51
เยอรมนี พ.ศ. ๒๕๔๙
ทะเลสาบ St. Wolfgang ออสเตรยี พ.ศ. ๒๕๔๙
52 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
53
ฮ่องกง
54 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
55
สตุ้ดการท์ เยอรมนี พ.ศ. ๒๕๔๙
เยอรมนี พ.ศ. ๒๕๔๙
56 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
57
พิธีรบั ศีลล้างบาปนอ้ งไหม พ.ศ. ๒๕๔๗
สปป.ลาว พ.ศ. ๒๕๕๐
58 “ปรดี ี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแห่งนติ ปิ รัชญาไทย”
ทริปครอบครวั พทั ยา พ.ศ. ๒๕๕๒
59
ศนู ยศ์ ิลปาชพี บางไทร กบั ฯพณฯ ธานินทร์ กรยั วเิ ชยี ร พ.ศ. ๒๕๕๓
60 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นติ ปิ รชั ญาไทย”
หลานคนแรก น้องปรน้ิ ซ์
กบั น้องไทเกอร์ พ.ศ. ๒๕๕๓
61
กับรถคลาสสคิ ของบอนเนอร์
ท่ีบา้ นคลองประปา
พ.ศ. ๒๕๕๙
62 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
63
คำ�ไว้อาลยั
64 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
65
อาลยั ถึงคุณปรีดี
เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๗ คุณปรีดี เกษมทรัพย์ ซึ่งกำ�ลังเรียนปริญญาเอกอยู่ท่ี
เยอรมันไดเ้ ดินทางกลับมาเยีย่ มไข้คุณพอ่ ทป่ี ว่ ยอยูท่ ่เี มืองไทย จงึ เปน็ โอกาสท่ดี ิฉนั ได้
มโี อกาสพบกบั คณุ ปรดี จี ากการแนะน�ำ ของญาตสิ นทิ เมอ่ื คณุ ปรดี กี ลบั ไปท�ำ การศกึ ษา
ตอ่ ทป่ี ระเทศเยอรมนไี ดเ้ ชญิ ดฉิ นั และพส่ี าว (คณุ พรทวิ า ไตรวทิ ยาคณุ ) ไปเทย่ี วประเทศ
เยอรมันและยุโรปเป็นเวลากว่าเดือนทำ�ให้ดิฉันมีโอกาสรู้จักคุณปรีดีมากขึ้น ทำ�ให้
รสู้ กึ วา่ คณุ ปรดี เี ปน็ คนทน่ี า่ คบหาสมาคม เราจงึ ตดิ ตอ่ กนั เรอ่ื ยมาเมอ่ื ดฉิ นั กลบั มาท�ำ งาน
ที่กรุงเทพฯ จนกระท้ังปี พ.ศ. ๒๕๐๙ คุณปรีดีก็เขียนจดหมายมาขอดิฉันแต่งงาน
โดยให้เดินทางไปแต่งงานท่เี ยอรมัน เพราะคุณปรีดียงั ไมท่ ราบว่าจะใชเ้ วลานานเท่าไร
กว่าจะจบการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมายที่ได้ศึกษามากว่าเจ็ดปีแล้ว ดิฉันได้
ปรึกษากับคุณแม่และพ่ีสาวซึ่งคุณแม่ไม่อนุญาตให้ไปแต่งงานกันที่เยอรมนี แต่ขอให้
คุณปรีดีกลับมาแต่งงานท่ีกรุงเทพฯ แทน ด้วยว่าคุณปรีดียังไม่พร้อมจะกลับมาเมือง
ไทยจึงขอร้องดิฉันให้ขอคุณแม่อีกคร้ัง ด้วยบุพเพสันนิวาสอย่างไรไม่ทราบ ในท่ีสุด
คุณแม่ดิฉันก็ใจอ่อนและทางบ้านของคุณปรีดี โดยพ่ีสาวคนโตได้มาสู่ขอดิฉันในฐานะ
ญาตผิ ้ใู หญ่ของคุณปรีดใี ห้ดิฉันเดินทางไปแต่งงานท่เี ยอรมนี
ดว้ ยความรกั ดฉิ นั จงึ ตดั สนิ ใจเดนิ ทางไปแตง่ งานกบั คณุ ปรดี เี มอ่ื เดอื นกนั ยายน
พ.ศ. ๒๕๐๙ แต่เพียงผู้เดียว ซ่ึงงานมงคลสมรสของเราจัดกันอย่างเรียบง่ายที่สถาน
เอกอัครราชฑตู ไทย ณ กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนตี ะวนั ตก โดยท่านเอกอคั ราชทตู
กนต์ธีร์ ศุภมงคล เป็นประธานในพิธีท่ามกลางเพ่ือนสนิทมิตรสหายของคุณปรีดีใน
เยอรมนี
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เราก็ไดล้ ูกชายคนแรกซึ่งเราตัง้ ช่อื ว่าบอนเนอร์ เพราะเกิด
ทก่ี รงุ บอนนซ์ ง่ึ เปน็ เมอื งหลวงของเยอรมนตี ะวนั ตกในสมยั นน้ั พอไดล้ กู ชายเพยี ง ๔ เดอื น
66 “ปรดี ี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บดิ าแห่งนติ ปิ รชั ญาไทย”
คุณปรีดีก็สำ�เร็จการศึกษาปริญญาเอก ทำ�ให้เราท้ังครอบครัวได้เดินทางกลับมาเมือง
ไทยในเดอื นมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๑
กลบั มาเมอื งไทยคณุ ปรดี กี ก็ ลบั มารบั ราชการตอ่ เปน็ ผพู้ พิ ากษาอยอู่ กี หลายปี
เราไดม้ ีลูกชายตอ่ ๆ กนั มาอีก ๓ คนรวมเปน็ ๔ คน ตอ่ มาคณุ ปรดี จี งึ ยา้ ยไปอยู่ทีค่ ณะ
นติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ จนเกษยี ณอายุราชการในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ หลัง
เกษียณคุณปรีดีได้เปิดสำ�นักงานทนายความร่วมกับเพ่ือนนักกฎหมายคือ ท่านชูเชิด
รักตะบุตร และอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ อยู่หลายปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๖
เจ้าสัวปรีชา พิสิษฐเกษม ประธานมูลนิธิไทย-จีนเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมได้มา
เชิญคุณปรดี ี ให้ไปเปิดโรงเรียนสอนภาษาจนี แนวใหม่ให้ใหญโ่ ตเหมือน AUA ที่สอน
ภาษาอังกฤษในขณะน้ัน คุณปรีดีรับทำ�งานน้ีด้วยใจรักและพัฒนาโรงเรียนสอนภาษา
จีนให้เป็นโรงเรียนแนววัฒนธรรม ช่ือ วิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก หรือ
Oriental Culture Academy (OCA) ซ่ึงแม้จะสอนภาษาจีน แต่ได้จัดสัมมนาถึง
วัฒนธรรมไทย อินเดียและจีนอยู่เป็นประจำ� คุณปรีดีเพ่ิงมาเกษียณตัวเองจากการ
ทำ�งานจริงๆ ตอนอายุ ๘๐ ปี และลกู ๆ ทุกคนกไ็ ด้สำ�เรจ็ การศึกษาระดบั ปริญญาโท
หรอื ปรญิ ญาเอกจากสหรัฐอเมริกาทงั้ ๔ คน
ในวันท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ คณุ ปรดี ีไดจ้ ากครอบครัวเราไปอยา่ งสงบ
คิดย้อนดเู วลาผา่ นไปแลว้ กวา่ คร่งึ ศตวรรษ เรว็ เหมอื นกบั เปน็ ความฝนั อยา่ งท่คี นจนี
เขาเรยี กวา่ ‘ชนุ มง่ึ ’ หรอื ‘spring dream’ (ความฝนั ในฤดใู บไมผ้ ล)ิ ขอใหด้ วงวญิ ญาณ
ของคณุ ปรดี ไี ปสู่สุขคตใิ นสรวงสวรรคเ์ ทอญ
รกั และคดิ ถึงเสมอ
จาก อังคณา เกษมทรัพย์
๑๐๘ บา้ นพระราม ๖
67
คุณพอ่ ของผม
ผมไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง วันท่ีผมจะต้องเขียนคำ�ระลึกถึงคุณพ่อ ศ.ดร.ปรีดี
เกษมทรพั ย์ “อาเตยี ” ของผม และ “ท่านอาจาย์ปรีด”ี ท่ีลูกศษิ ยล์ ูกหาเรยี ก และ
คนท่วั ไปเรียกทา่ นว่า “คนสามวัฒนธรรม บิดาแหง่ นิติปรัชญาไทย”
คำ�ว่าคนสามวัฒนธรรมน้ัน ผมมาทราบจากท่านอาจารย์สมยศ เช้ือไทยว่า
หมายถึงวัฒนธรรมตะวันตก (อเมริกาและเยอรมัน) วัฒนธรรมจีน และวัฒนธรรม
อนิ เดีย สว่ นไทยน้นั คือการควบรวมวัฒธรรมตะวันออกทงั้ จนี และอินเดีย
ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่สำ�คัญคนหน่ึงในวงการนิติศาสตร์ไทย แต่สำ�หรับ
มมุ มองของผมเองทา่ นเปน็ คนทเ่ี ปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี นการด�ำ รงชวี ติ เปน็ คนทเ่ี ราเหน็ วา่
ไมเ่ คยท�ำ อะไรเพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตวั เปน็ คนทม่ี คี วามมงุ่ มน่ั เดด็ เดย่ี วในการท�ำ งานเพอ่ื
ประเทศชาติและสังคมโดยส่วนรวม เป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีกับทุกคน แต่ในอีก
มุมท่านก็เป็นคนท่ีมีความเด็ดขาดโดยเฉพาะกับคนที่เอาเปรียบผู้อื่นหรือความไม่
ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ทา่ นลุกขนึ้ อยู่ขา้ งความยตุ ิธรรมอย่างไมเ่ กรงกลัวผู้ใดเลย
ทา่ นเปน็ ปราชญ์ และมกั จะสอนเราเปน็ ค�ำ กลอน อยา่ งทบี่ า้ นสลี มจะมคี �ำ กลอน
ทัง้ ไทยจีน ใสก่ รอบประดับข้างฝาบา้ นให้เราระลกึ เตอื นสตอิ ยูเ่ สมอ
เร่อื งความโอบอ้อมอารี จ�ำ แมน่ ถงึ ค�ำ กลอนทีฝ่ าบา้ นคอื
“อนั ว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคบั ก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมอื นฝนอนั ช่ืนใจ จากฟากฟา้ สุราลยั สูแ่ ดนดนิ
เป็นส่งิ ดสี องชั้นพลันปล้มื ใจ แห่งผู้ใหแ้ ละผู้รับสมถวลิ ”
เรื่องญาติมิตร ทา่ นสอนไวว้ า่
“วสิ สฺ าสปรมา ญาติ”
68 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บดิ าแหง่ นิติปรัชญาไทย”
การคบกันไปมาหาสู่คบหาสมาคมกันถามไถ่ทุกข์สุขกันนั้น นับเป็นญาติ
อย่างยิง่ ถงึ ไม่ใช่ญาตกิ ็เปรยี บเหมอื นญาติ
ผมเพ่ิงมาถึงบางอ้อเมื่อหลายวันน้ีผมได้ทำ�หน้าท่ีลูกชายคนโตของคุณพ่อ
ในการกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติท้ังหลายท่ีได้ให้เกียรติมาร่วมงานพระราชทาน
น้ำ�หลวงอาบศพ และสวดอภธิ รรม ท�ำ ใหก้ ลับไปหวนคดิ ถงึ วา่ เร่ืองราวคณุ งามความดี
ที่ท่านได้พร่ำ�สอนพวกเราพี่น้องสี่คนซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่าผ่านทั้งโคลงกลอน และคำ�สอนอื่น
น้ัน ได้หล่อหลอมความคิดเบื้องลึกให้พวกเราปฎิบัติตนให้มีคุณค่าตามคำ�ที่ท่านสอน
อยา่ งแท้จรงิ
วันนี้เป็นวันท่ีอาเตียไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พวกเราพี่น้องสี่คนขอปวารณา
ตัวว่าจะรักกันและจะดูแลมามี้อย่างดีที่สุดครับ อาเตียไม่ต้องเป็นห่วงอะไรท้ังสิ้นแล้ว
ครับ พวกเราวันน้ีเติบใหญ่และเข้มแข็งเป็นคนดีของสังคมสมกับเป็นลูกของอาเตีย
ดร.ปรีดีครับ
สุดท้ายน้ีบอนเนอร์ขอให้ดวงวิญญาณของอาเตียไปสู่สุขคติในสัมปรายภพ
เทอญ บอนเนอร์เช่ือเรอ่ื ง “เวียนวา่ ยตายเกิดมีจรงิ ” อยา่ งท่ีอาเตียสอน ชาตหิ น้าขอ
ให้เราทุกคนเปน็ พอ่ แมล่ ูกกันอีกนะครบั
ผมภูมใิ จมากทส่ี ดุ ท่ีไดเ้ กิดมาเปน็ ลกู ของคณุ พ่อ “ศ.ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย”์
“ผมรกั อาเตียครบั ”
จากลูกบอนเนอร์-แอนและหลานๆ
บรรณ-อษุ ณษี ์ เกษมทรพั ย์
อรัญ-กฤษณ์-ตฤณ เกษมทร้พย์
ปล. ท่านเรียกผมว่า “บอนเนอร”์ เพื่อเปน็ ทรี่ ะลึกถึงเมืองบอนน์ เมอื งเกดิ ของผม เมืองทีท่ า่ นใช้
ชีวิตรว่ มสบิ ปี และได้น�ำ ความรทู้ ่ีได้มาสร้างคณะนิติศาสตร์ มธ. ทที่ า่ นรกั ให้เปน็ โรงเรียนกฎหมาย
ที่ดที สี่ ุดแห่งหน่ึง
69
ด้วยความรกั และเคารพพอ่ ...
อาเตยี ผเู้ ปน็ ร่มเงาชวี ติ ให้ลูกมาตลอดชีวิต
ปญั ญะมอี าเตยี เปน็ เสมอื นรม่ เงาตน้ ไมใ้ หญแ่ หง่ ชวี ติ ผมู้ อบความสขุ กายสขุ ใจ
เป็นเสาหลักของทุกคนในครอบครวั เรา เป็นพอ่ ท่คี อยอบรมบ่มนสิ ัย เปน็ ครูผู้ประสิทธ์ิ
ประสาทความรู้ ให้ข้อความคิดและคำ�แนะนำ�ต่างๆ เพ่ือใช้ในการดำ�เนินชีวิต วันน้ี
วันทีไ่ มม่ ีร่มเงาแหง่ ชีวิตแล้ว ปญั ญะอยากจะย้อนความทรงจ�ำ ตา่ งๆ ตลอดชีวิตที่มีตอ่
อาเตยี เพ่ือเป็นทรี่ ะลึกถึงอาเตียด้วยความเคารพรักเปน็ ที่สดุ
ตง้ั แตเ่ ลก็ เรม่ิ จ�ำ ความได้ ปญั ญะรบั รถู้ งึ ความรกั ครอบครวั ของอาเตยี แมอ้ าเตยี
จะท�ำ งานหนกั ทมี่ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์อย่ตู ลอดเวลาจนทำ�ใหท้ กุ คนทบี่ า้ นมโี อกาส
ได้เจอกับอาเตียก็เป็นเวลาค่ำ�คืนแล้วเกือบทุกวัน ทุกคร้ังที่อาเตียทำ�งานเสร็จแล้วขับ
รถกลบั มาถึงหน้าบ้าน จะได้ยนิ เสยี งกดแตรรถ ๓ ครัง้ “ปิน้ -ปน้ิ -ปน้ิ ” ซึ่งพวกเราจะ
แปลความเป็นภาษาที่ใช้ในตอนเด็กๆ ว่า “อา-เตีย-มา” นั่นคือถึงเวลาท่ีพวกเราจะ
ตอ้ งเรม่ิ เตรียมตัวเลิกดทู วี ีและเลกิ ท�ำ กจิ กรรมตา่ งๆ เพ่ือเตรียมตวั เข้านอน แต่บางวัน
อาเตียกลับบ้านเร็ว ก็จะได้นั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน แล้วก็จะได้มีโอกาสนั่งคุยกันตาม
ประสา พอ่ -แม-่ ลกู ซง่ึ ปกตอิ าเตยี กจ็ ะคอยอบรมสง่ั สอนพวกเราลกู ๆ ทง้ั สค่ี นอยเู่ สมอๆ
อาเตยี สอนพวกเราโดยเล่าเร่อื งราวตัวอย่างประวัติของคนดๆี และสุภาษติ ตา่ งๆ (ส่วน
มากเป็นสภุ าษติ จนี ) ให้เราฟงั แมต้ อนน้ันจะยังเป็นเด็ก แตพ่ วกเรากย็ ังพอได้ซมึ ซบั
และรบั รถู้ งึ ความเปน็ ผทู้ รงแกค่ วามรขู้ องอาเตยี ทแ่ี ผม่ าถงึ พวกลกู ๆ ทกุ คน ... ตอนเลก็ ๆ
ปัญญะจ�ำ ไดว้ า่ อาเตยี เปน็ คนดุ (พอสมควร) แตก่ ็ดแุ บบมีเหตุมผี ล พวกเราส่คี นหลาย
ครั้งมกี ารทะเลาะเบาะแวง้ กันตามประสาเดก็ ผชู้ าย (แบง่ ฝ่ายชกกันเลยก็มี) และหาก
ปญั หายงั ไมจ่ บจนอาเตยี กลบั มาบา้ น กจ็ ะโดนอาเตยี ดวุ า่ จนถงึ ขน้ั ลงโทษโดยการตี (กน้ )
บา้ งก็มี จ�ำ คำ�พดู อาเตียที่ครั้งหนึ่งพดู กับปัญญะไดด้ วี า่ “หมอน่เี อาตัวรอดเก่ง เพราะ
70 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บดิ าแห่งนติ ิปรัชญาไทย”
เธอเปน็ คนทีโ่ ดนช้ันตีน้อยที่สุดในบรรดาพน่ี ้องส่คี น” ไมร่ เู้ หมอื นกันว่าเป็นค�ำ ชมหรือ
คำ�กล่าวประชดจากอาเตีย แต่เม่ือทำ�ผิดและโดนอาเตียดุว่าหรือถึงข้ันโดนลงโทษ
ปญั ญะไม่เคยมีความรู้สึกเลยว่า อาเตียไม่รักหรือไม่ให้ความเป็นธรรม การดุว่าและ
การลงโทษเหลา่ นก้ี ลบั ท�ำ ใหพ้ วกเราทง้ั สเ่ี ตบิ โตขน้ึ มาดว้ ยความรกั ความเขา้ ใจนสิ ยั ใจคอ
ซ่งึ กนั และกันเป็นอยา่ งดี ซึง่ เมือ่ นกึ ยอ้ นกลับไป คำ�สอน ความร้ตู า่ งๆ และการปฏบิ ัติ
กับพวกเราพี่น้องทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกันของอาเตียเช่นนี้ เป็นการอบรมบ่มนิสัย
พวกเราที่ดที ีส่ ุด อกี ท้งั เป็นการมอบความรกั และความอบอ่นุ ทอี่ าเตียมีใหต้ อ่ ลูกๆ ทุก
คน ซ่ึงถือเป็นแบบอย่างที่ปัญญะนำ�มาใช้อบรมส่ังสอนลูกๆ ของปัญญะเองให้รักกัน
ตามแบบอย่างทีไ่ ดร้ บั สืบทอดจากอาเตยี
นอกจากรักครอบครัวแล้ว อาเตียรักและเป็นห่วงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดของ
อาเตยี ทตี่ า่ งจงั หวดั เปน็ อยา่ งมาก อาเตยี มกั เลา่ ใหพ้ วกเราฟงั เสมอๆ ถงึ ชวี ติ ของอาเตยี
สมัยเป็นเด็กต่างจังหวัด เล่าประวัติและเรื่องราวต่างๆ ของคนในครอบครัวและญาติ
พ่ีน้องที่จังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียงเช่น มหาสารคามและอุบลราชธานี ซึ่ง
ทำ�ให้พวกเรารับทราบได้ถึงความรักและความผูกพันท่ีอาเตียมีให้ต่อพ่อแม่พี่น้องและ
บรรดาญาตๆิ ทต่ี า่ งจงั หวดั อาเตยี มกั ตดิ ค�ำ พดู วลหี นงึ่ เสมอๆ ตง้ั แตต่ อนปญั ญะยงั เปน็
เด็ก รวมทง้ั แม้ตอนที่อาเตยี มีอาการหลงๆ ลมื ๆ ว่า “ฉันไปเมืองจนี ตอนอายุแปดขวบ
แมร่ ่�ำ รอ้ งบอกไมใ่ ห้ไปกลัวจะลำ�บาก แตต่ อนน้ันฉันยังเดก็ อยากไปเท่ยี ว เลยบอกแม่
ว่า ตี๋ไปเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับ ไป ๔ ปี กลับมาแม่ตายแล้ว” พอเล่าเรื่องน้ีทีไร
อาเตียก็จะนำ้�ตาซึมออกมาตลอด อกี ช่วงชีวติ ของอาเตยี คอื ตอนไปเรยี นต่อทีป่ ระเทศ
สหรฐั อเมริกาและเยอรมัน รวมกนั นานกว่า ๑๑ ปี อาเตียเล่าวา่ ไปเรยี นตา่ งประเทศ
นาน ระหว่างเรียนพ่อ (อากง) ป่วยหนัก แล้วอาเตียก็เสียพ่อไปอีกจะก่อนเรียนจบ
เล่าเรื่องนี้ทีไรแกก็ต้องซับน้ำ�ตาทุกคร้ัง นอกจากน้ี ปัญญะจำ�ได้ดีว่า เคยเห็นอาเตีย
รอ้ งไหม้ ากๆ ตอนหยโ่ี กว (พสี่ าวคนทสี่ องของอาเตยี ) เสยี ชวี ติ อาเตยี บอกวา่ แกเคารพ
รักหย่ีโกวมากๆ เป็นเสมือนแม่คนที่สองเพราะแม่จากไปต้ังแต่ตอนอาเตียไปเมืองจีน
กลับมาหยี่โกวจึงเลี้ยงดูเสมือนเป็นแม่แทนแม่ที่แท้จริง ปัญญะรู้สึกได้ตลอดเวลาว่า
ทุกคร้ังท่ีอาเตียได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดร้อยเอ็ดทีไร อาเตียจะมีความสุขมากๆ
71
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่อาเตียพาพวกเราพี่น้องกลับไปเย่ียมญาติพ่ีน้องของอาเตีย
ที่จงั หวดั ร้อยเอด็
อาเตยี เปน็ คนรกั การอา่ นหนงั สอื มาตง้ั แตเ่ ปน็ เดก็ จนเคยไดย้ นิ หมา่ มบี้ อกวา่
พอ่ เธอเป็น “หนอนหนงั สอื ” บา้ นเราเป็นครอบครัวข้าราชการ ไมไ่ ด้รำ่�รวยมากมาย
อะไรนกั บ้านเปน็ อาคารพาณิชย์ห้าช้นั ตง้ั อยูท่ ซี่ อยพพิ ฒั น์ ถนนสลี ม ซึง่ ซอ้ื มาต้งั แต่
สมัยท่ีราคาที่ดินแถวสีลมยังไม่แพงเหมือนสมัยนี้ (ถ้าเป็นราคาสมัยน้ีคงซ้ือไม่ไหว)
จำ�ได้ดีว่า ทุกๆ ห้องที่บ้านแทบจะเป็นห้องสมุดของอาเตีย อาเตียพร่ำ�บอกพวกเรา
เสมอวา่ ใหอ้ า่ นหนงั สอื ๆๆๆ ตลอดชวี ติ อาเตยี แทบจะไมต่ อ้ งการซอ้ื หาสง่ิ ของอะไรเลย
นอกจากซ้อื หนังสือ ไม่ว่าจะเป็น หนังสอื พมิ พ์ (ซ่ึงบ้านเรารบั ประจ�ำ วันละ ๓-๔ ฉบบั )
magazine หนังสือแต่ง หนังสือแปล หนังสือวิชาการความรู้ต่างๆ หนังสือที่อาเตีย
อา่ นมที งั้ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ภาษาจนี ภาษาเยอรมนั บา้ งกม็ ี จ�ำ ไดว้ า่ แทบจะไมม่ ี
วันไหนท่ีอาเตียกลับบ้านโดยไม่มีหนังสือใหม่ๆ ที่เพิ่งซื้อกลับมา นอกจากอ่านแล้ว
อาเตียเป็นคนท่ีรักหนังสือท่ีซื้อมาเป็นอย่างย่ิง หนังสือดีๆ อ่านแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้
อย่างดี หม่ามี้จะเป็นคนคอยช่วยเก็บเรียงหนังสือในบ้านเพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่กระจัดกระจาย แต่ที่สุดอาเตียก็จะต้องถามหม่าม้ีว่า เธอเห็นหนังสือเล่มนั้นเล่มน้ี
ของช้ันบา้ งหรือเปลา่ เมอ่ื หนังสือท่บี ้านมจี ำ�นวนมาก อาเตยี จึงน�ำ ไปเกบ็ ไว้ทุกๆ หอ้ ง
ทบี่ า้ น บา้ นสลี มของเราจงึ เปน็ เสมอื นหอ้ งสมดุ ยอ่ มๆ ของอาเตยี เพราะแทบทกุ หอ้ งจะ
ตอ้ งมีตู้หนังสอื ไว้เก็บหนังสอื ของอาเตยี แม้แตห่ ้องนอนลกู ๆ ก็ยังมีตู้หนังสือล้อมรอบ
ห้องเพ่ือเอาไว้เก็บหนังสือ อาเตียจะมีความสุขมากกับการได้อยู่บ้านแล้วหยิบจับและ
เรยี งหนงั สอื เขา้ ตไู้ วเ้ ปน็ หมวดหมู่ เคยถามอาเตยี วา่ จ�ำ ไดห้ รอื ไมว่ า่ หนงั สอื เลม่ ไหนเอา
เก็บไวใ้ นตู้ทหี่ ้องไหน อาเตียตอบด้วยสีหนา้ เปอ้ื นรอยยมิ้ วา่ “จำ�ไดส้ ิ ชนั้ จัดเกบ็ เอาไว้
แยกเปน็ หมวดหม่ใู นแตล่ ะต้”ู นอกจากอ่านแล้ว บ่อยครง้ั ทีอ่ าเตยี จะท�ำ การขีดเส้นใต้
สว่ นทเ่ี หน็ วา่ ส�ำ คญั หรอื อา่ นแลว้ ถกู ใจหรอื บางครง้ั กจ็ ะเขยี นวจิ ารณบ์ ทความหรอื เนอื้ หา
สาระของหนังสือด้วย โดยคำ�วิจารณ์จะเขียนไว้ท่ีว่างๆ ข้างหน้าหนังสือนั้น มีเขียน
วจิ ารณเ์ ป็นภาษาไทย ภาษาจนี หรอื ภาษาอังกฤษบา้ งกม็ ี ครั้งหนึ่งเม่ือสิบกวา่ ปกี อ่ น
ตอนท่อี าเตยี เร่ิมหลงๆ ลมื ๆ แลว้ อาเตียหายตวั ไปจากบ้าน พวกเราออกตามหาจน
72 “ปรีดี เกษมทรัพย์ คนสามวัฒนธรรม บิดาแห่งนิตปิ รชั ญาไทย”
แทบจะพลกิ สลี มและบรเิ วณใกลเ้ คยี ง เราต้องโทรไปขอใหท้ าง จส.๑๐๐ ช่วยประกาศ
หาดว้ ย หลายชวั่ โมงผา่ นไป สดุ ทา้ ยเราพบอาเตยี ยนื อา่ นหนงั สอื อยา่ งสบายใจอยทู่ ร่ี า้ น
หนงั สอื เลก็ ๆ ท่ตี ้งั อยู่ ณ ช้นั ใตด้ ินของโรงแรมดุสติ ธานี ยอ้ นนึกกลบั ไปได้ว่า สมยั ก่อน
อาเตียเคยบอกวา่ หาซื้อหนงั สอื พมิ พ์ และ magazine ดีๆ จากต่างประเทศ เชน่ Time,
The Economist, Newsweek, National Geographic ได้จากร้านหนังสือแห่งนี้
คาดว่าจิตใต้สำ�นึกของอาเตียคงนำ�พาแกไปอยู่ที่ร้านหนังสือนี้ ตอนสร้างบ้านใหม่ท่ี
ถนนพระราม ๖ สง่ิ แรกท่ีลูกๆ ทราบดีคือต้องสร้างห้องสมุดใหอ้ าเตีย โดยจะตอ้ งเปน็
หอ้ งทใ่ี หญพ่ อทจ่ี ะเอาหนงั สือจำ�นวนมากทอี่ าเตยี รกั ไปเก็บไวใ้ ห้ได้หมด ซ่งึ จรงิ ๆ แม้
จะสร้างห้องสมุดที่บ้านพระราม ๖ ใหญ่แค่ไหนก็ตาม ก็ยังไม่พอท่ีจะเก็บหนังสือของ
อาเตียทงั้ หมดอยูด่ ี
อาเตียรักการทำ�งานทางวิชาการ ตอนยังเป็นเด็ก ไม่ได้รู้ว่าอาเตียทำ�งาน
ด้านวิชาการเร่ืองอะไร รู้แต่ว่าอาเตียเคยเป็นผู้พิพากษาแล้วโอนย้ายมาเป็นอาจารย์
ท่ีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาเตียเล่าอยู่เป็นประจำ�เร่ืองนี้ ความตอนนึงติดหูตลอด
เวลาว่า “ตอนช้ันออกจากศาล มาเป็นอาจารยท์ ่ธี รรมศาสตร์ เค้าหวั เราะกันทั้งศาล”
แต่ฟังจากเสียงท่ีอาเตียเล่าเรื่องน้ีทีไร ปัญญะรู้สึกได้ถึงความสุขท่ีแกได้ตัดสินใจย้าย
มาเป็นอาจารย์ประจำ�ที่คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ อาเตยี เคยเล่าใหฟ้ งั
อกี ด้วยว่า เปน็ อาจารยแ์ ล้วมลี กู ศษิ ย์อยู่ท่ัวประเทศ ที่สำ�คญั ไดน้ �ำ เอาความร้ทู ี่อุตสา่ ห์
ไปรำ่�เรียนมามากมายไปสอนคนอีกเป็นจำ�นวนมาก แทนที่จะใช้ความรู้เพื่อตัดสินคดี
ความใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมแกค่ กู่ รณเี ปน็ เรอื่ งๆ ซง่ึ ไมอ่ าจจะขยายขอบเขตความรทู้ าง
วิชาการตามความประสงค์ของอาเตียได้อย่างเต็มที่ อาเตียทุ่มเทกับการงานในอาชีพ
อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั อยา่ งมาก โดยอาเตยี มคี วามรสู้ กึ ตามแบบอยา่ งของชาวตะวนั ตก
และพูดให้ฟังว่า คนที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ต่างประเทศเค้าเรียกกันว่า
Professor ซึ่งถือเป็นการยกย่องวิชาชีพการงานอย่างสูงสุด อาเตียไม่เคยสนใจ
ต�ำ แหน่งในส่วนบรหิ ารที่มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรเ์ ลย ขอ้ ดขี องการมีต�ำ แหน่งใหญ่โต
ทีม่ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยา่ งหนึง่ คอื อาเตียได้ใชโ้ อกาสสร้างระบบอาจารย์ประจำ�
โดยการส่งเสริมและหาทุนให้แก่บุคลากรทางการศึกษาของคณะนิติศาสตร์ที่มีความรู้
73
ความสามารถดีเด่นเพื่อให้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และเมื่อสำ�เร็จการศึกษาแล้ว
ก็ย่อมจะได้กลับมาร่วมทำ�งานกับอาเตียในการสร้างและปรับปรุงคณะนิติศาสตร์ให้
ทวีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ต่อมาปัญญะได้เข้าศึกษาท่ีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ จึงย่ิงสามารถรับทราบได้ถึงความรักในการทำ�งานทางวิชาการและเป็น
อาจารยข์ องอาเตยี เพม่ิ มากขน้ึ เหน็ อาเตยี มคี วามสขุ ทกุ ครง้ั ทไ่ี ดส้ อนหนงั สอื ไดพ้ ดู คยุ
แลกเปล่ียนข้อมูลความรู้ทางวิชาการกับบรรดาคณาจารย์และนักศึกษา จนบางคร้ัง
ลืมว่ามีนัดสำ�คัญกับหม่าม้ีและทางบ้านไปบ้างก็ตาม ซึ่งเร่ืองน้ีอาเตียได้เคยเขียนเพ่ือ
แสดงการขอบใจหม่ามี้ไว้อยู่ในหน้าคำ�นำ�ของหนังสือนิติปรัชญาเล่มท่ีพิมพ์คร้ังแรกๆ
เมื่ออ่านแลว้ รับรู้ไดถ้ ึงความรักและเป็นห่วงหม่าม้ีของอาเตียได้อย่างน่าจับใจ
แม้จะตระหนกั ดวี ่า เกดิ -แก-่ เจ็บ-ตาย เป็นวัฐจกั รชีวติ ทีม่ อิ าจหลกี เลี่ยงได้
แต่การจากไปของอาเตยี เป็นเสมือนการส้ินไปของรม่ ไมไ้ หญแ่ หง่ ชีวติ ปัญญะ ในฐานะ
ลูกท่ีไดส้ ัมผสั และรบั รกู้ ารดำ�เนินชวี ิตของอาเตียที่มีตอ่ ครอบครวั ญาตพิ ีน่ อ้ ง เพอื่ นฝูง
ผรู้ ่วมงาน ลูกศิษย์ และบคุ คลรอบขา้ งทว่ั ไป อาเตยี เปน็ แบบอยา่ งของบุคคลทีค่ วรแก่
การเคารพและถอื เอาเปน็ แบบอยา่ ง วนั สดุ ทา้ ยทเี่ หน็ การจากไปของอาเตยี ดว้ ยอาการ
สงบอย่างย่ิง แม้จะรู้สึกเสียใจอย่างท่ีสุดก็ตาม แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกยินดีท่ีได้เห็น
อาเตยี พอ่ ผซู้ ง่ึ เปน็ ทร่ี กั และเคารพยงิ่ ของพวกเราทกุ คนในครอบครวั และของคนทวั่ ไป
อีกจำ�นวนมาก ได้ดำ�เนินชีวิตอย่างดีงามและสมบูรณ์แบบที่สุดตามท่ีอาเตียประสงค์
ทง้ิ ไว้เพียงแค่ความดีตา่ งๆ ทอ่ี าเตยี ไดก้ ระท�ำ ไวต้ ลอดชีวิต จงึ ม่ันใจยงิ่ ว่าวญิ ญาณของ
อาเตียจะต้องได้ไปสภู่ พภมู ิอันงดงามในสัมปรายภพ
ดว้ ยความอาลัย รักและเคารพพ่ออย่างท่ีสุด
ปัญญะ - พรรณ - หลานๆ (ปริ๊นซ,์ พาย, พอล)
74 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นติ ปิ รชั ญาไทย”
การจากไปอย่างสงบของอาเตยี
(อากงผู้ไปเมืองจีนตอน ๘ ขวบ)
ฟ้ามืดมัวหมน่ เมฆฝนครมึ้ ด�ำ เสียงพระอ่านคำ� ขออาเตียไปดี
ท่ามกลางบรรยากาศมดื ครมึ้ ของเช้าวันท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ วนั แรก
ของการเตือนภัยพายุโซนร้อนปลาบึก ท้องฟ้าในกรุงเทพดูมัวๆ เหมือนเมฆกำ�ลังจะ
กลน่ั ตวั ออกมาเปน็ น�ำ้ ฝน พรอ้ มกบั เสยี งสวดค�ำ นมสั การคณุ านคุ ณุ พระราชนพิ นธ์ ร.๖
ท่ีอาเตียท่านเคยเขียนว่าเป็นบทสวดที่ทรงคุณค่าสวดแล้วนำ�พาคนไปทำ�คุณงาม
ความดีได้ เวลา ๑๐.๔๐ น. รา่ งของ ศ.ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์ ก็ส้ินลมหายใจอย่างสงบ
ท่ามกลางความโล่งใจของผม คุณแม่ พี่น้อง ลูกศิษย์ คือ ท่านศาสตราจาย์ แสวง
บุญเฉลิมวิภาส และคุณสมผล ตระกลู ร่งุ ซึง่ กรุณามาเฝ้าสง่ อาเตยี ตัง้ แตเ่ ช้าเพราะท่าน
รับรู้ว่าพวกเราจะไม่ย้ือชีวิตอาเตียท่ีมาถึงช่วงสุดท้ายอีกต่อไปในเช้าวันน้ัน ช่วง
ประมาณ ๑๐ โมง พยาบาลก็มาหยุดยากระตุ้นหัวใจและมาช่วยติดตามวัดความดัน
เปน็ ระยะ ภายในระยะเวลาครึ่งช่ัวโมงความดนั ของอาเตียกต็ กลงจนวัดไม่ไดแ้ ละทา่ น
กจ็ ากเราไปดว้ ยอาการสงบ สมกบั ท่พี วกเราคาดหวังไว้ทโี่ รงพยาบาลรามาธบิ ดี
การจากไปอย่างสงบของอาเตียเป็นส่ิงพวกเราได้แต่เฝ้าภาวนาตลอดว่า
เมื่อท่านจะจากเราไปก็ขอให้ท่านจากเราไปอย่างสงบเถอะ เพราะอาเตียเข้าๆ ออก
โรงพยาบาลด้วยอาการหลายอย่างท้ังหายใจหอบ มีนำ้�ในช่องปอด นำ้�ในช่องท้องจน
ต้องเจาะออก ตับแข็ง ไตวาย ก้อนมะเร็งในตับ เม็ดเลือดและเกร็ดเลือดตำ่�มาก
มานานและเปน็ ผปู้ ว่ ยตดิ เตยี งมาตง้ั แตธ่ นั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ และถกู จบั ใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ
ในชว่ งตน้ ปี ๒๕๖๑ ซง่ึ ท�ำ ใหท้ า่ นมอี าการทกุ ขท์ รมานมากทกุ ครง้ั ทรี่ สู้ กึ ตวั จะสา่ ยหวั ไป
มาเพอ่ื จะพยายามท�ำ ใหท้ อ่ ชว่ ยหายใจชน้ิ นน้ั หลดุ ออกจากปากและลำ�คอของทา่ นใหไ้ ด้
(เกือบทุก ๑๐ นาที) จนแพทย์ต้องให้ยานอนหลับและมัดมือติดกับเตียงไว้ ครั้งน้ัน
75
ผมต้องร้องขอแพทย์ผู้ดูแลให้ช่วยถอดท่อช่วยหายใจออก โดยต้องใช้ความพยายาม
ร้องขออยู่ ๒ วันเต็มแพทย์จึงจะวางใจถอดท่อช่วยหายใจออก (เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้
หายใจได้เอง) ตั้งแต่นั้นมาพวกเราพี่น้องและคุณแม่จึงคุยตกลงกันว่าหัวเด็ดตีนขาด
เราก็จะไม่ยอมให้อาเตียต้องใส่ท่อช่วยหายใจผ่านทางปากลงมาทางลำ�คออีก ครั้งน้ัน
เราตดั สนิ ใจถกู เพราะอาเตยี กลบั มาหายใจไดเ้ องและกลบั ดวี นั ดคี นื และกลบั บา้ นไดห้ ลงั
การผา่ ตัดถุงน้�ำ ดีออกประมาณหนึง่ เดอื นคอื ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ความตั้งใจในการจะไม่ใส่ท่อช่วยหายใจนี้ก็โดนท้าทายเมื่อเดือนสิงหาคม
พ.ศ. ๒๕๖๑ เมอ่ื อาเตียทา่ นมอี าการติดเชื้อทางเดินหายใจสว่ นบนคอื ไอ และหอบเสียง
ดังเหมือนมีเสมหะติดอยู่ในลำ�คอบริเวณซึ่งไม่สามารถใช้สายดูดออกมาได้ถ้าไม่ได้ใส่
ท่อช่วยหายใจ ทา่ นนอนหอบอยู่ใน ICU ของโรงพยาบาลวิชยั ยทุ ธ ๒ คืน แตพ่ วกเรา
ก็ไม่ยอมให้คุณหมอใส่ท่อช่วยหายใจ จนคุณหมอเจ้าของไข้เสนอว่าให้เจาะคอซึ่งจะ
ท�ำ ใหส้ ามารถดดู เสมหะออกจากหลอดลมไดส้ ะดวก ไดย้ นิ ครง้ั แรกพวกเราปฏเิ สธทนั ที
แต่ทนน่ังฟังอาเตียหอบเสียงดัง และดูสภาพเหมือนคนกำ�ลังจะจมนำ้�จนทนไม่ไหว
จึงปรึกษากันอย่างจริงจังและทุกคนตัดสินใจยอมให้คุณหมอเจาะคอซึ่งก็ได้ผลดี คือ
อาเตยี ออกจาก ICU ไดห้ นงึ่ วันหลงั จากนั้นและอกี สองวันกก็ ลับบ้านไดพ้ ร้อมกับท่อท่ี
เจาะคอซ่งึ ถอื ว่าก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกอกี ครั้ง ทา่ นจงึ ออกจากโรงพยาบาลกลบั ไปอยู่
บ้านได้อีกหลายเดือน ซึ่งคงเป็นบุญบารมีของท่านที่มีคนมาช่วยดูแลใกล้ชิด คือ
สองพ่ีน้องชาวกระเหรี่ยงจากพม่า ชื่อฝน และ เพ็ญ ท่ีดูแลอาเตียเป็นอย่างดีมากว่า
๕ ปี พร้อมคนขับรถชาวอุบลราชธานี ท่ีอาเตียชวนมาอยู่ด้วยกว่า ๑๒ ปีช่วยงาน
ทุกอย่างในบ้านอย่างดีไม่มีบกพร่องคือ คุณชัยวัฒน์ นามทอง ผมและพ่ีน้องยังรู้สึก
เป็นหน้ีบุญคุณผู้ช่วยเหล่าน้ีท่ีได้เป็นตัวแทนลูกๆ ดูแลอาเตียเป็นอย่างดีมากตลอด
หลายปีทผ่ี ่านมา
วนั สดุ ทา้ ยเมอื่ ทา่ นจากไปผมเหน็ หลานๆ และลกู ผมตา่ งพากนั รอ้ งไหก้ นั ใหญ่
ทำ�ให้รู้สึกดีใจว่าเขาเหล่าน้ีมีความผูกพันกับอากง เพราะวันๆ หน่ึงท่ีหลานๆ อยู่กับ
อากง (หลายปกี อ่ นตอนทีเ่ ริม่ ความจำ�ไม่ด)ี จะไดร้ บั คำ�ถามและรับฟงั เรือ่ งเล่าไปเมือง
จีนเดิมๆ วันละหลายๆ รอบ ท�ำ ให้พวกหลานๆ ตา่ งพากันแตกฮอื เมื่ออากงเร่ิมจะเล่า
76 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บดิ าแห่งนิตปิ รชั ญาไทย”
วา่ “ฉนั ไปเมอื งจนี ตอน ๘ ขวบ....” แตห่ ลานๆ ทกุ คนคงมภี าพจ�ำ วา่ อากงเปน็ ผสู้ งู อายุ
ท่ีใจดีย้ิมแย้ม และชอบชม ถ้าเป็นหลานสาวก็มักจะชมว่าสวย ส่วนหลานชายก็จะ
วา่ ด.ี ..อายุเท่าไรฉนั ไปเมอื งจนี ......
ท่านอาจารย์สมยศ เช้ือไทย ได้อธิบายถึงความทรงจำ�ฝังลึกของอาเตีย ที่
เล่าวนๆ เร่ือง ฉันไปเมอื งจีนตอน ๘ ขวบไว้ไดอ้ ยา่ งศษิ ยท์ ่รี ู้จกั อาจารย์เป็นอย่างดวี า่
เมื่อท่านยังไม่หลงลืมท่านอาจารย์จะหวนระลึกถึงคุณแม่ทุกคร้ังท่ีเล่าเรื่องนี้ เพราะ
เม่ือตอน ๘ ขวบพ่อของทา่ นจะพาไปอยทู่ เ่ี มอื งจนี ท่านไปลาแม่ทา่ นว่าจะไปไมน่ านก็
จะกลับ ทว่ี า่ ไมน่ านน้ันกินเวลาถงึ ๔ ปี และทา่ นกไ็ มไ่ ด้มโี อกาสเห็นหน้าแม่ของท่าน
อีกเลยเมื่อกลับมาเมืองไทย จึงเป็นความทรงจำ�ฝังลึกท่ีเล่าทีไรอาเตียมีนำ้�ตาคลอเบ้า
ทุกครั้งและเม่ือท่านเริ่มหลงลืมช่วงต้น เห็นพวกหลานๆ ที่อายุน้อยเดินไปมาจึงมี
เรอ่ื งเล่าทม่ี าจากส่วนลกึ ในจติ ใจของท่านเสมอวา่ “ฉนั ไปเมอื งจีนตอน ๘ ขวบ...กลับ
มาก็ไม่ได้เห็นหนา้ แม่อกี เลย”
การจากไปอยา่ งสงบของอาเตยี นา่ จะเปน็ ความสงบจากความสขุ ทที่ า่ นจะได้
พบกับญาติมิตรที่ขาดหายไปในชีวิตอีกครั้ง ขอดวงวิญญาณของอาเตียไปสู่สุคติใน
สัมปรายภพดว้ ยเทอญ
วิชช์ ออ้ มิน ไหม
มกราคม ๒๕๖๒
77
คำ�ไวอ้ าลัยแด่ ศ.ดร.ปรดี ี
คุณพ่อ ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ หรือ ที่พวกลูกๆ ทุกคนเรียกท่านต้ังแต่
จำ�ความกันได้ว่า “อาเตีย” เข้าใจว่าบรรดาญาติๆ ครอบครัวเกษมทรัพย์ของเราจะ
เรยี กพอ่ กนั วา่ (อา) เตยี ซะสว่ นใหญ่ ครอบครวั ของเราจดั วา่ เปน็ ครอบครวั ขนาดใหญ่
ประกอบไปด้วย อาเตีย หมา่ มี้ และพวกเราลกู ๆ ๔ คน อาศัยอย่บู า้ นตึกแถว ๖ ช้ันยา่ น
ถนนสลี ม (ซ.พพิ ฒั น)์ มาต้ังแตผ่ มเกดิ ถึงแม้บา้ นเราจะมอี าณาบรเิ วณไมม่ ากนกั แต่ก็
อยูก่ นั อยา่ งอบอ่นุ และมคี วามสขุ ตลอดมา
ภาพของอาเตียในความทรงจำ�ของผมคือบุคคลท่ีสมถะเรียบง่ายในการใช้
ชีวิต มีความพอดีพอใจกับสิ่งที่ตัวเองกำ�ลังทำ�ในปัจจุบันขณะ ไม่มีความอยากท่ีจะมี
อยากทจี่ ะไดใ้ นสมบตั ิ ลาภยศ ค�ำ สรรเสรญิ ตา่ งๆ อาเตยี มคี วามภมู ใิ นถน่ิ ฐานบา้ นเกดิ
ของตัวเองสูง และ จะกล่าวแนะนำ�ตัวเองกับบุคคลอ่ืนเสมอว่าท่านเป็นชาวจังหวัด
รอ้ ยเอ็ด และจะดีใจมากถา้ เกิดรวู้ า่ บุคคลทส่ี นทนาด้วยเปน็ คนมาจากภมู ิภาคเดยี วกนั
กับท่าน
ตอนพวกเราเด็กๆ จะไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นหรือคลุกคลีกับอาเตียมากนัก
อาจเน่ืองด้วยท่านมีภารกิจมากมาย ซึ่งช่วงน้ันก็เป็นช่วงที่อาเตียได้โอนการทำ�งาน
จากการเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกามาเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ และเป็นช่วงท่ีมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดข้ึนที่ธรรมศาสตร์ อีกท้ังท่านมี
ปณิธานแน่วแน่ว่าจะต้องพัฒนาคณะนิติศาสตร์ฯ อย่างดีที่สุด ดังน้ันเวลาของท่าน
ส่วนใหญ่จะทุ่มเทให้กับงานการสอนหนังสือ และการสร้างคณะนิติศาสตร์ฯ อาเตีย
ทา่ นไมค่ อ่ ยได้เล่าเรื่องงานทีท่ า่ นได้ทำ� ไดบ้ กุ เบิก ไว้ใหพ้ วกเรา ๔ พน่ี ้องฟงั มากนกั
แต่พวกเราก็ได้มีโอกาสรับรู้ถึงผลงานและคุณประโยชน์ที่อาเตียได้ทำ�ไว้จากถ้อยคำ�
78 “ปรีดี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแห่งนติ ิปรัชญาไทย”
ของบรรดาอาจารย์ ลกู ศษิ ยข์ องทา่ นหลายๆ คนทไี่ ดเ้ คยมปี ระสบการณท์ �ำ งานรว่ มกบั
ท่านมาเป็นเวลาหลายสิบปี ในช่วงหลังทางคณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จะได้จดั ให้มีงานรำ�ลึกเกยี รตคิ ุณแก่ท่านอาจารย์ปรดี ีขนึ้ ทุกๆ ปี ซ่งึ ครอบครัวของเรา
กไ็ ดเ้ ขา้ รว่ มงานกนั อยา่ งสมำ่�เสมอเรอ่ื ยมา ทำ�ใหย้ งิ่ ซาบซงื้ และภาคภมู ใิ จในคณุ คา่ ของ
งานทีอ่ าเตียได้ทำ�ฝากไว้ใหแ้ ก่มหาวิทยาลัยฯ คณะฯ และ วงการนติ ิศาสตร์
ผมมชี ว่ งเวลาวยั เดก็ ทพ่ี อจะจ�ำ ไดว้ า่ มโี อกาสไดไ้ ปไหนมาไหนกบั อาเตยี บา้ ง
โดยได้คะยัน้ คะยอให้ท่านพาไปมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ซึง่ ตอนน้นั ในใจคิดอยากจะ
ไปเท่ียวได้ออกจากบ้านเท่าน้ัน และอาเตียก็ได้พาไปนั่งฟังท่านสอนหนังสือจำ�ไม่ได้
วา่ ชว่ งเวลาน้ันเป็นปอี ะไรแต่ท่แี น่ๆ อายุของผมน่าจะอยู่ประมาณ ๕-๖ ขวบ ไดท้ ราบ
จากการบอกเล่าภายหลังว่าท่ีอาจารย์ปรีดีพาลูกชายคนเล็กมาฟังเลคเชอร์ ซึ่งตัวผม
กไ็ ปน่ังแถวหลังหอ้ งแถมยังเผลอหลบั เสียอกี ไดส้ รา้ งความขบขันให้แกน่ ักศึกษาสมยั
น้ันอยู่มาก การทไี่ ด้ไปมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ วิง่ เล่น ต้งั แตเ่ ล็กๆ ท�ำ ให้ผมซึมซับ
บรรยากาศ และมีความรู้สึกผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ โดยในภายหลังผมได้มีโอกาส
เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างปี ๒๕๓๓-๒๕๓๖ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้
เรยี นทคี่ ณะนติ ศิ าสตร์ แตท่ กุ ครงั้ ทมี่ โี อกาสผา่ นคณะนติ ฯิ กจ็ ะท�ำ ใหห้ วนระลกึ ถงึ ความ
ทรงจำ�อันดีในวัยเดก็ เสมอ
อาเตยี ทา่ นเปน็ ปราชญท์ มี่ คี วามรไู้ มเ่ พยี งแตใ่ นทางโลกเทา่ นนั้ แตใ่ นสายตา
ผมท่านยังเปน็ ปราชญ์ที่หม่นั ศกึ ษาในทางธรรมข้ันสูง ทา่ นนบั ถือศาสนาพทุ ธและเปน็
พุทธมามกะท่ดี ี ดูไดจ้ ากการปฏบิ ตั ติ นอนั ดงี ามของทา่ น และแนวทางทที่ ่านได้ส่ังสอน
ลกู และลกู ศษิ ยข์ องทา่ นมาตลอดทงั้ ชวี ติ อาเตยี จะเปน็ คนทดี่ �ำ เนนิ ชวี ติ อยบู่ นทางสาย
กลาง ไมป่ ระมาท ซงึ่ ทา่ นไมม่ คี วามใครอ่ ยากไดใ้ นสง่ิ ของเงนิ ทอง ลาภยศ ค�ำ สรรเสรญิ
ต่างๆ จัดได้ว่าท่านเป็นบุคคลท่ีมีความเรียบง่าย สมถะ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
กบั สิง่ ที่มโี ดยไมม่ คี วามกังวลท่จี ะแสวงหาเพม่ิ เติม ผมเหน็ จะมีก็แต่ “หนังสือ” ซึ่งเปน็
สิง่ ทีท่ ่านโปรดปรานและทา่ นจะมคี วามสขุ มากทุกคร้ังทไ่ี ดเ้ ขา้ รา้ นขายหนงั สือ ท่านจะ
ใช้เวลานานไปกับการเลือกและอ่านหนังสือหลากหลายประเภท (สังคม เศรษฐกิจ
การเมอื ง ประวัตศิ าสตร์ ข่าวสาร ศาสนาฯลฯ) ในหลายๆ ครงั้ พวกเราจะปล่อยให้ทา่ น
79
ไดเ้ ลอื กซอ้ื หนงั สอื อยนู่ านหลายชว่ั โมงและมารบั พรอ้ มกบั ชว่ ยทา่ นถอื หนงั สอื หลายถงุ
กลบั บ้าน
ในเรื่องของความมีน้ำ�ใจ รักและเช่ือในแนวทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติ Peace
and Non-Violence ครอบครัวเราเริ่มมาจากความแตกต่างทางศาสนา (พุทธ และ
ครสิ ต์ คาทอลิก) แต่ดว้ ยความรกั อนั บรสิ ทุ ธ์ิท่ีอาเตยี มตี ่อหมา่ ม้ี ท่านได้ยอมเสยี สละ
ใหล้ กู ชายทงั้ ๔ คนถอื ศาสนาครสิ ตแ์ ตก่ �ำ เนดิ พวกเราถกู สง่ เขา้ เรยี นทโี่ รงเรยี นคาทอลกิ
(อัสสมั ชัญ กรงุ เทพฯ) เรียนค�ำ สอนตามหลกั ศาสนาครสิ ตอ์ ย่างครบถว้ น อาเตียทา่ น
ไมเ่ คยก้าวกา่ ยในหลกั ความเช่ือทางศาสนาของภรรยา และลูกๆ แตอ่ ยา่ งใด ทา่ นมแี ต่
ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั พทุ ธศาสนาทท่ี า่ นนบั ถอื อยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ ซง่ึ กเ็ ปน็ แบบอยา่ ง
ที่ดีและเป็นคุณูปการแก่พวกเราลูกๆ ได้เห็นและซึมซับในส่ิงท่ีท่านปฏิบัติ ในหลายๆ
โอกาสอาเตียได้พาพวกเราไปทำ�บุญ ตักบาตร ทำ�สังฆทาน ทอดผ้าป่า/ผ้าพระกฐิน
ซ่ึงท่านก็จะสอนพวกเราอยู่เสมอว่า สิ่งท่ีเป็นของสูง ของดีของศักด์ิสิทธิ์ จะไม่ตีกัน
มแี ตจ่ ะสง่ เสรมิ กนั ดงั นน้ั พวกเราลกู ๆ จงึ เตบิ โตมาภายใตค้ ำ�สอนและแบบอยา่ งทด่ี ขี อง
ทงั้ สองศาสนา โดยมีค�ำ กลา่ วติดตลกภายในครอบครวั วา่ พวกเราลูกท้งั ส่คี นเปน็ พวก
Budtholic และดูเหมือนว่าอาเตยี ท่านจะชอบศพั ทท์ ี่เราบญั ญตั ิขึน้ เองน้เี สียดว้ ย
ผมได้สัมผสั และเรียนร้ใู นส่ิงทีอ่ าเตยี ได้ท�ำ ไดป้ ฏิบัติ ซึง่ เปน็ ส่งิ มคี ณุ ค่า เป็น
ประโยชน์ให้แก่ครอบครัว สังคม และ ประเทศชาติในวงกว้าง ผ่านประสบการณ์
จรงิ โดยตรง และ จากค�ำ สรรเสริญจากญาติมิตร ลกู ศษิ ย์ ลูกน้อง และเพอ่ื นร่วมงาน
ของทา่ นในโอกาสต่างๆ นับคร้งั ไม่ถว้ น ซึ่งก็ยิง่ ตอกย�้ำ ความรสู้ กึ แก่ตวั ผมเองว่า เรา
ช่างเปน็ บคุ คลท่โี ชคดีท่สี ุดในโลก ทีไ่ ด้เกิดมาเป็นลูกของอาเตีย และท�ำ ให้คิดตอ่ ไปว่า
หม่ามี้ก็เป็นผู้หญิงท่ีน่าอิจฉาท่ีสุดเช่นกัน ผมต้องกราบขอบพระคุณอาเตียท่ีเป็นแบบ
อยา่ ง ผา่ นเสน้ ทางชีวิตของท่าน ท่ีท�ำ ใหผ้ มได้ตกผลกึ ในการเป็นตวั เองในวันน้แี ละน�ำ
สว่ นดแี ละขอ้ ค�ำ สอนของทา่ นมาใชก้ อ่ ใหเ้ กดิ ประโยขนแ์ กต่ นเองและคนรอบขา้ ง ผมได้
เคยกล่าวกระซิบที่ข้างหูของอาเตียในช่วงระยะท้ายๆ ของท่าน ซึ่งจะขอกล่าวย้ำ�ไป
ตลอดว่า ผมโชคดีเหลือเกิน และ มีความภาคภูมิใจที่สุดท่ีได้เกิดมาเป็นลูกชายของ
อาเตยี หากมกี ารกระท�ำ ใดทผี่ มไดเ้ คยท�ำ ใหอ้ าเตยี เสยี ใจหรอื ไมส่ บายใจ หรอื ลว่ งเกนิ
80 “ปรดี ี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บดิ าแหง่ นิติปรัชญาไทย”
ในสงิ่ ใด ทง้ั ทเี่ จตนาหรอื ไม่เจตนา ขอให้อาเตยี ได้อโหสิกรรมดว้ ยครบั ขอพรจากพระ
ผู้เป็นเจ้า และส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีอาเตียนับถือได้นำ�ดวงวิญญาณอันบริสุทธ์ิของอาเตีย
เขา้ สู่สุคตภิ มู ิในสรวงสวรรค์ ด้วยเทอญฯ
“พฤษกกาสร อีกกญุ ชรอันปลดปลง
โททนตเ์ สน่งคง สำ�คัญหมายในกายมี
นรชาตวิ างวาย มลายส้ินทงั้ อนิ ทรีย์
สถิตทั่วแตช่ ั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
ดว้ ยความอาลัยทีส่ ดุ ตอ่ การจากไปอย่างไม่มวี นั กลับของ “พอ่ ”
จากลูก วตั ร เกษมทรพั ย์, เบต็ ตี้, และ หลาน เควนิ
๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
81
รำ�ลกึ ถงึ อาก๋ปู รีดี
ตอนวัยรุ่นอาก๋งกิมฮงเห็นว่าอากู๋ปรีดีควรจะได้รับการเรียนภาษาจีนและ
เรื่องเก่ียวกับสังคม จึงติดต่อให้มาอยู่กับญาติคืออาก๋งฉัน ชื่อนายย่ิงล้ง แซ่ล้ิม มี
ศักด์ิเป็นอาน่ึง (พ่ีเขย) ของอากู๋ปรีดี เน่ืองจากอุบลราชธานีเป็นเมืองใหญ่มีสมาคม
คนจีนและโรงเรียนจีนที่มีชื่อเสียง และก๋งของฉันเป็นผู้กว้างขวาง เป็นหัวหน้าคนจีน
ในไทยที่อยู่ภาคนั้น ประสานงานกับข้าหลวงและคนจีนในแถบน้ัน เวลามีกรณีเป็น
ปญั หาของคนจีน อาก๋งจะต้องช่วยข้าหลวงตดั สินประนปี ระนอม เวลาคนจนี ท่ีมาจาก
แผ่นดนิ ใหญ่ใหม่ๆ จะเขา้ ไปพักทบ่ี ้านก๋งก่อน ที่มชี ื่อเสยี ง เชน่ ออื้ จอื เหลยี ง อื้งง่วนก่ี
เป็นต้น
อากู๋ปรีดีเคยเล่าให้ฉันฟังว่า อาน่ึงไม่ธรรมดา เขาใหญ่มาก เทียบกับ
โค้วตงหมงได้ อาก๋งสอนอากู๋ให้มีความซ่ือสัตย์ รักบ้านเกิด กล้าแสดงออกในสิ่งที่
ถูกต้องสอนการสมาคมกับคนทุกช้ัน สอนวิธีการจะคบคนเข้าหาคน หยิ่งในศักดิ์ศรี
ตัวเอง ใฝ่รู้ เห็นแก่สังคมสว่ นรวม เท่ยี งตรง รักญาติ ตอนแรกๆ แมฉ่ นั (นางมยุ่ เฮยี ง
ธนะแพสย์ เดิม แซ่ล้ิม) เล่าว่า อากู๋ไปอยู่ด้วยแรกๆ รองเท้าไม่ใส่ ไม่ชอบล้างเท้า
ต้องเค่ยี วเข็ญกัน ไปเรยี นหนงั สอื ดว้ ยกันทโ่ี รงเรียนจนี แม่ตอ้ งดแู ล ตอนที่เขาจะมกี าร
เปลี่ยนแปลงท่ีจีนแผ่นดินใหญ่ แม่และอากู๋ก็เป็นใต้ดินช่วยกันเร่ียไรเงินส่งไปจีนช่วย
ชาติ ตอนท่ีคนจีนในไทยอพยพกลับจีนสมัยท่ีเขาเข้มงวด อาก๋งฉันก็ลงเรือไปไซ่ง่อน
เพ่ือไปเมืองจีนเพราะทนไม่ได้ ซ่ึงพอไปถึงจีนเขาจับก๋งขังคุกจนตาย หาว่าเป็นผู้มี
อทิ ธิพลจากไทย ตอนแรกๆ อากปู๋ รีดีกจ็ ะหนีตาม แมฉ่ นั ไปตามตวั ทันทที่ า่ เรอื ไม่ยอม
ให้ไป ต่อมาอากู๋ก็กลบั ไปร้อยเอ็ด นสิ ยั ต่างๆ ของอาก๋ปู รีดไี ดจ้ ากอากง๋ ฉันก็ติดตัวไป
อากู๋เคยเล่าว่าท่านนิสัยต่างจากพี่น้องที่อยู่ร้อยเอ็ดเพราะไปอยู่กับอาน่ึงนานและถูก
สอนให้ด�ำ รงชีวิตเชน่ น้ัน ตอ่ มาอากู๋ไปเรียนตอ่ ทีเ่ ยอรมันนานทีเดยี ว กลับมาเมืองไทย
ด้วยความผูกพันกับแม่ฉันเลยไปมาหาสู่กันตลอดบางทียิ่งกว่าญาติ ภาพท่ีเราเห็น
ประจ�ำ คอื อากไู๋ ปหาแมท่ บ่ี า้ นวงเวยี น ๒๒ กรกฎา แมก่ ต็ อ้ งมาหาอากทู๋ บ่ี า้ นซอยพพิ ฒั น์
82 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บดิ าแหง่ นติ ปิ รัชญาไทย”
อาทิตย์ละ ๑-๒ คร้ังตลอดชีวิตของแม่ ไม่ว่าลูกแม่หรือใครในครอบครัวแต่งงานหรือ
เสียชีวติ อากปู๋ รดี ตี อ้ งมาเปน็ ประธานงานใหต้ ลอด สิง่ ทอ่ี ากชู๋ อบมากคือหมสู ม้ ร้อยเอ็ด
ไข่เค็ม และแกงบวนฝีมือแม่ฉัน ตอนท่ีแม่ฉันตายเขาส่ังไว้ให้อากู๋เป็นคนทอดผ้า
คนเดียวเราก็ทำ�ตาม เราจึงผูกพันกันเวลามีปัญหาอะไรก็ช่วยกันแก้ไข ยังจำ�ตอนท่ี
เขาปฏิวัติอากู๋อยู่ร้อยเอ็ดไปงานขึ้นบ้านใหม่ของแม่ฉันและงานแต่งงานพ่ีชายในคราว
เดยี วกนั (นา่ จะ พ.ศ. ๒๕๑๙) อากู๋เวลาแหข่ ันหมากไปขอสาวตอนตี ๕ จะเอาวทิ ยฟุ ัง
ข่าวปฏิวัติตลอด พอสายๆ ก็มาบอกแม่ฉันว่าถูกเรียกตัวกลับกรุงเทพฯ ต่อมาก็โทร
มาบอกวา่ เขาตง้ั ใหเ้ ป็นอธิการบดี ธรรมศาสตร์ เพราะตอนน้ันมหาวิทยาลัยมปี ัญหา
ตลอดชีวิตอากู๋แม้จะหัวก้าวหน้าความรู้สูงแต่รักธรรมเนียมโบราณสุดๆ ไม่
ชอบยาฝรัง่ ชอบใช้ยาจีน
ตลอดชีวิตท่ีอากู๋ภูมิใจคือความเป็นนักปราชญ์ที่ไม่ยอมก้มหัวให้อำ�นาจใด
ซื่อตรง ภมู ิใจท่ีเปน็ คนเชอ้ื สายจนี ในไทย นยิ มคนท่ีมคี วามรู้ ซือ่ สตั ย์ เหน็ แกส่ ่วนรวม
เช่นเดียวกัน จะแนะนำ�และยกตัวอย่างอยู่เนืองๆ เช่น อาจารย์สมยศ เชื้อไทย ท่าน
ธวัช มกรพงศ์ เป็นต้น หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุงเคยบอกฉันว่า ดร.ปรีดีเป็นคน
ทเี่ กง่ ท้ังกฎหมายและศาสนาเปรยี บเทยี บแตไ่ ม่ปฏบิ ัติ (คอื ฝึกสมาธิ)
ดว้ ยรกั และระลกึ ถึงอากู๋
พญ.รุจิรา สุริยวนากุล
83
อาลยั ศ.ดร.ปรดี ี เกษมทรัพย์
ทีเ่ คารพรักยงิ่ ของหลานๆ
ศ.ดร.ปรีดีฯ เป็นที่เคารพรักและภาคภูมิใจยิ่งนักของญาติมิตรและหลานๆ
ตระกลู เกษมทรพั ย์ ตระกลู ศาสตราวาหะ ตระกลู วฒุ จิ �ำ นงค์ และตระกลู ทเ่ี ปน็ คหบดเี กา่
ในจงั หวดั รอ้ ยเอด็ ท่านเป็นคุณปู่ คุณตา คุณลงุ คุณอา และคณุ น้า ของหลานๆ ชาว
ร้อยเอ็ด แม้ท่านจะมีงานด้านวิชาการทางกฎหมาย และเป็นครูอาจารย์ ซึ่งเป็นงาน
ทที่ ่านรักแล้ว ทา่ นยังมเี มตตากรณุ า เอือ้ เฟื้อ ชว่ ยเหลือญาตมิ ติ ร เพอื่ นฝูงอย่างดียง่ิ
ท่านรับฟังปัญหาและช่วยชี้แนะทางออกได้อย่างสันติวิธี แนะนำ�ธุรกิจที่ดีให้กับผู้ท่ี
เหมาะสม ชว่ ยจดั การภารกจิ ใหเ้ รยี บรอ้ ยอกี ดว้ ย นอกจากน้ี ยงั รบั เปน็ ประธานเจา้ ภาพ
ในงานพิธีตา่ งๆ ดว้ ยความยนิ ดี นบั ได้วา่ ทา่ นเป็นท่พี งึ่ ทางใจของหลานๆ เสมอมา
ด้วยความสามารถและทุ่มเทให้กับวิชาการด้านกฎหมายตามที่คณาจารย์
ลูกศิษย์ของท่านได้บรรยายไว้ และยกให้ท่านเป็นปูชนียบุคคลของคณะนิติศาสตร์
ทำ�ให้หลานๆ ซาบซ่ึงและภูมิใจยิ่ง จึงรู้สึกว่าท่านก็เป็นปูชนียบุคคลของชาวร้อยเอ็ด
ดว้ ยเช่นกนั
อย่างไรก็ตาม ความพลัดพรากเป็นสัจธรรมของชีวิต ไม่มีใครสามารถหลีก
เล่ียงได้ ศ.ดร.ปรีดฯี ผเู้ ปน็ ท่เี คารพรักของหลานๆ ก็ต้องจากพวกเราไป คงเหลอื ไวแ้ ต่
คณุ งามความดขี องทา่ น จงึ เปน็ แบบอยา่ งทด่ี ใี หห้ ลานๆ ไดต้ ระหนกั และพยายามน�ำ มา
ปฏิบัติตาม ถึงแม้จะไม่สามารถทำ�ได้ แต่ก็จะพยายามทำ�ให้ดีที่สุดเต็มกำ�ลังความ
สามารถของแตล่ ะคน เพอื่ จะไดม้ โี อกาสไปพบกับท่านในชาตหิ น้าในหมู่คนดี ไมว่ า่ จะ
เป็นลูก ลูกศษิ ย์ หลาน หรือบริวารกต็ าม ความสขุ ความเจรญิ ย่อมเปน็ ทีห่ วังไดส้ ำ�หรับ
ศ.ดร.ปรีดีฯ สคุ ติในสมั ปรายภาพเป็นทห่ี มายได้แนน่ อน
ด้วยความเคารพรกั และอาลยั ยิง่
หลานๆ ชาวร้อยเอ็ด
๑๑ มกราคม ๒๕๖๒
84 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
85
ค�ำ กล่าวแสดงความอาลยั
ในโอกาสสวดพระอภิธรรมศพ
ศาสตราจาย์ ดร.ปรีดี เกษมทรพั ย์
เมือ่ วนั ท่ี ๖ มกราคม ๒๕๖๒
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศกั ด์ิ ปรกติ
ทา่ นประธานในพธิ ี คณุ แม่อังคณา ท่านผมู้ ีเกียรติทเ่ี คารพทุกทา่ นครับ
การท่ีพวกเราทั้งหลายมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมท่านอาจารย์ ดร.ปรีดี
เกษมทรัพย์ ในพระบรมราชานุเคราะห์ในวันน้ี ก็เพ่ือร่วมกันทำ�บุญปฏิบัติธรรมและ
อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหแ้ กท่ า่ นอาจารย์ และเปน็ การร�ำ ลกึ ถงึ ทา่ นอาจารย์ ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์
อันเป็นที่รักและเคารพของท่านท้ังหลาย จุดเด่นท่ีสุดของท่านอาจารย์ท่ีทุกท่านคงจะ
เห็นพอ้ งดว้ ยกับผมก็คอื ท่านเป็นนักวิชาการ เปน็ นกั วชิ าการชนิดทีน่ บั เปน็ แบบอยา่ ง
อันดที ค่ี วรระลกึ ถึง
ผมใครข่ อถือโอกาสน้ีกล่าวถึงคณุ ูปการของทา่ นอาจารย์ ดร.ปรดี ี ที่ท่านได้
อุทิศตนใช้ความรู้ทางวิชาการรับใช้บ้านเมือง และต่อวงวิชาการนิติศาสตร์ตลอดชีวิต
ของทา่ น ทา่ นเรม่ิ งานทางวชิ าการแกบ่ า้ นเมอื งหลงั จากจบการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตรช์ นั้
สูงสุด เป็นนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตของประเทศเยอรมัน ในขณะน้ันท่านรับราชการ
เป็นผู้พิพากษา เป็นหัวหน้าศาลและหัวหน้ากองการคดีในยุคน้ัน และได้เป็นอาจารย์
พิเศษสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในสมัยซ่ึงท่านอาจารย์สัญญา
ธรรมศักดิ์ เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ ต่อมาท่านได้ลาออกจากราชการศาลยุติธรรม
มาเป็นอาจารย์ประจำ�ท่ีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้ดำ�รง
ตำ�แหน่งคณบดี คณะนิติศาสตร์ต่อจากท่านอาจารย์ จิตติ ติงศภัทย์ ในยุคท่ี
อาจารยป์ ว๋ ย อง๊ึ ภากรณ์ เปน็ อธกิ ารบดี และอาจารยส์ ญั ญา ธรรมศกั ด์ิ เปน็ นายกรฐั มนตรี
86 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บิดาแหง่ นิตปิ รชั ญาไทย”
ท่านอาจารย์ ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์ ไดม้ ีโอกาสรับใชบ้ ้านเมืองในหลายฐานะ แต่ฐานะที่
ส�ำ คัญทสี่ ุดคอื ฐานะนักวิชาการ
ในแงผ่ ลงานในทางดา้ นการเมอื งน้ัน หลงั เหตกุ ารณ์ ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๖
กอ่ นทที่ า่ นจะมาเปน็ คณบดี คณะนติ ศิ าสตร์ ทา่ นไดร้ บั เลอื กจากผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นสมชั ชา
แห่งชาติให้ท�ำ หนา้ ทีส่ มาชิกสภานิตบิ ัญญตั แิ ห่งชาติ และเป็นผมู้ ีบทบาทสำ�คญั ในการ
จดั ทำ�ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ด้วยผหู้ นงึ่
สว่ นทเี่ ปน็ สง่ิ ทเ่ี ราควรจะระลกึ ถงึ ทา่ นไวย้ งิ่ กวา่ นน้ั กค็ อื ทา่ นเปน็ ผทู้ กี่ อ่ ใหเ้ กดิ
คณุ ปู การอยา่ งยง่ิ ในการพฒั นาวชิ านติ ศิ าสตรส์ มยั ใหมข่ น้ึ ในประเทศของเรา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเป็นผู้ท่ีนำ�เอาหลักวิชาความรู้ท่ีทำ�ให้วิชากฎหมายแปรสภาพจากการเป็น
วิชาช่างผู้รู้ในบทกฎหมาย มาเป็นนักวิชาการผู้รู้ในหลักกฎหมาย เป็นผู้รู้ทางศาสตร์
ช้ันสงู ของวิชากฎหมาย กอ่ นที่ทา่ นจะมาเปน็ คณบดคี ณะนติ ศิ าสตร์ ท่านเปน็ ผู้ทีไ่ ดร้ บั
มอบหมายจากท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักด์ิ ระหว่างท่ีเป็นคณบดี ให้ท่านอาจารย์
ดร.ปรีดี มาเปน็ บรรณาธิการวารสารนิตศิ าสตร์ และทา่ นก็เป็นผู้ท่ีด�ำ เนินการปรบั ปรุง
หลกั สตู รวชิ านติ ศิ าสตรใ์ หเ้ ปน็ แบบสมยั ใหม่ และเปน็ แบบอยา่ งในมหาวทิ ยาลยั ทกุ แหง่
ในประเทศไทยในขณะน้ี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นผู้ที่นำ�เอาหลักการใช้และการ
ตคี วามกฎหมายทางวชิ าการ หรอื ทเ่ี ราเรยี กกนั วา่ “หลกั นติ วิ ธิ ”ี แบบสากลมาเผยแพร่
ใหเ้ ป็นท่รี บั รทู้ วั่ ไปในประเทศไทย
ท่านอาจารย์ ดร.ปรีดี เป็นผู้ท่ีได้ร้ือฟ้ืนหรือปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา
กฎหมายคร้ังใหญ่ในประเทศไทยให้มีลักษณะทางวิชาการและสอดคล้องกับความ
ต้องการของสังคมยิ่งขึ้น โดยจัดให้มีการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย วิชา
หลกั วิชาชีพนกั กฎหมาย และวชิ านิติปรชั ญา ทงั้ นก้ี ็ด้วยเหตุผลที่ทา่ นอาจารยส์ ญั ญาฯ
และท่านอาจารย์ปรีดีได้มีความเห็นร่วมกันว่า นักกฎหมายในบ้านเรานั้นติดยึดแต่
กับกฎหมายตามตัวอักษรมากเกินไป จึงควรจะต้องพัฒนาความรู้หลักกฎหมายให้
กวา้ งขวางขึน้ ในแงว่ ิชาการนิตศิ าสตร์ จึงได้จัดใหม้ ีวชิ าประวตั ศิ าสตร์ และวิชาปรชั ญา
เป็นวิชาบังคับ รวมไปจนถึงกระท่ังส่งเสริมวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย ซ่ึงอาจารย์
ของทา่ นอาจารยป์ รีดอี กี ทา่ นหน่ึงคือท่านอาจารย์จติ ติ ตงิ ศภัทยิ ์ ได้เป็นผรู้ ิเรมิ่ ไว้
87
เพราะฉะนนั้ วชิ าการนติ ศิ าสตรใ์ นบา้ นเรากเ็ ตบิ โตขนึ้ ดว้ ยคณุ ปู การของทา่ น
อาจารยส์ ญั ญา ธรรมศกั ดิ์ ทา่ นอาจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ย์ และคงจะตอ้ งกลา่ วถงึ อกี ทา่ น
หน่ึงคือท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ซ่ึงก็เป็นเพื่อนร่วมงานของท่านอาจารย์สัญญา
และกเ็ ปน็ ครขู องทา่ นอาจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ยอ์ กี ทา่ นหนง่ึ ทงั้ สามทา่ นนน้ี บั ไดว้ า่ เปน็
ผู้ท่ีก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำ�คัญกับการศึกษาวิชานิติศาสตร์ในประเทศไทย
โดยมีท่านอาจารย์ปรีดีในฐานะท่ีเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ในสมัยนั้น และต่อมา
ก็เป็นอธิการบดี และก็ทำ�หน้าที่เป็นผู้สอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และใน
มหาวิทยาลัยอ่ืนๆ อีกหลายมหาวิทยาลัยต่อมาแม้หลังเกษียณอายุราชการแล้ว จน
อาจจะกล่าวไดว้ ่า ลูกศิษยข์ องทา่ นมีอยทู่ ั่วไป และคอื ผ้ทู มี่ บี ทบาทหรือดำ�รงต�ำ แหน่ง
สำ�คญั ๆ และเป็นผทู้ ผี่ ลักดันบา้ นเมืองให้เป็นไปในทางที่ชอบท่ีควรในทางกฎหมายอกี
ทีหน่งึ ในยคุ ปัจจบุ นั
ณ โอกาสนี้ ขอให้พวกเรารำ�ลึกถึงท่านอาจารย์ปรีดีในฐานะท่ีท่านเป็นผู้ท่ี
กอ่ คณุ ูปการในทางสตปิ ัญญาและความรใู้ หแ้ กบ่ ้านเมอื ง ขอบคณุ ครับ
88 “ปรีดี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บดิ าแหง่ นติ ปิ รัชญาไทย”
ค�ำ กล่าวแสดงความอาลัยและร�ำ ลกึ ถึง
ในโอกาสงานสวดพระอภธิ รรมศพ
ศาสตราจาย์ ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์
เมอ่ื วนั ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๒
โดย ศาสตราจารยพ์ ิเศษ สิทธโิ ชค ศรีเจริญ
ผมกับทา่ นอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ นนั้ ผมก็เปน็ ลูกศษิ ยข์ องทา่ นคนหนึ่ง
ที่มีโอกาสใกล้ชิดท่านค่อนข้างมาก ท่านอาจารย์ปรีดีเป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล
ท่านพูดเสมอว่า คนที่เป็นอาจารย์จะต้องเป็นแม่แบบท่ีดีของลูกศิษย์ และคนที่เป็น
นักศกึ ษาท่ีจะออกไปรับใชช้ าตบิ า้ นเมืองจะต้องเปน็ ท้งั คนเก่งและคนดี ทา่ นมคี วามคดิ
ทจี่ ะปรบั ปรงุ หลกั สตู รทจี่ ะสอนใหน้ กั กฎหมายเปน็ คนดมี คี ณุ ธรรม เราจะดไู ดจ้ ากตำ�รา
นิติปรัชญาที่ท่านเขียนไว้ ท่านได้สอนให้นักกฎหมายนอกจากท่ีรู้ตัวบทกฎหมายแล้ว
จะต้องมีจริยธรรมในการใช้กฎหมายด้วย ท่านอาจารย์ปรีดีมีคุณูปการกับคณะ
นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากมาย ท่านเป็นคนท่ีมีความรู้ความเข้าใจใน
ทุกส่ิงทุกอย่าง และพยายามท่ีจะพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีข้ึน ต้องยอมรับว่าคณะ
นติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ไดพ้ ฒั นาและเจรญิ กา้ วหนา้ จนทกุ วนั น้ี สว่ นหนง่ึ
ก็ด้วยความคิดที่ดีของท่านอาจารย์ปรีดีฯ การจากไปของท่านทำ�ให้เราสูญเสียเพชร
เมด็ งามคอื อาจารยผ์ ใู้ หญท่ เี่ ราเคารพนบั ถอื ไปอกี คนหนงึ่ ทา่ นเปน็ อาจารยข์ องอาจารย์
และก็เป็นอาจารย์ของลูกศิษย์นักกฎหมายที่ทำ�งานรับใช้ประเทศชาติอยู่ทุกวันน้ี
มากมาย ถ้าพูดถึงท่านอาจารย์ปรีดีทุกคนรู้จักท่านดี ท่านได้สร้างผลงานท่ีงดงามใน
ชีวิตของท่านไว้มากมายเกินกว่าจะพรรณาได้ ขอให้วิญญาณของท่านได้ไปสู่สรวง
สวรรค์ชน้ั สูงสุด ณ สคุ ตใิ นสมั ปรายภพเทอญ
89
คำ�กลา่ วแสดงความอาลัยและรำ�ลกึ ถึง
ในโอกาสงานสวดพระอภิธรรมศพ
ศาสตราจาย์ ดร.ปรีดี เกษมทรพั ย์
เม่อื วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ โดย อาจารย์สถติ ย์ ล่มิ พงศ์พนั ธ์
กราบดวงวิญญาณศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรพั ย์
ท่านอธิการ ท่านคณบดี ท่านอาจารย์ ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ปรีดี
เกษมทรัพย์ และผ้มู ีเกยี รตทิ ุกท่าน เมอ่ื วนั ท่ี ๓ มกราคม ประมาณ ๔ ทมุ่ เศษ ผมไดม้ ี
โอกาสไปลาอาจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ย์ ไดท้ ราบจากคณุ ปญั ญ์ เกษมทรพั ย์ กบั หมอวชิ ช์
เกษมทรพั ย์ ว่าวนั ที่ ๔ มกราคม อนั เปน็ วันร่งุ ขึน้ อาจารย์ปรดี ี เกษมทรัพย์ จะไดล้ า
จากโลกน้ไี ป คืนนน้ั ผมได้มโี อกาสกราบลาอาจารย์ มองไปท่รี า่ งของทา่ นอาจารยแ์ ละ
นึกด้วยความเศร้าโศกว่า พรงุ่ นี้แล้ว อาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ซ่งึ เปน็ อาจารยท์ ี่เปน็ ท่ี
นบั ถอื โดยทวั่ ไปและส�ำ หรบั ผมแลว้ เปน็ อาจารยผ์ ยู้ งิ่ ใหญ่ จะตอ้ งจากโลกนไ้ี ปจรงิ ๆ หรอื
แมว้ ่าจะรู้วา่ เกิดแก่เจบ็ ตายเป็นเรอื่ งธรรมดา แมว้ า่ จะรวู้ ่า อนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา เป็น
สัจธรรม แต่ก็อดจะโศกเศร้าไม่ได้ คุณปัญญ์ กับหมอวิชช์ได้เข้ามาปลอบผมว่า
อาจารย์ได้ทำ�ทุกอย่างที่อาจารย์อยากทำ�โดยสมบูรณ์แล้ว อาจารย์มีความรักทาง
วิชาการ ก็ได้ทำ�งานทางวิชาการที่อาจารย์ชอบจนจบส้ินสมบูรณ์แล้ว อาจารย์รัก
ความเป็นอาจารย์ อาจารย์ก็ได้ทำ�หน้าที่ของความเป็นอาจารย์อย่างดีท่ีสุดแล้ว และ
ส�ำ หรบั ผมแลว้ ผมคงไมส่ ามารถหาอาจารยท์ ดี่ กี วา่ ทา่ นอาจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ยไ์ ดอ้ กี
แล้ว ทำ�ให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนท่ีผมเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ ตอนน้ัน อาจารย์มาลี พฤกษ์พงศาวลี ซึ่งนั่งอยู่ที่นี่ก็เป็นอาจารย์ใน
รุ่นเดียวกัน มีอีกหลายท่านท่ีมาจากรุ่นเดียวกันตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์วิษณุ
เครอื งาม อาจารยไ์ พโรจน์ วายภุ าพ อาจารยห์ ัสวฒุ ิ วฑิ ติ วิริยกลุ และอกี หลายท่านใน
ขณะนน้ั ไดม้ กี ารตง้ั ค�ำ ถามวา่ วชิ านติ ศิ าสตรท์ ส่ี อนกนั อยนู่ ี้ เราหลงทางกนั อยหู่ รอื เปลา่
90 “ปรดี ี เกษมทรัพย์ คนสามวัฒนธรรม บิดาแห่งนิติปรชั ญาไทย”
เราได้แยกระหว่างกฎหมายกับนิติศาสตร์หรือไม่ อาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้ให้
คำ�ตอบต่อคำ�ถามน้ีอย่างชัดเจน อาจาย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้นำ�โลกทัศน์ใหม่ทาง
กฎหมายที่เรียกวา่ “นติ ิปรัชญา” เขา้ มาส่วู งการนิติศาสตรป์ ระเทศไทย อาจารยป์ รีดี
เกษมทรัพย์ ได้เป็นอาจารย์บุคคลสำ�คัญท่ีบอกว่า ส่ิงที่ทำ�ให้นักกฎหมายหรือ
นักนิติศาสตร์แตกต่างจากนักวิชาการอื่นท่ีอ่านภาษาไทยได้ก็คือหลัก “นิติวิธี” ถ้า
ปราศจากหลกั นติ วิ ธิ แี ลว้ นกั ศกึ ษากฎหมายหรอื นกั กฎหมายหรอื นกั นติ ศิ าสตรก์ ไ็ มไ่ ด้
ต่างจากคนอ่ืนที่อ่านกฎหมายเป็นภาษาไทยได้ ส่ิงเหล่าน้ีได้ปลูกฝังอยู่ในวงการ
นติ ศิ าสตรป์ ระเทศไทย และไดผ้ ลดิ อก ออกชอ่ ออกผล แผซ่ า่ นออกไปจนกระทงั่ ทกุ วนั
นี้ นบั เปน็ ความรทู้ ยี่ ง่ิ ใหญ่ เปน็ ความรถู้ งึ ในระดบั ปรชั ญา ทเี่ มอื่ อบั จนในการแกไ้ ขปญั หา
แลว้ หลกั ปรชั ญาเหลา่ นกี้ ็สามารถใหค้ �ำ ตอบได้
ไมเ่ พยี งแตค่ วามรขู้ องอาจารยเ์ ทา่ นน้ั ทอ่ี าจารยไ์ ดฝ้ ากไว้ แตส่ ง่ิ ทย่ี ง่ิ ใหญก่ วา่
นั้นกค็ อื “ความเปน็ อาจารย์” ซึง่ เปน็ สง่ิ ทอี่ าจารยช์ อบมากทส่ี ดุ ในชว่ งเวลานัน้ เป็น
ช่วงเวลาที่คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ได้ลงมติว่าจะไปเรียนเชิญท่านอาจารย์ปรีดี
เกษมทรพั ยม์ าเปน็ คณบดี ผมเองมโี อกาสไดเ้ ปน็ ตวั แทนไปเรยี นเชญิ ทา่ นอาจารยป์ รดี ี
เกษมทรพั ย์ มาเปน็ คณบดี คณะนติ ศิ าสตร์ เมอ่ื ยอ้ นไปถงึ สมยั นนั้ ทา่ นเปน็ ผพู้ พิ ากษา
ในศาลฎกี า เปน็ ผพู้ พิ ากษาชน้ั ผใู้ หญ่ ในสมยั นน้ั นกั กฎหมายยอ่ มมคี วามภาคภมู ใิ จกบั
เกียรติภูมิอันสูงส่งของความเป็นผู้พิพากษา มิพักต้องกล่าวถึงการเป็นผู้พิพากษาใน
ชนั้ ศาลฎกี า แต่ทา่ นมิไดล้ งั เลแม้แตน่ อ้ ยทจ่ี ะได้ตัดสินใจมาเป็นคณบดี คณะนติ ศิ าสตร์
ตามที่ลูกศิษย์ได้เรียกร้องขอร้อง เพราะถึงเวลาแล้วท่ีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ จะตอ้ งเปลย่ี นแปลงการศกึ ษาไปสยู่ คุ ใหมข่ องการศกึ ษานติ ศิ าสตรท์ แ่ี ทจ้ รงิ
อาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ เป็นบุรุษสามโลกดังที่ท่านได้กล่าวไว้ คือ โลก
เอเชีย โลกอเมริกา และโลกยโุ รป ทา่ นจบกฎหมายทง้ั ประเทศไทย สหรฐั อเมริกา และ
ที่ยุโรป โดยเฉพาะท่ีเยอรมัน ท่านได้ไปบ่มเพาะความรู้ทางกฎหมายที่เป็นรากฐาน
ทฤษฎี รวมทง้ั ความรทู้ เ่ี ปน็ รากฐานทางการเมอื งหลายอยา่ งหลายประการ ในชว่ งเวลา
ระหวา่ งปี ๒๕๑๔ ถงึ ๒๕๑๙ ชว่ งนน้ั เปน็ ชว่ งเวลาทส่ี �ำ คญั ของประวตั ศิ าสตรป์ ระเทศไทย
เป็นช่วงเวลาท่ีคนหนุ่มสาวสมัยน้ันจำ�นวนหนึ่ง มีความมุทะลุดุดัน มีความเร่าร้อนใน
91
อดุ มการณ์ มคี วามต้องการท่ีจะเปล่ียนแปลงสังคมจากหน้ามือเป็นหลังมอื ทา่ มกลาง
ความเร่าร้อนเหล่านั้น ผมเองรวมทั้ง อาจารย์สมยศ เชื้อไทย อาจารย์วรพจน์
วศิ รตุ พชิ ญ์ กไ็ ดอ้ าจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ย์ เปน็ น�้ำ เยน็ ทค่ี อยลบู ไลใ้ หค้ วามรทู้ างวชิ าการ
สามโลกทท่ี า่ นได้ร�ำ่ เรียนมา และกบ็ อกพวกเราเสมอว่า ตำ�ราหรือหนังสือทีเ่ ราอ่านกัน
มานน้ั เป็นเพยี งสว่ นนอ้ ย ทา่ นอ่านมากอ่ น เพราะฉะน้ัน อยา่ เพ่งิ ไปอา่ นหนงั สอื เลม่ ใด
เล่มหนึง่ และไปเชื่อถือจนกลายเปน็ ตำ�ราทเ่ี ปน็ ธงน�ำ ของชีวติ ท่านจงึ เป็นอาจารยท์ แ่ี ท้
จรงิ เปน็ อาจารยท์ ค่ี อยแนะแนวทางและแนะแนวคดิ ทถี่ กู ตอ้ ง และผมเชอื่ วา่ ไมเ่ พยี งแต่
ผมและอาจารย์สองท่านเท่านั้นท่ีได้รับทราบส่ิงเหล่าน้ี ลูกศิษย์อาจารย์ปรีดีทุกท่านท่ี
ไดม้ โี อกาสสมั ผสั และไดร้ บั ทราบถงึ ความเปน็ อาจารยข์ องอาจารย์ เราตา่ งกร็ สู้ กึ มคี วาม
ภาคภมู ใิ จท่ไี ด้เกิดมาในชาตนิ เ้ี ปน็ ลูกศิษย์ของอาจารยป์ รีดี เกษมทรัพย์
อาจารยป์ รดี ี เกษมทรพั ยว์ นั นไี้ ดจ้ ากโลกนท้ี างกายภาพไปแลว้ แตผ่ มเชอื่ วา่
จติ วิญญาณ เจตนารมณ์ทางกฎหมายของอาจารย์ปรดี ี เกษมทรพั ย์ จะคงอยตู่ ลอดไป
อยู่ในใจของลูกศิษย์ของท่านตลอดไป อยู่ในสังคมไทยตลอดไป และอยู่ในสังคมโลก
ตลอดไป คงจะเปน็ อยา่ งทีค่ ณุ ปัญญแ์ ละหมอวิชช์ได้บอกผมในคนื นนั้ วา่ ทา่ นอาจารย์
ได้ทำ�ทุกอย่างสมบูรณ์อย่างที่ท่านต้องการทำ�แล้ว ท่านได้จากโลกนี้ไปอย่างนิ่งสงบ
แทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตอนที่ท่านมีชีวิตกับตอนท่ีท่านสิ้นลม เพราะเป็น
อาการที่นิ่งเท่ากัน นับได้ว่าเป็นการจากโลกน้ีไปอย่างสงบท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้
อาจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ผู้ซ่ึงทำ�โครงการการลาจากโลกนี้ของผู้ท่ีอยู่ในวาระ
สดุ ทา้ ยไดเ้ ลา่ ใหผ้ มฟงั วา่ อาจารยไ์ ดพ้ บเหน็ ผทู้ จี่ ากโลกนไ้ี ปเปน็ จ�ำ นวนมากระหวา่ งท่ี
ท�ำ โครงการดงั ทีว่ า่ น้ี แต่อาจารย์ปรดี ี เกษมทรัพย์ ได้จากโลกนี้ไปอยา่ งสงบราบเรียบ
มากทสี่ ดุ เทา่ ทเี่ คยพบมา อาจารย์ไดจ้ ากพวกเราไปสสู่ ัมปรายภพแลว้ ถา้ ท่านอาจารย์
ได้มองกลับมา ก็ขอให้อาจารย์ได้สบายใจว่า ส่ิงท่ีอาจารย์ได้ทำ�ทุกอย่างได้ภูมิใจน้ัน
ลูกศิษย์ของอาจารย์ก็จะได้นำ�พาเจตนารมณ์ของอาจารย์ให้สืบเนื่องต่อไป และคงอยู่
ต่อไปจนตราบนิรันดรค์ รบั อาจารย์ กราบคารวะอาจารย์ครบั
92 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวัฒนธรรม บิดาแห่งนิตปิ รัชญาไทย”
ค�ำ กลา่ วแสดงความอาลยั และร�ำ ลึกถึง
ในโอกาสงานสวดพระอภิธรรมศพ
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์
เมอื่ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๒
โดย ฯพณฯ ชวน หลีกภัย
กราบเรยี นคณุ แมอ่ งั คณา และญาตพิ น่ี อ้ งของทา่ นอาจารย์ ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์
ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ดังนั้นผมคงพูดอะไรได้นะครับ แต่ว่าสิ่งที่เขียนอยู่
สักครู่นี้ก็คือ ผมอยากให้อาจารย์สมยศได้พูดเพราะท่านได้ทำ�งานใกล้ชิด แต่ท่านก็
บอกว่าท่านจะพูดวันสุดท้าย วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายให้ผมพูดก่อน ก็เลยถือโอกาสว่า
โดยสว่ นตัวไมไ่ ดเ้ ปน็ ลกู ศษิ ย์หรอกครบั เพราะวา่ อาจารยม์ าสอนผมก็จบไปแลว้ แต่ว่า
ท่านเป็นรุน่ พ่ี เปน็ รนุ่ ท่ี ๑ ของคณะนิตศิ าสตร์ ปกตคิ นเรยี นธรรมศาสตร์เค้าก็จะถาม
วา่ “รุน่ ปีไหน?” เพราะเขา้ ไปแลว้ บางทีไมอ่ อกมาครับ ผมนร่ี ่นุ ๐๑ ทา่ นอาจารยเ์ อง
เข้าใจว่าน่าจะรุ่นประมาณ ๒๔๙๕ เพราะว่าเป็นช่วงที่แยกจากธรรมศาสตร์บัณฑิต
มาเป็นคณะ แต่ว่าสิ่งท่ีน่าสนใจเป็นช่วงเวลาท่ีท่านอาจารย์เป็นผู้พิพากษา ในหมู่
นักเรียนกฎหมายก็จะจำ�ได้ เป็นท่ีโจษจันกันในกระทรวงยุติธรรมว่า มีนักเรียนทุน
คนหนึ่งไปเรียนท่ีเยอรมันแล้วกระทรวงลืมไปเลยครับ เพราะว่าไปเรียนนานหลายปี
ผมก็กราบเรียนถามคณุ แมอ่ งั คณา ท่านไปอยูเ่ ยอรมนั ๘ ปี เค้าลอื กันนะครับในสมัย
นนั้ นกั กฎหมายเปน็ ทรี่ กู้ นั เพราะวา่ ในหมแู่ วดวงทางกฎหมายทเ่ี รยี นธรรมศาสตรก์ จ็ ะ
รู้จักคณบดีหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทางกฎหมายที่สอน และอาจารย์ท่านก็เป็นผู้พิพากษา
และต่อมาท่านก็โอนมา โดยทางอาจารย์สญั ญา ธรรมศกั ดิ์ ท่านสนบั สนุนว่าเปน็ คนมี
ความรู้ แต่ผมก็เพ่ิงทราบจากคุณแม่อังคณาว่า อาจารย์แต่งงานกับคุณแม่ที่เยอรมัน
เปน็ ชว่ งพอดกี บั ทท่ี างคาทอลกิ ซงึ่ ครสิ ตศ์ าสนจกั รเขาหา้ ม สมยั กอ่ นเคา้ มคี ำ�สงั่ ทวั่ โลก
93
ห้ามคนคาทอลกิ แต่งงานกับคนศาสนาอ่นื รวมท้งั พุทธด้วย แต่ว่าด้วยเหตผุ ลใดกต็ าม
ตอ่ มาศาสนจกั รในประเทศไทยยกเลกิ คำ�ส่งั หา้ มน้ใี นปี ๒๕๐๓ เพราะฉะน้นั คณุ แม่ก็
เลยไปแต่งงานกบั ทา่ นที่เยอรมัน แตป่ รากฏวา่ ไปถึงเยอรมันยังไมเ่ ลกิ หา้ ม ให้คณุ แม่
เลา่ ดกี วา่ นะครบั วา่ เปน็ อยา่ งไร แตท่ จี่ ะขอบอกคอื วา่ อาจารยม์ คี วามรกั ทไี่ มม่ พี รมแดน
ในเรือ่ งศาสนา อันนเี้ ป็นเร่อื งหน่งึ ซ่งึ คณุ แม่ก็เปน็ คริสต์ ลกู ๆ ๔ คนคณุ แมบ่ อกกเ็ ปน็
คริสต์หมด แต่อาจารย์ไม่เปลี่ยนศาสนา เข้มแข็งมากนะครับ ที่น่าสนใจในฐานะที่ผม
รู้จักกับท่าน และท่านก็เมตตาเป็นส่วนตัวก็คือให้เกียรติ โดยมีความเช่ือม่ันในเรื่อง
ประชาธปิ ไตย เชือ่ ม่ันหลักนติ ธิ รรม ความเปน็ ประชาธปิ ไตยที่อาจารย์เชอื่ อนั หนง่ึ กค็ ือ
เช่ือว่าถ้าลูกชาวบ้านเป็นนายกได้หน่ึง สองถ้าบ้านเมืองนั้นปกครองด้วยกฎหมายได้
คอื อาจารยเ์ ชอื่ หลกั นติ ธิ รรมมากๆ วา่ อนั นค้ี อื หลกั ของหวั ใจของการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย เราจึงเห็นบทความที่อาจารย์เขียนเร่ืองของประชาธิปไตยของชนชั้น
กลางหรอื ประชาธปิ ไตยทเ่ี ปน็ ประชาธปิ ไตยทแี่ ทจ้ รงิ จากความเชอื่ โดยบรสิ ทุ ธ์ิ โดยยดึ
มนั่ ในหลกั วชิ าและหลกั การ เราจงึ เหน็ อาจารยม์ น่ั คงตลอดชวี ติ ของทา่ นไมเ่ ปลยี่ นแปลง
เหมอื นความรัก เหมือนความเชอ่ื ในทางศาสนา เหมอื นอ่ืนๆ อนั นเ้ี ป็นความโดดเดน่
ถือเป็นเอกลักษณอ์ นั น่าประทับใจท่ีน่าช่ืนชมท่าน มผี ลงานความเป็นอาจารย์ของทา่ น
มากมาย คือลูกศิษย์ในที่น้ี ผมจะรู้จักท่านดีนะครับ ผมก็รู้สึกเป็นหน้ีบุญคุณเพราะ
ท่านไดใ้ ห้เกยี รติ ได้พูดถงึ ผมกับใครตอ่ ใครวา่ นี่แหละตวั แทนของประชาธปิ ไตยทีแ่ ท้
จรงิ เพราะเปน็ ลกู ชาวบา้ นและกเ็ ปน็ คนทยี่ ดึ มน่ั ในเรอื่ งหลกั นติ ธิ รรม ซงึ่ กส็ อดคลอ้ งกบั
จดหมายท่ที า่ นอาจารย์สญั ญา ธรรมศักดิไ์ ด้เคยเขียนไว้เมอ่ื ๒๒ ปที ่ีแล้ว ซ่งึ ผมก็ยงั
เก็บไว้จนทุกวันนี้ ผมจึงมีความผูกพันกับอาจารย์โดยทางน้ี จึงได้มีความเคารพรัก
ท่านมาตลอดเวลาและก็ถามถึงความเป็นอยู่ของท่าน อาจารย์ได้เป็นแบบอย่างของ
ปชู นยี บคุ คลดา้ นครบู าอาจารย์ เปน็ แบบอยา่ งใหก้ บั อาจารย์ และขอ้ ทเี่ รานา่ รอู้ กี ขอ้ หนง่ึ
กค็ ือ ท่านรบั อาจารยว์ ริ ยิ ะ อาจารย์ทต่ี าบอดมาเปน็ อาจารยท์ ่ธี รรมศาสตร์ โดยไม่ถอื
เป็นผู้พิการตามกฎหมาย อันนี้ก็เป็นการตีความกฎหมายชัดเจน ไม่ได้พูดถึงหลัก
สิทธิมนุษยชน แต่ว่าเป็นการตีความกฎหมาย เราจึงเห็นความคิดท่ีเป็นเอกลักษณ์
พเิ ศษของท่านจากความเป็นผรู้ ้จู รงิ ๆ ของทา่ น
94 “ปรีดี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแห่งนติ ิปรัชญาไทย”
อาจารยม์ คี วามรอบรภู้ าษาจนี เพราะวา่ เคยไปอยเู่ มอื งจนี ทา่ นเปน็ คนจงั หวดั
รอ้ ยเอ็ด คุณพอ่ เป็นคนจนี คุณแม่เปน็ คนอีสาน อาจารยไ์ ด้ไปอยเู่ มืองจีนชว่ งเวลาหนึ่ง
ฉะน้ัน ทา่ นจึงเป็นคนที่มคี วามรภู้ าษาจีนแตกฉานมาก เหน็ วา่ ต�ำ ราทา่ นเขยี นอธบิ าย
footnote เป็นภาษาจีนนะครับ นี่เป็นเอกลักษณ์พิเศษท่ีเราไม่ค่อยมี แต่ว่าในฐานะ
คนธรรมศาสตร์ เราก็ภูมิใจที่เรามีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาตลอดเวลายาวนาน ตั้งแต่
ผมเข้าเรียนก็มี สมัยนั้นไม่มีอาจารย์ประจำ�นะครับ มีอาจารย์ที่มาสอนโดยเป็น
ผู้พพิ ากษา เป็นอธบิ ดี เป็นรองปลัดกระทรวง หรือเปน็ ขา้ ราชการเกษียณ ร่นุ ผมนัน้
ยังมีพระยานะครับ พระยาจริงๆ พระยานิติศาสตร์ไพศาลยังสอนอยู่ ก็มีคุณหลวง
คุณพระ ซึ่งเรากน็ กึ ถงึ พระอจั ฉริยภาพของรัชการที่ ๖ พระราชทานบรรดาศักดิข์ ุนนาง
ของพระองค์ไว้ไพเราะเพราะพร้ิง หลวงประเสริฐมนูกิจ คู่กับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
หลวงสุทธมิ ลนฤนาถ สอนค่กู บั หลวงสทุ ธิมาศนฤพฒุ ิ ดูสิครับ แต่ว่าคณุ หลวงคนหนง่ึ
คือ หลวงศรีปรีชาธรรมปาฐก ไม่มีคู่แต่พวกนักศึกษาเรียกท่านว่า หลวงศรีปรีชา-
ธรรมดาตก ใครเรียนวิชาหุ้นส่วนของท่านได้คะแนนผ่านถือว่าฉลองกันเลยนะครับ
แต่เผอิญคะแนนวิชานี้ไปรวมกับวิชาละเมิด เลยทำ�ให้รวมคะแนนแล้วนักศึกษาก็ยัง
พอสอบผา่ น อนั นกี้ เ็ ปน็ หลงั ในสมยั โนน้ ซง่ึ มคี นทเ่ี ปน็ “นาย” กม็ อี าจารย์ ดร.ประกอบ
หตุ ะสิงห์ อาจารยห์ ยดุ แสงอุทัย มผี ทู้ ส่ี ละฐานนั ดร อาจารย์ประมูล ซ่งึ คนเหล่านก้ี ็ถือ
เป็นปูชนียบุคคลของเรา แล้วย่ิงอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ซ่ึงเราถือว่าเป็นประมวล
กฎหมายเคลือ่ นทีเ่ ปน็ คณบดีของเรา และก็เป็นบุคคลทม่ี คี วามสำ�คัญยิ่งทางกฎหมาย
ผมก็ไดเ้ รียนกบั หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช ซ่งึ ทา่ นน้นั ถือเป็นอาจารย์ท่ีลกู ศิษย์รกั
มาก เพราะท่านมาช่วยทุกอยา่ ง ผมยังจำ�ไดต้ อนแตง่ เพลงยูงทอง ทา่ นอาจารยก์ ็เรยี ก
พวกเราเข้าไป นั่นเกิดกันตอนเราเรียนปี ๔ กันเลยนะครับ อาจารย์ก็เรียกเพื่อไปขอ
ความคิดเห็นจากพวกเรานักศึกษาว่า เนื้อร้องควรจะเป็นอย่างไร ฉะน้ัน ในประวัติ
ของเพลงยูงทองท่ีเป็นพระราชนิพนธ์ที่ทำ�การพูดถึงว่าเพลงน้ีได้มีการแต่งโดยยึด
ร่างทหี่ ม่อมราชวงศ์ เสนยี ์ ปราโมช ร่างเอาไว้ แล้วกม็ ผี ูแ้ ต่งตอ่ มาภายหลังจนสำ�เรจ็
อันน้กี ็เปน็ อดตี ซ่งึ เมอ่ื พูดถงึ อาจารย์ปรดี กี อ็ ยากจะเล่าให้พวกเราไดฟ้ งั ในโอกาสที่ได้
มารว่ มในการสวดพระอภธิ รรมของอาจารย์ เหมาะอยา่ งยงิ่ วา่ ดว้ ยคณุ ความดที อี่ าจารย์
ได้ประกอบมาตลอดชีวิตของท่าน การท่ีสละตำ�แหน่งผู้พิพากษาซ่ึงเงินเดือนสูงมา
95
เปน็ อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั นนั้ เปน็ การเสยี สละนะครบั เพราะอาจารยม์ หาวทิ ยาลยั จรงิ ๆ
แต่ก่อนนั้นเงินเดือนน้อยมาก ก็เป็นท่ีเข้าใจว่าท่านอาจารย์มีความเชื่อมั่นในเร่ือง
ของความเปน็ ครู ดงั น้ัน ทา่ นก็สละต�ำ แหน่งทม่ี เี กยี รติเปน็ ตุลาการเขา้ มาเปน็ อาจารย์
ธรรมดาคนหนง่ึ ในคณะนิตศิ าสตรข์ องเรา ขอให้วญิ ญาณของท่านอาจารย์ไปสสู่ ุคตใิ น
สมั ปรายภพเทอญ ขอบพระคุณครับ
คำ�กล่าวขอขอบคุณแขกผู้มาร่วมงานสวดอภิธรรม ศ.ดร.ปรีดี
เกษมทรัพย์ ๙ มกราคม ๒๕๖๒
ผมในนามของครอบครัวเกษมทรัพย์ ขอกราบขอบพระคุณท่านนายกชวน
แขกผมู้ ีเกยี รติทกุ ท่าน คณาจารย์ ลูกศษิ ย์ลูกหาทเ่ี ปน็ ที่รกั ของคุณพอ่ ทกุ ทา่ น ทท่ี า่ น
ได้เสียสละเวลาของท่านให้เกียรติมาร่วมงานส่งคุณพ่อในวันน้ี และผมขอกราบ
ขอบพระคณุ ทา่ นอดตี นายกชวน หลกี ภยั เปน็ พเิ ศษทไี่ ดใ้ หเ้ กยี รตคิ รอบครวั เราไดก้ ลา่ ว
คำ�อำ�ลาคำ�ระลึกถึง สำ�หรับผมเอง เร่ืองของคุณพ่อผมที่ท่านนายกชวนได้เล่ามาน้ัน
ชว่ งทคี่ ุณพอ่ เปน็ คณบดี คณะนิตศิ าสตร์ ผมอายุ ๗ ขวบ และตอนท่ที ่านเป็นอธิการบดี
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรผ์ มอายเุ พยี งแค่ ๙ ขวบ ดังนัน้ ผมก็ยังเด็กไปกว่าทจ่ี ะเขา้ ใจ
และสมั ผสั ในตอนทที่ า่ นไดท้ �ำ ประโยชนใ์ หก้ บั ประเทศชาตมิ ากๆ ในชว่ งหลายวนั ทผี่ า่ น
มานท้ี �ำ ใหผ้ มไดซ้ าบซง้ึ และเขา้ ใจถงึ คณุ ประโยชนข์ องคณุ พอ่ ทไี่ ดท้ �ำ ไวก้ บั ประเทศชาติ
ทำ�ให้ผมหวนคิดกลับไปว่าท่านได้ส่ังสอนพวกเราสี่คนพี่น้องผู้ชายสี่คนเร่ืองจริยธรรม
เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหม่ันเพียร และการให้ความเอ้ือเฟื้อต่อเพ่ือนฝูง
ญาติมิตรตามสมควร
ท่านเป็นปราชญ์บางคร้ังก็จะสอนเป็นโคลงกลอน ส่วนใหญ่มีคำ�พระสอน
พวกผม ถึงแม้บางท่านอาจทราบว่าพวกผมเป็นคริสต์ แต่คุณพ่อไปกราบสมเด็จพระ
สังฆราชมาตั้งแต่เด็กเพราะฉะน้ันหลายท่านก็เรียกพวกผมว่า “พุทธอลิค” ท้ังส่ีคน
แขวนพระกแ็ ขวนทั้งสอง ตั้งแตเ่ ราเดก็ ๆ เท่าทเ่ี หน็ ไมเ่ คยเหน็ วา่ ท่านอยากจะได้อะไร
สว่ นตวั มเี หน็ กค็ อื ทา่ นชอบอยา่ งเดยี วชอบหนังสอื และรกั ลูกศิษยม์ ากๆ
96 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแหง่ นติ ปิ รัชญาไทย”
ท่านสอนพวกเราว่า “วิสฺสาสปรมา ญาติ” การที่ไปมาหาสู่กันเป็นญาติ
อยา่ งยงิ่ ดงั นน้ั การทท่ี า่ นอาจารยห์ ลายๆ ทา่ นไดไ้ ปมาหาสคู่ ณุ พอ่ ทบ่ี า้ นผมตง้ั แตเ่ ดก็ ๆ
ก็เปรียบเสมือนญาติกันน่ันเอง ไม่ว่าอาจารย์สมยศ อาจารย์วิริยะ อาจารย์วรพจน์
อาจารย์สถิตย์ หรืออาจารย์อีกหลายท่านที่ผมไม่ได้กล่าวถึงมาเย่ียมที่บ้าน เท่าที่ผม
จบั ใจความวา่ คอื เรอื่ งทเี่ กยี่ วขอ้ งการสรา้ งคณะนติ ศิ าสตร์ แลว้ กเ็ รอ่ื งทจ่ี ะเกดิ ประโยชน์
ตอ่ ประเทศชาตบิ ้านเมอื งได้ในอนาคต
แต่ท้ังน้ีทั้งน้ันนะครับ เม่ือผมได้กล่าวถึงคุณพ่อต่อหน้าโกศของท่านแล้วนะ
ครับ กอ็ ยากจะเรยี นท่านผมู้ เี กียรตทิ ง้ั หลายนะครบั วา่ เรายังขาดอกี ท่านหนึ่งไปไม่ได้
และคณุ พอ่ ไดเ้ ขยี นลงไวใ้ นค�ำ น�ำ หนงั สอื นติ ปิ รชั ญาของทา่ นวา่ มบี คุ คลผหู้ นง่ึ คอื คณุ แม่
ของผมเอง คุณแมอ่ งั คณาทีไ่ ดช้ ่วยสนับสนนุ คุณพอ่ ทกุ ประการให้คุณพอ่ ท�ำ งานเต็มท่ี
ไมต่ อ้ งหว่ งหนา้ พะวงหลงั ชว่ ยดแู ลเลย้ี งพวกผมมาอยา่ งดเี พราะฉะนนั้ วงการนติ ศิ าสตร์
กต็ อ้ งขอบคณุ คณุ แมไ่ วด้ ว้ ย ในนามของครอบครวั ลกู ทง้ั สคี่ นกอ็ ยากขอปวารณาตอ่ หนา้
โกศของคณุ พ่อนะว่า แตน่ ้ีตอ่ ไปไมม่ คี ณุ พอ่ แล้วกจ็ ะดูแลคุณแมอ่ ย่างดที ี่สดุ ครับ
สดุ ทา้ ยนผี้ มอยากจะกราบขอบพระคณุ ทา่ นผมู้ เี กยี รตทิ กุ ทา่ น ญาตสิ นทิ มติ ร
สหาย คนท่รี กั คุณพ่อทกุ คน วันนง้ี านท่ที า่ นท�ำ ได้ผลิดอกออกผลแล้ว ทุกวนั มคี นที่รัก
ท่านมางานของท่านพร้อมเพรียง และก็มากหน้าหลายตา ทุกท่านได้ให้เกียรติกับ
ครอบครัวของเราเป็นอยา่ งยงิ่ กราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสูงครบั
บรรณ เกษมทรพั ย์
97
คำ�กล่าวแสดงความอาลัยและร�ำ ลกึ ถงึ
ในโอกาสงานสวดพระอภิธรรมศพ
ศาสตราจาย์ ดร.ปรดี ี เกษมทรพั ย์
เมือ่ วนั ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๒
โดย ศาสตราจารย์ ดร.วริ ยิ ะ นามศิริพงศพ์ นั ธุ์
วนั นผี้ มจะมาขอพดู เรอ่ื ง “บญุ มหาชน” ทท่ี า่ นไดท้ �ำ ไวเ้ ยอะมาก ทา่ นสมเดจ็
พระโฆษาจารย์ ปยตุ โต บอกวา่ สงั คมไทยเรานิยมท�ำ บญุ ปจั เจก บญุ มหาชนเราท�ำ กัน
น้อย และทา่ นเรยี กรอ้ งว่าสังคมไทยควรจะต้องท�ำ บุญมหาชนกนั เยอะๆ ผมมาวัดเลย
ต้องพูดเร่ืองวัดซะหน่อย ผมว่าท่านอาจารย์ปรีดีได้ทำ�บุญมหาชนไว้มาก คือได้วาง
รากฐานที่ดีๆ คือบุญมหาชนคนทำ�ก็มีความสุข มีปิติ บุญก็คือความปิติ และส่วนท่ี
ท่านทำ�คนอ่ืนก็ปิติ ก็คือได้รับส่วนบุญท่ีท่านทำ�เยอะ โดยผมนี่ได้รับเยอะมาก และ
ผมคิดว่าลูกศิษย์ก็ได้รับเยอะ ท่ีผมจะกล่าวบุญมหาชนท่ีท่านทำ�ไว้ อย่างเช่น การ
สร้างอาจารย์ประจำ�ท่ีคณะนิติศาสตร์ เราอย่าลมื วา่ ในยุคก่อนนนั้ คนมาเปน็ อาจารยก์ ็
เพื่อผ่านไปเป็นผู้พิพากษาเปน็ อยั การตอ่ แตท่ ่านอาจารย์ปรดี กี ลบั มาปลกู ฝงั วิชาการ
ที่คณะ และข้ามจากศาลมาเป็นคณบดี ซึ่งผมว่าน้อยคนมากท่ีจะสละจากท่ีคน
ชื่นชมช่ืนชอบมาก มาสู่อีกท่ีหนึ่งที่คนไม่ค่อยได้เห็นคุณค่ามากในขณะน้ัน และเมื่อ
ท่านมา ท่านก็ทุ่มเทสร้างอาจารย์ประจำ�ด้วยการดำ�เนินรอยตามยุทธศาสตร์ของ
ดร.ปว๋ ย อง๊ึ ภากรณ์ ดว้ ยการวง่ิ หาทนุ ทา่ นเหนอ่ื ยนะครบั ในการหาทนุ ใหอ้ าจารยใ์ หมๆ่
อย่างพวกผมหรือรุ่นพ่ีรุ่นน้องไปเรียนต่างประเทศกัน อย่างเช่น อาจารย์กิตติศักดิ์ไป
เรยี นเยอรมนั อาจารยว์ รพจนไ์ ปเรียนฝรง่ั เศส การไปเรยี นตา่ งประเทศมา กลับมาตอ้ ง
ใช้ทุนหลายปี เพราะฉะน้ันเราก็ติดใจวิชาการ ก็เป็นครูบาอาจารย์ และท่านก็บุกเบิก
วชิ าใหมๆ่ ไมว่ า่ วชิ านติ ศิ าสตรใ์ นทางขอ้ เทจ็ จรงิ กค็ อื เรอ่ื งประวตั ศิ าสตร์ เอาประวตั ศิ าสตร์
ทม่ี าใหเ้ กดิ ประโยชนก์ บั การใชก้ ารตคี วามกฎหมาย นติ ปิ รชั ญาเพอื่ ใหเ้ ราไดเ้ หน็ คณุ คา่
98 “ปรีดี เกษมทรัพย์ คนสามวฒั นธรรม บิดาแห่งนิตปิ รัชญาไทย”
ของกฎหมาย ความดงี ามทจ่ี ะท�ำ ให้เกิดกบั สงั คม และสง่ิ นตี้ ่อมาก็ขยายตัวออกไป ซึ่ง
กเ็ ปน็ ประโยชนก์ บั ประเทศของเรามากทเี ดยี ว เพราะกอ่ นนน้ั เรากย็ ดึ อยกู่ บั ค�ำ พพิ ากษา
ฎีกา เราก็ไมไ่ ด้มาสนใจกับพวกทเ่ี ข้าไปถงึ แกน่ ของกฎหมายและประโยชน์ทีก่ ฎหมาย
พงึ มีตอ่ สงั คม หลายๆ อยา่ งที่ท่านไดท้ �ำ ไว้เป็นประโยชน์กบั สงั คมในสว่ นรวม
ในเรอ่ื งที่ทา่ นช่วยผมนะครบั ผมวา่ ผมตอ้ งเปน็ หนบ้ี ญุ คุณทา่ นมาก ในขณะ
ที่สังคมไทยมองว่าจะให้คนตาบอดไปสอนหนังสือคนตาดีได้อย่างไร แม้แต่อาจารย์
หลายท่านยังคัดค้านท่านว่า จะเอารับคนตาบอดไปสอนคนตาดีได้อย่างไร แต่ท่านก็
ยนิ ดรี บั ผม และกท็ ค่ี ณุ ชวนไดพ้ ดู ไปเมอ่ื วานนแี้ ลว้ วา่ ทา่ นกต็ คี วามกฎหมายโดยเชอ่ื วา่
ผมท�ำ งานได้และทา่ นยนิ ดีรบั โดยทา่ นกไ็ ปปรึกษากับ ดร.ปว๋ ย อ๊งึ ภากรณ์ เพราะมีคน
คา้ นเยอะ ดร.ปว๋ ยบอกวา่ ยิ่งตอ้ งสนบั สนนุ ทา่ นเคยเลา่ ให้ผมฟงั อนั นกี้ ด็ ูเหมอื นเป็น
บญุ ปจั เจกทม่ี ตี อ่ ผม แตก่ เ็ ปน็ บญุ มหาชนดว้ ยวา่ ภายหลงั กม็ มี หาวทิ ยาลยั อน่ื ๆ ยอมรบั
เรื่องนี้ และก็เริ่มรับคนตาบอดเข้าไปเป็นอาจารย์ เดี๋ยวน้ีก็มีหลายมหาวิทยาลัยมาก
จนกลายเป็นเร่ืองธรรมดา นั่นก็คือเป็นการบุกเบิกเรื่องสิทธิมนุษยชนในภาคปฏิบัติ
เพราะในสงั คมท่วั ไปเคา้ ต้องสร้างสงั คมส�ำ หรับทกุ คน ซงึ่ รัฐบาลน้ีกม็ ารับเปน็ นโยบาย
เพราะว่ามันเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าจะต้องไม่ท้ิงใครไว้ข้างหลัง “No One Left
Behind” ก็คือต้องสร้างสังคมที่คำ�นึงถึงทุกคนให้โอกาสทุกคนตามศักยภาพความ
สามารถ ผมเลยถือว่าท่านได้บุกเบิกและสร้างรากฐาน “บุญมหาชน” สำ�หรับกลุ่ม
คนพิการ และสำ�หรับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ที่มีวิชาชีพใน
ทางกฎหมายเยอะมาก ผมกใ็ นฐานะทเี่ ปน็ หนบ้ี ญุ คณุ ทา่ นตอ้ งขอยกยอ่ งสรรเสรญิ ทา่ น
เป็นอย่างมากในโอกาสนี้ และขอขอบคุณทุกท่านท่ีรับฟังคำ�พูดผมและให้โอกาสผมท่ี
ไดพ้ ดู ถึงทา่ นครับ ขอบคุณมาก
99
แด่ อาจารยป์ รีดี เกษมทรัพย์
เพ่ิงทราบว่าอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ลาไปสู่ปรโลกเสียแล้ว นับว่าน่า
เสียดายเพราะท่านเป็นคนพิเศษคนหนึ่ง ซ่ึงได้รับการศึกษาทั้งทางจีนวิทยา นอก
เหนอื ไปจากการทท่ี ่านจบนติ ศิ าสตรข์ ัน้ ดษุ ฎีบัณฑิต จากประเทศเยอรมนี
ครั้นกลับมาเมืองไทยก็ได้เป็นผู้พิพากษา แล้วลาออกมาเป็นอาจารย์ที่คณะ
นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนได้เป็นคณบดีในปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ และเป็น
ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในการสร้างระบบอาจารย์ประจำ�ขึ้นในคณะแห่งนี้ มิพักต้อง
กลา่ วถึงการส่งอาจารยอ์ อกไปแสวงหาความรใู้ นประเทศต่างๆ อกี มาก
ต่อมาในสมัยท่ีเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมือง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ท่ีอาจารย์
ป๋วย อ๊ึงภากรณ์ จ�ำ ต้องพ้นจากตำ�แหนง่ อธิการบดี และประเทศของเรามีนายธานินทร์
กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น อาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ก็ได้มาเป็นอธิการบดี
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์
พูดอย่างไม่อ้อมค้อมก็คือ ท่านเป็นฝ่ายขวา ท่ีเคยรังเกียจอาจารย์ปรีดี
พนมยงค์ มากเอาเลยด้วยซ้ำ� แต่ต่อมาท่านได้เปล่ียนทัศนคติ เพราะท่านรักความ
ยตุ ิธรรม ดังท่านกรณุ ามาเปน็ พยานปากเอกให้ขา้ พเจา้ เมื่อคราวท่ขี า้ พเจา้ ถกู พลเอก
สจุ นิ ดา คราประยรู ฟอ้ งรอ้ งในเรอ่ื ง “หมนิ่ พระบรมเดชานภุ าพ” ตามกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑๒ ค�ำ ให้การของอาจารยป์ รดี ี ในฐานะพยานจ�ำ เลย ดูจะมีนำ้�หนักมาก และ
ศาลรับฟังจนนำ�มาตัดสินคดี ให้ข้าพเจ้าพ้นโทษได้ในที่สุด (ผู้ท่ีสนใจหาอ่านได้จาก
หนงั สอื พพิ ากษา ส. ศิวรกั ษ์ พิพากษาสังคมไทย)
เม่ือเกษียณจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว อาจารย์ปรีดีได้มาเป็นตัวตั้ง
ตัวตี ณ วทิ ยสถานแหง่ วฒั นธรรมตะวนั ออก โดยท่สี ถาบนั แห่งนีเ้ ป็นหน่วยงานเอกชน
100 “ปรดี ี เกษมทรพั ย์ คนสามวฒั นธรรม บดิ าแห่งนติ ปิ รชั ญาไทย”
ซ่ึงอุดหนุนในทางปรัชญาของภารตะประเทศ และจีนประเทศเป็นพิเศษ ท่านเคย
เชิญให้ข้าพเจ้าไปปาฐกถาและอภิปราย ณ สำ�นักน้ีหลายคร้ัง ตัวท่านเองก็มีผลงาน
แปลหนังสือภาษาจีนด้วย เช่น ลัทธิไตรประชาและรัฐธรรมนูญ ๕ อำ�นาจ ของ ดร.
ซนุ ยัดเซน็
ในดา้ นวชิ าการ นอกจากการสรา้ งคณาจารยข์ น้ึ ในคณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร์ อย่างสามารถแล้ว อาจารย์ปรีดียังได้บุกเบิกวิชาใหม่ๆ ข้ึนในวงการ
นติ ิศาสตร์ดว้ ย โดยเฉพาะก็วชิ านิตปิ รชั ญา และทฤษฎกี ฎหมายสามชัน้
นอกไปจากน้ีแล้ว ท่านยังได้รับเชิญให้เป็นกรรมการที่ตรวจวิทยานิพนธ์
ปริญญาเอกของนายกติ ตศิ กั ดิ์ ปรกติ อกี ดว้ ย แม้ท่านจะอ้างว่าระยะหลงั ๆ มานี้ ภาษา
เยอรมันของท่านเรื้อไปแล้ว แต่ทางมหาวิทยาลัยท่ีเยอรมันก็ยินดีให้ท่านเขียน
ค�ำ วพิ ากษ์วิจารณ์วิทยานพิ นธ์ เป็นภาษาไทยได้
ข้าพเจา้ ไมค่ ้นุ เคยกบั ครอบครวั ของอาจารยป์ รีดี แต่กช็ อบพอกับท่าน ตง้ั แต่
คบกันอย่างห่างๆ จนใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกที เมื่อทราบว่าท่านจากไปแล้วเช่นน้ี จึง
อดท่ีจะแสดงความเสียใจ และอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ แม้ท่านจะแก่กว่าข้าพเจ้าหลายปี
จะถือเสียว่าเหมือนผลไม้ท่ีสุกงอมที่ล่วงหล่นลงไปตามธรรมดาวิสัย ขอให้ท่านไปสู่
สคุ ตภิ พดว้ ยเทอญ
ส. ศิวรักษ์
๔/๑/๒๕๖๒