The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยในชั้นเรียน ปีการศึกษา 2563 เรื่องการใช้นิทานพื้นบ้านเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

วิจัยในชั้นเรียน ปีการศึกษา 2563



การใช้นทิ านพน้ื บา้ นเพื่อพฒั นาทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญ
วชิ าภาษาไทยของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
โรงเรยี นบ้านบึง “อุตสาหกรรมนเุ คราะห์”

นายทศพล ลาภจรสั แสงโรจน์

โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนเุ คราะห”์ อำเภอบา้ นบงึ จงั หวดั ชลบุรี
สำนกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 18



ชอ่ื เรือ่ ง ก
ผวู้ ิจัย
: การใช้นิทานพนื้ บา้ นเพื่อพัฒนาทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญวชิ าภาษาไทยของ
นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบึง “อตุ สาหกรรมนุเคราะห์”

: นายทศพล ลาภจรัสแสงโรจน์

บทคัดยอ่
การทำวิจัยเรื่อง การใช้นิทานพ้ืนบ้านเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวิชาภาษาไทยของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์” มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาแบบฝึก
ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้นิทานพื้นบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์” ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 : 80/80
และเพื่อเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นด้านทักษะการอา่ นจับใจความสำคญั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์” ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ใน
การศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านบึง
“อุตสาหกรรมนุเคราะห์” อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จำนวน 10 คน ซ่ึงได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนิทาน
พ้ืนบ้าน 1 เล่ม ประกอบด้วยเน้ือหา 5 เร่ือง และแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียน
และหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ แบบแผนการทดลองใช้แบบ
One – Group Pretest – Protest Design สถิติที่ใช้คือ การวิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานของแบบฝึกพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนิทานพื้นบ้าน หาค่าประสิทธิภาพของ
แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ และการหาค่าเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่าง
กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นโดยใช้ t – test for Dependent Group
ผลการศึกษาค้นควา้ พบว่า

1. การพฒั นาแบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญโดยใช้นิทานพ้ืนบ้าน ของนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80

2. นักเรียนใช้แบบทดสอบวดั ทกั ษะการอ่านจับใจความสำคัญมคี ะแนนเฉลีย่ หลังเรียนสูงกว่า
คะแนนเฉลยี่ ก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05



กติ ติกรรมประกาศ

งานวิจัยฉบับน้ีสำเร็จได้ด้วยความกรุณาและความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากผู้อำนวยการโรงเรียน
บา้ นบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์” ให้การสนับสนุนในการจัดการเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานกบั นักเรียน (PBL)
และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนร้ทู างวิชาชีพ (PLC) ทำให้ผู้วิจัยได้จัดทำนวัตกรรมแบบฝึกทักษะการอ่านจับ
ใจความสำคัญโดยใช้นิทานพื้นบ้านมาใช้แก้ปัญหากับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ในด้านการอ่านต่ำกว่าที่ควร
ผูด้ ำเนนิ การวิจัยขอกราบขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสน้ี

ขอขอบพระคุณคณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำปรึกษา
เป็นกำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการทดลองใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทำให้การวิจัยสำเร็จ
ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี และขอขอบใจนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรม
นุเคราะห์” ท่ใี ห้ความรว่ มมือในการทำวจิ ยั คร้ังนี้

คุณค่าและประโยชน์ของงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดามารดา ครูอาจารย์
และผ้มู ีพระคุณทกุ ท่านที่อบรมสง่ั สอนให้ผ้วู ิจัยมีสติปัญญาและคณุ ธรรมทำให้ประสบความสำเรจ็ ในการทำการ
วิจัย

นายทศพล ลาภจรสั แสงโรจน์
ผวู้ ิจยั

สารบัญ ค

เร่ือง หน้า
บทคดั ย่อ ก
กติ ติกรรมประกาศ ข
บทท่ี 1 บทนำ 1
1
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 3
1.2 วตั ถุประสงค์การวจิ ัย 3
1.3 ขอบเขตของการวิจยั 5
1.4 คำนยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 5
1.5 ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับ 5
1.6 กรอบแนวคิดการวจิ ัย 6
บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง 7
2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย 19
2.2 การอ่านจบั ใจความสำคญั 30
2.3 นิทานพ้นื บ้าน 36
2.4 งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง 39
บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวจิ ยั 39
4.1 รูปแบบของวิจยั 39
4.2 กล่มุ เป้าหมาย 39
4.3 เคร่อื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั 40
4.4 การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอื่ งมอื 41
4.5 วธิ ดี ำเนินการเก็บขอ้ มูล 43
4.6 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 46
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 46
4.1 สัญลักษณท์ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 46
4.2 ลำดบั ข้นั ในการวิเคราะหข์ ้อมูล 47
4.3 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 49
บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 49
5.1 สรุปผลการวจิ ัย 49
5.2 อภปิ รายผล 51
5.3 ข้อเสนอแนะ

สารบัญ ง

บรรณานุกรม 52
ภาคผนวก



สารบัญตาราง

เรอ่ื ง หนา้
ตารางท่ี 1
ตารางท่ี 2 แสดงลักษณะการทดลองตามรปู แบบการวิจัยแบบ Pretest – Posttest 39

ตารางท่ี 3 Group Design

ตารางที่ 4 แสดงแผนการทดลองเรื่อง “การใชน้ ทิ านพน้ื บ้านเพื่อพัฒนาทกั ษะ 42

ตารางท่ี 5 การอ่านจับใจความสำคัญวชิ าภาษาไทยของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3

ตารางท่ี 6 โรงเรียนบา้ นบึง “อตุ สาหกรรมนเุ คราะห์”
ตารางท่ี 7
การพฒั นาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคญั โดยใชน้ ิทานพน้ื บ้าน 47

ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์

มาตรฐาน 80/80

การเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งคะแนนเฉลย่ี ก่อนเรียนกบั คะแนน 48

เฉลยี่ หลงั เรยี นของนักเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะการอา่ นจับใจ

ความสำคญั ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

คะแนนแบบฝกึ พฒั นาทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญจากนิทานพน้ื บา้ น

1 เล่ม ประกอบด้วยเนือ้ หา 5 เรื่อง ท้ังหมด 50 ข้อ 50 คะแนน ของนักเรียน

ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3/6 จำนวน 10 คน

แบบบันทกึ คะแนนแบบทดสอบวดั ทกั ษะการอ่านจับใจความสำคัญ

ก่อนเรียนและหลังเรยี นของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3/6 จำนวน 10 คน

คะแนนการเปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนกบั

คะแนนเฉล่ยี หลงั เรยี นของนกั เรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะการอา่ น

จบั ใจความสำคญั ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3/6 จำนวน 10 คน

เพอื่ นำคะแนนไปหา t – test for Dependent Group



1

บทที่ 1

บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
ภาษาไทยเป็นเครือ่ งมือสอ่ื สารของคนในชาติทีใ่ ช้ทำความเขา้ ใจซงึ่ กนั และกัน ใช้ประกอบกจิ การงาน

ทง้ั สว่ นตน ครอบครวั กิจกรรมในสังคมและประเทศชาติ เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การบนั ทึกเรือ่ งราวจากอดีต
ถึงปัจจุบัน และยังเป็นวัฒนธรรมของชาติ การเรียนการสอนภาษาไทยจึงจำเป็นที่จะต้องสอนเพ่ือการส่ือสาร
และสอนให้คนรกั การอา่ น การเขียน ทจ่ี ะแสวงหาความรแู้ ละประสบการณ์ บนั ทึกความรูแ้ ละขอ้ มลู ข่าวสารให้
ถูกต้อง ซึ่งเป็นส่ิงที่จำเป็นและสำคัญในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษา ให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชม ซาบซ้ึง และ
ภูมใิ จในภาษาไทย เหน็ คณุ ค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนภูมิปญั ญาทางภาษาของบรรพบุรษุ

“…ภาษาไทยเปน็ เคร่อื งมืออย่างหนงึ่ ของชาติ ภาษาท้งั หลายเปน็ เคร่อื งมือของมนุษย์ชนดิ หน่งึ คือ
เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเหน็ อยา่ งหน่ึง เปน็ สง่ิ ทีส่ วยงามอย่างหนงึ่ เช่น ในทางวรรณคดี เปน็ ตน้ ฉะนน้ั จึง
จำเป็นตอ้ งรักษาเอาไวใ้ ห้ดี ประเทศไทยเรานั้นมภี าษาเป็นของตนเองซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเรา
หลายประเทศมีภาษาของตนเอง แต่ภาษาของเขาก็ไม่แข็งแรง เขาต้องพยายามหาหนทางที่จะต้องสร้างภาษา
ของตนเองไว้ใหม้ ั่นคง เราโชคดที ม่ี ภี าษาของตนเองแต่โบราณกาล จงึ สมควรอย่างยิง่ ทจี่ ะรกั ษาไว้... ”
(กรมวชิ าการ. 2539 : 7-8) จากพระราชดำรัสดังกล่าว จะเห็นได้ว่าภาษาไทยนอกจากจะเป็นภาษาประจำชาติ
แล้วยังเป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการติดตอ่ สื่อสารระหว่างคนในชาติด้วยกันภาษาไทยเป็นส่ิงที่แสดงให้เห็นถึงความ
เจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าซึ่งมีมาแต่โบราณกาล ดังน้ันจึงเป็นหน้าท่ีของคนไทย ทุกคนในชาติที่พึง
หวงแหนและรกั ษาความเป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติไทยใหค้ งอยู่สืบไป ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการสื่อสาร
ที่สำคัญในสงั คมและชว่ ยสรา้ งสรรค์ความเขา้ ใจอนั ดี

ภาษาไทยจึงเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพ่ือสร้างความเข้าใจ
และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงาน และดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคมแบบ
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล
สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการ
เปล่ยี นแปลงทางสงั คมและความกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใชใ้ นการพัฒนาอาชีพ
ให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นส่ือแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี
สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551 : 37)

โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิชาภาษาไทย จึงได้กำหนดให้วิชาภาษาไทย
เป็นสาระหนึ่งใน 8 สาระ ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือเป็นการส่งเสริมให้

2

นักเรียนมีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะในการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องท้ัง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด
การอ่าน และการเขียน ให้เกิดความเจริญงอกงามตามวัยและศักยภาพของนักเรียน ตลอดจนให้เห็น
ความสำคัญของภาษาไทยในฐานะเป็นเคร่ืองมือสื่อสารของคนในชาติ โดยเฉพาะการตระหนักถึงความสำคัญ
ของการอ่าน ประโยชน์ของการอ่านจับใจความสำคัญ ท่ีจำเป็นอย่างย่ิงในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การอ่าน
แตกฉานจะช่วยให้มีความรู้หลากหลาย การอ่านจึงเป็นทักษะท่ีจำเป็นและเป็นทักษะพื้นฐานท่ีจะนำความรู้
ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้อยู่ในโลกน้ีได้ดีมีความสุข เพราะทัดเทียมกับผู้อื่นและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกัน (แม้นมาศ ชวลิต 2545 : 4-5, อ้างถึงใน กันตา สุขกระจ่าง 2550 : 1) ท้ังนี้ได้มีการ
กำหนดเร่ืองการอ่านไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย สาระท่ี 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรแู้ ละความคดิ แก้ปัญหาใน
การดำเนนิ ชีวติ และมีนสิ ัยรกั การอา่ น

ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคข้อมูลข่าวสารทำให้มีวิทยากรใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
การรบั สง่ ข้อมลู ขา่ วสารเป็นไปอยา่ งง่ายดาย และรวดเร็วย่งิ ข้ึน สง่ ผลใหค้ นไทยต้องปรับเปล่ยี นกระบวน
การเรียนรู้ด้วยการศกึ ษาค้นควา้ หาข้อมูลจากแหล่งตา่ ง ๆ ซึ่งต้องอาศยั การอา่ นเพ่ือทำความเข้าใจ และสอ่ื สาร
กนั ได้ถูกต้อง อีกทงั้ ยังเป็นการแสวงหาความร้เู พ่อื ให้เท่าทนั เหตุการณ์ เพมิ่ พูนสติปญั ญาของตนบคุ คลท่ีมี
ความเขา้ ใจในเรอื่ งทอี่ า่ นอยา่ งแท้จรงิ ยอ่ มนำความรู้ ความคิด ไปใชป้ ระโยชนท์ ั้งแก่ตน และสงั คมได้เปน็
อย่างดี มีหน่วยงานและนักวิชาการได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้สอดคล้องกัน ได้แก่ กรมวิชาการ
(2541 : 1) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอา่ นไวว้ ่า การอ่านเปน็ ทกั ษะท่ีสำคัญ จำเปน็ ต้องเนน้ และต้องฝึกฝน
ให้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการอ่านเป้นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านสร้างความหมายหรือ
พัฒนาการวเิ คราะห์ ตีความ ในระหว่างอา่ น ผู้อ่านจะต้องร้หู ัวเรอื่ ง รู้จดุ ประสงค์การอ่าน มคี วามรทู้ างภาษาท่ี
ใกล้เคียงกับภาษาท่ีใช้ในหนังสือท่ีอ่าน และจะต้องใช้ประสบการณ์เดิมที่เป็นประสบการณ์พื้นฐานของผู้อ่าน
ทำความเข้าใจในเร่ืองทอ่ี า่ นด้วย

การอ่านคอื หัวใจสำคัญย่ิงในการรบั รขู้ ่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ในยุคขอ้ มลู ข่าวสาร เป็นเคร่ืองมอื พ้ืนฐานท่ี
นักเรยี นใชส้ ำหรับเรียนเร่ืองราวต่างๆ รอบตัว มีผลต่อการดำรงชวี ิตในสังคมปัจจุบนั การรจู้ กั อ่านเพือ่ เลือกสรร
แยกแยะ วิเคราะห์ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะการอ่านมีความสัมพันธ์อย่างสูงกับผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของเด็ก อาจกล่าวได้ว่า ผลการเรียนวิชาต่างๆ ย่อมข้ึนอยู่กับความสามารถด้านการอ่าน เพราะ
นักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง จะมีความสามารถในการอ่านภาษาไทยท่ีดีกว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนต่ำ

ถึงแม้การอ่านจับใจความสำคัญจะมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ และกำหนดให้เป็นเน้ือหาในการเรียน
การสอนวชิ าภาษาไทยมาอย่างตอ่ เน่ืองแล้วก็ตาม แตพ่ บวา่ การอ่านกย็ ังคงเป็นปัญหาอยู่ กลา่ วคือ นักเรียน
ไม่มีนิสัยรักการอ่าน อาจเป็นเพราะส่ือในปัจจุบันมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ โทรทัศน์
คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสื่อที่นักเรียนให้ความสนใจ เพราะสะดวกในการทราบข้อมูลข่าวสาร ได้อย่าง
รวดเร็ว ทนั ใจ จึงทำให้นักเรียนสูญเสยี เวลาที่ควรจะได้อานหนงั สือไป และในท่สี ุดจะทำใหน้ ักเรยี นขาดนสิ ัยรัก
การอ่าน เสยี โอกาสในการที่จะนำความรจู้ ากการอ่านไปพฒั นาประเทศ

3

ปัญหาทเี่ ก่ียวกับการอา่ นอีกประการกค็ ือ นกั เรยี นไมไ่ ด้รับการปลกู ฝงั ให้มีนิสัยรักการอ่าน ซึ่งอาจจะมี
สาเหตุมาจาก ผู้ปกครองหรือครูอาจารย์ละเลย ไม่สนใจ จนทำให้นักเรียนไม่ชอบอ่าน อ่านหนังสือน้อยมาก
หรืออ่านแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ครูจึงมีหน้าท่ีตระหนักถึงความสำคัญในด้านการอ่านจับ
ใจความสำคัญของนักเรียน และดำเนินการหาแนวทางแก้ไข เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวิชา
ภาษาไทย

ในปีการศึกษา 2562 ผู้วิจัยได้ปฏิบัติการสอนที่โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”
อำเภอบา้ นบึงจังหวัดชลบุรี รบั ผิดชอบการจัดเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3
โดยการสอนในแตล่ ะครั้ง พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มปี ัญหาในการตอบคำถามเก่ียวกับด้านการอ่าน โดยเฉพาะ
ในเรือ่ งวรรณคดี กล่าวคือ นักเรียนไม่สามารถตอบคำถามจากเรื่องท่ีอ่านได้ จับประเด็นจากการอ่านไม่ได้ จับ
ใจความสำคัญจากเรื่องท่ีอ่านไม่ได้ ซึ่งส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าท่ีควรจะเป็นทั้งในสาระการ
เรยี นรู้ภาษาไทย และสาระการเรียนร้อู ืน่ ๆ ทำให้เกิดปญั หาสำหรับครผู สู้ อนและตัวนักเรยี น

ดังน้ันการขาดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจึงเป็นปัญหาที่สำคัญ ในการเรียนรู้ต่อวิชาภาษาไทย
และวิชาอ่ืน และการนำภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้วิจัยจึงได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ
สำคัญจากนทิ านพ้นื บ้าน นำมาใชใ้ นการพัฒนาทักษะการอา่ นจบั ใจความสำคญั ของนักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษา
ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”ให้มีประสิทธิภาพท่ีดีข้ึน นักเรียนจะได้รับประโยชน์จากการ
อา่ นอยา่ งเต็มที่ และมีนสิ ัยรกั การอ่านมากยิง่ ขนึ้

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้นิทานพื้นบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทย สำหรับนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบงึ “อตุ สาหกรรมนุเคราะห”์ ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ
ตามเกณฑ์ E1/E2 : 80/80

2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากแบบฝึกทักษะ
การอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้นิทานพื้นบ้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านบึง
“อุตสาหกรรมนุเคราะห์”กอ่ นและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ

ขอบเขตของการวจิ ยั
1. กลมุ่ เป้าหมาย
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุ-

เคราะห์”อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี จำนวน 10 คน คน ซ่ึงได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)

2. ตัวแปรในการวจิ ยั
ตวั แปรตน้ คือ แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคญั จากนิทานพื้นบ้าน
ตวั แปรตาม คือ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคญั

4

3. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนิทานพ้ืนบ้าน 1 เล่ม ประกอบด้วยเนื้อหา

5 เร่ือง
- แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญที่ 1 เรื่อง “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนย่ี ว”
- แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ท่ี 2 เรอ่ื ง “ตาม่องล่ายกับยายรำพงึ ”
- แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจับใจความสำคัญที่ 3 เรื่อง “สังข์ทอง”
- แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญที่ 4 เรอ่ื ง “พญาคนั คาก”
- แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคัญท่ี 5 เรอ่ื ง “ไกรทอง”

2. แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรยี นและหลงั เรียน เปน็ แบบทดสอบ
ปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ

5

คำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ

ทักษะการอา่ นจับใจความ หมายถึง ความสามารถในการอา่ นอย่างเข้าใจ จบั ประเด็นสำคัญของเร่ือง

คาดเดาเหตกุ ารณ์ หาคำตอบ และสามารถสรุปสาระทส่ี ำคัญของเรอ่ื งทอี่ ่านได้

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้นิทานพื้นบ้าน หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

โดยใช้นิทานพื้นบ้านซึ่งอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 จำนวน 5 เร่ืองเพ่ือ

พัฒนาทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั วิชาภาษาไทย ไดแ้ ก่

1. เจ้าแม่ล้ิมกอเหน่ียว 2. ตามอ่ งลา่ ยกับยายรำพึง

3. สังขท์ อง 4. พญาคนั คาก

5. ไกรทอง

นักเรยี น ห ม ายถึง นั กเรียน ช้ัน มัธยม ศึกษ าปี ท่ี 3/7 ภ าคเรียน ท่ี 1 ปี การศึ กษ า 256 3

โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี จำนวน 10 คน ที่มีปัญหาด้านคะแนน

สอบการอา่ นจับใจความไม่ผา่ นเกณฑ์

ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ
1. นักเรียนมีทักษะการอ่านจับใจความสำคัญสูงข้ึนหลังจากใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการอ่านจับ

ใจความสำคญั จากนิทานพน้ื บ้าน
2. ผู้สอนหรือผู้ที่เก่ียวข้องกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 สามารถนำแนวทางในการพัฒนาทักษะ

การอ่านจบั ใจความสำคญั ไปใช้กับนักเรยี นในกลมุ่ อ่ืนๆ ได้

กรอบแนวคิดการวิจยั

การจดั การเรียนการสอนโดยใช้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนดา้ น
แบบฝึกทกั ษะการอ่านจบั ใจ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสาคญั
ความสาคญั จากนิทานพ้ืนบา้ น วชิ าภาษาไทยก่อนและหลงั เรียน

6

บทที่ 2

แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง

เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องในการทำวิจัย เรื่อง การใช้นทิ านพ้ืนบ้านเพ่ือพฒั นาทกั ษะการอ่านจับ
ใจความสำคัญวิชาภาษาไทยของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”มี
รายละเอยี ดดงั นี้

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
1.1 วสิ ยั ทัศน์ของหลกั สตู ร
1.2 จุดหมายของหลักสตู ร
1.3 สาระการเรยี นรู้
1.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรูภ้ าษาไทย
1.5 คุณภาพผ้เู รียน
1.6 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
1.7 การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย
1.8 ความสำคญั ของภาษาไทย
1.9 การจัดการเรยี นการสอนภาษาไทย
1.10 กระบวนการเรียนรู้ภาษาไทย
1.11 การวดั และประเมินผลการเรียนรภู้ าษาไทย

2. การอ่านจบั ใจความสำคญั

2.1 ความหมายของการอา่ น

2.2 ความมุ่งหมายของการอา่ น

2.3 การอ่านตามลักษณะและจดุ มงุ่ หมายการอา่ น

2.4 ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ

2.5 ความสำคัญของการอ่านจบั ใจความสำคญั
2.6 หลักการจับใจความสำคัญ

2.7 มารยาทในการอา่ น

2.8 ประโยชน์การอา่ นจับใจความสำคญั

2.9 การสอนอ่านจบั ใจความ

3. นทิ านพืน้ บา้ น
3.1 ความหมายของนทิ าน
3.2 ความหมายของนิทานพน้ื บา้ น

7

3.3 ความสำคญั ของนทิ านพน้ื บ้าน
3.4 ลักษณะของนทิ านพืน้ บา้ น
3.5 ประเภทของนทิ านพ้นื บา้ น
3.6 คุณคา่ นทิ านพืน้ บา้ น
4. งานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง
4.1 งานวิจยั ในประเทศ
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กล่มุ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 4-10) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ประกอบดว้ ย
1. วิสัยทศั นข์ องหลักสตู ร
มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลท้ังร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม
มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐานรวมท้ังเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการ
ประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ บนพ้ืนฐานความเช่ือท่ีว่าทุกคนสามารถ
เรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
2. จุดหมายของหลักสูตร
ม่งุ พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ เม่ือ
จบการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน ดังนี้
2.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และ
ปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาท่ีตนนับถอื ยึดหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2.2 มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้
เทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต
2.3 มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตท่ีดี มสี ุขนิสัย และรกั การออกกำลงั กาย
2.4 มีความรักชาติ มีจติ สำนึกในความเปน็ พลเมืองและพลเมอื งโลก ยึดมั่นในวิถีชวี ิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข
2.5 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
ส่ิงแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งท่ีดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี
ความสุข
3. สาระการเรียนรู้
กำหนดสาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรอื กระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอัน
พึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ซ่ึงกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานจำเป็นต้อง
เรียนรู้ โดยแบง่ เป็น 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ดังน้ี
3.1 สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย

8

3.2 สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์
3.3 สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
3.4 สาระการเรียนรู้สงั คมศาสนาและวฒั นธรรม
3.5 สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี
3.6 สาระการเรยี นรสู้ ุขศึกษาและพลศึกษา
3.7 สาระการเรยี นรู้ศิลปะ
3.8 สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
และกำหนดกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียนอกี 3 กิจกรรมหลัก ดงั นี้
3.9 กจิ กรรมแนะแนว
3.10 กจิ กรรมนักเรียน
3.11 กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณะประโยชน์
สาระการเรียนรู้หลักท้ัง 8 กลุ่ม หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ให้ความสำคัญต่อ
สาระการเรียนรู้ภาษาไทยมากท่ีสุด เพราะถือเป็นพ้ืนฐานสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนรู้และสามารถใช้เป็น
เครอื่ งมือการเรียนร้ขู องทุกสาระ
4. สาระและมาตรฐานการเรียนรภู้ าษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 23-24) กำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทยไว้ 5 สาระ 5
มาตรฐาน ดงั นี้
สาระที่ 1 การอา่ น

มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตัดสินใจ
แก้ปญั หา และสรา้ งวิสัยทัศน์ในการดำรงชีวติ และมนี ิสยั รักการอา่ น

สาระท่ี 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและ

เขียนเร่อื งราวในรปู ตา่ ง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสิทธิภาพ
สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้

ความคดิ ความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมวี ิจารณญาณและสร้างสรรค์
สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง

ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทย

อย่างเห็นคณุ ค่า และนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจรงิ

9

5. คณุ ภาพผเู้ รียน
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 39) กำหนดคุณภาพคณุ ภาพของผู้เรียนภาษาไทย เมื่อจบการศึกษาข้ัน
พืน้ ฐานแตล่ ะระดับไว้ โดยคุณภาพของผเู้ รยี นเม่อื จบชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 มีดังต่อไปน้ี

• อ่านออกเสียงบทรอ้ ยแก้วและบทรอ้ ยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจ
ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของส่ิงที่อ่าน แสดงความคิดเห็น
และข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้
วิเคราะห์ วจิ ารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรอ่ื งท่ีอ่าน รวมท้ังประเมิน
ความถกู ต้องของขอ้ มลู ทีใ่ ช้สนบั สนนุ จากเรื่องท่ีอ่าน

• เขียนสื่อสารด้วยลายมือทีอ่ ่านงา่ ย ชัดเจน ใชถ้ ้อยคำได้ถูกตอ้ งเหมาะสมตามระดับ
ภาษา เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่างๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ
และประสบการณ์ต่างๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ แล ะ
แสดงความรู้ ความคิดหรือโตแ้ ย้งอยา่ งมเี หตผุ ล เขียนรายงานการศึกษาคน้ คว้าและเขียนโครงงาน

• พดู แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสงิ่ ทไ่ี ดจ้ ากการฟงั และดู นำข้อคิดไป
ประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั พูดรายงานเร่ืองหรอื ประเด็นที่ได้จากการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งเป็นระบบ มีศลิ ปะใน
การพูด พูดในโอกาสตา่ งๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือ มมี ารยาทในการ
ฟัง ดู และพดู

• เข้าใจและใชค้ ำราชาศพั ท์ คำบาลสี ันสกฤต คำภาษาถนิ่ คำภาษาต่างประเทศ
คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของ
ประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาท่ีเป็นทางการ ก่ึงทางการ และไม่เป็นทางการ แต่งบทร้อยกรอง
ประเภท กลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสสี่ ภุ าพ

• สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน วิเคราะหต์ วั ละครสำคญั วิถีชีวติ ไทย และ
คุณค่าที่ได้รับจากวรรณคดี วรรณกรรม และบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ ข้อคิด เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ จริง

10

6. ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

สาระที่ 1 การอา่ น

มาตรฐาน ท 1.1ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ

ดำเนินชีวิต และมนี ิสัยรักการอ่าน

ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้  การอา่ นออกเสียง ประกอบดว้ ย

ม.3 ถกู ตอ้ งเหมาะสมกับเรอ่ื งทอ่ี า่ น - บทรอ้ ยแกว้ ทีเ่ ปน็ บทบรรยาย

- บทรอ้ ยกรอง เชน่ กลอนสภุ าพ

กลอนสกั วา กาพยย์ านี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖

กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ และโคลงส่สี ภุ าพ

2. จับใจความสำคญั จากเร่ืองท่ีอา่ น  การอา่ นจบั ใจความจากส่ือตา่ งๆ เชน่

3. ระบุเหตุและผล และขอ้ เทจ็ จริงกับข้อคดิ เห็น - เรอื่ งเล่าจากประสบการณ์
จากเรือ่ งท่ีอา่ น - เร่ืองส้ัน - บทสนทนา
4. ระบแุ ละอธิบายคำเปรยี บเทยี บ และคำทม่ี หี ลาย - นิทานชาดก - บทความ
ความหมายในบริบทต่างๆ จากการอ่าน - วรรณคดใี นบทเรียน
5. ตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจาก - งานเขยี นเชิงสร้างสรรค์

บรบิ ท

6. ระบุข้อสังเกตและความสมเหตุสมผลของงานเขียน - สารคดี - บนั เทิงคดี
ประเภทชักจงู โน้มน้าวใจ - เอกสารทางวิชาการทม่ี ีคำ ประโยค
และข้อความทีต่ ้องใช้บรบิ ทชว่ ย
พิจารณาความหมาย
- งานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจ

เชงิ สร้างสรรค์

7. ปฏบิ ัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใชง้ าน ของเคร่ืองมือ  การอ่านและปฏบิ ตั ติ ามเอกสารคู่มอื

หรือเคร่ืองใชใ้ นระดบั ทย่ี ากข้นึ

8. วเิ คราะหค์ ณุ คา่ ท่ีไดร้ บั จากการอ่านงานเขียน  การอ่านหนงั สือตามความสนใจ เชน่

อย่างหลากหลายเพอ่ื นำไปใช้แก้ปญั หาในชีวิต - หนังสือท่ีนักเรียนสนใจและเหมาะสม

กับวยั

- หนังสืออ่านท่ีครูและนักเรียนกำหนด

ร่วมกนั

9. มีมารยาทในการอ่าน  มารยาทในการอา่ น

11

7. การจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 25-27) กำหนดกรอบแนวคิดเพื่อเป็นแนวทางในการ จัดการเรียนรู้ไว้

ด้ังนี้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญท่ีจะให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้
สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 โดยยึดหลักว่า ผู้เรยี นมีความสำคัญที่สุดและเช่ือวา่ ทุกคนมีความสามารถเรยี นรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้ ยึด
ประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้เห็นถึงการพัฒนาท้ังความรู้และคุณธรรม โดยกำหนดสมรรถนะสำคัญ
และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผ้เู รยี น ไวด้ งั น้ี

7.1 สมรรถนะผู้เรียน
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 6) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึงการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ี
กำหนดนน้ั จะต้องให้ผ้เู รยี นเกิดสมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดงั นี้

7.1.1 ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมี
วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอด ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อ
แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการ
เจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และความถกู ต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารท่ีมปี ระสิทธิภาพ โดยคำนงึ ถึงผลกระทบทีม่ ีต่อตนเองและ
สังคม

7.1.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด
สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดเป็นระบบ เพ่ือนำไปสู่การสร้างองค์
ความรหู้ รอื สารสนเทศเพือ่ การตัดสนิ ใจเก่ียวกับตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม

7.1.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ
เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้
ในการป้องกันและแกป้ ัญหา และมีการการตดั สินใจท่มี ีประสทิ ธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขน้ึ ต่อตนเอง
สังคมและสง่ิ แวดล้อม

7.1.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการ
ต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการ
อย่รู ่วมกันในสงั คมดว้ ยการสร้างเสรมิ ความสัมพนั ธ์อันดีระหว่างบุคคล การจดั การปญั หา และความขัดแย้งตา่ ง
ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตวั ใหท้ นั กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จักเหลยี กเล่ยี ง
พฤติกรรมไม่พงึ ประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน

12

7.1.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้
เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคมในการเรียนรู้
การสือ่ สาร การทำงาน การแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรคถ์ กู ตอ้ งเหมาะสม

7.2 คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 7) หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะพลเมืองไทย และ
พลเมืองโลก จงึ กำหนดคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรียนไว้ 8 ประการ ดงั น้ี

7.2.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
7.2.2 ซ่อื สตั ย์สจุ รติ
7.2.3 มวี นิ ยั
7.2.4 ใฝเ่ รยี นรู้
7.2.5 อยู่อยา่ งพอเพยี ง
7.2.6 มุ่งมัน่ การทำงาน
7.2.7 รักความเปน็ ไทย
7.2.8 มจี ติ สาธารณะ
สุวิทย์ มลู คำ และอรทยั มลู คำ (2550 : 9) ให้แนวคิดเพื่อเป็นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนรไู้ ว้
ดังน้ี การจัดการเรียนรู้ควรเป็นการจัดกิจกรรมหรือกระบวนการ การเรียนรู้ด้วยเทคนิควิธีการต่าง ๆ ท่ีให้
ผู้เรียนนำไปสู่การพัฒนา เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งมีท้ังรูปแบบการสอน วิธีสอน เทคนิคการสอน หลากหลาย
วิธี ท้ังแบบบรรยาย แบบอภิปราย แบบอภิปรายกลุ่มย่อย แบบสาธิต แบบการแสดงบทบาทสมมุติ แบบการ
แสดงละครแบบใชเ้ กม แบบสถานการณ์จำลอง แบบเน้นกระบวนการแบบกระบวนการกลุ่ม แบบรว่ มมอื แบบ
บูรณาการ แบบช้ีแนะแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เป็นต้น ซ่ึงครูผู้สอนจะต้องเลือกนำไปใช้ให้เหมาะสมกับ
ธรรมชาตวิ ิชา
8. ความสำคญั ของภาษาไทย
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2552 : 37) ได้ระบุความสำคัญของภาษาไทย ไวด้ งั น้ี
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่ือสารเพื่อสร้างความเข้าใจ
และความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย
ได้อย่างสันติสุข และเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อ
พฒั นาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และสรา้ งสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใชใ้ นการพัฒนาอาชพี ให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังเปน็ สื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบรุ ุษด้าน วฒั นธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพเป็นสมบัตลิ ้ำค่า
ควรแกก่ ารเรยี นร้อู นรุ ักษ์ และสบื สานให้คงอย่คู ชู่ าติไทยตลอดไป

13

ชวนพิศ การพิมาย (2549 : 36) ให้ความสำคัญของภาษาไทยไว้ดังนี้ ภาษาเป็นเครื่องจรรโลงจิตใจ
เปน็ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ที่ต้องการจรรโลงจติ ใจในชีวิตมีความสุขอยู่เสมอ ดงั น้นั การใช้ภาษาจึงเปน็ เสมือนการ
สรา้ งสรรค์สังคมใหส้ งบสขุ

วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 1) ให้ความสำคญั ของภาษาไทยไวด้ ังนี้ ภาษาเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
เป็นสมบตั ทิ างวัฒนธรรมอันก่อใหเ้ กดิ ความเป็นเอกภาพ เสรมิ สร้างบคุ ลกิ ภาพของคนในชาติ เป็นเครอื่ งมอื การ
ติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเขา้ ใจ และสมั พันธภาพทีด่ ีต่อกนั

ทนงศักดิ์ โรจน์บูรณาวงศ์ (2551 : 13) ให้ความสำคัญของภาษาไทยไว้ดังนี้ ภาษาไทยมีส่วนท่ีเป็น
เนื้อหาสาระ กฎเกณฑ์ทางภาษาท่ีจะต้องรู้ และใช้เพื่อการสื่อสารอย่างถูกต้องมีความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์
ของบทประพันธ์ประเภทตา่ งๆ ทบี่ รรพบุรษุ ได้สร้างสม และสบื ทอดมาหลายช่ัวอายคุ น

สรุปความสำคัญของภาษาไทย เป็นเคร่ืองบ่งบอกความเป็นชาติ มีความเป็นสุนทรียภาพ และมี
เอกลักษณ์ มีความสำคัญแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตเกือบทุกแง่ทุกมุม และอาจกล่าวได้ว่า ภาษาไทย อยู่คู่กับวิถี
ชีวิตของคนไทยทุกรูปทุกนาม จึงถือเป็นความตระหนักท่ีคนไทยทุกคน ต้องร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานมรดก
ทางภาษานีไ้ ว้ใหค้ งอย่ตู ลอดไป

9. การจดั การเรยี นการสอนภาษาไทย
วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 6-7) ให้แนวคิดเพ่ือเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ไว้ดังนี้
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยน้ันครูผู้สอนต้องมีความรู้ทางภาษาไทย เพราะการสอนภาษาไทย
ให้กับผู้เรียนน้ันครูผู้สอนต้องศึกษาถึงสิ่งที่จะสอนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน จึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียน
เข้าใจและเรียนรู้เรื่อง ครูผู้สอนต้องมีพื้นฐานทางภาษาไทยท่ีดีและแม่นยำในเน้ือหาเพื่อให้การสอนเข้าใจได้
งา่ ยข้นึ หาวธิ ถี ่ายทอดให้ผเู้ รียนอยา่ งถูกวธิ ี ซ่งึ ความร้พู น้ื ฐานภาษาไทยท่คี รูตอ้ งทราบ มีดังน้ี

1. เร่ืองระบบเสยี งทางภาษาไทย
2. เรอ่ื งมาตราตวั สะกด
3. เร่อื งวรรณยกุ ต์
4. เรอ่ื งไตรยางศ์
5. เรื่องไวยากรณ์
6. เรื่องทั่วไปเกย่ี วกบั วรรณคดี
กรรณิการ์ พวงเกษม (2535 : 35-37) ได้ศึกษาถึงหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ภาษาไทย ประกอบด้วย
1. ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล (Individual Different) ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
ภาษาไทย ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลมาก เพราะนอกจากการใช้ภาษาของเด็กจะแตกต่างกัน
แล้ว สภาพแวดล้อมของเด็กมีส่วนสำคัญย่ิงต่อการเรียนภาษา เพราะเด็กบางคนเติบโตมาในกลุ่มที่มิได้ใช้
ภาษาไทยเป็นหลักในการดำรงชีวิตประจำวันหรือเด็กบางกลุ่มใช้ภาษาอื่นเป็นภาษาท่ีใช้ในชวี ิตประจำวัน เด็ก
ทอี่ ยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน และมีความสามารถในการรับรู้แตกต่างกัน การสอนภาษาไทยควรจะได้มี

14

การทดสอบความรู้พ้ืนฐานของผู้เรียนก่อนสอน การสอนโดยการแบ่งกลุ่มเด็กเก่งกับเด็กอ่อนไว้ด้วยกันเพ่ือให้
เดก็ เกง่ ได้ช่วยเหลอื เดก็ อ่อนและเดก็ อ่อนจะไดด้ ูแบบอย่างเด็กเก่ง เป็นการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

2. ความพรอ้ ม (Readiness) ความพร้อม คือ สภาพการเจริญเติบโต ของร่างกาย ความรู้สึก
พื้นฐาน และความสนใจทีจ่ ะรับรสู้ ิ่งท่คี รสู อนได้ ซึง่ องคป์ ระกอบของ ความพร้อมของเด็กมหี ลายประการ

3. วุฒิภาวะ (Maturation) ความพร้อมที่จะรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ตามอายุของเด็ก ยิ่งมีอายุ
มากข้ึนความพร้อมท่จี ะรับรกู้ จ็ ะมากข้นึ

4. ประสบการณ์เดิม (Experience) หมายถึง ประสบการณ์ท่ีเด็กมีอยู่ที่จะรับรู้ส่ิงใหม่ถ้า
ประสบการณ์เดมิ เก่ยี วขอ้ งกบั ประสบการณ์ใหมท่ คี่ รสู อนให้ เด็กจะรบั รูป้ ระสบการณใ์ หม่ได้รวดเรว็

5. ความสัมพันธ์ของบทเรียนกับตัวเด็ก หมายถึง จัดบทเรียนที่มีธรรมชาติสัมพันธ์กับความ
สนใจของเดก็ เด็กจะรบั รู้ไดเ้ ร็วขึ้น

6. กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) การเรียนรู้ คือ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมซึ่งมี
ผลมาจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์ที่มีผลมาจากความเจริญงอกงามของบคุ คลท้งั ในด้านร่างกาย อารมณ์
สงั คม และสติปญั ญา บุคคลจะสามารถปรบั ตวั ให้เขา้ กบั สิ่งแวดล้อมได้

7. เป้าหมายการเรียนรู้ (Purposeful Learning) การตั้งเป้าหมายของครูก่อนสอนเป็น
สิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพ่ือจะได้ดำเนินการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมายท่ีวางไว้ เป็นความสนใจในบทเรียนให้มาก
ข้ึน เมื่อนักเรียนรู้ว่าจุดหมายของการเรียนรู้คืออะไร เรียนแล้วได้รับสาระประโยชน์อย่างไร ดังน้ัน ครูผู้สอน
ต้องต้ังจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมไว้ในบทเรียนวิธีที่ดีที่สุด อีกประการหนึ่ง คือ ให้นักเรยี นช่วยกันตั้งเป้าหมาย
ในการเรยี นแตล่ ะเรือ่ งไว้

8. การเรียนรู้โดยการฝึกฝน (Law of Exercise) การฝกึ หัดบ่อย ๆ ทำให้การเรียนรู้ได้ผลเร็ว
ข้ึน การจัดกระบวนการเรียนรู้ควรเน้น การกระทำซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดความแม่นยำในเน้ือหาดีขึ้น โดยเฉพาะ
ในเรือ่ งการใชภ้ าษาการเรยี นการอา่ นต่าง ๆ ถ้าทำไดบ้ ่อย ๆ ความชำนาญก็จะเกิดขึน้ เขียนคำผดิ น้อยลง ออก
เสียงได้ถูกต้องชัดเจนย่ิงขึ้น

9. การเรียนรู้โดยการลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by Doing) การได้ทำกิจกรรมเอง
จะเกิดการเรยี นรูเ้ พราะมีประสบการณ์ตรง

10. กฎแห่งผล (Law of Effect) ได้อธิบายว่า ผลแห่งปฏิกิริยาตอบสนองใด เป็นผลที่พอใจ
บุคคลย่อมทำกิจกรรมนนั้ ซำ้ อกี แต่ผลจากปฏกิ ริ ิยาใดไมเ่ ปน็ ทพี่ อใจ บุคคลจะหลกี เลี่ยงไม่ทำปฏกิ ิรยิ านน้ั ซำ้ อีก
หากเชื่อตามกฎน้ีการเบื่อหน่ายในการเรียนภาษาไทยของนักเรียนส่วนใหญ่ย่อมเกิดจากวิธีสอนและการจัด
กิจกรรมไม่สบอารมณ์ของผู้เรียน นั่นคือเด็กไม่พอใจเรียนภาษาไทยทำให้เกิดข้อบกพร่องข้ึน ทางแก้ไขอย่าง
หนง่ึ คือ การตรวจผลงานของนักเรยี น ใหน้ ักเรียนได้รูผ้ ลการกระทำของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

11. กฎแห่งการนำไปใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้จะเกิดผลดีก็ต่อเม่ือนำ
ความรู้นั้นไปใช้ วิชาภาษาไทยเป็นวชิ าทกั ษะความแน่นแฟน้ ในเนือ้ หา

12. กฎแห่งแรงจงู ใจ (Law of Motivation) ภาษาไทยเปน็ วชิ าทักษะ การท่ีนักเรียนให้ความ
สนใจน้อยมากเพราะนักเรียนต่างคิดว่าเป็นเร่ืองที่รู้อยู่แล้วและใช้เป็นประจำ ดังน้ันการสอนท่ีจะให้ผลต้อง

15

อาศัยแรงจูงใจเป็นสำคัญ แรงจูงใจที่สำคัญจะทำให้เกิดการเรียนรู้ ข้ึนอยู่กับบุคลิกภาพของครู วิธีการสอน
ความสำเร็จผลในการเรียนของผู้เรียน การยกย่อง ชมเชย หรือตำหนิสื่อการเรียน การได้มีโอกาสเข้าร่วม
กิจกรรม การได้มโี อกาสเปน็ ตัวอยา่ งที่ดีแกบ่ คุ คลอนื่ และการมีโอกาสได้รบั การเผยแพร่

13. การเสริมกำลังใจ (Reinforcement) การเสริมกำลังใจเป็นการทำให้นักเรียนเกิดความ
ภาคภูมิใจท่ีตนทำอะไรถูกต้องเหมาะสมแล้วได้รับคำชมเชยเป็น การเสริมกำลังใจ ซึ่งทำได้โดยการพูดยกย่อง
ชมเชย การให้รางวัล การให้นกั เรียนมีส่วนรว่ มในการทำกิจกรรมและการสนบั สนุนให้ทำ เมื่อทราบว่านกั เรยี น
มีความสามารถ

ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545 : 64) ให้แนวคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย ไว้ดังน้ี จัด
กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยนั้นมีมากมาย เราสามารถจดั ได้ทกุ ระยะของการจัดกิจกรรมเรียนการสอน
ต้งั แต่นำเข้าสบู่ ทเรียน ข้ันสอนขั้นสรุป และข้ันประเมินผล ครเู ปน็ ผ้เู ลือกกจิ กรรมให้เหมาะสมกบั บทเรียน โดย
ยดึ หลกั ดงั น้ี

1. สอนภาษาไทยให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์จะใช้ทักษะทาง
ภาษาคราวละไมน่ ้อยกวา่ สองทักษะเปน็ แม่ เช่น ฟังกับคิด คิดกบั พูด คิดกบั เขยี น ฟัง พูด คดิ เขียน อ่าน เขยี น
อ่าน พูด คิด หรอื ฟัง พูด อ่าน เขียน เพราะฉะน้ัน การสอนภาษาไทยควรให้มีความสัมพันธ์กับทกั ษะการสอน
แต่ละคร้ัง

2. สอนสอดแทรกทักษะภาษาขณะท่ีมีการเรียนการสอน เพราะเราถือว่าภาษาไทยเป็น
เครอ่ื งมอื การเรียนรู้ทกุ วิชา ถ้าพบข้อบกพรอ่ งเกย่ี วกับทกั ษะทางภาษาไทยในขณะเรยี นวิชาใดตอ้ งแก้ไขทนั ที

3. สอนภาษาไทยให้สัมพันธ์กับวิชาอ่ืน ขณะสอนภาษาไทยถ้ามีเน้ือหาไปเก่ียวข้องกับวิชาใด
ควรสอนให้สัมพันธ์ได้เลย เช่นการเล่าประวัติศาสตร์บางตอน วาดภาพตามจินตนาการเร่ืองสุขภาพอนามัย
เปน็ ตน้

4. สอนภาษาไทยดว้ ยกจิ กรรมทีใ่ หแ้ นวคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ และทกุ คนมีความพร้อมมสี ่วนร่วม
เช่น การเร่ิมตน้ โดยใช้เกม หรือเพลง เป็นตน้

5. เรื่องท่ีนำมาสอนควรมีความหมายต่อผู้เรียน โดยเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องหรือใกล้ตัวมีความ
เป็นรปู ธรรม หรอื เช่อื มโยงกบั ชีวติ จริงของผ้เู รยี น

6. ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะ ดังน้ันจึงควรมีการฝึกบ่อย ๆ และควรเลือกใช้กิจกรรมการเรียน
การสอนทนี่ ่าสนใจ

7. การสอนภาษาไทย ควรใชเ้ ทคนิควิธีการและสอ่ื การเรียนการสอนที่นา่ สนใจและกระตนุ้ ให้
ผู้เรียนอยากเรียนรู้ จะทำให้เกิดความรทู้ ี่คงทน

8. การสอนภาษาไทยต้องกระบวนการคิดในทุกกจิ กรรม เพื่อฝึกทักษะการคิด เพราะทุกคนมี
ความคิดติดตัวมาแล้วแต่กำเนิด หากได้รับการกระตุ้นหรือส่งเสริมให้รู้จักคิดเป็นคิดแบบมีเหตุผลและมี
วิจารณญาณจะทำให้เป็นบคุ คลแหง่ การเรียนรู้ และมที กั ษะสงั คมท่ีดี

9. การสอนภาษาควรมีการเสริมแรงและการจูงใจอยู่เสมอ เช่นการให้รางวัล การลงโทษที่
เหมาะสม การชมเชยโดยการให้คะแนน เป็นต้น

16

กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 1-11) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี
ความสุข มีศักยภาพในการ ศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ โดยกำหนดเป็นจุดหมายท่ีจะให้เกิดกับผู้เรียน
เมอื่ จบการศกึ ษาขัน้ พื้นฐานไว้ 5 ประการดังนี้

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ เห็นคณุ ค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติ
ตนตามหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง

2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้
เทคโนโลยี และมที กั ษะชีวิต

3. มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทีด่ ี มสี ุขนิสยั และรักการออกกำลังกาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองและพลเมืองโลก ยึดมั่นในวิถีชีวติ และการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสำนึกในการอนุรกั ษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มีจติ สาธารณะทีม่ ุง่ ทำประโยชน์และสรา้ งสงิ่ ทดี่ งี ามในสังคม และอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมคี วามสุข
สรุปการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มีหลากหลายวิธี การที่ครูผู้สอนจะเลือกใช้วิธีใดน้ันข้ึนอยู่กับ
ความพร้อมของผู้เรียนและความสามารถในการถ่ายทอดของครูผู้สอน การจัดเตรียมอุปกรณ์การสอน สภาพ
และบรรยากาศในช้ันเรียน ซึ่งแต่ละกิจกรรมต้องเลือกเทคนิค วิธีการให้เหมาะสมกับกิจกรรม ธรรมชาติวิชา
เพ่อื ใหบ้ รรลตุ วั ชว้ี ดั และจุดประสงค์การเรยี นรูท้ ีต่ ั้งไว้
10. กระบวนการเรียนร้ภู าษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 30-36) ภาษาเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้
ภาษาเพ่ือการส่ือสารการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพ่ือนำไปใช้ในชีวิตจริง โดยให้ความสำคัญของ
กระบวนการเรยี นรูภ้ าษาไทยไว้ ดงั นี้
1. กระบวนการอา่ น มี 5 ขั้นตอน ดงั น้ี

1.1 ข้ันการเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเร่ือง
อา่ นคำนำให้ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ต้ังจุดประสงค์ของการอ่านว่าจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่าน
เพ่ือหาความรู้ วางแผนการอ่านโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหน่ึงว่ามีความยากมากน้อยเพียงใด รูปแบบของ
หนังสือเป็นอย่างไร เหมาะกับผู้อ่านประเภทใด คาดเดาความหมายว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เตรียมสมุด
ดนิ สอ สำหรับ จดบันทึกข้อความหรือเนอ้ื เร่อื งที่สำคัญขณะอา่ น

1.2 ข้ันการอ่าน ผู้อ่านจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่ม หรือเฉพาะตอนที่ต้องการอ่าน
ขณะอ่านผู้อ่านจะต้องใช้ความรู้จากการอ่านคำความหมายของคำมาใช้ในการอ่าน รวมทั้งการรู้จักแบ่งวรรค
ตอนด้วยการอ่านเร็วจะมีส่วนชว่ ยให้ผู้อ่านเข้าใจเร่อื งได้ดีกว่าผู้อา่ นชา้ ซึ่งจะสะกดคำอา่ นหรอื อ่านยอ้ นไปยอ้ น
มา ผู้อ่านจะใช้บริบทหรือคำแวดลอ้ มช่วยในการตีความหมายของคำเพื่อทำความเข้าใจเรื่องท่ีอา่ น

1.3 ขั้นการแสดงความคิดเห็นผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญหรือเขียน
แสดงความคิดเห็น ตคี วามข้อความที่อ่าน อ่านซำ้ ในตอนที่ไมเ่ ข้าใจเพ่ือทำความเข้าใจใหถ้ ูกต้อง ขยายความคิด

17

จากการอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจากเร่ืองท่ีอ่าน ถ้าเป็นการอ่านบท
กลอนจะต้องอ่านทำนองเสนาะดัง ๆ เพื่อฟังเสยี งการอ่านและเกดิ จินตนาการ

1.4 ขั้นการอ่านสำรวจ ผู้อ่านจะอ่านซำ้ โดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบคำ
และภาษาท่ีใช้ สำรวจโครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือท่ีอ่านกับหนังสือที่เคยอ่าน สำรวจและ
เช่อื มโยงเหตกุ ารณ์ในเรอื่ งและการลำดับเรือ่ ง และสำรวจคำสำคัญที่ใช้ในหนงั สอื

1.5 ขั้นการขยายความคิด ผ้อู ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น
คุณค่าของเรื่องเช่ือมโยงเรื่องราวในเร่ืองกับชีวิตจริง ความรู้สึกจากการอ่าน จัดทำโครงงาน หลักการอ่า เช่น
วาดภาพ เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่านอ่านเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเร่ือง
เพิม่ เติม เรอื่ งท่ีเกีย่ วโยงกับเร่ืองทอี่ า่ น เพ่ือให้ได้ความรทู้ ชี่ ัดเจนและกว้างขวางขึ้น

2. กระบวนการเขยี น มี 5 ข้นั ตอน ดังน้ี
2.1 การเตรียมการเขียน เป็นข้ันเตรียมพร้อมท่ีจะเขียนโดยเลือกหัวข้อเร่ืองท่ีจะ

เขียนบนพื้นฐานของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิด ในการเขียนอาจใช้วิธีการอ่าน
หนังสือ สนทนา จัดหมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด จดบันทึก ความคิดท่ีจะเขียนเป็นรูป
หวั ขอ้ เรือ่ งใหญ่ หัวข้อยอ่ ย และรายละเอยี ดคร่าว ๆ

2.2 การยกร่างข้อเขียน เม่ือเตรียมหัวข้อเรื่องและความคิดรปู แบบการเขียนแล้วให้
นำความคิดมาเขียนตามรูปแบบท่ีกำหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้
ภาษาอย่างไรให้เหมาะสมกับเร่ืองและเหมาะกับผู้อ่ืน จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเร่ืองอย่างไร ลำดับ
ความคดิ อยา่ งไร เชื่อมโยงความคดิ อยา่ งไร

2.3 การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเร่ืองท่ีเขียนปรับปรุง
เร่อื งทเ่ี ขียนเพิม่ เตมิ ความคิดใหส้ มบรู ณ์ แกไ้ ขภาษา สำนวนโวหาร นำไปใหเ้ พ่ือนหรอื ผูอ้ ่ืนอา่ นนำข้อเสนอแนะ
มาปรับปรุงอีกครง้ั

2.4 การบรรณาธิการกิจ นำข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคำผิด แก้ไขให้
ถูกต้อง แลว้ อา่ นตรวจทานแก้ไขข้อเขียนอีกครง้ั แก้ไขข้อผดิ พลาดทงั้ ภาษา ความคดิ และการเวน้ วรรคตอน

2.5 การเขียนให้สมบูรณ์ นำเรื่องที่แก้ไขปรับปรุงแล้วมาเขียนเร่ืองให้สมบูรณ์
จัดพิมพ์ วาดรูปประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมือท่ีสวยงาม เป็นระเบียบ เมื่อพิมพ์ หรือเขียนแล้ว
ตรวจทานอีกครง้ั ใหส้ มบรู ณก์ ่อนจดั ทำรปู เล่ม

3. กระบวนการคิด
3.1 กระบวนการคิด เป็นการรวบรวม กระบวนการการฟัง การพูด การอ่าน และ

การเขียน มาเป็นกระบวนการคิด คนท่ีจะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี บุคคลท่ีจะคิดได้ดี
จะตอ้ งมคี วามรแู้ ละประสบการณ์พื้นฐานในการคิด

3.2 บุคคลจะมีความสามารถในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง วิเคราะห์ สังเคราะห์
และประเมินค่า จะต้องมีความรู้ และประสบการณ์พื้นฐานท่ีนำมาช่วยในการคิดท้ังสิ้น การสอนให้คิดควรให้

18

ผเู้ รียนรู้จกั คัดเลือกข้อมลู ถ่ายทอด รวบรวมและจำข้อมลู ต่าง ๆ โดยสมองของมนษุ ย์จะทำหนา้ ทบี่ ริโภคข้อมูล
ขา่ วสาร

3.3 บุคคลจะสามารถแปลความขอ้ มูลข่าวสาร และสามารถนำมาใช้อ้างอิง การเป็น
ผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียน ที่ดีจะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารที่ดีและเป็นนักคิดที่ดีด้วย
กระบวนการสอนภาษา จงึ ต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รบั รขู้ ้อมูลขา่ วสารและมีทักษะการคดิ นำขอ้ มูลข่าวสารท่ไี ด้
จากการฟงั และการอ่านนำมาสู่การฝกึ ทักษะการคดิ นำการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี น

3.4 การสอนทักษะการคิดในรูปแบบบูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียน เป็น
กระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะนำ
ความรู้และประสบการณ์สู่การคิด และแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟังเพื่อรับรู้
ข่าวสารทจ่ี ะนำมาวิเคราะห์และสามารถแสดงทรรศนะได้

สรุปการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีน้ัน ผู้สอนต้องต้องวิเคราะห์จุดหมายของหลักสูตร สาระและ
มาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนเพื่อวางแผนกิจกรรม การเรียนรู้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากผู้
บอกเป็นผู้สนับสนุน เสริมสร้างประสบการณ์เรียนรู้ท่ีมีความหมายแก่ผู้เรียน โดยเลือกรูปแบบการจัดการ
เรยี นรู้ คิดค้นเทคนิควธิ ีสอนรปู แบบใหม่ ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั วัยของผ้เู รยี น

11. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ภาษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 89-98) กำหนดกรอบแนวคิดเพ่ือเป็นแนวทางวัดและประเมินผลการ
เรียนรู้ ภาษาไทยไว้ ดังนี้ การวัดและประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซ่ึงต้องคำ
เนินการควบคู่ไปกับการบูรณาการ หรือประประสมประสาน การวัดและประเมินผลการสอนเข้าด้วยกันจะ
ส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษาหลายประการ ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับผู้เรียนซ่ึงเป็นศูนย์กลางของการพัฒนานั้น
และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทางตรงของผู้เรียน ก็คือจะให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีสำคัญเพ่ือนำไปสู่การ
เรียนรู้ท่ีมีประสทิ ธผิ ล ส่วนผลทางอ้อมคอื จะเป็นสิ่งช้นี ำการเรยี นการสอนดงั นนั้ ครูผู้สอนจึงควรให้ความสำคัญ
ของการวดั และประเมินผล โดยเฉพาะการวัดและประเมนิ ผลความถูกต้องทางภาษา และการพัฒนาความรทู้ าง
ภาษาไทยจำเปน็ ตอ้ งเข้าใจหลักการเพือ่ เปน็ พ้นื ฐานการดำเนนิ การวดั ผลประเมนิ ผล ดังน้ี

1. ทกั ษะทางภาษา อ่าน เขยี น ฟัง ดู พูด หลักการใช้ภาษาไทย มีความสำคญั ทักษะเหลา่ น้ีมี
ความเกีย่ วเนอ่ื งกนั ความก้าวหนา้ ของทุกทักษะจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะอนื่

2. ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษา เช่นเดียวกันกับทักษะการคิด ทักษะ
ทางสังคม เม่ือผู้เรียนมีโอกาสใช้ภาษาตามความต้องการท่ีแท้จริงของตนเองและสถานการณ์ตามบริบทการ
สอ่ื สารทางวิชาการ ท้ังในหอ้ งเรียนและชุมชนท่กี ว้างออกไป

3. ผู้เรียนต้องเรียนรู้การใช้ภาษาพูด ภาษาอ่าน ภาษาเขียนอย่างถูกต้องด้วยการฝึกมิใช่การ
เรยี นร้กู ฎเกณฑ์ทางภาษเพยี งอย่างเดียว การเรยี นรเู้ รื่องการใช้ภาษาไทย ซึ่งประกอบดว้ ยไวยากรณ์ การสะกด
คำ และเครื่องหมายต่าง ๆ จะค่อย ๆ เพิ่มข้ึน เมื่อผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาเช่นเดียวกัน แต่จะ
รบั รแู้ ตกตา่ งกันตามความสามารถ และวธิ กี ารเรยี นรขู้ องแต่ละบคุ คล

19

4. ผูเ้ รียนทกุ คนต้องผ่านขนั้ ตอนการพัฒนาทางภาษาเชน่ เดียวกันแต่จะรับรู้ได้ไมเ่ ท่ากัน ตาม
ศกั ยภาพและความแตกต่างระหว่างบคุ คล

5. ภาษาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดหลักสูตรที่ให้ความสำคัญให้ความ
เคารพและเห็นคุณค่าของเช้ือชาติ วัฒนธรรม ภูมิพลังทางภาษา และความหลากหลายทางภาษาจะช่วยให้
ผู้เรียนพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง ยิ่งใหญ่ในภูมิตำนานรักและหวงแหนภาษาไทยไว้
เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม กระต้นุ ให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรูอ้ ยา่ งยัง่ ยนื

สรุป การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ หมายถึง การตรวจสอบคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน วัด
ประสิทธิภาพของกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้หรือไม่
มากน้อยเพียงใด และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพ
และประสิทธิผลตอ่ ไป

การอ่านจบั ใจความสำคัญ
1. ความหมายของการอา่ น
การอ่านเป็นทักษะทางภาษาท่ีสำคัญและจำเป็นมากในการดำรงชีวิตมนุษย์ในชีวิตประจำวันมนุษย์

ตอ้ งอาศยั การอ่านจงึ จะสามารถเข้าใจและสื่อความหมายได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
ความหมายของการอ่าน มีนกั การศกึ ษาได้กลา่ วถึงความหมายของการอ่านไวด้ งั น้ี
เปลื้อง ณ นคร (2538 : 12) ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึง การถ่ายทอดความคิดจาก

หนังสือของผู้ประพันธ์ไปยังผู้อ่าน ผู้ประพันธ์ต้องการให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิดความรู้สึกของตน สามารถตีความ
ของหนงั สือได้

ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ (2538 : 4) การอ่านมิใช่แต่เพียงการออกเสียงตามตัวอักษรอย่างเดียว การ
อ่านเป็นกระบวนการถา่ ยทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเป็นความคิดและจากความคิดท่ีได้จากการอ่าน
ผสมผสานกับประสบการณ์เดิมท่ีมีอยู่เป็นเคร่ืองช่วยพิจารณาตัดสินใจนำแนวความคิดท่ีได้จากการอ่านไปใช้
ประโยชน์ต่อไป

วรรณี โสมประยรู (2539 : 121) ได้ให้ความหมายของการอา่ นว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมอง
ท่ีต้องใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือส่ิงพิมพ์อ่ืนๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์โดยแปล
ออกเป็นความหมายท่ีใช้ส่ือความคิดและความรรู้ ะหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้ เข้าใจตรงกันและผู้อ่านสามารถนำ
ความหมายน้ัน ๆ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้

ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2542 : 1) ให้ความหมายของการอ่านว่า คือ ความเข้าใจในสัญลักษณ์
เคร่ืองหมาย รปู ภาพ ตวั อักษร คำและขอ้ ความทพี่ มิ พห์ รอื เขียนขึน้ มา

ธิดา โมสิกรัตน์, ตรีศิลป์ บุญขจร และประภาวดี สืบสนธ์ิ (2543 : 530) ให้ความหมายของการอ่าน
เป็นกระบวนการค้นหาความหมายในสิ่งพิมพ์หรือข้อเขียน จับใจความ ตีความ เพ่ือพัฒนาตนเองท้ังด้าน
สตปิ ญั ญา อารมณ์ และสงั คม

20

มิตรถาวร คำภูษา (2545 : 18) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทาง
สมอง ท่ีต้องใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือส่ิงพิมพ์อื่นๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์และ
เคร่ืองส่ือความหมายต่างๆ ท่ีปรากฏแก่สายตา โดยแปลออกเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความ
เข้าใจ ระหว่างผ้เู ขียนกับผู้อา่ นใหเ้ ข้าใจตรงกนั และผอู้ ่านสามารถนำความหมายนน้ั ๆ ไปใช้ประโยชน์ได้

สนุ ันทา ม่นั เศรษฐวทิ ย์ (2545 : 2) ให้ความหมายของการอ่านว่า ลักษณะของกระบวนการเปน็ ลำดับ
ขั้นที่เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจความหมายของคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความ และเร่ืองราวของสารที่
ผ้อู า่ นสามารถบอกความหมายได้

พิทยา ล้ิมมณี (2547 : 80-82) ได้ให้ความหมายการอ่าน หมายถึง กระบวนการหลายๆ อย่างที่
นำไปสู่การรู้จักคำ การเข้าใจหรือการหย่ังความรู้ความหมายองคำ ความไพเราะของคำ และมูลแห่งการจูงใจ
จากคำ

กรมวิชาการ (2549 : 7) ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้ ดงั น้ี การอ่าน หมายถึง การแปลความหมาย
ของตัวอักษรท่ีอ่านออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเขา้ ใจ เร่ืองที่อ่านตรงกับเรื่องราวท่ีผู้เขียนเขียน
ผ้อู า่ นสามารถนำความร้คู วามคิดหรอื สาระจากเร่อื งราวท่ี อ่านไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้

สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองท่ีต้องใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือส่ิงพิมพ์อ่ืน ๆ รับรู้
และเข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้
ระหวา่ งผู้เขียนกับผอู้ า่ นให้เขา้ ใจตรงกันและผู้อา่ นสามารถนำเอาความหมายน้ันๆ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

2. ความม่งุ หมายของการอา่ น
คนเราอา่ นหนังสือเพ่ือแสวงหาความรู้และความบนั เทิงการอา่ นหนังสอื ช่วยพัฒนาทางด้านความคิดให้
กว้างขน้ึ รู้จกั พินจิ พิจารณาสง่ิ ตา่ ง ๆ อย่างเป็นธรรม ไม่ใชอ้ ารมณ์ เราจะไดค้ วามรคู้ วามคิด และประสบการณ์
จากส่ิงที่อ่านนำมาตัดสินเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันได้อย่างรอบคอบและสมเหตุสมผล การอ่านจึงมี
ความสำคัญเป็นอันมากความมุ่งหมายของการอ่านในช้ันประถมศึกษา นักการศึกษาหลายทา่ นกล่าวในทำนอง
เดยี วกัน ในความมงุ่ หมายของการอา่ นในชั้นประถมศกึ ษาดงั น้ี
วรรณี โสมประยูร (2539 : 127-128) ได้กล่าวความมุ่งหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นทักษะท่ี
จำเป็นในชีวิต การอ่านแต่ละครั้ง จะมีความมุ่งหมายแตกต่างกันออกไปถ้าผู้อ่านตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านแต่
ละครัง้ ไว้ จุดมุ่งหมายของการอา่ นมดี งั นี้

1. การอ่านเพือ่ ค้นหาความรเู้ พิ่มเติม เช่น อ่านตำรา อา่ นสารคดี
2. การอ่านเพอ่ื ความบนั เทงิ เช่น อ่านนวนิยาย อา่ นการ์ตูน อา่ นวรรณคดี
3. การอ่านเพื่อใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ เช่น อา่ นหนงั สอื ประเภทชวนหัวต่าง ๆ
4. การอ่านเพอ่ื หารายละเอยี ดของเรื่อง เช่น อ่านสารคดี อ่านประวัตศิ าสตร์
5. การอ่านเพือ่ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ จากขอ้ มลู ที่ได้ เช่น อา่ นข่าว
6. การอ่านเพื่อหาประเด็นว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นของจริง เช่น การอ่าน คำ
โฆษณาตา่ งๆ
7. การอ่านเพอ่ื จับใจความสำคญั ของเรื่องทอ่ี า่ น เช่น อ่านบทความในวารสาร

21

8. การอ่านเพ่ือปฏิบัติตาม เช่น การอ่านคำสั่ง อ่านคำแนะนำ อ่านคู่มือในการใช้
เคร่อื งใช้ไฟฟา้

9. การอ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน มีน้ำเสียงเหมาะกับเน้ือเร่ืองและเหมือน คำพูด
เชน่ อ่านบทละครต่างๆ

ฉวีวรรณ คูหาภินนั ทน์ (2542 : 23-25) ไดก้ ลา่ วถึงวตั ถุประสงคข์ องการอ่าน ดงั นี้
1. อ่านเพอ่ื อยากรูอ้ ย่างเห็น และรู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ (Information) อันเปน็ ความตอ้ งการ

ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์
2. อ่านเพ่อื แกป้ ัญหา
3. อ่านเพื่อความรูแ้ ละเพอื่ การศึกษา
4. อ่านเพือ่ ค้นคว้าและวิจัย (Research)
5. อา่ นเพ่อื ปรับปรุงบคุ ลิกภาพ
6. อ่านเพอ่ื รักษาสุขภาพ เปน็ โรคต่าง ๆ ควรจะรกั ษาตัวอยา่ งไร
7. อ่านเพื่อปรับปรุงอาชีพ
8. อ่านเพ่ือให้เกิดความเพลิดเพลิน เป็นการหาความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยไม่ต้องไปดู

ภาพยนตร์ ละคร โทรทศั น์ ฯลฯ
9. อา่ นเพอ่ื แก้เหงา หรืออา่ นเพ่อื ฆ่าเวลา
10. อา่ นเพ่อื ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

นภดล จันทร์เพ็ญ (2542 : 74) การอ่านมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างย่ิงโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มี
หนังสือให้เลือกอ่านได้มากมาย การอ่านช่วยให้เราสามารถหาความรู้ ความบันเทิง สร้างเสริมประสบการณ์ที่
เป็นประโยชนแ์ กช่ วี ิต ท้ังการศกึ ษา อาชีพการงาน และการอยู่ร่วมกับผอู้ ่ืนในสังคม

สนุ ันทา มัน่ เศรษฐวทิ ย์ (2545 : 5-6) ไดก้ ลา่ วถึงจดุ มุง่ หมายเฉพาะของการอา่ นดังน้ี
1. ตอบสนองอารมณท์ ี่ผู้อา่ นพอใจ
2. ช่วยให้พบกับความต้องการในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านจะช่วยชดเชยอารมณ์ที่ขาด

หายไป และช่วยตอบสนองความต้องการในส่วนของอารมณ์หรือความรู้สึกท่ีต้องการตดิ ตามเรือ่ งท่ีไดร้ บั ฟงั จาก
ผู้อ่นื

3. ส่งเสริมให้มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ โดยอาศยั แนวทางจากเรือ่ งท่อี ่าน
4. ส่งเสริมใหม้ ีความกระตอื รือร้นในการอา่ นเรอื่ งอน่ื ๆ เพ่ิมขึ้น
5. รจู้ กั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ ชว่ ยผ่อนคลายความตงึ เครยี ดของสมอง
6. ช่วยใหม้ ีความรู้เพมิ่ ขน้ึ สามารถใช้ประกอบการเรยี นวชิ าอ่นื ๆ
7. รู้จักสถานท่ีที่ไม่สามารถเดินทางไปเยือนแต่สามารถหาประสบการณ์ได้จากการอ่านมี
ความคิดเป็นอิสระในการเลือกเร่ืองท่ีจะอ่าน มีความเฉลียวฉลาดโดยอาศัยความรู้และแนวคิดจากการอ่านไป
สนทนาโต้ตอบกบั ผ้อู น่ื ได้

22

8. เปน็ การใชเ้ วลาพกั ผ่อน
9. ช่วยให้เกดิ ความสนใจเรอื่ งใหม่ ๆ
10. ส่งเสรมิ การฝกึ ทักษะการอ่านจากขั้นพ้นื ฐานไปสขู่ ั้นท่สี งู ข้ึน
11. เป็นการฝึกใหม้ ีระดบั ความคดิ สงู ข้นึ
12. เปิดเผยความลกึ ลับในเรอ่ื งราวบางอย่างทีผ่ ู้อา่ นยงั ไมเ่ คยรูม้ าก่อน
13. ชว่ ยให้มสี ขุ ภาพจิตดีขนึ้
14. ช่วยให้มีความคดิ แตกฉานมากขน้ึ
15. สง่ เสรมิ ให้ผอู้ ่านมีนำ้ ใจนักกีฬา
16. นำความร้ทู ี่ไดจ้ ากการอา่ นมาแก้ปญั หาสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื งและเรอื่ งส่วนตัว
17. ส่งเสริมให้ผู้อ่านเกดิ อารมณร์ ่วมกบั ผูเ้ ขียน
18. สง่ เสริมใหผ้ ้อู า่ นสามารถเผชญิ หน้ากับสถานการณใ์ หม่ ๆ ด้วยความเช่ือม่ันมากยง่ิ ขึน้
19. พัฒนาคุณค่าทางสังคมโดยอาศัยความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์มาก ย่ิงขึ้นช่วย
ให้ผู้อ่านมหี ตู ากว้างไกลย่ิงข้ึน
สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการอ่านมีบทบาทสำคัญสำหรับใช้กำหนดแนวทางในการอ่าน โดยเลือกใช้
ให้เหมาะกับเวลาและโอกาส รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมให้มีความกระตือรือร้น มีความคิด
สร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มข้ึน สามารถนำทักษะการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน แสวงหาความรู้
ความบันเทงิ ด้วยตนเอง จะช่วยให้การอ่านประสบความสำเรจ็ ตามจดุ มงุ่ หมายที่ตอ้ งการ
3. การอา่ นตามลกั ษณะและจุดม่งุ หมายการอา่ น
การอ่านหนังสือในชีวิตประจำวันมีจุดมุ่งหมายในการอ่านแตกต่างกันไป บางครั้งอาจจะอ่านเพื่อรับ
ความบันเทิง เบิกบานใจ คือ อ่านเพียงผ่าน ๆ จับใจความเพียง คร่าว ๆ บางคร้ังอาจจะอ่านเพราะต้องการ
เสาะแสวงหาความรู้ ซึ่งจะต้องมีความต้ังใจอย่างมาก แต่บางครั้งมีจุดมุ่งหมายอื่น ๆ จึงขอเสนอการอ่านตาม
จดุ มงุ่ หมายตา่ ง ๆ พอสังเขปไว้ดงั น้ี (ก่ิงกาญจน์ สริ สคุ นธ์. 2547 : 12-16)
3.1 การอ่านจบั ใจความสำคัญ
ในการอ่านเพ่ือที่จะให้เร่ืองราวตลอดท้ังเรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญต้องจับประเด็นเรื่อง
ให้ได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เม่ือใด อย่างไรหรือผลเป็นอย่างไร การอ่านจับใจความสำคัญเป็นการอ่านที่
สามารถรู้จุดประสงค์ของผู้เขียนว่าผู้เขียนต้องการแสดงความคิดเห็นเช่นไร แม้ผู้เขียนอาจจะบอกไว้โดยทั่วไป
แล้วผู้อ่านต้องเก็บความและตีความเอง ปัจจบุ ันมนุษย์ได้รับสารต่าง ๆ จากสื่อหลากชนิดท้ังจากการฟัง การดู
และการอ่าน การรับสารจึงต้องใช้ความรู้ความคิดในการวิเคราะห์ทักษะท่ีจำเป็นอย่างย่ิงในการวิเคราะห์สาร
คือ การอ่านจับใจความ และเนื่องจากภาษาไทยเป็นวชิ าทักษะ จึงควรฝึกให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่าน
จบั ใจความต้งั แตร่ ะดับประถมศกึ ษา เพ่ือใหเ้ กดิ ความชำนาญและจะเป็นประโยชน์ในการศกึ ษาหาความรู้ตอ่ ไป
การอ่านจับใจความเป็นการอ่านที่มุ่งค้นหาสาระสำคัญของเร่ืองหรือส่ือท่ีอ่าน ผู้อ่านจะต้อง
ทราบว่าส่วนใดเป็นใจความสำคัญ ส่วนใดเป็นส่วนขยายใจความสำคัญเพ่ือให้เรื่องชัดเจนข้ึน การอ่านจับ
ใจความสำคญั จงึ เปน็ หัวใจของการอา่ นส่ือทกุ ประเภท

23

การอ่านจับใจความสำคัญมีหลักว่า ผู้อ่านต้องสังเกตองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ คำและ
ความหมาย การเรียงลำดับคำ ประโยค ใจความสำคัญ รายละเอียดหรือส่วนขยาย ตลอดจนแนวคิดหลักหรือ
แนวคิดสำคัญของย่อหน้าหรือใจความสำคัญที่อ่าน การอ่านจับใจความสำคัญควรเป็นการอ่านในใจ เพราะมุ่ง
จับสาระสำคัญของสิ่งท่ีอ่านให้เร็วที่สุด จึงควรมีการตั้งคำถามและตอบคำถามได้ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดความ
เข้าใจท่ถี กู ต้องตรงกนั กับความคิดท่ีผู้เขียนต้องการส่ือถงึ ผู้อ่าน

เทคนิคการฝึกอ่านจับใจความสำคัญวิธีหนึ่ง คือ การตั้งคำถามและคดิ หาคำตอบ เม่ืออ่านส่ือ
หรือข้อความแล้ว ให้ตอบคำถามว่าใคร ทำอะไร ท่ีหน เมื่อใด และอย่างไร เพื่อดูความเข้าใจ เมื่อตอบได้
ถกู ต้องแสดงว่าเข้าใจเร่ืองท่ีอ่านแล้วอาจเพิ่มคำถามประเภท ทำไมและถ้าเพื่อดูความสามารถในการวิเคราะห์
นำไปใช้ สังเคราะห์และประเมินค่า นอกจากฝึกตอบคำถามแล้วอาจฝึกต้ังคำถามจากคำตอบท่ีให้ไว้ได้อีกด้วย
เพ่ือฝึกการใช้ภาษาในการถามเพื่อให้ได้คำตอบท่ีต้องการ การฝึกตอบคำถามและตั้งคำถามนี้ควรให้เขียนเป็น
ประโยคสมบูรณ์ เพ่ือฝึกทักษะในการเขียนให้ถูกต้องด้วย เน้ือเรื่องท่ีนำมาให้อ่านควรให้เหมาะสมกับวัยและ
ความสนใจของผู้เรียนและให้ผู้เรียนหาเน้ือความหรอื หัวข้อท่ีตัวเองสนใจมาได้เองด้วย เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความ
สนใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรม เม่ือฝึกบ่อย ๆ จนเป็นนิสัยแล้วจะทำให้ผู้เรียนจับใจความสื่อท่ีอ่านได้รวดเร็ว
และเปน็ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันต่อไป

3.2 การอา่ นวเิ คราะห์
การอ่านวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านเพื่อแยกแยะข้อความท่ีอ่านอย่างถี่ถ้วน เพ่ือให้ทราบถึง
โครงสร้าง องค์ประกอบ หลักการและเหตุผลของเร่ือง จนสรุปได้ว่าแต่ละส่วนเป็นอย่างไร สัมพันธ์กันอย่างไร
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร การอ่านวิเคราะห์ช่วยให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดของเรื่องท่ีฝึกอ่านอย่าง
รอบคอบ ช่วยให้เข้าใจเร่ืองนั้นอย่างแท้จริง ช่วยให้พัฒนาสติปัญญาเพราะต้องใช้เหตุผลในการอธิบายแง่มุม
ต่างๆ ซ่งึ ทกั ษะในการอ่านนี้สามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ และนำไปใชใ้ นการอา่ นประเมินค่าตอ่ ไป
การอา่ นวเิ คราะห์มสี าระสำคญั ทจ่ี ะต้องพจิ ารณาอยู่ 4 ประเด็น ดงั นี้

1. รูปแบบคำประพนั ธ์ พิจารณาเกีย่ วกับลักษณะคำประพันธ์ท่ีใช้ในขนบนิยมในการ
ดำเนินเรือ่ งและรูปแบบของภาษาทใี่ ช้

2. เน้ือหา พิจารณาโครงสร้างของเนื้อหา โครงเรื่อง แนวคิด จุดมุ่งหมาย เน้ือเร่ือง
ข้อขัดแย้งและข้อคิดเห็นของผู้เขียน ส่วนงานบันเทิงคดีจะพิจารณาเก่ียวกับ โครงเร่ือง แนวคิด เนื้อเร่ือง ตัว
ละคร ฉาก บรรยากาศและบทเจรจา

3. กลวิธีแต่ง พิจารณาถึงความชำนาญในการเขียน เช่น การตั้งช่ือเร่ือง วิธีเล่าเร่ือง
วิธดี ำเนนิ เรอ่ื ง การจบเรือ่ ง การนำเสนอที่แปลกใหม่

4. การใช้ภาษา พิจารณาถึง ความสามารถในการใช้ภาษา เช่น การใช้คำ ประโยค
สำนวนโวหาร เปน็ ตน้

3.3 การอ่านตีความ
พิทยา ล้ิมมณี (2547 : 4-6) ได้ให้ความหมาย ความสำคัญของการอ่านตีความ ไว้ดังน้ีการ
อ่านตีความเป็นศิลปะการอ่านช้ันสูงที่แสดงถึงความสามารถของผู้อ่านในการเข้าใจ เนื้อหา สาระ เจตนาและ

24

นำ้ เสยี งของผู้เขียนท่ีปรากฏในงานเขียน ท้ังยงั สามารถแสดงความคิดเห็นสืบเนื่องเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านน้ันอย่าง
คมคายลกึ ซ้ึง

การอ่านตีความหมาย หมายถึง การเก็บความเดิมมาบันทึกใหม่ เรียบเรยี งใหม่หรือร้อยกรอง
ใหม่ เป็นการมองเรื่องราวเดิมในแง่ใหม่ ค้นหาเปรียบเทียบทั้งความสำคัญและความสัมพันธ์ของส่วนย่อยจน
สามารถยน่ ยอ่ เรอื่ งตา่ งๆ เปน็ ขอ้ สรุปได้

การอ่านตีความ คือ การอ่านท่ีผู้อ่านจะต้องใช้สติปัญญาตีความหมายของคำและข้อความ
ทั้งหมด โดยพิจารณาถึงความหมายโดยนัยหรือความหมายแฝงที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อความหมาย ซ่ึงทั้งนี้
ผู้อ่านจะสามารถตีความหมายของคำสำนวนได้ถูกต้องหรือไม่นั้น จำเป็นต้องอาศัยเนื้อความแวดล้อมของ
ขอ้ ความนน้ั ๆ บางครั้งตอ้ งอาศัยความร้หู รอื ประสบการณ์เกย่ี วกบั เหตุการณ์ปจั จุบันเป็นเครื่องชว่ ยตดั สนิ

การอ่านตีความ เป็นการอ่านเพื่อหาความหมายท่ีซ่อนเร้น หรือหาความหมายท่ีแท้จริงของ
สาร โดยพิจารณาข้อความทีอ่ ่านว่าผเู้ ขียนมีเจตนาให้ผู้อ่านเกิดความคดิ หรอื ความรูอ้ ะไรนอกเหนือไปจากการรู้
เร่ือง

ความสำคญั ของการอา่ นตคี วาม มดี ังน้ี
1. ช่วยใหผ้ อู้ า่ นเข้าใจเนอ้ื เรื่องท่อี า่ นได้หลายดา้ นหลายมุม
2. ทำให้เห็นคณุ ค่าและไดร้ ับประโยชน์จากสงิ่ ทอี่ ่าน
3. ชว่ ยฝกึ การคดิ ไตรต่ รองหาเหตผุ ล
4. ทำใหม้ วี ิจารณญาณในการอา่ น

ประเภทการอ่านตีความแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การอ่านออกเสียงอย่างตีความ (การอ่านตีบท) เป็นการอ่านแบบทำเสียงให้สม

บทบาท ใสอารมณ์กับบทท่อี ่านและความรู้สกึ ใหเ้ หมาะสม
2. การอ่านตีความเป็นการอ่านท่ีต้องศึกษาทำความเข้าใจงานเขียนทุกแง่ทุกมุมเพื่อ

ตคี วามเป็นพ้นื ฐานของการอ่านออกเสยี งอยา่ งตคี วาม
กลวธิ กี ารอา่ นตคี วาม มดี ังน้ี
1. การวิเคราะห์เพื่อตีความหมาย หมายถึง การพิจารณารูปแบบเน้ือหา กลวิธีการ

แตง่ และการใช้ภาษาของงานเขียน
2. พจิ ารณารายละเอยี ดของงานเขียนจะตอ้ งพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ คือ
2.1 พิจารณาว่าส่วนใดเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ เรอื่ งใดเป็นข้อคดิ เหน็ ตลอดจน

ความร้สู ึก และอารมณข์ องผูเ้ ขยี น ซึง่ อาจแสดงออกโดยผ่านพฤติกรรมของตัวละคร
2.2 วเิ คราะหแ์ ละรวบรวมปฏิกริ ิยาของผู้อ่านที่มตี ่อผ้เู ขยี นเปน็ การท่ี

ผู้อา่ นวิเคราะหต์ วั เอง
2.3 การพิจารณาความคิดแทรก หมายถึง การพิจารณาข้อความรู้ ความคิด

ที่ผูเ้ ขยี นมีไว้ในใจ แต่ไม่ไดเ้ ขยี นไวใ้ นงานเขียนนน้ั ตรง ๆ

25

3. การตีความงานเขียน นำข้อมูลต่าง ๆ ประมวลเข้าด้วยกัน เพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจ
แล้วตคี วามงานเขียน วา่ ผเู้ ขียนสง่ สารอะไรมาให้แกผ่ ู้อ่าน

4. การแสดงความคิดเสริม เป็นการท่ีผู้อ่านแสดงความคิดของผู้อ่านเอง โดยที่
กระบวนการอ่านตีอ่านตีความนั้นมีส่วนย่ัวยุให้คิด เป็นความรู้ ความคิดเห็น ความรู้สึก และอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน
ใหม่

3.4 การอา่ นในใจ
การอ่านในใจเป็นการอ่านทำความเข้าใจสัญ ลักษณ์ท่ี มีผู้บัน ทึกไว้ เป็นลายลักษณ์ อักษร
รูปภาพและเครื่องหมายต่าง ๆ แล้วผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจโดยแปลสัญลักษณ์ที่บันทึกไว้น้ันให้ตรงตาม
ความต้องการของผู้บันทึก การอ่านในใจจึงใช้เพียงสายตากวาดไปตามตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ แล้วใช้
ความคิดแปลความ ตีความ รับสารต่าง ๆ นั้น เพ่ือใช้ประโยชน์ในการได้รับความรู้ ความคิด และความบันเทิง
อันเป็นจุดมุ่งหมายของการอ่านโดยท่ัวไปการอ่านท่ีจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถบรรลุจุดหมายในการอ่านไม่ว่าจะ
เป็นการอ่าน เพ่ือศึกษาหาความรู้ เพื่อหาคำตอบหรือเพื่อความบันเทิงได้นั้น ผู้อ่านต้องอ่านอย่างมี
ประสิทธิภาพ วิธีท่ีจะช่วยให้อ่านอย่างมีประสิทธิภาพได้น้ัน ผู้อ่านต้องสามารถจับใจความสำคัญของเร่ืองที่
อา่ นได้ ต้องรู้ว่าเร่อื งท่ีตนอา่ นนัน้ ผู้เขียนกล่าวถึงอะไร มุ่งเสนอความคดิ หลักว่าอย่างไรผ้อู ่านจึงควรฝึก
จับใจความสำคญั ของเรอ่ื งท่ีอา่ นให้ได้ถกู ตอ้ งตรงประเดน็ และฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอเพอ่ื ให้สามารถจับใจความ
จากข้อความท่ีอ่านได้อย่างรวดเร็วอันเป็นประโยชน์อยา่ งย่ิงในการแสวงหาความรู้หรือความบันเทิงในเวลาอัน
จำกดั (ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ. 2548 : 67)
หลกั เกณฑก์ ารอา่ นในใจ มีดงั น้ี

1. ต้องต้ังจุดมุ่งหมายในการอ่านแต่ละคร้ังไว้ให้ชัดเจนแน่นอนเพราวัตถุประสงค์จะ
ชว่ ยใหผ้ ูอ้ า่ น อ่านไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

2. ต้องมีสมาธิตลอกเวลาในการอ่าน ท้ังนี้เพ่ือช่วยให้สายตา สมองและใจได้สัมพันธ์
กันตลอดเวลา จะทำใหก้ ารอา่ นมีประสิทธิภาพ

3. ไม่ควรใช้ไม้หรือนิ้วมือชี้ตัวอักษรขณะที่อ่าน เพราะจะทำให้อ่านได้ช้า ขาดความ
แม่นยำและทสี่ ำคัญจะทำใหต้ ดิ เปน็ นิสยั

4. ไม่ควรทำปากขมุบขมิบ เพราะจะทำให้เหนื่อยและเมื่อยล้าเร็วกว่าปกติและอ่าน
ไดช้ ้า

5. พยายามฝึกสายตาเวลาอ่าน โดยขจัดจุดจับสายตา (Fixation) ให้น้อยลง
ขณะเดียวกันก็ให้เพิ่มช่วงสายตา (Eye Spam) ให้กว้างข้ึน น้ันก็คือ ให้พยายามอ่านเป็นวรรค ๆ หรือเป็น
ข้อความ ๆ หรือไม้กอ็ ่านเปน็ ประโยค ๆ มใิ ชอ่ า่ นเปน็ คำ ๆ

6. พยายามอ่านข้อความให้ถูกต้องเพียงครั้งเดียว ท้ังนี้เพื่อป้องกันมิให้อ่านซ้ำคร้ังท่ี
สองอีก (Regression) เพราะทำให้อา่ นไดช้ ้า

7. พยายามเปลีย่ นบรรทัดใหแ้ มน่ ยำ หากไมแ่ มน่ ยำก็ทำใหอ้ า่ นได้ชา้
8. เมือ่ อา่ นจบยอ่ หนา้ หนึ่ง ๆ ควรจะไดป้ ระเมนิ ผลการอ่านวา่ ไดอ้ ะไรบ้าง

26

9. น่าจะได้ทำสถิติการพัฒนาการอ่านไว้ด้วยจะดี อาจจะประเมินผลด้วยวิธีใช้เวลา
เป็นหลักหรือเนื้อหาของสารเป็นหลักก็ได้ อยา่ งไรก็ตามการอ่านจะมีประสทิ ธิภาพเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น
ๆ อีก เช่น สภาพของผู้อ่าน อันได้แก่ร่างกาย อารมณ์ พื้นฐานความรู้ ตลอดจนการปลูกสมาธิขณะที่อ่าน
บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น แสงสว่างเพียงพอไหม เสียงรบกวนมีหรือไม่ บรรยากาศเป็นอย่างไร
กลนิ่ รบกวนไหม ตลอดจนสถานทอี่ ่านนิง่ หรือเคล่ือนไหวตลอดเวลา เป็นต้น

3.5 การอา่ นประเมนิ ค่า
การอ่านประเมินค่าเป็นการอ่านเพ่ืออธิบายลักษณะดี ลักษณะบกพร่องของงานเขียนใน
แง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเน้ือเรื่อง ด้านความคิดเห็น ด้านทำนองแต่ง เป็นต้น อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจแล้วต้อง
วินิจฉัยว่างานนั้นเขียนดีหรือไม่ดี ผู้ประเมินค่าจะต้องหยบิ ยกส่วนประกอบท่ีสำคัญมาวิพากษ์วิจารณ์ทกุ แง่ทุก
มุม เพอื่ ให้ผอู้ ่านคลอ้ ยตามและเห็นดีเหน็ งามตามมุมมองของผ้ปู ระเมินคา่ สรุปประเดน็ ความหมายประเภท

3.5.1 การอ่านประเมินคา่ ท่วั ไป
1. ตอ้ งอาศยั เกณฑ์
2. ต้องมคี วามสามารถในการอ่าน ใชว้ จิ ารณญาณใคร่ครวญทกุ แงท่ ุกมมุ

ของงานเขียน
3. ตอ้ งคน้ หาข้อดี ขอ้ บกพร่องของงานเขียนให้ได้

3.5.2 หลักการอา่ นประเมนิ คา่ งานเขยี น 4 ประเด็น
1. การพิจารณาส่วนประกอบและเน้อื หา
2. การพจิ ารณาถอ้ ยคำภาษา
3. การพิจารณากลวิธีการดำเนินเรื่อง
4. การพจิ ารณาคุณค่าของงานเขียน

3.5.3 การอ่านประเมินค่า ช่วยให้เกิดงานเขียนท่ีสร้างสรรค์ทำให้ผู้แต่งสร้างสรรค์
งานคณุ ภาพเพือ่ ผู้อ่านและชว่ ยใหง้ านเขียนแพร่หลายยงิ่ ขน้ึ

3.5.4 คุณสมบตั ิของผปู้ ระเมนิ คา่
1. มีความรูเ้ กี่ยวกับผลงานท่ีประเมินค่า
2. รู้หลกั การประเมินค่า หรอื หลักการวพิ ากษ์วิจารณ์
3. มคี วามรอบรใู้ นสาขาวชิ าการต่าง ๆ
4. เป็นนกั อา่ นและสนใจงานทุกประเภท
5. มใี จกว้าง ยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่

4. ความหมายของการอา่ นจับใจความสำคญั
การอ่านจับใจความเป็นทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพราะนักเรียนสามารถนำทักษะการอ่านจับ
ใจความสำคัญเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ท้ังในสถานศึกษาหรือการพัฒนาตนเอง เพื่อการก้าวให้ทัน
วิทยากรใหม่ๆ ท่กี ำลังเจรญิ มากข้นึ ในทกุ สาขาวชิ า มผี ู้ใหค้ วามหมายของการอ่านจับใจความไว้ตา่ งๆกนั ดังนี้

27

ศศิธร ธญั ลักษณานนท์ (2542 : 236) กล่าวว่า เป็นการสรุปใจความสำคัญหรือข้อความท่ีสำคัญหลัง
การอ่าน ด้วยการจดบันทึกย่อ หรือจดจำไว้ในสมอง หรือด้วยวิธีการขีดเส้นใต้หนังสือนั้น ใจความสำคัญที่
ผู้อ่านได้รับอาจมีลักษณะตามแต่จะต้องการ เช่น เป็นสาระสำคัญของเน้ือเร่ือง เป็นความรู้หรือข้อมูลท่ีผู้อ่าน
สนใจ

ในทำนองเดียวกัน สุปาณี พัดทอง (2545 : 65) ได้ให้ความหมายของการอ่านจับใจความว่า เป็น
ความคิดสำคัญอนั เปน็ แก่นหรือหวั ใจของเร่อื งที่ผู้เขยี นมุ่งส่ือมาให้ผอู้ ่านทราบ ซึ่งเป็นข้อเท็จจรงิ หรอื ขอ้ คิดเห็น
ก็ได้

ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคนอื่นๆ (2547 : 115) กลา่ วถึง การอ่านเพ่ือจับใจความสำคัญว่าเป็นการ
อ่านเก็บเฉพาะใจความสำคัญของเร่ืองจากการอ่านเรื่องใดเร่ืองหน่ึง แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่เพียงย่อๆ แต่ได้
ใจความครบบริบรู ณ์ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้

สรุปได้ว่า การอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึง การอ่านเพื่อเก็บสาระสำคัญของเรื่องท่ีอ่าน เช่น
ความรู้ ความเข้าใจ หรือข้อคิดสำคัญจากเร่ืองท่ีอ่าน ถ้าข้อความที่อ่านเป็นเรื่องราวยาวๆ จะต้องสรุปใจความ
สำคัญของเรื่องที่อ่านในลักษณะย่อความ และจับใจความสำคัญให้ได้ว่า เรื่องน้ันมีใครทำอะไร ท่ีไหน เม่ือไร
อย่างไร และการกระทำน้ันเกิดผลอะไรขึ้นบ้าง โดยเรื่องราวท่ีอ่านนั้นจะประกอบไปด้วย ใจความสำคัญ และ
พลความ ซง่ึ ผู้อ่านจะตอ้ งแยกให้ออก

5. ความสำคญั ของการอ่านจับใจความสำคัญ
การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะท่ีสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้บุคคลทั่วไปเข้าใจถึงเรื่องท่ีอ่าน
รับรู้ข่าวสารได้ถูกต้อง และสามารถนำข่าวสารเหล่าน้ันพัฒนาอาชีพ ปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวันให้มี
ประสิทธิภาพและเป็นสุขได้ มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านจับใจความสำคัญ
ดงั น้ี
ธิดา โมสิกรัตน์ และนภาลัย สุวรรณธาดา (2535 : 565) กล่าวว่า “การอ่านจับใจความสำคัญ เป็น
พื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์ หรือวิเคราะห์งานเขียนออกเป็นส่วนๆ ได้
อย่างถ่ีถ้วน รวมท้ังยังทำให้ผูอ้ ่านสนใจศึกษาเร่อื งน้ันเป็นพิเศษ” ส่วน ดวงใจ ไทยอุบุญ (2537 : 12) กล่าวว่า
การอ่านจับใจความเป็นสำคัญและจำเป็น เพราะจะทำให้ผู้อ่านรู้รอบ รู้ลึก และรู้ทันเหตุการณ์ ทั้งยังเป็น
พ้ืนฐานในการเรยี นวชิ าตา่ งๆ อีกด้วย
ผกาศรี เย็นบุตร (2526 : 26) ผุสดี กุฎอินทร์ (2526 : 53) พรเทวี ไชยเนตร (2528 : 62) และ
สมบัติ มหารศ (2533 : 47) ไดก้ ล่าวถึงความสำคัญของการอ่านจับใจความไว้สอดคล้องกนั ดงั นี้

1. ทำให้คนมีความฉลาดรอบรู้ และเป็นนักปราชญ์ได้ในอนาคต เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา
ความพร้อม พัฒนานสิ ัยและทักษะความรใู้ หผ้ ูเ้ รียนทกุ คน

2. เป็นส่ิงสำคัญและจำเป็นอยา่ งยิง่ สำหรับการอ่านหนงั สือทกุ ประเภท และยังเป็นพน้ื ฐานใน
การอา่ น เพอื่ แสดงความคิดเห็น เพือ่ ตคี วามหรอื วิจารณ์

3. ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเร่ืองราวท่ีผู้เขียนประสงค์ให้ผู้อ่านทราบ ซึ่งถ้าขาดทักษะน้ีย่อม
ทำให้ประสบความล้มเหลวในการอ่าน จากความสำคัญของการอา่ นจับใจความข้างตน้ อาจกล่าวไดว้ ่า การอา่ น

28

จับใจความสำคัญจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น เข้าใจเรื่องราวและความหมายของเร่ืองที่ผู้เขียน
ตอ้ งการให้ผู้อานทราบ ดงั น้ัน ผู้อ่านจะต้องฝึกฝนให้สามารถจับใจความไดอ้ ย่างถกู ต้อง เพอื่ ให้เกิดประโยชน์ใน
การอ่านมากท่สี ุด

สรุปได้ว่า การอ่านเป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการแสวงหาความรู้ ทั้งในชีวิตประจำวันและในการเรียนจาก
ข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การอ่านจับใจความสำคัญมีความจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์มีความรู้
ความฉลาด โดยเฉพาะบุคคลท่อี ยูใ่ นวยั ศกึ ษาเล่าเรียนต้องอาศัยทกั ษะการอา่ นจับใจความสำคัญ เป็นเครื่องมือ
แสวงหาความรู้ และเป็นพืน้ ฐานในการเรยี นรูท้ ั้งในชวี ิตประจำวนั และในการเรยี นวชิ าอื่น ๆ ด้วย

6. หลักการจบั ใจความสำคญั
หลักการจับใจความสำคัญมีดังตอ่ ไปน้ี

1. ตงั้ จุดมุ่งหมายในการอา่ นให้ชดั เจน
2. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแตล่ ะย่อหนา้
3. เมื่ออ่านจบใหต้ ้ังคำถามตนเองวา่ เร่ืองท่ีอา่ น มใี คร ทำอะไร ที่ไหน เมอื่ ไหร่ อย่างไร
4. นำส่ิงท่ีสรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความ
สละสลวย
วิธีจบั ใจความสำคญั
วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ข้ึนอยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สี
ตา่ งๆ กัน แสดงความสำคัญมากนอ้ ยของขอ้ ความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญทด่ี ี
แต่ผูท้ ่ีย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรยี งตอ่ กัน
เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ วิธีจับ
ใจความสำคัญมีหลักดงั น้ี
1. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแตล่ ะย่อหน้า
2. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย (การ
เปรียบเทยี บ) ตวั เลข สถติ ิ ตลอดจนคำถามหรอื คำพูดของผ้เู ขียนซ่ึงเปน็ ส่วนขยายใจความสำคัญ
3. สรปุ ใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง
7. มารยาทในการอ่าน
การอา่ นในชีวติ ประจำวนั มที ั้งการอ่านในใจและการอ่านออกเสยี ง การอ่านจะต้องมีความระมัดระวัง
ในการปฏิบัติตน เช่น การจัดหาท่ีน่ังให้สะดวกสบายและถูกสุขลักษณะอ่านหนังสือในระยะท่ีเหมาะสมกับ
สายตา นอกจากนน้ั ยังตอ้ งคำนงึ ถงึ มารยาทในการอ่านอีกด้วย
ข้อพึงปฏิบตั แิ ละมารยาทการอ่านท่สี ำคัญ มดี ังน้ี (ภาสกร เกิดอ่อน และคณะ. 2548 : 120)
1. ไมอ่ า่ นเสียงดงั จนรบกวนผ้อู ื่น
2. ออกเสียงถูกต้องชัดเจน ตามอกั ขรวธิ แี ละการเวน้ วรรคตอน
3. กรณีอ่านหนังสือในห้องสมุด ต้องไมส่ ่งเสียงหรอื ทำเสยี งดงั รบกวนผู้อนื่
4. เลือกอา่ นหนังสอื ทีม่ ปี ระโยชน์ต่อตนเองและสังคม

29

5. อา่ นอย่างมวี ิจารณญาณ มีเหตุผล ไมห่ ลงเช่อื ในส่งิ งมงายไรเ้ หตผุ ล
6. ระมดั ระวงั ในการถือหนังสอื มใิ หเ้ กดิ ความเสียหาย
7. ถ้าต้องการเรื่องหน่ึงเรื่องใดจากหนังสือ อาจเพ่ือนำไปเป็นหลักฐานอ้างอิงควรถ่ายสำเนา
ไว้ ไม่ควรฉกี ออกจากเลม่
8. การแสดงความคดิ เห็นในการอา่ นตอ้ งมีเหตผุ ล ไมม่ อี คติในการอา่ น
9. เม่ือนำเน้ือหาส่วนหน่ึงส่วนใดจากเร่ืองที่อ่านไปใช้อ้างอิงในงานเขยี น เช่น รายงาน ควรใส่
อ้างอิงใหถ้ กู ต้องตามหลักการ เพื่อใหเ้ กียรติผู้เขยี น
10. ถ้าบังเอิญทำหนังสือเสียหาย ควรซ่อมหนังสิให้ถูกต้องตามวิธีการซ่อมหนังสือ เพ่ือมิให้
หนงั สือชำรุดย่ิงข้นึ
8. ประโยชน์การอา่ นจับใจความสำคญั
1. ทำให้ค้นหาคำตอบท่ีต้องการได้ การอ่านจับใจความสำคัญจะช่วยตอบคำถามที่เราข้องใจ
สงสยั ตอ้ งการร้ไู ด้
2. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ท่ีอ่านหนังสือสม่ำเสมอย่อมเกดิ ความชำนาญ
ในการอ่าน สามารถอ่านไดเ้ ร็ว เข้าใจเรอ่ื งราวท่ีอา่ นไดง้ ่าย จับใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเดน็ สำคัญของเร่ือง
และสามารถประเมนิ คุณค่าเรอื่ งท่อี ่านได้อย่างสมเหตสุ มผล
3. การอ่านจับใจความสำคัญเปน็ ทกั ษะการอ่านในระดบั ท่ีสูงข้ึนกวา่ การอา่ นท่ัวๆไป กลา่ วคือ
มิใช่เป็นเพียงการอ่านเพ่ือความรู้และความเพลิดเพลินเท่าน้ัน แต่ยังต้องมีการวิเคราะห์สิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนใน
ด้านต่างๆดว้ ย

4. นำไปสู่การสร้างความรู้ความคิด การตัดสนิ ใจแก้ปัญหาและสร้างวิสัยทัศน์ในการ
ดำเนินชวี ติ ท่ีไดจ้ ากการอา่ นจบั ใจความสำคญั

9. การสอนอา่ นจับใจความ
อัญชลี แจ่มเจริญ (2526 : 94) กล่าวถึง วิธีการสอนอา่ นจบั ใจความไว้วา่ การฝกึ นักเรียนให้มีทักษะใน
การอ่านจับใจความ ครูต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้นักเรียน พัฒนาทักษะการอ่านจับ
ใจความได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ วิธกี ารฝึกอา่ นจับใจความมีดังน้ี

1. เรื่องที่จะนำมาให้นักเรียนฝึกอ่านจับใจความ ควรเป็นเร่ืองท่ีเหมาะสมกับระดับช้ัน และ
ความสามารถของนกั เรยี น

2. ครูควรแนะนำให้นักเรียนรู้ว่าใจความสำคัญของข้อความในย่อหน้ามักอยู่ตอนต้น ๆ ของ
ย่อหน้านั้น หรืออยู่ในตอนสรุปท้าย ผู้อ่านต้องพยายามจับประโยคใจความสำคัญให้ได้หรือจับให้ได้ว่าย่อหน้า
นนั้ กลา่ วถงึ อะไร แล้วจงึ เรียงลำดับเหตุการณ์

3. ครคู วรต้งั คำถาม ถามเป็นตอน ๆ ใหน้ ักเรยี นอ่านข้อความเพอื่ หาคำตอบ
4. ฝึกให้เลา่ เร่อื งย่อ
5. ฝกึ ให้สรปุ ความว่าเนือ้ เร่อื งกล่าวถึงใคร ทำอะไร ท่ีไหน อยา่ งไร ทำไม และเกดิ ผล อย่างไร
แลว้ เขียนบันทึกย่อได้

30

นทิ านพน้ื บา้ น
1 ความหมายของนทิ าน
นิทานเป็นคำศพั ท์บาลี มีความหมายว่า เรอ่ื งท่ีเล่ากนั มา ในพจนานกุ รมฉบับราช บัณฑิตสถาน (2524

:24) อธบิ ายวา่ นิทาน หมายถึง เรอื่ งทเี่ ล่ากนั มาแตโ่ บราณ
วัชรี รมยะนันท์ (2522: 77) ได้ให้ความหมายของนิทานไว้ว่านิทานหมายถึง เรื่องท่ีเล่ากันมาแต่สมัย

โบราณ ซ่ึงตรงกับคำว่า “ นิทานกถา” ในภาษาบาลี ส่วนคำว่า “นิทาน” ของ ภาษาบาลี แปลว่า เร่ืองเดิม
เรื่องทผี่ ูกข้นึ และเรอื่ งทอ่ี า้ งถึง

สมบูรณ์ ศิงฆมานันท์ (2522: 97) ได้ให้ความหมายของนิทานว่านิทานเป็น เร่ืองราวท่ีบันทึกความ
เป็นมาของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของ เป็นประสบการณ์ของชีวิต เป็นการตอบข้อสงสัย เป็น เครื่องกระตุ้นให้
มนุษย์พัฒนาไปสู่ทิศทางท่ีพึงปรารถนา เป็นการระบายความรู้สึกนึกคิด ความเศร้าโศก เสียใจ ต่ืนเต้น ดีใจ
เพ้อฝัน เป็นเร่ืองท่ีก่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ และมนุษย์กับ
สิ่งแวดลอ้ ม

สรุปไดว้ า่ นิทานเป็นเรื่องราวทมี่ ีมาช้านาน และเล่าสบื เน่ืองกนั มาเปน็ เร่อื งราวท่ีเกิดข้นึ จาก ความเป็น
จริง หรือเป็นเร่ืองท่ีเกิดจากจินตนาการของผู้เล่า เพ่ือให้เกิดความบันเทิงใจ สนุกสนาน เพลิดเพลินและ
สอดแทรกความคิด คณุ ธรรมอันดงี ามเข้าสูจ่ ิตใจเด็กเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิตนทถี่ ูกทค่ี วร

2. ความหมายของนิทานพื้นบ้าน
ก่ิงแก้ว อัตถากร (2539 : 12) กล่าวถึงนิทานพ้ืนบ้านว่า เป็นเร่ืองที่เล่าสืบต่อกันมาด้วยวิธีมุขปาฐะ
และมีการจดบันทึกไว้ในระยะหลัง
ฉันทนา เย็นนาน (2539 : 6) กล่าวถึงความหมายของนิทานพ้ืนบ้านว่า เป็น เร่ืองราวที่เล่าสืบต่อกัน
มาโดยไม่ปรากฏผู้เล่าแต่เดิมว่าเป็นใคร ต่อมาได้มีการเขียนบันทึกไว้ตามเค้าเร่ืองเดิม นิทานพ้ืนบ้านแสดงถึง
ความคดิ ความเช่อื ของคนสมัยโบราณ รวมทง้ั อาจแฝงคตธิ รรมเพอ่ื สั่งสอนผูฟ้ งั ดว้ ย
สรุปได้ว่า นิทานพ้ืนบ้าน หมายถึง นิทานท่ีเล่าสู่กันฟังในหมู่บ้าน ในท้องถ่ิน หรือในภาคต่างๆ ของ
ประเทศไทย ซึ่งอาจมีท่ีมาหลายแหล่งคือ เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีถ่ินกำเนิดในประเทศไทยเอง เช่น สังข์ทอง
ปลาบู่ทอง ไกรทอง โสนน้อยเรือนงาม ขุนช้างขุนแผน ศรีธนญชัย นางนาคพระโขนง เป็นต้น หรืออาจมีที่มา
จากต่างประเทศ แต่คนไทยรบั เข้ามาไว้ในวัฒนธรรมไทยอยา่ งกลมกลนื เช่น มหากาพย์รามายณะ ของอินเดีย
ได้กลายมาเป็นนิทานพื้นบ้านไทยหลายเร่ือง เช่น พระลัก-พระลาม ทางอีสาน พรหมจักร-หรมาน ทาง
ภาคเหนอื เปน็ ตน้
3. ความสำคญั ของนทิ านพืน้ บ้าน
ทัศนีย์ ทานตะวนิช (2522 : 15) กล่าวถึงความสำคัญของนิทานพ้ืนบ้านว่า เป็นเครื่องมือในการ
ถ่ายทอดความคิดของคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหน่ึง นิทานพื้นบ้านทำให้เกิดความรักและความภูมิใจในท้องถ่ิน
เน่ืองจากได้ทราบวา่ ทอ้ งถิน่ ของตนมีเรอ่ื งราว สถานท่ี ส่ิงของและบคุ คลทที่ ้องถ่ินอื่นไมม่ ี
สุกัญญา ภัทราชัย (2539 : 20) กล่าวว่า นิทานพ้ืนบ้านมีความสำคัญในแง่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ท่ีแสดงถึงความเป็นไปในชีวิตมนุษย์ รวมท้ังอารมณ์ ความคิด และความเชื่อ นิทานพื้นบ้านให้ความบันเทิงใจ

31

และสร้างสรรค์จินตนาการแก่ผู้ฟัง ดังนั้นเรื่องท่ีเล่าสืบต่อกันมานั้น จึงทำให้ผู้ฟังได้รับความพึงพอใจตลอดมา
ทกุ ยคุ ทกุ สมยั

สรุปได้ว่านิทานพื้นบ้านเป็นเร่ืองราวที่บุคคลในท้องถิ่นน้ันๆ แต่งข้ึนและเล่าสืบต่อกันมาโดยมีการ
สอดแทรกคุณธรรม ความเช่ือ และค่านยิ มของแต่ละทอ้ งถนิ่ เพอื่ ส่ังสอนใหค้ นทำความดี แต่เดิมนิทานพ้ืนบา้ น
จะเปน็ วรรณกรรมแบบมขุ ปาฐะ แต่ตอ่ มาในระยะหลังๆ มีการจดบันทกึ เอาไวด้ ้วย นิทานพืน้ บ้านมคี วามสำคัญ
ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม ทถ่ี ่ายทอดเร่ืองราววถิ ีชีวิต วฒั นธรรม คติธรรมและค่านิยมของแต่ละท้องถิ่นผา่ น
ทางเนือ้ เรอ่ื งและตัวละคร

4. ลกั ษณะของนิทานพ้นื บ้าน
ศิราพร ฐิตะฐาน (2525 : ความนำ) กล่าวถึงลักษณะของนิทานพ้ืนบ้านว่า เป็นนิทานสืบทอดกันโดย
ทางวาจา หรือที่เรียกว่ามุขปาฐะ เร่ืองราวจึงไม่คงที่แน่นอน เพราะไม่มีหลักฐานลายลักษณ์คอยตรวจสอบ
หากแต่เร่อื งนน้ั ๆ จะขนึ้ อยู่กับความสามารถของผ้เู ลา่ ซ่งึ สามารถเปลย่ี นไปไดเ้ ม่อื กาลเวลาล่วงเลยไป
วเิ ชียร ณ นคร (2531 : 25 – 28) กล่าวถงึ ลักษณะของนทิ านพนื้ บา้ นสรปุ ไดด้ งั นี้

1. นิทานพ้ืนบา้ นเป็นเรื่องเล่าสบื ต่อกันมาเป็นเวลาช้านานด้วยวิธมี ุขปาฐะ กลา่ วคือ เล่าสู่กัน
ฟังและจดจำตอ่ กันมา จนไมอ่ าจทราบไดว้ า่ ใครเป็นผู้แตง่ หรือริเริม่ เล่าเปน็ คนแรก

2. นิทานพื้นบ้านเป็นเร่ืองท่ีนิยมเล่าด้วยภาษาร้อยแก้ว กล่าวคือ มุ่งเอารสของเนื้อเร่ือง
มากกวา่ รสของคำ แต่มาระยะหลงั มนี ทิ านทแี่ ต่งเปน็ รอ้ ยกรอง หรือรอ้ ยกรองผสมร้อยแก้ว

3. นทิ านพ้นื บา้ นดำเนินเรือ่ งอยา่ งง่ายๆ กล่าวคือ เม่ือเปิดเร่อื งก็มักจะกล่าวถงึ ตัวละครเอกได้
ไปพบกับอปุ สรรค และหาวธิ ีการแกป้ ัญหาจนเปน็ ผลสำเรจ็ ได้ เร่อื งกจ็ บลง

4. นิทานพื้นบ้านมีโครงเรื่องไมซ่ ับซ้อน กล่าวคือ เม่ือเริ่มเรื่องก็จะเดินเรื่องไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ไมม่ กี ารเลา่ เร่ืองย้อนหลงั

5. ประเภทของนิทานพื้นบา้ น
ต้ังแต่เด็กๆ พวกเราเคยฟังนิทานมาหลายเรื่อง แต่ทราบไหมว่านิทานท่ีเราฟังน้ันเป็นนิทานประเภท
อะไร นิทานนั้นการแบ่งประเภทเอาไวห้ ลากหลายประเภท คณะกรรมการสารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชนโดย
พระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ( 2550:132-188 ) กลา่ วว่า สติททอมสันป์
ชาวอเมริกนั นักวชิ าการดา้ นคติชนวิทยา ไดจ้ ำแนกประเภทนิทานพืน้ บ้านไว้ดังนี้

1. ตำนานปรัมปรา หมายถึง เร่ืองเล่าท่ีอธิบายความเป็นมาของโลกและจักรวาล กำเนิด
มนุษย์ สัตว์และพืช บางเรื่องอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ บางคร้ังมีผู้เรียกนิทานประเภทน้ีว่า
เทวปกรณ์

2. นิทานมหัศจรรย์ หรือเทพนิยาย ลักษณะสำคัญของนิทานประเภทนี้ เป็นเรื่องท่ี
ประกอบด้วยส่ิงมหศั จรรย์ อาจมีตัวละครทีไ่ มใ่ ชม่ นษุ ย์ซ่งึ ไม่เคยปรากฏใหเ้ หน็ จรงิ เชน่ แม่มด นางฟ้า

3. นิทานชีวิต นิทานประเภทนี้มีเน้ือหาอยู่ในโลกความเป็นจริง มีการระบุช่ือตัวละครและ
สถานที่อย่างชดั เจน ตวั อย่างของนทิ านประเภทน้ีมอี ยู่หลายเรื่องใน นิทานอาหรับราตรี

32

4. นิทานวีรบุรุษ หรือตำนานวีรบุรุษ ลักษณะของนิทานประเภทน้ี เป็นการเล่าถึงความ
ผจญภยั และความกลา้ หาญของพระเอก ซงึ่ เป็นวรี บรุ ุษท่มี คี วามสามารถเหนือมนษุ ย์

5. นิทานประจำถ่ิน หรือตำนานประจำถ่ิน เป็นเร่ืองเล่าที่อธิบายความเป็นมาของสิ่งท่ีมีอยู่
ในท้องถ่ิน อาจเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ภูเขา หรือเป็นส่ิงก่อสร้าง เช่น เจดีย์ บางเร่ือง
เกย่ี วข้องกบั บุคคลในประวตั ิศาสตร์ บางเรอ่ื งเก่ยี วขอ้ งกบั เทวดา สัตว์ หรือผสี างนางไม้

6. นิทานอธิบายเหตุผล เรื่องเล่าท่ีอธิบายถึงกำเนิด หรือความเป็นมาของสิ่งท่ีเกิดขึ้นใน
ธรรมชาติ

7. นิทานสัตว์ เร่ืองเล่าท่ีมีสัตว์เป็นตัวละครเอก โดยมักแสดงให้เห็นถึงความฉลาดของสัตว์
ชนดิ หน่ึง และความโง่เขลาของสัตว์อีกชนิดหน่งึ

8. นิทานคติ นิทานท่ีเล่าโดยเจตนา ให้ข้อคิดด้านคุณธรรมหรือจริยธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรอื หลายอยา่ ง เช่น นิทานอีสป

9. นิทานขำขัน หรือมกุ ตลก นิทานประเภทนม้ี กั เปน็ เร่อื งขนาดส้นั ตัวละครอาจเปน็ มนษุ ย์
หรือสัตว์ก็ได้ จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่ความไม่น่าจะเป็นไปได้ต่างๆ เช่น คนโง่เอาเสื้อคลุมให้ก้อนหิน เพราะ
กลวั ก้อนหินหนาว

10. นทิ านศาสนา เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับศาสนาซึ่งไมมใี นคัมภีรท์ างศาสนา
11. นิทานเร่ืองผี นิทานที่เล่าเก่ียวกับผีท่ีมาหลอกหลอนด้วยวิธีการต่างๆ ซ่ึงผู้ฟังเมื่อฟังแล้ว
เกดิ ความกลวั แตก่ ็ชอบฟงั
12. นิทานเข้าแบบ นิทานประเภทน้ีมีแบบแผนการเล่าพิเศษกว่านิทานประเภทอื่น
ส่วนมากเป็นนทิ านทเี่ ลา่ ใหเ้ ด็กฟังสนุกมหี ลายแบบ เช่น นิทานลกู โซ่ นิทานไมร่ ้จู บ

นอกจากน้ียังมกี ารแบ่งนิทานมีวิธีการแบ่งและใช้คำแตกต่างกันไปบ้าง ในท่ีนีจ้ ะได้จัดจำแนกประเภท
นิทานตามรปู แบบของนิทานออกเป็น 14 ประเภท ดังนี้

1. นิทานปรัมปราหรือนิทานทรงเครื่อง (Fairy Tale) ลักษณะท่ีเห็นเด่นชัด คือเป็นเรื่อง
ค่อนข้างยาว มีเหตุการณ์ท่ีเป็นจุดขัดแย้งประกอบอยู่หลายเหตุการณ์ หรือหลายอนุภาค เนื้อเร่ืองจะ
ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆซ่ึงพ้นวิสัยมนุษย์ สถานท่ีเกิดเหตุ ไม่แน่ชัดว่ามีอยู่ท่ีใด ตัวเอกของเรื่อง
เป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เชน่ มบี ุญบารมี มีของวิเศษที่สามารถต่อสู้อุปสรรคขวากหนามทำให้ศัตรูพา่ ยแพ้ไปใน
ท่ีสุด และจบลงด้วยความสุข เช่น เร่ืองโสนน้อยเรือนงาม ปลาบู่ทอง นางสิบสอง สังข์ทอง เป็นต้น (กุหลาบ
มัลลิกะมาส, 2518, หน้า 106) เนื้อหาของนิทานประเภทนี้สนุกสนานต่ืนเต้น การดำเนินเรื่องอยู่ในโลกของ
จินตนาการ มีความมหัศจรรย์จากอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ของตัวละครท่ีเป็นอมนุษย์ เช่น ยักษ์ เทวดา หรือ
พญานาค เข้ามาเกี่ยวข้องในบางแห่งจึงเรียกนิทานประเภทนี้ว่า “นิทานมหัศจรรย์” และ ด้วยเน้ือเร่ือง
สนุกสนานดงั กล่าว ปัจจบุ นั จึงมีผนู้ ำมาดดั แปลงสำหรับใช้แสดงลิเก ละคร ภาพยนตร์ และการแสดงอืน่ ๆ

2. นิทานท้องถ่ินหรือนิทานประจำท้องถิ่น (Legend) นิทานประเภทน้ีผู้เล่าจะเล่าด้วยความ
เช่ือว่า เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงและมักมีหลักฐาน อ้างอิงประกอบเรื่อง มีตัวบุคคล

33

จรงิ ๆมีสถานท่ีจริงๆกำหนดไวแ้ น่นอนกว่าในนิทานปรัมปรา เช่น พระร่วง เจา้ แม่สร้อยดอกหมาก ท้าวแสนปม
เมอื งลบั แล พระยากง พระยาพาน เปน็ ต้น

3. นิทานประเภทอธิบายหรอื นิทานอธิบายเหตุ (Explanatory Tale) เป็นเรื่องท่ีตอบคำถาม
ว่าทำไม เพื่ออธิบายความเป็นมาของบุคคล สัตว์ ปรากฏการณ์ต่างๆของธรรมชาติอธิบายชื่อสถานที่ต่างๆ
สาเหตุของความเชอ่ื บางประการ รวมท้ังเรื่องเกี่ยวกับสมบัตทิ ฝ่ี ังไว้ นิทานประเภทนข้ี องไทยได้แก่ เหตุใดกาจึง
มีสีดำ ทำไมมดตะนอยจึงเอวคอด ทำไมจึงห้ามนำน้ำส้มสายชูเข้าเมืองลพบุรี ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ นิทานที่พบมาก
คอื เร่ืองเก่ียวกบั สถานที่ เช่น เกาะหนู เกาะแมว ในจังหวดั สงขลา ถำ้ ผานางคอย จังหวัดแพร่
เขาตาม่องล่าย เปน็ ต้น

4. นิทานชีวิต (Novella or Romantic Tales) เป็นเรื่องค่อนข้างยาว ประกอบด้วยหลาย
อนุภาค หลายตอน (กิ่งแก้ว อัตถากร, 2519, หน้า 15) เน้ือหาของนิทานคล้ายชีวิตจริงมากข้ึน ตัวละครใน
นิทานประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นคนธรรมดาสามัญมากกว่า ท้าวพระยามหากษัตริย์ มีบทบาท การใช้ชีวิต
เหมือนมนุษย์ปุถุชนท่ัวไป แก่นของเร่ืองเป็นเรื่องเก่ียวกับความรัก ความโกรธ ความหลง ความกลัว การผจญ
ภัย สะเทือนอารมณ์มากกว่านิทานปรัมปรา ตัวเอกของเรื่องต้องใช้ภูมิปัญญา และความสามารถในการแก้ไข
ปัญหาต่างๆซ่ึงเป็นอุปสรรคของชีวิต แสดงความกล้าหาญ อดทน อดกล้ัน เอาชนะอุปสรรค ศัตรู จนบรรลุ
จุดหมายไว้ ฉากและบรรยากาศของนิทานชนิดน้ีมีลักษณะสมจริงมากขึ้น นิทานชีวิตของไทยที่รู้จักกันทั่วไปก็
คือ เรื่องขุนช้างขุนแผน พระลอ ไกรทอง ของตะวันตก ได้แก่ นิทานชุดเดคาเมรอน ของตะวันออก ได้แก่
นทิ านอาหรับราตรี

5. นิทานเรื่องผี (Ghost Tales) เป็นนิทานทมี่ ีตัวละครเป็นผี วิญญาณ มีเหตกุ ารณ์เก่ียวกับผี
ผหี ลอก ผีสิง เนื้อเรือ่ งตื่นเต้นเขยา่ ขวญั ทั้งผู้เล่าและผู้ฟงั คอ่ นขา้ งเช่ือว่าเป็นเรือ่ งจริง นิทานเรื่องผีนีส้ ะท้อนให้
เหน็ ถึงความเช่อื ของคนไทยในเรอ่ื งวิญญาณ และภูติผีต่างๆ อย่างชัดเจน ผีหรือวิญญาณในนทิ านจะมาปรากฏ
รา่ งหรือการกระทำกเ็ พอื่ ให้ความ ช่วยเหลือ เพื่อแก้แค้นและเพือ่ แสดงอทิ ธิฤทธิ์

6. นิทานวีรบุรุษ (Hero Tale) เป็นนิทานที่กล่าวถึงคุณธรรม ความสามารถ ฉลาดเฉลียว
ความกล้าหาญของบุคคล ส่วนมากเป็นวีรบุรุษของชาติหรือบ้านเมือง นิทานประเภทน้ีคล้ายคลึงกับนิทาน
ปรัมปรา คอื ตวั เอกเปน็ วีรบุรุษเหมือนกัน แต่มขี ้อแตกต่างกันคอื นิทานวีรบรุ ุษมักกำหนดสถานท่ี และเวลาใน
เร่ืองแน่ชัดข้ึน แก่นเรื่องของนิทานวีรบุรุษเป็นเร่ือง วีรกรรมของตัวเอกซึ่งเกิดจากการต่อสู้เพื่อคนส่วนใหญ่
การผจญภัยต่างๆท่ีเก่งกล้าเกินกว่า คนทั่วไป นิทานวีรบุรุษของภาคตะวันตก เช่น โรบินฮู้ด เฮอร์คิวลิส ของ
ไทย เช่น ไกรทอง เจ้าสายน้ำผึ้ง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เป็นต้น ชื่อบุคคล ช่ือบ้านเมือง เหตุการณ์หรือเค้าเรื่องมี
สว่ นที่เป็นความจรงิ อยู่ดว้ ย แต่เลา่ ตกแตง่ เพม่ิ เติมเสริมข้นึ จนเปน็ รปู นิทานไป

7. นิทานคติสอนใจหรือนิทานประเภทคำสอน (Fable) เป็นเร่ืองส้ันๆไม่ สมจริง มีเน้ือหาใน
เชิงสอนใจ ให้แนวทางในการดำเนินชีวิตท่ีถูกต้องทำนองคลองธรรม บางเรื่องสอนโดยวิธีบอกตรงๆ บางเรื่อง
ให้เป็นแนวเปรียบเทียบเป็นอุทาหรณ์ ในบางแห่งจึงเรียกนิทานประเภทนี้ว่า นิทานอุทาหรณ์บ้าง หรือนิทาน
สุภาษิตบ้าง ตัวละครในเร่ืองอาจจะเป็นคน สัตว์ หรือเทพยดา เป็นตัวดำเนินเรื่อง สมมติว่าเป็นเรื่องจริงที่
เกิดขนึ้ ในอดตี เชน่ เรอ่ื งหนู กัดเหลก็ นิทานอีสป นทิ านจากปัญจตนั ตระ เปน็ ต้น

34

8. นิทานศาสนา (Religious Tale) เป็นนิทานเก่ียวกับศาสนา พระเจ้า นักบวชต่างๆ มี
ประวตั ิอภินิหารหรืออิทธิฤทธิ์ เรื่องลักษณะนี้ของชาวตะวันตกมีมาก เช่น เร่ืองพระเยซู และนักบุญต่างๆ ของ
ไทยก็มีบ้างที่เกี่ยวกับอภินิหารของนักบวชที่เจริญภาวนามีฌาณแก่กล้า มีอิทธิฤทธิ์พิเศษ เช่น เร่ืองหลวงพ่อ
ทวด สมเด็จเจ้าแตงโม เป็นต้น

9. นิทานชาดก (Jataka Tales) ชาดก หมายถึง เร่ืองพระพุทธเจ้าท่ีมีมาในชาติก่อนๆ
(ราชบัณฑิตยสถาน, 2546, หน้า 359) เนื้อเร่ืองจะกล่าวถึงประวัติและพระจริยวัตร ของพระพุทธเจ้าเม่ือคร้ัง
ยังเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติในภพภูมิต่างๆ เป็นคนบ้าง เป็น สัตว์บ้าง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะไป
เสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม จะมีคุณสมบัติ แตกต่างจากผู้อ่ืนท่ีเห็นได้ชัดอยู่ 2 ประการ คือ รูปสมบัติ จะมี
ร่างกายสมบูรณ์ ถ้าเป็นสัตว์จะเป็นเพศผู้ ถ้าเป็นคนจะเป็นเพศบุรุษ มีความสง่างามเปน็ ที่ประทับตาประทับใจ
แก่ผู้พบเห็น และมีน้ำเสียงไพเราะ และธรรมสมบัติ คือ จะมีคุณธรรมสูง โดยเฉพาะทศบารมี (พิสิฐ เจริญสุข,
2539, หน้า 3-4) ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมม์ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา แทรกคติ
ธรรมคำสอนไว้ในเน้ือเร่ือง ท้ายเร่ืองของนิทานชาดกมักจะบอกการกลับชาติมาเกิดของตัวละครสำคัญในเรื่อง
นิทานชาดกท่รี จู้ ักกนั ทว่ั ไปก็คอื ทศชาดก โดยเฉพาะชาดกเรื่องสดุ ทา้ ยคอื พระเวสสันดร

10. ตำนานหรือเทพนิยาย (Myth) เป็นนิทานท่ีมีตัวละครสำคัญเป็น เทพยดา นางฟ้า หรือ
บุคคลในเร่ืองต้องมีส่วนสัมพันธ์กับความเช่ือทางศาสนา และพิธีกรรมต่างๆที่มนุษย์ปฏิบัติอยู่ เช่น เรื่องท้าว
มหาสงกรานต์ เร่ืองเก่ียวกบั พระอินทร์ เปน็ ตน้

11. นทิ านสัตว์ (Animal Tale) เป็นนทิ านที่มีตวั เอกเป็นสัตว์ แต่สมมติให้มี ความนึกคิด การ
กระทำและพูดได้เหมือนคน มีท้ังที่เป็นสัตว์ป่า และสัตว์บ้าน บางทีก็เป็นเร่ืองที่มีคนเกี่ยวข้องด้วยและพูด
โต้ตอบ ปฏิบัติต่อกันเสมือนเป็นคนด้วยกัน บางเร่ืองก็แสดงถึงความเฉลียวฉลาด หรือความโง่เขลาของสัตว์
บางทีก็เป็นเรื่องของสัตว์ที่มีลักษณะเป็น ตัวโกงคอย กลั่นแกล้งสัตว์อื่น แล้วก็ได้รับความเดือดร้อนเอง นิทาน
สัตวถ์ า้ เลา่ โดยเจตนาจะส่งั สอนคตธิ รรมอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อย่างชัดเจน ก็จดั เปน็ นทิ านคตสิ อนใจ

12. นิทานตลก (Jest) ส่วนใหญ่เป็นนิทานส้ันๆซึ่งจุดสำคัญของเรื่องอยู่ท่ีพฤติกรรม หรือ
เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ต่างๆ อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความโง่ การแสดงไหวพริบปฏภิ าณ การแกเ้ ผด็ แก้ลำ
การพนันขันต่อ การเดินทางผจญภัยท่ีก่อเรอ่ื งผิดปกตใิ นแง่ขบขนั ต่างๆ ตัวเอกของเรื่องอาจจะเป็นคนท่ีโงเ่ ขลา
ท่ีสดุ และทำเร่ืองผิดปกติวิสัยมนุษย์ท่ีมีสติปัญญาธรรมดาเขาทำกัน เช่น เรื่องศรีธนญชัย หัวล้านนอกครู เป็น
ตน้

นอกจากน้ี ยังพบว่ามีนทิ านตลกเก่ียวกับเร่ืองเพศ ซึ่งมักจะมีลักษณะหยาบโลน มักเล่ากันเฉพาะกลุ่ม
และบางโอกาสเท่านั้น แต่มีข้อน่าสังเกตอยู่ประการหนึ่ง คือ นิทานลักษณะน้ีของไทยมักจะใช้กลวิธีทางภาษา
คือ การผวนคำมาเปน็ ข้อขบขนั ถ้าผู้ฟงั ผวนคำไม่ได้หรือไม่เป็นก็จะกลายเป็นตัวตลกเสียเอง เร่ืองตลกเก่ยี วกับ
เพศของไทยมักจะให้ตัวละครเป็นพระ ชี ซ่ึงโดยปกติต้องประพฤติอยู่ในพรหมจรรย์ แต่กลับประพฤติผิดศีล
ขอ้ ห้าม หรือใหเ้ ป็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศทไ่ี ม่เหมาะสมระหวา่ งพี่เขยกับน้องเมยี ลูกเขยกับแมย่ าย เปน็ ต้น

35

13. นิทานเข้าแบบ (Formula Tale) เป็นนิทานที่มีแบบแผนในการเล่าเป็นพิเศษแตกต่าง
จากนิทานประเภทอ่ืนๆ เช่น ที่เล่าซ้ำต่อเน่ืองกันไป หรือมีตัวละครหลายๆตัว พฤติกรรมเกี่ยวข้องกันไปเป็น
ทอดๆ นทิ านประเภทนี้แบ่งได้เป็น 4 ชนดิ (วิมล ดำศรี, 2539, หนา้ 48-49) คือ

13.1 นิทานไม่รู้จบ เป็นนิทานท่ีมีความยาวไม่จำกัด เล่าต่อเน่ืองไปเร่ือยๆ โดยไม่มี
จุดจบ จนกว่าผู้ฟังจะเบ่ือหน่าย มักเป็นเรื่องเก่ียวกับการนับ หรือการกระทำซ้ำๆ นิทานลักษณะน้ีเหมาะกับ
ความสนใจของเด็ก

13.2 นิทานไม่จบเร่ือง เป็นนิทานท่ีผู้เล่าเล่าหยอกเย้าผู้ฟังให้เกิดความสนุกสนาน ผู้
เล่ามักจะเรมิ่ ตน้ จากเรอ่ื งทนี่ ่าสนใจในท้องถนิ่ แล้วกจ็ ะหาทางให้เร่ืองจบลงอย่างกะทนั หนั ทง้ั ท่ไี ม่นา่ จะจบ

13.3 นิทานหลอกผู้ฟัง เป็นนิทานที่ผู้เล่ามีเจตนาให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการเล่านิทาน
อาจจะมีคำถามใหต้ อบ ผฟู้ งั คาดวา่ คำตอบน่าจะถูกตอ้ ง แตเ่ มอ่ื เฉลยแลว้ จะเป็นคำตอบทนี่ ่าขนั และไมม่ เี หตผุ ล

13.4 นิทานลูกโซ่ เป็นนิทานท่ีมีเร่ืองราวท่ีดำเนินไปอย่างเดียว แต่มี ตัวละครหลาย
ตัวและมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องเป็นทอดๆพฤติกรรมน้ันอาจจะไม่สัมพันธ์กับ ตัวละครเดิมก็ได้ นิทานลูกโซ่ของ
ไทยซึง่ ทีร่ ูจ้ ักกันทั่วไป คือ เรอื่ งยายกะตาปลูกถว่ั ปลกู งา ใหห้ ลานเฝา้

14. นิทานปริศนา (Riddle Tale) เป็นนิทานท่ีมีการผูกถ้อยคำเป็นเง่ือนงำให้ทายหรือให้คิด
ไว้ในเนื้อเร่ือง อาจไว้ท้ายเรื่อง หรือตอนสำคัญๆของเน้ือเรื่องก็ได้เพ่ือผู้ฟังได้มีส่วนร่วมแสดงความรู้ความ
คิดเห็นเก่ียวกับนิทานที่ได้ฟังหรืออ่าน นิทานปริศนาที่พบมากในไทยได้แก่ นิทานปริศนาธรรม นิทานเวตาลที่
เรารบั เข้ามาก็จัดเป็นนิทานปริศนา อีกเรอ่ื งหนึ่งทเ่ี ปน็ ทรี่ จู้ กั คอื เรื่องสงกรานต์

การแบ่งนิทานพ้นื บ้านดังทก่ี ลา่ วมาแลว้ เป็นแนวทางในการแบ่งอย่างกวา้ งๆท่นี ิยมใช้กนั โดยท่ัวไป แต่
มิใช่เป็นหลักตายตัว นิทานบางเรื่องอาจจะมีลักษณะเน้ือหาคาบเก่ียวกันบ้าง ผู้ศึกษาควรพิจารณา
วตั ถุประสงค์และทัศนคติของผ้เู ล่าประกอบกับลกั ษณะและเน้ือเร่ืองของนิทานวา่ มลี กั ษณะใดทเี่ ห็นเด่นชดั แล้ว
จึงจัดจำแนกเข้าหมวดหมู่

6. คณุ ค่าของนิทานพนื้ บา้ น
นิทานพ้ืนบ้าน หมายถึงเร่ืองที่เล่าสืบกันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวาจา แต่ก็มี
จำนวนมากท่ีได้รับการบันทึกไว้ นิทานพื้นบ้านปรากฏอยู่ในทุกๆ วัฒนธรรม มีทั้งความแตกต่าง หลากหลาย
และความเหมือน มีความสำคัญในการเข้าถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ทั้งนี้ จำแนกความสำคัญของนิทาน
พื้นบ้านไดเ้ ป็น 3 ประการ

1.ใหค้ วามรู้เก่ียวกับวัฒนธรรมของเจา้ ของนทิ าน เช่น ความรู้เกี่ยวกบั ชีวติ ความเป็นอยู่ จารีต
ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยม สภาพเศรษฐกิจ ภูมิประเทศ และถิ่นฐานบ้านเรือน ท้ังรูปแบบการเล่านิทานท่ีใช้
คำประพันธ์เข้ามาช่วย เช่น แหล่ เทศน์ เสภา ยังสร้างความงามด้านรูปแบบอีกโสดหน่ึง ดังน้ันหากเยาวชนได้
เรียนรู้นิทานพ้ืนบ้านของตนจึงเป็นช่องทางในการรู้ตนเอง สามารถอธิบายตนเองได้ รวมท้ังอาจจะบอกได้ถึง
ขอ้ ดแี ละขอ้ จำกัดในวฒั นธรรมนนั้ ๆ ของตนได้

36

2.ให้ความสนุกสนานเพลิด เพลิน ปกติแล้วผู้เล่านิทานมักเป็นผู้ใหญ่หรือผู้มีประสบ การณ์
และผู้ฟังมักจะเป็นเด็กหรือมีประสบการณ์น้อยกว่า การเล่านิทานพ้ืนบ้านเป็นกิจกรรมที่ยังความช่ืนชอบใน
ผู้ฟงั ทกุ หมทู่ กุ เหลา่ ปัจจบุ ันการเลา่ นทิ านก็ยังมีอยู่ทว่ั ไป เพียงเปลี่ยนไปตามสถานการณ์หรือผ้ฟู ังเท่าน้ัน

3.สอนหรือสอดแทรกศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม หรือให้คติเตือนใจ เช่น นิทานชาดก
นิทานอีสป นิทานสุภาษิต นิทานในศาสนาต่างๆ นิทานเหล่าน้ีล้วนสอนให้ผู้ฟังได้ตระหนักถึงคุณธรรมที่พึง
ประสงค์ทั้งทางโลกและทางธรรม เช่น สอนให้ไม่เห็นแก่ตัว สอนให้ยึดม่ันในพระผู้เป็นเจ้า สอนให้ระวังการใช้
คำพูด ฯลฯ กระตุ้นความเป็นวีรบุรุษ พัฒนาศรัทธาที่มีต่อศาสนา และเพื่อหลบหลีกความจำเจใน
ชีวิตประจำวัน มีบทบาทสำคัญท้ังในด้านการให้การศึกษา ให้ความบันเทิง และเป็นแบบอย่างพฤติกรรมท่ี
สังคม วฒั นธรรมแตล่ ะแหง่ ประสงค์

การรวบรวมนิทานพ้ืนบ้านอย่างเป็นระบบเริ่มขึ้นเมื่อ ค.ศ.1822 คืองานของ “พ่ีน้องตระกูล
กริมม์Grimm” รวบรวมนิทานพื้นบ้านเยอรมัน ซ่ึงการรวบรวมคร้ังน้ีแตกต่างจากการรวบรวมในยุคก่อนหน้า
ในแง่ท่ีว่าไม่ใช่เป็นการแสดงรายการของนิทานพ้ืนบ้าน แต่รวมถึงการวิเคราะห์เชิงวิชาการด้วยการ
เปรียบเทียบนิทานพื้นบา้ นเยอรมนั กบั เทพนิยายของกรีกและโรมันโบราณ รวมทงั้ จนิ ตกวนี พิ นธ์ของอินเดีย
กริมม์พบว่านิทานเหล่านี้มีเน้ือหาหลักหรือแก่นร่วมกัน นำไปสู่ทฤษฎีท่ีว่า เม่ือชาวอินโดยูโรเปียนละเลย
ทอดทิ้งศาสนาของพวกเขาที่มีร่วมกัน เทพนิยายก็ได้เปล่ียนแปรรูปแบบไปเป็นนิทานพ้ืนบ้าน ความเกี่ยวโยง
ระหว่างศาสนาและนิทานพื้นบ้านเป็นส่ิงสำคัญ เพราะถ้านิทานพื้นบ้านไม่มีความเก่ียวโยงกับศาสนา
การศึกษานิทานพ้ืนบ้าน (ความเช่ือในเรื่องท่ีนอกเหนือจากธรรมชาติ) ก็จะดูเหมือนว่าเป็นศาสตร์ท่ีไม่
เหมาะสมท่ีจะศึกษาเชิงวิชาการ ลูกศิษย์ของกริมม์พัฒนาความคิดในแนวน้ีต่อไป โดยกล่าวว่านิทานพ้ืนบ้าน
ท้ังหมดมีท่ีมาจากเทพนิยาย และเมื่อนักวิชาการเหล่านี้ไม่สามารถค้นหาเทพนิยายเพ่ือที่จะใช้ในการอธิบาย
นิทานพ้ืนบ้านได้ พวกเขาก็จะสร้างเทพนิยายข้ึนมาเอง น่ีเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหา “ความหมายข้างใน”
ของนิทานพืน้ บา้ น นอกเหนือจากคุณค่าของนิทานในแงใ่ ห้ความเพลดิ เพลนิ

งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง
ชอ่ื เรอื่ งงานวจิ ัย : การเปรียบเทียบความสามารถดา้ นการอา่ นอย่างมีวจิ ารณญาณ แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ และ

ความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ระหว่างการจดั กิจกรรมแบบ SQ4R แบบ
4MAT และแบบปกติ
รายช่อื ผู้ทำวิจัย : นางสาวนงนุช ปญั ญาศรี
สรุปผลการวจิ ัย :
การจดั การกิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าภาษาไทยใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการ
จดั การเรียนการสอนทห่ี ลากหลายรปู แบบ การจัดกจิ กรรมแบบ SQ4R การจัดกิจกรรมแบบ4 MAT เป็น
การจดั การเรียนรูท้ ่ีเน้นให้นกั เรยี นได้ปฏิบัติกิจกรรมตามความถนดั และความสนใจยึดหลักสำคัญวา่ ผเู้ รยี นมี
ความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ ตามบรบิ ทและสถานการณ์ชีวิตจรงิ รวมท้ังคำนงึ ถึงความแตกต่าง
ระหว่างบคุ คล เออื้ ต่อการแก้ปญั หาและพฒั นาความเข้าใจในการอ่านอย่างมวี จิ ารณญาณ แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธ์ิ

37

และความเช่ือมั่นในตนเองของนกั เรียน และชว่ ยให้กระบวนการจดั การเรยี นการสอนวิชาภาษาไทยบรรลุตาม
เปา้ หมายของหลักสตู ร การวิจัยครง้ั น้ีมจี ุดมุ่งหมายเพอื่

1. ศกึ ษาแผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชก้ ิจกรรมแบบ SQ4R แบบ 4MAT และแบบปกติ ตามเกณฑ์
70/70

2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอา่ นอยา่ งมีวจิ ารณญาณ แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ และ
ความเชือ่ มั่นในตนเอง ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ที่ไดร้ ับการจัดกิจกรรมแบบ SQ4R แบบ 4MAT และ
แบบปกติ กลมุ่ ตัวอย่างไดแ้ ก่ นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นสารคามพทิ ยาคม ตำบลตลาด อำเภอ
เมอื ง จงั หวัดมหาสารคาม ทเ่ี รยี นในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562จำนวน 145 คน จากหอ้ งเรียน 3 ห้อง
ไดม้ าโดยการสุ่มแบบกลุ่มแล้วทำการสมุ่ ห้องเรยี นเป็นกลมุ่ ทดลอง 2 ห้อง และกลมุ่ ควบคุม 1 หอ้ ง ทเ่ี รยี นดว้ ย
การจัดกจิ กรรมแบบ SQ4R แบบ 4MAT และแบบปกติ เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจยั ได้แก่

1. แผนการจัดการเรยี นร้แู บบ SQ4R แผนการจัดการเรียนรแู้ บบ 4MAT และแผนการจัดการเรยี นรู้
แบบปกติ

2. แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ เปน็ แบบชนิดเลือกตอบ จำนวน 50
ข้อ มีค่าความยาก ตงั้ แต่ 0.24 – 0.76 มคี า่ อำนาจจำแนก ต้งั แต่ 0.24 – 0.71 และมีค่าความเชื่อมน่ั ท้งั ฉบบั
เทา่ กบั 0.8/3

3. แบบวดั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ชนดิ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ มคี ่าความเชือ่ ม่ัน
ทัง้ ฉบับเทา่ กบั 0.90

4. แบบวัดความเชื่อม่ันในตนเอง ชนดิ มาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ มีค่าความ
เชื่อมัน่ ทั้งฉบบั เท่ากับ 0.89 สถิติทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ไดแ้ ก่ร้อยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณทางเดยี ว

ผลการวิจยั ปรากฏดังนี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โดยการจดั กจิ กรรมแบบ SQ4R การจัดกิจกรรมแบบ
4MAT และการจัดกจิ กรรมแบบปกติ มปี ระสิทธภิ าพเทา่ กับ 78.60/74.92 80.16/75.92 และ
74.96/72.96 ตามลำดับ ซง่ึ สูงกว่าเกณฑ์ 70/70 ท่กี ำหนดไว้
2. นักเรยี นท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมแบบ 4MAT และแบบ SQ4R มีความสามารถด้านการอา่ น
อยา่ งมีวจิ ารณญาณและความเชอื่ ม่นั ในตนเองหลงั เรยี นสงู กว่าแบบปกติ อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั
.05 นกั เรยี นทีเ่ รยี นดว้ ยการจัดกิจกรรมแบบ 4MAT และแบบ SQ4R มคี วามสามารถด้านการอ่านอย่างมี
วจิ ารณญาณ และความเชอื่ ม่ันในตนเองหลังเรยี นไมแ่ ตกต่างกนั และแรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธิ์ทั้ง 3 วธิ ี หลงั เรียนไม่
แตกตา่ งกนั
โดยสรปุ การจัดกิจกรรมแบบ SQ4R และการจดั กจิ กรรมแบบ 4MAT มีประสทิ ธิภาพทำใหน้ กั เรยี นมี
ความสามารถด้านการอา่ นอย่างมีวิจารณญาณ แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ และความเช่ือมนั่ ในตนเองสูงข้นึ ดงั นนั้
ครูผสู้ อนจึงควรนารปู แบบการเรยี นรทู้ ัง้ 2 วธิ ี ไปพฒั นาการอา่ นอย่างมวี ิจารณญาณ แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิ์ และ
ความเชอ่ื มั่นในตนเอง ของนกั เรียนให้มปี ระสิทธภิ าพ

38

ชอื่ เรือ่ งงานวจิ ัย : การเปรียบเทยี บความสามารถดา้ นการอา่ นอยา่ งมวี ิจารณญาณ แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ และ
ความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ระหวา่ งการจัดกิจกรรมแบบ SQ4R แบบ
4MAT และแบบปกติ

รายช่อื ผู้ทำวจิ ัย : สุภสั สร วชั รคปุ ต์
สรปุ ผลการวิจัย :

การศึกษาค้นควา้ ครัง้ นี้มีจุดมุ่งหมาย เพ่ือสร้างชุดการสอนการอ่าน จับใจความโดยใช้นิทาน สำหรบั
นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ตาม เกณฑม์ าตรฐาน 80/80 และศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นทีม่ ีต่อการ
สอนโดย ชดุ การสอนทีส่ รา้ งข้ึน กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ช้ในการศกึ ษาครั้งน้ี เป็นนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาค
เรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2542 โรงเรยี นชมุ ชนวัดศรีประจนั ตคาม อำเภอประจนั ตคาม จังหวดั ปราจนี บุรี จำนวน
1 หอ้ งเรยี น ได้มาโดย การส่มุ แบบกลมุ่ สอนโดยใชช้ ดุ การสอนการอา่ นจับใจความโดยใช้นทิ าน และสอบถาม
ความพึงพอใจของนกั เรียนทีม่ ีตอ่ การสอนโดยใช้ชดุ การสอน ใชเ้ วลาในการทดลอง 30 คาบเรียน ๆ ละ 20
นาที สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู คือ คา่ เฉลย่ี และค่าร้อยละ

ผลการศกึ ษาคน้ คว้า ปรากฏว่า ชดุ การสอนการอ่านจบั ใจความโดยใชน้ ิทาน สำหรับนกั เรยี นชน้ั
ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ทีส่ รา้ งขึ้นมปี ระสทิ ธิภาพ 90.00/93.33 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ทก่ี ำหนดไว้
และนักเรียนมีความพงึ พอใจ ตอ่ การสอนโดยใชช้ ุดการสอนมคี ่าเฉลี่ยอยู่ในระดบั มาก

39

บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั

ในการวจิ ัยครัง้ นี้ ผู้วจิ ัยได้ดำเนินการเป็นขั้นตอน โดยมีรายละเอยี ดของการศกึ ษาคน้ ควา้ ดังนี้
1. รูปแบบของวจิ ยั
2. ประชากร
3. กลุ่มตัวอยา่ ง
4. เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย
5. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่อื งมือ
6. วธิ ีดำเนินการเกบ็ ขอ้ มูล
7. การวิเคราะหข์ ้อมลู

รปู แบบของวิจยั
การวจิ ยั ครั้งนใ้ี ช้การวิจยั แบบ One – Group Pretest – Protest Design

ตารางท่ี 1 แสดงลกั ษณะการทดลองตามรูปแบบการวจิ ยั แบบ Pretest – Posttest Group Design

Pretest Treatment Posttest
T1
X T2
X คอื
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจบั ใจความสำคัญ
T1 คือ
T2 คอื จากนิทานพ้ืนบ้าน

การทดสอบกอ่ นเรียน (pretest)

การทดสอบหลงั เรยี น (posttest)

กลมุ่ เป้าหมาย
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/7ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุ

เคราะห์” อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จำนวน 10 คน คน ซ่ึงได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)

เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
การวิจยั ครง้ั นผ้ี ้วู จิ ยั ไดก้ ำหนดเครอื่ งมือในการทดลองมดี งั น้ี คอื

1. แบบฝึกทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั จากนิทานพ้นื บ้าน 1 เล่ม ประกอบดว้ ยเน้อื หา
5 เรื่อง

40

- แบบฝึกทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคัญที่ 1 เรือ่ ง “เจา้ แมล่ มิ้ กอเหน่ียว”
- แบบฝกึ ทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญท่ี 2 เร่ือง “ตาม่องล่ายกับยายรำพึง”
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญท่ี 3 เรอื่ ง “สงั ขท์ อง”
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความสำคัญท่ี 4 เร่อื ง “พญาคนั คาก”
- แบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญที่ 5 เรอ่ื ง “ไกรทอง”
2. แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย
ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ

การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื
1. แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั จากนิทานพืน้ บ้าน 1 เล่ม ประกอบด้วยเนอื้ หา

5 เร่อื ง มขี ้ันตอนการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้
1.1 ศึกษาทฤษฎีหลักการสอนอ่านจับใจความจากตำรา เอกสาร รายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

กบั การสอนอา่ นจบั ใจความ
1.2 สบื ค้นข้อมูลเก่ียวกับนิทานพ้นื บา้ น จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน ภาษาไทยวรรณคดี

วิจักษ์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
โดยเลือกเรื่องทม่ี เี นื้อหาน่าสนใจ เหมาะสมกับผเู้ รยี น ให้ความเพลดิ เพลิน และขอ้ คดิ ทีเ่ ปน็ ประโยชนแ์ ก่ผูอ้ า่ น

1.3 เรียบเรียงและตรวจสอบเนื้อหานิทานพนื้ บ้านใหถ้ ูกตอ้ ง จำนวน 5 เรอ่ื ง ดงั ตอ่ ไปน้ี
1.3.1 เจา้ แมล่ ม้ิ กอเหน่ยี ว
1.3.2 ตาม่องล่ายกบั ยายรำพึง
1.3.3 สังข์ทอง
1.3.4 พญาคนั คาก
1.3.5 ไกรทอง

โดยให้นักเรียนได้อ่านและทำความเข้าใจกับเน้ือเร่ือง แล้วดูรูปภาพประกอบเนื้อเรื่องท่ีอ่าน
เพอื่ ความชดั เจนยิง่ ข้นึ

1.4 สร้างแบบฝกึ ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนทิ านพื้นบา้ น โดยใช้ขอ้ คำถามจำนวน
10 ข้อ ครอบคลุมเน้ือเร่ืองท้ังหมด มีการถามข้อคิด และเรียงลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง จำนวน 5 เร่ือง
ดงั ต่อไปน้ี

1.4.1 แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญท่ี 1 เรื่อง “เจ้าแมล่ ้ิมกอเหนย่ี ว”
1.4.2 แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านจับใจความสำคญั ท่ี 2 เรื่อง “ตามอ่ งลา่ ยกบั ยายรำพึง”
1.4.3 แบบฝึกทกั ษะการอ่านจับใจความสำคญั ที่ 3 เรอ่ื ง “สงั ข์ทอง”
1.4.4 แบบฝึกทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ที่ 4 เรื่อง “พญาคนั คาก”
1.4.5 แบบฝึกทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคัญที่ 5 เรื่อง “ไกรทอง”
โดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนดงั น้ี ใหค้ ะแนน 1 คะแนน เมือ่ นกั เรยี นตอบถกู ต้อง และ

41

0 คะแนน เมือ่ นกั เรยี นตอบผดิ
1.5 นำนิทานพื้นบ้านและแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนิทานพื้นบ้าน เสนอ

ใหผ้ เู้ ชียวชาญตรวจ แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งและปรบั ปรงุ ใหถ้ ูกต้อง
1.6 นำนทิ านและแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ จากนิทานพ้นื บ้าน

ไปใชส้ อนนกั เรียนทเ่ี ปน็ ตวั อยา่ งในการศกึ ษาครงั้ นี้
2. แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย

ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยมีขน้ั ตอนการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพ ดงั นี้
2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทย และหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3โรงเรียนบ้านบึง
“อตุ สาหกรรมนุเคราะห์”อำเภอบ้านบึงจงั หวดั ชลบรุ ี

2.2 ศกึ ษาทฤษฎี ตำรา เอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้องกบั หลกั การสร้างแบบทดสอบ
เพื่อเปน็ แนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจบั ใจความสำคัญกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น

2.3 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรเู้ ร่ืองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้
แบบฝึกพัฒนาทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญจากนิทานพ้นื บา้ น

2.4 สร้างแบบทดสอบวัดทกั ษะการอ่านจับใจความสำคญั กอ่ นเรียนและหลังเรยี น
เป็นแบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ขอ้

2.5 เสนอแบบทดสอบวดั ทกั ษะการอา่ นจับใจความสำคญั ก่อนเรียนและหลังเรยี นต่อ
ผู้เชียวชาญตรวจ เพื่อตรวจสอบการใช้ภาษา ความถูกต้องของข้อคำถาม จากนั้นปรับปรุงและแก้ไข
แบบทดสอบวดั ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรยี นและหลังเรียนตามคำแนะนำของครูพ่เี ล้ยี ง

2.6 นำแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียนและหลังเรียนที่ได้ปรับปรุง
ตามเกณฑแ์ ลว้ ไปใช้ทดสอบก่อนเรียนหลงั เรยี น

วิธดี ำเนินการเก็บขอ้ มูล
ในการศึกษาค้นควา้ ครง้ั น้ี ผ้วู จิ ยั ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลำดบั ขั้นตอนดงั นี้

1. การทำแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด
เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ทดสอบกับนักเรียน ตอบถกู ได้ 1 คะแนน ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน ใช้เวลา
ในการทำแบบทดสอบ 30 นาที บนั ทกึ คะแนนการทดสอบก่อนการทดลองเกบ็ ไว้เพ่อื นำไปวเิ คราะหข์ ้อมลู

2. การทำแบบฝึกพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากนิทานพื้นบ้าน 1 เล่ม ประกอบด้วย
เนอ้ื หา 5 เรอ่ื ง โดยใช้เวลาในการทำการทดลอง 5 ครง้ั คร้งั ละ 30 นาที มดี ังต่อไปน้ี

2.1 แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจับใจความสำคัญท่ี 1 เร่อื ง “เจ้าแม่ลม้ิ กอเหนยี่ ว”
2.2 แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ท่ี 2 เร่อื ง “ตาม่องล่ายกับยายรำพงึ ”
2.3 แบบฝึกทักษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญท่ี 3 เรื่อง “สังขท์ อง”
2.4 แบบฝกึ ทักษะการอ่านจับใจความสำคญั ท่ี 4 เรอื่ ง “พญาคนั คาก”

42

2.5 แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสำคัญท่ี 5 เรอื่ ง “ไกรทอง”
3. การทำแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด
เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ขอ้ ทดสอบกบั นกั เรยี น ใชเ้ วลาในการทำแบบทดสอบ 30 นาที
บันทึกคะแนนการทดสอบหลงั การทดลองเก็บไว้เพ่ือนำไปวิเคราะห์ข้อมลู

ตารางท่ี 2 แสดงแผนการทดลองเรื่อง “การใช้นิทานพื้นบ้านเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวิชา

ภาษาไทยของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบ้านบึง “อตุ สาหกรรมนุเคราะห”์

ครง้ั เรอื่ ง การทดลอง

ที่

1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน

การอ่านจับใจความสำคัญ 20 ขอ้

2 แบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความสำคญั ที่ 1 เรอ่ื ง - อ่านนิทานพื้นบ้านเร่ือง “เจ้าแม่ล้ิม
“เจ้าแม่ลิม้ กอเหนย่ี ว” กอเหน่ยี ว”
- ตอบคำถาม จำนวน 10 ขอ้
3 แบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความสำคัญท่ี 2 เรือ่ ง - อ่านนิทานพ้ืนบ้านเร่ือง “ตาม่องล่าย
“ตาม่องลา่ ยกบั ยายรำพึง” กับยายรำพึง”
- ตอบคำถาม จำนวน 10 ข้อ
4 แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ที่ 3 เรอื่ ง - อ่านนิทานพื้นบ้านเรอ่ื ง “สงั ขท์ อง”
“สังขท์ อง” - ตอบคำถาม จำนวน 10 ขอ้

5 แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ท่ี 4 เรื่อง - อ่ า น นิ ท า น พื้ น บ้ า น เ รื่ อ ง
“พญาคันคาก” “พญาคันคาก”
- ตอบคำถาม จำนวน 10 ข้อ
6 แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั ที่ 5 เรอ่ื ง - อา่ นนทิ านพืน้ บา้ นเรือ่ ง “ไกรทอง”
“ไกรทอง” - ตอบคำถาม จำนวน 10 ขอ้

7 ทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะ ทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน

การอ่านจบั ใจความสำคญั 20 ขอ้


Click to View FlipBook Version