทคนคิการสรา้งเครือ่งมือรวบรวมขอ้มูลสา หรบัการวจิยั (พมิพค์รงั้ที่7).กรุงเทพฯ: ศรีอนันต์การพิมพ์. ศิริธิดา ศรีพิทักษ์ และคณะ. (2555). ประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกนัการสูบบุหรี่ในนกัเรียนมธัยมศึกษาตอนต้นจังหวัดสุพรรณบุรี.วารสาร วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 23(1),38-52. สมนึก ภัททิยธานี. (2556). การวัดผลการศึกษา. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์. ส านักงานสถิติแห่งชาติ. (2558). การสา รวจพฤตกิรรมการสูบบหุรีแ่ละดมื่สรุาของประชากร พ.ศ.2255-2556. กรุงเทพฯ: เจริญดีมั่นคงการพิมพ์. Glass, G.V., & Hopkin, K.D. (1996). Statistical methods education and psychology. (3thed.). New Jersey: Allyn & Bacon. Polit, D.F., & Hungler, B.P. (1999). Nursing Research: Principle and methods. (6thed.). Philadelphia: J.B.Lippincott.Rosenstock, I.M., Strecher, V.J., & Becker, M.H. (1988). Social Learning Theory and theHealth Belief Model. Health EducationQuarterly, 15(2), 176-182. World Health Organization. (2013). WHO Report on the Global Tobacco Epidemic, 2011: Warning about the Dangers of Tobacco. Geneva:WHO.
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 57 ปัจจัยทมี่ีความสัมพนัธก ์ ับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่4 บางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร อัญญรินทร์แจ้งเขว้า* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ด้านการรับรู้ภาวะสุขภาพ ด้านการ ประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ด้านความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และด้านการสนับสนุนทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง ที่มีภูมิส าเนาอยู่ใน ชุมชนหมู่ 4 บางแวกในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จ านวน 162 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย เป็ น แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ตรวจสอบความเที่ยงดว้ยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของ Cronbach ได้ค่า ความเที่ยงเท่ากับ 0.96วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์เพียรสัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างความว้าเหว่ของผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง (xˉ = 3.02, SD = 0.33) ด้านสัมพันธภาพใน ครอบครัว ด้านการประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ด้านความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และด้านการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านการรับรู้ภาวะสุขภาพมีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน ผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าทีมสาธารณสุขและทีมสหวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในชุมชน ควรพัฒนาแนวปฏิบัติในการป้องกัน ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน โดยส่งเสริมด้านด้านสัมพันธภาพในครอบครัวด้านความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ด้าน ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และด้านการสนับสนุนทางสังคม ค าส าคัญ: ความว้าเหว่, ผู้สูงอายุ 2 *พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ศูนย์บริการสาธารณสุข47 คลองขวาง ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 58 Factors Associated with Elderly Loneliness in Moo 4 Bang Waek Community, Phasicharoen District, Bangkok. AnyarinJangkhae Abstract This correlational research aimed to study the factors in terms of familial relationship, health perception, abilities to do activities of daily living assessment, self-esteem, and social supports that are related to loneliness of the elders. The sample were 162 elders whose age are over or equal to 60 years, either sex, who lived in Moo.4 Bang Waek sub-district, PhasiChareon district, Bangkok.The sample were recruited by stratified sampling method. The tools used in this study included questionnaires and interviews. The reliability of the tools was tested by Alpha Coefficient of Cronbach, yields 0.96. Data were analyzed by descriptive statistics and Pearson correlation coefficient. The result shows that among the sample, loneliness of the elders is in the moderate level (xˉ=3.02, SD= 0.33). Other factors;familial relationship, abilities to do activities of daily living assessment, self-esteem, and social supports that are related to loneliness of the elders are significantly related with loneliness of the elders in the community at 0.05. Whilst health perception is related to loneliness of the elders. The outcome of this study suggests that public health team along with multidisciplinary team who work in the community should develop a guideline about prevention of loneliness of the elders in the community. The guideline should emphasize on supporting familial relationship, abilities to do activities of daily living, self-esteem, and social supports. Keywords:Loneliness/ Older People
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 59 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหาในการวิจัย จากสถานการณ์ของประชากรผู้สูงอายุในปัจจุบัน พบว่า จ านวนประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งนี้เป็ นผลมาจากความ เจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้านสาธารณสุข รวมทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมท าให้ประชากรมี ความเป็นอยู่ที่ดีและมีอายุยืนยาวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร(วิทยาลัยประชากรศาสตร์และ มูล นิธิสถ าบัน วิจัย แ ละ พัฒ น าผู้สูง อ ายุไท ย , 2558:1) องค์การสหประชาชาติได้ประเมินสถานการณ์ว่า ปี พ.ศ.2544- 2643(2001-2100) จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ หมายถึงการมี ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ10จนก้าวเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ (Aging society) สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์(Aged society) แล ะสังค ม ผู้สูงอ ายุระดับ สุด ย อ ด (Superaged society) ตามล าดับ (วิไลวรรณ ทองเจริญ, 2558:42-50) ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จากส านักงานสถิติแห่งชาติผลการส ารวจข้อมูลด้านประชากร สูงอายุในประเทศไทยตั้งแต่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537 ถึงครั้งล่าสุด ปี พ.ศ. 2557 พบว่า ในปี พ.ศ. 2537, 2545, 2550, 2554และ 2557 มีจ านวนผู้สูงอายุคิดเป็ นร้อยละ 6.8ของประชากรทั้ง ประเทศและเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ9.4ร้อยละ10.7ร้อยละ12.2ร้อย ละ 14.9ตามล าดับ (วิไลวรรณ ทองเจริญ, 2558:42-50) ส าหรับ กรุงเทพมหานครนั้น พบว่า ประชากรผู้สูงอายุมีจ านวนเพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่องทุกปี ในปี พ.ศ. 2553 มีจ านวนประชากรผู้สูงอายุ 692,654ราย ปี พ.ศ. 2554 มีจ านวนประชากรผู้สูงอายุ 745,632 ราย และปีพ.ศ.2557 มีจ านวนประชากรผู้สูงอายุ 942,586ราย คิดเป็นร้อยละ 12.15, 12.82, และ13.72ของประชากรทั้งหมด (ส านักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพฯ, 2557) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูและดูแลผู้สูงอายุมากขึ้นและการเปลี่ยนแปลง รูปแบบของครอบครัวไทยจากครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัว เดี่ยวมากขึ้นส่งผลให้ผู้สูงอายุถูกละเลยและทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามล าพัง ขาดการดูแลเอาใจใส่ สัมพันธภาพ ในครอบครัวระหว่างผู้สูงอายุกับบุตรหลานลดลง ถ้าผู้สูงอายุ ไม่สามารถปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะส่งผลให้ผู้สูงอายุ มีความว้าเหว่ตามมาด้วย นอกจากปัญหาจากด้านเศรษฐกิจ และสังคมแล้วการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ซึ่งเป็นผลมา จากความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายจากการที่อายุ เพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ท าให้ผู้สูงอายุมีโอกาส เกิดภาวะเจ็บป่ วยได้ง่ายอาจท าให้ผู้สูงอายุไร้ความสามารถ หรือมีความบกพร่องทางร่างกาย ความสามารถในการปฏิบัติ กิจวัตรประจ าวันต่างๆ ลดน้อยลง ต้องพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ จะส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลง เกิดจาก แยกตัวออกจากสังคม มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมลดน้อยลง ส่งผล ให้ผู้สูงอายุเกิดความว้าเหว่มากขึ้น (ชุลีกร ปัญญา, 2557:2) ความว้าเหว่นั้น Perlman กล่าวว่าเป็ นความ รู้สึก ไม่พึงพอใจจากการที่บุคคลไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับ บุคคลอื่นจากการขาดการมีปฏิสัมพันธ์ตามปกติหรือมีความ ต้องการการมีปฏิสัมพันธ์ที่มากเกินปกติ ท าให้การมีปฏิสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นในบุคคลนั้น ๆ ไม่ตรงตามความต้องการของตัวเองท าให้ มีโอกาสเกิดความรู้สึกว้าเหว่ได้ (Perlman, Peplau, 1981อ้างใน โสวิตา วงศ์จิรวัฒนกุล, 2551:12) ความว้าเหว่เป็นปัญหาที่มีความส าคัญในผู้สูงอายุและ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้สูงอายุทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และ สังคม ผลกระทบด้านร่างกายนั้น พบว่า ความว้าเหว่ท าให้เกิด ท้องผูก น ้าหนักลด นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วน ทางด้านจิตใจ พบว่า ท าให้ผู้สงอายุโดดเดี่ยว สิ้นหวัง และ ความรู้สึกที่มีคุณค่าในตนเองลดลง ส่วนด้านสังคม พบว่า ผู้สูงอายุคิดว่าตนเองไม่แข็งแรง ไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทาง สังคมได้ ท าให้ขาดความปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ส่งผลให้ ผู้สูงอายุแยกตัวออกจากสังคมถ้าผู้สูงอายุที่มีความว้าเหว่ไม่ได้ รับการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจ จนอาจน าไปสู่ภาวะซึมเศร้า และเพิ่มความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ของผู้สูงอายุได้ถึงร้อยละ10(วิทยาลัยประชากรศาสตร์, 2555) จากการทบทวนวรรณ กรม พบว่าความว้าเหว่ใน ผู้สูงอายุมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ เช่น จาก การศึกษาของ Hazer & Boylu (2010: p.2083-2089) พบว่า ปัจจัยด้านอายุมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความว้าเหว่ และ ภาวะสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางลงกับความว้าเหว่โดยผู้สูงอายุ ที่รับรู้ภาวะสุขภาพไม่ดีจะมีความว้าเหว่มากกว่าผู้สูงอายุที่รับรู้ ภาวะสุขภาพดีจากการศึกษาของ ธิดา มีศิริ (2541:48) พบว่า
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 60 สัมพันธภาพในครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางลงกับความว้าเหว่ จากการศึกษาของนงเยาว์ พลโทพงศ์ (2547:78) พบว่า ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ความรู้สึกมีคุณค่า ในตนเอง และการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับความ ว้าเหว่ และจากการศึกษาของ Chalise et al. (2007: 299-314) พบว่าผู้สูงอายุที่มีการสนับสนุนทางสังคมที่ดีจะส่งเสริมให้ ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีมีความผาสุกในชีวิต และท าให้ความ ว้าเหว่ลดลง ศูนย์บริการสาธารณสุข 47 คลองขวาง เป็นหน่วยงาน ให้บริการสุขภาพครอบคลุมทุกกลุ่มวัยในพื้นที่เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครซึ่งมีประชากรผู้สูงอายุทั้งหมด 936,862 ราย (ส านักงานบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2559) เนื่องจากเขตภาษีเจริญ เป็นเขตที่มีจ านวนผู้สูงอายุค่อนข้างมาก เป็นอันดับ1ใน10 และยังเป็นชุมชนเมืองที่ค่อนข้างแออัด ผู้คน ในชุมชนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันมากบุตรหลานต้องออกไป ท างานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ต้องแข่งขัน กับเวลาเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับบ้านดึก ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามล าพังในบ้านไม่ค่อยได้พบเจอคนใน ครอบครัวส่งให้อาจเกิดความว้าเหว่และเกิดปั ญ หาด้าน สุขภาพกายและจิตใจตามมา ผู้วิจัยจึงสนใจท าการศึกษาความว้าเหว่ของผู้สูงอายุใน ชุมชนเขตภาษี เจริญ กรุงเทพมหานคร รวมถึงปั จจัยที่มี ความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน โดยใช้ กรอบแนวคิดของ Perlman and Peplau ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลกรสาธารณสุขในการใช้เป็นแนวทาง วางแผนการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมี ความผาสุกในการด ารงชีวิตต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลปัจจัยกระตุ้นและความ ว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่ 4 บางแวก ในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2.เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกระตุ้นกับความ ว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่ 4 บางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร สมมติฐานการวิจัย ปัจจัยกระตุ้นมีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ ในชุมชนหมู่ 4 บางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 61 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็ นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์เพื่ อหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกระตุ้น กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ อายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีภูมิส าเนาอยู่ใน ชุมชนเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2560 คัดเลือก โด ย วิ ธี ก ารสุ่ ม แบ บ ห ลาย ขั้ น ต อน (Multistage Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่าง 162 คน จากชุมชนหมู่ 4 บางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เครื่องมือทใี่ช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 7 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส การพักอาศัย ความเพียงพอของรายได้ การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เป็นข้อค าถามชนิดเลือกตอบ ส่วนที่2 แบบสอบถามด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยปรับปรุงจากแบบสัมภาษณ์สัมพันธภาพใน ครอบครัวของ Morrow and Wilson (1961: 501 - 510) จ านวน 14ข้อ ลักษณะค าตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ส่วนที่3 แบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพ การวิจัย ครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยปรับปรุงจาก สุพรรณี ธีรเจตกูล (2539:42-48)จ านวน 3ข้อ ลักษณะค าตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ มาก ที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ส่วนที่4 แบบสัมภาษณ์ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL Index หรือ BAI) เป็นแบบสัมภาษณ์ที่พัฒนาขึ้นโดย สุทธิ ชัย จิตะพันธ์กุล (2542:58) ประเมินความสามารถในการ ปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด ประกอบด้วย 10กิจกรรม ได้แก่ 1)การรับประทานอาหาร2)การ ท าความสะอาดร่างกาย 3)การลุกจากที่นอนหรือเตียงไปยัง เก้าอี้ 4)การใช้ห้องสุขา 5)การเคลื่อนที่ภายในห้อง 6)การสวมใส่ เสื้อผ้า 7)การขึ้นลงบันได1ขั้น 8)การอาบน ้า 9)การควบคุมการ ขับถ่ายอุจจาระ และ 10)การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ส่วนที่5แบบสอบถามความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง การ วิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามความรู้สึกมีคุณค่าให้ตนองของ วารี กังใจ (2540:42) จ านวน 9ข้อ ลักษณะค าตอบเป็นมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 อันดับ คือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ส่วนที่6 แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคมซึ่งการ วิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคมของ น ้าเพชร หล่อตระกูล (2543:108 - 120)จ านวน 14ข้อ ลักษณะ ค าตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5อันดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ปัจจัยกระตุ้น -สัมพันธภาพในครอบครัว -การรับรู้ภาวะสุขภาพ -ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน -ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง -การสนับสนุนทางสังคม - การรับรู้ภาวะสุขภาพ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 62 ส่วนที่7 แบบสอบถามความว้าเหว่ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัย ใช้แบบสอบถามของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเมืองลอสแองเจลิส ( University of California, Los Angeles Loneliness Scale ห รือ UCLA Loneliness Scale) ข อ ง Russell, Peplau, and Cotronaซึ่งแปลและดัดแปลงเป็นภาษาไทยโดยสุพรรณี นันทชัย (2534:98-100)จ านวน 28 ข้อ มีลักษ ณ ะเป็ นมาตราส่วน ประมาณค่า 5 อันดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อย ที่สุด การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 1. การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยให้ผู้ทรงคุณวุติด้านผู้สูงอายุและจิตเวชในผู้สูงอายุ จ านวน 5 ท่านเป็นผู้พิจารณาเนื้อหาในข้อค าถามของแบบสอบถาม ความสอดคล้องต่อวัตถุประสงค์ ความชัดเจนและความเหมาะสม ของเนื้อหาเพื่อปรับปรุงแก้ไขและน าผลการตรวจสอบจาก ผู้ทรงคุณวุฒิมาค านวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อค าถาม (Index of Congruence: IOC) ได้ค่า IOCของข้อค าถามจ านวน 65ข้อ มีค่าอยู่ระหว่าง 0.08 - 1.00 2. การตรวจสอบความเที่ยง (Reliability) โดยการน า แบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try-out) กับกลุ่ม ตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจริง ระหว่าง วันที่ 11 กรกฎาคม ถึง 13 กรกฎาคม 2560 จ านวน 30 คน วิเคราะห์โดยใช้วิธีหา ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของ Cronbach ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.96 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยน าหนังสือจากคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค าแหง เสนอต่อผู้อ านวยการเขตภาษีเจริญ เพื่อขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูล 2. ผู้วิจัยได้ด าเนินการติดต่อและชี้แจงวัตถุประสงค์ของ การวิจัยรายละเอียดและขั้นตอนการด าเนินการวิจัยแก่ประธาน ชุมชนอาสาสมัครสาธารณสุข และผู้สูงอายุกลุ่มตัวอย่าง 3. ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยท าการเก็บรวบรวมข้อมูลของ ผู้สูงอายุกลุ่มตัวอย่างจนครบ จ านวน 162 คน และตรวจสอบ ความสมบูรณ์และความถูกต้องของข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป โดยใช้สถิติดังนี้ 1. สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการน าเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ลักษณะกลุ่มตัวอย่าง และปัจจัยกระตุ้น 2. สถิติวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกระตุ้นและ ความว้าเหว่โดยใช้การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สันที่ระดับ นัยส าคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย 1. ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายมากกว่า เพศหญิง โดยร้อยละ 53.7 เป็นเพศชาย ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.7 มีอายุระหว่าง 71 - 80 ปี รองลงมาร้อยละ35.2 มีอายุระหว่าง 60-70 ปี มีสถานภาพโสดมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ40.7รองลงมา คือคู่และหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่มีจ านวนเท่ากันคือร้อยละ 29.6 ส่วนใหญ่ร้อยละ 48.1จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย/ ปวช./ ปวส./อนุปริญญา ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.1พักอาศัยอยู่คนเดียว มากกว่าครึ่งมีรายได้และร้อยละ 58 ที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ทางสังคม 2. ปัจจัยกระตุ้นของกลุ่มตัวอย่างพบว่าด้านสัมพันธภาพ ในครอบครัว ด้านความรู้สึกที่มีคุณค่าในตนเองและด้านการ สนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการรับรู้ภาวะ สุขภาพและด้านความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันอยู่ใน ระดับสูง 3. ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง (xˉ = 3.02, SD = 0.33) 4. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกระตุ้นกับความว้าเหว่ พบว่า สัมพันธภาพในครอบครัว ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตร ประจ าวัน ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติ (p<0.05) ส่วนการรับรู้ภาวะสุขภาพไม่มีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของกลุ่มตัวอย่างโดยพบว่าความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของกลุ่ม ตัวอย่างในระดับปานกลาง(r = 0.505 และ 0.475 ตามล าดับ) ส่วน สัมพันธภาพในครอบครัวและความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตร ประจ าวัน มีความสัมพันธ์ในระดับน้อย (r = 0.307และ -0.186
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 63 ตามล าดับ) และความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับความว้าเหว่ การอภิปรายผล จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความว้าเหว่ อยู่ในระดับปานกลางอภิปรายได้ว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ ในชุมชนเมือง และส่วนใหญ่ไม่ได้ประกอบอาชีพต้องเฝ้าบ้าน เลี้ยงหลาน และอยู่ตามล าพัง ท าให้ขาดการดูแลเอาใจใส่จาก บุตรหลาน ด้านความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน อยู่ในระดับสูง ท าให้กลุ่มตัวอย่างสามารถท ากิจกรรมเองได้ดีอยู่ ตรงกันข้ามผู้ที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยก็ท าให้เกิดความว้าเหว่ ได้มาก สัมพันธภาพในครอบครัวระหว่างผู้สูงอายุกับบุตรหลาน การสนับสนุนทางสังคม และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองอยู่ใน ระดับปานกลางพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ รู้สึกตัวเองไม่มี ประโยชน์ อายุมากขึ้นมีความเสื่อมถอยของร่างกายไม่สามารถ ท างานได้ ประกอบกับมีการเจ็บป่ วยเรื้อรัง ท าให้มีข้อจ ากัด ด้านร่างกาย และผู้สูงอายุบางส่วนเลี้ยงหลาน จึงท าให้ผู้สูงอายุ ไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ ส่งผลให้ผู้สูงอายุ ขาดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและบุคคลอื่น เกิดการแยกตัว ออกจากสังคม ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลง จึงท าให้เกิด ความว้าเหว่ตามมา สอดคล้องแนวคิดของแนวคิด Perlman and Peplau(1981: 31-56) ที่กล่าวไว้ว่าความว้าเหว่เป็นประสบการณ์ ของความรู้สึกที่ไม่ยินดีของผู้สูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรัง เกิดขึ้นเมื่อ ผู้สูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรังนั้น ขาดเครือข่ายของความสัมพันธ์ ทางสังคมที่ส าคัญทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และทฤษฎี การถดถอย ที่เชื่อว่าความสูงอายุเป็นกระบวนการถดถอยออก จากการด าเนินชีวิตในสังคม เมื่อปฏิสัมพันธ์ภาพทางสังคมของ ผู้สูงอายุลดลง เช่น จากการเกษียณอายุการท างาน การเจ็บป่ วย และมีภาวะทุพพลภาพ สังคมก็ถอยห่างออกจากผู้สูงอายุ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็ลดกิจกรรรมทางสังคมลง การถดถอยออก จากสังคมเป็นการกระท าที่ไม่มีทางเลือก (Eliopoulos, 2010: 10) และสอดคล้องกับการศึกษาของฉวีวรรณ ภิรมย์ชม (2547:47-58) เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความว้าเหว่ของ ผู้สูงอายุ อ าเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ พบว่าผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มีความว้าเหว่อยู่ในระดับปานกลาง และการศึกษาของ นงเยาว์ พลโทพงศ์ (2547:64-80) เกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ ความว้าเหว่ในผู้ป่ วยสูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรัง พบว่า ผู้ป่ วย สูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรังมีความว้าเหว่อยู่ในระดับปานกลาง คิด เป็นร้อยละ 42 ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน เป็นปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ อธิบายได้ว่าผู้สูงอายุมักประสบปัญหา เกี่ยวกับสุขภาพที่ทรุดโทรมเนื่องจากอายุที่มากขึ้นท าให้เกิด กระบวนการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเสื่อมถอยซึ่ง เป็นผลให้ความสามารถทางร่างกายลดน้อยลง ซึ่งเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันและต้องพึ่งพิงผู้อื่นท าให้ผู้สูงอายุ รู้สึกด้อยค่า โดดเดี่ยว คิดมาก กลัวเป็นภาระของคนอื่นและ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้สูงอายุตามมา สัมพันธภาพในครอบครัว เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ อธิบายได้ว่าส่วนใหญ่ผู้สูงอายุพักอาศัยอยู่คนเดียว ร้อยละ 40.10 และอาศัยกับบุตรหลาน ร้อยละ 39.50 ซึ่งค่าเฉลี่ย ใกล้เคียงกันแต่เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มากขึ้น การดิ้นรนทางเศรษฐกิจเรื่องปากท้องเป็นส าคัญท าให้ บุตรหลานจะต้องไปท างานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาเลี้ยง ครอบครัว ท าให้ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามล าพังขาดการดูแลเอาใจใส่ ส่งผลท าให้สัมพันธภาพในครอบครัวลดลง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีสถานภาพโสด ร้อยละ 40.10และมีสถานภาพ หม้าย/หย่าร้าง/แยกกันอยู่ ร้อยละ 29.60 ส่งผลให้ผู้สูงอายุเกิด ความว้าเหว่มากขึ้น ประกอบด้วยผู้สูงอายุบางส่วนต้องเปลี่ยนแปลง ลดบทบาทของตนเองจากหัวหน้าครอบครัวเป็ นสมาชิก ครอบครัวของบุตรหลาน อาจท าให้เกิดปัญหาการไม่ให้เกียรติ กัน และขาดความเคารพนับถือขาดความสนใจและความเกื้อกูล ต่อกันภายในครอบครัว การสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ อธิบายได้ว่าผู้สูงอายุมีความรู้สึกอยากใกล้ชิด ได้รับความรัก ความผูกพัน และการยอมรับจากบุคคลรอบข้างถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ จะท าให้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว อีกทั้งยังต้องการได้รับการยกย่อง และเห็นคุณค่าได้รับการช่วยเหลือแบ่งปัน ต้องการมีส่วนร่วม ในการท ากิจกรรม ซึ่งเป็นการท าให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกว่า
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 64 เป็นที่ต้องการของผู้อื่นและผู้อื่นพึ่งพาได้ หากไม่ได้ท าหน้าที่นี้ จะเกิดความคับข้องใจและรู้สึกว่าชีวิตไม่สมบูรณ์ ไร้จุดหมาย การได้รับการสนับสนุนทางสังคมในรูปแบบความรู้สึกผูกพัน ใกล้ชิดท าให้ลดภาวะความว้าเหว่ได้ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เป็นปัจจัยที่มีสัมพันธ์กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน อย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติ ผู้สูงอายุที่มีความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ลดลงจะรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยค่า ไม่มีประโยชน์ แยกตัวออกจาก สังคม เก็บตัว ท าให้ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่สูญเสียสิ่งต่างๆ ในชีวิต ได้แก่ การสูญเสียความแข็งแรง ของร่างกาย ท าให้ภาพลักษณ์ของผู้สูงอายุเปลี่ยนแปลงไป การ สูญเสียการเป็นที่รัก หากภาวะสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมๆกัน หรือเวลาใกล้เคียงกัน ท าให้ผู้สูงอายุล าบากในการเผชิญหน้า ความจริงส่งผลให้ผู้สูงอายุเกิดความว้าเหว่ (วิไลวรรณ ทองเจริญ , 2554: 42-50) สอดคล้องกับการศึกษานงเยาว์ พลโทพงศ์ (2547:64-80) เรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความว้าเหว่ในผู้ป่ วย สูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรังที่พบว่า ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองเป็น ปั จจัยที่มีความสัมพันธ์กับความว้าเหว่ในผู้สูงอายุอย่าง นัยส าคัญทางสถิติ การรับรู้ภาวะสุขภาพไม่มีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนซึ่งไม่เป็นตามสมมติฐานที่ตั้ง ไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องจากการกระจายของข้อมูลพื้นฐานของผู้สูงอายุ ที่เป็นตัวแปรคัดสรรในการวิจัยในครั้งนี้ไม่เพียงพอและยังอาจมี ตัวแปรอื่นที่ไม่ได้คัดสรรเข้ามาศึกษาในครั้งนี้อีก ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. ด้านการปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลและทีมสุขภาพ ที่ปฏิบัติงานในชุมชนควรน าผลวิจัยเป็นข้อมูลในการพัฒนา รูปแบบการป้องกันความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน การ ส่งเสริม ค วาม สาม ารถ ใน ก ารป ฏิ บัติ กิจ วัต รป ระจ าวัน สัมพันธภาพภายในครอบครัว การสนับสนุนทางสังคม และ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้สูงอายุที่มีอายุมากขึ้น 2. ด้านการบริหารงานสาธารณสุข ผู้บริหารควรน าผล ของการวิจัยที่ได้ไปก าหนดแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนด้วยการเฝ้าระวัง จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมความสามารถในการปฏิบัติ กิจวัตรประจ าวัน สัมพันธภาพในครอบครัว การสนับสนุนทาง สังคม และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ 3.ด้านการศึ กษาสาธารณ สุข คณ าจารย์ในสถาบั น การศึกษาควรน าผลวิจัย ไปใช้ประกอบการเรียนการสอน เกี่ยวกับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน โดยเฉพาะให้ ผู้สูงอายุที่มีอายุมากความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตร ประจ าวันน้อยลง สัมพันธภาพในครอบครัวไม่ดีไม่ได้รับการยก ย่องทางสังคมหรือสนับสนุนทางสังคม และความรู้สึกมีคุณค่า ในตัวเองลดลง ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอ่ ไป 1. ด้านการวิจัยทางด้านสาธารณสุข นักวิจัยสามารถใช้ ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนารูปแบบ การดูแล เพื่อลดความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนได้ โดย ส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัวและความรู้สึกมีคุณค่าใน ตนเองของผู้สูงอายุ เนื่องจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ความสามารถ ในการใช้ชีวิตประจ าวัน สัมพันธภาพในครอบครัว การสนับสนุน ทางสังคม และความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง มีความสัมพันธ์กับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งผู้วิจัยไม่ได้คัดสรรมาวิจัย ในครั้งนี้ คือ เพศ สถานภาพสมรส การพักอาศัยและการเข้าร่วม กิจกรรมทางสังคม 2. การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุใน ชุมชน เขตภาษีเจริญเท่านั้น จึงควรศึกษาในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อให้ ได้ข้อมูลหลากหลาย สามารถน าผลการวิจัยอ้างอิงไปยัง ประชากรกลุ่มอื่น ๆได้ และนักวิจัยควรน าผลการวิจัยที่ได้เป็น ข้อมูลประกอบวิจัยและพัฒนารูปแบบการลดความว้าเหว่ของ ผู้สูงอายุ โดยการส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัวและ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 65 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ตาราง 1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของปัจจัยกระตุ้น จ าแนกตามรายด้าน (n = 162) ปัจจัยกระตุ้น xˉ SD ระดับ 1. ด้านสัมพันธภาพในครอบครัว 3.32 0.31 ปานกลาง 2. ด้านการรับรู้ภาวะสุขภาพ 3.98 0.79 มาก 3. ด้านความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน 3.98 0.79 มาก 4. ด้านความรู้สึกที่มีคุณค่าในตนเอง 3.01 0.37 ปานกลาง 5. ด้านการสนับสนุนทางสังคม 3.14 0.37 ปานกลาง ตาราง 2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความว้าเหว่ของผู้สูงอายุโดยรวม (n = 162) ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ xˉ SD ระดับ ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ 3.02 0.33 ปานกลาง รวม 3.02 0.33 ปานกลาง ตาราง 3 ความสัมพันธ์ระหว่างสัมพันธภาพในครอบครัว การรับรู้ภาวะสุขภาพ ความสามารถในการปฏิบัติ กิจวัตรประจ าวัน ความรู้สึกมี คุณค่าในตัวเอง และการสนับสนุนทางสังคม กับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ(n = 162) ตัวแปร Sig. 1.สัมพันธภาพในครอบครัว 0.307* 0.000 2.การรับรู้ภาวะสุขภาพ -0.450 0.571 3.ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน -0.186* 0.018 4. ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง 0.505* 0.000 5. การสนับสนุนทางสังคม 0.475* 0.000 *มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 66 เอกสารอ้างอิง ฉวีวรรณ ภิรมย์ชม. (2547). ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความว้าเหว่ของผู้สูงอายุอ าเภอหนองบัวระเหวจังหวัดชัยภูมิ (วิทยานิพนธ์การศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการพยาบาลผู้สูงอายุบัณฑิตวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). ชุลีกร ปัญญา.(2557). ปัจจัยท านายความว้าเหว่ของผู้สูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรังในชุมชน.วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการ พยาบาลผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยบูรพา. ธิดา มีศิริ. (2541). การศึกษาความว้าเหว่ของผู้สูงอายุในชุมชนแออัดในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์.(วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น). นงเยาว์ พลโทพงศ์.(2548).ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความว้าเหว่ในผู้ป่ วยสูงอายุที่เจ็บป่ วยเรื้อรัง.(วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์). น ้าเพชร หล่อตระกูล.(2543).การสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ. (วิทยานิพนธ์ พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการพยาบาลผู้สูงอายุบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). วิทยาลัยประชากรศาสตร์และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2558). สังคมสูงวัย.กรุงเทพฯ: พงษ์พาณิชย์เจริญผล. วารี กังใจ.(2540).ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองความสามารถในการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ.ชลบุรี:คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. วิไลวรรณ ทองเจริญ(บรรณาธิการ).(2558).ศาสตร์และศิลป์ การพยาบาลผู้สูงอายุ. กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยมหิดล คณะพยาบาลศาสตร์. สุทธิชัยจิตะพันธ์กุล.(2542). หลักส าคัญของเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ.กรุงเทพฯ:ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุพรรณี ธีระเจตกุล.(2539).ความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์สุขภาพการรับรู้ภาวะสุขภาพกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผุ้สูงอายุในชนบทอ าเภอ ตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี.(วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการพยาบาลชุมชนบัณฑิตวิทยาลัย ,มหาวิทยาลัยขอนแก่น). สุพรรณีนันทชัย.(2534).ความสัมพันธ์ระหว่างความว้าเหว่และภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ.(วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตสาขา วิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). ส านักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร.(2557).สถิติกรุงเทพมหานคร ปี 2557.ค้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560,จาก http://www.bangkok.go.th. โสวิตาวงศ์จิรวัฒนกุล.(2551).การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อลดความว้าเหว่ในผู้สูงอายุในชุมชน.สารนิพนธ์ปริญญา พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล. Chalise, H.M., Saito, T.,Takahashi, M., & Kai, I. (2007).Relationship specialization among sources and receivers of socialsuppor and correlation with lonelinessand subjective well - being: A cross sectional study of Nepalese older adults.Archives ofGerontology and Geriatrics, 44,299-314.Eliopoulos, C. (2010). GerontogicalNursing.Philadelphia:Lippincott Williams & Wilkins. Hazer, O., &Boylu,A.A.(2010) , The examination of the factor’s affection the feling of Loneliness of the elderly. Procedia Socialand Behaviral Sciences, 9, 2083-2089. Morrow, W. R., & Wilson, R. C. (1961). Family relations of bright high-achieving and under-achieving high school boys.ChildDevelopment, 32, 501-510. Perlman, D.& Peplau, L.A. (1981).Toward a social psychology of loneliness.Ins. Duck, & R. Gilmour (Eds.).Preventing the harmful consequences of severe and persistent loneliness (pp 13-46). Washington,DC: U.S. Government Printing Office.
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 67 ความสัมพนัธร ์ ะหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุของเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร อรุณี ปโยราศิสกุล* บทคัดย่อ การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพและ หาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ ของเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุของเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จ านวน 197 คน ค านวน กลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเคซี่และมอแกน (บุญมี พันธุ์ไทย, 2559, หน้า284) ได้กลุ่มตัวอย่างจ านวน 132 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมี ระบบเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใชแ้บบสอบถามซง่ึคา นวนหาค่าสมั ประสิทธิ์อลัฟาของครอนบาคมีคา่ความเช่อืม่นัระหวา่ง0.94 - 0.95 สถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ค่ารอ้ยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรส์ ัน ผลการวิจัย พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงแต่ยังมี บางประเด็นที่ผู้สูงอายุยังขาดทักษะในด้านการสื่อสารสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วน พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพด้านการสูบบุหรี่และการดื่มสุราอยู่ในระดับต ่าความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม สร้างเสริมสุขภาพ พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ 0.05 ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา ควรมีการสร้างโปรแกรมการพัฒนาทักษะความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุในด้านการสื่อสารให้ มากขึ้นเพื่อให้เกิดการรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพที่เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว และชุมชน ควรจัดกิจกรรมการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ในการต่อต้านการสูบบุหรี่และการดื่มสุราอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ค าส าคัญ: ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ, ผู้สูงอายุ 3 * พยาบาลวิชาชีพช านาญการ ศูนย์บริการสาธารณสุข 17 ประชานิเวศน์ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 68 The Relationship Between Health Promotion Behavior and Health Literacy Based OnFood, Exercise, Emotion, Smoking, And Alcohol Drinking For Elders in Senior Citizens ClubOfChatuchak District , Bangkok Metropolitan. Aruneepayorasisakun Abstract The objectives of this descriptive research are to analyze factors affecting health promotion behavior and find the relationship between health promotion behavior and health literacy based on food, exercise, emotion, smoking, and alcohol drinking principle for elders in senior citizens club of chatuchak district, Bangkok metropolitan. Out of 197 people from this group, usingKreje and Morgan table (Boonmi Pantai, 2559, page 284), a sample size of 132 people must be used to draw any statistical conclusion. A systematic sampling technique is used to select people. Questionnaires are being used to collect the data and calculated Cronbach’s alpha coefficient (must be between 0.94 and 0.95). Statistical parameters being used are frequency, percentage, mean and standard deviation, and Pearson’s product-moment correlation. The result shows that health literacy based on food, exercise, emotion, smoking, and drug principle is at a high level. However, the elderly still lacks communication and health promotion behavior skills which are on average level. On the other hand, health threatens behavior such as alcohol drinking and smoking are at a low level. Lastly, this research proves that health literacy and health promotion behavior are statistically correlated with a p-value equal to 0.05. Finally, suggestions based on research results are developing all-around health skills improvement programs and focus on communication skills. This program would benefit not only the elderly and their family but also the whole community. In addition, health activities that support avoiding drinking alcohol and smoking should be done frequently with efficiency. Keywords: Health literacy, Health promotion behavior, elder
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 69 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา สถานการณ์ผู้สูงอายุทั่วโลกในปี พ.ศ.2559 มีประชากร ทั้งหมดประมาณ 7,433 ล้านคน ในจ านวนนี้เป็นประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 929 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 12.5ของประชากรทั้งหมด (United Nations,2016) ในประเทศไทยมี ประชากรทั้งหมด ประมาณ 68.9 ล้านคนมีผู้สูงอายุที่อายุ60 ปี ขึ้นไป ประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ16.5 ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัย อย่างสมบูรณ์ คือมีสัดส่วนประชากรอายุ60 ปีขึ้นไป สูงถึงร้อยละ 20ในปี 2564 และจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดเมื่อมีสัดส่วน ประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 28 ในปี 2574(มูลนิธิ สถาบั น วิจัยและพั ฒ น าผู้สูงอายุ ไท ย, 2560:3) จากการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ของประเทศไทยอันเนื่องมาจากการลดลงของภาวะเจริญพันธ์หรือ การเกิดน้อยลงและการตายลดลงคนไทยอายุคาดเฉลี่ยยืนยาวขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาท าให้รูปแบบของการเกิดโรค เปลี่ยนจากโรคติดเชื้อไปเป็ นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งโรคเรื้อรัง เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง คือการขาดการออกก าลังกาย รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมจากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงมี ความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างให้ผู้สูงอายุทุกคนมีความรอบรู้ ด้านสุขภาพและมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันได้ให้ ความส าคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ระดับบุคคลด้วยการเสริมสร้างให้บุคคลมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) โดยมีจุดมุ่งเน้นให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึง สารสนเทศและได้รับรู้สาระความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องและ เหมาะสมส าหรับการดูแลสุขภาพของตนเองโดยมองว่าหาก ผู้สูงอายุเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีระดับความรอบรู้ ด้านสุขภาพต ่าย่อมจะส่งผลต่อสภาวะสุขภาพโดยรวมคือ ขาด ความสามารถในการดูแลสุขภาพของตนเองจ านวนผู้ป่ วย โรคเรื้อรังจะเพิ่มขึ้นท าให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่ม สูงขึ้นเนื่องจากการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพส่งผลต่อ ความสามารถของผู้สูงอายุในการการดูแลสุขภาพของตนเอง เพื่อน าไปสู่พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพที่ถูกต้องและการมี คุ ณ ภ าพ ชี วิ ต ที่ ดี ขอ งผู้สู งอายุ (Nutbeam,2008: 2072 - 8) จากผลการส ารวจประชากรผู้สูงอายุในปี พ.ศ.2559 พบว่า กรุงเทพมหานครมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ16.47ของประชากร ทั้งหมด (กรมการปกครอง, 2559)และผลการส ารวจภาวะสุขภาพ ของผู้สูงอายุมีปัญหาสุขภาพเจ็บป่ วยมีโรคเรื้อรัง ร้อยละ 45.7 (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย,2560:40) ในปี พ.ศ. 2560จากผลการส ารวจของส านักงานเขตจตุจักรประชากร ผู้สูงอายุในเขตจตุจักร กรุงเทพฯพบว่า มีผู้สูงอายุร้อยละ 27และ จากการตรวจสุขภาพร่างกายประจ าปีของสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์บริการสาธารณสุข 17 ประชานิเวศน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จ านวน 197 คน พบว่าผู้สูงอายุป่ วยเป็นโรคเรื้อรังร้อยละ 60เป็น โรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 35โรคเบาหวาน ร้อยละ10 มีภาวะ ไขมันในเลือดสูง ร้อยละ15 มีน ้าหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 70ขาดการออกก าลังกายเป็นประจ า ร้อยละ 80และมี ระดับความเครียดสูงกว่าปกติร้อยละ 5จากสภาพปั ญหา ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุมีการเจ็บป่ วยและ มีภาวะผิดปกติทางสุขภาพ รวมทั้งมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค และปั ญหาสุขภาพในหลายประเด็นสะท้อนถึงปั ญหาและ พฤติกรรมเสี่ยงของผู้สูงอายุจ าเป็นต้องได้รับการจัดการแก้ไข เพราะอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจ าเป็นต้องอาศัยปัจจัยข้อมูล ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุเพื่อ ประกอบในการจัดการปัญหา สามารถน าไปสู่การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพให้ถูกต้องเหมาะสม จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการ สร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครโดยใช้กรอบแนวคิดความรอบรู้ด้าน สุขภาพ (Health literacy) 6 ด้าน 1)ด้านการเข้าถึงข้อมูลและ บริการสุขภาพ 2)ด้านการรับรู้เข้าใจการสร้างสุขภาพ 3)ด้านการ สื่อสารสุขภาพ 4)ด้านการจัดการตนเอง 5)ด้านการรู้เท่าทันสื่อ 6)ด้านการตัดสินใจของนัทบีม(Nutbeam,2008:2072-8)และการ สร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. (ด้านการบริโภคอาหารด้าน การออกก าลังกาย ด้านการจัดการอารมณ์ด้านสูบบุหรี่และด้าน สุรา) ของกองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข มาประยุกต์ใช้ใน การวิเคราะห์ปั จจัยต่าง ๆ ซึ่งผลจากการศึกษาครั้งนี้จะเป็ น แนวทางในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุต่อไป
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 70 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการ สร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สุงอายุภายในชมรม ผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับ พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรม ผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร สมมติฐานของการวิจัย 1.ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการเข้าถึงข้อมูลและ บริการมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 2.ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการรับรู้เข้าใจการสร้าง สุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 3. ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการสื่อสารสุขภาพมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 4. ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการจัดการตนเองมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 5. ความรอบ รู้ด้านสุขภาพ ด้านการรู้เท่าทันสื่อมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 6. ค ว า ม รอ บ รู้ด้า น สุ ข ภ า พ ด้า น ก า รตั ด สิ น ใจ มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 71 กรอบแนวคิดการวิจัย ผังกรอบแนวคิด ตัวแปรอิสระตัวแปรตาม วิธีด าเนินการวิจัย ก าร วิจัย นี้เป็ น ก าร วิจัย ใ น รูป แ บ บ เชิง พ ร รณ น า (DescriptiveResearch) ผู้วิจัยได้ด าเนินการศึกษาประชากร ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุของเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จ านวน 197 คน ก าหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุของศูนย์บริการสาธารณสุข 17 ประชานิเวศน์ ไม่ต ่ากว่า 6 เดือน มีสัญชาติไทยเข้าใจภาษาไทย สมัครใจที่จะเข้าร่วมการวิจัย ค านวนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejeie และ Morgan (บุญมี พันธุ์ไทย, 2559, หน้า 284) ได้ กลุ่มตัวอย่างจ านวน 132 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ ระหว่างวันที่19-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เครื่องมือทใี่ช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้ จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องน ามาดัดแปลงปรับปรุง ให้สอดคล้องกับการวิจัยครั้งนี้ แบบสอบถามประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่1 ปัจจัยส่วนบุคคล เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) มีจ านวน 1 ข้อได้แก่ เพศ ชาย-หญิง ส่วนที่2 ความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีจ านวน 23 ข้อ แบ่ง ออกเป็น 6 ด้านได้แก่ 1)ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ 2)ด้านการรับรู้เข้าใจการสร้างสุขภาพ 3)ด้านการสื่อสารสุขภาพ 4)ด้านการจัดการตนเอง 5)ด้านการรู้เท่าทันสื่อ 6)ด้านการ ตัดสินใจ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับตามแบบการวัดของ ลิคเคิรท์(Likert) ได้แก่ มากที่สุด (5) ถึงน้อยที่สุด (1) ส่วนที่ 3 พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ. 2 ส. มีจ านวน 37 ข้อ แบ่งออกเป็น 5 ด้านได้แก่ 1)ด้านการบริโภคอาหาร 2)ด้านการออกก าลังกาย 3)ด้านการจัดการอารมณ์ 4)ด้านการสูบบุหรี่ และ 5)ด้านการ ดื่มสุราแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ทั้ง 5ระดับตามแบบการวัดของ ลิคเคิรท์(Likert) ได้แก่ ปฏิบัติ ทุกครั้ง (5) ถึง ปฏิบัติน้อยที่สุด(1) พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ(3อ2ส) 5ด้าน 1. ด้านบริโภคอาหาร 2. ด้านการออกก าลังกาย 3. ด้านการจัดการอารมณ์ 4. ด้านการสูบบุหรี่ 5. ด้านการดื่มสุรา ปัจจัยส่วนบุคคล เพศชาย-เพศหญิง ปัจจัยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน 1. ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ 2. ด้านการรับรู้การสร้างสุขภาพ 3. ด้านการสื่อสารสุขภาพ 4. ด้านการจัดการตนเอง 5. ด้านการรู้เท่าทันสื่อ 6. ด้านการตัดสินใจ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 72 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและความ เหมาะสมของภาษาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 5 ท่านได้ค่าดัชนี ของความสอดคล้อง (Index of Congruence: IOC) อยู่ระหว่าง 0.6-1 2. น าแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วท าการทดสอบ (Try Out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกลุ่มตัวจริง จ านวน 30 คน เพื่ อหาค่าอ านาจการจ าแนก (r) โดยหา ความสัมพันธ์ระหว่างรายข้อกับคะแนนรวม (Corrected ItemTotalCorrelation) 3. น าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยหาค่าสมั ประสิทธิ์อัลฟา(Cronbach’Alpha) ค่าระดับความเชื่อมั่นของแบบสัมภาษณ์มากกว่า 0.7จึงจะถือ ได้ว่าแบบสัมภาษณ์มีความน่าเชื่อถือและสามารถน าไปศึกษา กับกลุ่มตัวอย่างจริงได้ (ศิริพงศ์ พฤทธิพันธ์. 2553, น.91 - 93) โดยได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามส่วนที่ 2 เท่ากับ 0.94 แบบสอบถามตอนที่ 3เท่ากับ 0.95 และปรับปรุงแบบสอบถาม ให้เป็นแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ส าหรับการน าไปใช้จริงต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยท าการรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยการชี้แจง วัตถุประสงค์ของการวิจัยการด าเนินการวิจัยและชี้แจงการ พิทักษ์สิทธิให้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุ ในชมรมผู้สูงอายุเขตจตุจักร จ านวน 132 ชุด โดยผู้วิจัย ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 19 - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2560 2. ผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ของ การตอบในแบบสอบถามจากการรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ที่มีการ ตอบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง จ านวน 132ชุด คิดเป็น 100% ของแบบสอบถามทั้งหมด การวิเคราะหข์ ้อมูล 1.น าข้อมูลที่ได้ในการตอบแบบสอบถามที่ถูกต้องมา ประมวลผลข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป 2.วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบ แบบสอบถามในส่วนที่1ได้แก่ เพศ ค านวณหาค่าทางสถิติโดยใช้ การแจกแจงความถี่ (Frequency distribution) และค่าร้อยละ (Percentage) 3.วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส 6 ด้าน และพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส 5 ด้าน โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เป็นรายข้อรายด้านและโดยภาพรวมทั้งหมด 4. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ในด้านของ สุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.6 ด้าน กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ตามหลัก 3 อ.2ส. 5 ดา้นโดยใชส้ถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรส์ ัน (Pearson’s product-moment correlation) สรุปผลการวิจัย ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างจ านวน 132 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 69.7เพศชายร้อยละ 30.3 ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ พบว่าความรอบรู้ ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.6 ด้าน ของผู้สูงอายุในชมรม ผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานครอยู่ในระดับสูง และเมื่อ พิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านการสื่อสารอยู่ในระดับปาน กลาง ส่วนด้านอื่นๆอยู่ในระดับสูง พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ พบว่า พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุใน ชมรมของผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานครอยู่ในระดับปาน กลางเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านการบริโภคอาหาร อยู่ใน ระดับปานกลาง ด้านการออกก าลังกายและในด้านการจัดการ อารมณ์อยู่ในระดับสูง ส่วนด้านการสูบบุหรี่และในด้านการดื่ม สุราอยู่ในระดับต ่า ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ในด้านสุขภาพกับ พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. พบว่าในภาพรวม ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริม สุขภาพในระดับปานกลางอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารมีความสัมพันธ์ กับการเข้าถึงข้อมูลการบริการและการตัดสินใจพฤติกรรมการออก ก าลังกายมีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงข้อมูลการบริการ, การจัดการ ตนเอง, การรับรู้และการตัดสินใจพฤติกรรมการจัดการอารมณ์มี ความสัมพันธ์กับการเข้าถึงข้อมูลบริการ, การรับรู้การ, การจัดการ ตนเอง, การตัดสินใจ, การสื่อสารและการรู้เท่าทันสื่อพฤติกรรมการ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 73 สูบบุหรี่ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจพฤติกรรมการดื่มสุรามี ความสัมพันธ์กับการเข้าถึงข้อมูลบริการ, การรับรู้และการตัดสินใจ อภิปรายผลการวิจัย 1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.6 ด้าน ของ ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุเขตจตุจักรกรุงเทพมหานครอยู่ใน ระดับสูงจากแนวคิดของนัทบีม (Nutbeam,2008) กล่าวว่าความ รอบรู้ด้านสุขภาพขั้นวิจารณญาณ หรือ Critical health literacy ได้แก่ ทักษะทางปัญญาและสังคมที่สูงขึ้นสามารถประยุกต์ใช้ ข้อมูลข่าวสารการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและควบคุมจัดการ สถานการณ์ในการด ารงชีวิตประจ าวันได้ความฉลาดทางสุขภาพ ระดับวิจารณญาณเน้นการกระท าของปัจเจกบุคคล (Individual action)และการมีส่วนร่วมผลักดันสังคมการเมืองไปพร้อมกัน จึงเป็นการเชื่อมประโยชน์ของบุคคลกับสังคมและสุขภาพของ ประชาชนโดยทั่วไป การที่ผู้สูงอายุของชมรมผู้สูงเขตจตุจักร กรุงเทพมหานครมีความรอบรู้ในด้านสุขภาพอยู่ในระดับสูง เนื่องมาจากมีการเข้าร่วมกิจกรรมในการสร้างเสริมสุขภาพของ ชมรมผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องและสม ่าเสมอได้รับข้อมูลข่าวสาร ด้านสุขภาพจากบุคลากรด้านสุขภาพ ครอบครัว เพี่อน สื่อต่างๆ อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มพูน ความรอบรู้ด้านสุขภาพแต่ไม่สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ เบญจมาศ สุรมิตรไมตรี (2556) ศึกษาด้านความฉลาดทาง สุขภาพ (Health literacy)และสถานการณ์การด าเนินงานสร้าง เสริมความฉลาดทางสุขภาพของคนไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ ประชาคมอาเซียนผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความฉลาด ทางสุขภาพอยู่ในระดับปานกลางและไม่สอดคล้องกับงานวิจัย ของแสงเดือนกิ่งแก้วและนุสรา ประเสริฐศรี(2558) ซึ่งศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสุขภาพและพฤติกรรม สุขภาพในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังหลายโรคผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความฉลาดทางสุขภาพในระดับปานกลาง 2. พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของชมรม ผู้สูงอายุเขตจตุจักรกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับปานกลางเมื่อ พิจารณารายด้านพบว่าด้านการออกก าลังกายและด้านการจัดการ อารมณ์ อยู่ในระดับสูงซึ่งสอดคล้องงานวิจัยของแสงเดือน กิ่งแก้ว และนุสรา ประเสริฐศรี (2558) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความ ฉลาดทางสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรัง หลาย ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมสุขภาพใน ระดับปานกลาง เช่นกันซึ่งไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของอนุสรณ์ เป๋ าสูงเนินและคณะ(2558) ศึกษาพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตาบลกุดจิกอ าเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพอยู่ในระดับดี และ พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุรายด้านพบว่า พฤติกรรมในการส่งเสริมสุขภาพด้านโภชนาการมีคะแนนสูงสุด รองลงมา คือด้านการจัดการความเครียดและด้านการออกก าลัง กาย ตามล าดับส่วนด้านบุหรี่ด้านสุราอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยระดับน้อย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของเบญจมาศ สุรมิตรไมตรี (2556 ศึกษา ความฉลาดทางสุขภาพ (Health literacy)และสถานการณ์การ ด าเนินงานสร้างเสริมความฉลาดทางสุขภาพของคนไทยเพื่อรองรับ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่าง มีพฤติกรรมด้านสูบบุหรี่ และด้านสุราอยู่ในระดับน้อย 3. ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ในด้านสุขภาพกับ พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. พบว่าความรอบรู้ ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ตามหลัก 3อ.2ส.อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่0.05ซึ่งสอดคล้อง กับแนวคิดของเบคเกอร์ (Baker ,2006:878-83) ที่ว่าความรอบรู้ ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยตัวกลาง (Mediating factor) ที่ส่งผลต่อ พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพที่ถูกต้องน าไปสู่การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมเพื่อให้บุคคลมีสุขภาพดีและสอดคล้องกับแนวคิด ของนัทบีม (Nutbeam,2008) ที่ว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) เป็ นเสมือนสินทรัพย์(Asset) ที่บุคคลมีอยู่หรือถูก พัฒนาขึ้นมาจากกระบวนการทางสุขศึกษาและการสื่อสารส่งผล ท าให้เกิดพลังอ านาจ (Empowerment) ขึ้นภายในตัวบุคคลและ มีกระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องต่าง ๆอันส่งผลดีต่อ สุขภาพ และการรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) เพื่อให้บุคคลมีความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องตาม สถานการณ์ต่างๆในชีวิตประจ าวัน แม้จะอยู่ในวัยสูงอายุก็ตาม จะท าให้ผู้สูงอายุตระหนักรู้ถึงคุณค่าของความรอบรู้ด้านสุขภาพ ที่ตนเองมีอยู่และใช้ให้เกิดคุณค่ากับตนเองบุคคลใกล้ชิดและคน ในสังคม รวมทั้งจะต้องรักษาไว้อย่างดีเพื่อเป็นต้นทุนในการใช้ ชีวิตในช่วงต่อไปและสอดคล้องกับงานวิจัยของแสงเดือน กิ่งแก้ว และนุสรา ประเสริฐศรี (2558) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 74 ฉลาดทางสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในผู้สูงอายุที่เป็นโรค เรื้อรังหลายโรค จาก ผลการศึกษาพบว่าพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม มีความสัมพันธ์กับความฉลาดทางสุขภาพอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.01 ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. ควรมีการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุเชิงบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุม ทุกพื้นที่โดยให้ความส าคัญกับความรอบรู้ด้านสุขภาพในด้าน ทักษะการสื่อสารให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดการรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพที่ เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว และชุมชน 2. ควรส่งเสริมกระบวนการในการพัฒนาความรอบรู้ ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุ ครอบครัว ชุมชนเพื่อ เสริมสร้างพลังในการตัดสินใจเลือกปฏิบัติพฤติกรรมสร้างเสริม สุขภาพในการดูแลสุขภาพตนเองอันจะน าไปสู่การมีคุณภาพ ชีวิตที่ดี 3. ควรเร่งด าเนินการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในการ ต่ อต้านการสูบบุ หรี่และการดื่ มสุราอย่ างต่ อเนื่ องและมี ประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะสา หรับการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป 1. การวิจัยในผู้สูงอายุที่มีระดับของความรอบรู้ในด้าน สุขภาพทักษะการสื่อสารอยู่ในระดับต ่ากับผู้สูงอายุที่มีระดับ ของความรอบรู้ในด้านสุขภาพทักษะการสื่อสารในระดับสูงเพื่อ เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองในด้านการบริโภค อาหาร การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา 2. การวิจัยนี้เป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในเขต จตุจักร กรุงเทพมหานครเท่านั้น ควรมีการศึกษาในเขตอี่น ๆของ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้สูงอายุโดยในภาพรวม และน าผลที่ได้มาใช้ประกอบการจัดโปรแกรมการพัฒนาความ รอบรู้ในด้านสุขภาพที่เป็ นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพของ ผู้สูงอายุต่อไป
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 75 ตารางน าเสนอการวิเคราะหข์อ้มูล ตารางที่1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก3อ.2ส.6ด้านของกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในชมผู้สูงอายุ เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ̅ S.D. ระดับ 1. ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ 3.89 1.15 สูง 2. ด้านการรับรู้เข้าใจ 4.03 0.94 สูง 3. ด้านการสื่อสาร 3.46 1.12 ปานกลาง 4. ด้านการจัดการตนเอง 3.86 1.02 สูง 5. ด้านการรู้เท่าทันสื่อ 3.53 1.21 สูง 6. ด้านการตัดสินใจ 3.96 1.37 สูง รวม 3.79 0.79 สูง จากตารางที่ 1 พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.6 ด้าน ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับสูง ( = 3.79, SD = 0.79)และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าด้านการสื่อสารอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.46, SD = 1.12) ตารางที่2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.5 ด้าน ของกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในชมรม ผู้สูงอายุเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ̅ S.D. ระดับ 1. ด้านการบริโภคอาหาร 2.63 1.13 ปานกลาง 2. ด้านการออกก าลังกาย 4.07 1.12 สูง 3. ด้านการจัดการอารมณ์ 4.19 0.97 สูง 4. ด้านการสูบบุหรี่ 1.85 1.57 ต ่า 5. ด้านดื่มสุรา 1.84 1.54 ต ่า รวม 2.92 0.89 ปานกลาง จากตารางที่ 2 พบว่าพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส.ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุเขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.92, SD =0.89) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ด้านการบริโภคอาหารอยู่ระดับปานกลาง ( = 2.63, SD =1.13) ด้านการออกก าลังกาย ( = 4.07, SD =1.12) และด้านการจัดการอารมณ์( = 3.79, SD =0.79)อยู่ในระดับสูงส่วนด้าน การสูบบุหรี่ ( = 1.85, SD =1.57) และด้านการดื่มสุรา ( = 1.84, SD =1.54)อยู่ในระดับต ่า
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 76 ตารางที่3 ค่าความสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เพียร์สันระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ค่าสัมประสิทธ์ สหสัมพันธ์ (r) p-value ระดับ ความสัมพันธ์ 1.ด้านการบริโภคอาหาร ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ ด้านการตัดสินใจ 0.260 0.350 0.001* 0.001* ต ่า ต ่า 2.ด้านการออกก าลังกาย ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ ด้านการรับรู้ ด้านการจัดการตนเอง ด้านการตัดสินใจ 0.470 0.740 0.540 0.630 0.001* 0.001* 0.001* 0.001* ปานกลาง สูง ปานกลาง สูง 3.ด้านการจัดการอารมณ์ ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ ด้านการรับรู้ ด้านการสื่อสาร ด้านการจัดการตนเอง ด้านการรู้เท่าทันสื่อ ด้านการตัดสินใจ 0.530 0.690 0.390 0.720 0.290 0.700 0.001* 0.001* 0.001* 0.001* 0.001* 0.001* ปานกลาง สูง ต ่า สูง ต ่า สูง 4.ด้านการสูบบุหรี่ ด้านการตัดสินใจ 0.250 0.001* ต ่า 5.ด้านการดื่มสุรา ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ ด้านการรับรู้ ด้านการตัดสินใจ 0.200 0.240 0.180 0.002* 0.001* 0.003* ต ่า ต ่า ต ่า รวม 0.490 0.001* ปานกลาง จากตารางที่3 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เพียร์สันพบว่ามีความสัมพันธ์กันใน ระดับปานกลาง (r = 0.490, p - value < 0.001) เมื่อพิจารณา รายด้าน มีดังนี้ 1. พฤติกรรมการบริโภคอาหารมีความสัมพันธ์ในระดับต ่า กับการเข้าถึงข้อมูลและบริการ (r = 0.260, p - value < 0.001) และการตัดสินใจ(r = 0.350, p -value < 0.001) 2. พฤติกรรมการออกก าลังกายมีความสัมพันธ์ในระดับปาน กลางกับการเข้าถึงข้อมูลและบริการ(r=0.470, pvalue<0.001) การ จัดการตนเอง(r = 0.540,p -value<0.001) และมีความสัมพันธ์ใน ระดับสูงกับการรับรู้(r =0.740, p-value<0.001) การตัดสินใจ (r = 0.630,p –value < 0.001) 3. พฤติกรรมการจัดการอารมณ์มีความสัมพันธ์กับการ เข้าถึงข้อมูลและบริการระดับปานกลาง(r =0.530,p-value<0.001) มีความสัมพันธ์ในระดับสูงกับการรับรู้(r =0.690,p-value<0.001) การจัดการตนเอง (r = 0.720, p -value < 0.001) การตัดสินใจ (r = 0.700, p –value < 0.001) และมีความสัมพันธ์ในระดับต ่า กับการสื่อสาร (r =0.390, p – value < 0.001) การรู้เท่าทันสื่อ (r = 0.290, p –value < 0.001) 4. พฤติกรรมการสูบบุหรี่ มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจ ระดับต ่า(r = 0.250, p –value < 0.001) 5. พฤติกรรมการดื่มสุรามีความสัมพันธ์ในระดับต ่ากับการ เข้าถึงข้อมูลและบริการ (r = 0.200, p –value < 0.001) การรับรู้ (r =.0240, p –value < 0.001) การตัดสินใจ(r =0.180, p -value < 0.001)
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 77 เอกสารอ้างอิง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2559). ระบบสถิติทางการทะเบียน ข้อมูลประชากร.วันที่ค้นข้อมูล:16 มกราคม 2560เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/. กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ.(2560). หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นทางสู่ความรอบรู้ด้านสุขภาพของคนไทย.( พิมพ์ครั้งที่ 5).กรุงเทพมหานคร:บริษัทโอ-วิทย์. บุญมี พันธ์ไทย. (2559).ระเบียบวิธีวิจัยการศึกษาเบื้องต้น.กรุงเทพมหานคร:ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค าแหง. เบญจมาศสุรมิตรไมตรี.(2556).ความฉลาดทางสุขภาพ (Health literacy)และสถานการณ์การด าเนินงานสร้างเสริมความฉลาดทางสุขภาพของคน ไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน. รายงานการศึกษาอิสระหลักสูตรนักบริหารการทูตรุ่นที่5 สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโร ปการกระทรวง การต่างประเทศ. มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย.(2560).สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ.2559. กรุงเทพฯ: ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ . ศิริชัยพงษ์วิชัย.(2555).การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยคอมพิวเตอร์(พิมพ์ครั้งที่23).กรุงเทพมหานคร:ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.แสง เดือนกิ่งแก้วและนุสราประเสริฐศรี.(2558).ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรัง หลายโรค.วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี. อนุสรณ์ เป๋ าสูงเนินและคณะ.(2558). พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลกุดจิก อ าเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. (วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา). Baker DW. The meaning and measure of Health literacy. J Gen Intern Med. 2006 ;21(8):878-83. NutbeamD.The evolving concept of Health literacy. Soc Sci Med. 2008; 67:2072-8. UnitedNations.(2016).The Sustainable Development Goals Report 2016.https://unstats.un.org/sdgs/report/2016/The Sustainable Development Goals Report 2016.pdf access on 2017-8-02.
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 78 ค าแนะน าในการเตรียมต้นฉบับ กองบรรณาธิการวารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ มีความยินดีที่จะรับบทความ และรายงานการวิจัย จาก ทุกท่านที่เป็นสมาชิกวารสารมูลนิธิพยาบาล สาธารณสุข กรุงเทพฯ เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ในวารสาร มูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ ทั้งนี้กองบรรณาธิการขอ สงวนสิทธิ์ในการตรวจทาน และแกไ้ขตน้ฉบบัและพิจารณาเรื่อง ที่จัดพิมพ์เพื่อความสะดวกแก่การพิจารณา จึงขอแนะน าการ เขียนและ เตรียมต้นฉบับ ดังนี้ ประเภทของเรื่องทจี่ะตีพิมพ์ 1. บทความ ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัย ด้านการพยาบาลและการพยาบาลสาธารณ สุข รวมถึง การแพทย์และสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง 2. บทความปริทัศน์ รวบรวมหรือเรียบเรียง จากเอกสาร หรือหนังสือต่างๆ เพื่อเผยแพร่และฟื้นฟู งานด้านวิชาการ 3. บทความ ข้อคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะที่เป็ น ประโยชน์ในด้านวิชาการ เรื่องแปล ข่าววิชาการ ย่อความจาก งาน วิจัยค้นคว้า หรือสิ่งที่น่าสนใจ 4. ความเคลื่อนไหวในวงการพยาบาลและการ พยาบาลสาธารณสุข เรื่องที่จะตีพิมพ์จะต้องเป็นเรื่องที่ ไม่เคยตีพิมพท์ ี่ใด มาก่อน หรือ ไม่อยู่ในระหว่างส่งไปตีพิมพใ์นวารสารฉบับ อื่นบทความหรือบทความวิจัยที่ได้รับตีพิมพ์ในวารสาร กองบรรณาธิการจะส่งวารสารที่ตีพิมพ์ให้ผู้เขียนจ านวน 1 ฉบับ และ reprint ตามจ านวนของผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในบทความ หรือบทความวิจัยนั้น รูปแบบของการเขียนและการเตรียมต้นฉบับบทความและ บทความวิจัย 1. ต้นฉบับพิมพ์ด้วยอักษร Cordia New ขนาด 14 Pt. พิมพ์หน้าเดียว โดยใช้กระดาษพิมพ์ ขนาด A4จ านวนไม่เกิน 12 หน้า (รวมชื่อเรื่อง, บทคัดย่อไทย/อังกฤษ, เอกสารอ้างอิง) ส่งต้นฉบับจ านวน 3 ชุด พร้อมบันทกึข้อมูลลงแผ่น CD ระบุชื่อผู้เขียน E-mail และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ สะดวก มายังบรรณาธิการวารสารมูลนิธิพยาบาล สาธารณสุข กรุงเทพฯ 2. ผู้เขียนต้องแก้ไขป รับ ปรุงบทความวิชาการ/ บทความวิจัย ตามค าแนะน าของผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมสนับสนุน การตีพิมพ์วารสาร เรื่องละ 1,000 บาท 3. การเตรียมต้นฉบับ 3.1 บทความวิชาการ 3.1.1ชื่อเรื่องต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.1.2ชื่อและนามสกุลผู้เขียน และคณะ ตามล าดับ และ E-mail อยู่ใต้ชื่อเรื่องเยื้องไปทางขวามือ โดยต าแหน่งและ สถานที่ท างานใส่ไว้ในเชิงอรรถ 3.1.3 บทคัดย่อต้องทั้งมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และก าหนดค าส าคัญทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.1.4 การเรียงหัวข้อเริ่มจาก บทน า เนื้อหา บทสรุป และเอกสารอ้างอิง 3.2 บทความวิจัย 3.2.1ชื่อเรื่องต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.2.2ชื่อและนามสกุลผู้วิจัย และ คณะ ตามล าดับ และ E-mail อยู่ใต้ชื่อเรื่องเยื้องไปทางขวามือ โดยต าแหน่งและ สถานที่ท างานใส่ไว้ในเชิงอรรถ 3.2.3 บทคัดย่อต้องทั้งมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ความส าคัญของปัญหาสั้น ๆ ไม่เกิน 2-3 บรรทัด ชนิดของการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย สถานที่ศึกษา ประชากรและลักษณะกลุ่มตัวอย่าง จ านวนและวิธีการได้มาของ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพ สรุป วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และการพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่างและ การวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนที่ 2 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะการ น าผลการวิจัยไปใช้ ส่วน ที่ 3 ให้เขีย น “ค าส าคัญ (keywords)” ขอ ง งานวิจัยครั้งนี้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.2.4. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหาในการวิจัย 3.2.5.วัตถุประสงค์การวิจัย และค าถาม/สมมุติฐานการวิจัย 3.2.6 กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 79 3.2.7วิธีด าเนินการวิจัย เขียนเป็นความเรียง แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ส่วนที่ 1รูปแบบของการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัยประชากร และลักษณะกลุ่มตัวอย่างจ านวนและวิธีการได้มาของกลุ่ม ตัวอย่าง ส่วนที่2 เครื่องมือวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีกี่ส่วนอะไรบ้างสรุปลักษณะเครื่องมือ แต่ละส่วนและเกณฑ์ การแปลผล และการตรวจสอบคุณภาพ ทั้งความตรง (validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) ค่าดัชนี ความตรงตามเนื้อหา (ถ้ามี) และการหาค่าความเชื่อมั่น ท ากับ ใคร จ านวนเท่าใด ใช้สูตรอะไรและได้ค่าเท่าใด ส่วนที่ 3 การเก็บข้อมูล ท าอย่างไร จ านวนเท่าใด ได้ กลับมาเท่าใด คิดเป็นร้อยละเท่าใด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ โปรแกรมและสถิติอะไร 3.2.8 ผลการวิจัย ตารางน าเสนอ การวิเคราะห์ข้อมูล ไม่ เกิน 3 ตาราง 3.2.9อภิปรายผลการวิจัย 3.2.10 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 3.2.11ข้อเสนอแนะในการน าผล การวิจัยไปใช้ 3.2.12ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 3.2.13เอกสารอ้างอิง 4. การเขี ยน เอกสารอ้างอิ งใช้ ตาม รู ป แบ บ ของ Publication Manual of the American Psychological Association (APA 6th edition) (ค ณ ะ ท า งา น ฝ่ า ย วิ ช า ก า ร การสัมมนา PULINET วิชาการ ครั้งที่ 3) ดังนี้
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 80 หนังสือท่ัวไป รูปแบบ ชื่อผู้แต่ง./ชื่อเรื่อง-ครั้งที่พิมพ์(พิมพ์ครั้งที่ 2เป็นต้นไป)./สถานที่พิมพ์:/ //////// ส านักพิมพ์ ผู้แต่ง 1 คน ธรณ์ธา รงนาวาสวสัดิ์.(2548). ใต้ทะเลมีความรัก ภาคสนาม: หลังคลื่นอันดามัน. กรุงเทพ: บ้านพระอาทิตย์. ผู้แต่ง 2 คน นิพนธ์ วิสารทานนท์ และ จักรพงษ์ เจิมศิริ.(2541). โรคผลไม้. กรุงเทพ: ส านักวิจัย และพัฒนาการเกษตร เขตที่ 6. ผู้แต่ง 3-7 คน หิรัญ ประดิษฐ์, สุขวัฒน์ จันทรปรณิก และ เสริมสุข สลักเพ็ชร.(2540). เทคโนโลยีการผลิตทุเรียน.กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้แต่ง 8 คนขึ้นไป นพรัตน์ เศรษฐกุล,เอกชัย เอกทัฬห์,พงศ์ธร บรรโสภิษฐ์,ชยุตม์ สุขทิพย์, ปรีชา วิทยพันธุ์, จีรศกัดิ์แสงศิร,ิดารนิรุง่กลิ่น.(2552). ระบบสารสนเทศทงั้ภูมิศาสตร์ล่มุนา้ ปากพนงั: การจดัการพนื้ทปี่่าตน้นา้ ในล่มุนา้ ปากพนงัเพอื่รกัษาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ. นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์. ผู้แต่งเป็นสถาบัน มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สถาบันวิจัยและพัฒนา.(2552). บทคดัย่อชดุโครงการวจิยัและพฒันาพนื้ที่ ล่มุนา้ ปากพนงั. นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์. หนังสือแปล สตีเวนสัน, วิลเลี่ยม.(2536). นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ. แปลจาก A Man CalledIntrepid.ทรงแปล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ. กรุงเทพ: อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง. ผู้รวบรวมหรือ บรรณาธิการ พิทยา วิองกุล.(บรรณาธการ). (2541). ไทยยุควัฒนธรรมทาส.กรุงเทพฯ:โครงการวิถีทรรศน์. ไม่ปรากฏนามผู้ แต่ง แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 8 พ.ศ.2540-2544.(2542). กรุงเทพฯ: ส านักงานคณะกรรมการศึกษา แห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี. ไม่ปรากฏเมืองที่ พิมพ์/ส านักพิมพ์ หรือไม่ปรากฏ ปีที่พิมพ์ ให้ใส่ (ม.ป.ท)ส าหรับเอกสารภาษาไทย และ (n.d.) ส าหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ ให้ใส่ (ม.ป.ป.) ส าหรับเอกสารภาษาไทย และ (n.d.) ส าหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ บทความในหนังสือ รูปแบบ ชื่อผู้เขียนในบทความ./(ปีที่พิมพ์)./ชื่อบทความ./ใน/ชื่อผู้แต่ง(บรรณาธิการ),/ชื่อหนังสือ ////////(ครั้งที่พิมพ์),เลขหน้าที่ปรากฏบทความจากหน้าใดถึงหน้าใด)./สถานที่พิมพ์: /ส านักพิมพ์ เสาวนีย์ จ าเดิมเผด็จศึก.(2534).การรักษาภาวะจับหืดเฉียบพลันในเด็ก.ในสมศักดิ์โล่เลขา, ชลีรัตน์. ดิเรกวัฒชัย และ มนตรี ตู้จินดา (บรรณาธิการ),อมิมูโนวทิยาทางคลินกิและโรคภูมิแพ.้ (น.99-103). กรุงเทพฯ: วิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย.
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 81 วารสาร รูปแบบ ชื่อผู้เขียนบทความ./(ปีพิมพ์)./ชื่อบทความ./ชื่อวารสาร,/ปีที่(ฉบับที่),/เลขหน้าที่ปรากฏ. กุลธิดา ท้วมสุข.(2538). แหล่งสารนิเทศบนอินเตอร์เน็ต.มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 13(2),1-13. นิตยสาร รูปแบบ ชื่อผู้เขียนบทความ./(ปี,เดือนที่พิมพ์)./ชื่อบทความ./ชื่อนิตยสาร,/ปีที่(ฉบับที่),/ //////// เลขหน้าที่ปรากฏ. ส้มโอมือ. (มีนาคม 2545). อาหารบ ารุงสมอง.Update,20(210),37-40. หนังสือพิมพ์ รูปแบบ ชื่อผู้เขียนบทความ./(ปี,เดือนที่พิมพ์)./ชื่อบทความ./ชื่อหนังสือพิมพ์,/ปีที่(ฉบับที่),/ //////// เลขหน้าที่ปรากฏ. ไตรรัตน์ สุนทรประภัสสร.(2540),8 พฤศจิกายน).อนาคตจีน-อเมริกา.เดลินิวส์,น.6 วิทยานิพนธ์ รูปแบบ ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์./(ปีพิมพ์)./ชื่อวิทยานิพนธ์./(วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต //////// หรือวิทยานิพนธ์ปริญญดุษฏีบัณฑิต,/ชื่อมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา). ช่อเพ็ญ นวลขาว.(2548). ความสมัพนัธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศกบัแบบแผนการผลิตและวฒันธรรมการ บริโภคอาหาร ศึกษากรณีชุมชนขนาบนาก จังหวัดนครศรีธรรมราช. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์). สื่อโสตทัศนแ์ละสื่ออนื่ๆ รูปแบบ ชื่อผู้จัดท า (หน้าที่)./(ปีที่ผลิต)./ชื่อเรื่อง./(ลักษณะของสื่อ)./สถานที่ผลิต: หน่วยงานที่เผยแพร่. อยุธยา:สมเด็จพระนารายณ์มหาราช.(2540).(วีดิทัศน์).กรุงเทพฯ:ทิชชิ่งทอยส์. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารที่เผยแพร่ทั้งฉบับพิมพ์และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบ ชื่อผู้เขียนบทความ./(ปีที่พิมพ์)./ชื่อบทความ (ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์)./ชื่อวารสาร,/ปีที่ //////// (ฉบับที่),/เลขหน้าที่ปรากฏ. (ใช้ค าว่า (ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์))ส าหรับเอกสารภาษาไทย และค าว่า (Electronic version) ส าหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ เจษฎา นกน้อย และ วรรณภรณ์ บริพันธ์.(2552). การตลาดทางอินเตอร์เน็ต: โอกาสทางเลือกและความท้าทาย(ข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์).วารสารบริหารธุรกิจ,32(121),34-52
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 82 บทความในวารสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งไม่มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม รูปแบบ ชื่อผู้แต่ง./(ปีพิมพ์)./ชื่อบทความ./ชื่อวารสาร,/ปีที่/(ฉบับที่),/เลขหน้า-เลขหน้า. ////////doi:xxxx Roger L.C.&Richard,L.H.(2010).Calcium-Permeable AMPA receptor Dynamics mediate fear ,memoryerasure.Scienc,330(6007), 1108-1112. doi:10.1126/sciene.1195298 บทความที่สืบค้นได้จากวารสารอิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบ ชื่อผู้แต่ง./(ปีพิมพ์)./ชื่อบทความ./ชื่อวารสาร,/ปีที่/(ฉบับที่),/เลขที่หน้า-เลขที่หน้า./URL ////////ของวารสาร Cadigan,J., Schmitt,P.,Shupp,R.,&Swope,K.(2011,January). The holdout probiem and urban sprawl: Experimental evidence. Journal of Urban Economics.69(1), 72.Retrieved from http://journals.elsevier.com/00941190/journal-of-urban-economics/ สารสนเทศอิเลก็ทรอนิกสป์ระเภทอนื่ๆ สารสนเทศประเภทสารานุกรม พจนานุกรม หนังสือคู่มือ รูปแบบ ชื่อผู้เขียนบทความ./(ปีที่พิมพ์)./ชื่อบทความ./ใน/ชื่อผู้แต่ง(บรรณาธิการ),/ชื่อหนังสือ ////////(ครั้งที่พิมพ์),เลขหน้าที่ปรากฏบทความจากหน้าใดถึงหน้าใด)./สถานที่พิมพ์:/ ////////ส านักพิมพ์. Hanegraaff, W. (2005). New Age movement. In L. Jones (Ed.), Encyclopedia of religion. Retrieved from http://find.galegroup.com/gvrl/ วิกิ(WIKI) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2553, จากวิกิพีเดียhttp://th.wikipedia.org/wiki/ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สารสนเทศประเภท Press Release รายงานประจ าปีไฟล์ประเภท PowerPoint, Blog post, Online Video, Audio Podcast, facebook post, Twitterr post เป็นต้น รูปแบบ ชื่อผู้เขียน/(ปี,เดือน วันที่)./ชื่อเนื้อหา./[รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์]. /Retrieved //////// from URL หรือเว็บไซต์ของข้อมูล ชาญณรงค์ ราชบัวน้อย. ศัพท์บัญญัติการศึกษา. [เว็บบล็อก]. สืบค้นจาก http://www.sornor.org/
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 83 หมายเหตุ : 1. ผูแ้ต่งชาวไทยใหใ้ส่ช่ือและนามสกลุโดยไม่ตอ้งใส่คา นา หนา้ช่ือ ยกเวน้ราชทินนาม ฐานนัดรศกัดิ์ใหน้า ไปใส่ทา้ยช่ือ โดยใชเ้ครื่องหมายจลุภาคค่นัระหว่างช่ือกบัราชทินนามและฐานนัดรศกัดิ์ส่วนสมณศกัดิ์ใหค้งรูปตามเดิม 2. กรณีผู้แต่ง 2 คน ให้ใส่ชื่อทั้งสองคนตามล าดับที่ปรากฏ เชื่อมด้วยค าว่า “และ” ส าหรับเอกสารภาษาไทย และใช้ เครื่องหมาย “&” ส าหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ ระหว่างคนที่ 1 และคนที่ 2 โดยเว้น 1 ระยะก่อนและหลัง 3. ผู้แต่งชาวต่างประเทศ ให้ขึ้นต้นด้วยชื่อสกุล ตามด้วยตัวอักษรย่อชื่อต้นโดย เว้น 1 ระยะ และอักษรย่อ ชื่อกลาง (ถ้า มี) ทั้งนี้การกลับชื่อสกุลให้ใช้ตามความนิยมของคนในชาตินั้น โดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างชื่อสกุลและอักษรย่อชื่อต้น อักษรย่อชื่อกลาง หากกรณีที่ผู้แต่งมีค าต่อท้าย เช่น Jr. หรือค าอื่น ๆให้ใส่ค าดังกล่าวต่อท้ายอักษรย่อชื่อต้นหรืออักษรย่อชื่อต้น (ถ้า มี) โดยคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค 4. ผู้แต่งที่เป็นสถาบัน ให้ลงรายการโดยเรียงล าดับจากหน่วยงานใหญ่ไปหาหน่วยงานย่อย และเว้นวรรคจากชื่อหน่วย ใหญ่ไปหาชื่อหน่วยงานย่อย สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ APA Style 6 th edition เช่น APA Formatting and Style Guide. Fromhttp://owl.english.purdue.edu/owl/resource/560/01/American Psychological Association (APA) 6th edition style Examples. From www.lib.monash.edu.au/tutorials/citing/apa-a4.pdf การส่งต้นฉบับ ส่งถึง บรรณาธิการวารสารมูลนิธพิยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพฯ กองการพยาบาลสาธารณสุข เลขที่2 อาคารสา นักงานเขตห้วยขวางชนั้ 6 เขตห้วยขวาง แขวงห้วยขวาง กทม.10310 โดยเขียนทอี่ยู่พร้อมรหัสไปรษณีย,์เบอรโ์ทรศัพท์และ (E-mail)ทสี่ะดวกในการติดต่อกลบั วิธีเรียงบรรณานุกรม การเรียงบรรณานุกรมให้หลักการเดียวกับการเรียงค าในพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน หรือ Dictionary ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป โดยค าที่มีตัวสะกดจัดเรียงไว้ก่อนค าที่มีรูป สระตามล าดับตั้งแต่กก - กฮ ดังนี้ ก ข ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ฤ ฤๅ ล ฦ ฦๅ ว ศษ ส ห ฬ อ ฮ ส่วนค าที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวเดียวกัน เรียงล าดับตามรูปสระ ดังนี้ อะ อัว อัวะ อา อา อิอีอือุอูเอะ เอ เอาะ เอา เอิน เอีย เอียะ เอือ เอือะ แอ แอะ โอ โอะ ใอ ไอ
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 84 ผ ู ้ใหก ้ ารสนับสน ุ น วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ปีที 3 นางจินตนา ลิ่วลักษณ์ 5,000บาท นางกุลยา นามพันธุ์ 3,000บาท บพอ.13 3,000บาท พออ.หญิงสุนิต โชติกุล 2,000บาท นางวรพร ชาวสวนเจริญ 2,000บาท นางกาญจนา อนุตริยะ 1,000บาท นางนพวรรณ ภัทรวงศ์ษา 1,000บาท เรืออากาศโทหญิงทศพร ศรีบริกิจ 1,000บาท นางเชาวนี เพชระบูรณิน 1,000บาท นางบุญรัตน์ พงษ์ภัณฑารักษ์ 1,000บาท นางกนกวรรณ ด้วงกลัด 1,000บาท นางร่มไทร กิตติกรวณิชย์ 1,000บาท นางอุบลรัตน์ สุขสุนัย 1,000บาท นางวราภรณ์ พฤกษ์สุนทร 1,000บาท นางยุพา จันทราภาส 800บาท นางศรีวรรณา ตันศิริ 500บาท
วารสารมูลนิธิพยาบาลสาธารณสุข กรุงเทพ ฯ (ปีที่3)| กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาระบบบริการพยาบาล 85