The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pitimanu62, 2023-04-05 11:35:23

อักษราวาทิต-Book

organized

อัก อั ษรา ว า ทิ ต ชมรมดนตรีไทยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


श्रीसरस्वतीस्तोत्रम् ศฺรีสรสฺวตีโสฺตตรมฺ रविरुद्रवितामहविष्णुनुतं हररचन्दनकुङ्कुमिङ्कयुतम् मुननिन्ृदगजेन्द्रसमानयुतं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ १॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ อันพระสูรยะ พระรุทระ พระพรหมาและพระวิษณุทรงสดุดีแล้ว (พระบาทนั้น) ลูบทาด้วยผงจันทน์ เหลืองและหญ้าฝรั่น อันหมู่มุนีผู้เปรียบคือพญาคชสารบูชาแล้ว शमशशुद्धसुधाहहमधामयुतं शरदम्बरबबम्बसमानकरम्। बहुरत्नमनोहरकान्न्तयतु ं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ २॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ อันประกอบด้วย (ความขาวนวลของ) พระจันทร์ น้ำอมฤตอันพิศุทธ์ หิมะ และเมฆ มีรัศมีเสมอวง (แห่งพระจันทร์) ในฟากฟ้ายามศรัทกาล กอปรด้วยความงดงามอันน่าพึงใจของรัตนะ เป็นอันมาก


कनकाब्जविभूवितभूनतभिं भिभािविभावितमभन्निदम्। प्रभुचचत्तसमाहहतसाधुिदं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ३॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ อันเป็นแหล่งบังเกิด ความรุ่งเรืองซึ่งประดับประดาด้วยดอกบัวทอง พระบาทข้างหนึ่งสำหรับทำลายของ ผู้ที่ถือกำเนิดมาเพราะความใคร่ในสังสาระ อีกข้าง (เป็นวิถีทาง) อันสมควรสำหรับ ผู้ที่ดวงจิตมีกำลังได้ตั้งมั่นแล้ว भिसागरमज्जनभीनतनुतं प्रनतिाहदतसन्तनतकारममदम्। विमलाहदकशुद्धविशुद्धिदं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ४॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งผู้มีความกลัว การจมลงในภพสาครสรรเสริญแล้ว (พระบาท) นี้กระทำให้เกิดความสืบเนื่อง (แห่งคำสอน/ความดีงาม) ที่ได้รับมา เป็นหนทางอันวิศุทธ์ซึ่งบริสุทธิ์ไร้มลทินมาตั้งแต่ แรกเริ่ม मनतहीनजनाश्रयिारममदं सकलागमभावितमभन्निदम्।


िररिूररतविश्िमनेकभिं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ५॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ พระบาทนี้เป็น ฟากฝั่งที่อาศัยของชนผู้ด้อยปัญญา เป็นวิถีอันจำแนกได้เป็นหลักคำสอนและภาษิต ทั้งมวล (พระบาทนั้น) มีภพเป็นอเนก มีจักรวาลอันบริบูรณ์แล้ว िररिूणमण नोरथधामननचधं िरमाथवणिचारवििेकविचधम्। सुरयोवितसेवितिादतलं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ६॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ อันเป็นขุมนิธิ ที่อาศัยแห่งความปรารถนาที่ได้รับการเติมเต็ม เป็นทางปฏิบัติอันวิเวกที่นำไปสู่ การใคร่ครวญถึงความจริงสูงสุด มีฝ่าพระบาทซึ่งเหล่านางอัปสรน้อมปรนนิบัติบูชา सुरमौमलमणणद्युनतशुभ्रकरं विियाहदमहाभयिणहण रम्। ननजकान्न्तविलोवितचन्द्रमशिं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ७॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งมีรัศมีสุกสว่าง ด้วยความช่วงโชติดุจดวงมณีบนพระเมาลีของทวยเทพ เป็นที่ขจัดสิ่งปกคลุมคือ


ความหวาดกลัวอย่างยิ่งอันเกิดจากวิษัยทั้งหลาย*ความรุ่งเรืองของพระจันทร์ถูก ความงามแห่งพระบาทนั้นมล้างสิ้นแล้ว गुणनैककुलन्स्थनतभीनतिदं गुणगौरिगवितण सत्यिदम्। कमलोदरकोमलिादतलं ति नौमम सरस्िनत िादयुगम्॥ ८॥ ข้าแต่พระสรัสวตี ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระยุคลบาทของพระองค์ อันเป็นหนทางแห่ง ความตั้งมั่นของวงศ์สกุลและความเกรงกลัว (ต่อบาป) อันมีคุณเป็นอเนก เป็นหนทาง แห่งความสัตย์ของผู้ที่ภาคภูมิใจในความหนักแน่นแห่งคุณงามความดี มีฝ่าพระบาท ที่อ่อนละมุนเสมือนใจกลางดอกบัว इदंस्तिंमहािुण्यंब्रह्मणा च प्रकीनततण म्। यः िठेत्प्रातरुत्थाय तस्य कण्ठेसरस्िती ॥ เมื่อลุกขึ้นในยามเช้า ผู้ใดท่องบทสดุดีอันเป็นมหามงคลซึ่งพระพรหมาตรัสไว้นี้ พระสรัสวตีย่อมประทับอยู่ที่ลำคอของผู้นั้น ภูริทัต หงษ์วิวัฒน์ แปล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว ตรวจ * วิษัยทั้ง 5 ได้แก่ เสียง ผัสสะ รูป รส และกลิ่น


สารจากอาจารย์ที่ปรึกษา ประธานชมรมดนตรีไทย ได้ขอครูให้เขียนอะไรถึงสมาชิกของ ชมรมฯ ต้องขอขอบใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ประธานชมรม เป็นต้น ดำริจะจัดทำหนังสือ เล่มนี้ขึ้นมา ก่อนอื่น ขอสวัสดีสมาชิกทุกคน ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ รวมถึง อาจารย์ผู้สอนดนตรีและขับร้องไทยทุกท่านที่กรุณาสละเวลาของมาช่วยกิจการของ ชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ ชมรมดนตรีไทยของเรานี้ ทราบว่ามีมาช้านาน ดังกล่าวไว้ในประวัติของ ชมรมฯ ที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของผู้มีใจรักดนตรีไทย ได้ใช้ดนตรีผ่อนคลายในยาม ว่างจากการเรียน ดังที่ทุกคนทราบ การเรียนในคณะนี้หนัก อาจจะก่อให้เกิด ความเครียดโดยไม่รู้ตัว แต่ทิพยดนตรีนี่แหละ ที่สามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้เป็น อย่างดี ทุกครั้งที่ครูแวะเข้ามาในชมรมฯ ดูพวกเราซ้อม นอกจากเสียงดนตรีและ บทเพลงอันไพเราะแล้ว สิ่งที่ไพเราะยิ่งกว่า คือ เสียงหัวเราะครื้นเครงของสมาชิก นั่นเป็นหลักฐานอย่างดี ว่า ชมรมแห่งนี้ดีเพียงใด ครูเองเข้ามาเรียนในคณะอักษรศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2537 ก็ได้เข้ามาเป็น สมาชิกชมรมดนตรีไทยนี้ สมัยก่อน ห้องชมรมเล็กนิดเดียว อยู่ในห้อง ก.อศ. ในตึก อักษรศาสตร์ 4 (ปัจจุบันคือ ที่ตั้งอาคารมหาจักรีสิรินธร) ต่อมา เมื่อครูอยู่ราวปี 3 เราได้ห้องใหญ่ขึ้น ผลัดกันใช้กับชมรมนาฏศิลป์ สองชมรมนี้ มีธรรมเนียมอยู่อย่าง สมัยก่อน คือ เราจะมีการแสดงประจำปีร่วมกัน เผยแพร่สู่สาธารณชน ใช้โรงละคร คณะเป็นเวที มีบางชุดเราเล่นเขารำร่วมกัน ส่วนรายการอื่น ๆ ก็ต่างคนต่างสรรหา


แสดงสลับกันไปมา ปัจจุบัน น่าเสียดายที่ธรรมเนียมดังกล่าว หายไปเสียแล้ว หลังจากเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ มาบรรจุเป็นอาจารย์ที่นี่ วันหนึ่งมี ลูกศิษย์ที่เรียนสันสกฤตกับครู มาขอเชิญให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรม รู้สึกดีใจ และยินดียิ่ง เพราะตัวแม้จะจบไป ก็ยังถือว่าสมาชิกภาพของชมรมยังไม่ขาด ได้มี โอกาสดูแลพวกเรามานานเป็นสิบปี มีปัญหาอุปสรรคก็ร่วมกันแก้ไขกับพวกเรา เหล่าสมาชิกกันไป ตลอดระยะเวลา ครูได้เห็นความอุตสาหะของสมาชิก ในการ ฝึกซ้อม เห็นความสำเร็จอันน่าชื่นใจ ทุกครั้ง ที่พวกเราออกงาน และได้รับคำชมเชย จากทุกท่าน ถึงแม้จะเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็ไม่ได้ด้อยฝีมือเลย ต้องขอขอบใจทุกคน ที่มาร่วมเป็น “ครอบครัว” เดียวกัน สุดท้ายนี้ ขอฝากชมรมไว้กับทุก ๆ คน ช่วยสืบสานศิลปวัฒนธรรมของ เราต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะได้กลับมา “ล้อมวง” และ “ดีดสีตีเป่า ร้องเล่น” กันเหมือนเช่นยามปกติ หวังว่า จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มพูนขึ้น อยากเชิญชวนมาเข้าชมรมอันแสนอบอุ่นนี้ ครูขออวยพรให้สมาชิกชมรมดนตรีไทย ทุกคน ประสบความสำเร็จที่หวังทุกประการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์


สารจากอาจารย์ผู้สอนชมรม ทราบข่าวจากประธานชมรมว่าจะทำหนังสือก็รู้สึกดีใจมากเพราะหนังสือ เปรียบเสมือนจดหมายเหตุที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ ด้วยเหตุที่ว่าชมรมนี้มี ประวัติความเป็นมายาวนาน เป็นชมรมดนตรีไทยแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่คณะอื่น ๆ ต้องมาร่วมเล่นกันที่นี่ก่อนที่จะมีชมรมดนตรีไทย ส.จ.ม.* ครูดนตรีไทย ที่มาสอนส่วนใหญ่มาจากสำนักพาทยโกศล เมื่อผมได้มาสอนที่ชมรมก็คิดจะสืบ ทอดเพลงบ้านพาทยโกศลไว้เมื่อมีโอกาส ในการจัดการเรียนการสอนของชมรม จะสอดคล้องกับภาระกิจของคณะ เช่น งานไหว้ครู งานบวงสรวงรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 สมาชิกส่วนใหญ่มีทักษะมาบ้างแล้วจากมัธยมฯ แต่ก็มีบางคนที่เริ่มใหม่ ก็เห็นจะมีความพยายามกันมากทีเดียว ชมรมนี้อยู่กันแบบครอบครัว ให้ความ เคารพครูอาจารย์ รุ่นพี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามและหาได้ไม่ง่ายนักในปัจจุบัน จึงจะเล่าไว้ ให้เป็นที่ระลึกอย่างย่อ ๆ สำหรับผู้ที่เปิดอ่านในภาคภาคหน้า อาจารย์ ดร. ปกรณ์ หนูยี่ * ย่อมาจาก ชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สารจากอาจารย์ผู้สอนชมรม “สาร” เสมือนความรู้สึกพลังงานดีมีผลเป็นพลังบวก เพียงแต่มาปรากฏ เป็นรูปลักษณ์ตัวอักษร ไม่ใช่เสียงจากวาจา สำหรับความรู้สึกของอาจารย์ประจำ ชมรมที่มีต่อนิสิตและชมรมดนตรีไทยนั้น อาจกล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนการใช้ชีวิต ของพวกเรานั้นเป็นดั่งชีวิตครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่มีผู้นำครอบครัวและ ลูก ๆ ในครอบครัว แต่ทว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ธำรงวัฒนธรรมของชาติไทย ทำหน้าที่สืบทอดวิชาดนตรีและคีตศิลป์ไทย หน้าที่ของครอบครัวพวกเราคือ ฝึกซ้อมเพลงไทยสำหรับการฟังเพื่อผู้ฟังที่ฟังกันอย่างจริงจัง จะไม่ขอกล่าวถึง จุดประสงค์ของการบรรเลงดนตรีในประเด็นอื่น เพราะการเล่นดนตรีที่เล่นสำหรับ การฟังเป็นการที่แสดงความอ่อนโยนด้วยเสียงให้ทุกคนบนโลกใบนี้เข้าถึงง่ายที่สุด ฉะนั้นภาระหน้าที่ของครอบครัวเราจึงเป็นหน้าที่ที่ต้องแสดงความอ่อนโยน ความ ไพเราะในเสียงอันเป็นทิพย์ในพิธีการต่าง ๆ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ได้กำหนดขึ้น ประการหนึ่งคือเป็นการแสดงพลังความเป็นหนึ่งเดียวที่กลมเกลียว กันของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวนี้ ที่มีต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เราคือผู้ดำรงเสียงทิพย์ให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เพราะเราคือ วงดนตรีไทย อักษราวาทิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ ฐิตินนท์ ผุลละศิริ


สารจากบรรณาธิการ ความเป็นเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ชมรมเจริญเติบโตขึ้น อย่างมาก ทั้งสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ความสามารถทางดนตรี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ สมาชิกที่มีความเหนียวแน่น โดยหนังสือเล่มนี้ แต่เดิมตั้งใจจะจัดทำขึ้นเพื่อเป็นของแทนใจจาก พี่ๆ ชมรมดนตรีไทย เพื่อมอบให้กับน้อง ๆ เฟรชชี่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำ ให้สมาชิกชมรมไม่สามารถเข้าใช้ห้องชมรมได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตามด้วยข้อขัดข้อง หลายประการ เป็นเหตุให้หนังสือเล่มนี้ต้องเลื่อนการจัดพิมพ์มาจนสำเร็จลงในปี 2566 นี้ พร้อม กับการจัดกิจกรรมทำบุญชมรม บทความต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ล้วนแล้วแต่เขียนขึ้นด้วยฝีมือของสมาชิกชมรมดนตรี ไทยด้วยกันทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบทความสารคดี บทสัมภาษณ์ และเรื่องสั้นเบาสมอง ขณะเดียวกันก็ล้วนแต่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับชมรม ดนตรีไทยในประเด็นต่าง ๆ พุฒิพงศ์ เจืออุปถัมย์ ได้กล่าวถึงสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับการพระราชนิพนธ์บทร้องเพลงไทยเดิม ขณะที่ เกวลิน ถนอมทอง เลือกที่จะกล่าวถึงศิษย์เก่าอีกคนหนึ่งคือจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ได้เปิดเผยให้เห็นแง่มุมใหม่ ๆ เกี่ยวกับดนตรีไทย การกล่าวถึงที่มาของคำศัพท์เกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทยที่มีความสัมพันธ์กับ เรือนร่างของมนุษย์ตามความสนใจของ สุพิชญา วรธำรง บทสดุดีพระสรัสวตี ในฐานะเทพีแห่ง อักษรศาสตร์และการดนตรี ที่แปลโดย ภูริทัต หงษ์วิวัฒน์บทสัมภาษณ์ของพี่เก่าชมรมดนตรี ไทยคณะอักษรศาสตร์ ที่รวมรวมขึ้นโดยสมาชิก และ กฎ 22 ข้อ เกร็ดเรื่องเล่าของห้องชมรม ดนตรีไทย ที่เขียนโดย สามใบเถา นอกจากนี้กองบรรณาธิการยังได้รวบรวมบทร้องและบท ประพันธ์ประกอบการแสดงที่จัดทำเพื่อใช้ในกิจกรรมของชมรมดนตรีไทย และคณะอักษรศาสตร์ ในโอกาสต่าง ๆ ทั้งยังได้ชำระและบันทึกโน้ตเพลงโหมโรงอักษรศาสตร์ ที่ประพันธ์ขึ้นโดยคุณครู อุทัย แก้วละเอียด (ศิลปินแห่งชาติ) ที่ถือได้ว่าเป็นบทเพลงประจำชมรมอันทรงคุณค่าไว้ในโอกาส นี้ด้วย


ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์รศนาภรณ์ วีรวรรณ นายกสมาคมนิสิตเก่า อักษรศาสตร์ และสมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ที่สนับสนุนงบประมาณในการจัดพิมพ์ และ ขอกราบขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชานป์วิชช์ทัดแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมที่ได้ กรุณาให้คำปรึกษาและสนับสนุนกิจกรรมของชมรมตลอดมา ขอบคุณนิสิตเก่าและนิสิตปัจจุบัน ที่ได้อนุเคราะห์ทั้งแรงกายแรงใจ รวมไปถึงข้อมูล ต่าง ๆ ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของ ชาวชมรมดนตรีไทย อักษรฯ จุฬาฯ อย่างแท้จริง หนังสือเล่มนี้จะสำเร็จลงไม่ได้หากปราศจากกำลังสำคัญจากพี่ ๆ น้อง ๆ ได้แก่ คุณพุฒิพงศ์ เจืออุปถัมย์คุณกวินภพ ทองนาค และสมาชิกชมรมดนตรีไทยที่มีส่วนร่วมใน การจัดทำไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิก ชมรมดนตรีไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ปิติ มานุชานนท์ ประธานชมรมดนตรีไทย ปีการศึกษา 2563


สารบัญ ประวัติชมรม 1 โหมโรงมหาจุฬาลงกรณ์ 2 โหมโรงอักษรศาสตร์ 4 อร่อยทั่วกันทั้งวงเอย : อาหารกับดนตรี พระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี 6 หลุมฝังศพที่กลบดนตรีไทยไม่มิด : จิตร ภูมิศักดิ์ และข้อเสนอเกี่ยวกับดนตรีไทย 12 เมื่อองคาพยพพบดุริยางค์ : ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคำในวงความหมายอวัยวะ และวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย 16 บทสัมภาษณ์พี่เก่าชมรมดนตรีไทย 29 เรื่องเกร็ดสะหลองหยูง : คู่มือสำหรับการนอนค้างคืนที่ห้องชมรมดนตรีไทย 44 ประชุมบทร้องคัดสรร 50


1 ประวัติชมรม ชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือวงอักษราวาทิต มีประวัติความเป็นมายาวนานควบคู่กับการก่อตั้งคณะอักษรศาสตร์ และมีโอกาสได้ต้อนรับ สมาชิกคนสำคัญผู้มีคุณูปการแก่ชมรมเป็นอเนกอนันต์ คือ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งทรงศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตที่ คณะอักษรศาสตร์ แม้เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้วก็ยังทรงให้การอุปถัมภ์ชมรมอย่างดียิ่งเสมอมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ นอกจากนี้ชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ ยังมี ปูชนียาจารย์ทางดนตรีไทยผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษสอนดนตรีไทยให้กับนิสิต อักษรศาสตร์ เช่น ครูอุทัย พาทยโกศล ครูอุทัย แก้วละเอียด ศาสตราจารย์ ดร. ขำคม พรประสิทธิ์ เป็นต้น ปัจจุบันวงอักษราวาทิตมีส่วนร่วมในกิจกรรมของคณะอักษรศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ ตลอดปีการศึกษาภายใต้การดูแลของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว อาจารย์ ที่ปรึกษาชมรม หลายครั้งได้ร่วมบรรเลงในการแสดงของชมรมอื่น ๆ ในคณะ เช่น ชมรมนาฏศิลป์ ชมรมดนตรีสากล ทำให้ชาวอักษราวาทิตได้เพิ่มพูนความรู้ความชำนาญด้านดนตรีไทยและฝึกฝน ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายทางดนตรีกับคณะต่าง ๆ ภายใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น ชุมนุมดนตรีไทยคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี ชมรมดนตรี ไทยคณะนิติศาสตร์ เป็นต้น ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ * * หากทราบข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ อีเมล [email protected]


2 โหมโรงมหาจุฬาลงกรณ์ เมื่อพ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นำทำนองเพลง พระราชนิพนธ์ “มหาจุฬาลงกรณ์” มาเรียบเรียงและปรับปรุงให้เป็นทำนองเพลงไทย โดยได้ บรรเลงทูลเกล้าฯ ถวายเฉพาะพระพักตร์ครั้งแรก ในปีเดียวกัน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และได้รับพระราชทานชื่อว่า “โหมโรงมหาจุฬาลงกรณ์” ซึ่งชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชมรมดนตรีไทยคณะอักษรศาสตร์ได้ใช้เป็นเพลง ประจำวงและบรรเลงก่อนการแสดงในทุก ๆ ครั้ง เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นำ - - - ซ - ซ ซ ซ - ดํ - ล - ซ – ดํ - ม ร ด - ซ - ด - - - ร - - - ม - - - ด - - - ร - - - ม - - - ซ - - ดํล ดํซ ล ม ซ ม ล ซ ล ม ซ ร ม ด ม ร ม ด ม ร ม ด ม ร ม ด ร ล ด ซ ด ล ด ซ ด ล ด ซ ด ล ร ด ม ร ม ด ม ร ม ด ร ล ด ซ ด ล ร ด ม ร ม ร ด ซ - ด - ร - ม - ม ซ ล - ซ - - มํรํ มํรํมํดํ รํล ดํซ - - ล ซ (- - ม ม ร ม ซ ล ซ ล ดํซ - - ล ซ) - - ม ม ร ม ซ ล ซ ล ดํม - ล ดํม (- - ดํล ซ ล ดํม ล ซ ม ร - - ม ร) - - ดํล ซ ล ดํม ล ซ ม ร - - ม ร (ด ซ ด ล ด ซ ด ล ด ซ ด ล ร ด ม ร) ด ซ ด ล ด ซ ด ล ด ซ ด ล ร ด ม ร (ม ร ด ซ ด ร ด ซ ม ร ด ซ ด ร ม ซ) ม ร ด ซ ด ร ด ซ ม ร ด ซ ด ร ม ซ (ม ร ด ซ ด ร ม ซ ม ร ด ร ม ซ – ซ) ม ร ด ซ ด ร ม ซ ม ร ด ร ม ซ -ซ (ม ร ด ซ ด ร ม ซ) ม ร ด ท ล ซ - - * - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ด - - - - - - - ดํ - ดํดํดํ - ดํ– ดํ - - - ล - - - ซ - - - ล - - - ม (- - - ล - - - ซ - - - ล - - - ม) - - - ล - - - ซ - - - ม - - - ร (- - - ล - - - ซ - - - ม - - - ร) - ม – ร - ม - ล - - - ด - - - ร (- ม - ร - ม - ล - - - ด - - - ร) * โน้ตตัวหนาให้บรรเลงพร้อมกันทั้งเครื่องนำและเครื่องตาม


3 - ม – ร - ม - ซ - - - ล - - - ด (- ม - ร - ม - ซ - - - ล - - - ด) ดํดํดํดํ (ดํดํดํดํ) ดํดํดํดํ (ดํดํดํดํ) ดํดํดํดํ (ดํดํดํดํ) - ล - ซ ล ม ซ ร (ซ ซ ซ ซ) ซ ซ ซ ซ (ซ ซ ซ ซ) ซ ซ ซ ซ (ซ ซ ซ ซ) ซ ซ ซ ซ - ซ - ม ซ ร ม ด - - ด ฟ ซ ล ท ดํ - - ด ฟ ซ ล ท ดํ - - ด ฟ ซ ล ท ดํ - - ซ ด ร ม ฟ ซ - - - - - - - ซ - ซ ซ ซ - ซ – ซ ร ม ซ ล ดํล ซ ม ล ซ ม ร ซ ม ร ด กลับต้น เที่ยวกลับ ซ ม ซ ซ ซ ล ซ ซ ดํ ล ซ ม ซ ม ร ด ท ซ ล ท ด ล ท ด ร ท ด ร ม ด ร ม ด ร ด ด ร ม ร ร ม ซ ม ม ซ ล ซ ซ ล ซ ดํ ล ดํ ซ ล ม ซ ม ล ซ ล ม ซ ร เปลี่ยนสี่ห้องสุดท้ายเที่ยวกลับ - ลํซํมํ - รํ- ทํ- - - ล - - - ซ


4 โหมโรงอักษรศาสตร์ เพลงโหมโรงอักษรศาสตร์ ครูอุทัย แก้วละเอียด (ศิลปินแห่งชาติ) ได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อ เป็นเพลงประจำชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเพลงประจำ คณะ นอกเหนือจากเพลงโหมโรงมหาจุฬาลงกรณ์ ขณะที่เป็นอาจารย์ผู้สอนอยู่ที่ชมรม โดยมี แนวความคิดมาจากการที่คณะอักษรศาสตร์มีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศหลายภาษา จึง ได้ประพันธ์ทำนองเพลงโหมโรงให้เป็นอย่างเพลงออกภาษา ประกอบไปด้วยสำเนียงภาษาต่าง ๆ ได้แก่ ไทย ฝรั่ง จีน ลาว เขมร และแขก โดยใช้หน้าทับปรบไก่ และหน้าทับพิเศษตามภาษาต่าง ๆ ที่ได้บรรเลง ฝรั่ง - - - - ซ ร ซ ดํ ดํ ดํ ดํ ดํ รํ มํ รํ ดํ (- - มํรํดํ ท ล ซ ม ม ม ม ม - ม - ม) - - - - ร ม ฟ ซ ซ ซ ซ ซ - ล - ซ (- - ล ซ ฟ ม ร ด - - ซ ล ท ดํรํมํ) - - - - - - - ดํ - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ล - - ซ ล ท ดํรํมํ - - - - - - - ดํ - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ดํ - - รํ ดํ ท ล ซ ม จีน - - - - - - - รํ - - มํท รํ ล ท ซ - - ล ฟ - - ซ ร - - ฟ ร - - ล ซ - - - - (- - - ซ - - ล ม - ม ร ด - - ร ด - - ร ล - - ด ล - - ม ร) - - - - - - - ม ม - - - - ซ - ล (- - ดํ ดํ รํ ท ดํ ล - ล - - - ท - ล) - - - - - - - ม ม - - - - ซ - ล (- - ซ ซ ล ม ซ ร - ร - - - ม - ร) - - - ม - - - ซ - - - ล - - - ดํ - - - ร - - - ม - - - ล - ดํ - ซ - - - ด - - - ร - - - ม - - - ซ - - มรด ร ม ฟ ซ - - - - - - - - - - มํรํ ดํ รํมํล รํดํล ซ ล ซ ม ซ - - ล ดํ ล ซ ม ซ ม ซ ล ด - ร - ม - - - ล - - - ซ - - - ม - - - ล - - - ซ - - - ม ร ด - ร - - - - ร ร ม ร ด ร ม ซ ซ ซ ล ซ ม ซ ล ดํ ร ร ม ร ดํ ล ดํ ซ - - - ซ - - - ซ - ม - ซ (- ม - ซ) - ล - ดํ (- ล - ดํ) - - มํรํ - - มํ ดํ รํล ดํ ซ - - - - - - มํรํ ดํ รํมํล รํดํล ซ ล ซ ม ซ - - ล ดํ ล ซ ม ซ ม ซ ล ด - ร - ม - - - ล - - - ซ - - - ม - - - ล - - - ซ - - - ม ร ด - ร - - - -


5 ไทย ร ม ร ร ม ซ ม ม ซ ล ท รํ ท ล ซ ม ร ม ร ร ล ท ร ม ซ ล ซ ซ ร ม ซ ล ร ม ซ ล ซ ล ดํรํ ดํมํรํดํ มํรํดํล ซํมํซํรํ มํ รํ ดํ ล ซ ล ดํ รํ ดํท ล ซ - - ม ม ซ ร ม ซ - - ล ล ดํซ ล ดํ - - รํ รํ มํรํดํล รํ ดํล ซ - - - - - - ร ด - - ม ร - - ซ ม - - ล ซ - - มรด ร ม ฟ ซ - - - ซ - - - ซ - - มํ รํ ดํล ดํล - - รํ ดํ ล ซ ล ซ ท ล ซ ล ท ดํ รํ มํ - - - - - - - - - - ล ล ดํล ซ ล - - ซ ซ ล ซ ม ซ - - ม ม ซ ม ร ม - - ร ร ม ร ด ร ลาว - - - ดํ - - ล ซ ม ซ ล ซ - ลํ- ดํ (ซ ม ร ด ล ดํซ ล ดํล ซ ล - ซ – ซ) ม ด ร ม ร ด ซ ม ร ด ร ม ร ด ซ ล (ดํล ซ ม - ซ - ล ซ ล ดํล - ซ – ซ) - - ล ดํ - - ซ ล - - ม ซ - - ร ม - - ด ร - - ล ด - ด - ร ม ร ซ ม - - - - - - - ล - - - ท ล ซ - ซ - - - ล ซ ม - ม ร ม ซ ม ร ด – ร เขมร - - - - - - - - ร ม ซ ล ดํล ซ ม - - ม ร ด ล - - - ซ ซ ซ ดํล ซ ม - - - - ดํซ ล ดํ ล ซ ล ดํ - ม - ซ - ม ซ ม - ดํ- ล - ซ ซ ซ ดํล ซ ม - - - - - ดํรํดํ - ล ดํล - ซ ล ซ - ดํรํดํ - ล ดํล - ซ ล ซ - ม ซ ม - - ดํ ดํ รํดํล ดํ - - ล ล ดํล ซ ล - - ซ ซ ล ซ ม ซ - - ม ม ซ ม ร ม แขก - - - - ร ม ฟ ซ - ซ ล - ซ ล ฟ ซ - - - - ซ ล ท ดํ - ท ล - ซ ล ฟ ซ - - - - - ดํ- ท - - - - ล ท ดํ รํ - - ดํ มํ - - รํ ฟํ - รํ มํ- รํ ดํ - รํ ไทย มํ มํ รํ มํ (มํมํรํมํ) รํ รํ ดํ รํ (รํรํดํรํ) ดํ ดํ ล ดํ (ดํดํล ดํ) ล ล ซ ล (ลล ซ ล) - - ดํล ซ ม ซ ม - - ร ม ซ ล ซ ล - - ร ม ซ ล ซ ล ท ซ ล ท ดํ รํ - รํ - - - - - - - รํ - - รํซ ล ท ดํ รํ - - - - - - - รํ - รํ รํ รํ - รํ - รํ ลงจบ - ลํ ซํ มํ - ร - ซํ - - - มํ - - - ร - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ


6 อร่อยทั่วกันทั้งวงเอย: อาหารกับดนตรี พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พุฒิพงศ์ เจืออุปถัมย์ ทูลกระหม่อมกับการดนตรีไทย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยในการดนตรีไทยตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อพระองค์ทรงศึกษาในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ทรงศึกษาหัดซอด้วง และต่อมาคุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ ได้ถวายการสอน ขับร้องเพลงไทยเดิมเบื้องต้นด้วย เมื่อทูลกระหม่อมเสด็จฯ มาทรงศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังคงสนพระทัยในการบรรเลงดนตรีไทยเช่นเดิม ได้ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของคณะ อักษรศาสตร์ และชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน เป็นผู้ถวายการสอนขับร้องเพลงไทยเดิมที่ชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ทูลกระหม่อมได้ทรงดนตรีตลอดมานับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จวบจนปัจจุบันนี้ ได้ทรง ดนตรีพระราชทานในงานต่าง ๆ เป็นประจำ เช่น งานปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย งานไหว้ครูชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจน ทรงดนตรีร่วมกับนักเรียนนายร้อย จปร. เนื่องในโอกาสวันปิยมหาราช แสดงให้เห็นถึงความ สนพระทัยอย่างเต็มเปี่ยมต่อกิจการดนตรีไทยและได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการ ดนตรีไทยตลอดมา ดังที่อาจารย์เสรี หวังในธรรม (ศิลปินแห่งชาติ) ได้เคยแต่งกลอนสรรเสริญ พระเกียรติไว้ว่า “การดนตรีนาฏศิลป์ไม่สิ้นแล้ว เพราะพระทูลกระหม่อมแก้วเอาใจใส่” ทูลกระหม่อมกับเครื่องคาวหวาน นอกจากทุกท่านจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าทูลกระหม่อมได้ทรงพระปรีชาสามารถ ในด้านการทรงพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมากหลากหลายประเภท ทั้งร้อยแก้ว


7 บทกวี งานทางวิชาการ อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับคติสอนใจและความรู้เรื่องต่าง ๆ ที่ได้ทรงพบ ในขณะที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เช่น ฝากฝันกลอนกานท์ มณีพลอยร้อยแสง แก้วจอมแก่น แก้วจอมซน บุษปสระปทุม ทูลกระหม่อมยังได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับอาหารด้วยเช่นกัน ดังเช่น ครัวสระปทุม ที่ได้พระราชทานสูตรอาหารต่าง ๆ ทั้งตำรับส่วนพระองค์และตำรับของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตำรับทรงปรุง ได้พระราชทานตำรับเครื่องว่างและ เครื่องดื่มหลายชนิดด้วยกัน จำได้ว่าช่วงหนึ่งสักประมาณเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา มีสูตรอาหารที่ โด่งดังเป็นอย่างมาก นั่นคือ ไข่พระอาทิตย์ อันเป็นสูตรอาหารส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยทูลกระหม่อมได้นำมา พระราชทานเผยแพร่ในหนังสือและทรงปรุงพระราชทานผ่านสื่อต่าง ๆ แม้ร้านอาหารในโรง อาหารของคณะอักษรฯ ในช่วงเวลานั้นก็ยังมีจำหน่าย ทูลกระหม่อมกับบทพระราชนิพนธ์เพลงไทยเดิม ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ทูลกระหม่อมได้ทรงศึกษาการขับร้องเพลงไทยจาก อาจารย์ผู้มีความสามารถด้านการขับร้องเพลงไทยเดิมอย่างอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน ประกอบกับความสนพระทัยและพระปรีชาสามารถในด้านการทรงพระราชนิพนธ์ จึงทำให้ ปรากฏผลงานพระราชนิพนธ์บทเพลงไทยเดิมมากมาย และล้วนแต่มีความไพเราะทั้งด้านเสียง และความหมายเป็นอย่างมาก เพลงหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเพราะทั้งคำ ที่เหมาะสมกับท่วงทำนองของเพลง และความหมายที่ลึกซึ้งกินใจ คือ เพลงไทยดำเนินดอย ทูลกระหม่อมได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้องจากการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรม - ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปยังถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ และได้ทรง นำทำนองเพลงลาวดำเนินทราย 2 ชั้นมาบรรจุบทร้อง ความว่า เที่ยวต้น เป็นบุญตัวได้โดยเสด็จประพาส พระจอมราชย์สู่ลําเนาเขตเขาเขิน ชมพฤกษาตลอดหว่างทางดําเนิน ท้องถิ่นเถินค่าล้นเป็นต้นธาร โอ้ว่าแสนเหนื่อยล้า (ซํ้า) สงสารสองขายิ่งนัก


8 เมื่อใดจะได้หยุดพัก สองขาจะหักเสียแล้วเอย เห็นยอดดอย ดังคล้อยหนีไป นี่หนาหมู่เฮาเอย หายใจหอบ หัวใจเต้นเร็วรี่ เฮ้อ เดินอีกนาที หรือสองนาที คงตายเอย เที่ยวกลับ มีพระราชดําริตริตรองคิด จะกั้นปิดสายชลต้นละหาน เพื่อได้น้ำกอปรกิจเกษตรการ เพิ่มพูนงานผลิตผลของคนไทย โอ้ว่าแสนยินดี (ซํ้า) เดินไปถึงที่เห็นโครงการ ดุจเป็นรางวัลพระราชทาน เราชาวบ้านดีใจเอย ไทยดําเนินดอย เหนื่อยหน่อยต้องอดทน ใช่ไหมไทยเอย เห็นขุนเขา แดนดอยงามตา หนอ น้ำจิตศรัทธา รักไทยหนักหนา เราเอย เพลงลูกทุ่งที่โด่งดัง : ส้มตำ เมื่อกล่าวถึงผลงานพระราชนิพนธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านบทเพลง คงเลี่ยงที่จะ กล่าวถึงบทเพลงอันเป็นอมตะเพลงนี้ไปไม่ได้อย่างแน่นอน บทเพลงนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ทั้งผู้ที่เป็นนักร้องนักดนตรีตลอดจนบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะเหล่าบรรดาแฟนราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ บทเพลงนี้คือ เพลงส้มตำ แม้ว่าบทเพลงนี้โด่งดังเป็นอย่างยิ่ง แต่บางคนก็อาจ ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าทูลกระหม่อมเป็นผู้ทรงพระราชนิพนธ์คำร้องและทรงปรับปรุงทำนองจาก ทำนองเพลงหุ่นกระบอกของเดิม ต่อไปนี้จะเล่าถึงอาหารอร่อย คือส้มตำกินบ่อย ๆ รสชาติแซบดี วิธีทำก็ง่ายจะบอกได้ต่อไปนี้ มันเป็นวิธีพิเศษเหลือหลาย ไปซื้อมะละกอขนาดพอเหมาะ ๆ สับ ๆ เฉาะ ๆ ไม่ต้องมากมาย ตำพริกกับกระเทียมยอดเยี่ยมกลิ่นอาย มะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บถ้ามี ปรุงรสให้แน่หนอ ใส่มะละกอลงไป อ้อ…อย่าลืมใส่กุ้งแห้งป่นของดี


9 มะเขือเทศเร็วเข้า เอาถั่วฝักยาวใส่เร็วรี่ เสร็จสรรพแล้วซียกออกจากครัว กินกับข้าวเหนียวเที่ยวแจกให้ทั่ว กลิ่นหอมยวนยั่วน่าน้ำลายไหล จดตำราจำส้มตำลาว เอาตำรามา ใครหม่ำเกินอัตราระวังท้องจะพัง ขอแถมอีกนิดแล้วจะติดใจใหญ่ ไก่ย่างด้วยเป็นไรอร่อยแน่จริงเอย เพลงเก่าเนื้อเก๋ : พระอาทิตย์ชิงดวง ทูลกระหม่อมทรงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีและทรงพระราชนิพนธ์บทร้อง สำหรับเพลงต่าง ๆ ได้อย่างไพเราะและ “เก๋” ไม่ซ้ำผู้ใด โดยเฉพาะบทร้องเพลงพระอาทิตย์ ชิงดวง ก่อนจะกล่าวถึงบทร้องเพลงพระอาทิตย์ชิงดวงจะขอเล่าประวัติเพลงนี้โดยสังเขป เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง 2 ชั้น พระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) ได้ประพันธ์ขึ้นและได้นำบทร้อง ส่วนหนึ่งมาจากบทอัศจรรย์ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา ความว่า “พระอาทิตย์ชิงดวงพระจันทร์เด่น ดาวกระเด็นใกล้เดือนดาราดับ หิ่งห้อยพร้อยไม้ไหวระยับ แมลงทับท่องเที่ยวสะเทือนดง” เหตุที่ครูมีแขกนำเนื้อร้องมาบรรจุดังนี้ก็เนื่องมาจากในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น สกุลบุนนาคสายที่ครองตราสุริยมณฑลคือสายสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) เช่น สมเด็จพระเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ได้เจริญใน ราชการมากกว่าสายที่ครองตราจันทรมณฑลคือสายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต) สมดังคำร้องว่า “พระอาทิตย์ชิงดวงพระจันทร์เด่น” เพลงนี้จึงเป็นที่โปรดปรานของ สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์ ถึงกับมีเรื่องเล่าว่าสมเด็จเจ้าพระยาฯ สั่งให้ร้องและ บรรเลงเพลงนี้วนไปเรื่อย ๆ และจึงได้ให้นามเพลงนี้ตามเนื้อร้องวรรคแรกว่า “พระอาทิตย์ ชิงดวง” ต่อมาก็ได้มีการประพันธ์บทร้องและว่าดอกเพิ่มเติมออกไปอีกหลายสำนวนด้วยกัน เช่น สำนวนที่นิยมสำนวนหนึ่ง มีเนื้อร้องแทรกภาษามอญต่อจากเนื้อร้องที่นำมาจากบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผนข้างต้น ว่า


10 นายชานปะกายี่หระ เจ้าช่อสละของเรียมนี่เอย ดอกเอ๋ย ดอกจิก เห็นใจเจ้าจะพลิกเสียแล้วเอย หนาเจ้าเอย เตะกกกะมงนาย นายกกกะมงยาน รักเจ้าสร้อยสังวาล ของพี่นี่เอ๋ย เจ้ากลับมาเชย พี่หน่อยรา นายสาคะมามอดเอย ดอกเอ๋ย ดอกสลิด เจ้าคู่ชีวิตของเรียมนี่เอย เอวกลมผมงอนเอย พี่รักมาก่อนใครใคร รูปร่างคมสัน ฟันเจ้าก็ดำขลับ พี่ขอต้องขอจับ สักหน่อยรา นายสาคะมามอดเอย ดอกเอ๋ย ดอกสวาท หัวใจแทบจะขาดเสียแล้วเอย” ทูลกระหม่อมได้ทรงพระนิพนธ์บทร้องสำหรับเพลงพระอาทิตย์ชิงดวงขึ้นใหม่ อันแสดงให้เห็นถึงความสนพระทัยทั้งเกี่ยวกับอาหารและการดนตรี โดยมีเนื้อหากล่าวถึง ขนมหวานไทยชนิดต่าง ๆ ดังนี้ รวมบรรเลงเพลงดนตรีมี่เสนาะ จังหวะเหมาะสมทํานองก้องประสาน สายลมหวนอวลกลิ่นสุมามาลย์ ชวนชื่นบานเมื่อสดับเพลงขับเอย ดอกเอ๋ย เจ้าดอกสารภี หอมกลิ่นมาลีไม่เว้นวายเอย เจ้าดอกลําดวนเอย เจ้าดอกลําดวนเอ๋ย ชวนให้ชมเชย สังขยาเจ้าเอย ทั้งขนมตาล ทองหยิบฝอยทอง ล้วนแต่ของหวาน ช่างน่ารับประทาน เสียจริงเอย เจ้าขนมครองแครงเอย หม้อแกงขนมถ้วย ขนมชั้นขนมกล้วย กินด้วยกัน สามแซ่แช่อิ่ม ปลากริมไข่เต่า กล้วยแขกข้าวเม่า มาแบ่งปัน อร่อยทั่วกัน ทั้งวงเอย ดอกเอ๋ย เจ้าดอกชมนาด อยู่ในวงปี่พาทย์ สบายใจเอย และต่อมาภายหลังเมื่อได้ทรงร่วมขับร้องกับวงมโหรีก็ได้ทรงปรับบทร้องว่าดอกวรรคสุดท้าย เป็น


11 น้ำเอย น้ำกรีนที อยู่ในวงมโหรี สบายใจเอย เมื่อได้อ่านบทร้องพระราชนิพนธ์เพลงพระอาทิตย์ชิงดวงนี้ พลางนึกถึงเสียงหวาน ๆ ของนักร้อง ยิ่งชวนให้อยากรับประทานขนมหวานเหล่านี้เป็นที่ยิ่ง จึงต้องขอตัวไปเสาะหามารับประทานให้ สบายใจเสียหน่อยแล้ว........ บรรณานุกรม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามยรมราชกุมารี. ส้มตำ [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.sac.or.th/exhibition/princess/writings สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามยรมราชกุมารี. พระอาทิตย์ ชิงดวง [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.sac.or.th/exhibition /princess/writings ถาวร สิกขโกศล. (2565, 2 มกราคม). ตำนานเพลง “พระอาทิตย์ชิงดวง” ที่สอดแทรกสำเนียง มอญ อวดลวดลายร้องและบรรเลง [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.silpamag.com/culture/article_61065


12 หลุมฝังศพที่กลบดนตรีไทยไม่มิด : จิตร ภูมิศักดิ์ และข้อเสนอเกี่ยวกับดนตรีไทย เกวลิน ถนอมทอง ในบรรดานักคิดชาวไทยผู้เสนอคำนิยามสังคมไทยในลักษณะต่าง ๆ นั้น ชื่อของ “จิตร ภูมิศักดิ์” ย่อมลอยเข้ามาในห้วงความคิดของเราเป็นชื่อแรก ๆ ด้วยผลงานหนังสือที่ สั่นสะท้านความคิดอนุรักษ์นิยมอย่าง “โฉมหน้าศักดินาไทย” “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะ เพื่อประชาชน” “อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสตรีไทย” และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่นอกเหนือไปจากปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี นิรุกติศาสตร์ และประวัติศาสตร์แล้ว จิตร ภูมิศักดิ์ สามัญปัญญาชนผู้ก้าวเท้าออกมาจาก “เทวาลัย” แห่งอักษรศาสตร์ยังสนใจศาสตร์อีกด้านอย่าง ลึกซึ้ง คือ ดนตรี เมื่อครั้งเป็นนิสสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย* จิตร ภูมิศักดิ์ เข้าเป็นสมาชิกวงดนตรี ไทยคณะอักษรศาสตร์และร่วมแสดงดนตรีกับวงอยู่เสมอ ๆ ประพันธ์เพลงต่าง ๆ เช่น มาร์ชจุฬา – ธรรมศาสตร์รวมใจ และยังปรากฏบทความวิเคราะห์ความเป็นมาของเพลงไทยเดิม เช่น ลาวแพน เป็นต้น นี้อาจเป็นเครื่องยืนยันถึงความสนใจของเขาที่มีต่อดนตรีได้เป็นอย่างดี นอกจากการบรรเลง ประพันธ์ และวิเคราะห์ดนตรีไทยแล้ว เขายังเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ ดนตรีไทย ด้วยนามปากกา “มนัส นรากร” หลายบทความ หนึ่งในนั้นคือ บทความ 5 บท (ต่อจากนี้ไป ผู้เขียนจะขอเรียกบทความชุดนี้ว่า บทความชุด “หลุมฝังศพของดนตรีไทย”) ซึ่งตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ วันที่ 3, 4, 12, 19, 21 และ 27 สิงหาคม 2497 เมื่อเทียบเวลากันแล้ว บทความชุด “หลุมฝังศพของดนตรีไทย” เผยแพร่ในช่วงเวลาที่จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกพักการเรียนจากกรณีหนังสือ “มหาวิทยาลัย” ฉบับ 23 ตุลาคม 2496 และเข้า ทำงานอยู่ในหนังสือพิมพ์หัวนี้อยู่นั่นเอง หากจะเท้าความไปถึงภาวการณ์ทางดนตรีไทยในยุคนั้น คงต้องนิยามตามที่เราคุ้นหู ว่า “เป็นยุคเสื่อม” เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามบังคับใช้ “ประกาศรัฐนิยม” อันมีส่วน หนึ่ง “จำกัด” การเล่นดนตรีไทย เช่น ต้องขออนุญาตต่อกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันเรียก กรมประชาสัมพันธ์) ก่อน ต้องนั่งเล่นบนเก้าอี้ เป็นต้น ประกอบกับความบันเทิงรูปแบบใหม่ ๆ * สะกดตามอักขรวิธีในยุคนั้น


13 ได้รับความนิยมและการส่งเสริมจากรัฐบาล เช่น ภาพยนตร์ การเต้นรำ ดนตรีสากล เป็นอาทิ ความอยู่รอดของดนตรีไทยจึงเสมือนแสงตะเกียงอันริบหรี่ท่ามกลางแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ ในบทความชุด “หลุมฝังศพของดนตรีไทย” นี้ จิตรได้พยายามเสนอว่า ดนตรีไทย ทำไมถึง “ยังไม่ไปไหน” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เสมือนความเปรียบที่จิตรใช้เป็นชื่อบทความแรกใน ชุดนี้ว่าเป็น “หลุมฝังศพ” ที่ผู้คนในวงการคีตศิลป์ไทยค่อย ๆ ขุด กลบ และฝังร่างดนตรีไทย ในหลุมนั้นนิจนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของเครื่องดนตรีที่ไม่เอื้อต่อการบรรเลง ทำนองเสียงที่มี จำกัด หน้าที่ของดนตรีไทยเพื่อเป็นเครื่องมือบำรุงบำเรอความสุขและประกอบเกียรติยศของคน บางชนชั้น รวมถึงเพื่อรับใช้นาฏศิลป์ หรือการประชันฝีมือผ่านการสร้าง “ทางเพลง” และ “แต่ง เพลง” ที่ข่มกัน ทั้งยังเรียกร้องให้คนดนตรีไทยช่วยกันคิดหาทางเพื่อให้ “ดนตรีไทย” อยู่รอด ต่อไป ข้อวิจารณ์ดังกล่าวนี้ ถือได้ว่า จิตรได้เชื่อมโยงดนตรีไทยเข้ากับศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะ เป็นสังคมวิทยา ทฤษฎีดนตรีสากล และหลักการออกแบบ ทั้งสะท้อน “ความเป็นจริง” ของ สังคมผู้เล่นดนตรีไทยอีกด้วย ซึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน จิตรได้เสนอ “ทางออก” ไว้ในบทความที่ชื่อว่า “ภาวะทาง นาฏศิลปและวรรณคดี อันเป็นทางออกของดนตรีไทย” ในไทยใหม่ ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม ศก เดียวกัน โดยจิตรได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างการแสดงนาฏศิลป์ วรรณคดี และดนตรีไทย อนึ่ง ผู้เขียนมิสามารถเสาะหาต้นฉบับหนังสือพิมพ์ดังกล่าวได้ เป็นแต่ตั้งสมมติฐานว่า การไขรหัส ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสามองค์ประกอบนี้ จะทำให้เจอ “ทางออก” – ที่อาจ หมายความถึง “ทางรอด” ของดนตรีไทยด้วย จึงใคร่วอนผู้รู้และสามารถสืบหาบทความนี้ได้ช่วย ไขความสงสัยข้อนี้ของผู้เขียนด้วย กาลเวลาล่วงเลยไป 60 กว่าปี ข้อเสนอของจิตรที่พยายามหาทางรอดให้ดนตรีไทย ได้รับการตอบสนองด้วยกลวิธีที่หลากหลาย เช่น การประยุกต์ดนตรีไทยเข้ากับเพลงไทยสากล หลายเพลง การสร้างทางเพลงใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความไพเราะมากขึ้น หรือกระทั่งการประยุกต์ เพลงไทยให้เป็นไปตามสมัยนิยม เช่น การรีมิกซ์ ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาธรรมเนียมปฏิบัติ ต่าง ๆ ไว้ตามเดิม ด้วยเป็นขนบแห่งการเรียนรู้ “ศาสตร์ชั้นสูง”


14 ส่วนด้านรูปลักษณ์ของเครื่องดนตรีนั้น หลายคนอาจจะได้เห็นโปรเจกต์ Re-Thai ของ Taylor O สตูดิโอ ที่ออกแบบเครื่องดนตรีไทยให้โมเดิร์นยิ่งขึ้น เช่น การออกแบบขิมให้เป็น “ขิมไฟฟ้า” ที่บางลง และเพิ่มความสามารถ เช่น การเชื่อมต่อบลูทูธ การปรับสายอัตโนมัติ การ ออกแบบ “ระนาด 2021” ให้เป็นระนาดที่มีรูปร่าง “minimal” ใช้วัสดุที่แตกต่างออกไปอย่าง อะลูมิเนียม หรือการออกแบบ “ระนาดรางแก้ว” ของ “เรือนดุริยางค์” เพื่อลดปัญหาการตัดไม้ ทำลายป่าลง เป็นต้น ความพยายามปรับตัวด้านรูปลักษณ์ของดนตรีไทยนี้เอง สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาที่จิตรเคยยกไว้ว่า เครื่องดนตรีไม่เอื้อต่อการเล่นนั้น เป็นอุปสรรคสำคัญต่อทั้งสุขภาพผู้เล่น และการบรรเลงตามสถานที่ต่าง ๆ ในยุคที่หมอนวดและการจัดกระดูกเป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 ของ ผู้คน และการเสพโสตศิลป์คือเครื่องเยียวยาจิตใจในวันหมองหม่น ในขณะเดียวกันก็ยังเอื้อต่อ การใช้เทคโนโลยีการทำดนตรีในปัจจุบันอีกด้วย แน่ล่ะ ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีสองด้าน เสียงสะท้อนจากผู้คนในวงการคีตศิลป์ก็ย่อมมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง เหล่านั้น แต่สายธารกาลเวลาย่อมไหลไปไม่หวนกลับ การสร้างสรรค์จึงถือเป็นส่วนหนึ่งแห่ง การอนุรักษ์ดนตรีไทย เป็น “สมบัติชาติ” เอาไว้ให้คนรุ่นหลังเข้าถึง สนใจ และศึกษาต่อไป ในขณะเดียวกัน การอนุรักษ์มิใช่การแช่แข็งให้สิ่งนั้นต้องเป็นเหมือนเดิมตลอดกาล หากแต่เป็น การปรับตัวต่อกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป และยืนยันในคุณค่าสำคัญอันเป็น “หัวใจ” ของดนตรี ไทย ที่อยู่คู่กับชีวิตของผู้คนในสังคมไทย ไม่ว่าจะชนชั้นใดก็ตาม บรรณานุกรม วิชัย นภารัศมี. (2561, 3 ตุลาคม). หลุมฝังศพของดนตรีไทย โดย จิตร ภูมิศักดิ์[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_38921. วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ. (2564, 5 พฤศจิกายน). โปรดักต์ดีไซเนอร์ไทย จับ ‘ระนาด’ และ ‘ขิม’ มาออกแบบใหม่ ให้ดูเป็นเครื่องดนตรีร่วมสมัยมากขึ้น. เข้าถึงได้จาก https://www.beartai.com/lifestyle/ 840874.


15 สงัด ภูเขาทอง. (2564, 22 มีนาคม). “ฐานันดร” ของดนตรีไทย “ชนชั้น” ในงานศิลป์ อิทธิพล จากมนุษย์สร้าง [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.silpamag.com/culture/article_38921. สหายเอื้องตาเหิน. (2564). ดนตรีไทยในทรรศนะ “จิตร ภูมิศักดิ์”, ใน มหาวิทยาลัย ปีที่ 99 ฉบับ จิตร ภูมิศักดิ์ (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก https://chu.in.th/e-library/ มหาวิทยาลัย-ปีที่-๙๙-ฉบับจิตร-ภูมิศักดิ์. ไอเดียสุดเก๋ ระนาดแก้ว แบบไม่ตัดไม้ทำลายป่าโชว์ของดีให้โลกได้เห็น [ออนไลน์]. (2564, 15 พฤษภาคม). เข้าถึงได้จาก https://thaihitz.com/ไอเดียสุดเก๋-ระนาดแก้ว-แ/.


16 เมื่อองคาพยพพบดุริยางค์ : ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคำในวงความหมายอวัยวะและวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย* สุพิชญา วรธำรง คำหลายความหมาย คือ คำที่มีความเชื่อมโยงทางความหมายและสามารถสังเกต การถ่ายโอนทางความหมายระหว่างคำผ่านกระบวนการ เช่น นามนัย หรืออุปลักษณ์ ได้ (Éva, 2011: 11) กระบวนการนามนัย คือ การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน (Evans & Green, 2006: 311) ส่วนกระบวนการอุปลักษณ์มีแนวคิดโดยทั่วไปว่าเป็นการทำความเข้าใจ และมีประสบการณ์ต่อสิ่งหนึ่งด้วยอีกสิ่งหนึ่ง โดยมักเป็นการถ่ายโอนความหมายจากสิ่งที่เป็น พื้นฐานและเป็นรูปธรรมไปสู่สิ่งที่มีความเป็นนามธรรม (Hopper & Traugott, 2003: 84) ร่างกายของมนุษย์เป็นวงความหมายหนึ่งที่มีความเป็นรูปธรรมสูง และมักเป็นต้นเค้า ของมโนทัศน์อื่น ๆ เช่น วัตถุสิ่งของ ในหลายภาษาพบการเชื่อมโยงส่วนของร่างกายมนุษย์ผ่าน กระบวนอุปลักษณ์เข้ากับส่วนของวัตถุที่มีลักษณะสอดคล้องกัน เช่น การใช้หน่วยคำที่มี ความหมายว่า “หัว” และ “ตา” กับวัตถุที่มีลักษณะกลม นอกจากนั้น ในบางกรณี อวัยวะที่ไม่ โดดเด่นในการรับรู้ มีความสำคัญและความถี่ในการอ้างถึงน้อย ก็อาจจะไม่มีคำเรียกเป็นคำ พื้นฐาน แต่จะนำคำเรียกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือภูมิประเทศมาใช้อ้างถึงแทน เช่น เพดานปาก ซึ่งสร้างมโนทัศน์จาก “เพดาน” ซึ่งเป็นส่วนของบ้าน แสดงให้เห็นว่าคำหลายความหมายในวง ความหมายอวัยวะและวงความหมายวัตถุมีการขยายความหมายระหว่างกัน ในภาษาไทย มีวงความหมายส่วนของวัตถุประเภทหนึ่งที่มีปฏิสัมพันธ์กับวง ความหมายอวัยวะในทั้งสองเส้นทาง ได้แก่ วงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย ผู้เขียนจึง สนใจศึกษาว่าคำเรียกอวัยวะใดบ้างที่ขยายความหมายไปใช้เป็นคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรีไทย คำเรียกส่วนของเครื่องดนตรีไทยใดบ้างที่ขยายความหมายไปใช้เป็นคำเรียกอวัยวะ และการ ขยายความหมายของเหล่านั้นผ่านกระบวนการอุปลักษณ์และ/หรือนามนัยอย่างไรบ้าง ใน บทความนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงคำหลายความหมายที่มีการขยายความหมายระหว่างวงความหมาย * เรียบเรียงจากรายงานประจำรายวิชา 2201609 อรรถวิเคราะห์ปีการศึกษา 2564 ของนางสาวสุพิชญา วรธำรง โดยนายธนพงษ์ เมืองศิลปศาสตร์


17 อวัยวะและวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรี 13 คำ โดยเลือกศึกษาเฉพาะเครื่องดนตรีไทยที่ใช้ ในวงปี่พาทย์และ/หรือวงมโหรี ได้แก่ คำว่า กะบังลม กะโหลก ขา แข้ง ดาก ตัว เท้า นม ลิ้น ไส้ หน้า หัว และ อก แต่ละคำมีลักษณะการขยายความหมายดังนี้ 1. กะบังลม คำว่า “กะบังลม” น่าจะเป็นคำประสม เกิดจากคำว่า “กะบัง” กับคำว่า “ลม” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำว่า “กะบัง” ไว้ว่า “เครื่องบังแดดบัง ลมเป็นต้น เช่น กะบังหมวก, เครื่องบังมือ เป็นแผ่นโลหะ อยู่ที่โคนอาวุธ เช่น กะบังหอก กะบัง ดาบ.” ส่วนคำว่า “กะบังลม” หมายความว่า “แผ่นกั้นประกอบด้วยกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และแผ่นพังผืด กั้นระหว่างช่องอกกับช่องท้อง ยืดและหดช่วยการหายใจ, คนทั่วไปเรียกบริเวณ ระหว่างหัวหน่าวกับสะดือ ว่า กะบังลม ด้วย” จากนิยาม จะเห็นได้ว่ามีอวัยวะถึงสองส่วนที่ เรียกว่า “กะบังลม” ได้แก่ แผ่นกั้นระหว่างช่องอกกับช่องท้อง และบริเวณระหว่างหัวหน่าว กับสะดือ ส่วนในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย “กะบังลม” เป็นคำเรียกส่วนของเครื่อง ดนตรีปี่บางชนิด เช่น ปี่มอญ เป็นส่วนที่มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบางทำด้วยโลหะหรือกะลา สำหรับกันริมฝีปากผู้เป่า ผู้เขียนสันนิษฐานว่า “กะบังลม” น่าจะใช้เป็นคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรีก่อนจะ ขยายความหมายไปเป็นคำเรียกอวัยวะ เนื่องจาก “กะบัง” อื่น ๆ เช่น กะบังหอก กะบังดาบ ซึ่ง เป็นแผ่นโลหะกลมน่าจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ “กะบังลม” ในปี่ซึ่งเป็นแผ่นกลมบางทำด้วย โลหะหรือกะลา นอกจากนั้น อวัยวะ “กะบังลม” เป็นอวัยวะภายใน ไม่สามารถมองเห็นได้จาก ภายนอก จึงอาจจะเป็นอวัยวะที่ไม่โดดเด่นในความรับรู้ ผู้ใช้ภาษาไทยโดยทั่วไปน่าจะมีโอกาสพบ เห็นและคุ้นเคยกับอวัยวะ “กะบังลม” น้อยกว่าส่วนของเครื่องดนตรี การขยายความหมายของ คำว่า “กะบัง” จึงน่าจะขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ไปเรียก “กะบังลม” ในปี่ ก่อนจะขยายความหมายไปเป็นคำเรียกอวัยวะ การขยายความหมายจากคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “กะบังลม” ไปสู่คำเรียก อวัยวะ “กะบังลม” น่าจะเกิดกระบวนการอุปลักษณ์ไปใช้เรียกแผ่นกั้นระหว่างช่องอกกับช่อง ท้องก่อน เนื่องจากมีลักษณะที่เชื่อมโยงกับอวัยวะ “กะบังลม” ได้ คือ เป็นแผ่นกั้นและมีความ


18 เกี่ยวข้องกับลม แล้วจึงขยายความหมายไปสู่อวัยวะ “กะบังลม” ที่พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามไว้ว่าหมายถึงบริเวณระหว่างหัวหน่าวกับสะดือ ผู้เขียนสันนิษฐานว่าความหมายของ “กะบังลม” ที่ว่าหมายถึงบริเวณระหว่าง หัวหน่าว กับสะดือนั้นแท้จริงแล้วน่าจะหมายถึงกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็น กล้ามเนื้อ เอ็น และแผ่นพังผืด ซึ่งมีหน้าที่พยุงหรือยึดอวัยวะในอุ้งเชิงกราน มีลักษณะเป็นแผ่น และมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับ “กะบังลม” ซึ่งเป็นแผ่นกั้นระหว่างช่องอกกับช่องท้อง คำว่า “กะบังลม” จึงน่าจะขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์จากแผ่นกั้นระหว่างช่องอกกับ ช่องท้องไปใช้เรียกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่าเส้นทางพัฒนาการของคำว่า “กะบังลม” น่าจะเริ่มจากคำว่า “กะบัง” ซึ่งเป็นคำเรียกส่วนของวัตถุขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ไปใช้เรียกส่วน ของเครื่องดนตรีปี่ที่เรียกว่า “กะบังลม” จากนั้น “กะบังลม” จึงได้ขยายความหมายผ่าน กระบวนการอุปลักษณ์ไปใช้เรียกแผ่นกั้นระหว่างช่องอกกับช่องท้อง แล้วจึงขยายความหมาย ผ่านกระบวนการอุปลักษณ์อีกครั้งไปใช้เรียกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 2. กะโหลก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “กะโหลก” ไว้ว่า “กระดูกที่หุ้มมันสมอง” ส่วนในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย “กะโหลก” เป็นคำ เรียกส่วนของเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น ซออู้ ซอสามสาย อนึ่ง คำว่า “กะโหลก” นี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามไว้ด้วยว่า “ส่วนแข็งที่หุ้มเนื้อมะพร้าวหรือตาลเป็น ต้น เรียกว่า กะโหลกมะพร้าว กะโหลกตาล” และ “ภาชนะที่ทำด้วยกะโหลกมะพร้าวโดยตัดทาง ตาออกพอเป็นช่องกว้างเพื่อใช้ตักนํ้า” “กะโหลก” ของซอเป็นส่วนที่ทำจากกะลามะพร้าวนำมาตัด คำเรียกส่วนของเครื่อง ดนตรีไทย “กะโหลก” จึงอาจไม่ได้ขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์มาจากคำเรียก อวัยวะ “กะโหลก” โดยตรงแต่ขยายความหมายผ่านกระบวนการนามนัยมาจากคำเรียกส่วนของ มะพร้าว “กะโหลก” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันในแง่ที่เป็นวัสดุที่นำมาสร้างกะโหลกซอ อย่างไรก็ดี เมื่อสืบค้นความหมายของคำว่า “กะโหลก” ในพจนานุกรมโบราณบางเล่มจะพบเฉพาะ


19 ความหมายเกี่ยวกับอวัยวะและภาชนะ และจะพบความหมายส่วนของมะพร้าวเมื่อมีส่วนขยาย หรือบริบทอื่น ๆ ประกอบเท่านั้น ความหมายส่วนของมะพร้าวจึงอาจไม่ใช่ความหมายดั้งเดิมของ “กะโหลก” การขยายความหมายของคำเรียกอวัยวะ “กะโหลก” ไปใช้เรียกส่วนของซอ น่าจะมี การขยายความหมายผ่านวงความหมายภาชนะ คือ เกิดการเชื่อมโยงลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ระหว่าง “กะโหลก” ของมนุษย์และภาชนะ “กะโหลก” คือรูปทรงที่ค่อนข้างเป็นทรงกลมและ กลวง ทำให้คำว่า “กะโหลก” ขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์จากคำเรียกอวัยวะ ไปสู่คำเรียกภาชนะ อนึ่ง หากพิจารณานิยามของ “กะโหลก” ในพจนานุกรมบางเล่มซึ่งให้ภาพ ภาชนะกะโหลกว่าเป็นภาชนะที่มีด้ามจับ อาจเชื่อมโยงลักษณะของอวัยวะ “กะโหลก” กับ ลักษณะของภาชนะ “กะโหลก” ในแง่ที่มีส่วนที่ยาวออกไปต่ออยู่ด้วยได้ ในกรณีของอวัยวะ กะโหลก ส่วนที่ยาวออกไปอาจเทียบได้กับกระดูกสันหลัง ส่วนกรณีของภาชนะกะโหลก ส่วนที่ ยาวออกไปอาจเทียบได้กับด้ามจับ จากนั้นจึงเกิดการเชื่อมโยงลักษณะที่คล้ายคลึงกันระหว่าง ภาชนะ “กะโหลก” และ “กะโหลก” ซอ กล่าวคือ เป็นสิ่งที่ทำจากส่วนแข็งที่หุ้มเนื้อมะพร้าว นำมาตัด ทำให้คำว่า “กะโหลก” ขยายความหมายผ่านกระบวนการอุปลักษณ์จากคำเรียก ภาชนะไปสู่คำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี อนึ่ง หากพิจารณาลักษณะของ “กะโหลก” ในแง่ที่มี ส่วนที่ยาวออกไปต่ออยู่ด้วย ในกรณีของ “กะโหลก” ซอ ส่วนที่ยาวออกไปก็เทียบได้กับคันซอ 3. ขา พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ขา” ไว้ว่า “อวัยวะตั้งแต่ตะโพกถึงข้อเท้า สำหรับยันกายและเดินเป็นต้น (ไทยถิ่นอื่น ขา หมายความตั้งแต่ ตะโพกถึงเข่า)” ส่วนในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย “ขา” เป็นคำเรียกส่วนของเครื่อง ดนตรีบางชนิด เช่น จะเข้ การขยายความหมายของคำว่า “ขา” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยเกิดขึ้นผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “ขา” ของมนุษย์และ “ขา” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ ขาของเครื่องดนตรี เป็นส่วนที่ยื่นมาจากส่วนหลักซึ่งเทียบได้กับลำตัวมนุษย์ และเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของเครื่อง ดนตรีเช่นเดียวกับ “ขา” ของมนุษย์ที่เป็นส่วนที่รับน้ำหนักร่างกาย


20 4. แข้ง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “แข้ง” ไว้ ว่า “ส่วนหน้าของขา ใต้เข่าลงไปถึงข้อเท้า, หน้าแข้ง ก็ว่า, ราชาศัพท์ว่า พระชงฆ์.” ในวง ความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย คำว่า “แข้ง” ปรากฏในคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “แข้งไก่” ซึ่งเป็นส่วนของคันซอของซอสามสายที่ต่อจากกะโหลกลงไป มีหน้าที่เป็นฐานรองรับ น้ำหนัก ปลายทวนล่างมีเข็มโลหะท่อนกลม ปลายแหลม ใช้ปักยึดซอให้มั่นคง การขยายความหมายของคำว่า “แข้ง” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่คำว่า “แข้งไก่” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย น่าจะขยายความหมายผ่านวงความหมายส่วนของ ร่างกายสัตว์ กล่าวคือ เกิดการเชื่อมโยงลักษณะที่เทียบกันได้ระหว่าง “แข้ง” ของมนุษย์และ “แข้ง” ไก่ เนื่องจากทั้งมนุษย์และไก่ต่างก็มีส่วนของร่างกายที่ใช้ยืนซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปจาก ส่วนหลักหรือลำตัว เรียกว่า “ขา” ซึ่งสามารถแบ่งเป็นส่วนบนและส่วนล่างได้ ในกรณีของมนุษย์ อาจแบ่งด้วยข้อพับคือเข่า ส่วนกรณีของไก่ อาจแบ่งเป็นส่วนบนที่มีขนปกคลุมและส่วนล่างที่ไม่มี ขนปกคลุม คำเรียกอวัยวะ “แข้ง” ในมนุษย์จึงสามารถขยายความหมายผ่านกระบวนการ อุปลักษณ์ไปใช้เรียกส่วนหน้าของขาส่วนล่างในไก่ได้ จากนั้น จึงเกิดการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “แข้ง” ของไก่ และ “แข้งไก่” ในซอสามสาย กล่าวคือ มีผิวไม่เรียบ มีลาย เรียงต่อกันเป็นชั้น ๆ ในกรณีของไก่ ขาส่วนล่างของไก่ซึ่งไม่มีขนจะมีเกล็ดปกคลุมอยู่ ส่วนใน กรณีของซอสามสาย “แข้งไก่” มักจะมีการกลึงให้เป็นลูกแก้วซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อีกทั้งตำแหน่ง และหน้าที่ของ “แข้งไก่” ก็ยังเทียบได้กับ “แข้ง” ของไก่ เนื่องจาก “แข้งไก่” เป็นส่วนล่างของ คันทวนซอที่ยื่นต่อไปจากกะโหลกซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นส่วนหลักส่วนหนึ่งของซอสามสาย และเป็น ส่วนที่ช่วยให้ซอตั้งอยู่บนพื้นในขณะบรรเลงได้ จึงเทียบได้กับส่วนล่างของขาซึ่งเป็นส่วนของ ร่างกายของไก่ที่ยื่นออกไปจากลำตัวและใช้ในการยืน 5. ดาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ดาก” ไว้ ว่า “ปลายลำไส้ใหญ่ที่ทวารหนัก” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย “ดาก” เป็นคำ เรียกส่วนของขลุ่ย คือไม้อุดปากขลุ่ย นิยมใช้ไม้สักทองท่อนยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เหลาให้ คับแน่นกับร่องภายในของปากขลุ่ย ฝานให้เป็นช่องว่างลาดเอียงตลอดดาก เพื่อให้เป่าลมลงไปได้


21 การขยายความหมายของคำว่า “ดาก” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “ดาก” ของมนุษย์และ “ดาก” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ “ดาก” ของ เครื่องดนตรีเป็นส่วนที่อยู่ตอนปลายของเลาขลุ่ยซึ่งมีลักษณะเป็นท่อกลวง เช่นเดียวกับที่ “ดาก” เป็นอวัยวะส่วนปลายของลำไส้ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายท่อ 6. ตัว SEAlang Library Thai Dictionary ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ตัว” ไว้ว่า “body” ส่วน Bradley 1873 Thai Dictionary ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ตัว” ไว้ว่า “องค์, กาย, คือ ตน นั้น เอง” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย คำว่า “ตัว” ใช้เรียกส่วนหลักหรือกล่องเสียง ของเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น ขิม จะเข้ เครื่องดนตรีบางชนิดจะมีส่วน “ตัว” แยกจากส่วนอื่น อย่างชัดเจน เช่น ขิม แบ่งเป็นสองส่วนแยกจากกันได้ คือ ฝาและตัวขิม การขยายความหมายของคำว่า “ตัว” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยเกิดขึ้นผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ ซึ่งน่าจะเกิดจากการเชื่อมโยง ลักษณะที่คล้ายคลึงกันระหว่าง “ตัว” ของมนุษย์และ “ตัว” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ “ตัว” เครื่องดนตรีเป็นส่วนหลักของเครื่องดนตรีและเป็นที่ยึดของส่วนอื่น ๆ ที่ยื่นออกมา เช่นเดียวกับ “ตัว” ของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหลักของร่างกายที่มีรยางค์ยื่นออกมา 7. เท้า พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “เท้า” ไว้ ว่า “ตีน (ใช้ในความสุภาพ)” และให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ตีน” ไว้ว่า “อวัยวะส่วนล่างสุดของ คนหรือสัตว์ นับตั้งแต่ใต้ข้อเท้าลงไป สำหรับยืนหรือเดินเป็นต้น” ในวงความหมายส่วนของ เครื่องดนตรีไทย “เท้า” เป็นคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น ตะโพน ฆ้องมอญ หรือ ระนาด “เท้า” ของเครื่องดนตรีมีลักษณะร่วมกันคือเป็นส่วนที่อยู่ชิดติดกับพื้นรองรับเครื่อง ดนตรีไว้ การขยายความหมายของคำว่า “เท้า” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมายส่วน


22 ของเครื่องดนตรีไทยเกิดขึ้นผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ ซึ่งน่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “เท้า” ของมนุษย์และ “เท้า” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ “เท้า” ของเครื่อง ดนตรีเป็นส่วนที่อยู่ต่ำสุดของเครื่องดนตรี เช่นเดียวกับที่ “เท้า” เป็นอวัยวะส่วนล่างสุดของ มนุษย์ และหากมองว่าการตั้งอยู่บนพื้นของเครื่องดนตรีเทียบได้กับการยืนอยู่บนพื้นของมนุษย์ “เท้า” ของเครื่องดนตรีก็อาจทำหน้าที่เดียวกับ “เท้า” ของมนุษย์ด้วย 8. นม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “นม” ไว้ว่า “ส่วนของร่างกาย อยู่บริเวณหน้าอก มี 2 เต้า, ของผู้หญิงมีต่อมสำหรับผลิตน้ำนมเป็นอาหาร สำหรับลูกอ่อน ส่วนของผู้ชายมีขนาดเล็กและไม่มีน้ำนม” และให้นิยามคำเรียกส่วนของเครื่อง ดนตรี “นม” ไว้ว่า “ฐานที่รองรับสายจะเข้, ส่วนประกอบที่หนุนสายกระจับปี่” ในวงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทย “นม” เป็นส่วนของกระจับปี่และจะเข้ ทั้งกระจับปี่และจะเข้มีนม จำนวน 11 นม เรียงไปตามแนวยาวของเครื่องดนตรี นมกระจับปี่มีไว้สำหรับหนุนสาย อาจเรียก ได้อีกอย่างหนึ่งว่า “สะพาน” ส่วนนมจะเข้จะเป็นไม้เล็ก ๆ ทำเป็นสันหนา สำหรับรองรับการกด จากนิ้วมือขณะบรรเลงเพื่อให้ดีดได้เป็นเสียงต่าง ๆ กัน การขยายความหมายของคำว่า “นม” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “นม” ของมนุษย์และ “นม” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ นมของเครื่อง ดนตรีจะวางขวางอยู่บนส่วนของเครื่องดนตรีที่มีความยาว เช่น ทวนกระจับปี่ หรือตัวจะเข้ ซึ่ง อาจเทียบได้กับลำตัวของมนุษย์ และมีความสูงที่เพิ่มขึ้นมาจากส่วนยาวที่รองรับนั้น ในลักษณะ เดียวกับนมของมนุษย์ซึ่งเรียงขวางอยู่บนลำตัวและมีความสูงเพิ่มขึ้นมาจากลำตัวซึ่งรองรับนมไว้ 9. ลิ้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ลิ้น” ไว้ว่า “อวัยวะที่อยู่ในปาก มีหน้าที่ 1. กลั้วอาหารให้เข้ากันแล้วส่งลงในลำคอ 2. ช่วยในการออกเสียง 3. ให้รู้รส” และกล่าวถึงคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “ลิ้น” ไว้ว่า “โดยปริยายหมายถึงส่วนของ สิ่งต่าง ๆ มักมีรูปแบน ยาวหรือกลม ที่อยู่ภายใน ก็มี เช่น ลิ้นหีบ ลิ้นลุ้ง ที่อยู่ภายนอก ก็มี เช่น


23 ลิ้นของปี่” ส่วนของเครื่องดนตรี “ลิ้น” นี้ พบได้ในเครื่องดนตรีประเภทปี่ เป็นส่วนที่ทำด้วย ใบตาลซ้อน 4 ชั้น ตัดกลมผูกติดกับท่อลมเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่ากำพวด การขยายความหมายของคำว่า “ลิ้น” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “ลิ้น” ของมนุษย์และ “ลิ้น” ของปี่ กล่าวคือ ลิ้นของปี่เป็นส่วนที่มีลักษณะ กลมแบนเช่นเดียวกับลิ้นของมนุษย์ นอกจากคำว่า “ลิ้น” จะขยายความหมายจากคำเรียกอวัยวะไปเป็นคำเรียกส่วนของ ปี่แล้ว คำว่า “ลิ้นปี่” ยังขยายความหมายจากคำเรียกส่วนของปี่ไปเป็นคำเรียกอวัยวะด้วย พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยาม “ลิ้นปี่” ไว้ว่า “ส่วนปลายล่างของ กระดูกอกที่ย้อยลงมาในผนังหน้าท้องส่วนบน” การขยายความหมายของคำว่า “ลิ้นปี่” จากวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย ไปสู่วงความหมายอวัยวะผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “ลิ้น” ของปี่และ “ลิ้นปี่” ของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนปลายสุดของกระดูกสันอก รูปร่างของกระดูกสันอกของมนุษย์อาจเทียบได้กับปี่กลับหัว เนื่องจากกระดูกสันอกประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนปลาย ส่วนกลางซึ่งเป็นส่วนหลักมีลักษณะค่อนข้างแคบ และยาวคล้ายเลาปี่ ส่วนบนมีลักษณะบานออกคล้ายลำโพงหรือทวนล่างของปี่ เมื่อเชื่อมโยง ส่วนบนและส่วนกลางของกระดูกอกเข้ากับปี่แล้ว ส่วนปลายซึ่งเป็นส่วนที่ตรงและเรียว ยื่นลงมา จากส่วนกลางก็อาจเชื่อมโยงกับ “ลิ้น” ของปี่ซึ่งเป็นส่วนปลายสุดของปี่และติดอยู่กับท่อลม เล็ก ๆ ซึ่งมีลักษณะตรงและเรียว 10. ไส้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “ไส้” ไว้ว่า “ส่วนของทางเดินอาหารซึ่งอยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับทวารหนัก เป็นท่อยาวขดไปขดมาอยู่ ในช่องท้อง มีหน้าที่ย่อย ดูดซึมอาหารและนํ้า พักและขับถ่ายกากอาหาร, ลำไส้ ก็เรียก” ในวง ความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย คำว่า “ไส้” ปรากฏในคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “ไส้ ละมาน” ซึ่งเป็นส่วนของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนังบางชนิด เช่น ตะโพน เปิงมาง โดย


24 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “ไส้ ละมาน” ไว้ว่า “หนังหรือหวายที่ถักไว้รอบ ๆ ขอบหนังทั้ง 2 หน้าของกลอง สำหรับให้หนังเรียด ร้อยกลับไปกลับมาในระหว่างหนังทั้ง 2 หน้าจนรอบตัวกลองเพื่อเร่งเสียง” การขยายความหมายของคำว่า “ไส้” น่าจะขยายจากวงความหมายอวัยวะไปสู่คำว่า “ไส้ละมาน” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย แต่จะมีการขยายความหมายผ่านวง ความหมายอื่น ๆ หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ละมาน” ในคำว่า “ไส้ละมาน” คืออะไร ในเบื้องต้น ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการขยายความหมายของคำว่า “ไส้” จากวง ความหมายอวัยวะไปสู่คำว่า “ไส้ละมาน” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทยผ่าน กระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่คล้ายคลึงกันระหว่าง “ไส้” ของ มนุษย์และ “ไส้ละมาน” ของเครื่องดนตรี กล่าวคือ “ไส้ละมาน” ที่ทำจากหวายหรือหนังตีเกลียว เป็นเส้นเล็ก ๆ นี้ น่าจะมีลักษณะเด่นคือมีความยาว อาจเทียบได้กับ “ไส้” ของมนุษย์ซึ่งเป็น อวัยวะที่มีลักษณะเด่นในด้านความยาวเช่นกัน 11. หน้า พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “หน้า” ไว้ ว่า “ส่วนของศีรษะตั้งแต่หน้าผากลงมาจดคาง” และให้นิยามคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “หน้า” ไว้ว่า “ด้านของเครื่องตีที่ขึงด้วยหนัง เช่น หน้ากลอง” ส่วนของเครื่องดนตรี “หน้า” พบได้ในเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนัง เช่น โทน รำมะนา ตะโพน กลองแขก และในเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี ได้แก่ ซออู้ ซอด้วง ซอสามสาย ก็พบ “หน้า” ที่มีลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ “หน้า” ของซอจะเป็นส่วนที่ขึงวัสดุบาง เช่น หนัง แพะ หนังลูกวัว ผู้เขียนสันนิษฐานว่าลักษณะของส่วนของเครื่องดนตรี “หน้า” ที่ทำให้เกิดการ เชื่อมโยงคำว่า “หน้า” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีน่าจะ เป็นลักษณะที่เด่นที่สุด “หน้า” ที่เป็นของส่วนของเครื่องดนตรี คือ ความแบนราบ สังเกตได้จาก สำนวนในภาษาไทยที่ว่า “ราบเป็นหน้ากลอง” หมายความว่า “ราบเรียบ, หมดเสี้ยนหนาม” ซึ่ง


25 แสดงให้เห็นว่าส่วนของเครื่องดนตรี “หน้า” มีลักษณะของความแบนราบที่โดดเด่นเป็นที่สังเกต ของผู้ใช้ภาษาไทย จึงนำไปใช้เป็นแบบเปรียบของความแบนราบได้ นอกจากนี้ คำว่า “หน้า” ยังปรากฏในคำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “หน้าพระ” ซึ่ง เป็นส่วนของฆ้องมอญ ฆ้องมอญมีรางที่มักประดิษฐ์ตกแต่งสวยงาม หัวโค้งของรางฆ้องมอญ โบราณทางด้านซ้ายของผู้ตีนิยมแกะเป็นรูปตัวกินนร เรียกว่า “หน้าพระ” การขยายความหมาย ของคำว่า “หน้า” จากคำเรียกอวัยวะไปสู่คำเรียกส่วนของเครื่องดนตรี “หน้าพระ” น่าจะเกิด จากกระบวนการอุปลักษณ์ โดยเชื่อมโยงลักษณะที่เหมือนกันระหว่าง “หน้า” ของมนุษย์และ “หน้าพระ” ของฆ้องมอญ คือเป็นส่วนที่มักได้รับความสำคัญ มักได้รับการตกแต่งเป็นพิเศษกว่า ส่วนอื่น 12. หัว พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำเรียกอวัยวะ “หัว” ไว้ว่า “ส่วนบนสุดของร่างกายของคนหรือสัตว์” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย “หัว” เป็น คำที่ใช้เรียกส่วนปลายของไม้ตีเครื่องตีบางชนิด เช่น ระนาด ฆ้อง การขยายความหมายของคำว่า “หัว” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมาย ส่วนของเครื่องดนตรีไทยผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงลักษณะที่ คล้ายคลึงกันระหว่าง “หัว” ของมนุษย์และ “หัว” ของไม้ตี กล่าวคือ หัวของไม้ตีเป็นส่วนที่อยู่ ปลายสุดของไม้ตี ในลักษณะเดียวกับที่หัวของมนุษย์เป็นอวัยวะที่อยู่บนสุดหรือปลายสุดของ ร่างกาย 13. อก ในวงความหมายอวัยวะ “อก” หมายถึง “ส่วนของร่างกายด้านหน้าอยู่ระหว่างคอกับ ท้อง” ส่วนในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย คำว่า “อก” ปรากฏในคำเรียกส่วนของ เครื่องดนตรี “รัดอก” ซึ่งเป็นส่วนของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนังบางชนิด เช่น กลองแขก ตะโพน เปิงมาง และเป็นส่วนของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี ได้แก่ ซออู้ ซอด้วง ซอสามสาย


26 “รัดอก” ในเครื่องหนังและเครื่องสีมีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นสิ่งที่มีความยาว เช่น สายไหมหรือเชือกไนล่อน พันอยู่รอบส่วนหลักของเครื่องดนตรี เช่น คันซอ ในกรณีของซอ รัดอก จะรั้งสายของซอเข้ากับคันซอเพื่อให้ได้เสียงสายเปล่าที่ชัดเจน การขยายความหมายของคำว่า “อก” จากวงความหมายอวัยวะไปสู่คำว่า “รัดอก” ในวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย ผ่านกระบวนการอุปลักษณ์ น่าจะเกิดจากการเชื่อมโยงตำแหน่งที่เทียบกันได้ระหว่าง “อก” ของ มนุษย์และตำแหน่งของ “รัดอก” ในเครื่องดนตรี กล่าวคือ “อก” เป็นส่วนที่อยู่บนลำตัวของ มนุษย์ ส่วน “รัดอก” พันรัดขวางอยู่บนส่วนหลักของเครื่องดนตรีซึ่งอาจเทียบได้กับลำตัวของ มนุษย์ “รัดอก” จึงเทียบได้กับสิ่งที่ “รัด” อยู่ที่ “อก” นั่นเอง สรุป จากผลการวิจัย สังเกตได้ว่าคำหลายความหมายที่มีการขยายความหมายระหว่างวง ความหมายอวัยวะและวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย ส่วนใหญ่จะขยายความหมายจาก วงความหมายอวัยวะไปสู่วงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย สอดคล้องกับแนวโน้มในหลาย ภาษาที่มักจะถ่ายโอนความหมายจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานและเป็นรูปธรรม เช่น อวัยวะ ไปสู่สิ่งที่มี ไกลตัวหรือเป็นนามธรรมมากกว่า เช่น วัตถุ มีคำเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการขยายความหมาย จากวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทยไปสู่วงความหมายอวัยวะ ได้แก่ กะบังลม และ ลิ้นปี่ ซึ่งเป็นคำเรียกอวัยวะภายในและอาจเป็นคำเรียกของอวัยวะที่ไม่โดดเด่นในความรับรู้ คำเรียก ส่วนของเครื่องดนตรีไทยจึงสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์กับเครื่องดนตรี เพราะ แสดงให้เห็นว่ามีส่วนของเครื่องดนตรีหลายส่วนที่เปรียบได้กับส่วนของร่างกายมนุษย์ อนึ่ง กระบวนการอุปลักษณ์เป็นกระบวนการที่มีบทบาทค่อนข้างชัดเจนในการขยายความหมาย ระหว่างวงความหมายอวัยวะและวงความหมายส่วนของเครื่องดนตรีไทย เนื่องจากเป็นการขยาย ความหมายโดยพิจารณาจากรูปร่างที่เชื่อมโยงกันได้เป็นสำคัญ


27 บรรณานุกรม ภาษาอังกฤษ Ernst, O. (Ed.). (1988). The Ciba collection of medical illustrations. 2: Reproductive system (8. print). Ciba. Evans, V., & Green, M. (2006) . Cognitive linguistics: An introduction. Edinburgh University Press. Éva, K. (2011). Polysemy in Traditional vs. Cognitive Linguistics. Eger Journal of English Studies XI, 3–19. Hopper, P. J., & Traugott, E. C. (2003) . Grammaticalization (2nd ed). Cambridge University Press. Kraska-Szlenk, I. (2014). Semantic extensions of body part terms: Common patterns and their interpretation. Language Sciences, 44, 15–39. Kraska-Szlenk, I. (Ed.). (2020). Body part terms in conceptualization and language usage (Vol. 12). John Benjamins Publishing Company. ภาษาไทย กระดูกสันอก. (ม.ป.ป.). https://th.wikipedia.org/wiki/กระดูกสันอก มิ่งมิตร ศรีประสิทธิ์. (2552). คำสองพยางค์ที่ขึ้นต้นด้วย C(r)a ในภาษาไทย [วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). เข้าถึงได้จาก http://cuir.car.chula.ac.th /handle/123456789/16915 ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (พิมพ์ครั้งที่ 2). ราชบัณฑิตยสถาน. วีรวัฒน์ เสนจันทร์ฒิไชย. (2555). กรรมวิธีการสร้างซอสามสายของครูวินิจ พุกสวัสดิ์ [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. Chulalongkorn


28 University Intellectual Repository (CUIR). เข้าถึงได้จากhttp://cuir.car. chula.ac.th/handle/123456789/44215 สมหมาย ถุงสุวรรณ. (2523). นรีเวชวิทยา. โครงการตำรา-ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราช พยาบาล. สมบูรณ์ คุณาธิคม, สุวนิตย์ ธีระศักดิ์วิชยา, และภาคภูมิ โพธิ์พงษ์. (2544). นรีเวชวิทยา (พิมพ์ ครั้งที่ 2). ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2533). เอกสารการสอนชุด วิชา 22311 ภาษาไทย 3 (พิมพ์ครั้งที่ 4). มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2560). สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคคีตะ-ดุริยางค์ ฉบับราช บัณฑิตยสภา (พิมพ์ครั้งที่ 3). สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. สุด แสงวิเชียร. (ม.ป.ป.). คู่มือกายวิภาคสาตรช่วยในการเรียนชำแหละสพ. ม.ป.พ. ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ Bradley 1873 Thai Dictionary. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากhttp://sealang. net/dictionary/bradley SEAlang Library Thai Dictionary. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากhttp://sealang. net/thai/dictionary.htm. คลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.arts .chula.ac.th/ling/tnc3/. พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์. (2564). สัพะพะจะนะพาสาไทออนไลน์[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://dlto.onrender.com/ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. ไส้ตรงปลิ้น [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.bumrungrad.com/th/conditions/rectal-prolapse โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์. อวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/pelvic-organprolapse


29 บทสัมภาษณ์พี่เก่าชมรมดนตรีไทย ยิ่งกาลเวลาผ่านพ้นไปมากเท่าไหร่ ความทรงจำที่ร่วงหล่นหายไปตามรายทางก็มีมาก ขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะกับเรื่องราวที่เก่าแก่มากเสียจนเทคโนโลยีไม่สามารถช่วยเราบันทึกเสี้ยว วินาทีสำคัญเหล่านั้นเอาไว้ได้ เช่นเดียวกับชมรมดนตรีไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ยืนยงคงคู่ กับรั้วจามจุรีแห่งนี้มาอย่างยาวนาน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเศษเสี้ยวความทรงจำและ บรรยากาศของเสียงดนตรีสูญหายไปตามการหมุนเปลี่ยนเวียนผันของกาลเวลา จนบางครั้งรูป ถ่ายเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของชมรมให้แก่สมาชิกรุ่นหลังได้ แต่ใช่ว่าจะ ไม่มีหลักฐานอื่นใดหลงเหลืออยู่ เพราะยังมีรุ่นพี่อีกจำนวนมากที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว เหล่านั้นเพื่อพาเราไปสัมผัสกับบรรยากาศอันหอมหวานของชมรมได้ บทสัมภาษณ์นี้จึงเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำที่รวบรวมเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของชมรมดนตรีไทย ผ่านการบอกเล่าของรุ่นพี่ในแต่ละเจเนอเรชัน ได้แก่ พี่เต้ย – ณัฐพันธุ์ นุชอำพันธ์(อบ. 58) ผู้ก่อตั้งวงวิเศษดนตรีที่จะพาพวกเราย้อนอดีตไปในยุคที่ห้องชมรมดนตรี ไทยยังมีขนาดเพียงสี่คูณสี่เมตรเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นการเล่าเรื่องราวความคลาสสิคของการเรียน การสอนในชมรม จากนั้นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อาจารย์อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล (อบ. 66) จะเป็น ผู้เชื่อมเรื่องราวของชมรมในอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน โดยการบอกเล่าความทรงจำในฐานะผู้ สังเกตการณ์ที่ได้เฝ้ามองการเติบโตของชมรมตลอดมา และท้ายที่สุด พี่พอมแพม – พรรษชล ขาวดี(อบ. 84) จะมาเล่าถึงประสบการณ์ในยุคที่ชมรมมีความเข้มแข็งจนเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในกิจกรรมระดับมหาวิทยาลัยอย่างงาน “สามมิตรสราญรมย์” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีที่พี่พอม แพมเป็นประธานชมรมดนตรีไทย


30 พี่เต้ย ณัฐพันธุ์ นุชอำพันธ์, อบ. 58 ผู้ก่อตั้งวงวิเศษดนตรี บรรยากาศของชมรมดนตรีไทย คณะอักษรฯ ในสมัยที่พี่เต้ยเป็นสมาชิกของชมรม เป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องราวของห้องชมรมในตึกเก่า ตอนนั้นตึกอักษรศาสตร์มีสี่ตึก ตึกหนึ่งตึกสองก็ที่เราเห็นเป็นทรงไทยซึ่งใช้เรียนกัน ปกติ เด็กอักษรฯ จะได้เรียนกันทั้งสองตึกเลย ตึกสามก็กลายเป็นลาน (หน้าตึกมหาจักรีฯ) ส่วน ตึกสี่อยู่ติดกับโรงอาหารในตำแหน่งเดิมเป็นตึกสี่ชั้น พอขึ้นตึกชั้นหนึ่งไปแล้วทางซ้ายจะเป็นห้อง ก.อศ. (คณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์) ในห้องนี้จะมีมุมนึงกั้นเป็นห้องของชมรมดนตรีไทย ห้องไม่ใหญ่ประมาณสักสี่คูณสี่เท่านั้นเอง เครื่องดนตรีก็มีไม่มาก เท่าที่พี่จำได้จะมีเครื่องทองของ คณะที่เป็นระนาดปิดทองและร่องเป็นสีเขียว มีพวกซอ มีเครื่องสาย มีจะเข้ มีขิม ประมาณนี้ เพราะว่าด้วยจำนวนวงแค่นั้นก็เต็มห้องแล้ว เข้าไปก็แทบไม่มีทางเดิน แล้วครูผู้สอนดนตรีไทย ณ ขณะนั้นคือใคร เรียกว่าเป็นโชคดีของคณะเราที่ตอนนั้นคุณครูคือ “ครูอุทัย แก้วละเอียด”ซึ่งต่อมา ท่านได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ครูท่านสอนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเทพฯ ทรงเรียนอยู่ที่คณะอักษรฯ แล้วก็สอนเรื่อยมาจนถึงรุ่นของพี่ หลังจากนั้นไม่กี่ปี ท่านก็ออกไปแต่ไม่ทราบว่าท่านไปสอนที่ ไหนต่อเพราะท่านสอนหลายสถาบันเลยแหละ นอกจากคณะอักษรฯ แล้ว ท่านก็ยังไปสอนที่ คณะแพทย์ด้วย ครูท่านสอนทั้งปี่พาทย์และเครื่องสายเลยหรือไม่ ใช่ ท่านสอนทั้งสองอย่าง บางทีเหมือนกับว่าท่านคิดทางให้ใหม่เลย ถ้าสมมติเผอิญว่า มีนักดนตรีที่เรียนมาแล้ว มีทักษะที่ดี มีฝีมือถึง ท่านก็จะคิดทางเดี่ยวให้เลย บางทีคิดสด ๆ เดี๋ยว นั้นเลยด้วยซ้ำ ท่านไม่ได้ต่อมาจากใคร


31 แสดงว่าสมาชิกของเรามีฝีมือเยอะหรือเปล่า ที่มีฝีมือก็มีบ้างนะ บางคนที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนแล้ว เขาก็ยังไม่ทิ้งและมาเข้า ชมรมกันที่คณะก็มี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบมือสมัครเล่นที่เพิ่งมาเรียนดนตรีเอาเมื่อเข้าอักษร แล้ว ครูอุทัยท่านสอนขับร้องด้วยหรือไม่ หรือมีคนอื่นมาสอนแทน ตอนนั้น คนร้องเพลงจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ (ครูอู๊ด จารุวรรณ ชลประเสริฐ) จริง ๆ แล้วเวลาออกงาน คณะเราก็ไม่ค่อยได้มีงานร้องเท่าไหร่ ถ้ามีร้องก็จะเป็นคุณครูท่านนี้เป็น คนร้องเพลงเพราะท่านเป็นลูกศิษย์อาจารย์เจริญใจอีกที ตอนนี้ท่านเกษียณจากคณะเราหลายปี ละ ตอนนั้นสมาชิกของชมรมมีประมาณเท่าไหร่ ไม่มากนะ ถ้าประมาณเท่าที่เห็นก็เรียกได้ว่าน้อย จะเกณฑ์ได้ถึงสิบห้าคนเรียกว่ามาก แล้วล่ะ แต่ขาประจำจริงก็แค่สักไม่ถึงสิบคนเอง พี่ไม่ทราบว่ามันเป็นเพราะการเรียนของคณะเรา หนักหรือเปล่าจนทำให้ทุกคนอาจจะมุ่งไปทางวิชาการ พอมีเวลาว่างเล็กน้อยก็เลยไม่สนใจตรงนี้ ทำให้มีคนน้อยต่อชั้นปี ชั้นปีพี่มีแค่สักสี่ห้าคน รุ่นก่อนหน้าก็ชั้นปีละสองสามคนเท่านั้นเอง ตอนนั้นประเภทวงเป็นอย่างไร สมาชิกชมรมจะเน้นไปทางปี่พาทย์หรือเครื่องสาย มากกว่ากัน จริง ๆ ก็คือเครื่องสายเพราะคณะเรามีผู้หญิงเยอะ การที่ผู้หญิงคนนึงจะไปหัดตี ระนาด ตีฆ้อง เขาก็คงรู้สึกว่าไม่สวยงามเท่าไปนั่งดีดจะเข้สวย ๆ หรือตีขิมหรือสีซอ แต่ก็มีรุ่นพี่ บางคนที่เป็นผู้หญิงตีระนาด เขาเรียนกับครูอุทัยมาก่อน แต่เหมือนกับว่าทักษะของเขาก็ไม่ค่อย แข็งแรงคือเขาเรียนแบบเรียบร้อย ๆ ประมาณนี้ พี่เป็นระนาดเข้าไปก่อนแล้ว พอเจอครูอุทัย ท่านก็ชอบเพราะชอบให้ผู้ชายเล่นปี่พาทย์ เลยเลื่อนพี่คนนั้นไปตีฆ้องเล็ก พี่ก็มาเสียบเป็นคน ระนาดแทน พี่ก็ตะขิดตะขวงเหมือนเราไปแย่งตำแหน่งหน้าที่เขาหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร มาก รูปแบบวงก็แล้วแต่งานที่เราจะไปแสดง แต่ก็ไม่ได้เน้นถึงว่ามันจะต้องเป็นปี่พาทย์ถูก ๆ หรือ


32 เครื่องสายแบบเป๊ะ ๆ เพราะว่าพอมีหลายคน ใครเล่นได้ก็แจมด้วยกันได้หมดเหมือนกับการผสม รูปแบบวงพิเศษ ประเภทเพลงที่เล่นจะเน้นไปทางเพลงประเภทไหน และหนักมากไหม ส่วนมากจะเป็นเพลงเถา แต่ที่แน่ ๆ ที่เราต้องได้คือ “โหมโรงอักษรศาสตร์” ซึ่งเข้า มายังไงก็ต้องโดนต่อ เราต้องได้กันทุกคน นอกจากนั้นเพลงตามงานที่เราควรรู้ เพลงหากินทั่วไป เช่น เขมรไทรโยค ลาวดวงเดือน มยุราภิรมย์ เพลงเถา แขกมอญบางขุนพรหม ราตรีประดับดาว ประมาณนี้ ถ้าเป็นประเภทเพลงตับก็ครูไม่ค่อยได้ต่อเท่าไหร่ แต่เพลงเดี่ยวก็จะเป็นเรื่องของแต่ ละบุคคลว่าใครมีฝีมือถึง ครูก็จะต่อให้ พอพูดถึงงานแสดงแล้ว งานส่วนใหญ่ของเราที่ได้ไปแสดงจะเป็นงานประเภทใด ถ้างานประจำก็จะมีพวกบันทึกเทปถวายพระพร ทั้ง 12 สิงหาฯ หรือ 5 ธันวาฯ ตอน นั้นความเป็นนิสิตของเราไม่ค่อยได้จัดการอะไรตรงนี้หรอก เพราะว่าคุณครูหรืออาจารย์จะเป็น คนหางานมา ท่านก็จะดำเนินงานทุกอย่าง ติดต่อช่องทีวี เหมือนเรามีหน้าที่ไปเล่นอย่างเดียว ซ้อมเพลงไป ถ้าเป็นงานใกล้ตัวก็เช่นงานวันเกิดคณะ งานเกษียณครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นโอกาส พิเศษ บางทีภาควิชามีงานเขาก็จะให้เราไปเล่นอย่างสมัยที่ภาควิชาภาษาไทยจัดขึ้น เช่น วันสุนทรภู่ เขาก็มีเล่นหุ่นกระบอกเรื่องพระอภัยมณี วงเราก็ได้ไปเล่น ตามที่พี่เต้ยบอกว่าคณะเราเป็นคณะที่เรียนค่อนข้างเยอะ แล้วการที่มาอยู่ใน ชมรมนี้ พี่คิดว่ามันหนักไหมหรือดนตรีมีส่วนช่วยในการฮีลจิตใจเราอย่างไร ดนตรีก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนได้เหมือนกัน เพราะว่าบางทีเราไป เจอวิชาการหนักหน่วงมาทั้งวัน เลยรู้สึกว่าต้องการอะไรที่ผ่อนคลายบ้าง ดนตรีก็เลยช่วยได้ แต่ ถ้าส่วนตัวพี่จะชิวกับการเรียนมากกว่า แต่ก็ตั้งใจอยู่นะ พี่ไม่ค่อยได้คร่ำเคร่งเท่าไหร่ก็เลยเล่น ดนตรีเป็นหลักซะมากกว่า


33 ในฐานะที่เป็นนักดนตรีมืออาชีพ พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับชมรมของเราที่เป็น นักดนตรีมือสมัครเล่นบ้าง พี่จะขอเปรียบเทียบให้ฟังว่า สมัยก่อนที่ครูมาสอน ท่านก็สอนที่ราชภัฏจันทรเกษม ด้วย ที่นั่นท่านก็สอนเด็กที่เรียนดนตรีสายตรงเลย เพราะฉะนั้นเขาก็จะบอกว่า “โห ฝีมือจัดจ้าน” แบบปี่พาทย์มือดีไหว ๆ เลย แต่หันมามองของเราเนี่ย แต่ละคนก็ก๊องแก๊งว่าจะรอดไม่รอด แต่สิ่ง ที่ต่างคือครูท่านชมนะว่า “แหม เด็กอักษรฯ นี่หัวดีจังเลยนะ ให้อะไรมันได้หมดเลย” ครูบอกว่า ครูมีความสุขที่จะต่อให้พวกเราเพราะให้อะไรก็จำได้ แต่ครูไม่ได้ซีเรียสเรื่องฝีมือเราจะไม่ดี หรือไม่คล่อง เอกลักษณ์ของชมรมเราคือเรื่องของความจำใช่ไหม ใช่ มันเหมือนเป็นอะไรที่ทดแทนกันได้คือดีกันไปคนละอย่าง เราหัวดีแต่ทักษะไม่เท่า ทีนี้ในความที่เป็นมืออาชีพกับมือสมัครเล่น พี่ว่ามืออาชีพเรื่องทักษะต้องมานำด้วยความที่เขามือ อาชีพ การฝึกฝนของเขาก็ต้องสูงมาก แต่ของเราไปเรียนวิชาการซะเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าเราได้ ฝึกทักษะอย่างเข้มข้น พี่ว่าเราก็ตามทันพวกนี้และเรามีความรู้ด้านอื่นด้วย เพราะเราเรียนอักษรฯ เรารู้ภาษา อย่างตัวพี่เองก็เรียนอักษรฯ แล้วเล่นดนตรีด้วย แต่ไม่อยากเรียกว่าเป็นมืออาชีพ เพราะเราไม่ได้ทำเป็นอาชีพ พี่จบอักษรฯ มาก็ไปทำงานเป็นลูกเรือบินไปประเทศนั้นประเทศนี้ แต่ความที่เรายังไม่ทิ้งดนตรีก็จะมีโอกาสได้ใช้แน่นอน เช่นพี่เองพอเข้าบริษัทการบินไทยแล้วก็ยัง ได้เล่นดนตรีอยู่เพราะเขามีชมรม พอพี่เข้าไปก็รู้จักหลายคนอยู่แล้วด้วยเหมือนกับว่าดนตรีสร้าง สังคมและมิตรภาพ พอมาอยู่บริษัทนี้พี่ก็เลยได้ไปเล่นดนตรีที่ต่างประเทศในนามบริษัทด้วย คราวนี้ความสมัครเล่นของเราทำให้เราเห็นโลกกว้างมากกว่า เพราะเราแหย่ขาข้าง หนึ่งเข้าไปคลุกคลีในวงล้อมของดนตรี ส่วนอีกข้างหนึ่งเราอยู่โลกกว้างเพราะต้องทำมาหากินด้าน อื่น เวลาเขียนใบสมัครว่ามีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง เราก็จะเป็นคนที่ได้ทั้งภาษาที่สามและ เล่นดนตรี คือมีคุณสมบัติหลาย ๆ อย่าง อันนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบของการที่เราไม่มืออาชีพ เหมือนกัน


34 ทีนี้ความเหมือนหรือความต่างในแง่การแสดงดนตรีไทยของมืออาชีพกับมือ สมัครเล่นมีอะไรบ้าง พี่เห็นว่าสิ่งที่เรา (มือสมัครเล่น) จะได้เปรียบคนที่เรียนดนตรีสายตรงคือเขาต้องมี ทฤษฎีหรือหลักการ เช่น ดนตรีต้องประสมวงอย่างไร แต่เราเป็นสายนอก โอเค เราอาจเรียนกับ ครูแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นกรอบมาครอบเรา ยกตัวอย่างเช่นพี่เนี่ย พี่ทำวงวิเศษดนตรี ถ้าไปดูนะ แทบจะเหมือนกับว่าไม่ค่อยได้ตามแบบแผนเท่าไร มันจะมีแอบนอกกรอบ แหกคอกอยู่บ้าง จริง ๆ พี่ไม่อยากใช้คำว่านอกกรอบเพราะเหมือนกับสวนกระแสสังคม แต่พี่อยากให้ใช้คำว่า ทำไมเราไม่ขยายกรอบของดนตรีไทยให้มันกว้างขึ้น การกว้างขึ้นเท่ากับว่าเปิดยอมรับอะไร ใหม่ ๆ เราสามารถทำอะไรได้มากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ไม่ได้ผิดกฎ มันก็เป็นข้อดีของนัก ดนตรีมือสมัครเล่นที่ทำให้เราไม่ได้ยึดติดกับหลักเกณฑ์หรือทฤษฎีมากเกินไป แล้วถึงเราจะเล่น อย่างอื่นที่ไม่ได้ตามกฎเป๊ะ ๆ เขาก็ไม่มาเบลมเราหรอกเพราะเราก็ไม่ได้เรียนสายตรงมา ตาม ประสบการณ์ที่พี่ทำมา ไม่มีใครพูดถึงนะว่าเราทำผิดหลักการ เหมือนกับว่าคนคงเริ่มพัฒนาการ ฟังไปตามอะไรใหม่ ๆ หรือไม่งั้นก็เบื่ออะไรที่ซ้ำ ๆ เล่นรูปแบบเดิม อย่างที่พี่ทำวงปี่พาทย์ สมมติเราจะอัดบันทึกเพลงปี่พาทย์ที่ถ้าใช้ปี่ในก็ต้องใช้ระนาด ไม้แข็ง แต่พี่ไม่ชอบเสียงไม่แข็งเพราะมันกร้าว มันหนวกหู มันอึกทึกครึกโครม แต่ก็ยังชอบเสียงปี่ อยู่ เราชอบระนาดไม้นวมแต่ไม่ได้ชอบแบบขลุ่ยเพราะมันหวานเกินไปและเราชอบความสง่างาม แบบปี่ ทีนี้เราเอามาผสมก็ใช้ปี่เหมือนวงปี่พาทย์ไม้แข็งแต่เราไม่ใช้ระนาดไม้แข็ง เราจึงใช้ระนาด ไม้นวมก็จะได้เสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ แต่ก็ไม่ใช่แบบปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์โดยตรงเพราะยังมีวงฆ้องวง เล็กและปี่ใน แล้วเราก็ใส่ฆ้องหุ่ยเข้าไปก็จะรู้สึกว่ามันดื่มด่ำ มีความนุ่มนวล ซึ่งในความนุ่มนวล นั้นก็มีความเจิดจ้าสง่างามของปี่อยู่ มันไม่ได้หวานเจื้อยแจ้วแบบขลุ่ยพลิ้วไปกับวงซะทีเดียว เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับเป็นรสใหม่ที่เราเอามาผสม “เครื่องดนตรีบางอย่างเราไม่ได้จำกัดว่า มันจะต้องเกิดมาเพื่อวงใดวงหนึ่งเท่านั้น”


35 สำหรับพี่ที่เป็นนักดนตรีที่เชี่ยวชาญแล้ว พี่คิดว่าชมรมดนตรีไทย คณะอักษรฯ มี ส่วนช่วยในการพัฒนาตัวตนของพี่มากน้อยแค่ไหนหรือมีส่วนช่วยให้เชี่ยวชาญดนตรีไทยมาก ขึ้นไหม ความจริงต้องเรียกว่า อักษรฯ ทำให้พี่ได้เจอคุณครูที่มีความสามารถอย่างยิ่ง เพราะ ต่อมาท่านก็เป็นศิลปินแห่งชาติ ก็เหมือนเป็นความภูมิใจของเรา ถ้าทักษะเนี่ย การพัฒนาอาจไม่ค่อยเด่นชัดนะเพราะว่าถ้าเราจะพัฒนาทักษะจะ เหมือนขึ้นอยู่กับการมีวินัยของเรามากกว่า ชมรมอาจช่วยในแง่ที่ว่า เมื่อเรามีเวลาว่างจากการ เรียน แม้จะเวลาห้านาทีสิบนาที นอกจากเป็นที่ผ่อนคลายแล้วเราก็สามารถมาใช้ชมรมเป็นที่ฝึก ทักษะได้ด้วย การมีครูอยู่ด้วยทำให้เราโชคดีหรือมีโอกาสมากกว่าปกติ เพราะครูพร้อมจะแก้ บาง ที่ผิดนิดหน่อยครูก็ไม่ยอม ท่านก็ต้องให้สิ่งถูกต้องไปเลยทำให้อักษรฯ ก็มีส่วนช่วยในการพัฒนา ทักษะ อยากให้เล่าถึงความประทับใจของพี่ที่มีต่อชมรมดนตรีไทยของเรา ความประทับใจคือเราเข้ามาในคณะอักษรฯ ได้ และยังมีสิ่งที่เราสนใจอยู่แล้วด้วย บางคนอาจเล่นดนตรีไทยมาสมัยมัธยมแต่พอเข้าบางคณะที่เขาไม่มีวงดนตรีไทยก็อาจต้องรอไป เล่นที่ชมรมใหญ่ที่เดียว แต่คณะเรามีชมรมดนตรีไทยก็เป็นข้อได้เปรียบที่คณะซัปพอร์ตเรา โดยรวมแล้วคือประทับใจทั้งหมดแหละ ทั้งครูที่ดีเพื่อนที่มีประสบการณ์มาร่วมกันในการทำงาน ชมรมหรือไปออกงานแสดง การเรียนการสอนแม้เราจะไปเข้มข้นกับวิชาการของเรามาก ๆ แต่ยัง มีเพื่อน ๆ หลายคนยอมสละเวลามาเล่นดนตรีกัน แล้วดนตรีก็ยังทำให้เราได้ผูกมิตรสัมพันธ์กันมา จนถึงทุกวันนี้ด้วย มันเป็นอะไรที่มากกว่าการที่เราเล่นดนตรีแล้วก็เรียนจบไป พี่อยากฝากอะไรถึงรุ่นน้อง ทั้งรุ่นน้องในชมรมปัจจุบันและที่กำลังจะเข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งของชมรมไหม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รุ่นพี่ที่ยังเล่นดนตรีอยู่ที่คณะอักษรฯ พยายามชวนน้อง ๆ เข้า มาเล่นดนตรีกันให้ได้เยอะ ๆ ถึงเราจะไม่ใช่สายอาชีพ เราเป็นแค่มือสมัครเล่น แต่พี่คิดว่าคนที่


36 เข้ามาเล่นดนตรีเพราะว่าต้องการพักผ่อนมากกว่าเพื่อจะได้ทักษะหรือรู้สึกว่าเล่นเก่งจนเหมือน มืออาชีพ อย่างคลิปหลายคลิปที่น้อง ๆ เคยเล่นที่คณะ บางทีพี่เคยเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจว่าทุกคนยัง เล่นดนตรีอยู่ อยากจะฝากว่าดนตรีไทยทำให้เราได้ประสบการณ์มากกว่าแค่จะมาเล่นเพลงแล้วก็ จบงานไป การมาเล่นดนตรีเป็นการรักษาศิลปวัฒนธรรม มันดูโลกสวยเนอะ แต่ก็อยากจะบอกว่า ดนตรีต้องมีทั้งผู้เล่นและผู้ฟัง การที่เราเข้ามาเล่นเป็นมือสมัครเล่นจนถึงวันนึงเราไม่ได้เล่นแล้ว เราก็จะกลายเป็นผู้ฟังที่เข้าใจดนตรีด้วย คุณครูท่านหนึ่งเคยบอกว่า “ดนตรีไทยเป็นดนตรี คลาสสิกของไทย” หมายความว่าจะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะฟังเพลงให้เข้าใจ ดนตรีไทยต้องเรียนรู้ว่า กลอนมันจะผูกยังไงถึงจะเพราะ มีหน้าทับหลากหลาย ทุกอย่างต้องผ่านการเรียนรู้ เหมือนครั้งหนึ่งที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ทำโขนธรรมศาสตร์ ทุกคนก็สมัคร เข้ามาเล่นเต้นรำโขนกัน ทีนี้มีคนถามท่านว่าทำแล้วได้อะไรเพราะว่าจบไปก็คงไม่ได้มีสักคนที่จะ มาเล่นโขนเป็นอาชีพหรือจะได้เล่นโขนต่อไป อาจารย์ตอบว่า “ฉันไม่ได้สร้างคนให้เล่นโขน แต่ว่า ทำให้คนดูโขนแล้วเข้าใจ” เพราะฉะนั้นเราเล่นดนตรีไทยก็เหมือนกัน เราไม่ได้สร้างนักดนตรีที่ เก่งหรือมีจุดมุ่งหมายว่าทุกคนต้องเล่นเป็นมืออาชีพ ก็เลยอยากฝากน้อง ๆ ให้เล่นดนตรีไปเถอะ พอวันหนึ่งเรามีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น เราก็จะรู้ว่าดนตรีให้อะไรกับเราจริง ๆ และไม่ใช่ เพียงแต่มาสนุกชั่วครั้งชั่วคราว จนมาถึงวันนี้ดนตรีก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพี่เลย ใครจะไปรู้ว่า เราจบอักษรฯ มา ทำไมมาทำดนตรีเป็นจริงเป็นจังได้ขนาดนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล, อบ. 66 อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยากาศของตึกและห้องชมรมดนตรีไทย คณะอักษรฯ เป็นอย่างไรบ้างในตอนนั้น สมัยนั้นชมรมที่มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจนคือชมรมดนตรีไทยกับชมรมดนตรีสากล ห้อง ชมรมดนตรีไทยจะอยู่ในตึกอักษรศาสตร์สี่ ซึ่งทุบไปนานมากแล้วนะ ประมาณเป็นสิบปีเหมือนกัน


Click to View FlipBook Version