1
สารบัญ 2
เรอ่ื ง หนา้
ไกรทอง (จ.พิจิตร) 4-5
เดิมบางนางบวช (จ.สุพรรณบุรี) 6
เจ้าชายสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมาก (จ.อยุธยา) 7
สองพีน่ ้อง (จ.สพุ รรณบรุ )ี 8
เจ้าพ่อหอกลอง (กรุงเทพมหานคร) 9
นางนาคพระโขนง (กรุงเทพ) 10
พรานกระต่าย (กำแพงเพชร)
วังแม่ลูกอ่อน (ชัยนาท) 11-12
เจ้าพ่อขุนด่าน (นครนายก) 13
เขานางบวช (นครนายก) 14
ดงละคร/ลับแล (นครนายก) 15
เจ้าพ่อองครักษ์ (นครนายก) 16
พระยาหงส์ทอง (นครปฐม) 17
พระยากง พระยาพาน 18
วัดพระเมรุ (นครปฐม) 19
วัดพระประโทณเจดีย์ (นครปฐม)
ท้าวแสนปม (นครปฐม) 20-24
ตำนานเมืองสามพราน (นครปฐม) 25
กลิ้งหินชิงนาง (นครสวรรค์) 26
กลองเป็นเหตุ (นครสวรรค์) 27
ปรัมปราที่มาเกาะเกร็ด (นนทบุรี) 28
สัตว์ทั้งส่ี (นนทบุรี)
ตำนานเมืองสามโคก (ปทุมธานี) 29-30
“วัดสำแล” มาจาก “วัดสามแล” จอมแถขั้นเทพ (ปทุมธานี) 31
นายสุกกับนายดิบ (อยุธยา)
32-32
34-38
39
40-41
ภูเขาทอง (อยุธยา) 3
บางปะอิน (ชายผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวชาวบ้าน) อยุธยา
กระต่ายสามขา (อยุธยา) 42
นิทานบ้านสามชุก (สุพรรณบุรี) 43
นิทาน บ้านยุ้งทลาย (สุพรรณบุรี 44
พระยาแกรก (สุพรรณบุรี) 45
ตำนานถ้ำเขาพระยาพายเรือ (อุทัยธานี) 46
เขาสมอแคลง (พิษณุโลก) 47-48
ตำนานรอยพระพุทธบาท (สระบุรี) 49
วัดพระนอนจักรสีห์ (สิงห์บุรี) 50
อีเมลิ้นดำ (สุโขทัย) 51
วังตาเพชร (สุพรรณบุรี) 52
ตำนาน-นิทาน กระเหรี่ยงตะเพินค่ี (สุพรรณบุรี) 53
ต้นตาล (สุพรรณบุรี) 54
นิทานเรื่องนกสองฝูง (อ่างทอง) 55
อุ้มพระดำน้ำ (เพชรบูรณ์) 56
ปู่กะสาย่ากะสี (เพชรบูรณ์) 57
ตำนานนางกวัก (ลพบุรี) 58
ประเพณีปล่อยนกปล่อยปลา (สมุทรปราการ) 59
หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน (สมุทรปราการ) 60
ดาวจระเข้ (สมุทรสงคราม) 61
โกงกาง หิ่งห้อยและลำพู (สมุทรสาคร) 62
ตำนานสร้างศาลหลักเมือง (เพชรบูรณ์) 63
ตำนานวัดช้างเผือก (เพชรบูรณ์) 64
สามเสน (กรุงเทพมหานคร) 65
66
67
4
ไกรทอง (จ.พิจติ ร)
ชาละวนั เป็นจระเขเ้ จา้ อาศยั อยูใ่ นถ้ำทองใตบ้ าดาล ในถ้ำทองจระเข้ จะกลายรา่ งเปน็ คนได้ ชาละวนั
ตอนกลายร่างเป็นคนจะเป็นหนุ่มรูปงาม โดยชาละวันเองมเี มียสาวสวยเป็นนางจระเข้ 2 ตวั คือ วิมาลา และ
เลอื่ มลายวรรณ ชาละวันเป็นหลานชายของ ทา้ วรำไพ ผู้เปน็ จระเข้เจา้ ที่อยูใ่ นศีลธรรม ไมเ่ คยจับสัตว์หรื
อมนุษยก์ นิ เป็นอาหารและจะกินแตซ่ ากสัตว์ทต่ี ายแล้วเปน็ อาหารเทา่ นั้น ชาละวนั แมอ้ ยู่ในถ้ำทองจะอมิ่ ทพิ ย์
ไมต่ อ้ งกินเนอ้ื แต่ดว้ ยความมีนสิ ัยที่เป็นอนั ธพาล จงึ ชอบมาเมอื งบนตามแม่น้ำลำคลอง จบั คนทีเ่ ปน็ ชาวบ้าน
และสัตว์กินเพือ่ ความสนกุ สนาน ณ หมูบ่ า้ นดงเศรษฐี แขวงเมอื งพจิ ิตร มพี ่ีน้องฝาแฝดคหู่ นง่ึ มีความงาม
เป็นทเี่ ลอื่ งลอื ชือ่ นางตะเภาแก้ว ผพู้ ่ี และนางตะเภาทองผูน้ อ้ ง ทง้ั สองเป็นบุตรเศรษฐีคำ และคุณนายทองมา
วันหน่ึงนางตะเภาแกว้ และนางตะเภาทองได้ลงไปเล่นน้ำทที่ า่ หนา้ บ้าน ชว่ งเวลาน้นั เจา้ ชาละวนั ซึ่งเป็นจระเข้
ไดอ้ อกมาวา่ ยน้ำหาเหยือ่ เมื่อไดเ้ หน็ นางตะเภาทอง กล็ มุ่ หลงในความงาม จงึ โผลข่ ้นึ เหนอื นำ้ เขา้ ไปคาบนาง
ตะเภาทองแลว้ ดำด่ิงไปยงั ถ้ำทอง อนั เป็นทีอ่ ย่ขู องเจ้าชาละวัน เมยี ของชาละวัน คอื วิมาลา และเล่อื ม
ลายวรรณ เหน็ กไ็ ม่พอใจแตก่ ็หา้ มสามไี มไ่ ด้ เพราะเกรงกลวั จึงตอ้ งยอมใหผ้ ัวมเี มยี เป็นมนุษยอ์ กี คน เม่ือนาง
ตะเภาทองฟืน้ ขนึ้ มาเจา้ ชาละวันก็เกี้ยวพาราสี แต่นางตะเภาทองกไ็ มส่ นใจ เจา้ ชาละวันจงึ จำตอ้ งใช้เวทมนตร์
สะกดให้นางตะเภาทองหลงรกั และยอมเปน็ ภรรยาตงั้ แตน่ นั้ มา เศรษฐีคำและคณุ นายทองมาโศกเศร้า
เสียใจเปน็ อย่างมาก ท่ีนางตะเภาทองบุตรสาวคนเล็กถูกเจ้าชาละวันคาบไป และคดิ ว่าบุตรสาวตนคงตายไป
แลว้ ดว้ ยความรักในบุตรสาวและความแค้นในเจ้าชาละวนั จึงประกาศออกไปว่าใครท่ีพบศพนางตะเภาทอง
และสามารถปราบจระเข้ตัวน้ไี ดจ้ ะมอบสมบตั ิของตนเองใหค้ ร่ึงหนง่ึ และจะใหแ้ ตง่ งานกับนางตะเภาแกว้ ด้วย
แตก่ ็ไม่มหี มอจระเข้คนไหนสามารถปราบเจา้ ชาละวนั ได้ นอกจากกลายเป็นเหยื่อของเจ้าชาละวนั คนแลว้ คน
เล่า จนในทสี่ ดุ กม็ ชี ายหนุ่มรูปงามนามว่า ไกรทอง ซ่งึ ได้รำ่ เรยี นวิชาการปราบจระเข้จากอาจารยค์ ง จนมคี วาม
เก่งกล้า ไดอ้ าสามาปราบเจ้าชาละวนั แตอ่ าจารยค์ งรู้ว่าเจ้าชาละวันเป็นพญาจระเขม้ อี ำนาจมาก และหนงั
เหน่ียว ฆ่าฟนั ไมต่ าย เนือ่ งจากมเี ข้ียวเพชรทำใหอ้ ยู่ยงคงกระพนั จงึ ไดม้ อบหอกสัตตโลหะ , เทยี นระเบิดนำ้
เส้ือยนั ตแ์ ละลูกประคำปลกุ เสก แกไ่ กรทอง รงุ่ เชา้ ตงั้ พธิ บี วงสรวงพร้อมอ่านคาถา ทำใหเ้ จาั ชาละวันเกดิ
รอ้ นลมุ่ ตอ้ งออกจาก ถ้ำขึน้ มาตอ่ สกู้ บั ไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลงั จระเข้ และแทงด้วยหอกสัตตโลหะ
ทำใหอ้ าคมของเขย้ี วเพชรเส่ือม หอกได้ทมิ่ แทงเจ้าชาละวนั จนบาดเจบ็ สาหสั และไดห้ นีกลบั ไปท่ถี ้ำ แตไ่ กร
ทองก็ใช้เทียนระเบิดนำ้ ตามไปต่อสอู้ ีกในถ้ำ ระหว่างท่เี ขา้ ไปในถ้ำไกรทองกพ็ บกบั วิมาลา เมียของชาละวนั
ด้วยความเจา้ ชู้จงึ เกย้ี วพาราสี นางวมิ าลาจนนางใจออ่ นยอมเปน็ ชู้ และบอกทางไปช่วยนางตะเภาทองไกรทอง
ตามมาตอ่ สกู้ ับเจา้ ชาละวันในถ้าต่อจนเจา้ ชาละวันตาย และไกรทองกไ็ ดพ้ านางตะเภาทองกลบั ข้นึ มา เศรษฐดี ี
ใจมากจงึ จดั งานแต่งงานใหไ้ กรทองกบั นางตะเภาแกว้ พรอ้ มมอบสมบตั ิใหค้ รงึ่ หนงึ่ แถมนางตะเภาทองใหอ้ กี
คน ไกรทองจอมเจ้าช้กู ็รบั ไว้ ด้วยความยนิ ดี
5
แต่ยงั ไมจ่ บแคน่ ้ันด้วยความเจา้ ชู้ของไกรทองแมช้ าละวันตายไป ไกรทองกย็ งั หลงรสรักกบั นางวิมาลา
จึงไปหาสทู่ ่ถี ำ้ ทอง และคิดจะพานางวิมาลาไปอยกู่ ินด้วย โดยทำพธิ ีทำให้นางยงั คงเป็นมนษุ ยแ์ มอ้ อกนอก
ถำ้ ทอง นางตะเภาแกว้ และนางตะเภาทองจบั ไดว้ า่ สามไี ปมาหาสนู่ างจระเข้ จงึ ไปหาเรื่องกบั นางในรา่ งมนุษย์
จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับรา่ งเปน็ จระเขแ้ ละไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ใหเ้ มยี ตีกนั และอำลาจาก นางวมิ าลา
ดว้ ยใจอาวรณ์
(ภาพจาก: http://www.skn.ac.th/skl/project/nitan482/nu15.htm)
6
เดมิ บางนางบวช (จ.สุพรรณบุร)ี
ตำนานเรื่องบางนางบวช เกิดในเขตจงั หวัดสพุ รรณบุรีและอ่างทอง กล่าวกันว่าคร้ังหนึ่ง มีหญิงงาม
ชอ่ื พิมสุราลัย มีรปู รา่ งหนา้ ตาสวยงามเปน็ ทห่ี มายปอง ของบรรดาชายหนมุ่ หลายคนชายหนุ่มเหลา่ น้ันพยายาม
แย่งชงิ นาง จนเกิดเป็นเร่อื งราวทะเลาะวิวาทกัน ทำให้นางพิมสุราลยั ไมพ่ อใจ ในทสี่ ดุ นางกต็ ัดสินใจหนีเข้าไป
อย่ใู นปา่ ตามลำพงั ทำมาหากนิ ดว้ ยการปลกู ขา้ วและทอผ้า แต่เคราะหก์ รรมยังตามไปถึงในป่า มีพรานป่าคน
หน่งึ ชื่อตาลีนนท์ ไดเ้ หน็ นางเขา้ และเกดิ ความรกั ตาลีนนท์เปน็ คนมเี วทมนตรจ์ ำแลงแปลงกายได้ จงึ แปลงกาย
เปน็ งูเข้าไปแอบซ่อนอย่ใู นกระท่อมของนางพมิ สรุ าลยั ครน้ั นางเขา้ ไปในกระท่อม งูแปลงก็เล้อื ยเขา้ ไปรดั นาง
ไว้ นางพิมสุราลัยตกใจจึง คว้ามีดฟันงูนั้นจนตาย เมื่อสิ้นชีวิตเวทย์มนตร์ก็เส่ือมลงร่างของงูจึงกลับคืนเป็น
พรานป่า นางพมิ สรุ าลัยร้ตู ัววา่ ฆ่าคนตายก็มีความตกใจและเสยี ใจมาก นางคดิ แคน้ ใจวา่ ความสวยงามของ
นางเป็นเหตุให้เกดิ เรื่องเดือดรอ้ นตา่ ง ๆ จน ต้องหนีมาอยูใ่ นปา่ ก็ยังไมพ่ ้น จึงคว้าเอามดี มาตัดนมทัง้ สองขา้ ง
ขว้างทิ้งไป กลายเป็นเขา 2 ลูก ชื่อ "เขานม" นางอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นนางก็ซัดเซพเนจรไป ตาม
ลำพังในกลางป่า ตกค่ำก็อาศัยนอนในวัด วัดที่นางพิมสุราลัยไปอาศัยนอนนั้น ต่อมาได้ชื่อว่า "วัดนาง
นอน" ท้ายทส่ี ดุ นางก็ได้ไปบวชอยูบ่ นเขาแหง่ หนึง่ เขานั้นจงึ ไดช้ อ่ื วา่ "เขาบางนางบวช" นอกจากนั้น ยังมี
หมู่บ้านในแขวงเมืองอ่างทองที่เล่ากันว่านางเคยไปถือศีลอยู่ ชื่อว่า "บ้านไผ่"จำศีล ส่วนบ้านเดมิ ของนางพมิ
สุราลยั ที่จงั หวดั สพุ รรณบุรีนัน้ ปจั จุบนั ชอ่ื "บ้านเดิมบาง"
(ภาพจาก: http://truepanya.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=83&id=20894)
7
เจา้ ชายสายนำ้ ผ้งึ กับพระนางสรอ้ ยดอกหมาก (จ.อยธุ ยา)
วัดพนัญเชิง เป็นวัดใหญ่ที่สำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดอยุธยา ตั้งอยู่ที่แหลมบางกะจะ เป็นวัดที่มี
พระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งชาวบ้านนับถอื กันว่าศักดิ์สิทธิ์กนั มาก ตำนานเกี่ยวกับการสร้างวัดพนัญเชิงนั้นมีมา
เก่าแก่ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาเรื่องราวของพระเจ้าสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมากนั้น มีกล่าวไว้ใน
พงศาวดารเหนือ ฟังดูเหมือนเร่ืองเลือ่ นลอย แต่นักประวัตศิ าสตร์และนักโบราณคดีได้ค้นคว้าแล้วปรากฏวา่
พระเจ้าสายน้ำผงึ้ นน้ั มตี ัวจริง เคยเปน็ กษตั ริย์ซงึ่ ครองเมอื งเกา่ ทต่ี ง้ั อยทู่ หี่ นองโสน ก่อนท่พี ระเจ้าอทู่ องจะสรา้ ง
กรุงศรีอยุธยา และเป็นผูส้ ร้างวัดสำคัญ คือ "วัดพนัญเชิง" และ "วัดมงคลบพิตร" ซึ่งยังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ตำนานเกี่ยวกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากเล่าว่า ครั้งนั้นกษัตริย์ครองกรุงอโยธยา
ส้ินพระชนม์ลง ไม่มรี ัชทายาทสบื สนั ติวงศ์ บรรดาอำมาตยจ์ งึ ปรกึ ษากนั หาคนดีมบี ญุ มาเป็นกษัตริย์ต่อไป โดย
ให้เสี่ยงทายเรือพระท่ีนัง่ เรือพระท่ีนั่งนั้นก็ลอยไปจอดกลางทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งเดก็ เล้ียงควายกำลงั เล่นกนั อยู่
เด็กคนหนงึ่ เลน่ เปน็ กษัตรยิ ์ ตัดสินลงโทษประหารชีวิตเพื่อนอกี คนหน่งึ โดยใช้ไมไ่ ผท่ ำเป็นดาบ พอเพชฌฆาตลง
ดาบปรากฏว่าเด็กชาวนานั้นคอขาดกระเด็นไปตามคำสั่ง บรรดาอำมาตย์เห็นเป็นเหตุอัศจรรย์ จึงเชิญเด็ก
ชาวนานั้นขนึ้ เปน็ กษตั ริย์ครองกรงุ อโยธยาสบื มาทางฝ่ายพระเจา้ กรงุ จนี มธี ดิ าบญุ ธรรมซึ่งกล่าวกนั วา่ มีกำเนิด
จากจน่ั หมาก จงึ ได้นามวา่ "สรอ้ ยดอกหมาก" มสี ิริโฉมงดงาม ครัน้ นางเจรญิ วยั โหรไดท้ ำนายวา่ นางจะได้เป็น
คคู่ รองของกษัตริย์แห่งเมืองอโยธยา พระเจา้ กรงุ จีนสง่ สาสนม์ ายงั พระเจ้ากรงุ อโยธยาถวายนางเป็นชายาพระ
เจา้ กรงุ อโยธยาได้รับสาสนน์ ้ันกม็ ีความยินดี รบี จดั กระบวนเรอื ออกไปรับตัวนาง ขณะที่เรอื พระทนี่ งั่ ผ่านไปถึง
วัดปากคลอง ไดท้ อดพระเนตรเห็นรวงผ้งึ ใหญ่เกาะอย่ทู ่ใี ต้ชอ่ ฟา้ จงึ ทรงอธิษฐานว่าหากพระองค์มบี ญุ ญาธิการ
จะไดป้ กครองบา้ นเมืองใหร้ ่มเยน็ เป็นสขุ ขอใหน้ ำ้ ผง้ึ หยดลงมาที่เรือ คร้ันหนั หัวเรอื เขา้ ไป น้ำผ้งึ ก็หยดลงมาท่ี
หวั เรือดังคำอธษิ ฐาน ผ้ทู เี่ หน็ เหตกุ ารณจ์ งึ พากันขนานพระนามว่า"พระเจา้ สายนำ้ ผ้ึง"เม่อื พระองคเ์ สด็จถึงเมอื ง
จีน พระเจา้ กรงุ จีนได้รับเสด็จและจัดการอภเิ ษกสมรสให้อย่างสมพระเกียรติ จากนั้นพระเจ้าสายน้ำผึง้ ก็พา
พระนางสร้อยดอกหมากเสด็จกลับกรุงอโยธยา ครั้นมาถึงบริเวณที่เปน็ วัดพนัญเชิงในปัจจบุ ัน พระเจ้าสาย
นำ้ ผง้ึ ก็ให้พระนางสรอ้ ยดอกหมากรออยู่ในเรอื พระท่ีนงั่ ส่วนพระองค์เสดจ็ เขา้ พระราชวงั เพ่ือเตรียมรับเสด็จ
ครั้นเรียบรอ้ ยแล้วก็ใหค้ นมาเชิญเสดจ็ พระนางสร้อยดอกหมากเข้าไปในวัง แต่พระนางสร้อยดอกหมากเกิด
ความน้อยพระทัยทพี่ ระเจา้ สายน้ำผงึ้ ไม่เสดจ็ ออกมารับเอง จงึ รับสัง่ วา่ ถา้ ไม่เสดจ็ ออกมารับก็จะไมเ่ ข้าไป ครั้น
คนนำความไปกราบทูล พระเจา้ สายนำ้ ผ้งึ ทรงเหน็ เปน็ เรอื่ งขบขัน รับส่งั ว่านางอุตส่าห์มาจากเมืองจีนจนมาถงึ
ตรงนแ้ี ลว้ ถา้ ไม่ยอมขน้ึ มากเ็ ชญิ ประทับอย่ใู นพระทน่ี ง่ั นั้นเถดิ เมื่อพระนางสรอ้ ยดอกหมากได้ทรงทราบความก็
ยงิ่ นอ้ ยพระทัยมากถงึ กบั ทรงกลัน้ ใจตาย เมอ่ื พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสดจ็ ออกไปรบั และได้ทรงทราบกเ็ ศรา้ โศกเสยี
พระทยั ยง่ิ นกั จึงเชิญศพนางไปพระราชทานเพลงิ ศพและใหส้ ร้างพระอารามขน้ึ ตรงบรเิ วณทพ่ี ระราชทานเพลงิ
ศพ พระราชทานนามว่า"วัดพระนางเชิง" ซ่ึงตอ่ มาเรยี กเพย้ี นไปวา่ "วดั พนญั เชิง"
(ภาพจาก:http://www.panoramio.com/photo/60186502)
8
สองพนี่ ้อง (จ.สุพรรณบุร)ี
ทจ่ี งั หวดั สพุ รรณบรุ มี คี ลองอยคู่ ลองหนงึ่ เรียกวา่ "คลองสองพนี่ อ้ ง" ปจั จบุ ันอยู่ในทอ้ งทอ่ี ำเภอสองพ่ี
นอ้ ง เรอ่ื งนีม้ นี ทิ านเล่ากันมาแต่โบราณว่า...
สมยั หนงึ่ มชี ายสองคนพีน่ ้องอาศยั อยู่ทีค่ ลองน้ี ทง้ั สองมีอาชพี ทำไร่ทำสวน ฐานะคอ่ นขา้ งมีอนั จะกิน
และรปู ร่างหนา้ ตากห็ ลอ่ เหลาเอาการ เป็นทห่ี มายปองของสาวในบา้ นเดยี วกนั แต่ชายหนุม่ ทงั้ สองหาสนใจไม่
ตอ่ มาไม่นานทง้ั สองได้ขา่ วว่ามีสาวงามสองคนอยใู่ นตำบลทอ้ งท่ีอำเภอบางปลามา้ หญิงทง้ั สองนสี้ วยงามมาก
ชายท้งั สองพนี่ ้องจงึ คิดตอ้ งการนางมาเป็นคคู่ รองทั้งสองคน ตอ่ มาสองพ่นี ้องไดจ้ ัดเถา้ แก่ไปสู่ขอ พอ่ แมฝ่ า่ ย
หญงิ เมือ่ ได้ฟงั คุณสมบตั ิของฝ่ายชายกไ็ มร่ งั เกียจ และเหน็ ว่าลูกสาวของตนอายุสมควรท่จี ะมีคูค่ รองได้แลว้ จึง
ตอบตกลง "เมอ่ื มาสู่ขอลกู สาวของฉันไปตกไปแตง่ ท้ังที กข็ อให้สมกับหน้าตา ฐานะหน่อยหนงึ่ จะไดไ้ หม" พอ่
ขอฝ่ายหญงิ กล่าวกับเถา้ แก่ ฝ่ายหญิงตอ้ งการใหจ้ ดั ขบวนขนั หมากลงเรือสำเภาให้ใหญ่โต จะได้เป็นทีเ่ ชดิ หน้าชู
ตาของชาวบ้านแถวน้ี ครั้งถงึ วนั กำหนดนดั ฝา่ ยชายกจ็ ดั เคร่ืองขนั หมากและเครอื่ งใช้ในการแต่งงานลงเรอื
สำเภา มมี โหรปี ี่พาทย์ครบครนั เมอื่ ไดฤ้ กษ์ขบวนขนั หมากพร้อมทงั้ เจา้ บ่าวทงั้ สอง ก็เริม่ เคลือ่ นทจี่ ากคลองสอง
พ่นี ้องออกไปทางแม่น้ำสพุ รรณขึ้นไปทางเหนือมงุ่ หน้าไปบา้ นเจา้ สาว ขณะทเ่ี รื่อแลน่ ไป นักดนตรกี เ็ ลน่ ดนตรี
ดงั ไปตลอดทาง จนถึงตำบลหนง่ึ เมื่อนกั ดนตรเี ปลย่ี นเพลงมาเลน่ ซอ ชาวบ้านจึงเรยี กที่แห่งนว้ี า่ "บาง
ซอ" เพราะนักดนตรไี ปเลน่ ซอทนี่ น่ั เมอ่ื แลน่ ไปอีกไมน่ านเสยี งดนตรกี ็ยง่ิ ดังครึกครื้น สนกุ สนาน ผู้คนในเรือก็
รอ้ งรำกนั ไมไ่ ดห้ ยดุ ท่ีแห่งนจ้ี ึงเรียกว่า "บา้ นสนกุ "
เม่อื เรอื ขบวนขนั หมากเลยบา้ นสสี นกุ ไปไดไ้ มน่ าน กเ็ กิดเหตกุ ารณอ์ ยา่ งไมค่ าดคดิ ข้นึ คอื เรอื สำเภาที่บรรทุก
ทั้งคนทั้งเครอื่ งใชไ้ ม้สอยสำหรับงานแต่งานได้เกดิ อบุ ตั เิ หตุอบั ปางล่มลง คนที่มากบั ขบวนขนั หมาก และสงิ่ ของ
เครือ่ งใช้จมหายไปในนำ้ หมด ดังน้ัน ตรงทเี่ รือสำเภาลม่ นัน้ ปจั จบุ ันจงึ เรยี กวา่ "สำเภาทลาย" สว่ นเจ้าบา่ วสองพ่ี
นอ้ งจมน้ำตายทั้งคู่ ฝา่ ยเจ้าสาวทง้ั สองสมกบั เปน็ เจา้ สาวรอขบวนขนั หมากด้วยใจระทกึ ต่างคนกค็ ดิ ถึงเจ้าบ่าว
ของตนเองว่าหนา้ ตาหล่อเหลาแคไ่ หน แต่เมอื่ มีคนมาส่งข่าววา่ ขบวนเรอื ขนั หมากของสองพ่นี อ้ งลม่ ลงกลาง
แม่นำ้ เสียแล้ว และเจา้ บา่ วของเธอก็จมน้ำตายด้วย หญงิ ทง้ั สองเสียใจมาก เธอร้องไหค้ รำ่ ครวญอย่างนา่ เวทนา
ต่อมาชาวบา้ นจึงเรยี กบา้ นทห่ี ญิงท้ังสองอยู่ว่า "บ้านแม่หมา้ ย" ซงึ่ ปจั จบุ นั กข็ ึน้ อยู่กบั อำเภอบางปลามา้ จงั หวดั
สพุ รรณบรุ ี
ภาพจาก:http://www.chomthai.com/forum/view.php?qID=3434)
9
เจา้ พ่อหอกลอง (กรุงเทพมหานคร)
สร้างขึน้ พ.ศ. 2509 เป็นสง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธป์ิ ระจำเมอื ง และไวเ้ ปน็ อนุสรณเ์ พื่อรำลกึ ถงึ เจ้าพอ่ หอกลอง
ตามความเชอื่ และความสำคญั ทผ่ี กู พนั กบั คนไทยมาชา้ นาน ตงั้ แต่สมยั ต้นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ "กลอง" คือ สง่ิ ท่ใี ช้
ตบี อกเวลา สง่ สัญญาณ และบอกขา่ วสารแกก่ นั จากวังสงู บา้ น และแพรข่ ยายต่อ ๆ กนั ไปทั่วกรุงฯ มีหลักฐาน
ว่าในรัชสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลที่ 1 ได้มกี ารสร้างหอกลองไวห้ น้าวัด
พระเชตุพนฯ มกี ลองสำคัญประจำอยู่ 3 ใบ คือ กลองยำ่ พระสุรสหี ์ ไว้ตีบอกเวลา กลองอัคคพี ินาศ ไว้ตเี พ่อื
บอกเหตไุ ฟ้ไหม้ และกลองพิฆาตไพรี ไว้ตเี มื่อเกิดศึกสงครามหรอื ขา้ ศกึ บุกมาประชิดพระนครทง้ั เสียงและ
จังหวะการตกี ลองท้งั สามใบจะแตกต่างกนั ทำใหผ้ ู้ฟงั รทู้ ันทวี า่ เกิดเหตุอะไรขน้ึ มีเรื่องเลา่ ว่าเจ้าหนา้ ท่ีประจำ
หอกลองคนแรก ได้เสียชีวิตลงในหนา้ ที่ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงได้
โปรดฯ ใหส้ รา้ งศาลไวใ้ กลก้ บั บริเวณหอกลองเพ่อื เป็นทรี่ ะลกึ ในสมัยก่อนเมือ่ มงี านราชพิธีสำคญั ๆ กจ็ ะมี
การอญั เชิญเทพเทพารกั ษ์มาร่วมบชู าอยูด่ ว้ ยเสมอ ต่อมาในสมยั ของสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 3
ศาลเจา้ พอ่ หอกลองทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา พระองคจ์ งึ ทรงแกไ้ ขปรบั ปรุงศาลเทพารักษ์ เจา้ พอ่ หอกลอง
เปล่ยี นจากมณฑปมาเปน็ พระเกี้ยว ครน้ั ตอ่ มาในรชั การที่ 4 พระองคท์ รงมปี ระสงคจ์ ะรกั ษาสภาพศาลนใ้ี ห้
คงอย่ใู นสภาพดัง้ เดมิ จงึ ทรงเปลีย่ นจากพระเกีย้ วมาเปน็ มณฑปเช่นเดมิ แตไ่ ด้ทรงแกไ้ ขบางสว่ นใหเ้ ปน็ มณฑป
แบบศาลหลกั เมอื งในสมยั นั้น เมื่อมาถึงรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รชั กาลที่ 5 ทรง
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหบ้ รู ณะปฏสิ งั ขรณ์ศาลเจา้ พ่อหอกลองเสียใหม่ และไดถ้ กู ปรบั ปรงุ มาอกี หลายครงั้
จนกระทั่งปี พ.ศ.2498 กรมการท่ดี นิ ได้ยา้ ยมาอยู่ ณ สวนเจา้ เชตุน้ี โดยย้ายมาจากมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
สวนเจา้ เชตุในสมัยนัน้ กเ็ ปน็ ทต่ี ้งั ของกองพนั ทหารอยูแ่ ลว้ คือ ร.1 พนั 4 รอ.ในการยา้ ยกรมการท่ดี นิ มาตง้ั ณ ที่
แหง่ ใหมน่ ้ี ได้มีการพดู กันว่า สถานทท่ี กี่ รมการรกั ษาดินแดนยา้ ยมาตง้ั นี้ คอื ที่ตง้ั เดมิ ของศาลเทพารกั ษเ์ จา้ พ่อ
หอกลอง อันเปน็ สถานทศ่ี ักดิ์สทิ ธิ์ ตอ่ มาในปี พ.ศ.2509 ท่านเจ้ากรมรกั ษาดนิ แดน พล.ท.ยทุ ธ สมบูรณ์ จงึ
ไดม้ อบหมายให้ พ.ต.ฟ้นื แสงรกั ษ์ เปน็ ผูด้ ำเนนิ การในการจดั สรา้ งศาลเจ้าพอ่ หอกลองข้นึ โดยได้สรา้ งแบบ
จตุรมขุ และมมี ณฑปแบบของเดมิ สว่ นองค์เจา้ พ่อหอกลองนัน้ ไม่ได้อญั เชญิ องค์เดมิ มาจากศาลหลกั เมือง
เพราะเกรงวา่ จะผิดพระราชประสงค์ขององค์รัชการที่ 5 จึงได้สร้างองคเ์ จ้าพ่อหอกลองขน้ึ มาใหม่ โดย
คณาจารย์ท่ที รงคณุ วุฒวิ ทิ ยาคมหลายทา่ น ชว่ ยตรวจดูพระรูปลกั ษณะของเจา้ พ่อหอกลอง พระคณาจารย์ได้
เห็นพ้องต้องกันวา่ ใหส้ ร้างพระรปู เจา้ พอ่ หอกลองเปน็ แบบคนโบราณนงุ่ ผ้ากระโถงผา้ ขาวม้าพาดไหลซ่ ้าย
นั่งขดั สมาธิ มือทง้ั สองข้างวางบนเขา่ ท้งั ซ้ายและขวา องคห์ ลอ่ ด้วยทองเหลือง หนา้ ตกั กวา้ ง 29 นิว้ ประทบั
นั่งบนแท่นแปดเหลีย่ ม
10
นางนนาางคนพารคะพโขระนโงขน(งกรุง(กเทรพุงเ)ทพ)
มีสามีภรรยาหนมุ่ สาวคหู่ นง่ึ อาศัยอยูด่ ้วยกันทยี่ ่านพระโขนง สามชี ื่อนายมาก สว่ นภรรยาชื่อนางนาก
ทงั้ สองใช้ชวี ติ คู่รว่ มกันจนนางนากต้งั ครรภอ์ ่อน ๆ นายมากก็มีหมายเรียกใหไ้ ปเป็นทหารประจำการทบ่ี างกอก
นางนากจงึ ตอ้ งอยตู่ ามลำพงั เวลาผ่านไป ท้องของนางนากกย็ ิ่งโตขนึ้ เร่ือยๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแย
กม็ าทำคลอดให้ ทวา่ ลูกของนางนากไมย่ อมกลับหัว จึงไมส่ ามารถคลอดออกมาตามธรรมชาติ ยังผลให้นาง
นากเจบ็ ปวดเปน็ ย่ิงนกั และในทส่ี ุดนางนากกท็ านความเจบ็ ปวดไว้ไม่ไหว สน้ิ ใจไปพรอ้ มกบั ลูกในทอ้ ง
กลายเปน็ ผตี ายทงั้ กลม หลงั จากนั้น ศพของนางนากได้ถกู นำไปฝังไวย้ งั ปา่ ชา้ ทา้ ยวดั มหาบศุ ย์ ส่วนนายมาก
เม่อื ปลดประจำการกก็ ลบั จากบางกอกมายงั พระโขนงโดยทย่ี ังไม่ทราบความว่าเมียของตวั ได้หาชีวิตไมแ่ ลว้
นายมากกลบั มาถึงในเวลาเขา้ ไตเ้ ข้าไฟพอดี จงึ ไมไ่ ดพ้ บชาวบ้านเลย เนอื่ งจากบริเวณบ้านของนางนาก
หลงั จากท่ีนางนากตายไปก็ไม่มีใครกลา้ เข้าใกลเ้ พราะกลวั ผนี างนากซ่งึ ตา่ งกเ็ ช่ือกนั วา่ วญิ ญาณของผตี ายทัง้
กลมนั้นเฮ้ยี น และมคี วามดุร้ายเปน็ ย่งิ นกั ครัน้ เมอื่ นายมากกลบั มาอยู่ทบ่ี ้าน ผนี างนากก็คอยพยายามรงั้
นายมากให้อยทู่ บ่ี ้านตลอดเวลา ไม่ใหอ้ อกไปพบใคร เพราะเกรงวา่ นายมากจะรคู้ วามจรงิ จากชาวบา้ น นาย
มากก็เชื่อเมยี เพราะรกั เมีย ไม่วา่ ใครทีม่ าพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไมเ่ ชอ่ื ว่าเมีย
ตัวเองตายไปแลว้ จนวนั หนง่ึ ขณะทน่ี างนากตำนำ้ พริกอยบู่ นบา้ น นางนากทำมะนาวตกลงไปใตถ้ นุ บา้ น ดว้ ย
ความรบี รอ้ น นางจงึ เอือ้ มมือยาวลงมาจากรอ่ งบนพนื้ เรอื นเพือ่ เกบ็ มะนาวทอี่ ยูใ่ ตถ้ ุนบา้ น นายมากขณะนัน้
บงั เอญิ ผ่านมาเหน็ พอดี จงึ ปกั ใจเชอ่ื อย่างเต็มร้อย วา่ เมียตัวเองเป็นผีตามทชี่ าวบา้ นวา่ กนั นายมาก
วางแผนหลบหนผี ีนางนาก โดยการแอบเจาะตมุ่ ใส่นำ้ ใหร้ ่ัวแลว้ เอาดนิ อดุ ไว้ ตกกลางคนื ทำทีเป็นไปปลดทกุ ข์
เบา แล้วแกะดินที่อุดตมุ่ ไว้ให้นำ้ ไหลออกเหมอื นคนปลดทุกขเ์ บา จากน้นั จึงแอบหนไี ป นางนากเม่ือเห็นผิด
สังเกตจงึ ออกมาดู ทำใหร้ ู้วา่ ตัวเองโดนหลอก จึงตามนายมากไปทนั ที นายมากเม่อื เหน็ ผนี างนากตามมาจงึ หนี
เขา้ ไปหลบอยใู่ นดงหนาด นางนากไมส่ ามารถทำอะไรไดเ้ พราะผกี ลวั ใบหนาด นายมากหนไี ปพง่ึ พระที่วัด นาง
นากไมล่ ดละพยายาม ด้วยความทีเ่ จบ็ ใจชาวบา้ นทคี่ อยยุแยงตะแคงรั่วผวั ตัวเองอกี ประการหน่ึง ทำให้นางนาก
ออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกนั ไปทงั้ บาง ซ่งึ ความเฮ้ยี นของนางนาก ส่วนหน่ึงเกดิ จากการ
ท่ถี ูกฝังไวร้ ะหว่างต้นตะเคยี นคนู่ น่ั เอง ในทสี่ ุด นางนากก็ถูกหมอผฝี มี อื ดจี บั ใสห่ มอ้ ถ่วงน้ำ จงึ สงบไปไดพ้ กั ใหญ่
จนกระทงั่ ตายายคหู่ นง่ึ ทไ่ี มร่ ูเ้ ร่อื งเพงิ่ ย้ายมาอย่ใู หม่ เก็บหมอ้ ทถ่ี ่วงนางนากได้ขณะทอดแหจบั ปลา นางนากจึง
ถกู ปลดปลอ่ ยออกมาอีกครง้ั แต่สุดท้ายก็ถกู สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ กะโหลกศรี ษะ
สว่ นหน้าผากของนางนากถูกเคาะออกมาทำหวั ปัน้ เหนง่ เพอ่ื เปน็ การสะกดวิญญาณ และนำนางนากส่สู ุคติ
หลงั จากน้ัน ป้นั เหนง่ ชน้ิ นน้ั ก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่น ๆ อกี หลายมอื ตำนานรกั ของนางนาก นับเปน็ ตำนานรกั
อีกเรอ่ื งหน่งึ ทปี่ ระทับใจผฟู้ ังอยา่ งไม่รจู้ บ กบั ความรกั ทมี่ ่ันคงของนางนากที่มตี ่อสามี ที่แม้แตค่ วามตายกม็ ิอาจ
พรากหัวใจรกั ของนางไปได้
11
พรานกระตา่ ย (กำแพงเพชร)
เปน็ ท่มี าของชอื่ อำเภอพรานกระตา่ ย จากคำบอกเล่าทีเ่ ลา่ ตอ่ กนั มาวา่ มีชายคนหนึง่ มีอาชีพในทางลา่
สัตว์ ตั้งนิวาสสถานอยู่บริเวณเมืองพาน ได้ออกป่ามาล่าสัตว์ถึงบริเวณที่ราบลุ่มแถววัดโพธิ์ปัจจุบัน เพราะ
บรเิ วณนีม้ นี ้ำอุดม หญา้ และต้นไม้ข้ึนเขยี วชอมุ่ ตลอดปี พวกสตั วต์ ่าง ๆ ชอบมาอาศัยหากินอยูบ่ รเิ วณนี้ บังเอญิ
ได้พบกระต่ายตัวหนงึ่ มขี นเป็นสเี หลืองเข้ม เหมอื นสีทองสวยงามมากจงึ ไลจ่ บั กระต่ายตัวนัน้ ไดว้ งิ่ หลบหายไป
ในพุ่มไม้ที่ขึ้นรกแห่งหนึ่ง ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบจึงกลับไปบอกพวกญาติพี่น้องให้ทราบ ทุกคนต่างก็อยากได้
กระต่ายตัวนั้นเพ่อื นำไปเลีย้ งเพราะเป็นของแปลก ไม่เคยเหน็ มากอ่ น จงึ พากันมาดกั ดกู ระตา่ ยตวั นั้น เม่ือพบ
แล้วก็พากนั ไลจ่ บั แตก่ ระต่ายกว็ ง่ิ หลบเขา้ พมุ่ ไมห้ ายไปทกุ ที จึงชว่ ยกนั ถาง พุ่มไมน้ ัน้ ออกกพ็ บว่าบรเิ วณน้ันเปน็
เตาถลุงเหล็กเก่า มโี พรงมีบอ่ หลายแห่ง จึงรวู้ ่ากระตา่ ยต้องอยใู่ นโพรงน้ันแนน่ อน แต่ไมอ่ าจขุดหาได้จึงได้แต่
นั่งเฝ้าปากโพรงไว้รอให้ กระตา่ ยออกจากโพรงแล้วจะจับ แตร่ อเทา่ ไรกระตา่ ยก็ไมโ่ ผลอ่ อกมาใหเ้ ห็นอีกเลย จึง
กลับไปอพยพครอบ ครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่บรเิ วณนัน้ เลย เพราะนอกจากจะมีความหวงั ในกระต่ายตัวน้นั แลว้
ยังเห็นว่าบริเวณน้ัน เป็นท่ีลุ่มดเี หมาะสำหรับจะปลูกข้าวเลีย้ งชีพได้ ด้วยมีน้ำไหลออกจากโพรงของเตาถลุง
แหง่ หนึ่งตลอดเวลา ทงั้ สตั ว์ปา่ กช็ ุกชมุ สามารถล่ามาเลย้ี งชีพได้ อกี อยา่ งก็ไดม้ าตั้งรกรากเป็นการถาวรแล้วจึง
ไดแ้ ผ้วถางท่ีทำมาหากินจนเป็นทุง่ โลง่ ข้นึ เรอื่ ยๆ และสืบเชื้อสายเผ่าพนั ธม์ุ าจนเปน็ ชมุ ชนใหญ่ สว่ นเตาถลุงและ
บอ่ เหล็ก ท่เี ปน็ ตน้ ตำนานของทอ้ งทน่ี ั้น ชาวบา้ นเรียกว่า ถ้ำกระต่ายทอง เรื่อยมา นิทานพรานกระต่าย เป็น
นิทานพื้นบ้านที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับที่มาของบ้านพรานกระต่าย และแสดงให้เห็นว่า บริเวณดังกล่าวเป็นทีล่ มุ่
เหมาะสำหรับอาชีพการเกษตร และทำให้เกิดการอพยพของชาวบ้านมาอยู่ บรเิ วณดังกล่าวนดี้ ้วย จากนิทาน
ปรัมปราทชี าวบ้านได้เล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยเมือ่ พระร่วงเจ้าผู้ครองเมืองสุโขทัย บริเวณท่ีเป็นหมู่บา้ นพราน
กระต่าย ปัจจุบันนี้เป็นป่าใหญ่ มีเมืองกำแพงเพชรหรือเมืองชากังราว เป็นเมืองลูกหลวง มีผู้คนอาศัยอยู่
หนาแนน่ พระรว่ งเจ้าจงึ ใหส้ ร้างถนนจากเมืองสุโขทัยถึงเมืองกำแพงเพชร เพ่ือติดตอ่ กนั ได้โดยสะดวก ถนนนี้
เรยี กวา่ "ถนนพระรว่ ง" (อยหู่ ่างจากวดั ไตรภมู ิไป ทางทางทศิ ตะวนั ออกประมาณ 1.5 ก.ม.) บริเวณป่าใหญ่น้ีมี
นายพรานคอยดูแลรักษาป่าและ สัตว์ป่าอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งพรานป่าได้พบช้างเชือกหน่ึงมีลักษณะงดงาม
มากผิดกว่าชา้ งอื่นๆ จึงนำเรือ่ งนีเ้ ข้ากราบทลู พระร่วงให้ทรงทราบ อำมาตย์ผูร้ ู้ตำรับตำราคชลกั ษณ์ (ตำราดู
ลักษณะช้าง) ไดช้ กั ไซรน้ ายพรานผนู้ น้ั ถงึ ลักษณะชา้ งทไี่ ด้พบอยา่ งละเอียด จึงรวู้ า่ เปน็ ชา้ งเผอื กแน่นอน สมควร
นำมาเปน็ ชา้ งคูพ่ ระบารมีพระเจ้าแผน่ ดนิ พระร่วงจึงรับสั่งใหอ้ ำมาตยผ์ ้ใู หญ่นำควาญ ช้างจำนวนหนง่ึ เดินทาง
ไปนำช้างเขา้ มายงั เมอื งหลวง โดยใหน้ ายพรานเป็นผนู้ ำทาง คณะผู้จบั ช้างเดินทางจากเมืองสุโขทัยมาตามถนน
พระร่วง จนถึงบริเวณที่พบช้าง ลงจากถนนเข้าป่า หาช้างเชือกนั้น จนกระทั่งได้พบรอยเท้าและมูลช้างที่
ต้องการ จึงติดตามไปเรื่อยๆ จนถึงถิ่นที่ ช้างอาศัยอยู่ (คือบริเวณที่เรียกว่า เขาทุ่งแฝกใกล้ๆ เขาชะอมใน
ปัจจบุ ัน) เม่ือรู้ถิ่นทอ่ี ย่ขู องชา้ ง เรยี บร้อยแล้ว ควาญช้างจึงได้ตงั้ ศาลเพียงตาข้ึนในบริเวณน้นั ทำพิธีบวงสรวง
เจ้าป่าเจ้าเขา แล้วบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขาว่า ช้างเชือกเป็นช้างมงคล สมควรเป็นช้างคู่บารมีของพ ระเจ้า
แผ่นดิน จึงจะขอนำช้างนั้นไปเมืองหลวง ขอให้เจา้ ป่าเจ้าเขาอนุญาตให้ด้วย และขอให้จบั ตัวช้างได้โดยง่าย
12
โดยเร็ววัน และได้บนบานไว้ว่าหากจับช้างได้ในบริเวณใดจะสร้างวัดข้ึนในบริเวณนัน้ เพื่ออุทิศส่วนบญุ กุศล
ให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขาผู้เป็นเจ้าของถิ่น และเทวดาที่สิงสถติ อยู่บริเวณนั้นด้วย เมื่อบวงสรวงเสร็จ ก็ช่วยกันตัด
ต้นไม้ทำเปน็ ชอ่ งทางเดินไว้ใหช้ ้างเดนิ เพราะวา่ บริเวณน้ันมีตน้ ไผ่ ข้นึ รกทบึ มาก ชา้ งไดอ้ อกมาหากินตามปกติ
และเดนิ เร่ือยไปตามตามแนวต้นไผท่ ่ีถกู ถางเปน็ ชอ่ งไว้ โดยไม่ได้ระแวงระวังตัวอะไร เพราะไมเ่ คยมภี ัยหรือศัตรู
เขา้ มารุกรานมาก่อน พวกควาญช้างจึงชว่ ยกันจบั ชา้ งนนั้ ไดโ้ ดยไม่ลำบากนกั และไดน้ ำไปยงั เมืองสโุ ขทยั ถวาย
ขึ้นระวางเป็นช้างหลวงต่อไป พระร่วงเจ้าทรงพอพระราชหฤทัยมาก ทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทุกคนที่ไป
ทำงาน โดยเฉพาะนายพรานผพู้ บช้าง เมอ่ื ได้ รับพระราชทานรางวลั ทกุ คนยงั ระลึกถึงคำบนบานต่อเจ้าปา่ เจา้
เขา จึงได้มาแผ้วถางบริเวณทีจ่ ับช้างได้ ทำการสรา้ งวัดขึ้นด้วยเงินทนุ ที่ได้รับพระราชทานมา ความทราบถงึ
พระ ร่วงเจ้าทรงอนุโมทนาและของรว่ มสร้างวัด จนกระทงั่ เป็นวดั ตามท่ตี อ้ งการ เม่อื สรา้ งวดั ไว้กลางป่ากลาง
เขาเช่นนี้ จำเปน็ จะต้องโยกยา้ ยถนิ่ ทีอ่ ยู่ อาศยั เดิมมาตง้ั รกรายอยู่บริเวณใกล้ๆ วัดด้วย เพ่อื สะดวกแก่การดแู ล
รักษาและรักษาวดั เมื่อมาอยู่กันมากๆ เข้าก็กลายเปน็ ชุมชนใหญ่ข้ึนตามลำคับ และคนยุคสุโขทัยที่ว่า "นิยม
สร้างวัดเพื่อให้ลูกวิง่ เล่น" วัดที่สรา้ งขึ้นน้ัน คือ วัดไตรภูมินี้ จากตำนานปรัมปราเรือ่ งสร้างวัดนี้ ไม่อาจยนื ยัน
หรือรบั รองไดว้ ่าเทจ็ หรือจริง
13
ววงัังแแมมล่่ลกููกออ่อ่อนน ((ชชยัยั นนาาทท))
ณ หมบู่ ้านแหง่ หนึ่งในจังหวัดชยั นาท มีเศรษฐคี นหนงึ่ ชอ่ื บญุ มี ภรรยาชอ่ื บญุ มา ลกู สาวชื่อมารศรี
มารศรมี ีคนรกั แล้วเปน็ ชาวนาคนจน ๆ ชอื่ เชษฐา แต่ถูกขัดขวางจากผเู้ ป็นพอ่ คนทง้ั สองจงึ ตกลงหนีตามกัน
ไปปลกู กระท่อมอยู่กลางป่า มอี าชีพทำนาและเผาถ่านประทงั ชวี ติ ไปวนั ๆ จนเวลาผา่ นไปหลายปี ทัง้ สองมี
ลกู คนแรกชือ่ จุก และกำลงั ตง้ั ทอ้ งลกู คนทส่ี อง มารศรี จึงปรึกษาสามี เพือ่ ทจ่ี ะกลบั ไปหาพ่อแม่เพราะทน
ความยากจนไมไ่ หว จากนั้นวนั รงุ่ ขึน้ ทง้ั สามคนจงึ ออกเดินทางทันที จนพลบค่ำจงึ เข้าไปพักทต่ี ้นไทร มารศรี
เกิดเจบ็ ทอ้ งคลอด เชษฐาจงึ ไปหาสมนุ ไพร แต่ไมไ่ ดร้ ะวงั ตวั จงึ ถูกงพู ษิ ฉกกดั สนิ้ ใจตาย ฝ่ายมารศรีเมอ่ื คลอดลกู
แล้วก็พากันตามหาสามี จนกระท่ังไปพบศพจึงตดั ใจจากไปอย่างอาลยั อาวรณ์ จากนน้ั ไดเ้ ดินทางต่อไปจนถงึ
ชายฝั่งแมน่ ำ้ เจ้าพระยาซง่ึ น้ำเช่ียวมาก มารศรีไม่ สามารถพาลกู ขา้ มไปทเี ดียวได้ท้งั ๒ คน จงึ สงั่ ใหล้ กู คนโตรอ
อยู่ก่อน แล้วนางกก็ า้ วลงนำ้ พาลูกคนเล็กข้ามฝงั่ ไป พอถงึ ฝง่ั กว็ างลูกนอ้ ยลงแลว้ กลบั ไปรบั ลูกคนโต แต่พอถึง
กลางแม่นำ้ มเี หยยี่ วใหญ่ตัวหนง่ึ โฉบลกู คนเล็กของนางไป นางจึงโบกมือไลเ่ หยย่ี วใหญ่ ลูกคนโตคดิ ว่าแมเ่ รยี ก
ตน จงึ กา้ วลงไปในน้ำและจมนำ้ ตายทนั ที มารศรรี อ้ งไห้ แทบขาดใจแลว้ จงึ จมน้ำตายตามลกู ไป
ปัจจุบันบรเิ วณนีช้ าวบ้านเรียกกนั ว่า วงั แมล่ กู อ่อน และไดส้ ร้างศาลข้ึนทห่ี มทู่ ่ี ๔ ตำบลบางหลวง
อำเภอสรรพยา จงั หวดั ชยั นาท
คณุ คา่ /แนวคิด/สาระ: นทิ านเรอื่ งนใ้ี หแ้ นวคิดเกีย่ วกบั การประพฤตติ นผดิ ประเพณี ไมเ่ ช่อื ฟงั พอ่ แม่
ชงิ สุกก่อนห่าม ผลสดุ ทา้ ยกท็ นความลำบากไม่ไหว หวงั กลบั ไปพง่ึ พ่อแม่แตก่ ไ็ ดร้ ับผลร้ายตอบแทนต้องเสยี ทัง้
ลูกและสามี สดุ ท้ายเสยี ทงั้ ชีวิตตนเอง กข็ อให้นทิ านเร่ืองนเี้ ป็นอุทาหรณ์แกผ่ ูห้ ญิงทกุ คน
14
เจ้าพ่อขุนดา่ น (นครนายก)
ตำนานเจ้าพ่อขุนด่าน ขนุ ด่านเป็นชอ่ื ตำแหนง่ ชือ่ จรงิ คือ หาญ เป็นบตุ รชายขนุ พจิ ติ ร ไพรสณฑ์ ใน
รัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา แหง่ กรงุ ศรอี ยุธยา ทางราชการไดใ้ หข้ นุ พิจิตร ฯ หวั หนา้ หมบู่ า้ นทางทศิ
ตะวันตก แขวงเมืองนครนายก เป็นหวั หนา้ คอยตรวจตราเขตแขวงเมืองนครนายก ติดกบั แขวงเมืองปราจนี บุรี
ทเี่ ขมรมกั ลอบเข้าไปลกั เสบียงและลอบรงั แกคนไทยอยู่เสมอ เมอ่ื พมา่ ยกทพั มารกุ รานไทย หัวหน้าท่ี
ชาวบ้านเรียกวา่ ขุนด่าน จะใชม้ ้าเรว็ สง่ ขา่ วไปยงั เมอื งหลวง เม่ือขุนพจิ ติ ร ฯ นายดา่ นคนเก่าถึงแกก่ รรม หม่ืน
หาญผเู้ ป็นบุตร กไ็ ดร้ บั แต่งต้ังจากกรุงศรอี ยธุ ยา ใหเ้ ป็นขนุ หาญพทิ ักษไ์ พรวัน เปน็ นายดาบแทนบิดา ในปลาย
รชั สมยั สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา นกั พระสตั ถาหรอื พระยาละแวก เจา้ เมืองเขมร ได้ยกกำลงั เขา้ มาดัดตลบ
หลงั ไทย โดยยกกำลงั เข้ามาตเี มืองปราจนี บรุ ี แลว้ เลยไปเมอื งนครนายก เพ่ือกวาดต้อนผคู้ นและทรพั ยส์ มบัติ
ไปเขมร เมือ่ ทราบข่าวศกึ ขุนหาญ ฯ จึงให้ม้าเร็วสง่ ข่าวไปใหท้ างกรุงศรีอยุธยาทราบ สว่ นตวั ขนุ หาญ ฯ ได้
รวบรวมกำลงั ออกไปซมุ่ โจมตีกองทพั พระยาละแวกตรงทางผา่ น เมือ่ กองทพั พระยาละแวกยกทัพผ่านมาถึง
ขนุ หาญ ฯ ก็ยกกำลงั เขา้ โจมตีกองทัพพระยาละแวกเสียหาย และเมอ่ื กองทพั จากกรงุ ศรีอยุธยายกมาช่วย
กองทพั เขมรกแ็ ตกพ่ายกลบั ไป เมอื่ เสรจ็ ศึกแล้ว พระยาศรีไสยณรงค์ แม่ทพั จากกรุงศรีอยุธยา ก็ไดใ้ หร้ างวลั
และประกอบพิธีมงคลสมรสให้ขนุ หาญ ฯ กับนางสาลกิ า บตุ รสาวขนุ ไวยารกั ษ์ เมือ่ ขนุ หาญ ฯ ถงึ แกก่ รรม
ชาวบ้านไดร้ ่วมใจนกันสรา้ งศาลบรรจุอฐั ขิ องท่านไว้ ณ บริเวณหบุ เขาชะโงก ตำบลพราหมณี อำเภอเมือง ฯ
เพอื่ ระลึกถงึ คุณงามความดี เปน็ ทเ่ี คารพบชู าสบื ตอ่ กนั มา
15
เขานางบวช (นครนายก)
ตำนานเขานางบวช มีเร่ืองเล่าสบื ตอ่ กันมาว่า เมอื่ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปมี าแลว้ เจา้ เมืองกัมพูชา มี
โอรสนามวา่ เจ้าประจติ ร เม่ืออายุได้ ๑๖ พรรษา ไดอ้ อกจากเมอื งพิมาย พบหญงิ คนหนงึ่ ท้องแก่กำลงั ดำนา
จงึ เข้าไปทกั ทาย และเหน็ ว่าเด็กในทอ้ งคงเป็นผมู้ ีบญุ แลว้ อาศัยบา้ นหญงิ ท้องแก่นอี้ ยู่ จนนางคลอดบุตรเปน็
หญิงช่อื วา่ อรพิน เมอ่ื นางอรพินโตเปน็ สาว เจา้ ประจิตรกม็ าสู่ขอเปน็ คูค่ รอง โดยได้กลบั ไปเตรยี มสนิ สอดทอง
หมั้นทเ่ี มอื งของตน และได้ใหท้ หารคนสนทิ อยเู่ ฝ้านางไว้ ข่าวความงามของนางอรพิน ไดแ้ พร่ออกไปถึงหเู จ้า
เมอื งพมิ าย จงึ ให้นำตวั นางเข้าเฝา้ เจา้ เมือง แต่เจา้ เมอื งทำอะไรนางไมไ่ ด้ เพราะนางมวี ่านพษิ ติดตัวอยู่ ผใู้ ดเขา้
ใกลจ้ ะรอ้ น เม่อื ความทราบถึงเจา้ ประจิตร ฯ จงึ ไดเ้ ข้าไปชว่ ยพานางหนอี อกจากวงั ทหารเจา้ เมอื ง พิมายยก
กำลังออกติดตามจนทัน เกดิ การตอ่ สู้กัน เจา้ ประจติ รพานางหนไี ป โดยไดเ้ ดนิ ลดั เลาะไปตามเชิงเขาทา่ มกลาง
สัตวร์ ้ายอยูห่ ลายวนั หลายเดือน จนวันหนง่ึ ได้เดนิ ทางมาถงึ แมน่ ้ำแหง่ หนึง่ เจา้ ประจิตรและนางอรพนิ เกดิ
พลดั กนั ระหว่างทีข่ ้ามแม่นำ้ ตา่ งคนต่างพยายามเรยี กหากันแต่ไมพ่ บ จนนางอรพินไดม้ าถึงวิหารแหง่ หนง่ึ บน
ภูเขา นางจึงอธิษฐานแปลงร่างเปน็ ชาย แล้วบวชอยู่ในวหิ ารบนยอดเขานนั้ เวลาได้ลว่ งเลยไปนานในทส่ี ุด เจ้า
ประจติ รไดท้ ราบเรือ่ ง จึงเดนิ ทางมาพบแลว้ ใหล้ าสึก จากนนั้ จึงพรอ้ มใจกันตง้ั ช่ือภเู ขานนั้ วา่ เขานางบวช
16
ดงละคร/ลับแล (นครนายก)
เรอ่ื งมอี ยู่ว่า หนมุ่ ชาวบา้ นคนหนงึ่ มีอาชพี ตดั ฟนื หาเถาวลั ยข์ าย วนั หน่งึ เข้าไปหาของป่าพบเถาวัลย์
มากมาย จงึ สาวตามเถาวลั ยไ์ ปเรอ่ื ย ๆ จนหลงเขา้ ไปในเมืองลบั แล หาทางกลบั ออกมาไม่ได้ เขาไดพ้ บหญิงสาว
สวยในเมอื งนั้น และไดอ้ ยกู่ นิ จนมลี ูกด้วยกัน เมอื งลบั แลนนั้ อดุ มสมบรู ณเ์ จริญร่งุ เรอื ง ผู้คนมีศลี ธรรม ถือ
ปฏิบัตเิ ครง่ ครดั โดยเฉพาะศีลขอ้ มสุ า ฯ วนั หนงึ่ ภรรยาไมอ่ ยเู่ ขาตอ้ งดูแลลูก เมอ่ื ลกู ร้องกวน ปลอบไมฟ่ งั จึง
ออกปากหลอกลูกวา่ “แมม่ าแล้ว เพอ่ื ใหล้ กู หยดุ รอ้ ง เมอ่ื ภรรยากลบั มาและรเู้ รอื่ งเขา้ เหน็ วา่ สามที ำผดิ
กฎเกณฑข์ องเมือง จงึ จำใจใหส้ ามอี อกไปจากเมือง โดยภรรยาไดม้ อบหอ่ ผ้าใหส้ องหอ่ พรอ้ มกบั กำชับให้แก้หอ่
ผา้ ไดเ้ มอ่ื ถงึ บ้านเรอื นตนแล้ว ฝ่ายชายคนน้ันเมอื่ ออกจากเมอื งมาถงึ หนองน้ำแห่งหนงึ่ อยากรูว้ า่ ภรรยาของตน
ใหอ้ ะไรมาจึงแกห้ อ่ ผ้าออกดเู ห็นเปน็ ทรายจึงเททงิ้ เสยี แลว้ ฉกุ ใจคิดถึงคำกำชับของภรรยา จงึ นำหอ่ ผ้าท่ีเหลอื
มาเปดิ ทบ่ี า้ น พบว่าในหอ่ เป็นทองคำ จงึ ไดน้ ำทองคำน้นั ไปขายเล้ยี งตวั และมารดาไปตลอดชีวติ และได้สร้าง
วดั ข้นึ ณ บรเิ วณท่ตี นแกห้ อ่ ผ้าพบทรายแลว้ เทท้ิง เรยี กช่ือวดั นั้นวา่ วดั หนองทองทราย อยทู่ างทิศตะวันตก
เฉยี งใตข้ องดงละคร
17
เจา้ พ่อองครักษ์ (นครนายก)
ตำนานศาลเจ้าพ่อองครกั ษ์ ศาลเจา้ พ่อองครักษต์ งั้ อยทู่ ร่ี ิมฝั่งแม่น้ำนครนายก ในตำบลทรายมลู อำเภอ
องครักษ์ เป็นแม่นำ้ สามแยกมาจากนครนายก แลว้ แยกไปคลองรังสิตทางหนึ่ง อกี ทางหน่ึงแยกไป
แม่นำ้ บางปะกง มเี รือ่ งเลา่ ว่า พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไดเ้ สด็จประพาสจังหวัดปราจีนบรุ ี
โดยเสดจ็ ผ่านมาทางแมน่ ้ำนครนายก และไดป้ ระทบั แรมอยู่ ณ บรเิ วณที่ต้ังศาลเจ้าพอ่ องครักษป์ จั จบุ ัน ระหว่าง
ประทบั แรมน้ันนายทหารราชองครักษผ์ ู้หนงึ่ ไดป้ ว่ ยและเสยี ชีวิต บางตำนานกล่าวว่า นายทหารราชองครักษผ์ ู้
น้ถี กู ช้างทำรา้ ยจนเสยี ชวี ิต ชาวบา้ นจงึ เรยี กวา่ เจ้าพอ่ ชา้ งเหยียบ (ปจั จบุ นั ยังมหี วั กะโหลกชา้ งอย่ใู นบริเวณ
ศาล) เพ่ือเป็นที่ระลึกแกร่ าชองครกั ษ์ผ้นู ้นั จึงไดส้ ร้างศาลขนึ้ เปน็ อนสุ รณ์ แตเ่ น่ืองดว้ ยบรเิ วณหน้าศาลเป็นวงั
นำ้ วน น้ำไหลเชย่ี วมาก เปน็ ทห่ี วนั่ เกรงของชาวเรือ และเชอ่ื กนั ว่ามจี ระเข้เจ้าพอ่ อยใู่ นวงั นำ้ ถ้าจะนำเรอื ผ่าน
บริเวณดงั กล่าว จะต้องทำพิธีเซน่ ไหว้ดว้ ยมะพรา้ วอ่อน จึงจะนำเรอื ผา่ นไดป้ ลอดภัย
18
พระยาหงสท์ อง (นครปฐม)
กาลครง้ั หนงึ่ นานมาแล้ว ยงั มตี ากบั ยายสองคนผัวเมีย ทำไรป่ ลูกถวั่ ปลูกงา ทั้งสองมลี ูกสาวอยูค่ นหนง่ึ
กำลงั รุน่ สาวและมหี นา้ ตาสวยอกี ด้วย ตายายรักและหวงหลานสาวของแต่มากทงั้ สองไม่ไดใ้ หห้ ลานสาวออกทำ
ไรด่ ้วย แต่ทำหน้าทีค่ อยไลน่ กไลก่ าท่ีจะมาจกิ กนิ ถว่ั กินงาเมอื่ เวลาพืชไร่ออกดอกออกผลเท่านัน้ อยูม่ าวนั หนงึ่
ลูกสาวของตายายกอ็ อกไปทำหนา้ ที่ของตนเหมอื นเดมิ ขณะนั้นเองมีพระยาหงสท์ องตวั หนงึ่ กำลงั โผบนิ อยบู่ น
ท้องฟ้าแลลงมาท่ีไร่ถัว่ งาของตายาย และได้เหน็ ผลถว่ั งากำลงั ออกผลนา่ จกิ กินเป็นอาหาร พระยาหงส์ทองจึง
รอ่ นลง หมายจะจกิ กินถวั่ งาใหห้ นำใจ และแล้วพระยาหงสท์ องก็ได้ยนิ เสียงของหญิงสาวนางหนง่ึ เป็นเสยี งร้อง
ขับไล่นกของลกู สาวตายายนนั่ เอง เสียงนนั้ ชา่ งไพเราะจบั ใจเหลือเกิน พระยาหงส์ทองอยากรเู้ หลอื เกนิ วา่ เสยี
นนั้ เป็นเสียงใคร จึงคอ่ ยๆเดนิ ลัดเลาะพมุ่ ไมด้ อ้ มมองหาที่มาของเสียงนัน้ ครั้งแลว้ พระยาหงส์ทองก็ตอ้ งตะลงึ
ด้วยความงามของหญงิ สาว ฝา่ ยหญงิ สาวกม็ ีความรสู้ กึ ว่าถกู ใครแอบมองอยู่ นางสอดส่ายสายตาไปตามตน้ ถั่ว
งานน้นั และแล้วนางกเ็ หน็ พระยาหงสท์ องทรี่ ูปร่างสง่างามเหลือเกิน นางส่งสายตามองจนเพลิน แล้วทงั้ สองก็
สบตากนั และเกดิ ความรกั กันในทส่ี ดุ พระยาหงส์ทองพดู จาเก้ียวจนนางใจอ่อนยอมเปน็ ภรรยา หญงิ สาวพา
พระยาหงสท์ องผสู้ ามกี ลบั มาบา้ น และเล่าให้ตายกับยายผเู้ ปน็ พอ่ แม่ของเธอรบั รู้ ตายายเมอ่ื รเู้ รอ่ื งกม็ ิได้
รังเกียจในตวั พระยาหงส์ทองผู้เป็นลกู เขย เพราะคดิ วา่ พรหมลขิ ิตให้ชีวิตของลกู สาวตนตอ้ งเปน็ เช่นนี้ แต่พระ
ยาหงสท์ องก็มิไดอ้ ยเู่ ป็นคู่ผวั ตัวเมียด้วยกนั กบั หญิงสาวผเู้ ปน็ ภรรยาเหมอื นคนปกติท่ัวไป พระยาหงส์ทองจะ
ไปๆมาๆ 7 วนั ต่อหนงึ่ ครง้ั กอ่ นไปทุกครง้ั พระยาหงส์ทองจะสลดั ขนไว้ใหต้ ายยายและภรรยา 1 ขน และสัง่ ให้
นำขนทองไปขายแลกเงินมาใชจ้ า่ ยในครอบครวั โดยมไิ ด้ลำบาก พระยางหงสท์ องทำเช่นน้ีทุกครงั้ ที่มาเย่ยี มครบ
ครวั ของภรรยา วันหนึ่งตายายก็ไดป้ รกึ ษากนั วา่ จะทำอย่างไรใหไ้ ดข้ นของพระยาหงสท์ องมากๆ ตายายคิดวา่
ถา้ คราวนี้พระยาหงส์ทองมาอีกจะจบั ตวั พระยาหงส์ทองไวแ้ ลว้ ถอนขนของพระยาหงสท์ องเสียใหห้ มด คนื นัน้
ตายายไดน้ ำเร่ืองราวมาบอกลูกสาว พร้อมกบั พูดหวา่ นลอ้ มตา่ งๆนาน จนลกู สาวใจออ่ นยอมเหน็ ดเี หน็ งามด้วย
คร้ันวันรุ่งข้ึนซงึ่ เปน็ วันทีพ่ ระยาหงส์ทองกลับมาเย่ยี มภรรยาและตายายตามกำหนด หลงั จากพดู คยุ สนทนากนั
แล้ว พอพระยายหงส์ทองเผลอ ทงั้ สามกจ็ บั พระยาหงสท์ องไวแ้ ละช่วยกันถอนขน มิใยทีพ่ ระยาหงสท์ องจะ
ออ้ นวอนขอความเมตตาสกั เทา่ ไร ท้ังสามก็ไมฟ่ งั ในทสี่ ุดทงั้ สามคนกร็ ุมถอนของพระยาหงสท์ องจนเกลี้ยง
พระยาหงสท์ องทนความเจบ็ ปวดไมไ่ หวกข็ าดใจตาย ทง้ั สามคนหันมาใช้มอื กอบขนของพระยายหงสท์ องด้วย
ความดใี จ แต่แลว้ ขนที่เคยเปน็ ทองก็กลบั กลายเปน็ ขนธรรมดาไปเสยี แลว้ ทง้ั สามเสียใจมากแตก่ ็ทำอะไรไม่ได้
แลว้ น่ีแหล่ะโลภมาก มักลาภหาย
19
พพรระะยยาากกงง พพรระะยยาาพพาานน
เมื่อพระยากงได้ครองเมืองศรวี ชิ ยั คอื “เมืองนครปฐม” ในปัจจุบันนี้ สบื ต่อจากพระเจ้าสกิ าราชผเู้ ปน็
พระราชบดิ าแล้ว ต่อมาได้มพี ระราชบตุ รที่ประสูติจากพระมเหสีองคห์ นง่ึ โหรไดถ้ วายคำพยากรณ์ พระราช
กมุ าร วา่ จะเป็นผูม้ บี ญุ ญาธกิ ารมากจะไดค้ รองราชสมบตั ิ เปน็ กษัตริย์ตอ่ ไปในภายหนา้ แต่ว่าพระราชกมุ ารน้ี
จะกระทำปิตุฆาต คอื ฆ่าพ่อ เมอื่ พญากงไดท้ ราบดงั นั้น จงึ รบั ส่งั ใหร้ าชบรุ ุษพา พระราชกุมารไปฆ่าท้งิ เสียใน
ปา่ ราชบรุ ุษจึงนำไปทง้ิ ไวท้ ่ีปา่ ไผ่…ท่ีไรข่ องยายหอม…ยายพรมไปพบพระราชกุมารจงึ เก็บมาเลีย้ งไว้ แต่ยาย
พรมมลี กู หลานมาก จึงยกพระราชกุมารใหย้ ายหอมไปเล้ียงไว้…ยายหอมได้เลยี้ งพระราชกมุ าร แลว้ นำไปใหเ้ จา้
เมืองราชบรุ ีเลย้ี งเปน็ บตุ รบญุ ธรรม แตเ่ มอื งราชบรุ เี ป็นเมืองข้ึนของเมอื งศรีวิชัย อยู่ภายหลงั พระราชกุมาร
เติบโตขึน้ ได้แข็งเมอื งไม่ยอมส่งบรรณาการ และได้ท้ารบกับพระยากงจนไดช้ นช้างกัน… เมอ่ื ฆ่าพระยากง
สำเรจ็ แล้วไดเ้ ข้าเมอื งศรวี ิชยั …เวลาน้ันพระมเหสขี องพระยาซึ่งเปน็ พระชนนีของพระยาพานยงั มพี ระชนม์อยู่
กล่าวกันวา่ รปู โฉมสวยงาม…พระยาพานคดิ อยากได้เป็นมเหสี ได้เสด็จเขา้ ไปท่ีตำหนกั เทพยดาได้แปลงเป็น
แพะบา้ ง บ้างกแ็ ปลงเป็นแมวแมล่ ูกออ่ น นอนขวางบนั ไดปราสาทอยู่ เม่อื พระยาพานข้ามสตั ว์ทง้ั สองนนั้ ไป
สตั วจ์ ึงพูดกับแม่ว่า “ทา่ นเหน็ พวกเราเป็นเดรจั ฉานจึงขา้ มไป”… แมต่ อบลูกวา่ “นบั ประสาอะไรกบั เราเปน็
สตั ว์เดรจั ฉาน แม้แต่มารดาของทา่ น ท่านยังจะเอาเป็นเมีย” พระยาพานได้ฟังดงั นนั้ กป็ ระหลาดพระทยั นกั …
จงึ ทรงตง้ั อธิษฐานว่า”ถ้าพระมเหสีของพระยากงเป็นพระมารดาของเราจรงิ แล้ว ขอใหน้ ำ้ นมหลั่งออกจากถนั
ทง้ั สองขา้ งใหป้ รากฏ ถา้ ไมใ่ ช่พระมารดาของเราก็ขออยา่ ใหน้ ้ำนมไหลออกมาเลย” พระยาพานตง้ั อธษิ ฐาน
แล้ว…น้ำนมไดห้ ลงั่ ออกมาจากถนั เป็นทป่ี ระจกั ษ์แก่สายตา…พระยาพานจงึ ไดไ้ ตถ่ ามได้ความวา่ เปน็ พระมารดา
จรงิ แลว้ ก็ทรงดมื่ กนิ นำ้ นม และทรงทราบวา่ พระยากงเปน็ พระราชบิดา…จึงโกรธยายหอมว่ามิได้บอกใหต้ น
ทราบว่าเป็นบตุ รใคร จนได้ทำบาปถงึ ฆา่ พ่อ…แล้วได้ไปเรียกยายหอมมา แลว้ จับยายหอมฆา่ เสีย คนท้งั ปวงจึง
เรยี กพระราชกมุ ารวา่ “พระยาพาล” เพราะไมร่ ู้จักบญุ คุณคน และบ้างกเ็ รียก “พระยาพาน” เพราะเมอ่ื เวลา
เกิดนั้น พระพกั ตร์กระทบพานทองเปน็ แผล เม่ือพระยาพานฆ่ายายหอมแล้ว รสู้ กึ เสยี พระทัย วา่ ฆ่าผมู้ พี ระคณุ
เสยี แล้วอกี คนหน่ึง… จงึ ไดถ้ ามสมณพราหมณาจารยว์ ่าจะทำอย่างไร…จงึ จะลา้ งบาปในการฆา่ พระราชบดิ า
และฆ่ายายหอมผู้มพี ระคณุ ผู้ทเ่ี ลยี้ งตนมาแต่เยาวว์ ยั … พระสงฆ์กไ็ ดถ้ วายพระพรว่า”ใหส้ ร้างเจดยี ส์ งู แคน่ กเขา
เหนิ ”… จงึ ไดส้ ร้างพระเจดยี ข์ นาดใหญ่ สงู ช่ัวนกเขาเหิน คอื องคพ์ ระปฐมเจดีย์ เพ่อื เป็นการลา้ งบาปที่ฆา่ พระ
ราชบดิ าให้บรรเทาลงบ้าง… และสร้างพระประโทนเจดยี ์ เพอ่ื ล้างบาปท่ีฆา่ ยายหอม
20
วดั พระเมรุ (นครปฐม)
บรเิ วณทงุ่ พระเมรุในอดตี นา่ จะเคยเปน็ สถานท่สี ำหรบั ออกงานพระบรมศพของกษตั รยิ เ์ จ้าเมอื งทวารวดี เมอ่ื
พันกว่าปลี ว่ งมาแล้ว ปัจจุบันเหลอื แต่ซากเจดีย์เปน็ กองอิฐขนาดใหญ่ ฐานกวา้ ง ดา้ นละ 70 เมตร
มีต้นไม้ใหญข่ น้ึ ปกคลมุ กรมศลิ ปากรข้นึ ทะเบยี นไวเ้ ป็นโบราณสถานภายในพืน้ ท่ี 5 ไร่ บรเิ วณขา้ งเคียงเป็น
ทดี่ นิ ของเอกชนและถนนเพชรเกษม อยู่หา่ งจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางทศิ ตะวันออกเฉียงใต้ 1 กโิ ลเมตร
เมื่อ พ.ศ. 2482 ทางราชการไดท้ ำการขดุ คน้ สำรวจจงึ ทราบวา่ ราว พ.ศ. 1,200 เจดยี ท์ ี่ทุ่งพระเมรุ แรกสร้าง
เปน็ เจดยี ์ฐานกลม มพี ระพทุ ธรูปแบบทวารวดีทำดว้ ยหินปูน ทา่ ประทบั นง่ั ห้อยพระบาท สงู 370 เซนติเมตร
จำนวน 4 องค์ ประดิษฐานไว้ทฐี่ านเจดีย์ทงั้ 4 ทศิ ตวั องค์เจดียเ์ ปน็ ทรงระฆังควำ่ ยอดแหลม ระยะตอ่ มาไดม้ ี
การเสรมิ ฐานใหเ้ ป็นสเี่ หลีย่ มยอ่ มมุ และทำทางเข้าเป็นมุขยน่ื ออกไปทง้ั 4 ทิศ มผี นงั และหลงั คาคลมุ
พระพุทธรปู องคเ์ ดิมใหส้ งู ใหญข่ ึ้นเป็นคล้ายวหิ าร ภายในเปน็ ท่วี ่างสำหรับเดินเวียนรอบกระทำทักษิณาวัตร
พระพุทธรูปดงั กล่าวได้ ตัวเจดยี ์เหนอื หลงั คาวิหารเป็นเจดยี ย์ ่อมมุ ทรงวหิ ารปราสาท มเี จดยี ข์ นาดเลก็ เปน็
บริวารล้อมรอบทุกๆชนั้ แบบศลิ ปะสมัยศรีวิชัย ซงึ่ เป็นความนิยมของพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานขณะนน้ั ในราว
พทุ ธศตวรรษที่ 14 ซงึ่ มรี ายละเอียด
ดังตอ่ ไปนี้
ภาพแผนผังฐานของเจดยี ์วดั พระเมรแุ สดงใหเ้ ห็นฐานเดมิ และการขยายฐานออกไป
21
22
เจดียพ์ ระเมรรุ ปู รา่ งครง้ั สุดท้ายทพี่ กุ ามเอาแบบอย่างไปก็น่าจะเปน็ ลกั ษณะดงั ภาพทจี่ ินตนาการไวน้ ี้
อานนั ทเจดีย์ ทงุ่ พระเมรุ จงั หวดั นครปฐม จนิ ตนาการแบบโดย ผศ.นกุ ูล ชมภูนิช
23
ภาพอานนั ทเจดียท์ ี่ทุ่งพระเมรุ (ด้านววิ )
หลกั ฐานสำคญั ของเจดีย์องคน์ ที้ น่ี ่าภูมใิ จ คือ พระพุทธรปู สลกั ดว้ ยหินปนู สีขาว 4 องค์ ประดิษฐานอยูท่ ง้ั 4
ทศิ ของเจดยี อ์ งค์เกา่ ปจั จบุ นั ประดิษฐานในทต่ี ่างๆ ดังนี้
- ในโบสถพ์ ระปฐมเจดยี ์ 1 องค์
- ท่ลี านบนั ไดทางทศิ ใตอ้ งค์พระปฐมเจดยี ์ 1 องค์
- ท่พี พิ ิธภัณฑส์ ถานแหง่ ชาติ กรงุ เทพฯ 1 องค์
- ที่พิพธิ ภัณฑ์สถานแหง่ ชาติ อยธุ ยา 1 องค์
พระพทุ ธรูปประทบั นง่ั หอ้ ยพระบาท สงู 375 เซนตเิ มตร
24
พระพทุ ธรูปท้งั หมดน้ี เป็นพระพทุ ธรูปประทับนง่ั บนบลั ลงั ก์ ท่าน่งั ห้อยพระบาท ปางประทานธรรม (หรือปฐม
เทศนา) ทรวดทรงสมสว่ นสงา่ งาม พระพักตรบ์ ่งบอกชัดวา่ นา่ จะเป็นชนพ้นื ถ่ินในสมัยนัน้ (ละวา้ - มอญ) แต่
สภาพแรกพบน้ัน แต่ละองคย์ อ่ ยยับแตกหกั เป็นชิน้ เลก็ ชนิ้ นอ้ ย อยู่คนละทคี่ นละทาง บางช้ินอยู่ที่ร้านขายของ
เกา่ กรงุ เทพฯ ฯลฯกรมศิลปากรพยายามรวบรวมแลว้ บรู ณะให้เต็มองค์ ดังทเี่ ห็นในปจั จบุ ัน แตล่ ะองค์มีขนาด
ใหญ่กว่าพระพทุ ธรปู สลกั หนิ องคอ์ ื่นๆในบริเวณน้ที งั้ หมด จงึ นบั ได้วา่ พระเมรุเจดยี อ์ งคน์ ี้ นา่ จะมคี วามสำคัญ
มาก และงดงามกว่าองค์ใดๆเสยี อีกด้วยเหตุนี้ ศนู ยว์ ัฒนธรรมอำเภอเมืองนครปฐม มหาวทิ ยาลยั คริสเตยี น จึง
เขียนภาพเจดยี ์วดั พระเมรุจนิ ตนาการ ยอ้ นอดตี ข้นึ เพ่ือเชญิ ชวนให้ชาวนครปฐมระลกึ ถงึ ความเรอื งรองของ
สงั คมชาวพทุ ธในครัง้ กระนัน้ เทียบกบั สมัยปจั จบุ ัน
25
วัดพระประโทณเจดีย์ (นครปฐม)
พระยาพานฆ่ายายหอมผมู้ พี ระคณุ ผ้ทู ่ีเลย้ี งตนมาแต่เยาวว์ ยั พระสงฆ์ก็ไดถ้ วายพระพรว่า”สรา้ งพระ
ประโทนเจดยี ์ เพอ่ื ล้างบาปทฆ่ี ่ายายหอม เปน็ พระเจดยี เ์ ก่าแกท่ ี่มีประวตั ิความเปน็ มายาวนาน เดมิ เปน็ วดั
สำคัญที่อยใู่ จกลางเมืองสมัยโบราณ ภายในวัดมีเจดยี จ์ ุลประโทณประดับภาพปนู ปน้ั ยคุ ทวาราวดี รูปเรอื สำเภา
และรปู คนอนิ เดีย เปน็ หลกั ฐานสำคัญทส่ี รปุ ได้วา่ ทนี่ ีเ่ คยเปน็ เมืองท่าสำคัญ ปัจจุบนั ภาพปูนปนั้ ไดแ้ สดงอย่ใู น
พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตพิ ระปฐมเจดยี ์
26
ท้าวแสนปม (นครปฐม)
ท้าวแสนปมนามกระเดื่อง หมายถึง ท้าวแสนปม เป็นสญั ลกั ษณ์สำคญั ของนครไตรตรงึ ษ์ มนี ทิ านเลา่
กันมาวา่ เจา้ เมืองไตรตรงึ ษ์ มีพระธดิ าสริ โิ สภาองคห์ น่งึ ซง่ึ เปน็ ทร่ี กั ใคร่ดงั ดวงแก้วตาทรงพระนามว่า นาง
อุษา ทใ่ี กลเ้ มืองไตรตรงึ ษ์นม้ี ชี ายคนหนงึ่ ซ่งึ รา่ งกายเต็มไป ด้วยปมุ่ ปม ชาวบ้านเรียกเขาว่า นายแสนปม มี
อาชพี ปลกู ผักสวนครัวขายเลี้ยงตวั มะเขอื ทเ่ี ขาปลกู เอาไว้ตน้ หน่ึงมผี ลโตน่ากนิ เพราะ นายแสนปมถ่ายปสั สาวะ
รดเป็นประจำ อยมู่ าวันหนงึ่ เทวดาดลใจใหพ้ ระธดิ านึกอยากเสวยมะเขอื พวกนางข้าหลวงจึงออกเสาะหาจน
มาพบมะเขอื ในสวนของนายแสนปมลกู ใหญอ่ วบจงึ ขอซื้อไปถวาย หลงั จากพระราชธิดาเสวยมะเขือของนาย
แสนปมไดไ้ ม่นานกเ็ กดิ ต้ังครรภ์ข้ึน ทา้ วไตรตรงึ ษร์ สู้ ึกอบั อายขายหนา้ พยายามสอบถามอยา่ งไรพระธิดาก็ไม่
ยอมบอกวา่ ใครคอื พ่อของเด็กในทอ้ ง คร้นั เมอ่ื พระกมุ ารได้เตบิ โตพอรู้ความ ทา้ วไตรตรงึ ษจ์ งึ ประกาศใหบ้ รรดา
ขนุ นางและเหล่าราษฎร์ทง้ั หลายใหน้ ำของกินเข้ามาในวงั หากพระกมุ ารยอมกนิ ของผ้ใู ดผู้น้ันจะไดเ้ ป็นเขย
หลวง บรรดาชายหนมุ่ ในเมอื งต่างกร็ บี เดนิ ทางเข้าวงั พรอ้ มของกนิ ดๆี นายแสนปมทราบขา่ วกเ็ ข้าวังมาดว้ ย
เช่นกัน โดยถือเพียงข้าวสกุ ติดมือมาก้อนเดียว แตพ่ ระกมุ ารรับไปเสวย ทา้ วไตรตรงึ ษ์ทรงกริว้ ที่พระธดิ าไปได้
กับคนชน้ั ไพร่ มิหนำซ้ำยงั อปั ลักษณจ์ งึ ขบั ไลอ่ อกจากวงั นายแสนปมพาพระธดิ ากบั พระกุมารเดินทางเข้าไปหา
ท่อี ย่ใู หม่ รอ้ นถึงพระอนิ ทร์ต้องแปลงเปน็ ลงิ นำกลองวเิ ศษมามอบให้ กลองนอี้ ยากไดอ้ ะไรกต็ เี อาตามไดด้ ัง
สารพัดนกึ นายแสนปมอธิษฐานใหป้ ุ่มปมตามตวั หายไปแลว้ ตกี ลองวเิ ศษ ร่างกก็ ลบั เป็นชายรปู งาม จงึ ตีกลอง
ขอบา้ นเมอื งขน้ึ มาเมอื งหนง่ึ ใหช้ ่ือ ว่า เมอื งเทพนคร และสถาปนาตวั เองเป็นพระเจ้าแผ่นดนิ ทรงพระนามวา่
ท้าวแสนปม ปกครองไพร่ฟา้ ดว้ ยความสงบสขุ และเชอ่ื กนั วา่ ราชโอรสของทา้ วแสนปมคอื พระเจ้าอทู่ อง
กษัตรยิ ์ผู้กอ่ ต้ังกรุงศรอี ยุธยา จงึ ทำให้ชอ่ื เสียงของทา้ วแสนปมดังไปทว่ั ประเทศ จนกระทงั่ พระบาทสมเด็จพระ
มงกฎุ เกลา้ นำไปพระราชนพิ นธ์ เรอ่ื ง ทา้ วแสนปม ทำให้คนทง้ั ประเทศรจู้ ักท้าวแสนปมมากขน้ึ
เม่ือในหลวงรชั กาลที่ ๖ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวเม่ือเสด็จกลบั มาถงึ ที่พระราชวงั
สนามจนั ทร์ ในปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖ และไดม้ กี ารจดั พมิ พเ์ ผยแพร่ในปเี ดียวกนั นำไปแตง่ เป็นบทละคร เรอ่ื งน้ี
จงึ ไดแ้ พรห่ ลายออกไปยงั บรรดานักปราชญร์ าชบัณฑติ ผรู้ ู้ ผคู้ งแก่เรียน และผูไ้ ดร้ บั การศึกษาทง้ั หลาย มกี าร
เลา่ ขานสบื ต่อกันไปในวงกวา้ งระดบั ประเทศ จนกลายเป็นเร่ืองทอี่ ย่ใู นบรรดาเรือ่ งเลา่ พ้ืนบ้านไทยทก่ี ลายเป็น
นทิ านอมตะ เปน็ ฉากหลังของความเป็นไทยทสี่ ง่ั สมสบื ทอดกนั ต่อมาชา้ นาน
27
ตำนานเมอื งสามพราน (นครปฐม)
มีตำนานเล่าต่อกันมาวา่ เดิมท้องทเ่ี หลา่ นีเ้ ป็นป่ารกชัฏ เป็นท่อี ยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด รวมทง้ั
เปน็ ทชี่ ุมนมุ ของช้างโขลงใหญ่ด้วย ช้างโขลงนชี้ อบลงมาหากนิ และเหยียบยำ่ จนเสน้ ทางกลายเป็นทางน้ำและ
ลำคลอง จนในทสี่ ุดชาวบา้ นในสมยั น้นั ได้เรยี กกันว่า "คลองบางช้าง" และในบรเิ วณน้นั กไ็ ดก้ ลายเป็นชอ่ื เรียก
ตำบลมาจนถงึ ปจั จบุ ันน้ี คือ "ตำบลบางช้าง" สำหรบั โขลงชา้ งท่หี ากินในบรเิ วณเขตบางชา้ งนัน้ หวั หน้าโขลง
ช้างเกดิ ตกมนั ดุรา้ ยมาก และไดส้ รา้ งความเสียหายโดยออกอาละวาดทำลายพชื ผลของชาวบา้ นจนชาวบา้ น
ทนไมไ่ หว ไดร้ ว่ มมอื กนั ปราบเจ้าช้างตกมนั เชอื กนน้ั แต่ทวา่ ช้างตกมันเชือกนม้ี กี ำลงั เหลอื หลาย ชาวบ้านไม่
สามารถปราบได้ถึงแม้จะพยายามสกั เพียงใด ในขณะน้ันไดม้ นี ายพรานสามคนเดินทางมายังคลองปากลัด
(ปัจจุบันเรยี กวา่ "วัดท่าขา้ ม") ซ่งึ อยู่ไม่ไกลจากเขตตำบลบางช้างมากนัก นายพรานสามคนไดเ้ ดนิ ทางลดั คลอง
ท่านาไปยังบรเิ วณท่ีโขลงช้างน้นั อาศยั อยู่ นายพรานท้งั สามเปรยี บเสมอื นอศั วนิ ม้าขาวของชาวบ้านคลองบาง
ช้าง ได้ทำการปราบช้างตกมนั เชอื กน้นั โดยใช้ความเชยี่ วชาญและความสามัคคี จนในท่สี ุดกส็ ามารถปราบช้าง
ตกมนั ได้สำเร็จ ชาวบ้านจงึ ได้เรียกบรเิ วณทน่ี ายพรานทง้ั สามปราบชา้ งไดส้ ำเรจ็ ว่า "สามพราน" ซงึ่ ในปจั จบุ ัน
เรียกว่า "ตำบลสามพราน"
28
กกลล้งิ้ิงหหนิินชชงิงิ นนาางง ((นนคครรสสววรรรรคค)์)์
กลิ้งหนิ ชงิ นาง เปน็ นทิ านทเ่ี ลา่ สกู่ นั ฟงั ในทอ้ งถ่ิน ซง่ึ อธิบายความเปน็ มาของกอ้ นหินขนาดใหญ่ 2 ก้อน ทอี่ ยกู่ ลาง
ทุง่ นาในหมบู่ ้านเขาหินกลงิ้ ตำบลวงั นำ้ ลดั อำเภอไพศาลี จงั หวัดนครสวรรค์ เนือ้ เร่ืองมอี ยูว่ ่า นานมาแล้วมีเมืองอยู่
3 เมือง คือ เมืองไผส่ าลี เมอื งจำคา และเมอื งปจั จนั ตคาม ซงึ่ ทง้ั สามเมอื งนม้ี อี าณาเขตตดิ ต่อกนั โดยเมืองไผส่ าลีอยู่ตรง
กลาง เมืองจำคาอยูท่ างดา้ นทศิ ตะวันตก และเมอื งปจั จนั ตคามอย่ทู างทิศตะวนั ออก ทา้ วไพศาลปกครองเมอื งไผส่ าลี มี
มเหสีชื่อว่า สรอ้ ยจำปา และพระธดิ าชอื่ สรอ้ ยลดั ดา ซง่ึ มีพระสริ โิ ฉมงดงามมาก เมืองจำคามที า้ วปราสาทเงนิ ปกครอง มี
พระโอรสช่อื ปราสาททอง และเมืองปจั จนั ตคาม มีพระโอรสชื่อ จติ เกษม เจ้าชายทั้งสองเมอื งตา่ งกห็ มายปองพระธดิ า
สรอ้ ยลดั ดา แต่พระธิดาทรงมีใจผกู สมคั รรกั ใครก่ บั เจ้าชายประสาททอง ซ่งึ ท้าวไพศาลไมก่ ลา้ ตดั สนิ พระทยั ยกพระธิดา
ให้แกเ่ จ้าชายองคใ์ ด เนื่องจากเกรงว่าจะเกดิ ศกึ ชงิ นางกนั ข้ึน ในทสี่ ุดจงึ ไดม้ ีการตกลงแขง่ ขันกลงิ้ หนิ กันขน้ึ ระหวา่ ง
เมืองปจั จนั ตคามและเมอื งจำคา โดยกำหนดกตกิ าให้กลง้ิ หนิ ออกจากเมอื งของตน ใหถ้ งึ หลักชยั ทอ่ี ยู่กงึ่ กลางเมอื งท้งั สอง
หากฝ่ายใดกลิง้ หนิ มาถงึ หลักชยั ก่อน กใ็ หไ้ ปลนั่ ฆอ้ งทห่ี ลักชยั จึงจะเป็นผู้ชนะและไดพ้ ระธดิ าสรอ้ ยลดั ดาไปครองคู่
เมื่อถงึ กำหนดนัดหมาย ทง้ั สองเมืองตา่ งกล็ งมอื กลง้ิ หนิ เพ่ือใหม้ าถงึ หลกั ชัยกอ่ นอกี ฝ่ายหน่ึง ทางเมอื งจำคาน้ัน
กล้งิ หินมาถึงหลกั ชยั กอ่ น พากนั ดีใจโหร่ อ้ งฉลองชัยชนะ และยกข้าวปลาอาหารพรอ้ มทัง้ สรุ ามาเล้ียงกันอยา่ งเต็มท่ี จนลมื
ไปลน่ั ฆ้องท่หี ลักชยั ตามกตกิ าทีก่ ำหนดไว้ ครัน้ เมอ่ื เมืองปัจจันตคามกลง้ิ หินมาถงึ หลักชยั ก็ตรงไปลน่ั ฆอ้ ง 3 ลา จึงเป็น
ฝา่ ยชนะไป และเจ้าชายจติ เกษมก็ได้ครอบครองพระธิดาสรอ้ ยลดั ดา เจา้ ชายปราสาททองจำต้องยอมรับในความพ่ายแพ้
ของตน จึงยกทพั กลบั เมืองจำคาไปด้วยความโศกเศร้าเสยี พระทัย ฝา่ ยพระธดิ าสรอ้ ยลัดดากเ็ ศร้าโศกเสียพระทัยเชน่ กนั ที่
ต้องอภเิ ษกกบั ผทู้ ตี่ นไม่ไดร้ ักใคร่ ไม่ว่าใครจะปลอบประโลมอย่างไร ก็ไมท่ รงหายจากความโศกเศร้า เจา้ ชายจติ เกษมจงึ ได้
ออกอบุ ายโดยส่งคนไปสร้างแทน่ หนิ บนยอดเขาลกู หนง่ึ ตอนรุ่งเชา้ จงึ ไดพ้ าพระธิดาสรอ้ ยลดั ดาขึน้ ไปบนแทน่ หินนน้ั และ
ทรงปลอบประโลมนางตา่ งๆ นานา กไ็ ม่ประสบผลสำเรจ็ เขาลูกนั้นจงึ ไดช้ ื่อวา่ "เขาโลมนาง"เจ้าชายจติ เกษมจึงได้พา
พระธดิ าสร้อยลดั ดาข้ึนช้างลงมาจากเขา เมื่อเดินทางมาถงึ ลำห้วยด้วนๆ แห่งหนง่ึ ซ่ึงเรียกกนั วา่ "ตะกุด" นางจึงได้ตกลง
ปลงใจรบั รกั เจา้ ชาย หว้ ยนี้จงึ ไดช้ อ่ื ว่า "ตะกดุ นางยอม" ในปจั จบุ ันเปน็ หมบู่ ้านชื่อวา่ ตะกุดพะยอม เจ้าชายจิตเกษมและ
พระธดิ าสร้อยลดั ดาจึงได้ครองคู่กันอยา่ งมีความสขุ จนตราบช่ัวอายขุ ัยบรเิ วณทเี่ ปน็ หลกั ชยั กลง้ิ หนิ น้นั ในปจั จบุ นั มกี อ้ นหนิ
กลมใหญ่ ๒ ก้อน ขนาดเท่าๆ กนั อยู่กลางทงุ่ นา ณ บ้านเขาหนิ กลง้ิ ตำบลวังน้ำลัด อำเภอไพศาลี เมืองไผ่สาลกี ็คอื บา้ น
หนองไผ่ อำเภอไพศาลี เมืองจำคากค็ ือ บา้ นดอนคา อำเภอท่าตะโก และเมืองปจั จันตคามก็คือ บา้ นเขาชา้ งฟุบ อำเภอ
ไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ นั่นเอง
29
กลองเปน็ เหตุ (นครสวรรค์)
ณ เมืองหนง่ึ มชี ายคนหนึง่ มฝี มี อื ในการตีกลองได้อยา่ งยอดเยย่ี มที่สุด ไมม่ ใี ครมฝี มี อื เทียบเท่าได้ คอื ตี
กลองไดท้ งั้ จงั หวะและความไพเราะทุกๆวัน ชายตีกลองผูน้ ้จี ะออกไปตีกลองตามสถานที่ตา่ งๆ เพอื่ แลกกบั เงิน
ที่ผู้ชมมาบรจิ าคให้แกเ่ ขาด้วยความเตม็ ใจ เพราะชอบในฝมี อื การตีกลองของเขา เขาจงึ มเี งนิ เล้ียงครอบครัวได้
อยา่ งไม่เดอื ดรอ้ นชายผู้น้ีมบี ุตรชายคนหนงึ่ กำลังอย่ใู นวัยรุ่น และเขากไ็ ด้สอนให้ลกู ชายของเขาฝกึ ตกี ลองเปน็
จังหวะต่างๆ จนไดค้ รบทกุ จงั หวะ เรียกได้วา่ ฝีมอื ใกล้เคียงกบั พอ่ มากทีเดียว ฉะน้ัน เมื่อไปตกี ลองทีไ่ หนสองพ่อ
ลูกน้กี จ็ ะตกี ลองสลบั สอดรบั กันไปมา ทำให้เสียงกลองเร้าใจผฟู้ งั มากย่งิ ขน้ึ วันหนงึ่ มีงานนกั ขตั ฤกษใ์ นเมอื ง ผู้
เป็นพอ่ จึงพูดกับลูกว่า
"ลูกเอย๊ วันน้มี งี านในเมอื ง คนคงมาเท่ยี วงานกนั มาก เราไปตีกลองหาเงินกันไหมลกู "
"ไปซพิ อ่ ผมกค็ ดิ จะชวนพ่ออยเู่ หมอื นกนั เราอาจไดเ้ งินเป็นจำนวนมากไ็ ด"้ ลูกชายตอบ
"เอา้ งั้นรบี เตรียมตวั ออกเดนิ ทางเลย" พ่อบอกลูกชายทง้ั สองพ่อลูกรบี เดนิ ทางเขา้ ไปในเมืองทนั ที เม่อื ถงึ
สถานท่จี ัดงานแล้วก็เลือกหาที่แสดง ช่วยกนั ต้ังกลองเสร็จแลว้ ท้งั สองพอ่ ลกู กเ็ รม่ิ บรรเลงกลองขนึ้ ผู้คนที่มา
เทยี่ วงาน เม่อื ได้ยินเสียงกลองต่างก็พากนั มายนื ชมการตกี ลองของทงั้ สองพอ่ ลูกอย่างพออกพอใจ พร้อมทัง้ ได้
บรจิ าคเงินใหแ้ ก่สองพ่อลกู นั้นเปน็ จำนวนมากพองานเลกิ กด็ กึ มากแลว้ คร้ันจะอยคู่ ้างคนื ทน่ี ่ี วนั พรงุ่ น้ีก็จะต้อง
ไปตีกลองทเ่ี มอื งอ่นื อีก เกรงวา่ จะไปไมท่ ัน ฉะน้นั สองพอ่ ลกู จงึ ชว่ ยกันเกบ็ ข้าวของพร้อมเกบ็ เงนิ ใส่ถงุ ย่ามรบี
เดนิ ทางกลับบ้านทนั ทีเผอญิ ทางทเี่ ดินกลบั บา้ นนน้ั เปน็ ทางเปล่ยี ว มีโจรคอยดกั จ้ปี ล้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาอยู่
เสมอ เมือ่ เดินทางมาไดส้ ักพกั พอ่ จงึ บอกแกล่ กู ชายวา่
"ลูกเอ๊ย ทางทเ่ี ราจะตอ้ งเดินผา่ นไปนี่เปน็ ทางเปล่ยี วมโี จรผรู้ ้ายชุกชุมมาก เพื่อป้องกนั ไมใ่ หโ้ จรมาปล้นเรา
พ่อขอใหเ้ จ้าตกี ลองเปน็ จงั หวะการเดินทัพนะลกู นะ " ทำไมจะต้องตกี ลองเป็นจงั หวะการเดินทพั ด้วยเล่าพ่อ
มนั ไม่เห็นจะเกยี่ วกนั เลย" ลกู ชายถามดว้ ยความสงสัย "เกี่ยวสลิ กู ทำไมไมเ่ กยี่ วละ เพราะถ้าโจรมนั ไดย้ นิ เสียง
กลองในจังหวะการเดนิ ทพั มันก็จะกลวั จะพากนั หนไี ปหมด และมนั ก็จะไมม่ าปล้นเราไงลูก" พอ่ อธบิ าย "ครบั
ง้นั ผมก็จะตกี ลองเป็นจงั หวะการเดินทัพเลยนะพ่อ" ลกู ชายรบั คำเม่อื โจรได้ยนิ เสยี งกลองตเี ปน็ จังหวะการ
เดินทัพ มันคดิ วา่ เป็นกระบวนทพั ของพระราชากำลงั ยกมา มนั จึงพากันวิง่ หนไี ปอย่างไม่คิดชวี ติ ว่ิงไปไดส้ ักพัก
หน่งึ กห็ ยุดพักเหนอื่ ยอยูก่ ลางปา่ ฝ่ายลูกชายเมอื่ ตกี ลองจงั หวะยกทัพไปไดส้ กั พักหน่ึงกเ็ กิดนกึ สนกุ ขึ้นมา เขา
จึงเปลยี่ นจังหวะการตีกลองเป็นจงั หวะอน่ื ๆ หลายๆ จงั หวะ เท่าท่ีเขาตีได้สลับกันไปมาอยา่ งคกึ คะนอง โดยไม่
ปฏิบัติตามคำทพี่ ่อสงั่ พ่อจะห้ามอย่างไรก็ไมฟ่ งั ยงั คงตีกลองอยา่ งนน้ั เรอื่ ยไป
30
ฝ่ายนายโจรน่งั พกั อยู่กบั ลกู นอ้ งได้ยนิ เสียงตกี ลองเป็นจงั หวะตา่ ง ๆ สลบั กัน ไม่ใชจ่ งั หวะการเดนิ ทพั จงึ กลา่ ว
แก่ลูกสมุนว่า "เฮย้ เราถูกหลอกเสียแลว้ มง่ั เนี๊ยะ พวกเอ็งลองฟังเสียงกลองสิ มันไมไ่ ดต้ เี ป็นจังหวะการ
เดินทัพน่ี แต่มนั ตเี ปน็ จงั หวะต่าง ๆ สลบั กนั ขา้ ว่าคงเป็นฝีมอื ของสองพ่อลูกทอี่ อกไปตกี ลองหาเงนิ แล้ว
เดนิ ทางกลับบ้านเสยี มากกวา่ " "งนั้ เราจะทำอย่างไรดลี ะนาย" ลูกสมุนโจรถาม "เอายงั งก้ี ็แลว้ กนั พวกเรารบี วงิ่
ตามเสียงกลองนั้นไป เพอ่ื ดวู า่ ใครกันแนท่ ต่ี ีกลองนัน้ ถา้ เป็นสองพอ่ ลกู นน้ั เราก็ไดจ้ ะปล้นมันเสียเลย"แลว้ นาย
โจรและลกู สมนุ ต่างกว็ ง่ิ ตามเสียงกลองน้ัน เม่ือไปทนั เห็นสองพอ่ ลกู กำลงั เดินกันอยู่ นายโจรจงึ ตะโกนไป
ว่า "หยดุ แล้วสง่ เงินท้ังหมดมาให้ข้าเดีย๋ วน้ี มฉิ ะนน้ั แกสองคนพ่อลกู จะตอ้ งตาย" "อย่าทำรา้ ยขา้ ทง้ั สองคน
เลย ข้ากลวั แล้ว เอ้า เอาเงนิ ไป" ชายผูเ้ ป็นพ่อพูดดว้ ยเสยี งสน่ั เครอื พรอ้ มทงั้ สง่ ถุงย่ามท่ีใสเ่ งนิ ให้แก่นายโจร
นายโจรรบั ถุงย่ามมาตรวจดู เห็นมเี งินเป็นจำนวนมากก็ดใี จ และพดู ว่า "แกสองคนพ่อลกู ไปไดแ้ ล้ว และรบี ไป
เร็วๆ ดว้ ย อยา่ ให้ข้าเหน็ หน้าอีก รีบไปเลยไป"สองพ่อลูกตา่ งพากนั รบี เดินกลบั บา้ นดว้ ยความเสียใจแลว้ พ่อก็
เอ่ยปากพดู กับลกู ว่า "ลูกเอย๋ น่ีถา้ เจา้ เชือ่ ฟงั พอ่ เร่อื งอย่างน้คี งไม่เกิดข้นึ พอ่ ขอบอกเจ้าวา่ ต้ังแต่น้ไี ปเจ้าจง
เชื่อฟังคำสง่ั สอนของผหู้ ลักผู้ใหญ่ อย่าได้ด้อื รัน้ อย่างน้อี กี คร้งั นี้ถือเป็นบทเรียนท่ีควรจดจำ" "ครบั พอ่ ผมผิดไป
แลว้ ผมขอสญั ญาว่า ต่อไปน้ผี มจะเช่ือฟงั คำสง่ั สอนของพอ่ แม่และผหู้ ลักผูใ้ หญท่ กุ คน" ลกู ชายสารภาพผดิ
พร้อมท้งั ใหส้ ัญญา
31
ปรัมปราทีม่ าเกาะเกร็ด (นนทบรุ ี)
ในสมัยโบราณก่อนพทุ ธกาล ได้มีมจั ฉาชื่อว่าติวานนท์ มหึมาเกเรตวั หน่งึ เป็นจ้าวปกครองผนื น้ำด้วย
ความเกเรของเจ้ามจั ฉาตวั นท้ี ำให้เป็นทร่ี ังเกยี จและหวาดกลวั ของบรรดาสัตวต์ ่างๆรวมทงั้ มนุษยด์ ว้ ยทำให้
มัจฉาตวั นีห้ ยิ่งทะนงตัวเป็นยิ่งนกั จึงเที่ยวสรา้ งความเดือดรอ้ นไปท่ัว เหล่าบรรดาสัตวต์ ่างๆรวมทง้ั มนุษยจ์ ึงไป
ฟ้องพระอนิ ทรเ์ มื่อพระอินทรร์ เู้ รอ่ื งจึงสง่ ยกั ษ์ ชอื่ นนทบรุ ี(ญาตหิ า่ งๆนนทกุ )มาปราบ การตอ่ สรู้ ะหว่างตวิ า
นนทก์ บั นนทบรุ กี นิ เวลา7เดือน7วันก็ยังไมร่ ้ผู ล ตา่ งคนก็เหนด็ เหนอ่ื ยเตม็ ทีพระอินทรท์ เี่ ฝา้ ดูการต่อสู้อยเู่ หน็ วา่
ถ้าเปน็ แบบนคี้ งจะปราบไม่ได้สักที จงึ จำแลงแปลงกายลงมาเปน็ หญิงสาวชอ่ื นวลฉวี มาทำทเี ลน่ นำ้ เม่อื เจ้า
มัจฉาตวิ านนทเ์ ห็นก็เกิดความชอบทันทจี ึงวา่ ยเข้าไปหาหมายจะทำเมีย นวลฉวกี ว็ ่ายน้ำหนีหลอกลอ่ เขา้ ไปใน
ดงนกยกั ษป์ กั ษี เม่ือเขา้ ไปถงึ ในดงนกยักษป์ ักษี เจ้าตวิ านนทก์ ็เสยี ที โดนนกยักษ์โฉบขึน้ ฟ้าไปเกล็ดหลุด
กระจายไปท่วั จนเกดิ เป็นเกาะนอ้ ยใหญม่ ากมาย หนงึ่ ในน้ันกค็ ือเกาะเกรด็ สว่ นยกั ษ์ช่ือนนทบุรี ก็ได้ปกครอง
นคร เปน็ ทมี่ าจังหวดั นนทบรุ ีนั่นเอง
32
สัตวท์ ัง้ สี่ (นนทบุร)ี
ในอดตี กาล สมัยพระพทุ ธเจ้าชือ่ “ตณั หังกรโน้น” มปี ่าใหญแ่ ห่งหนง่ึ ชอื่ วา่ “ป่าชัญญวนา” มีภเู ขา
ใหญ่เทือกหนง่ึ ชื่อวา่ “วชิ ฌุบรรพต” มีแมน่ ้ำใหญช่ ื่อวา่ “ทสั สนะสาคร” ในป่าใหญ่แหง่ นน้ั มชี ้างโขลงใหญ่
จำนวน ๕๕ เชอื ก ณ ชายป่าใหญแ่ หง่ น้ันมกี บฝงู ใหญ่ จำนวน ๕๐๐ ตวั ในแมน่ ้ำใหญท่ ัสสนะสาครมปี ฝู งู ใหญ่
จำนวน ๕๐๐ ตวั แถบเชงิ เขาใหญ่แหง่ นน้ั มงี ูอาศัยอยู่อกี ๕๐๐ ตัว บนยอดเขาใหญ่ “วิชฌุบรรพต” มคี รฑุ ฝงู
ใหญพ่ กั อาศัยอยู่ จำนวน ๕๐๐ ตัว มพี ระโพธสิ ตั วเ์ ป็นพญาครฑุ ปกครองครฑุ ทงั้ หลายฝงู นัน้ ตอ่ มาวันหนึง่
โขลงชา้ งทงั้ ๕๐๐ ตัว ได้พากันไปเลน่ น้ำท่แี ม่นำ้ ปู ๕๐๐ ตวั ซึง่ อาศัยอยใู่ นแมน่ ้ำแหง่ นัน้ กจ็ บั กนิ ช้างโขลงน้ัน
เสียหมด รอดชวี ิตแต่นางพญาชา้ งเชอื กเดียว ซึ่งมที อ้ งแกค่ รบกำหนดคลอดที่ไมส่ ามารถเดินทางร่วมไปกบั โขลง
ได้ คลอดลกู ออกมาเชือกหนึง่ แม่ชา้ งกไ็ ดเ้ ลย้ี งดกู ันต่อมา เมอื่ ปู ๕๐๐ ตวั กินช้าง เสยี หมดแล้ว ปูฝงู นน้ั ก็ไม่
สามารถหาอาหารอะไรมากินอีก จึงพากนั ขึน้ จากแมน่ ้ำ ขึ้นบนฝง่ั เพื่อหาอาหารกนิ ฝา่ ยกบ๕๐๐ตวั ทอ่ี ยู่บนฝั่ง
เหน็ ปูขนึ้ จากแมน่ ้ำกจ็ ับกินเปน็ อาหารหมดสิ้นเว้นแต่นางพญาปตู ัวหนึ่งทอ้ งแก่
ไม่สามารถขนึ้ มาบนฝงั่ ไดแ้ ละได้คลอดลูกออกมาหนึง่ ตัว เมอ่ื กบ ๕๐๐ ตัว ฝงู น้นั กนิ ปูหมดแล้ว ก็ไม่มอี าหาร
อะไรในท่แี หง่ นนั้ กนิ อีก กบจงึ พากนั ไปหาอาหารกนิ แถบเชิงภเู ขาลกู นั้น งู ๕๐๐ ตวั เห็นอาหารประเหมาะถึง
ปากจงึ จบั กบฝงู นนั้ กินเสียหมด เหลือนางพญากบตัวหนึง่ รอดชวี ติ ไม่ได้ไปเพราะคลอดลกู กบออกมาตัวหนง่ึ
ครนั้ เมอ่ื งูทงั้ หลายกนิ กบหมดแล้วก็ไม่มอี าหารอะไรใหก้ นิ อีก จงึ พากันออกไปหาอาหารกนิ เชิงภูเขา ครุฑทั้งฝงู
ทีอ่ ยู่บนยอดเขาแหง่ น้ันเหน็ งกู ็โผบนิ ลงมาจับงกู นิ เสียสิ้น เวน้ นางพญางตู ัวเดียวคลอดลกู อยู่ ไปไมไ่ ด้ จงึ รอด
จากความตายลูกชา้ ง ลกู ปู ลกู กบและลูกงู สัตว์ทง้ั สน่ี ้ผี เู้ ปน็ นางพญาต่างๆก็หมั่นพร่ำสอนลกู ของตนอยู่เป็น
ประจำทุกเมือ่ เชอื่ วนั “ลกู เอย เจา้ อยา่ ได้ทอ่ งเทยี่ วไปยงั สถานท่ี ภูมปิ ระเทศนนั้ ๆ นะลูก เพราะมศี ัตรคู อย
จอ้ งปองร้ายจบั กนิ พวกพอ่ แมพ่ ่ีน้อง และบรวิ ารเราทง้ั หลายถกู มันจับกินไปหมดแลว้ ขอลกู จงอยา่ ไปเล่นหลกี
เร้นไปใหไ้ กลในแห่งนนั้ นะลูก” ข้อความนแี้ มก่ ไ็ มเ่ ว้นสงั่ สอนลูกตนตลอดเวลา ต่อมามิชา้ มินาน ลูกสัตวท์ ้ังส่ตี วั
ก็เจริญวัยเตบิ โตข้ึนมพี ละกำลงั วงั ชากลา้ แขง็ เตม็ ตัว ต่างคิดกำเรบิ เหมือน ๆ กันวา่ “ที่แมข่ องเราห้ามเรานัน้
เพราะในสถานทนี่ นั้ มีขา้ ศกึ ศัตรเู รา เราจงึ อยากไปพบเห็นศตั รูตวั น้นั แท้ ๆ”
จงึ ฝ่าฝนื คำสง่ั สอนแม่ขัดใจแม่ ออกไปทอ่ งเที่ยวเลน่ สถานทแ่ี หง่ น้ัน ในบรรดาลกู สตั ว์ทงั้ สี่ มลี ูกชา้ งลงไปเล่นท่ี
แม่นำ้ ลกู ปฝู นื คำส่ังสอนของแมข่ ้นึ ไปทอ่ งเทยี่ วเลน่ บนฝงั่ แมน่ ำ้ ลูกกบฝ่าฝนื คำส่ังสอนของแม่ออกจากใบไม้
ก่ิงไม้ ทซี่ ่อนตวั อยู่ ท่องเท่ยี วไปตามอำเภอใจ ฝา่ ยลกู งูกเ็ ช่นกันฝ่าฝนื คำส่ังสอนของแม่ท่องเทยี่ วข้นึ ไปบนยอด
ภูเขา ลกู ช้างทที่ อ่ งเทย่ี วไปเลน่ นำ้ นั้น ถูกลูกปเู อากา้ มหนบี เอาเทา้ ไว้ด้วยความแขง็ แกร่งรบี ลากลกู ช้างขึ้นบน
ฝงั่ ทงั้ ทหี่ นีบเทา้ อยู่ ครั้นลูกกบเหน็ เข้ากว็ ่ิงไลต่ ามลกู ปู ลกู ปตู กใจกลัวจึงปลอ่ ยลูกช้าง ลกู งเู หน็ ลูกกบวงิ่ ไลจ่ ะจบั
33
กนิ ลูกกบตกใจกลวั จงึ ปล่อยลกู ปูไป ครฑุ ท่ีอยบู่ นยอดเขามองไปเห็นลกู งู จงึ บินลงมาโฉบเฉ่ียวลกู งกู ิน ลูกงู
ตกใจกลัวครุฑจงึ ได้ปลอ่ ยลกู กบวง่ิ หนีเอาชวี ติ รอดไปได้ เหตทุ ่เี กิดขึ้นครงั้ น้ี เพราะลกู สตั วท์ ้งั สฝ่ี ่าฝืนคำสง่ั สอน
ของแม่ ไม่เช่อื ฟงั แมจ่ งึ ตอ้ งตกอยู่ในเงอ้ื มมือศัตรูถงึ กระนั้นกย็ ังไมเ่ ข็ดหลาบลำพองใจของลกู ทง้ั ส่ีตัวนัน่ เลย
ลกู ช้างมนั กล่าวว่า “แมน่ ้ำทเี่ ราลงเลน่ ปกู ็หนบี เทา้ เรา แต่ปถู ูกกบไลจ่ ับกนิ เรากพ็ น้ จากอันตราย ปคู งกลัวกบ
จนไมก่ ลา้ มาหนบี เท้าเราอีกแล้ว” ลกู ปกู ็กลา่ วทำนองเดยี วกนั ว่า “ในสถานท่เี ราทอ่ งเท่ยี วไปนน้ั มงี ู กบคงไม่
กลา้ มาอกี แลว้ ” ลกู กบกล่าวว่า “ในสถานทเี่ ราทอ่ งเที่ยวไปนั้นมีครฑุ อยู่ งหู รือจะกล้ามาอกี ” ลกู งูกลา่ ววา่ “ใน
สถานที่เราทอ่ งเท่ียวไปนน้ั ครฑุ หรือจะมาได้ทกุ ๆวัน” เมื่อเป็นอย่างวา่ สถานทีน่ นั้ กไ็ ปได้เสมอลกู สัตวท์ ง้ั ส่ี
ลำพองใจ จงึ ไปสถานที่นน้ั ๆอีก ครน้ั ลูกชา้ งไปถงึ แม่น้ำ ก็มีความกลวั เกรงจงึ เพียงเอาแต่งวงแกว่งนำ้ เล่นก่อน
ในขณะน้นั เอง ลูกปกู ห็ นีบได้งวงลูกช้างลากจงู ข้ึนไปบนฝั่ง ลกู ปกู ็กินลกู ชา้ ง เป็นอาหารบนฝ่งั นนั้ เมอ่ื ลูกชา้ ง
เขา้ ไปในทอ้ งแลว้ เกิดหนกั ท้อง หนกั ตัว ลกู ปูวง่ิ ได้ไมร่ วดเรว็ ลกู กบเหน็ ลกู ปกู ็กระโดดมาจบั ลูกปกู นิ ท้ังช้างทงั้
ปเู ข้าไปอยใู่ นทอ้ ง ลกู กบหนักตวั มาก ลกู กบกระโดดไปไมไ่ หว ฝ่ายลูกงเู หน็ ลูกกบ จับลูกกบกินเสียอีกตอ่ หนงึ่
อกี เม่ือทงั้ ช้าง ปู กบ เข้าไปอยใู่ นท้อง ลูกงมู ีน้ำหนักมากเหลอื กำลงั ทจี่ ะเล้ือยตอ่ ไปได้ ครฑุ เห็นโอกาสเหมาะ
โฉบเฉ่ยี วเอาไปกินทง้ั หมดเลยจากเรื่องราวทเี่ ลา่ มาทง้ั หมดนนั้ เพอื่ ประโยชน์อะไร เพราะเหตทุ ส่ี ัตวท์ ั้งส่ี มี
ความโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำจิตใจ ไมเ่ ชอื่ ทง้ั คำสง่ั สอนของแม่ จงึ ตอ้ งตกเป็นอาหารครุฑมใิ ชห่ รอื บุคคลใน
โลกน้ี บดิ ามารดาก่อทุกข์ยากเสียหายใหก้ บั บตุ รธดิ านั้นไมป่ ู่ ยา่ ตา ยาย สรา้ งความทุกขค์ วามลำบากเสียหาย
ใหแ้ ก่ลกู หลานนน้ั ไม่มี พระอุปชั ฌาย์ อาจารย์ ให้ความทุกขเ์ ขญ็ แกศ่ ิษยานุศิษย์ไมม่ ี กัลยาณมิตรหรือบัณฑิตที่
แนะนำสั่งสอนเราใหไ้ ด้ดคี ดิ ท่จี ะใหค้ วามทกุ ขเ์ สียหายก็ไม่มมี ีแตเ่ จตนามงุ่ หวงั สร้างใหเ้ รามีแตค่ วามสขุ ความ
เจริญเท่าน้ัน บุคคลใดก็ตามผู้เปน็ บุตร ธดิ า ฝา่ ฝืนจิตใจ หรอื ไมเ่ ชอ่ื คำสง่ั สอนบดิ ามารดา ลกู หลาน เหลน ฝ่า
ฝืนจิตใจหรอื ไมเ่ ชอ่ื ฟงั คำสงั่ สอนของ ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกศษิ ย์ฝ่าฝนื จิตใจหรอื ไมเ่ ชอ่ื ฟังคำสั่งสอนของพระ
อปุ ัชฌาย์ อาจารย์ มิตรสหายไม่เชื่อฟังคำสง่ั สอนของกลั ยาณมิตรหรือบัณฑิต บุคคลเหลา่ นี้ มแี ตจ่ ะได้รับความ
ทุกข์ยาก เสยี หายแน่แทม้ ิใช่หรอื ตวั อย่างสัตวท์ ั้งส่ี ฝ่าฝนื ใจและไม่เชอ่ื ฟงั คำสง่ั สอนแมก่ ถ็ ึงตายในทสี่ ุด บิดา
มารดาท่านสงั่ สอนอยา่ งไรไม่ควรฝา่ ฝืนหรือต่อต้านละเมิดคำสง่ั ทา่ น เราปฏบิ ตั ิตามแลว้ ไซร้ ความสขุ สราญ
สดใส เราจะไดร้ ับอย่างแน่แทฯ้
สรา้ งโดย: คุณครสู มศรี บวั เกิด
34
ตำนานเมอื งสามโคก (ปทมุ ธานี)
ตามประวัติศาสตร์เมอื งสามโคก เป็นเมอื งเกา่ เมอื งหนึง่ ซง่ึ ตง้ั ชัน้ ข้ึนสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาตอนตน้ สันนิ
ฐานวา่ นา่ จะหลังรชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ เมืองนป้ี ระวัติเก่ยี วกับมอญเสียเปน็ สว่ นใหญเ่ พราะมอญที่
อพยพเข้ามาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภารแห่งพระเจ้าแผน่ ดินไทยแทบทกุ คราว โปรดใหม้ าอยู่ทบ่ี า้ นสามโคกใกล้
บริเวณวดั สงิ ห์ ซง่ึ บ้านสามโคกน้ตี ่อมาเรียก "เมอื งสามโคก" เพราะมจี ำนวนพลเมอื งหนาแน่นกว่าแตก่ อ่ น การ
ตั้งเมอื งสมัยกอ่ นถือเอาจำนวนพลเมอื งมากเป็นหลักคนเก่าเลา่ ใหผ้ ูเ้ ขยี นฟงั วา่ เมอื งสามโคก อย่ทู างตอนเหนือ
ของท่ีว่าการอำเภอสามโคกปจั จบุ ันแต่เป็นเมอื งรา้ งมานานแล้ว เพราะแตเ่ ดิมความเจริญเกิดขึ้นทางตอนเหนอื
ใกลก้ บั เมอื งหลวงคือ กรงุ ศรีอยธุ ยาเราจะสงั เกตเหน็ วา่ ของเกา่ ๆ เช่น หมอ้ ถ้วย ชาม อ่าง โอง่ กระถาง
เกา่ ๆ ที่นกั ประนำ้ งมได้จากแม่นำ้ เจา้ พระยา ส่วนมากจะไดท้ างตอนเหนอื ไปจนถึงทา้ ยเกาะเขตติดตอ่
อยุธยา นานมานติ ย์ เนอ่ื งรักษา บอกวา่ อยทู่ ว่ี ัดพญาเมอื ง (วดั ร้าง) ติดดา้ นใตข้ องวดั ป่างวิ้
โครงกำสรวลศรีปราชญ์ ในหนังสอื ชุมนมุ วรรณคดีไทยภาค ๑ หนา้ ๖๙ มบี ทหนง่ึ กล่าวถงึ เมอื งรา้ งจะเป็นเมือง
สามโคกใช่หรือไมก่ น็ ่าจะลองพจิ ารณาดู
จากเมอื งรอ่ นทง้ พญาเมือง
เมอื งเปล่าปลิวใจหาย นา่ นอ้ ง
จากมาเยย่ี มเปลอื ง อกเปลา่
อกเปล่าว่ายฟ้าร้อง รำ่ หารนหา
เม่ือเรือพมี่ าถงึ ทงุ่ พญาเมอื ง เมอื งนั้นกเ็ ปน็ เมืองร้าง ทำใหพ้ ใ่ี จหายวาบไปหมดเทียวน้องเอ๋ยย่งิ มาก็ยง่ิ
เปลอื งอกใจว้าเหว่ พีว่ ้าเหว่ยงิ่ ข้นึ เมอ่ื แลไปบนทอ้ งฟ้า รำ่ ไหห้ วนหาน้องอย่างรอ้ นรน ก็ไม่ไดพ้ บเหน็ นอ้ งเลย
ร่อน ลอยไป วนไป
ทงั้ พญาเมอื ง ช่อื ตำบลทงุ่ พญาเมอื ง (เดี๋ยวนเี้ รียกทงุ่ พญาบรรลอื )
เมอื ง ทต่ี ง้ั บ้านเรอื นของมนุษยอ์ นั อยูใ่ นขอบเขต (เมืองเปล่าหมายถงึ เมอื งว่างไมม่ ผี คู้ นหรอื เมอื งรา้ ง)
ปลิว ลอยไปตามลม ถกู ลมพดั
นา่ นอ้ ง นะนอ้ ง
เปลือง หมดไป เสียไป (เปลอื งอกหมายถึงยง่ิ มาก็ยงิ่ เปลืองกำลงั ใจ)
อก อัวยวะด้านหนา้ ระหวา่ งคอและทอ้ ง (ในทนี่ ห้ี มายถึงใจ)
เปลา่ ว่าง ว้าเหว่ อา้ งว้าง
ว่าย เคล่อื นไปในอากาศโดยใช้อวัยวะ (ในทน่ี ห้ี มายถงึ แลกวาดไปในทอ้ งฟ้า)
35
ขอ้ ความตอนหนึง่ นายตำรา ณ เมืองใต้ กลา่ งถงึ เมืองสามโคกอยทู่ ้ายวดั ไกเ่ ต้ียความวา่ "ตำบล
สำโรง" ตำบลบางพูด ต้งั อยฝู่ ่งั แมน่ ้ำเจ้าพระยา ซงึ่ ตอนนน้ั ไมใ่ ช่แมน่ ำ้ เดมิ แตเ่ ป็นแมน่ ้ำท่ีขุดข้ึนใหม่ในแผน่ ดนิ
สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม เมื่อจลุ ศักราช ๙๗๐ (พ.ศ. ๒๑๕๑) ครั้นขุดคลองลัดรมิ วดั ไก่เตี้ยทา้ ยบ้านสามโคก เรม่ิ
แตป่ ากคลองลาดพร้าวลงมาจนถงึ ปากคลองบางหลวงเชียงราก ซง่ึ ไดก้ ลายเป็นแม่นำ้ เจา้ พระยาไปแลว้ สว่ น
แม่นำ้ เดิมกลายเป็นคลองไป" "เมืองสามโคก เข้าใจว่าจะเปน็ เมืองนอ้ ยของเมืองทวายอยู่ทะเลหน้านอก ฝงั่ อ่าว
มะตะบนั หรือเมืองทวาย ในรัชกาลสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๘ ทรงแบ่งใหเ้ ป็นเมอื งขนึ้ ของสมหุ ก
ลาโหม (พระราชกฤษฎกี าให้ใชต้ รา) และคงมชี ื่อเมอื งสามโคก เปน็ เมืองขึ้นสมหุ กลาโหมอยรู่ ชั กาลท่ี ๑ แห่ง
กรงุ รัตนโกสินทร์ (พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ร.๑) เมอ่ื เสยี งเมืองทวาย สมหุ กลาโหมตายในท่ีราบใน
ปี พ.ศ. ๒๓๓๖ แลว้ เมืองน้จี งึ ปรากฎช่อื เรยี กวา่ เมอื ง เร หรอื เย เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๐๔ มอญเป็นกบฎเผาเมอื งเมาะ
ตะมะ หนเี ข้ามากรงุ ศรอี ยุธยา สมเด็จพระนารายณม์ หาราช โปรดใหร้ บั เข้าทางเมืองกาญจนบรุ ี แลว้ ใหอ้ ยู่ท่ี
สามโคกและที่อ่ืน พวกทอี่ ยู่สามโคกคงจะเปน็ มอญน้ันอพยพลงมาด้วย สามโคกเมืองเดิมจึงมาเปน็ ชื่อสามโคก
เมอื งใหม่ ทวี่ ัดสงิ ห์ อำเภอสามโคก จงั หวัดปทมุ ธานี ณ ฝ่ังขวาลำแม่นำ้ เจ้าพระยาอกี แหง่ หนึ่ง" อยา่ งไรกต็ าม
คำว่า "สามโคก" จะเป็นโคกอะไรและอยู่ท่ีไหนกนั แน่ กล็ องอา่ นนริ าศเจา้ ฟ้าของสุนทรโวหาร (ภ)ู่ ทเี่ ก่ียวกับ
สามโคกดบู ้าง
"ขอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก
เป็นคำโลกสมมุตสิ ุดสงสยั
ถามบดิ าวา่ ท่านผเู้ ฒา่ ท่านกลา่ วไว้
วา่ ทา้ วไทพระอู่ทองเธอกองทรพั ย์
หวังจะไว้ใหป้ ระชาเป็นค่าจา้ ง
ดว้ ยจะสร้างบา้ นเมืองเครอื่ งประดบั
พอหากนิ ส้นิ บญุ ไปสญู ลบั
ทองก็กลบั กลายสิ้นเป็นดนิ แดง
จึงท่ีนม้ี ีนามว่าสามโคก
เป็นคำโลกสมมุตสิ ุดแถลง
ครั้นพระโกษฐ์โปรดปรานประทานแปลง
เป็นตำนานแหง่ มอญมาสามภิ กั ด๋ิ
ถา้ มาเปดิ หนงั สอื นิราศพระบาทของสนุ ทรภกู่ วเี อกของไทย ก็ใหเ้ ข้าใจว่า สามโคกน้ันอยเู่ หนอื บ้าน
กระแชง ใกลก้ บั บรเิ วณวดั สิงห์ในปัจจบุ นั นน่ั เอง ดงั คำถามกลอนมีว่า
ถึงบางหลวงทรวงรอ้ นดง่ั ศรปกั
ที่รา้ งรกั มาดว้ ยราชการหลวง
เมือ่ คดิ ไปใจหายเสยี ดายดวง
36
จนเรอื ล่วงมาถึงยา่ นบ้านกระแชง
ทเี่ รง่ เตือนเพ่อื นชายพายกระโชก
ถงึ สามโคกตอ้ งแดดยื่งแผดแสง
ให้รมุ่ รอ้ นออ่ นจิตระอิดแรง
เห็นมอญแตง่ ตัวเดนิ มาตามทาง
คนเกา่ ๆ ในเขตเมืองสามโคก ไดเ้ ล่าสบื ตอ่ กันมาหลายช่ัวอายคุ นว่า เมื่อกอ่ นหลายรอ้ ยปมี าแล้ว
กอ่ นท่ีจะเกดิ มเี มอื งสามโคกข้นึ นั้น ไดม้ ีพระเจ้าแผ่นดนิ องค์หนึง่ ไดพ้ าไพร่พลขนขา้ วของเงนิ ทองเขา้ มาพักอยู่ท่ี
บรเิ วณเมืองสามโคก พระเจา้ แผน่ ดินองค์น้มี นี ามว่าพระเจา้ อู่ทอง พระองคไ์ ด้ทรงออกสำรวจบรเิ วณพนื้ ที่เพื่อ
จะสรา้ งเมืองใหม่และทรงข้ามไปสำรวจยงั บรเิ วณวัดวดั หนึ่ง ซึง่ อยู่ทางฝงั่ ตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเหน็ ว่า
เปน็ ดินดอนเหมาะแก่การสรา้ งเมืองมาก พระองค์จงึ ทรงประทบั อยู่ ณ ทนี่ ้นั และวดั นต้ี อ่ มาประชาชนไดพ้ ากัน
เรียกว่า "วัดพญาเมือง" (วดั รา้ ง) เพราะเคยมพี ระเจา้ แผ่นดินมาประทบั อยู่
ครนั้ ตอ่ มาไดท้ ันทจี ะสร้างเมือง ก็เกดิ โรคห่า (อหว้ าตกโรค) ขน้ึ เสียก่อน โรคห่านี้คนแตก่ ่อนเชอ่ื กนั วา่
เปน็ ภตู ผิ ปี ศี าจชนิดหนึ่งเรียกกันวา่ "ผหี า่ " ถ้าผีห่าลงท่ีใด เปด็ ไก่ วัว ควาย ตลอดจนผคู้ นตอ้ งล้มตายกนั
มาก ฉะน้นั คนแต่ก่อนจงึ กลวั ผหี ่ากันนัก เมอื่ เกดิ โรคหา่ ระบาดไพรพ่ ลลม้ ตายลง พระเจ้าอทู่ องจงึ ทรงอพยพ
หนไี ป การอพยพหนโี รคหา่ คร้ังนี้ ไมท่ ราบว่าจะไปที่ใด แตเ่ ข้าใจกนั ว่าจะมาสร้างกรงุ ศรีอยธุ ยา
ตามนิราศของสนุ ทรภู่ ก็เขียนไวต้ รงกับปากคำของชาวบา้ นทว่ี า่
"ขอเลยนาคบากขา้ มถึงสามโคก
เปน็ คำโลกสมมุตสิ ดุ สงสัย
ถามบดิ าว่าท่านผูเ้ ฒา่ ท่านกล่าวไว้
ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์
หวังจะไวใ้ หป้ ระชาเปน็ ค่าจ้าง
ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครอื่ งประดบั
พอหากนิ สน้ิ บญุ ไปสญู ลบั
ทองกก็ ลบั กลายสนิ้ เปน็ ดินแดง"
การอพยพของพระเจ้าอทู่ อง เพือ่ มาหาทส่ี รา้ งเมอื งใหมน่ ี้ คณุ ยายของผูเ้ ขียน ชื่อปทมุ ภูร่ ะหง ซ่งึ ได้
ตายไปหลายปีแล้วไดเ้ ลา่ ให้ฟังว่า พระเจ้าอูท่ องได้อพยพมาจากทางทศิ ใต้ (ไมท่ ราบว่ามาจากเมอื งใด) มาขึน้
แถว ๆ วัดทา่ เกวียน อำเภอปากเกรด็ เขา้ มาทางบ้านถำ้ ปลากราย คลองลอดช้าง เขา้ เขตอำเภอสามโคกถึงริม
ฝง่ั แมน่ ำ้ เจ้าพระยา จะเป็นตรงวดั สงิ ห์ หรือจะเป็นบรเิ วณวดั มหิงสารามกไ็ ม่แนน่ ัก ส่วนวัดพญาเมอื งอยใู่ ต้วัด
37
มหิงสารามลงมา แตอ่ ยูก่ ันคนละฝัง่ แม่นำ้ วดั มหิงสารามอยฝู่ ่ังตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาวดั พญาเมอื งอยฝู่ ัง่
ตะวันออก วดั สงิ ห์นน้ั อยใู่ ตล้ งมาใกล้วัดแจง้ ฝงั่ เดียวกบั วัดมหิงสาราม
จากปากคำของคุณยายปทมุ ภ่รู ะหง นา่ จะสันนษิ ฐานวา่ พระเจา้ อยทู่ องอพยพมาจากเมอื งเพชรบุรี
เพราะถา้ จะย้ายมาจากอู่ทองสุพรรณบรุ ี ก็คงจะไม่ตอ้ งผ่านปากเกร็ดดังท่ีเล่า เพราะเขตสพุ รรณบรุ ตี ิดกบั
อยธุ ยาอยู่แล้ว และการที่พระเจ้าอู่ทองอพยพมาและเอกทรัพยส์ มบตั กิ องไว้ถึงสามกองเพอื่ ไวเ้ ป็นคา่ จา้ งในการ
สรา้ งเมอื งใหม่ พอเกดิ โรคหา่ กอ็ พยพหนี ทรัพยท์ ก่ี องไวก้ ็คงจะสญู หายไปดว้ ยนำ้ มอื โจรกอ็ าจจะเป็นไปได้
จำนวนทรพั ย์ ๓ กอง กก็ ลายเป็นชือ่ เมืองสามโคกในเวลาต่อมา
ทีนล้ี องหันมาฟงั นิทานพน้ื บา้ นทผ่ี ู้เฒา่ ผูแ้ กเ่ ล่าใหล้ ูกหลานฟงั ว่า เดิมมมี อญสองคนพีน่ อ้ ง คนพ่ีช่ือแมะ
กะลอย คนนอ้ งช่ือแมะกะเลด็ มีอาชีทำเคร่อื งปน้ั ดินเผาทงั้ สองพีน่ ้องไดช้ ว่ ยกนั ขดุ ดินถมโคกใหส้ ูงข้ึน เพอ่ื
ป้องกนั ไมใ่ ห้น้ำท่วมถึง ได้แยกทำเป็นสองโคกอยใู่ กลก้ ันโคกหน่ึงเปน็ คนพี่ อกี โคกหนง่ึ เป็นคนนอ้ ง แตล่ ะโคกได้
สร้างเตาไว้บนโคกดว้ ย สำหรับเป็นทเี่ ผาเครอื่ งปนั้ ดินเผาต่าง ๆ กจิ การของทง้ั สองคนพีน่ ้องดำเนินมาด้วยดี
เปน็ ลำดบั
นิสยั ของทง้ั สองคนพ่ีน้องตา่ งกัน แมะกะลอยผูพ้ เ่ี ปน็ คนใจบญุ โอบออ้ มอารี ซอื่ สัตย์ มคี วาม
ขยนั หมัน่ เพียรมาก ต้งั ใจทำมาหากนิ ด้วยความสจุ ริต ได้พยายามคดิ ประดิษฐเ์ ครอื่ งปัน้ ดนิ เผาของตนใหม้ ี
คุณภาพดขี ้นึ อยู่เสมอ ผลติ ผลเครอื่ งปั้นดินเผาของแมะกะลอยเปน็ ทนี่ ยิ มของลกู คา้ มาก ขายดี ทำให้แมะกะ
ลอยรำ่ รวยขน้ึ อย่างรวดเรว็ ทันตาเห็น
ส่วนแมะกะเลด็ นั้น มนี สิ ยั ติดจะขเ้ี กียจเป็นคนหยาบ ทำงานอยา่ งลวก ๆ ขอไปที มอื ห่างตีนห่างไม่
ละเอยี ดละออกรอบคอบเหมือนคนพ่ี ซ้ำร้ายจิตใจยงั คดโกง โหดร้ายเลวทราม ชอบอจิ ฉารษิ ยาคนอ่ืนชอบผูก
มิตรกบั คนอันธพาล เพอื่ ชักนำไปในทางไม่ดเี สมอ ดงั ภาษติ ท่ีวา่ "คบคนพาลพาไปหาผิด คบบณั ฑติ บณั ฑิตพา
ไปหาผล" กจิ การของแมะกะเล็ดไมด่ ขี ้นึ เลย มแี ตท่ รงกับทรดุ เพราะลกู คา้ ไมน่ ิยมซอ้ื เครอื่ งปั้นดนิ เผาของเขา
เอาเสียเลย แตเ่ ขาก็ไม่เคยโทษตัวเอง กจิ การของเขาท่ีไมร่ งุ่ เรอื ง ก็เปน็ เพราะพ่ชี ายของเขาทำดเี กินหน้าเขา
ต่างหาก เข้าทำนองท่ีวา่ "รำไม่ดี โทษปโี่ ทษกลอง" ฉะนนั้ เขาจึงมองดูแมะกะลอยพีช่ ายของเขาดว้ ยสาตาอันขนุ่
มวั และเตม็ ไปดว้ ยความริษยา คิดจะทำลายกจิ การของพช่ี ายในไสข้ องเขาอยตู่ ลอดเวลา
วันหนง่ึ เมื่อแกะกะเล็ด รวบรวมพรรคพวกของตนได้กลมุ่ หนงึ่ ก็คดิ วางแผนทจ่ี ะทำการเผาทำลายเตา
เครื่องปน้ั ดนิ เผา ของแมะกะลอยผู้พเี่ สยี ให้ส้ิน คร้ันตกเวลากลางคนื เขา้ ยามดกึ แมะกะเลด็ กับพวกจึงไดล้ อบ
เขา้ ไปยังโรงเตา แล้วเอาไฟจุดเผาโรงเตาของแมะกะลอยจนไหม้พนิ าศวอดวายเสยี หมดสิน้ ครั้นวนั รุ่งขน้ึ แมะกะ
ลอยเดินไปดเู ตา เหน็ เตาเครอื่ งปนั้ ดินเผาของตนบนโคกถกู เผาทำลายไมเ่ หลือชน้ิ ดี ตนกร็ ู้ไดท้ นั ที่วา่ ต้องเปน็
แมะกะเล็ดนอ้ งชายของตนเปน็ แน่ ทีแ่ อบมาเผาเตาของตน แต่เมาะกะลอยเป็นคนใจเยน็ มีธรรมเป็นเครอื่ งยดึ
เหนย่ี ว คิดว่าทำดีไวค้ งไดด้ ี ธรรมยอ่ มรักษาผปู้ ระพฤติธรรมเขาจงึ ไมค่ ดิ อาฆาตเคียดแคน้ แตอ่ ยา่ งไร และคิด
เสียวา่ เปน็ น้องในไส้ไมไ่ ดซ้ ้อื หามา ไม่คดิ เอาความสู้รบปรบมอื ถอื วา่ แพ้เป็นพระ ชนะเปน็ มาร คงไมถ่ งึ กบั
สน้ิ ไร้ไม้ตอกเสียทเี ดียว แมะกะลอยคิดสร้างโคกใหมจ่ งึ ลงมอื ขุดดนิ ถมโคก สร้างเตาให้อยใู่ กลบ้ ้านของตนเข้า
ไปอีก เพ่อื สะดวกแก่การดูแลรักษาไดง้ ่าย แลว้ กจิ การเครือ่ งปน้ั ดนิ เผาของเขากเ็ จริญรุ่งเรืองข้ึนย่งิ กว่าแตก่ อ่ น
เสียอกี ซง่ึ ผิดกับแมะกะเลด็ ทไี่ ดเ้ พียรพยายามลอบทำลายเตาท่ขี องพ่ีชายจนสำเรจ็ คิดว่าตนเองจะรงุ่ เรอื ง
38
ข้ึน กลบั ตรงกันขา้ ม ฐานะกลับทรดุ โทรมลงเป็นลำดบั เหมอื นคำโบราณทีว่ า่ "ใหท้ กุ ข์กับทา่ น ทกุ ขน์ ัน้ ถงึ
ตวั " เมอ่ื สำนึกผดิ ข้ึนมาครงั้ ใดก็ใหร้ ูส้ กึ อับอายเปน็ กำลงั ในทสี่ ุดต้องยา้ ยบ้านไปอยู่ถ่นิ อื่น ไดร้ บั ความรบั บาก
มาก สมดงั พทุ ธภาษติ ทก่ี ล่าวว่า "ทกุ โข ปาปสส อจุ จโย" ความส่ังสมบาป นำทกุ ข์มาให้ ส่วนแมะกะลอย
พีช่ าย คงอยทู่ เี่ ดมิ มคี วามเจรญิ สุขตลอดมาโบราณว่าคนดผี คี มุ้ ฉะนั้น คำวา่ "สามโคก" อาจจะเกิดจากพระเจา้
อ่ทู องมากองทรพั ย์ หรอื เกดิ จากพนี่ ้องทั้งสองคนท่ไี ดส้ รา้ งโคกทำเตาเผาเครื่องป้นั ต่าง ๆ ตามเรอ่ื งราวทเี่ ล่ามา
ดว้ ยประการฉะนี้ และโคกเตาเผาสามโคกยงั เปน็ หลกั ฐานปรากฎใหเ้ หน็ อยจู่ นทกุ วันนกี้ อ็ าจจะเป็นไปได้
เม่อื พ.ศ. ๒๓๕๘ ในเทศกาลออกพรรษาเดอื นสบิ เอด็ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั กับกรม
พระราชวังบวรมหาเสนานรุ กษั ์ ได้เสดจ็ ไปประทบั ท่ีพลบั พลาริมแมน่ ้ำเจา้ พระยาฝง่ั ซ้ายเยอ้ื ง ๆ เมอื งสาม
โคก ทรงรับดอกบวั ของราษฎรเปน็ เนืองนจิ จงึ พระราชทานนามเมอื งสามโคกเปลีย่ นใหมว่ า่ "เมอื ง
ปทุมธานี" โดยเหตผุ ลทีม่ ดี อกบวั อยทู่ ่วั ไป ซงึ่ มหี ลกั ฐาน ดงั นริ าศภูเขาทองของสนุ ทรภู่กล่าวไวต้ อนหน่งึ ว่า
".....ถึงสามโคกโศกถวิลถึงป่นิ เกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรงุ ซง่ึ กรงุ ศรี
ประทานนามสามโคกเปน็ เมอื งตรี
ชอื่ ปทมุ ธานเี พราะมบี ัว........."
ฉะนน้ั จะเห็นได้ว่าช่อื เมอื งสามโคกได้วิวัฒน์มาเป็นลำดับจากบ้านสามโคกเป็นเมืองสามโคก และจาก
เมอื งสามโคกเป็นปทมุ ธานี ในปจั จบุ ัน
39
“วดั สำแล” มาจาก “วดั สามแล” จอมแถขนั้ เทพ (ปทุมธานี)
วดั สำแล ตง้ั อย่ทู บี่ า้ นท้องคงุ้ บา้ นเกดิ ครูเพลงมอญนามกระเดื่อง "ไพบลู ย์ บุตรขัน" ณ ตำบลกระแชง
อำเภอสามโคก ปทมุ ธานี ริมแมน่ ้ำเจา้ พระยาฝงั่ คะวันออก วัดแหง่ นสี้ รา้ งโดยมอญทอี่ พยพเขา้ มาเม่ือสมยั
รชั กาลที่ 2 เมอ่ื 200 ปีกอ่ น มีชอ่ื เรยี กในภาษามอญว่า "เพยี่ ว์ธม่ แหมะซะ" ซึ่งเป็นชื่อเดยี วกบั หมบู่ ้านมอญใน
แขวงเมอื ง จย้าจก์แหมะโระ่ ฮ์ เมอื งมะละแหมง่ รัฐมอญ (ประเทศพม่าปจั จบุ นั )แปลกท่ีผู้คนท่ัวไปกลบั คดิ วา่
"สำแล" คำนี้เปน็ ภาษาไทย จึงพยายามลากเข้าความใหเ้ ปน็ ไทยเสียสบายลิน้ ส้นิ เร่อื งราวเมอ่ื คนไมร่ คู้ วามหมาย
คิดว่า "สำแล" เป็นคำภาษาไทย ลากยาวสรา้ งนยิ ายข้ึนใหมว่ ่า รัชกาลท่ี 5 เสดจ็ ผ่านมาทางชลมารค เรอื พระที่
น่ังเลยไปแล้ว แตด่ ้วยความงดงามประณีตของวัดวาอาราม พระองคท์ รงผนิ พระพกั ตรม์ าแล (มอง) ถงึ 3 ครงั้
3 ครา วัดมอญและหมบู่ า้ นมอญแหง่ นี้จงึ ได้ชอื่ ว่า "สามแล" ต่อมาเรยี กเพีย้ นไปเปน็ "สำแล"โดยปกติ คนมอญ
เมือ่ อพยพมาจากเมอื งมอญ มกั นิยมตั้งช่ือหมู่บา้ นของตนตามเดิมทเี่ คยอยู่อาศยั ในเมืองมอญ เพราะมากนั เป็น
กลุม่ ใหญ่ และคงตอ้ งการให้พวกมาทหี ลงั ได้ตามมาถกู จะไดม้ าอยู่รวมกนั ความทม่ี อญกลมุ่ นม้ี าจากหมบู่ ้าน
ใหญ่ 2 แหง่ ตดิ กนั แต่หากแยกหมบู่ ้านใครหม่บู ้านมนั แล้ว จำนวนไม่ไดม้ ากเมือ่ เทยี บกบั หมบู่ ้านอ่ืน จงึ เกิดการ
รวมเขา้ ด้วยกัน คือ หมูบ่ ้าน "ธ่มแหมะซะ" กบั หม่บู า้ น "ซมั เล" ชอ่ื หมบู่ ้านเกา่ จึงถกู เรยี กสบั สน และนา่ จะถกู
คนภายนอกเรียกขานเสยี ใหม่วา่ "บา้ นท้องคงุ้ " ดว้ ยมีชยั ภมู บิ ้านเรอื นอยูต่ รงคงุ้ น้ำโดดเด่น ขณะทีม่ อญยังคง
เรียกช่ือวัดแบบของใครของมัน "วัดซมั เล" บา้ ง "วดั ธม่ แหมะซะ" บา้ งทสี่ ุดวดั ซมั เลก็มชี อ่ื ไทยวา่ "วดั สำแล" มี
ช่อื มอญวา่ "วัดธ่มแหมะซะ" ดเู หมอื นอะไรซง่ึ ไมร่ ู้ทมี่ า ไมท่ นั ถามไถ่ ก็พร้อมจะสร้างนิทานข้ึนเองใหมค่ รอบทบั
แทนท่ี สขุ ใจสบายปากแบบไทยๆ
40
นายสุกกบั นายดิบ (อยธุ ยา)
นายสุกกบั นายดบิ (อยุธยา)
กาลครง้ั หนง่ึ ยังมตี ายายสองคนผัวเมีย บุตรสาวของตายาย กำลงั เตบิ โดเป็นสาวหนา้ ตาหมดจด
พ่อกับแมจ่ ึงรบี ปรกึ ษาหารอื กนั เพอ่ื จะจดั การใหม้ ีเหยา้ มเี รอื น เปน็ หลักฐานเสีย วันหนงึ่ ตาบอกกับยายวา่
"ลกู สาวคนโตของเราน้ัน ถา้ มีใครมาสขู่ อ จะยากเย็นเข็ญใจอย่างไรข้าก็จะยกให้ ขออย่างเดียว ต้องเปน็ คนเคย
บวชเรียนมาแลว้ เทา่ นน้ั " "เอาละ่ ๆ" ยายพูดตอ่ "เจ้าคนเดก็ ของขา้ นัน้ คนที่มาขอจะเคยบวชเรียนหรอื ไม่ข้า
จะไมถ่ อื ขออย่างเดียวให้ขา้ ชอบ ข้าเปน็ ยกใหท้ ัง้ นั้น" ขณะทตี่ ากับยายปรึกษากันอยู่น้ี บงั เอญิ มีชายหนมุ่
2 คน ติดฝนเข้ามาและพักอยทู่ ่ีใตถ้ ุนเรือน ไดย้ นิ ความโดยตลอด หนมุ่ คนหนึ่งบวชเรยี นแลว้ ส่วนอีกคนหนึ่งยัง
ไมเ่ คย ตา่ งฝา่ ยกจ็ ดั เฒ่าแกไ่ ปสูข่ อลูกสาวของตายาย คนทบ่ี วชแลว้ และไดแ้ ต่งงานกับลกู สาวคนโต ชื่อ นายสกุ
คนทไี่ ม่เคยบวชและไดล้ กู คนเลก็ ช่อื นายดบิ ต่างกเ็ ขา้ มาอยูใ่ นบา้ นพ่อตาแม่ยายทง้ั สองคน นายดบิ นน้ั พ่อตา
เกียดมาก คอยจบั ผิดอยูเ่ สมอ แตก่ ลับเปน็ คนโปรดของแมย่ าย อยู่มาวันหน่งึ ตาจะไปนาของแกทอ่ี ย่ใู นตำบล
ห่างไกล จึงให้ยายตระเตรยี มข้าวของ และอาหารลงไปในเรอื 2 แจว แลว้ ใหน้ ายสกุ แจวหวั นายดิบแจวทา้ ย
ส่วนพ่อนัง่ กลาง ในระหวา่ งทางทแี่ จวเรอื ไปน้นั ทง้ั 3 คน แลเห็นนกกระทงุ กำลงั เล่นนำ้ อยู่ พ่อตาจงึ ถาม
นายสุกวา่ ทำไมนกกระทุงจึงลอยอยู่ในน้ำได้ นายสกุ ตอบวา่ "เพราะขนของมันมากจะ้ พ่อ" ครนั้ พ่อตาหนั ไป
ถามนายดบิ ก็ได้ยินคำตอบว่า "เป็นธรรมดาของมันพ่อ" แลว้ กแ็ จวเรอื กันต่อไป ไปพบคราวนไ้ี ปเจอนกกระสา
กำลงั สง่ เสียงรอ้ ง พ่อตาจงึ ถามนายสกุ อีกวา่ "เป็นไงวะสุก นกกระสามนั จงึ ร้องดงั " "กเ็ พราะคอมันยาวนั่นสิ
พ่อ" นายสกุ ตอบ ส่วนคำตอบของนายดบิ นัน้ กค็ งเดิมคือ "เปน็ ธรรมดาของมันพอ่ " เดินทางต่อไปอีกหน่อย
เรอื แจวผา่ นกอไผก่ อหน่ึง ขา้ งนอกใบสีแดง ด้านในของใบสเี ขียว พอ่ ตากถ็ ามนายสุกอกี "เปน็ ไงสุก อา้ ยไผ่น่ี
ใบแปลก ทำไมขา้ งนอกใบมันจงึ แดง แลว้ กด็ ้านในของใบทำไมจงึ เขียว นายสกุ ก็ตอบไดอ้ กี "ขา้ งนอกใบมันถูก
แดด ใบมันจึงแดง ขา้ งในใบมันลบั แดด ใบมันจงึ เขยี ว" พอนายสกุ ตอบเสรจ็ พ่อตาก็หนั ไปถามเขยเล็ก นาย
ดบิ กต็ อบอยา่ งเดมิ ว่า "เป็นธรรมดาของมนั พ่อ" คร้นั แลว้ กพ็ ากันพายเรอื ต่อไป จนไปถงึ ทน่ี าซงึ่ มอี ยู่ 2 แปลง
แปลงหน่ึงโลง่ เตยี น ไมม่ ีพชื พนั ธห์ุ รือต้นไม้ขน้ึ เลยแมแ้ ต่ต้นเดียว สว่ นอกี แปลงหน่ึงมีพชื พันธ์ุ และตน้ ไม้ขึน้ อยู่
ครม้ึ แลดเู ขียวชอ่มุ พอ่ ตาจงึ ถามเขยคนรกั อีกว่า ทำไมจงึ เปน็ อย่างนัน้ นายสกุ อธบิ ายว่า "ที่นา 2 ผืนผิดกนั ก็
เพราะวา่ ท่ีโลง่ เตยี นนั้นมที างนำ้ เคม็ ไหลผ่าน พืชพันธุแ์ ม้แตต่ ้นขา้ วจึงไม่มที างจะงอกขนึ้ ได้ สว่ นแปลงทเ่ี ขยี ว
ชอุม่ นั้นกเ็ พราะ ไม่มที างนำ้ เคม็ ไหลผ่าน อะไรต่ออะไรกง็ อกขนึ้ ได"้ พอ่ ตาหนั มาถามนายดิบ คำตอบกม็ ีเพยี ง
ประโยคเดมิ ประโยคเดียวเทา่ นั้นคือ "เป็นธรรมดาของมันเองอีกแหละพอ่ " พอดแู ลทนี่ าเสรจ็ แลว้ พ่อตาและ
ลูกเขยทง้ั สองกแ็ จวเรอื กลับบ้าน กว่าจะถึงบา้ นก็เขา้ ใต้เขา้ ไฟแล้ว กระนน้ั พ่อตาก็ตรงไปต่อวา่ ตอ่ ขานภรรยา
เป็นการใหญ่ ในเรอื่ งทเ่ี อาคนโงอ่ ย่างนายดบิ มาเป็นเขย กล่าวหาต่อไปวา่ นายดบิ เปน็ คนปญั ญาทบึ ไมเ่ ฉลยี ว
ฉลาดเอาเสียเลย สู้นายสกุ เขยใหญก่ ไ็ ม่ได้ ต่อว่าเสรจ็ แล้วพอ่ ตาก็เขา้ ไปอาบนำ้ เพอ่ื รบั ประทานอาหารเยน็ ซง่ึ
เลยเวลาไปมากกว่าทกุ วนั แลว้ แมย่ ายกบั ลูกสาวจงึ ชว่ ยกนั รบี จดั สำรบั อาหารเย็น เม่ือทกุ คนออกมาพรอ้ ม
หน้ากันแลว้ แม่ยายจงึ ถามนายดบิ ตอ่ หนา้ ทกุ คน ไปทำผิดพลาดอะไรมา พ่อตาเขาจึงโกรธเคอื งมากมาย นาย
ดิบจงึ เล่าให้แม่ยายฟงั ว่า "ก็ไมม่ ีอะไรหรอกแม่ ตอนเข้าไปดนู า แจวเรอื ไปเจอะนกกระทงุ กำลังวา่ ยนำ้ อยู่ พอ่
เขาถามพส่ี ุกว่า ทำไปนกกระทุงจึงลอยนำ้ ได้ พส่ี กุ เขาตอบพอ่ วา่ เพราะขนมนั มาก พอพอ่ หนั มาถามฉัน
41
ฉนั กต็ อบว่า เป็นธรรมดาของมนั " แม่ยายถามแทรกข้นึ วา่ "อา้ ยธรรมดาของเอง็ น้นั เปน็ อยา่ งไง" "กท็ ำไมล่ะ
แม่ ทีมะพร้าวมันมีขนมากเม่อื ไร ทำไมมันจงึ ลอยได้ จรงิ ไหมแม"่ "ไมใ่ ช่เรอื่ งเดยี วละ่ ม้งั " แมย่ ายถามต่อ
"พอแจวตอ่ ไปอีกหน่อยนะแม่ เราก็ไปเจอนกกระสามันรอ้ งเสยี งดังกอ้ งทงุ่ พ่อก็ถามพ่ีสกุ เขาอกี วา่ ทำไมนก
กระสารอ้ งเสียงมันจะดงั กวา่ นกอ่ืน พเ่ี ขาก็ตอบว่า เพราะคอมันยาว พอพอ่ ถามฉัน ฉนั กว็ า่ ธรรดาของมนั ก็แม่
ดสู กิ บ อ่ึงอา่ ง คางคก คอมันแสนจะส้นั มนั ยงั สง่ เสยี งรอ้ งขรมท้องทุ่งทง้ั วันทั้งคืน คอมันยาวเสียเมอ่ื ไรละ่ แม"่
แมย่ ายหัวเราะดว้ ยความถูกใจ นายดิบก็เลา่ ต่อไปอีก "แจวต่อไปอีกหนอ่ ย เจอกอไผข่ ้างนอกใบแดง ขา้ งในใบ
เขยี ว พอ่ เขาก็ถามพีส่ กุ อกี พ่สี กุ เขาตอบพอ่ ว่า ข้างนอกใบมนั ถูกแดด ใบมันจงึ แดง ข้างในใบมันไมถ่ กู แดด ใบ
มันจงึ เขียว พอพอ่ หนั มาถามฉนั ฉันก็ต้องตอบว่าเปน็ ธรรมดาของมัน แม่ลองคิดดูซิ แตงโมเหน็ ไหม เปลอื ก
นอกมันตากแดดอย่เู ท่าไรๆ ทำไมมันจงึ เขยี วปร๋อ สว่ นเน้ือในมนั เคยถูกแดดเมื่อไร มันยงั แดงแจไ๋ ด"้ "ก็จรงิ ของ
เอ็ง" แม่ยายหนนุ "แลว้ พีส่ กุ กับฉันก็ชว่ ยกันแจวเรอื ให้พอ่ แกนั่งตอ่ ไปอกี สักครู่ใหญ่ จึงถงึ นา แม่ก็คงจำได้มี
อยู่ 2 แปลง แปลงหนงึ่ เตยี นโลง่ ส่วนอกี แปลงหนง่ึ นั้นตน้ ไมข้ ้นึ เขียวชอ่มุ พอพอ่ ถามพ่ีสกุ ๆ เขากว็ า่ แปลงท่ี
เตียนนั้นเป็นเพราะทางน้ำเคม็ ไหลผา่ น ส่วนอกี แปลงนำ้ ทะเลไมไ่ หลผ่าน ตน้ ไม้จงึ ขึน้ แล้วนายดิบก็หยุดคดิ ครู่
หน่ึง ก่อนจะตอบดว้ ยความเกรงใจพอ่ ตาผู้ผมน้อย "อย่างคนหัวลา้ น เห็นไหมแม่ มนั ถกู ทางนำ้ เคม็ ไหลผา่ นที่
ไหนกัน ผมยงั ไม่ยอมข้ึน" ตงั้ แต่วนั นนั้ ต่อมา พ่อตากห็ ายเคอื งแค้นเขยคนเลก็ เพราะคิดข้ึนมาไดว้ ่า แมไ้ ม่บวช
นายดิบกไ็ ม่โงอ่ ะไร
42
ภเู ขาทอง (อยุธยา)
เป็นวัดทีไ่ ด้รบั ความนยิ มมากวัดหนง่ึ ทจี่ ะขาดไมไ่ ดใ้ นเทศกาลไหวพ้ ระเกา้ วดั พระเจา้ หงสาวดี บเุ รง
นองเป็นผสู้ ร้างภเู ขาทองข้ึนเมือ่ พ.ศ. 2112 คราวยกทพั มาตีกรุงศรอี ยธุ ยา ในเวลาท่ปี ระทบั อยู่
พระนครศรีอยุธยาไดส้ ร้างพระเจดีย์ภเู ขาทองใหญ่แบบมอญขน้ึ ไว้เปน็ ที่ระลกึ เม่อื คราวรบชนะไทย โดยรปู แบบ
ของฐานเจดียม์ ีลกั ษณะคลา้ ยกบั แบบมอญพมา่ สันนษิ ฐานวา่ สร้างเจดียอ์ งคน์ ้ีขนึ้ เพอื่ ชัยชนะแตท่ ำได้เพียง
รากฐาน แล้วยกทพั กลบั ตงั้ อยูท่ างทิศตะวนั ตกเฉียงเหนอื ห่างจากพระราชวังหลวงไปประมาณ 2
กิโลเมตร สามารถใชเ้ สน้ ทางเดียวกับทางไปจงั หวัดอ่างทอง ทางหลวงหมายเลข 309 กิโลเมตรที่ 26จะมปี า้ ย
บอกทางแยกซา้ ยไปวัดนี้ วดั ภูเขาทองนห้ี นังสือคำใหก้ ารชาวกรงุ เก่ากล่าววา่ ไดส้ รา้ งขึน้ ในรัชสมัยสมเดจ็ พระ
ราเมศวรเม่ือปี พ.ศ. 1930 ครั้งสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงกอบกเู้ อกราชกลบั คืนมาเม่ือ พ.ศ. 2127 จงึ
โปรดเกล้าให้สร้างเจดียแ์ บบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่าทีส่ ร้างเพยี งรากฐานไว้ ณ สมรภูมิทุ่งมะขาม
หยอ่ ง ฝมี อื ชา่ งมอญเดมิ จงึ ปรากฏเหลอื เพียงฐานทกั ษณิ ส่วนล่างเทา่ นัน้ เจดยี ์ภูเขาทองจงึ มลี กั ษณะ
สถาปตั ยกรรมสองแบบผสมกัน
43
บางปะอิน (ชายผสู้ ูงศกั ดกิ์ ับหญงิ สาวชาวบ้าน) อยธุ ยา
เม่ือครง้ั ที่ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ เสดจ็ ประพาส ลอ่ งแมน่ ำ้ เจา้ พระยา แลว้ เรือเกิดล่มทบี่ รเิ วณ เกาะ
บ้านเลน อยธุ ยา เหตกุ ารณ์ครงั้ น้ัน ทำให้ พระเอกาทศรถฯได้พบกับ “อนิ ” หญงิ สาวชาวบ้าน ท่พี อพบพาก็ถกู
ตาต้องใจและมสี มั พันธ์กนั จนใหก้ ำเนิดพระราชโอรส ท่ีภายหลงั ขนึ้ ครองราชย์ทรงพระนามว่า“สมเดจ็ พระเจา้
ปราสาททอง” สถานทแี่ ห่งน้ี จงึ ช่อื วา่ " บาง ปะ อิน " ซง่ึ ในปี พ.ศ. 2175 พระองคท์ รงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ ง
วัดขึ้นในบรเิ วณทีเ่ สดจ็ พระราชสมภพ แล้วพระราชทานช่อื วา่ “วัดชมุ พลนกิ ายาราม”นอกจากนยี้ งั มีการ
สร้าง “พระทนี่ ่งั ไอศวรรยท์ ิพยอาสน์”ข้นึ ทม่ี ีศิลปะสถาปตั ยกรรมทส่ี วยงาม ใหค้ นร่นุ หลงั ไดช้ ืน่ ชม และเป็น
แหลง่ เรียนรู้ ทีค่ นไทยควรหาโอกาสไดไ้ ปเยอื นสกั ครั้ง ในชีวติ
44
กระต่ายสามขา (อยธุ ยา)
คร้ังหนง่ึ นานมาแล้ว มีเดก็ รนุ่ หน่มุ คนหนงึ่ ชอื่ ม่วง เปน็ ลกู ศษิ ย์วัดพุทไธศวรรย์ เป็นเด็กทีม่ ีความอดทน
และม่นั คงมาก เจรจาสง่ิ ใดแลว้ กไ็ มย่ อมเปลยี่ นคำพดู ง่าย ๆ นายม่วงไดฝ้ ากตัวกับอาจารยค์ ง วดั พทุ ไธศวรรย์
เพื่อจะศึกษาวิชาอาคมกบั อาจารย์ แตก่ ่อนทจ่ี ะเรียนคาถาอาคมจะตอ้ งเรียนหนงั สือขอมใหค้ ลอ่ งเสียก่อน
เพราะคาถาอาคมเปน็ ตวั หนงั สอื ขอมทง้ั สนิ้ เมอ่ื นายม่วงเรียนหนังสอื ขอมคลอ่ งดแี ลว้ อาจารยก์ ็คิดจะทดลอง
ศิษย์ว่าจะมคี วามอดทนเหมาะสมทจ่ี ะรับวชิ าไวห้ รอื ไม่ คราวหนึง่ มผี ูน้ ำกระต่ายมาถวายอาจารยค์ ง อาจารยจ์ ึง
ใหน้ ายมว่ งเอาไปย่างเกบ็ ไวส้ ำหรบั ทจ่ี ะเปน็ อาหารเพล นายมว่ งกเ็ อาไปยา่ งไฟ แตใ่ นขณะท่กี ำลังย่างอยู่นั้น
กลน่ิ กระต่ายหอมหวนชวนกินมาก นายม่วงอดใจไม่ไหว จึงฉกี กระต่ายเอามากินเสยี ขาหนึ่งแล้วจึงเอาไปเกบ็ ไว้
ครั้นถงึ เวลาฉันเพล นายม่วงก็ยกเอากระต่ายย่างเขา้ ไปถวายพระอาจารย์ พออาจารยเ์ ห็นกระต่ายย่างเหลอื
สามขาก็แปลกใจจึงคาดคนั้ ความจรงิ กบั นายมว่ ง ซงึ่ นายมว่ งกไ็ ม่ยอมรบั อาจารย์คงโกรธจัดจงึ เฆยี่ นนายมว่ งไป
หลายครง้ั แตน่ ายมว่ งก็ยนื กรานวา่ กระตา่ ยมสี ามขา อาจารย์สงสารจงึ ยกกระตา่ ยทีเ่ หลือให้นายม่วงกินจน
หมด และนึกนิยมว่านายม่วงเปน็ คนหนกั แน่นมั่นคง จึงถ่ายทอดวชิ าอาคมให้ วันหนึ่งนายม่วงอยากจะเข้า
พระราชวัง อาจารยค์ งจึงเสกกา้ นพลูให้นายมว่ งทดั หูไป โดยกำชับหา้ มทำหลน่ นายมว่ งหายตัวเข้าไปใน
พระราชวงั ไดแ้ อบไปขโมยกินของเสวยของพระเจ้าแผน่ ดนิ จนในทสี่ ดุ ถกู จบั ไดจ้ ึงถูกสงั่ ประหารชวี ติ อาจารย์
คงทราบขา่ วจงึ แอบมาชว่ ยโดยเสกกา้ นพลแู ทนตัวนายมว่ ง แลว้ พากันออกมาโดยไม่มีใครเหน็ จากน้นั จงึ พากัน
หลบหนไี ปทางเหนือ อยู่มาวนั หน่ึงนายม่วงไดข้ ออนญุ าตอาจารยค์ งเพือ่ ไปเทย่ี วอยุธยาอกี โดยกล่าววา่ จะไป
แบบใหค้ นเคารพทง้ั เมอื ง จงึ ให้อาจารย์คงเสกเปน็ พระพุทธรูปลอยน้ำไป เมอ่ื ลอยไปถึงหนา้ พระราชวังจันทร
เกษม ผ้คู นจงึ พากนั มากราบไหว้บูชากนั เนอื งแนน่ จนพระเจา้ แผ่นดินมพี ระราชประสงคอ์ ัญเชิญไว้ในกรุง
หากแตม่ ีตาแกว่ ิชาดีคนหนึ่งกราบทลู ว่ามใิ ชพ่ ระพุทธรปู จรงิ แตเ่ ป็นคนแกลง้ ทำมา และอาสาทจ่ี ะจัดการโดยทำ
สายสญิ จน์ เครือ่ งเซน่ ขา้ วเปลือก ขา้ วสาร เสรจ็ แล้วกล็ งไปริมนำ้ อ่านโองการ ซัดขา้ วเปลอื กข้าวสารและเอา
สายสญิ จนล์ ากพระเข้าฝง่ั แลว้ รดด้วยน้ำมนต์ ทนั ใดก็กลายเป็นนายม่วงนง่ั ถอื ดาบอยู่ พระเจ้าแผน่ ดนิ ทรงจำได้
ว่าเป็นนายมว่ งคนเดมิ จงึ สงั่ ใหร้ าชมลั เฆีย่ นและถามความจรงิ ซึ่งนายมว่ งก็ตอบวกวนตามเดมิ จึงถามตาแกว่ า่
จะทำประการใด ตาแก่จงึ กราบทลู ว่า ใหจ้ บั ใสใ่ นทอ่ นซงุ แลว้ เสดให้ซงุ จมน้ำ พระเจ้าแผน่ ดนิ ทรงอนญุ าต ตา
แก่จัดแจงจบั นายมว่ งเข้าไวใ้ นโพรงซุง เสกน้ำมนตร์ ด ซงุ กจ็ มนำ้ และแล่นทวนไปถึงหนา้ วดั อาจารยค์ งร้ดู วี ่า
นายม่วงเสียทีมาอกี จึงออกไปช่วยนายม่วงตามเคย ต้งั แตน่ ัน้ มานายมว่ งกอ็ ยปู่ รนนบิ ตั ิอาจารย์ไมค่ ิดจะกลบั มา
กรงุ ศรอี ยุธยาอีกเลย
45
นทิ านบา้ นสามชกุ (สุพรรณบรุ )ี
เม่ือโบราณนานมาแลว้ บา้ นสามชุกเคยเปน็ ศนู ย์รวมการคา้ ขายท้ังทางน้ำและทางเกวียน เรยี กกันวา่
ท่ายาง ถึงฤดูแลง้ แมน่ ำ้ จะแหง้ เปน็ บางช่วงตอน ทำใหเ้ รอื ทน่ี ำสนิ คา้ มาขายเดินทางตอ่ ไปไมไ่ ด้ จึงตอ้ งนำสนิ คา้
ข้ึนมารวมกันบนฝ่ัง ภาชนะทใ่ี สเ่ ปน็ ไมส้ าน เรยี กว่า กระชุก หรือสามชุก เมื่อมารวมกนั มากๆเลยเรยี กกัน
วา่ ทา่ สามชุก สว่ นตลาดทน่ี ำสนิ ค้าไปขายเรียกวา่ สามแพรง่ จากการท่เี ปน็ จดุ พบกันสามทางคอื ทางน้ำจาก
ทางเหนอื และทางใตส้ ว่ นทางตะวนั ตกเปน็ ทางเกวยี น มาพบกันทตี่ ลาดสามแพร่ง ต่อมาเพยี้ นเป็น สาม
เพง็ ตามสำเนยี งของชาวจีนท่ีอพยบมายังตลาดแหง่ นี้
กาลครง้ั หนงึ่ นานมาแล้วมเี ศรษฐีเฒ่านาม พันลกึ แหง่ บา้ นหนองโรง มลี ูกสาวนางหนง่ึ ชอื่ ว่านางพิม
เปน็ สาวงามทพ่ี วกหนุม่ ๆหมายปอง มีสองหนมุ่ ทต่ี า่ งก็ตอ้ งการแตง่ งานกบั สาวพมิ หน่มุ คนแรกชอ่ื สำเภาบา้ น
อยู่ ชฎั หวาย หนมุ่ คนทสี่ องชอื่ โพทอง บ้านอยู่ สามเพง็ ทัง้ สองต่างให้บิดามาสขู่ อนางพมิ ดา้ นเฒ่าพันลกึ ต้ัง
เง่ือนไขว่า ใครที่ทำทางสงู สองศอกกวา้ งสามวา มาถึงบ้านตนได้ในเวลาวนั กับคืนได้ก็จะยกลูกสาวให้ ถึงวนั
แข่งขนั ทั้งสองฝ่ายตา่ งเรง่ สร้างถนนเพ่ือให้ถงึ บา้ นนางพมิ กอ่ นรุ่งสาง ฝา่ ยหนุ่มสำเภาแห่งบ้านชัฎหวายทำทาง
ไดร้ ุดหน้ากวา่ สา่ นทางหนุม่ โพทองทราบเรอื่ งจงึ ออกอุบายใหพ้ วกตนสว่ นหนง่ึ ไปทำทางดักหน้าท่ีบา้ นหนอง
โรง แล้วใหท้ ำโคมไฟใหญผ่ กู ไวท้ ่ีปลายเสา ส่วนหน่มุ สำเภาสร้างทางมาถึง ดอนกลาง ในตอนดกึ เห็นแสงโคม
ไฟของหน่มุ โพทอง นกึ ว่าเป็นเวลาใกลส้ างแลว้ และระยะทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถงึ บ้านนางพมิ จึงหมด
กำลังใจทง้ิ ทางให้ขาดแค่ ดอนกลาง ส่วนหนมุ่ โพทองกท็ ำทางจนถึงบา้ นนางพมิ เฒ่าพนั ลึกจงึ ยกนางพิมใหก้ ับ
หนุ่มโพทอง และอยดู่ ้วยกนั ตอ่ มาอย่างมคี วามสุข
46
นนทิ ิทาานนบบา้า้ นนยย้งุงุ้ ททลลาายย ((สสุพุพรรรรณณบบรุุรีี)
กาลครงั้ หนง่ึ นานมาแล้ว ยังมชี ายคนหนงึ่ นามว่า ตาขุนทอง หรอื ขุนพดุ าด เป็นคนมยี ศศักดิ์ ฐานะ
รำ่ รวย และเป็นคนท่มี ีความรู้ในเรื่องเลน่ แร่แปรธาตุ ทกุ วนั แกจะไปยังบอ่ แร่ และนำมาท่ีวัดใกล้บา้ น ตกเย็นแก
จะกลบั บา้ นพรอ้ มกบั ถงุ เงนิ สี่ถุง และนำไปใส่ไวใ้ นย้งุ ข้าว มีเพียงแกและลกู สาวเท่านัน้ ทรี่ ้เู รื่องนี้ และแกก็ให้
ลกู สาวสาบานไวว้ ่าจะไมเ่ ปิดเผยเรื่องน้แี กผ่ ใู้ ด จนลูกสาวของตาขุนทองแตง่ งาน สามีกเ็ ข้ามาอยรู่ ่วมบ้าน
เดยี วกัน และสงั เกตเห็นพ่อตากลับมาพรอ้ มเงิน ส่ีถุงทุกวนั เกดิ ความสงสยั แตไ่ มก่ ล้าถามพ่อตา จึงไดเ้ อ่ยปาก
ถามเร่ืองนี้กบั เมีย ส่วนลกู สาวตาขุนทองไดส้ าบานไวแ้ ลว้ ก็ไม่กล้าเปดิ เผยใหส้ ามฟี งั แต่สามกี ร็ บเร้า นางจึง
บอกเป็นนยั ๆ สามีจงึ เฝ้าตามดพู อ่ ตา ส่วนพ่อตาก็รสู้ กึ ผิดสงั เกต และคิดวา่ ลูกสาวไมร่ ักษาคำสญั ญา แกจงึ ฆ่า
ลกู สาว ตาขนุ ทองถูกจบั กมุ และตายในคุกพรอ้ มกบั ความลบั ของตำราแปรแรเ่ ป็นเงนิ สว่ นย้งุ ทต่ี าขนุ ทองเก็บ
เงนิ ไวร้ ับน้ำหนกั ไม่ไหวพงั ทลายลงมา ชาวบ้านยา่ น้นั ก็พากนั ไปเกบ็ เงิน และทองเหลา่ นนั้ มา และเรียกทน่ี ้ัน
ว่า บ้านยงุ้ ทลาย สว่ นทแ่ี กไปขดุ ก็เรยี ก บ่อแร่ สว่ นวัดทแ่ี กเอาแรไ่ ปถลงุ ก็เรียก วดั โบสถ์ เปน็ เรื่องทเี่ ล่าขานสบื
มาในเขต อำเภออู่ทอง
47
พระยาแกรก (สพุ รรณบรุ ี)
พระมหาพทุ ธสาครเปน็ เช้อื มา ได้เสวยราชสมบตั ิอยรู่ มิ เกาะหนองโสน ท่วี ัดเดมิ กันมีพระมหาเถรไสย
ลายองคห์ นง่ึ เปน็ เช้อื มาแตพ่ ระรามเทพไดพ้ ระบรมธาตุ 650 พระองค์ กับพระศรมี หาโพธสิ องตน้ จากเมือง
ลังกาได้พาพระมหาสาครไปเมืองสาวตั ถี ถา่ ยเอาอย่างวัดเชตวนาราม มาสรา้ งไว้ต่อเมืองรอ แขวงบางทานนอก
เมอื งกำแพงเพช็ ร ช่ือวัดสงั ฆคณาวาศ แลว้ เอาพระศรมี หาโพธิใส่อา่ งทองคำมาปลูกไว้รมิ หนองนากะเล นอกวัด
เสมาปากนำ้ แล้วเชญิ พระบรมธาตบุ รรจไุ ว้ด้วย 36 พระองค์ จงึ ให้ชื่อว่าวัดพระศรมี หาโพธิลังกา แล้วจึงบรรจุ
ไวใ้ นพระเจดยี ์ข้างในพระพทุ ธรปู ใหญบ่ า้ ง ในพระปรางค์บา้ ง บรรจไุ วใ้ นพระพทุ ธไสยาสน์ วัดปา่ โมก ในพระ
ปา่ เลไลยนอกเมืองพนั ธมุ บรุ ี ในพระปรางคว์ ัดเดมิ กัน เมอื งหนองโสน ท่พี ระพทุ ธบาท ในถำ้ นครสวรรค์ ในถ้ำ
ขุดคะสรรค์ ในเขาหินตง้ั เมอื งศโุ ขทัยในเขาคมุ้ แก้ว ในเมอื งชองแก้ว ในพระเจดยี ว์ ัดเสนาศน์ แหง่ ละ 36 ปี
พระองค์ ในพระเจดยี ์วัดคณาทาราม ในพระมหาธาตุแหง่ ละ 30 พระองค์ พระองคอ์ ยู่ได้ 97 กส็ วรรคต พระ
ยาโคดมครองราชสมบัตอิ ยู่ ณ วดั เดมิ 30 ปี ก็สวรรคต มีพระราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ พระยาโคตรตะบอง ทรง
อานุภาพยิ่งนกั อยมู่ าโหรทำฎกี าถวายทำนายวา่ ผูม้ บี ญุ จะมาเกิดในเมอื งนี้ พระยาโคตรตะบองจงึ ส่งั ใหจ้ ับหญงิ
มคี รรภม์ าฆ่าเสีย ต่อมาโหรกราบทลู วา่ ผ้มู ีบญุ เกดิ แล้ว พระยาโคตรตะบองจงึ สงั่ ให้เอาทารกมาคลอกเสียใหส้ น้ิ
แตท่ ารกผนู้ ัน้ ไฟคลอกไม่พอง ครงั้ เวลาเชา้ สมณะไปบณิ ฑบาต พบทารกจึงเอามาเลยี้ งไว้อยู่ตอ่ มาราษฎรป่าว
ร้องกนั วา่ โหรทลู วา่ ผ้มู บี ุญจะมาก็ตนื่ เตน้ พากนั ไปดูผู้มบี ญุ พระยาโคตรตะบองจงึ ตรสั แก่เสนาบดวี า่ ถา้ เดนิ มา
จะสู้ ถ้าเหาะมาจะหนี ทารกน้นั อยทู่ วี่ ัดโพธผิ ี อายุได้ 17 ปี ก็ถัดไปดูผมู้ บี ญุ พระอินทร์แปลงตวั เป็นคนชรา จงู
มา้ มาทท่ี ารกนัน้ ฝากม้าไว้ แล้วอนญุ าตให้กนิ ข้าวในแฟ้มได้ ทารกกนิ แลว้ กม็ กี ำลงั ข้นึ เห็นน้ำมันในขวดก็เอาทา
ตัว แขนขาทไ่ี ฟคลอกงออย่นู ้นั กเ็ หยยี ดออกได้ หมอบาดแผลก็หายไปสนิ้ แลว้ แลเหน็ เครอื่ งกกธุ ภณั ฑ์ คิดในใจ
ว่าตนคงเป็นผมู้ บี ญุ จงึ เอาเครอื่ งกกธุ ภัณฑใ์ สแ่ ล้วข้นึ หลงั มา้ ขี่เหาะมาถึงท่ีพระตำหนกั พระยาโคตรตะบองเหน็
เขา้ กห็ วาดหวัน่ ตกใจ จงึ หยบิ ตะบองขวา้ งไปแตไ่ มถ่ กู ตะบองไปตกทเ่ี มอื งลา้ นช้าง พระยาโคตรตะบองเห็น
ดังน้ันกห็ นไี ป พระยาแกรกไดข้ ึ้นครองราชสมบัติ ได้รับถวายพระนามวา่ พระเจ้าสินธพอำมรนิ ทร์ ราษฎรอยู่
เปน็ สขุ ย่ิงนกั ฝา่ ยพระยาโคตรตะบองตามตะบองไป เมืองล้านชา้ ง เจ้าเมอื งสจั จะนาหะ กลัวบญุ ญาธกิ ารพระ
ยาโคตรบอง จึงยกพระราชบตุ รใี หเ้ ปน็ อคั รมเหสี แลว้ คดิ ในใจว่าตอ่ ไปคงจะเป็นขบถต่อตนจงึ คิดจะฆา่ เสีย จงึ
ไปหารอื กับลกู สาว ๆ ใหค้ วามร่วมมือ โดยไปออ้ นวอนถามพระราชสามีว่าทำอยา่ งไรจงึ จะตาย พระยาโคตร
ตะบองทนอ้อนวอนไม่ได้ จึงบอกวา่ ถา้ เอาไมเ้ สียบทวารหนักจงึ จะตาย นางเอาความมาบอกพระราชบดิ า ๆ จงึ
ให้เสนาบดีทำกลไกไวท้ ีพ่ ระบงั คน พระยาโคตรตะบองต้องกลไกดงั กล่าว ก็สำนึกไดว้ า่ เสยี ร้ดู ว้ ยสตรี จึงหนี
กลบั ไปแดนเกิด พอเข้าแดนพระนครแล้วกส็ ้นิ พระชนม์ พระเจา้ สินธพมอำรินทร์ ทรงทราบจงึ ให้ทำการศพ
พระราชทานเพลิง แลว้ สถาปนาทีน่ ัน้ ใหเ้ ป็นพระอาราม ชือ่ วดั ศพสวรรค์ มาจนถงึ ทุกวนั นีพ้ .ศ.1850
48
พระเจ้าสินธพอำมรินทร์ เสวยราชสมบัตไิ ดส้ ามปี ได้ให้ประชมุ เจา้ พระยาและพระยา พระหลวงขุนหมื่น
ข้าราชการผู้ใหญ่ ผูน้ อ้ ยมารบั พระราชทานน้ำพระพพิ ฒั นสัจจา ตามเมอื งใกล้ไกลยังมีพระไทรเถรองคห์ นง่ึ เป็น
เชื้อมาแตพ่ ระนาคเสน เอาเลข กหํ ปายา มาถวาย จึง ลบ พ.ศ.1857 เป็น จ.ศ.306 ปมี ะโรง ฉศก เป็นจุล
ศักราชใหมส่ ำหรับอาณาจกั รจะได้ใชส้ บื ไป แล้วสรา้ งวัดวหิ ารแกลบไว้ เปน็ หลักพระพทุ ธศาสนา พระองค์เสวย
ราชสมบตั ไิ ด้ 59 ปี กส็ วรรคต
49
ตำนานถำ้ เขาพระยาพายเรอื (อทุ ัยธาน)ี
ตำนานหนงึ่ เล่าวา่ ในสมัยก่อนทีห่ มูบ่ า้ นแหง่ หน่งึ มสี าวสวยคนหนึง่ เปน็ ลูกเศรษฐี และมชี ายหนมุ่
คนหน่ึงเป็นลกู เจา้ พระยาอาศยั อยู่ ปัจจุบันมชี ่อื เรียกว่า บ้านพหุ ลม่ ชายหนมุ่ อยากเห็นหน้าหญิงสาวจงึ แปลง
ตนเปน็ กระรอกไปดหู นา้ หญงิ สาว ในขณะทีแ่ อบดูอยไู่ ด้ถูกนายพรานของบา้ นหญงิ สาวยิงตาย และนำไปแกง
เป็นอาหารกนิ กันทงั้ หมบู่ า้ น ยกเวน้ บา้ นแมห่ ม้ายเทา่ น้ันทไ่ี ม่ได้กนิ แกงดังกลา่ ว หญงิ สาวจงึ นำแกงไปใหแ้ ม่
หม้ายกิน แต่แม่หมา้ ยไม่กินและเทแกงกระรอกทง้ิ เกิดปาฎหิ ารย์นำ้ ท่วมบา้ นของชายหนมุ่ คนในบ้านจงึ ได้
อพยพพายเรอื หนกี นั ไปอยบู่ นภเู ขาบา้ งในถำ้ บ้าง นับแตน่ น้ั มาชาวบ้านจึงเรียกกันว่า เขาพระยาพายเรือ
50
เขาสมอแคลง (พษิ ณโุ ลก)
จากพระราชพงศาวดารเหนอื และเอกสารโบราณต่าง ๆ ทำให้เกิดความสงสัยว่า ชือ่ เขาสมอแคลงควร
จะเปน็ "สมอแคลง" หรือ "เขาสมอแครง" เพราะในพงศาวดารเหนอื เขยี นกล้ำดว้ ย ร จงึ ตอ้ งอาศยั นทิ าน
ทอ้ งถนิ่ เร่อื งบึงราชนก เข้ามาตัดสินวา่ จะเขียนอยา่ งไรแน่สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ ได้กล่าวถงึ นทิ านทอ้ งถิ่นของบา้ นวัง
ทอง เรอ่ื งบงึ ราชนก มีใจความว่า "แต่เดมิ บึงราชนกเคยเปน็ เมืองมากอ่ น ต่อมามปี ลาหมอขนาดยกั ษเ์ กิดขึ้น
ชาวเมอื งกไ็ ปจับมาแบ่งกันกนิ จงึ เกดิ อาเพศทำใหเ้ มืองถล่มทลายเปน็ บงึ ราชนก อยา่ งไรกต็ ามลกู สาวเจ้าเมอื ง
ไดข้ ี่มา้ ไปจนถึงสถานท่แี ห่งหน่ึง กถ็ อดแหวนทง้ิ (เปน็ ทม่ี าของบา้ นร่องหัวแหวนในอำเภอวังทอง) จากนัน้ ก็ขี่มา้
เร่อื ยไปจนหมดแรงตาย ขณะทน่ี อนตายนั้นตาไมห่ ลบั (เป็นทีม่ าของบา้ นลาดตาขาว) เมือ่ หนุมานคหู่ ม้ันของลกู
สาวเจ้าเมืองทราบเร่ืองรายวา่ เมอื งถลม่ ก็นำหินกอ้ นใหญม่ าถมบงึ ราชนก แตบ่ งั เอญิ มาพบศพค่หู มัน้ เสยี ก่อน
จงึ เหว่ียงกอ้ นหินนั้นทง้ิ ลงพ้ืนดนิ มลี กั ษณะตะแคงไปทางทศิ เหนือ ชาวบา้ นจงึ เรยี กว่า เขาตะแคง และต่อมาได้
เพ้ยี นเสยี งกลายเปน็ เขาสมอแครง " นิทานเร่อื งน้ี มโี ครงเรอ่ื งท่ีคลา้ ยคลงึ กบั นิทานของกลมุ่ ชนภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวล้านช้าง ซงึ่ อาจจะแสดงไดว้ า่ บรเิ วณพืน้ ที่โดยรอบเขาสมอแคลง เคยมีการ
9bf9jvกบั กลุ่มชนทางภาคอีสานและลาวสองฝง่ั โขง โดยมลี ำน้ำแควน้อยและลำน้ำวังทองเป็นเสน้ ทางคมนาคม
ทส่ี ำคญั นอกจากนีย้ งั มีหลักฐานทางโบราณคดมี าสนบั สนุนคือ เคร่อื งปัน้ ดนิ เผาแบบไหหินสเี ทา และสดี ำ อัน
เปน็ ภาชนะท่ชี าวบ้านลา้ นชา้ งในเขตจังหวัดเลย อดุ รธานี และหนองคาย นิยมใช้ ซ่ึงพบในบรเิ วณชุมชนโบราณ
ในลมุ่ น้ำแควน้อย จากนทิ านเร่อื งบึงราชนก ผ้เู ขยี นไดเ้ คยสมั ภาษณ์วทิ ยากรทอ้ งถ่นิ ซง่ึ ขณะนนั้ อายุ 82 ปี ได้
เลา่ นิทานท่ีเหมือนกบั ทกี่ ล่าวมาข้างตน้ จะต่างกันในรายละเอยี ดเล็กนอ้ ย ตรงทวี่ ่า "หนุมาน... กจ็ ะนำหินก้อน
ใหญ่มาถมบึงราชนก" วิทยากรจะเลา่ ว่า "หนุมานไปหักยอดเขาฟา้ มาเพื่อชว่ ยเมอื งราชนก" และเรือ่ งบา้ นลาด
ตาขาว วิทยากรเลา่ วา่ ม้านอนตายตาขาว ไม่ใช่ลูกสาวเจา้ เมอื งนอนตายตาไม่หลับ การเขยี นชือ่ ภเู ขานใ้ี นพระ
ราชพงศาวดารเหนือ จะเขยี นวา่ "สมอแครง" ในสมยั ปัจจุบนั จะเขียนตามช่อื วัด ทีผ่ า่ นการกลนั่ กรองจากราช
บัณฑติ และพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ ทรงพระราชทานวิสุงคามสมี า วา่ "วัดสมอแคลง" เหตทุ เ่ี ป็นดังนกี้ ็
เพราะเดิมทเี ดยี วเขาลกู นเ้ี รยี กวา่ "เขาตะแคง" จากนทิ านทอ้ งถิ่นของชาวบ้านวังทอง เรื่องบงึ ราชนก โดยมี
ลกั ษณะตะแคงไปทางทิศเหนอื ดงั นั้นถา้ จะใหส้ อดคลอ้ งตอ่ ความหมายนก้ี ็ต้องเขียนว่า "แคลง" ซงึ่ ตาม
ความหมายในพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พทุ ธศักราช 2542 ให้ความหมายว่า "ตะแคง" ส่วนคำว่า
สมอ ผเู้ ขียนสนั นษิ ฐานว่าอาจจะสอดคลอ้ งกบั พระราชพงศาวดารเหนอื เรื่องทวี่ า่ "พระพทุ ธเจา้ ฉันจงั หันใตต้ น้
สมอ" หรืออาจจะสันนษิ ฐานวา่ คำว่า "สมอ" มาจากคำว่า "ถมอ" ในภาษาเขมร ท่ีแปลวา่ "กอ้ นหนิ , หนิ "
ยกตัวอยา่ งเชน่ สมอเรอื แต่เดิมก็คอื กอ้ นหนิ ผูกเชือกแลว้ ทิ้งลงในทะเลกนั เรอื ลอยเคลือ่ นท่ไี ป ถึงแมป้ ัจจบุ ันจะ
ทำดว้ ยเหลก็ ก็ยงั เรียกว่าสมอเรือเชน่ เดมิ ดังนัน้ "สมอแคลง" จึงแปลวา่ "หินตะแคง" หรอื "ภูตะแคง" ซ่ึง
สอดคล้องกบั นทิ านพื้นบ้าน อกี ประการหนึง่ ก็คือ การเขยี นในสมยั โบราณจะยดึ ถือมาเปน็ การเขียนสมยั
ปจั จุบันทง้ั หมดไมไ่ ด้ ยกตวั อย่างเช่น เมอื งพิศณุโลก เป็นต้น ปัจจบุ ันกไ็ มไ่ ด้เขียนเชน่ น้ีแล้ว