The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รหัสวิชา ง23273 วิชา งานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารประกอบการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้ทั่วไปในการเชื่อมไฟฟ้า

รหัสวิชา ง23273 วิชา งานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566

เอกสารประกอบการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้ทั่วไปในการเชื่อมไฟฟ้า ประกอบด้วย บทที่ 1 เรื่อง ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า บทที่ 2 เรื่อง วิวัฒนาการและกระบวนการเชื่อมโลหะ บทที่ 3 เรื่อง เครื่องเชื่อมไฟฟ้าและเครื่องมืออุปกรณ์ บทที่ 4 เรื่อง องค์ประกอบและเทคนิคการเชื่อมไฟฟ้า บทที่ 5 เรื่อง รอยต่อและท่าเชื่อมไฟฟ้า รหัสวิชา ง23273 วิชา งานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566


สารบัญ บทที่ เรื่อง หน้า 1 ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า ใบความรู้ที่ 1.1 เรื่อง ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า 1 2 วิวัฒนาการและกระบวนการเชื่อมโลหะ ใบความรู้ที่ 1.2 เรื่อง วิวัฒนาการของการเชื่อมโลหะ 6 ใบความรู้ที่ 1.3 เรื่อง กระบวนการเชื่อมโลหะ 8 ใบความรู้ที่ 1.4 เรื่อง การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ 10 3 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าและเครื่องมืออุปกรณ์ ใบความรู้ที่ 1.5 เรื่อง เครื่องเชื่อมไฟฟ้า 12 ใบความรู้ที่ 1.6 เรื่อง เครื่องมืออุปกรณ์ในการเชื่อมไฟฟ้า 18 4 องค์ประกอบและเทคนิคการเชื่อมไฟฟ้า ใบความรู้ที่ 1.7 เรื่อง องค์ประกอบในการเชื่อมไฟฟ้า 36 ใบความรู้ที่ 1.8 เรื่อง เทคนิคในการเชื่อมไฟฟ้า 42 5 รอยต่อและท่าเชื่อมไฟฟ้า ใบความรู้ที่ 1.9 เรื่อง รอยต่อเชื่อมไฟฟ้า 48 ใบความรู้ที่ 1.10 เรื่อง ท่าเชื่อมไฟฟ้า 51 บรรณานุกรม 59


1 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความปลอดภัยทั่วไปในการปฏิบัติงานได้ 2. บอกความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้าได้ ความหมายของความปลอดภัย ความปลอดภัย หมายถึง สภาวะการปราศจากภัยหรือการพ้นภัย และรวมถึงปราศจาก อันตราย การบาดเจ็บ การเสี่ยงภัยและการสูญเสีย ความปลอดภัยในการท างาน หมายถึง การปฏิบัติงานให้ส าเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย โดย ปราศจาก เหตุการณ์ที่ท าให้เกิดความเสียหาย การสูญเสียทั้งบุคคลและทรัพย์สิน การบาดเจ็บ ป่วยเป็นโรคจนถึงขั้นเสียชีวิต ความหมายของอุบัติเหตุ อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด ไม่ตั้งใจให้เกิด ไม่สามารถควบคุม ได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้ขณะนั้น ท าให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคมและประเทศชาติ ซึ่งควรจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไว้แต่แรก โดยพิจารณาจากปัจจัย ต่าง ๆ อันที่จะน าไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากการท างาน อุบัติเหตุจากการท างานนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ 1. สาเหตุจากการปฏิบัติงานที่ไม่ปลอดภัย เป็นการกระท าที่ไม่ปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ในขณะปฏิบัติงาน เป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ถึงร้อยละ 88 ของอุบัติเหตุ เช่น 1.1 การใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่เป็นเครื่องจักรกลต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต 1.2 การท างานที่มีอัตราเร่งความเร็วของงานและเครื่องจักรเกินก าหนด 1.3 การถอดอุปกรณ์ป้องกันออกจากเครื่องจักรโดยไม่มีเหตุอันควร 1.4 การดูแลซ่อมบ ารุงอุปกรณ์เครื่องจักรในขณะที่ก าลังท างาน 1.5 การใช้เครื่องมืออุปกรณ์เครื่องจักรกลที่ช ารุดไม่ถูกวิธี 1.6 ไม่ใส่ใจค าแนะน าหรือค าเตือนความปลอดภัย ใบความรู้ที่ 1.1 เรื่อง ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า


2 1.7 ท าการเคลื่อนย้ายหรือยกวัสดุที่มีขนาดใหญ่ มีน้ าหนักมาก ด้วยท่าทางหรือวิธีการ ที่ ไม่ปลอดภัย 1.8 ไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล 1.9 การคึกคะนองหรือหยอกล้อกันขณะปฏิบัติงาน 2. สภาพการท างานที่ไม่ปลอดภัย คือ สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยโดยรอบตัวของ ผู้ปฏิบัติงานขณะท างาน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ร้อยละ 12 ของอุบัติเหตุ เช่น 2.1 การใช้เครื่องจักรกลที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอันตราย 2.2 อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรที่ออกแบบไม่เหมาะสมกับการใช้งาน 2.3 บริเวณพื้นที่ของการปฏิบัติงานไม่เหมาะสม 2.4 การจัดเก็บวัสดุสิ่งของไม่ถูกวิธี 2.5 การจัดเก็บสารเคมีหรือสารไวไฟที่เป็นอันตรายไม่ถูกวิธี 2.6 ไม่มีการจัดระเบียบและดูแลความสะอาดของสถานที่ท างานให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ 2.7 แสงสว่างไม่เพียงพอ 2.8 ไม่มีระบบระบายและถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม 2.9 ไม่มีระบบเตือนภัยที่เหมาะสม อันตรายที่เกิดจากการเชื่อมไฟฟ้าและการป้องกัน อันตรายหลักใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงซึ่งพบได้เสมอและผู้ปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า ควร ระมัดระวัง ได้แก่ 1. อันตรายจากไฟฟ้า อันตรายและอุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้าที่พบบ่อย คือ ไฟฟ้าดูดขณะที่ผู้ปฏิบัติงานเปลี่ยน ลวดเชื่อม การจับวางชิ้นงานบนโต๊ะเชื่อมหรือเปลี่ยนท่าเชื่อม หรือการยืนเชื่อมบนที่เปียกชื้น มีเหงื่อ ที่มือหรือส่วนของร่างกายไปโดนสายไฟที่เปลือกสายขาดช ารุด ท าให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกาย การป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า 1.1 ก่อนปฏิบัติการเชื่อมต้องตรวจสอบเครื่องเชื่อม สายไฟและสายเชื่อมให้เรียบร้อย 1.2 ต้องสวมถุงมือขณะปฏิบัติงาน 1.3 สายเชื่อมและสายดินถูกต้องตามขนาดของกระแสไฟที่ใช้ในการเชื่อม 1.4 อย่าให้สายเชื่อมขดพันกัน ท าให้สายเกิดความร้อนและช ารุดได้ สายเชื่อมต้องให้ แห้งอยู่เสมอ ปราศจากคราบน้ ามัน สายเก่าควรเปลี่ยนหรือควรน าเทปพันสายไฟพันให้เรียบร้อย 2. อันตรายจากรังสีที่เกิดจากการอาร์ก


3 การอาร์กจะเกิดอุณหภูมิสูงมากถึง 6,000 องศาเซลเซียส และเกิดรังสีอัลตราไวโอเลต กับ รังสีอินฟราเรด ท าให้ดวงตาระคายเคือง อักเสบและน้ าตาไหล ผิวหนังผิวไหม้และปวดแสบปวด ร้อน การป้องกันอันตรายจากรังสีที่เกิดจากการอาร์ก 2.1 ต้องใช้หน้ากากเชื่อม และเลือกกระจกกรองแสงให้ตรงตามมาตรฐานลักษณะงาน ที่น าไปใช้และจ านวนกระแสไฟเชื่อม 2.2 ผู้ปฏิบัติงานควรสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายส่วนที่สัมผัสกับรังสี ควรสวมถุงมือ 2.3 บริเวณปฏิบัติงานเชื่อมควรมีม่านหรือฉากกั้น เพื่อป้องกันรังสีรบกวนต่อผู้อื่น 3. อันตรายจากควันเชื่อมและก๊าซ ขณะท าการเชื่อมจะเกิดควันและก๊าซหลายชนิด ได้แก่ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ก๊าซ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ เมื่อหายใจเข้าไป จะไปท าลายระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ เป็นไข้และอ่อนเพลีย เป็นต้น การป้องกันอันตรายจากควันเชื่อมและก๊าซ 3.1 ถ้าปฏิบัติการเชื่อมในโรงฝึกงาน ควรมีการระบายอากาศหรือระบบการดูดอากาศที่ ถูกต้องปลอดภัย 3.2 ต้องสวมหน้ากากเชื่อมทุกครั้งเมื่อปฏิบัติการเชื่อม ควรมีหน้ากากป้องกันควันพิษ ในสถานที่ที่น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากเป็นพิเศษ เช่น โลหะพวกสังกะสี ทองแดง ตะกั่วหรือ แผ่นเหล็กอาบสังกะสี อาบตะกั่ว ซึ่งก๊าซที่เกิดขึ้นจะเป็นก๊าซพิษและเป็นอันตายต่อร่างกาย 4. อันตรายจากการลุกไหม้และการระเบิดของก๊าซติดไฟ ความร้อนจากการอาร์กและจากชิ้นงานอาจเป็นสาเหตุของการลุกไหม้และการระเบิดของ ก๊าซท าให้ติดไฟได้ การป้องกันอันตรายจากการลุกไหม้และการระเบิดของก๊าซติดไฟ 4.1 ถ้าจ าเป็นต้องเชื่อมโลหะใกล้กับวัสดุที่ติดไฟง่าย เช่น ผ้า ไม้ เป็นต้น ต้องขนย้าย สิ่งเหล่านั้นออกเสียก่อน ถ้าย้ายไม่ได้ควรมีแผ่นเหล็กหรือผ้าใบปิดบังวัสดุนั้น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ สะเก็ดไฟเชื่อมหรือเศษโลหะร้อนหล่นลงไป อาจก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ 4.2 กรณีเชื่อมถังหรือภาชนะบรรจุน้ ามันหรือถังก๊าซที่ติดไฟง่าย ต้องล้างให้สะอาด เสียก่อน โดยใช้ฉีดด้วยไอน้ าหรือสารเคมีชนิดที่ก าจัดคราบน้ ามันและก่อนท าการเชื่อมต้องใส่น้ าเปล่า ลงในถังให้เกือบเต็มให้ต่ ากว่าจุดที่จะเชื่อม 2.5 – 5 เซนติเมตร และต้องเปิดลิ้นหรือฝาไว้ เพื่อให้ ก๊าซและควันระเหยออกสู่ภายนอก ส่วนอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อให้ใช้ผ้าเปียกน้ ามาพันไว้ เพื่อป้องกันการ ติดไฟและต้องเตรียมเครื่องดับเพลิงไว้ใกล้ ๆ บริเวณที่ท าการเชื่อมเสมอ


4 ความปลอดภัยทั่วไปในการปฏิบัติงาน 1. ศึกษาให้เข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการบ ารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ที่ ถูกต้อง 2. มีเครื่องดับเพลิงชนิดที่ดับไฟที่เกิดจากก๊าซ และเกิดจากกระแสไฟฟ้าไว้ในโรงงาน 3. บริเวณที่ปฏิบัติงานต้องมีแสงสว่างเพียงพอ 4. บริเวณปฏิบัติงานต้องมีความสะดวก สะอาดและเป็นระเบียบ 5. การใช้เครื่องเจียระไนต้องใส่แว่นนิรภัยให้เรียบร้อย 6. เครื่องมือที่ช ารุดแม้เพียงเล็กน้อย ต้องปรับปรุงแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนใช้งาน 7. การใช้สีและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในโรงฝึกงานควรใช้สีให้เป็นสากลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เตือน เกี่ยวกับอันตราย 8. ทางหนีไฟควรกว้างขวางเพียงพอและมีเครื่องหมายบอกไว้อย่างชัดเจน 9. การปฏิบัติงานในที่สูงต้องมีอุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย เช่น เข็มขัดนิรภัย 10. ถ้าปฏิบัติในที่มีวัสดุร่วงหล่นได้ต้องสวมหมวกนิรภัย 11. จัดให้มีตู้ยา พร้อมห้องปฐมพยาบาลขั้นต้นในโรงฝึกงาน ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า 1. เลือกใช้สายเชื่อมไฟฟ้า ให้มีขนาดความโตและความยาวถูกต้องตามมาตรฐาน 2. สวมหน้ากากเชื่อมไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า เพื่อป้องกันสายตา 3. จะต้องสวมแว่นตานิรภัยทุกครั้งที่มีการเคาะสแลก 4. ต้องสวมถุงมือเชื่อมไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า 5. พื้นบริเวณที่จะเชื่อมและที่เครื่องเชื่อมไฟฟ้าตั้งอยู่นั้นต้องแห้งอยู่เสมอ เพราะถ้าเปียกชื้น อาจเป็นสื่อท าให้ไฟช็อตได้ง่าย 6. ใช้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าที่มีความเข้มของเลนส์ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันสายตาและ ผิวหน้าจากรังสีของการอาร์ก 7. ในห้องเชื่อมไฟฟ้าต้องมีการระบายอากาศเพียงพอ 8. การติดตั้งเครื่องเชื่อมไฟฟ้า หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าควรให้ช่างผู้ช านาญเป็นผู้ติดตั้ง 9. เครื่องประดับ เช่น นาฬิกา แหวน สร้อย ควรถอดออกก่อนการปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า 10. เครื่องเชื่อมไฟฟ้าควรมีสายดินต่ออย่างเรียบร้อย 11. จุดต่อระหว่างสายเคเบิลกับเครื่องเชื่อมไฟฟ้าต้องหุ้มด้วยฉนวน 12. พื้นที่ที่ท าการเชื่อม ไม่ควรเป็นวัสดุติดไฟง่ายหรือพื้นคอนกรีต 13. วัสดุไวไฟต้องเก็บให้ห่างจากบริเวณท าการเชื่อมอย่างน้อย 3 เมตร


5 14. อย่าเชื่อมถังที่เคยบรรจุสารไวไฟ 15. ขณะที่เครื่องเชื่อมเปิดอยู่อย่าให้ส่วนของหัวจับลวดเชื่อมที่ไม่มีฉนวนหุ้มสัมผัสกับสายดิน หรือชิ้นงานเชื่อม 16. อย่าหมุนสวิตซ์ปรับเปลี่ยนไฟเชื่อมขณะที่เครื่องเชื่อมท างาน เพราะจะท าให้ผิวหน้าของ สวิตซ์ไหม้เกรียมและอาจท าให้ผู้เปลี่ยนสวิตช์เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 17. ผู้ปฏิบัติงานต้องแต่งกายรัดกุม สวมถุงมือ ปลอกแขน เสื้อหนังป้องกันความร้อนหรือ สะเก็ดโลหะร้อน ปลายกางเกงปล่อยขาคลุมรองเท้า เพื่อป้องกันความร้อนหรือสะเก็ดโลหะร้อน กระเด็นเข้าไปในขอบที่พับหรือเข้าในรองเท้า 18. การจับชิ้นงานที่ยังร้อนควรใช้คีมจับชิ้นงาน 19. การเปลี่ยนลวดเชื่อมไม่ควรใช้มือเปล่า ควรใช้ถุงมือ 20. ระยะความปลอดภัยในการมองแสงเชื่อมไฟฟ้าด้วยตาเปล่าอย่างน้อย 12 เมตร


6 จุดประสงค์การเรียนรู้ บอกการวิวัฒนาการของการเชื่อมโลหะได้ การเชื่อมโลหะ (Welding) เริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ได้มีการวิวัฒนาการ และพัฒนามาโดยตลอด การวิวัฒนาการของการเชื่อมโลหะแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ดังนี้ 1. วิวัฒนาการจากยุคโบราณ - ประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์เริ่มรู้จักใช้โลหะชนิดแรก คือ ทองแดง ซึ่งได้น ามาท าสิ่งของเครื่องใช้และท าอาวุธ กระบวนการเชื่อมใช้วิธีการเผาให้ร้อนแล้วตีให้ติดกันหรือ ให้เป็นเป็นรูปร่างต่าง ๆ - ช่วงประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้น าเหล็กมาใช้เป็นครั้งแรก - พุทธศักราช 2343 โดย Edmund Davy ได้ค้นพบก๊าซอะเซทิลีนและน ามาผลิตใช้กับ การเชื่อมและตัดโลหะ เรียกว่าการเชื่อมด้วยก๊าซออกซิอะเซทิลีน ที่มีใช้มาจนถึงปัจจุบัน - พุทธศักราช 2344 Sir Humphry Davy นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ค้นพบวิธีอาร์ก ด้วยกระแสไฟฟ้าโดยบังเอิญ โดยใช้ปลายขั้วทั้งสองของวงจรไฟฟ้าที่มีแรงดันสูงเข้ามาใกล้กัน เป็น จุดเริ่มต้นของกระบวนการเชื่อมโลหะโดยใช้การอาร์กด้วยไฟฟ้า - พุทธศักราช 2424 Auguste de Meriens ได้ท าการเชื่อมแผ่นตะกั่วที่ใช้ในแบตเตอรี่ เข้าด้วยกันโดยใช้ขั้วไฟฟ้าที่ท าจากแท่งคาร์บอน - พุทธศักราช 2428 Bernados N. และ Olszeweski S. ได้พัฒนาเครื่องเชื่อมขึ้นแทน แบตเตอรี่ แต่ยังใช้แท่งคาร์บอนเป็นตัวให้ความร้อนแก่ชิ้นงาน - พุทธศักราช 2429 นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คิดวิธีน าก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์ มาใช้งานได้ส าเร็จ - พุทธศักราช 2431 N.G. Slavianoff ชาวรัสเซีย ได้น ากรรมวิธีการเชื่อมโลหะที่ไม่มี สารพอกหุ้มมาใช้เป็นครั้งแรก แต่การเชื่อมก็ยังมีปัญหาอยู่มาก - พุทธศักราช 2435 N.G. Slavianoff ได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธีการเชื่อมโลหะแบบ ขั้วเชื่อมโลหะที่ไม่มีสารพอกหุ้ม ใบความรู้ที่ 1.2 เรื่อง วิวัฒนาการของการเชื่อมโลหะ


7 - พุทธศักราช 2455 Kjellberg ได้จดสิทธิบัตรกรรมวิธีการเชื่อมแบบขั้วเชื่อมที่มี สารพอกหุ้มหนาขึ้น การอาร์กสม่ าเสมอและเนื้อโลหะมีความบริสุทธิ์ดีกว่าการใช้ลวดเปลือยหรือสาร พอกหุ้มบาง ให้การเชื่อมมีคุณภาพดีขึ้น มีการพัฒนาสารพอกหุ้ม (flux) ให้ดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน 2. วิวัฒนาการจากยุคกลาง ยุคกลางของการวิวัฒนาการกระบวนการเชื่อมโลหะ คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เครื่องเชื่อมกระแสตรง - พุทธศักราช 2473 Gobart และ Devers ได้น ากรรมวิธีการเชื่อมอาร์กโลหะก๊าซคลุม หรือการเชื่อมมิกจ์ออกเผยแพร่ ซึ่งเป็นกระบวนการเชื่อมที่มีประสิทธิภาพสูง การหลอมละลาย ลึกสมบูรณ์ แนวเชื่อมจะแคบ ปฏิบัติเชื่อมได้ด้วยความเร็วสูง - พุทธศักราช 2485 The Linde Company ได้รับใบอนุญาตให้พัฒนากรรมวิธีการเชื่อม แบบ GTAW (Gas Tungsten Arc Welding) หรือ TIG โดยใช้ก๊าซเฉื่อย ช่วยท าให้งานเชื่อมมี ความสะอาดมากขึ้น มีผลท าให้การใช้อลูมิเนียมและแมกนีเซียมในงานอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว - พุทธศักร าช 2491 ได้มีก า รพัฒน าและจดสิทธิบัต รกร รมวิธีก า รเชื่อมมิกจ์ หรือ GMAW (Gas Metal Arc Welding) เพราะต้องการที่จะลดน้ าหนักและให้ทนทานต่อการ เกิดสนิมของแนวเชื่อม 3. วิวัฒนาการยุคปัจจุบัน ปัจจุบันกระบวนการเชื่อมโลหะได้วิวัฒนาการและพัฒนาการมาเป็นล าดับ โดยอาศัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชั้นสูงสมัยใหม่ ประกอบกับประสบการณ์ มาปรับปรุงคิดค้น กระบวนการเชื่อม อุปกรณ์การเชื่อมและเทคนิคการเชื่อม เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงานเฉพาะ ด้านหรือตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นงานผลิตหรือหรืองานซ่อมบ ารุงและพยายามให้ เป็นกระบวนการเชื่อมที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์มากที่สุด ทันต่อความก้าวหน้าของวงการ อุตสาหกรรมสมัยใหม่ กระบวนการเชื่อมใหม่ ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย


8 จุดประสงค์การเรียนรู้ อธิบายกระบวนการเชื่อมโลหะได้ กระบวนการเชื่อมโลหะ (Welding Processes) หมายถึง กรรมวิธีการเชื่อมต่อโลหะโดยการ ให้ความร้อนแก่โลหะงานจนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีหลายวิธีซึ่งแตกต่างกันที่ต้นก าเนิดของ ความร้อน การให้ความร้อนมี 2 ลักษณะ คือ 1. การใช้ความร้อนจนโลหะหลอมละลาย เรียกว่า การเชื่อมหลอมละลาย อาจจะเติม ตัวประสานหรือลวดเชื่อมหรือไม่เติมก็ได้ 2. การใช้ความร้อน ณ อุณหภูมิประสานตัวและแรงอัด เรียกว่า การเชื่อมอัด เป็นการให้ ความร้อนแก่โลหะจุดที่ต้องการเชื่อมแล้วอัดให้ติดกัน โดยทั่วไปจะไม่ใช้ตัวประสาน สมาคมการเชื่อมของอเมริกา (American Welding Society : AWS) ได้แบ่งกระบวนการ เชื่อมไว้มากกว่า 50 ชนิด แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีดังนี้ 1. การเชื่อมก๊าซ (Gas Welding) เป็นการเชื่อมการหลอมละลาย ความร้อนที่ใช้เกิดจาก การเผาไหม้ระหว่างก๊าซอะเซทิลีนซึ่งเป็นก๊าซเชื้อเพลิงกับก๊าซออกซิเจน 2. การเชื่อม TIG (Tungsten Inert Gas Welding) เป็นการเชื่อมหลอมละลาย ความร้อนที่ ใช้เกิดจากการอาร์กระหว่างแท่งทังสเตนกับชิ้นงาน โดยมีก๊าซเฉื่อยปกคลุมบริเวณเชื่อมและบ่อหลอม ละลาย เพื่อไม่ให้อากาศภายนอกเข้าท าปฏิกิริยาตรงบริเวณแนวเชื่อม 3. การเชื่อม MIG (Metal Inert Gas Welding) เป็นการเชื่อมหลอมละลาย ความร้อนที่ใช้ เกิดจากการอาร์กระหว่างลวดเชื่อมเปลือยกับชิ้นงาน ที่ส่งป้อนอย่างต่อเนื่องไปยังบริเวณอาร์ก บริเวณบ่อหลอมละลายจะถูกปกคลุมไปด้วยก๊าซเฉื่อยเพื่อไม่ให้เกิดการรวมตัวกับอากาศ 4. การเชื่อมใต้ฟลักซ์ (Submerged Arc Welding) เป็นการเชื่อมหลอมละลาย ความร้อน ที่ใช้เกิดจากการอาร์กระหว่างลวดเชื่อมเปลือยกับชิ้นงาน โดยจะมีฟลักซ์ชนิดเม็ด (Granular Flux) ปกคลุมบริเวณอาร์กและฟลักซ์ส่วนที่อยู่ใกล้กับเนื้อเชื่อมจะหลอมละลายปกคลุมเนื้อเชื่อม เพื่อ ป้องกันอากาศภายนอกท าปฏิกิริยากับแนวเชื่อม ส่วนฟลักซ์ที่อยู่ห่างจากเนื้อเชื่อมจะไม่หลอมละลาย และสามารถน ากลับมาใช้ใหม่ได้อีก ใบความรู้ที่ 1.3 เรื่อง กระบวนการเชื่อมโลหะ


9 5. การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Shielded Metal Arc Welding : SMAW) เป็น การเชื่อมหลอมละลาย เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน ความร้อนที่ใช้เกิดจากการอาร์ กระหว่างส่วนปลายของลวดเชื่อมกับโลหะงาน


10 จุดประสงค์การเรียนรู้ อธิบายกระบวนการเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กได้ การเชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Shielded Metal Arc Welding : SMAW) หรือที่เรียกว่า การเชื่อมด้วยธูปเชื่อม ในวิชางานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้นนี้จะเรียกว่าการเชื่อมไฟฟ้า เป็นกระบวน การ เชื่อมที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน ความร้อนเกิดจากการอาร์กระหว่างลวดเชื่อม หุ้มฟลักซ์ (Electrode) กับชิ้นงาน ได้อุณหภูมิประมาณ 5,000 – 6,000 องศาเซลเซียส เพื่อหลอม ละลายโลหะให้ติดกัน แกนของลวดเชื่อมท าหน้าที่เป็นตัวน าไฟฟ้าและเป็นโลหะเติมลงในแนวเชื่อม ส่วนฟลักซ์ที่หุ้มลวดเชื่อมเมื่อได้รับความร้อนจะหลอมละลายปกคลุมแนวเชื่อม เพื่อป้องกันอากาศ ภายนอกเข้าท าปฏิกิริยากับแนวเชื่อม พร้อมทั้งช่วยลดอัตราการเย็นตัวของแนวเชื่อม เมื่อแนวเชื่อม เย็นตัวฟลักซ์จะแข็งและเปราะ เรียกว่า สแลก (Slag) ใบความรู้ที่ 1.4 เรื่อง การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์


11 การเชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเชื่อมง่าย เคลื่อนย้าย อุปกรณ์ได้สะดวก ต้นทุนต่ า สามารถเชื่อมได้ทั้งโลหะที่เป็นเหล็กและไม่ใช่เหล็ก ที่มีความหนาตั้งแต่ 1.2 มิลลิเมตรขึ้นไป และสามารถเชื่อมได้ทุกท่าเชื่อม ดังภาพที่ 2.1 ภาพที่ 2.1 กระบวนการเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ http://kjonliness.blogspot.com/p/kno.html หมายเลข 1 หมายถึงลวดเชื่อม หมายเลข 2 หมายถึงฟลักซ์ หมายเลข 3 หมายถึงควันเชื่อมปกคลุม หมายเลข 4 หมายถึงบ่อหลอมละลาย หมายเลข 5 หมายถึงสแลก หมายเลข 6 หมายถึงแนวเชื่อม หมายเลข 7 หมายถึงชิ้นงาน หมายเลข 8 หมายถึงการซึมลึกของแนวเชื่อม


12 จุดประสงค์การเรียนรู้ บอกประเภท หลักการท างานและการบ ารุงรักษาเครื่องเชื่อมไฟฟ้าได้ เครื่องเชื่อมไฟฟ้า (Welding Machines) เป็นอุปกรณ์ส าคัญในการเชื่อมไฟฟ้า ท าหน้าที่ ปรับแรงเคลื่อนให้เหมาะสมและเพิ่มกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอส าหรับการเชื่อม แบ่งตามลักษณะ ต้นก าลังผลิตได้ 2 ชนิด ดังนี้ 1. เครื่องเชื่อมไฟฟ้าชนิดกระแสตรง (Direct Current) หรือเรียกว่าเครื่องเชื่อม DC แบ่งย่อย ได้ 2 แบบ คือ 1.1 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบเจนเนอร์เรเตอร์ (Welding Generator) ใช้เจนเนอร์เรเตอร์ (เครื่องปั่นไฟ) ผลิตไฟฟ้ากระแสตรงที่มีกระแสไฟสูงและแรงเคลื่อนต่ าส าหรับการเชื่อม จ่ายไฟ กระแสตรงให้กับวงจรเชื่อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.1.1 แบบมอเตอร์ขับเจนเนอร์เรเตอร์ (Motor Generator Welding) ใช้ไฟฟ้า กระแสสลับเป็นต้นก าลังในการขับมอเตอร์ และมอเตอร์จะท าหน้าที่ขับเจนเนอร์เรเตอร์ ในการเชื่อมต่อไป ดังภาพที่ 3.1 ภาพที่ 3.1 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบมอเตอร์ขับเจนเนอร์เรเตอร์ http://www.snw.ac.th ใบความรู้ที่ 1.5 เรื่อง เครื่องเชื่อมไฟฟ้า


13 1.1.2 แบบเครื่องยนต์ขับเจนเนอร์เรเตอร์ (Engine Drive Welding) ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือเบนซินเป็นตัวขับเจนเนอร์เรเตอร์ เหมาะกับงานสนามในที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงการเคลื่อนย้ายนิยม ท าเป็นรถลาก เนื่องจากเครื่องเชื่อมมีขนาดใหญ่และน้ าหนักมาก ดังภาพที่ 3.2 ภาพที่ 3.2 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ขับเจนเนอร์เรเตอร์ http://archive.wunjun.com 1.2 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบผสมหม้อแปลง - เรียงกระแส (Transformer - Rectifier Transformer) เป็นเครื่องเชื่อมกระแสตรงแบบเครื่องเรียงกระแส ประกอบด้วยหม้อแปลงไฟฟ้า และตัวเรียงกระแส (Rectifier) ตัวเรียงกระแสเป็นอุปกรณ์เปลี่ยนไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ให้เป็น กระแสตรง (DC) สามารถเลือกใช้ได้ทั้งกระแสไฟสลับและกระแสไฟตรง ดังภาพที่ 3.3 ภาพที่ 3.3 เครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับแบบหม้อแปลงไฟฟ้า http://www.snw.ac.th


14 2. เครื่องเชื่อมไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (Alternating Current) หรือเรียกว่าเครื่องเชื่อม AC แบ่งย่อยได้ 2 แบบ คือกระแส ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้ 2.1 เครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับแบบหม้อแปลงไฟฟ้า (AC. Transformer Welding Machine) จะผลิตกระแสไฟสลับเท่านั้น หลักการท างานเหมือนหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไป โดยน าไฟฟ้า กระแสสลับที่ใช้ตามบ้านเรือนซึ่งมีแรงเคลื่อน 220 โวลท์ ป้อนเข้าขดลวดปฐมภูมิ (Primary) และ จ่ายออกทางขดลวดทุติยภูมิ (Secondary) แปลงแรงเคลื่อนให้ลดลงเหลือ 40 – 100 โวลท์ และแปลงกระแสไฟฟ้าให้สูงขึ้นกว่า 100 แอมป์ สามารถปรับกระแสโดยหมุนวงล้อได้ที่หน้า เครื่องเชื่อมนิยมใช้กันทั่วไป ราคาถูกและมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้ในสถานที่ที่มีกระแสไฟฟ้าเท่านั้น ดังภาพที่ 3.4 ภาพที่ 3.4 เครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับแบบหม้อแปลงไฟฟ้า http://www.snw.ac.th


15 2.2 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Welding Machine) เป็นเครื่องเชื่อม ที่ใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม ข้อดีคือใช้กับไฟฟ้าตามบ้านเรือนที่มีแรงเคลื่อน 220 โวลท์ได้ มีน้ าหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ปรับกระแสได้ 5 – 150 แอมแปร์ ข้อเสียคือหากแรงเคลื่อนที่ใช้ ไม่สม่ าเสมออาจจะท าให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกิดความเสียหายได้ง่าย ดังภาพที่ 3.5 ภาพที่ 3.5 เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบอินเวอร์เตอร์ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การต่อขั้วไฟที่เครื่องเชื่อมไฟฟ้า 1. การต่อขั้วเครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับ การต่อขั้วเชื่อมของกระแสสลับไม่ต้องค านึงถึงระบบขั้ว เนื่องจากทิศทางการไหล ของกระแสจะไหลกลับขั้วไปมาตลอดเวลา ดังนั้นการต่อขั้วเชื่อมเป็นสายเชื่อมหรือสายดินจะใช้ขั้วใด ก็ได้ โดยปกติผู้ผลิตเครื่องเชื่อมจะก าหนดสัญลักษณ์รูปคีมจับลวดเชื่อมและคีมจับชิ้นงานไว้ส าหรับ ต่อขั้วเชื่อมเพื่อความสะดวกในการใช้งานและผลจากการอาร์กในการต่อแบบนี้ จะเกิดความร้อนที่ ลวดเชื่อมและชิ้นงานในปริมาณที่เท่ากัน เนื่องจากอิเล็กตรอนจะวิ่งเข้าชนลวดเชื่อมและชิ้นงาน สลับกันตามทิศทางการวิ่งของอิเล็กตรอน ดังภาพที่ 3.6


16 ภาพที่ 3.6 การต่อขั้วเครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับ http://www.supradit.com 2. การต่อขั้วเครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสตรง การต่อขั้วเชื่อมของกระแสตรงต้องค านึงถึงระบบขั้ว เนื่องจากทิศทางการไหลของกระแส จะเป็นทิศทางเดี่ยวตลอดคือจากขั้วลบไปขั้วบวก ซึ่งจะมีผลต่อการอาร์กที่ท าให้เกิดความร้อน แตกต่างกันเมื่อต่อขั้วเชื่อมสลับกัน มีวิธีต่อขั้วเครื่องเชื่อม 2 วิธี ดังนี้ 2.1 การต่อแบบขั้วตรง โดยต่อหัวจับลวดเชื่อมเข้ากับขั้วลบ (Direct Current Electrode Negative ; DCEN) ซึ่งสายเชื่อมจะต่อเป็นขั้วลบ และสายดินจะต่อเป็นขั้วบวก ผลจากการอาร์ก จะท าให้เกิดความร้อนที่ชิ้นงาน 2/3 (ร้อยละ 70) และเกิดที่ลวดเชื่อม 1/3 (ร้อยละ 30 ) เนื่องจาก กระแสไฟไหลจากขั้วลบไปยังขั้วบวก ชิ้นงานจะรับกระแสที่กระโดดจากขั้วลบคือจากลวดเชื่อมไป กระแทกชิ้นงาน ท าให้ได้ความร้อน 2/3 ของความร้อนที่เกิดขึ้น จะได้แนวเชื่อมที่แคบ แต่การซึม ลึกได้ดี เหมาะส าหรับใช้เชื่อมชิ้นงานที่มีความหนา ดังภาพที่ 3.7 ภาพที่3.7 การต่อขั้วเครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสตรงแบบขั้วตรง http://www.supradit.com


17 2.2 การต่อแบบกลับขั้ว โดยต่อหัวจับลวดเชื่อมเข้ากับขั้วบวกที่เครื่องเชื่อม ส่วนขั้วลบต่อ กับชิ้นงาน ได้ความร้อน 1/3 ของความร้อนที่เกิดขึ้น จะได้แนวเชื่อมกว้างแต่การซึมลึกได้น้อย เหมาะส าหรับใช้เชื่อมชิ้นงานที่มีความหนาไม่มาก ดังภาพที่ 3.8 ภาพที่ 3.8 การต่อขั้วเครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสตรงแบบกลับขั้ว http://www.supradit.com การบ ารุงรักษาเครื่องเชื่อมไฟฟ้า เครื่องเชื่อมเป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการเชื่อมไฟฟ้าและมีราคาสูง เพื่อให้ใช้งานได้นาน และให้สภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ จ าเป็นต้องได้รับการดูแลบ ารุงรักษา ดังต่อไปนี้ 1. ศึกษาคู่มือการใช้เครื่องเชื่อมให้เข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง 2. ห้ามปรับกระแสไฟในขณะที่มีการอาร์ก 3. ใช้งานให้ถูกกับชนิด ประเภทและประสิทธิภาพของเครื่องเชื่อม 4. ห้ามติดตั้งเครื่องเชื่อมในบริเวณที่เปียกชื้นหรือบริเวณที่มีน้ าขัง 5. เปิดฝาเครื่องเชื่อมออกเพื่อไล่ฝุ่นที่จับเกาะอุปกรณ์ภายในทุก ๆ 6 เดือน 6. ขณะปฏิบัติงานถ้าจ าเป็นต้องวางเครื่องเชื่อมไว้กลางแจ้งควรหาวัสดุคลุม เพื่อป้องกัน ความชื้นและความร้อน 7. ตรวจสอบจุดต่อต่าง ๆ ให้เรียบร้อยและแน่นก่อนใช้งาน 8. หลังจากใช้งานเสร็จต้องจัดเก็บให้เรียบร้อยทุกครั้ง


18 จุดประสงค์การเรียนรู้ บอกชื่อ วิธีการใช้งานและการบ ารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ในการเชื่อมไฟฟ้าได้ ในการปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้ามีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จ าเป็นต้องใช้งานอยู่หลายชนิดสามารถ แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1. เครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบเครื่องเชื่อม หมายถึง เครื่องมือและอุปกรณ์ส าหรับ ประกอบอยู่กับเครื่องเชื่อมโดยตรง มีดังนี้ 1.1 สายเชื่อมไฟฟ้าหรือสายเคเบิล (Welding Cable) ส าหรับใช้เป็นตัวน ากระแสไฟฟ้า โดยทั่วไปชั้นในสุดจะท าด้วยลวดทองแดง ชั้นกลางเป็นยางหุ้มพร้อมใยสังเคราะห์เสริมแรง และชั้นนอกสุดจะเป็นวัสดุหุ้ม สายเชื่อมต้องมีขนาดเหมาะสมกับแรงเคลื่อนไฟฟ้า ดังภาพที่ 3.9 ภาพที่ 3.9 สายเชื่อมไฟฟ้า ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 สายเชื่อมแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ 1.1.1 สายเชื่อม ส าหรับให้กระแสไฟฟ้าไหลจากเครื่องเชื่อมไปยังหัวจับลวดเชื่อม ส่งต่อกระแสไฟฟ้าไปยังลวดเชื่อมและชิ้นงานตามล าดับ ใบความรู้ที่ 1.6 เรื่อง เครื่องมือและอุปกรณ์ในการเชื่อมไฟฟ้า


19 1.1.2 สายดิน ส าหรับน ากระแสไฟฟ้าจากชิ้นงานกลับไปยังเครื่องเชื่อมไฟฟ้า โดยผ่านหัวจับสายดิน การบ ารุงรักษาสายเชื่อมไฟฟ้า 1. ต่อสายจุดต่อยต่าง ๆ ให้แน่น มิฉะนั้นอาจจะท าให้สายเชื่อมร้อนและหลอมละลายได้ 2. ขนาดของสายเชื่อมต้องเหมาะสมกับค่าของกระแสไฟของเครื่องเชื่อม 3. อย่าให้ของหนักทับสายเชื่อม อาจจะท าให้สายเชื่อมเสียหายได้ 4. หลังจากใช้งานเสร็จม้วนแยกสายเชื่อมและสายเคเบิลออกจากกันแล้วจัดเก็บให้เรียบร้อย 1.2 หัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้า (Electrode Holder) ส าหรับใช้จับลวดเชื่อมไฟฟ้า จะต่ออยู่กับ ปลายสายเชื่อม เพื่อน ากระแสไฟเชื่อมจากสายเชื่อมส่งไปยังลวดเชื่อมและชิ้นงานตามล าดับ ส่วนที่ปากจะท าเป็นร่องเพื่อจับหนีบลวดเชื่อมให้ได้มุมที่ต้องการ ควรเลือกขนาดหัวจับลวดเชื่อมตาม กระแสไฟฟ้าสูงสุดของเครื่องเชื่อมไฟฟ้า เช่น เครื่องเชื่อมไฟฟ้าขนาด 300 แอมแปร์ ก็ต้องเลือกหัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 300 แอมแปร์เช่นเดียวกัน ดังภาพที่ 3.10 ภาพที่ 3.10 หัวจับลวดเชื่อม ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


20 การบ ารุงรักษาหัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้า 1. ต่อยึดหัวจับสายเชื่อมไฟฟ้ากับสายเชื่อมให้แน่น ถ้าไม่แน่นกระแสไฟฟ้าจะไหลไม่สะดวก หัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้าจะร้อนท าให้เกิดการเสียหายได้ 2. อย่าท าการเชื่อมจนเหลือลวดเชื่อมสั้นกว่า 4 เซนติเมตร เพราะจะท าให้ส่วนปากของ หัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้าได้รับความร้อนจากการเชื่อมท าให้เสียหายได้ 3. อย่าน าของที่มีน้ าหนักมาก ๆ วางทับหัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้า หรือท าให้ฉนวนที่หุ้ม หัวจับลวดเชื่อมไฟฟ้าแตกช ารุดเสียหาย อาจท าให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ 4. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 1.3 อุปกรณ์ยึดสายดิน (Ground Clamp) ส าหรับจับชิ้นงานหรือโต๊ะปฏิบัติงานเชื่อม เพื่อให้กระแสไฟฟ้าครบวงจร จะต่อจากปลายสายดิน ท าด้วยวัสดุตัวน าไฟฟ้าที่ท าให้กระแสไฟฟ้า ไหลผ่านได้สะดวก ดังภาพที่ 3.11 ภาพที่ 3.11 หัวจับสายดิน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาอุปกรณ์ยึดสายดิน 1. ต่อยึดอุปกรณ์ยึดสายดินกับสายดินให้แน่น ถ้าไม่แน่นกระแสไฟฟ้าจะไหลไม่สะดวก อุปกรณ์ยึดสายดินจะร้อนท าให้เกิดการเสียหายได้ 2. อุปกรณ์ยึดสายดินต้องจับชิ้นงานหรือโต๊ะปฏิบัติงานเชื่อมให้แน่น ถ้าไม่แน่นกระแสไฟฟ้า จะไหลไม่สะดวก อุปกรณ์ยึดสายดินจะร้อนท าให้เกิดการเสียหายได้ 3. อย่าท าการอาร์กับอุปกรณ์ยึดสายดินเด็ดขาด จะท าให้เสียหายได้ 4. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย


21 2. เครื่องมือและอุปกรณ์ป้องกัน หมายถึง เครื่องมือและอุปกรณ์ส าหรับป้องกันอันตราย ที่อาจจะเกิดกับผู้ปฏิบัติงานเชื่อม มีดังนี้ 2.1 หน้ากากเชื่อมไฟฟ้า (Welding Helmets) ส าหรับใช้ป้องกันสายตาและผิวหนัง ส่วนใบหน้าจากแสง ความร้อน สะเก็ดและรังสีจากการเชื่อมไฟฟ้า ท าด้วยวัสดุที่เป็นฉนวน และทนความร้อน ด้านหน้าจะมีช่องใส่กระจกโดยประกอบกระจกใสไว้หน้ากระจกกรองแสง เพราะ กระจกใสมีราคาถูกกว่าและเมื่อถูกสะเก็ดเชื่อมมาก ๆ ก็ท าการเปลี่ยนใหม่ การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวด เชื่อมหุ้มฟลักซ์ควรใช้กระจกกรองแสงเบอร์ 11 – 12 หน้ากากเชื่อมไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ 2.1.1 หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าแบบมือถือขณะใช้งานจะจับด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ดังภาพที่ 3.12 ภาพที่ 3.12 หน้ากากเชื่อมแบบมือถือ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 2.1.2 หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าแบบสวมศีรษะขณะใช้งานจะใช้สวมศีรษะโดยไม่ต้องใช้มือจับ ดังภาพที่ 3.13 ภาพที่ 3.13 หน้ากากเชื่อมแบบสวมศีรษะ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


22 การบ ารุงรักษาหน้ากากเชื่อมไฟฟ้า 1. อย่าให้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าตกหล่น เพราะจะท าให้กระจกกรองแสงแตกได้ 2. อย่าน าของที่มีหนักมาก ๆ ทับบนหน้ากากเชื่อมไฟฟ้า อาจท าให้เสียหายได้ 3. อย่าท าให้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าแตกร้าว จะท าให้ความร้อนผ่านมาสู่ผิวหน้าได้ 4. ขณะเชื่อมควรให้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าอยู่ติดกับส่วนใบหน้าของผู้เชื่อม อย่าให้อยู่ใกล้ชิ้นงาน มากเกินไป เพราะจะท าให้เม็ดโลหะกระเด็นมาติดที่กระจกท าให้เสียหายได้ 5. อย่าใช้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าตักเหล็กร้อน เพราะจะท าให้หน้ากากเชื่อมไฟฟ้าเสียหาย 6. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 2.2 แว่นตานิรภัย (Goggles) ส าหรับใช้สวมป้องกันสะเก็ดเข้าตาในขณะเคาะสแลก จากแนวเชื่อม ดังภาพที่ 3.14 ภาพที่ 3.14 แว่นตานิรภัย ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาแว่นตานิรภัย 1. อย่าให้แว่นตานิรภัยตกหล่น เพราะจะท าให้ช ารุดได้ 2. อย่าน าของที่มีหนักมาก ๆ ทับบนแว่นตานิรภัย อาจท าให้เสียหายได้ 3. อย่าใช้แว่นตานิรภัยถูกความร้อน เพราะจะท าให้เสียหายได้ 4. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย


23 2.3 ถุงมือหนัง (Gloves) ส าหรับใช้สวมมือเพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อน สะเก็ดโลหะ เชื่อมและอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตขณะเชื่อม ท าจากวัสดุทนความร้อนและไม่ติดไฟ ถุงมือ หนังที่ดีต้องมีความยืดหยุ่น อ่อนนุ่มและไม่บางจนไฟไหม้ทะลุได้ง่าย ดังภาพที่ 3.15 ภาพที่ 3.15 ถุงมือหนัง ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาถุงมือหนัง หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 2.4 ปลอกแขนหนัง (Leather Armband) ส าหรับใช้สวมทับแขนเสื้อของช่าง เพื่อป้องกัน อันตรายจากรังสี ความร้อนและสะเก็ดไฟจากการอาร์ก ดังภาพที่ 3.16 ภาพที่ 3.16 ปลอกแขนหนัง https://www.google.co.th


24 การบ ารุงรักษาปลอกแขนหนัง หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 2.5 รองเท้านิรภัย (Safety Shoes) ส าหรับใช้สวมป้องกันอันตรายจากความร้อนและ สะเก็ดไฟ ควรเป็นรองเท้าหัวเหล็กและท าจากหนังที่ทนไฟหรือทนความร้อนได้เป็นอย่างดี ดังภาพที่ 3.17 ภาพที่ 3.17 รองเท้านิรภัย https://www.google.co.th การบ ารุงรักษารองเท้านิรภัย หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 2.6 คีมจับชิ้นงานร้อน (Pliers) ส าหรับใช้จับชิ้นงานที่ยังร้อน ๆ เพื่อสะดวกในการ ปฏิบัติงาน ดังภาพที่ 3.18 ภาพที่ 3.18 คีมจับชิ้นงานร้อน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


25 การบ ารุงรักษาคีมจับชิ้นงานร้อน 1. อย่าท าการเชื่อมลงบนคีมจับชิ้นงานร้อนจะท าให้ช ารุดเสียหายได้ 2. บ ารุงรักษาคีมจับชิ้นงานร้อนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 3. เครื่องมือและอุปกรณ์ท าความสะอาด หมายถึง เครื่องมือและอุปกรณ์ส าหรับ ท าความสะอาดชิ้นงานและโต๊ะปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า มีดังนี้ 3.1 ค้อนเคาะสแลก (Chipping Hammer) ส าหรับใช้เคาะสแลกที่ปกคลุมแนวเชื่อมไฟฟ้า หลังเชื่อมเสร็จหรือต้องการเชื่อมทับแนวเชื่อมเดิม ดังภาพที่ 3.19 ภาพที่ 3.19 ค้อนเคาะสแลก ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาค้อนเคาะสแลก 1. อย่าเชื่อมไฟฟ้าลงบนค้อนเคาะสแลก 2. บ ารุงรักษาค้อนเคาะสแลกให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย


26 3.2 ค้อนหัวกลม (Hammer) ส าหรับใช้เคาะแต่งขึ้นรูป ตอกวัสดุ หรือใช้ร่วมกับเครื่องมือ อย่างอื่น เช่น สกัด เหล็กส่ง ดังภาพที่ 3.20 ภาพที่ 3.20 ค้อนหัวกลม ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาค้อนหัวกลม 1. เลือกใช้ค้อนให้เหมาะสมกับงาน 2. การใช้ค้อนต้องตีให้เต็มหน้าค้อน 3. อย่าใช้ค้อนตีบนทั่งโดยตรง 4. ถ้าไม่ใช้ค้อนนาน ๆ ให้ใช้น้ ามันชโลมส่วนที่เป็นเหล็กเพื่อป้องกันสนิม 5. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 3.3 แปรงลวด (Brush) ส าหรับใช้ขัดท าความสะอาดชิ้นงานก่อนท าการเชื่อมและขัด ท าความสะอาดแนวเชื่อมหลังเคาะสแลกเสร็จ ส่วนที่เป็นลวดท าด้วยเหล็กแข็งสปริง เพื่อไม่ให้แปรง เสียรูปทรงขณะใช้งาน ดังภาพที่ 3.21


27 ภาพที่ 3.21 แปรงลวด ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาแปรงลวด 1. ไม่ควรวางแปรงลวดในที่เปียกชื้น 2. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 3.4 สกัดปากแบน (Flat Chisels) ส าหรับใช้ตัดเม็ดโลหะที่ติดอยู่กับชิ้นงาน ส่วนมากใช้คู่ กับค้อนหัวกลม ดังภาพที่ 3.22 ภาพที่ 3.22 สกัดปากแบน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาสกัดปากแบน 1. เมื่อหัวสกัดมีลักษณะเป็นดอกเห็ด ให้ใช้เครื่องเจียระไนตกแต่งให้เรียบร้อย 2. ส่วนปลายของสกัดต้องรักษาให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา


28 3. อย่าใช้สกัด สกัดบนทั่งเพราะจะท าให้ปลายสกัดเสียหายได้ 4. ต้องท าความสะอาดและทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จ 5. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดชโลมน้ ามันและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตชิ้นงาน หมายถึง เครื่องมือและอุปกรณ์ส าหรับใช้ ผลิตชิ้นงานในการเรียนงานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้น มีดังนี้ 4.1 บรรทัดเหล็ก (Steel Rule) ส าหรับใช้วัดขนาด ขีดเส้นหรือตรวจสอบความเรียบ ของผิวงาน ท าจากเหล็กกล้ากันสนิม สามารถวัดได้ทั้งระบบเมตริกและระบบอังกฤษ มีความยาว ตั้งแต่ 3 นิ้ว ถึง 72 นิ้ว ดังภาพที่ 3.23 ภาพที่ 3.23 บรรทัดเหล็ก ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาบรรทัดเหล็ก 1. อย่าใช้บรรทัดเหล็กเคาะ งัดหรือใช้แทนไขควง 2. ท าความสะอาด ปัดเช็ดฝุ่นผงก่อนจะน าไปใช้และใช้เสร็จ 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาด ชโลมน้ ามันและจัดเก็บให้เรียบร้อย


29 4.2 ตลับเมตร (Steel Tape) ส าหรับใช้วัดความยาวหรือตรวจสอบขนาดของวัสดุ ชิ้นงาน มีแถบโลหะบาง ๆ ม้วนอยู่ภายในตลับโลหะ เมื่อจะใช้ก็ดึงออกมา ที่ปลายนอกสุดของตลับเมตรจะมี โลหะแผ่นดัดเป็นรูปฉากติดไว้ เพื่อเกี่ยวขอบชิ้นงานที่ต้องการวัดหรือดันให้สายวัดตั้งฉากกับชิ้นงาน ตามต้องการ ดังภาพที่ 3.24 ภาพที่ 3.24 ตลับเมตร ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาตลับเมตร 1. อย่าดึงแถบวัดออกมายาวเกินความจ าเป็น จะท าให้แถบวัดเสียหายได้ 2. หลีกเลี่ยงการใช้ของแข็งหรือของมีคมกดลงบนหน่วยการวัด 3. การม้วนสายตลับเมตรควรใช้มือช่วยจับผ่อนแรง 4. อย่าวางของหนักทับบนตลับเมตร 5. ท าความสะอาด ปัดเช็ดฝุ่นผงก่อนจะน าไปใช้และใช้เสร็จ 6. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย


30 4.3 ฉากเหล็ก (Try Square) ส าหรับใช้ขีดเส้น วัดมุม90 องศา และ 45 องศา ดังภาพที่ 3.25 ภาพที่ 3.25 ฉากเหล็ก ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาฉากเหล็ก 1. อย่าโยนหรือเคาะ เพราะจะท าให้ฉากคลาดเคลื่อนได้ 2. ใช้ฉากอย่างระมัดระวังอย่าให้ส่วนมุมฉากคลาดเคลื่อนได้ 3. หมั่นตรวจสอบความเที่ยงตรงทุกครั้งก่อนจะใช้งาน 4. ควรจัดเก็บแยกต่างหากจากเครื่องมือชนิดอื่น ๆ 5. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาด ชโลมน้ ามันและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4.4 เลื่อยมือ (Hack Saws) ส าหรับใช้ตัดโลหะ สามารถเปลี่ยนใบเลื่อยได้ โครงเลื่อย ปรับได้ตามลักษณะของชิ้นงาน ดังภาพที่ 3.26 ภาพที่ 3.26 เลื่อยมือ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


31 การบ ารุงรักษาเลื่อยมือ 1. อย่าให้โครงเลื่อยตกหล่น จะท าให้โครงเลื่อยเสียหายได้ 2. เมื่อใช้เลื่อยเสร็จให้หย่อนใบเลื่อย เพื่อให้โครงเลื่อยปรับเข้าสู่สภาพเดิม 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาด ชโลมน้ ามันโครงเลื่อยและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4.5 เหล็กตอก (Prick Punch) ส าหรับตอกท าเครื่องหมายบนชิ้นงาน หรือตอกเพื่อการ ถ่ายแบบหรือร่างแบบ เป็นเหล็กปลายแหลมที่มีมุมกางประมาณ 30 องศา ดังภาพที่ 3.27 ภาพที่ 3.27 เหล็กตอก ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาเหล็กตอก 1. อย่าใช้เหล็กตอกแทนเหล็กส่ง 2. อย่าให้ปลายแหลมเกิดการช ารุด 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาด ชโลมน้ ามันและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4.6 เหล็กขีด (Scriber) ส าหรับขีดเครื่องหมายเส้นต่าง ๆ บนชิ้นงานส่วนใหญ่จะท าจาก เหล็กกล้าหรือเหล็กเครื่องมือ ลักษณะเป็นปลายแหลมตรงด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งตัดเป็นมุมฉาก ดัง ภาพที่ 3.28 ภาพที่ 3.28 เหล็กขีด ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


32 การบ ารุงรักษาเหล็กขีด 1. ต้องแต่งปลายทั้งสองข้างให้มีความแหลมอยู่เสมอ 2. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาด ชโลมน้ ามันและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4.7 ตะไบแบน (Files) ส าหรับใช้ตะไบผิวงานโลหะให้เรียบ ส่วนมากท าด้วย เหล็กคาร์บอน ลักษณะของฟันตะไบจะมีตะไบหยาบและตะไบละเอียด ดังภาพที่ 3.29 ภาพที่ 3.29 ตะไบแบน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาตะไบ 1. ระวังอย่าให้ส่วนฟันของตะไบกระแทกกับของแข็ง ท าให้สึกหรอได้ 2. อย่าใช้ตะไบแทนค้อนหรือใช้เคาะ 3. หลังจากใช้งานเสร็จต้องท าความสะอาดฟันตะไบโดยใช้แปรงลวดและจัดเก็บให้เรียบร้อย 4.8 ปากกาจับชิ้นงานติดโต๊ะ (Bench Vise) ส าหรับจับชิ้นงานให้มั่นคงเพื่อความสะดวกใน การปฏิบัติงาน ดังภาพที่ 3.30 ภาพที่ 3.30 ปากกาจับชิ้นงานติดโต๊ะ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


33 การบ ารุงรักษาปากกาจับชิ้นงาน 1. หมุนเกลียวจับยึดชิ้นงานให้แน่นพอประมาณ อย่าใช้ค้อนเคาะหรือเครื่องมืออย่างอื่น ช่วยในการหมุนเกลียว จะท าให้เกิดความเสียหายได้ 2. อย่าใช้ค้อนตีชิ้นงานลงบนปากกา อาจจะท าให้ปากกาเกิดความช ารุดเสียหายได้ 3. ควรหยอดน้ ามันที่จุดหมุนหรือที่เกลียวเมื่อเลิกใช้งานแล้ว 4.9 ทั่ง (Anvil) ส าหรับรองรับการตีเหล็ก ดัดเหล็กให้ตรงหรือได้รูปทรง เมื่อใช้ค้อน ตีลงไปจะมีแรงสะท้อนกลับ ท าให้ช่วยลดแรงในการปฏิบัติงาน ดังภาพที่ 3.31 ภาพที่ 3.31 ทั่ง ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาทั่ง ไม่ควรใช้สกัดลงบนทั่ง 4.10 โต๊ะปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า (Welding Bench) ส าหรับวางชิ้นงานในการฝึก เชื่อมไฟฟ้า ท าจากเหล็กเพื่อเป็นตัวน าไฟฟ้า ส่วนที่เป็นพื้นโต๊ะที่วางชิ้นงานควรท าเป็นตะแกรง สายดินจะยึดติดอย่างมั่นคงกับโต๊ะปฏิบัติงานเชื่อม ดังภาพที่ 3.32


34 ภาพที่ 3.32 โต๊ะเชื่อมไฟฟ้า ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การบ ารุงรักษาโต๊ะปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า ไม่ท าการเชื่อมไฟฟ้าลงบนตะแกรงที่รองรับชิ้นงาน เพราะจะท าให้ตะแกรงเสียหายได้ 5. ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ (Coated Electrode) ส าหรับใช้เป็นขั้วไฟฟ้าและเติมน้ าโลหะลงสู่บ่อหลอมละลาย เมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็น จุดอาร์กหรือแนวเชื่อม ลวดเชื่อมที่น ามาใช้ต้องมีส่วนผสมของโลหะชนิดเดียวกับชิ้นงาน ที่จะเชื่อมและมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ ลวดเชื่อมไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ลวดเชื่อมแบบเปลือยและลวด เชื่อมหุ้มฟลักซ์ แต่ที่น ามาใช้ในการเรียนวิชางานเชื่อมไฟฟ้าเบื้องต้น คือ ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ ดังภาพที่ 3.33 ภาพที่ 3.33 ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556


35 ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ ประกอบด้วยส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ 1. แกนลวดโลหะ (หมายเลข 1)ท าจากเหล็กที่มีส่วนผสมทางเคมีแตกต่างกันออกไป ตามชนิดของโลหะที่จะน าลวดเชื่อมไปใช้ 2. สารพอกหุ้มหรือฟลักซ์ (หมายเลข 2) มีส่วนผสมของสารเคมีหลายชนิด มีหน้าที่ดังนี้ 2.1 ปกคลุมแนวเชื่อมไม่ให้ก๊าซในบรรยากาศเข้าไปท าปฏิกิริยากับแนวเชื่อม 2.2 ท าให้การอาร์กสม่ าเสมอ การหลอมละลายเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ 2.3 ขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวของชิ้นงานบริเวณแนวเชื่อม สิ่งสกปรกจะละลายและลอย ออกมารวมตัวกับฟลักซ์ไม่รวมตัวกับแนวเชื่อม 2.4 ปกคลุมแนวเชื่อมเพื่อให้เย็นตัวอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันการแตกร้าวของแนวเชื่อม 2.5 ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางเคมีและทางกลให้กับแนวเชื่อม 2.6 ช่วยเพิ่มธาตุโลหะบางชนิดลงในแนวเชื่อม 2.7 เพิ่มอัตราการหลอมละลายของโลหะลงในแนวเชื่อม ส่วนประกอบของลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ ดังภาพที่ 3.34 ภาพที่ 3.34 ส่วนประกอบของลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 การเก็บรักษาลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์ 1. อย่าให้ฟลักซ์หลุดออกจากแกนลวดเชื่อม 2. ระวังอย่าให้ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์มีความชื้น 1 2


36 จุดประสงค์การเรียนรู้ อธิบายเกี่ยวกับองค์ประกอบในการเชื่อมไฟฟ้าได้ การเชื่อมไฟฟ้าให้ได้ประสิทธิภาพและให้ได้แนวเชื่อมที่สมบูรณ์และแข็งแรง ผู้ปฏิบัติงานต้อง มีการควบคุมองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง แต่ที่ส าคัญและเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สามารถควบคุมได้มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การเลือกชนิดของลวดเชื่อม การเลือกชนิดของลวดเชื่อม ควรเลือกลวดเชื่อมให้ถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดของงาน โดยดูข้อก าหนดการใช้งานที่แสดงไว้ข้างกล่อง สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกชนิดของลวดเชื่อม มีดังนี้ 1.1 เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนผสมทางเคมีและคุณสมบัติทางกายภาพเหมือนหรือใกล้เคียงกับ ชิ้นงาน 1.2 เลือกลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับลักษณะของรอยต่อ 1.3 เลือกลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับลักษณะของท่าเชื่อม 1.4 เลือกลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับชนิดของกระแสไฟที่ใช้ 1.5 เลือกลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับค่ากระแสไฟที่ใช้ 2. การปรับกระแสไฟ การปรับกระแสไฟ ต้องพิจารณาดังนี้ 2.1 ปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนลวดเชื่อม 2.2 ปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับความหนาของงาน ตารางที่ 1 ตารางการปรับกระแสไฟเชื่อม (กระแสสลับ) ใบความรู้ที่ 1.7 เรื่อง องค์ประกอบในการเชื่อมไฟฟ้า


37 เส้นผ่าศูนย์กลางของแกนลวดเชื่อม ความหนาชิ้นงาน กระแสที่ใช้ (แอมแปร์) ต่ าสุด สูงสุด 4.0 ม.ม. หรือ 3/16 นิ้ว 3.2 ม.ม. หรือ 5/32 นิ้ว 2.6 ม.ม. หรือ 1/8 นิ้ว 2.0 ม.ม. หรือ 1/16 นิ้ว 1/4 - 3/16 นิ้ว 1/8 - 1/4 นิ้ว 1/8 - 1/4 นิ้ว 1/16 นิ้ว 100 75 50 20 210 170 120 40 ตารางที่ 2 ตารางการเปรียบเทียบผลของการปรับกระแสไฟ ปรับกระแสไฟต่ า ปรับกระแสไฟสูง ปรับกระแสไฟพอดี 1. เริ่มต้นอาร์กยาก 2. แนวเชื่อมนูนมาก 3. การอาร์กไม่สม่ าเสมอ 4. การหลอมละลายไม่ดี 5. เชื่อมงานได้ช้า 1. เริ่มต้นอาร์กง่าย 2. การอาร์กรุนแรง มีเสียงดัง 3. แนวเชื่อมแบน 4. เกิดเม็ดโลหะมาก 5. ลวดเชื่อมมีความร้อนสูงมาก 6. อัตราสิ้นเปลืองลวดเชื่อมสูง 1. เริ่มต้นอาร์กง่าย 2. การอาร์กสม่ าเสมอ เชื่อมง่าย 3. แนวเชื่อมสม่ าเสมอ 4. เกิดเม็ดโลหะน้อย ลักษณะของแนวเชื่อมซึ่งมีผลมาจากการปรับกระแสไฟ 1. การปรับกระแสไฟต่ าจะได้แนวเชื่อมแนว A 2. การปรับกระแสไฟสูง จะได้แนวเชื่อมแนว B 3. การปรับกระแสไฟพอดีจะได้แนวเชื่อมแนว C ดังภาพที่ 4.1


38 A B C ภาพที่ 4.1 เปรียบเทียบแนวเชื่อมที่ปรับกระแสไฟต่างกัน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 3. การปรับใช้ระยะอาร์ก ระยะอาร์ก หมายถึง ระยะห่างจากปลายสุดของลวดเชื่อมกับผิวของชิ้นงาน ระยะอาร์ก ที่เหมาะสม คือ เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนลวดเชื่อมหรือเล็กกว่าเล็กน้อย ระยะอาร์กยิ่งห่าง แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะยิ่งเพิ่มขึ้น ระยะอาร์กพอดีจะได้แรงเคลื่อนไฟฟ้าอยู่ระหว่าง 20 – 40 โวลท์ ตารางที่ 3 ตารางผลของระยะอาร์ก ระยะอาร์กสั้น (ชิดไป) ระยะอาร์กถูกต้อง (พอดี) ระยะอาร์กมาก (ห่างไป) 1. การอาร์กไม่สม่ าเสมอ 2. ปลายลวดเชื่อมอาจติดกับ ชิ้นงานได้ง่าย 3. ความร้อนจากการอาร์ก น้อยท าให้การหลอมละลาย ชิ้นงานน้อยไปด้วย 4. แนวเชื่อมแคบและนูนสูง มีความแข็งแรงน้อย 1. การอาร์กสม่ าเสมอ 2. การรวมตัวของอากาศ ภายนอกกับโลหะ หลอมละลายได้ยาก 3. เกิดเม็ดโลหะน้อย 4. แนวเชื่อมมีความกว้างและ นูนเหมาะสม มีความแข็งแรง สูง 1. การอาร์กรุนแรง 2. ควบคุมแนวเชื่อมได้ยาก 3. ความร้อนจากการอาร์ก แผ่กระจายมาก ท าให้ก๊าซ ที่ปกคลุมแนวเชื่อม ไม่เพียงพอ 4. เม็ดโลหะกระเด็นมาก 5. แนวเชื่อมกว้าง แบนราบ และไม่เป็นแนว มีความแข็งแรงน้อย


39 4. การตั้งมุมลวดเชื่อม มุมลวดเชื่อมที่กระท าต่อชิ้นงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยต่อและท่าเชื่อม มุมลวดเชื่อมจะมีอิทธิพลต่อคุณภาพของแนวเชื่อม ต าแหน่งของการเติมโลหะหลอมละลาย การลอยตัวของสแลกและลักษณะของแนวเชื่อม ถ้ามุมของลวดเชื่อมกับแผ่นงานน้อยเกินไป จะท าให้แนวเชื่อมแบนและกว้าง การซึมลึกไม่ดี แต่ถ้าลวดเชื่อมท ามุมกับแผ่นงานมากเกินไป แนว เชื่อมที่ได้จะเล็ก เชื่อมยาก การซึมลึกไม่ดีเช่นกัน ฉะนั้นผู้ปฏิบัติงานเชื่อมจะต้องท ามุมของลวด เชื่อมกับงานให้ถูกต้อง มุมลวดเชื่อมประกอบด้วย 2 มุม ดังนี้ 4.1 มุมน า (Lead Angle) มีลักษณะดังนี้ มุมน า หมายถึง มุมเอียงของลวดเชื่อมวัดจากแนวตั้งฉากกับงานเอียงไปในทิศทางของ การเดินแนวเชื่อม คือ ถ้าถนัดซ้ายจะเอียงไปทางซ้าย แต่ถ้าถนัดขวาจะเอียงไปทางขวา ดังภาพที่ 4.2 ภาพที่ 4.2 มุมน าของลวดเชื่อม ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 4.2 ด้านข้าง (Side Angle) หมายถึง มุมที่วัดจากแนวแกนลวดเชื่อมกับชิ้นงาน ไปทางด้านข้างของแนวเชื่อม ดังภาพที่ 4.3 มุมน ำ แนวตั้งฉำกกับ งำน ทิศทำงกำรเดินแนว เชื่อม


40 ภาพที่ 4.3 มุมด้านข้างของลวดเชื่อม ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 5. การควบคุมความเร็วในการเดินลวดเชื่อม ความเร็วในการเดินลวดเชื่อมที่เหมาะสมให้สังเกตจากน้ าโลหะที่ก าลังหลอมเหลวให้ ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องและเป็นระเบียบ การควบคุมความเร็วการเดินลวดเชื่อมในระยะเริ่มต้นฝึก อาจจะใช้จังหวะหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ความเร็วในการเชื่อมจะมีผลต่อแนวเชื่อม ดังนี้ 5.1 การเดินลวดเชื่อมเร็วเกินไป ท าให้บ่อหลอมเหลวแคบหรือตื้นเกินไปสารมลทินและก๊าซ ต่างๆ จะรวมตัวในแนวเชื่อมได้ง่าย แนวเชื่อมจะขาดความแข็งแรง 5.2 การเดินลวดเชื่อมช้าเกินไป ท าให้เกิดความร้อนสะสมในชิ้นงานมาก ซึ่งอาจจะท าให้ ชิ้นงานบิดงอได้แนวเชื่อมจะกว้างและนูนมากเกินไป ลักษณะของแนวเชื่อมซึ่งมีผลมาจากความเร็วในการเดินลวดเชื่อมที่แตกต่างกัน 1. การเดินลวดเชื่อมด้วยความเร็วที่เหมาะสมจะได้แนวเชื่อมแนว A 2. การเดินลวดเชื่อมเร็วเกินไปจะได้แนวเชื่อมแนว B 3. การเดินลวดเชื่อมช้าเกินไปจะได้แนวเชื่อมแนว C ดังภาพที่ 4.4 มุมด้ำนข้ำงของลวด เชื่อม


41 A B C ภาพที่ 4.4 เปรียบเทียบแนวเชื่อมที่เดินลวดเชื่อมด้วยความเร็วต่างกัน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556


42 จุดประสงค์การเรียนรู้ อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคในการเชื่อมไฟฟ้าได้ การเชื่อมโลหะด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ อาศัยการอาร์กระหว่างลวดเชื่อมกับชิ้นงาน หลอมละลายเป็นแนวเชื่อม จึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปฏิบัติงาน ต้องรู้ถึงเทคนิคต่าง ๆ ดังนี้ 1. เทคนิคการเริ่มต้นอาร์ก กรรมวิธีการเชื่อมไฟฟ้า การอาร์กเกิดขึ้นเนื่องจากกระแสไฟฟ้าวิ่งจากตัวน าขั้วหนึ่ง ผ่านช่องว่างไปยังอีกขั้วหนึ่ง ท าให้เกิดแสงและอุณหภูมิสูงประมาณ 6,500 – 7,000 องศาฟาเรนไฮต์ (3,600 – 3,870 องศาเซลเซียส) การเริ่มต้นอาร์กกระท าได้ 2 วิธี ดังนี้ 1.1 การเริ่มต้นอาร์กด้วยวิธีขีด (Scratching) มีขั้นตอน ดังนี้ 1.1.1 ถือลวดเชื่อมในลักษณะเฉียงไปตามแนวที่จะขีด 1.1.2 ตวัดลวดเชื่อมแตะกับชิ้นงานแล้วยกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เปลวอาร์กยังคงอยู่ 1.1.3 ปรับระยะอาร์กให้เท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนลวดเชื่อม 1.1.4 ปฏิบัติตามล าดับอย่างต่อเนื่องหลาย ๆ ครั้งจนเกิดความช านาญ ดังภาพที่ 4.5 ภาพที่ 4.5 การเริ่มต้นอาร์กแบบวิธีขีด ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 ใบความรู้ที่ 1.8 เรื่อง เทคนิคในการเชื่อมไฟฟ้า ระยะอำร์ก ตวัดลวดเชื่อม แตะกับชิ้นงำน ยกขึ้นอย่ำงวด เร็ว


43 1.2 วิธีเคาะ (Tapping) หรือวิธีแตะลวดเชื่อม เป็นวิธีการเริ่มต้นอาร์ก โดยการเคาะ ปลายลวดเชื่อมกับชิ้นงาน มีขั้นตอน ดังนี้ 1.2.1 ถือลวดเชื่อมให้ตั้งฉากกับชิ้นงานตรงจุดที่จะเริ่มต้นเชื่อม 1.2.2 กดลวดเชื่อมเคาะบนชิ้นงานเบา ๆ แล้วรีบยกขึ้นอย่างรวดเร็วให้เกิดระยะ พอเหมาะ แต่เปลวอาร์กยังคงอยู่ และเคลื่อนที่ลวดเชื่อมไปข้างหน้า 2 - 3 มิลลิเมตร 1.2.3 กดลวดเชื่อมให้ต่ าลง จนมีระยะอาร์กเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของลวดเชื่อม 1.2.4 ปฏิบัติตามล าดับอย่างต่อเนื่องหลาย ๆ ครั้งจนเกิดความช านาญ ดังภาพที่ 4.6 ภาพที่ 4.6 การเริ่มต้นอาร์กแบบวิธีเคาะ ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 2. เทคนิคการปรับระยะอาร์ก เมื่อเริ่มต้นอาร์กให้รีบยกลวดเชื่อมขึ้นทันที แต่ให้ระยะอาร์กยังคงอยู่ เมื่อเกิดการอาร์ก คงที่จึงลดลวดเชื่อมให้ต่ า จนมีระยะอาร์กเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนลวดเชื่อม เช่น ใช้ลวดเชื่อมขนาด 2.6 มิลลิเมตร ระยะอาร์กก็จะต้องเท่ากับ 2.6 มิลลิเมตร การฝึกการอาร์กใหม่ ๆ มักจะเกิดปัญหาลวดเชื่อมติดกับชิ้นงานจะท าให้เครื่องเชื่อมท างาน เกินก าลัง ดังนั้นเมื่อลวดเชื่อมติดกับชิ้นงาน ให้จับลวดเชื่อมให้มั่นแล้วจึงบิดเอาลวดเชื่อมออก โดยเร็วที่สุด กรณีที่ลวดเชื่อมติดแน่นเกินไป ให้ปล่อยลวดเชื่อมออกจากหัวจับลวดเชื่อม แล้วปิดเครื่องเชื่อม จากนั้นใช้คีมจับลวดเชื่อมแล้วบิดออก 3. เทคนิคการเริ่มต้นและสิ้นสุดแนวเชื่อม การพิจารณาคุณภาพแนวเชื่อมจะต้องพิจารณาตั้งแต่จุดเริ่มต้นแนวเชื่อมจนถึงจุดสิ้นสุดแนว เชื่อม เพื่อให้ได้แนวเชื่อมมีคุณภาพ จึงมีวิธีปฏิบัติการเริ่มต้นและสิ้นสุดแนวเชื่อม ดังนี้ กดลวดเชื่อม เคำะบนชิ้นงำน ยกขึ้นอย่ำงวด เร็ว ระยะอำร์ก


44 3.1 การเริ่มต้นแนวเชื่อม มีขั้นตอนดังนี้ 3.1.1 เริ่มต้นอาร์กที่จุดเริ่มแนวเชื่อม แล้วยกลวดเชื่อมขึ้นประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง ของแกนลวดเชื่อม 3.1.2 ปรับมุมลวดเชื่อมให้ได้ตามลักษณะของรอยต่อและท่าเชื่อมที่ปฏิบัติงานขณะนั้น 3.1.3 สร้างบ่อหลอมละลายให้สมบูรณ์ มีการซึมลึกอย่างสม่ าเสมอกว้าง ประมาณ 1.5 – 2 เท่าของส้นผ่าศูนย์กลางแกนลวดเชื่อม 3.1.4 เคลื่อนลวดเชื่อมไปตามทิศทางแนวเชื่อมที่ต้องการ 3.1.5 เมื่อเกิดการอาร์ก ลวดเชื่อมจะถูกหลอมละลายหดลง ดังนั้นจะต้องกดลวดเชื่อม เติมลงในบ่อหลอมละลายอย่างสม่ าเสมอ ปรับระยะอาร์กให้ถูกต้องตลอดเวลาที่เดินแนวเชื่อม 3.2 การเชื่อมเมื่อสิ้นสุดแนวเชื่อม ที่จุดสิ้นสุดแนวเชื่อมจะเป็นแอ่งโลหะ ซึ่งเป็นจุดที่แนว เชื่อมมีความแข็งแรงต่ าสุดและเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดรอยร้าวขึ้นได้ จึงต้องเติมลวดเชื่อมโดยการ เดินย้อนกลับเล็กน้อย แล้วหยุดเติมแอ่งปลายแนวเชื่อมให้เต็ม โดยให้ลวดเชื่อม มี มุมน า 15 - 30 องศา จากนั้นสะบัดลวดเชื่อมกลับย้อนทางและยกลวดเชื่อมขึ้นทันที ดังภาพที่ 4.7 ภาพที่ 4.7 การเชื่อมเมื่อสิ้นสุดแนวเชื่อม http://www.sstc.ac.th 4. เทคนิคการเดินแนวเชื่อม การเดินแนวเชื่อม เป็นการเคลื่อนที่ลวดเชื่อมเพื่อป้อนลวดเชื่อม ไม่จ าเป็นต้อง ส่ายลวดเชื่อมเสมอไป ควรเลือกวิธีเดินแนวเชื่อมให้เหมาะสมกับรอยต่อหรือท่าเชื่อมนั้น ๆ มุมของลวดเชื่อมที่ใช้งานก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามรอยต่อหรือท่าเชื่อม การเคลื่อนที่เพื่อป้อน ลวดเชื่อมพอจะสรุปได้ ดังนี้ 4.1 การเดินแนวเชื่อมแบบเส้นเชือก เป็นการเคลื่อนที่ลวดเชื่อมโดยไม่ต้องส่ายลวดเชื่อม เพียงแต่ควบคุมระยะอาร์ก มุมลวดเชื่อมและความเร็วในการเดินลวดเชื่อมให้เหมาะสม โดยทั่วไปจะ


45 ใช้กับการเชื่อมท่าขนานนอนและท่าตั้งเชื่อมลง เพราะการเชื่อมท่าดังกล่าวหากส่ายลวดเชื่อมอาจท า ให้แนวเชื่อมเกิดรอยแหว่ง 4.2 การเดินแนวเชื่อมแบบส่ายลวดเชื่อม เป็นการเคลื่อนที่ลวดเชื่อมโดยการลากลวดเชื่อม ออกไปด้านข้างเพื่อให้ได้แนวเชื่อมกว้างขึ้นแต่ไม่เกิน 5 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของแกน ลวดเชื่อม การเลือกแบบการเดินแนวเชื่อมต้องค านึงถึงชนิดของรอยต่อ ท่าเชื่อมและขนาด ของแนวเชื่อม จากภาพจุดสีด าข้าง ๆ แนวเชื่อมเป็นจุดที่ต้องหยุดเติมลวดเชื่อม เพื่อป้องกันการเกิด รอยแหว่ง (Undercut) การส่ายลวดเชื่อมมีลักษณะ ดังนี้ 4.2.1 การส่ายลวดเชื่อมในต าแหน่งท่าราบ (Flat Surface) ดังภาพที่ 4.8 ภาพที่ 4.8 การส่ายลวดเชื่อมต าแหน่งท่าราบ http://www.sstc.ac.th 4.2.2 การส่ายลวดเชื่อมในต าแหน่งท่าขนานนอน (Horizontal Line) ดังภาพที่ 4.9 ภาพที่ 4.9 การส่ายลวดเชื่อมต าแหน่งท่าขนานนอน http://www.sstc.ac.th


46 4.2.3 การส่ายลวดเชื่อมในต าแหน่งท่าตั้ง (Vertical Line) ดังภาพที่ 4.10 ภาพที่ 4.10 การส่ายลวดเชื่อมในต าแหน่งท่าตั้ง http://www.sstc.ac.th 4.2.4 การส่ายลวดเชื่อมในต าแหน่งท่าเหนือศีรษะ (Overhead) ดังภาพที่ 4.11 ภาพที่ 4.11 การส่ายลวดเชื่อมต าแหน่งท่าเหนือศีรษะ http://www.sstc.ac.th 5. เทคนิคการต่อแนวเชื่อม การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ เมื่อเดินแนวเชื่อมจนเหลือลวดเชื่อมยาวประมาณ 4 เซนติเมตรและต้องการจะเชื่อมต่อเนื่องจากแนวเชื่อมเดิม ให้ท าการเปลี่ยนลวดเชื่อมใหม่ที่มี คุณสมบัติเท่ากับลวดเชื่อมเดิม เทคนิคการต่อแนวเชื่อมมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้


47 5.1 กรณีแอ่งที่ปลายแนวเชื่อมยังร้อนอยู่ ให้เชื่อมต่อแนวเชื่อมได้ทันทีไม่ต้องเคาะสแลก โดยเริ่มอาร์กห่างจากแอ่งหลอมละลายในลักษณะอาร์กห่าง แล้วเคลื่อนลวดเชื่อมกลับไปให้ตรงแอ่ง หลอมละลายของแนวเชื่อมเดิม 5.2 กรณีแอ่งที่ปลายแนวเชื่อมเย็นตัวลงแล้ว ให้เคาะสแลกออกแล้วท าความสะอาด แนวเชื่อมเดิมเสียก่อน จากนั้นให้เริ่มอาร์กต่อแนวเชื่อมเหมือนการแนวเชื่อมเดิม เทคนิคการต่อแนวเชื่อม ดังภาพที่ 4.12 ภาพที่ 4.12 การต่อแนวเชื่อม http://www.sstc.ac.th การต่อแนวเชื่อม เมื่อเริ่มต้นอาร์กใหม่ไม่ควรให้จุดอาร์กใกล้แอ่งโลหะปลายแนวเชื่อมเดิมมาก เกินไป เพราะความร้อนไม่เพียงพอที่จะหลอมเหลวแนวเชื่อมเดิมกันแนวเชื่อมใหม่ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ได้ การเติมลวดเชื่อมตรงแนวต่อจะต้องควบคุมให้พอเหมาะ ถ้าเติมมากเกินไปท าให้แนวเชื่อมใหม่ นูนกว่าแนวเชื่อมเดิม แต่ถ้าเติมน้อยเกินไปจะท าให้แนวเชื่อมใหม่แบนราบและเกิดรอยแหว่งขึ้นได้


48 จุดประสงค์การเรียนรู้ อธิบายเกี่ยวกับรอยต่อเชื่อมไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ได้ การออกแบบรอยต่อเพื่อการเชื่อมไฟฟ้า เป็นการเตรียมรอยต่อของชิ้นงานก่อนการเชื่อม เพื่อให้ได้รอยต่อที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ลักษณะงานเชื่อมแต่ละแบบอาจใช้วิธีการต่อ ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะรูปร่างของงานและการน าไปใช้ รอยต่อพื้นฐานมี 5 ชนิด ดังนี้ 1. การต่อชน (Butt Joint) เป็นการต่อชิ้นงานสองชิ้นซึ่งอยู่ระนาบเดียวกัน โดยการ หลอมละลายผิวหน้าของขอบชิ้นงานทั้งสอง ชิ้นงานที่มีความหนาน้อยกว่า 4.5 มิลลิเมตร ไม่ต้องบากงานก่อนท าการเชื่อมต่อ แต่ต้องตั้งให้ชิ้นงานเว้นระยะห่างเล็กน้อย การต่อชน ดังภาพที่ 5.1 ภาพที่ 5.1 ชิ้นงานรอยต่อชน ที่มา : นายอรรถ เภรีกุล เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2556 ใบความรู้ที่ 1.9 เรื่อง รอยต่อเชื่อมไฟฟ้า


Click to View FlipBook Version