คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนา ท่พี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 45
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 6
ป ญั หาทางสังคม
สาระท่ ี 2 หนาทพ่ี ลเมืองวัฒนธรรม
และการดำเนินชวี ิตในสงั คม ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4–6 เลม 1
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 การเปลีย่ นแปลงและ
การพฒั นาทางสงั คม เวลา 2 ชั่วโมง
1. ส าระสำคญั
ปญั หาสังคมเป็นส ภาวะห รือส ถานการณท์ ่ีมผี ลกระทบต อ่ ค นจำนวนม ากในสังคม ดงั น ้ันจึงจำเป็น
ต้องรบี แกไ้ ข
2. ตัวชว้ี ัดชว่ งชั้น
• วิเคราะห์ความสำคัญของโครงสร้างทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม และการเปล่ียนแปลง
ทางสังคม (ส 2.1ม .4–6/2)
3. จดุ ประสงค์ก ารเรียนรู้
1. อธิบายเก่ียวกับป ญั หาทางสังคมได้ (K)
2. มคี วามส นใจศกึ ษาเกีย่ วกบั ป ัญหาท างสังคม (A)
3. วเิ คราะห์เกี่ยวกบั ป ัญหาท างสังคม (P)
4. ก ารวดั และป ระเมนิ ผ ลการเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ดานท กั ษะ/กระบวนการ (P)
1.ซกั ถามความร้เู ร่อื ง และคา นิยม (A) • ประเมินพฤตกิ รรมในการ
ป ญั หาท างสังคม
2.ตรวจผ ลงาน/ก จิ กรรม • ประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานเปน็ รายบุคคลและ
เปน็ รายบคุ คลหรือเป็นกลมุ่ ทำงานเป็นรายบุคคลในดา้ น เป็นกลุ่มในดา้ นการสื่อสาร
ความมวี ินยั ความใฝเ่ รียนรู้ การคดิ การแกป้ ัญหา ฯลฯ
ฯลฯ
5 . สาระการเรียนรู้
• ปัญหาทางสังคม
1. ความห มายของปญั หาท างสงั คม
2. ปญั หาท ี่ส ำคญั ของส ังคมไทย
46 ค่มู อื ครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนา ทพี่ ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
6. แนวทางบ ูรณาการ
ภาษาไทย ê ฟงั พูด อ่าน เขียน เกยี่ วกบั ป ญั หาท างสงั คม
ศิลปะ ê ทำแผน่ พับเกีย่ วกบั ป ญั หาท างสงั คมของไทย
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขน้ั ท่ ี 1 นำเข้าสู่บทเรียน
1. ค รูแจง้ ตัวชวี้ ดั ชว่ งชั้นและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ ห้นักเรียนท ราบ
2. ครูให้นักเรียนดูภาพเด็กเร่ร่อน ภาพเด็กนักเรียนไม่มีหนังสือเรียน แล้วซักถามนักเรียนว่า
เป็นภ าพเก่ียวกับอะไร น ักเรยี นชว่ ยก ันตอบ ครสู รปุ เพื่อเชือ่ มโยงเข้าสู่เน้ือหาท่จี ะเรยี น
ข้ันท่ ี 2 กิจก รรมการเรียนรู้
3. ครสู นทนากบั น ักเรยี นเก่ยี วกับป ญั หาทางสงั คม
4. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4–6คน แต่ละกลุ่มสำรวจในชุมชนของตนเองว่ามีปัญหาทาง
สงั คมอะไรบ ้าง แลว้ บ นั ทึกล งในแบบสำรวจ
5. ครูให้นักเรียนทำใบงานท่ี 1เรื่อง ปัญหาทางสังคมของไทย จากน้ันครูให้นักเรียนบันทึก
ความรูท้ ่ไี ดล้ งในแบบบันทกึ
6. ในขณะปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน ให้ครูสังเกตพฤติกรรมในการทำงานและการนำเสนอ
ผ ลงานของนักเรยี นต ามแบบป ระเมินพ ฤตกิ รรมในการท ำงานเปน็ รายบุคคลหรือเปน็ กลุม่
ขนั้ ท ่ี 3 ฝึกฝนผู้เรียน
7. ครูใหน้ ักเรียนท ำกจิ กรรมทเ่ี ก่ยี วกับป ัญหาทางสังคม แล้วช่วยกันเฉลยคำตอบ
8. ให้นักเรียนเขียนบทความเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมในปัจจุบันนำผลงานของทุกคนมาจัด
ปา้ ยนเิ ทศแล้วเยบ็ รวมเลม่
ขั้นท ี ่ 4 น ำไปใช้
9. ครูแนะนำให้นักเรียนค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมเรื่องปัญหาสังคมแล้วนำมาทำเป็นแผ่นพับ
เพื่อเผยแพร่ความรู้
ขน้ั ท ่ี 5 สรปุ
10. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เร่ือง ปัญหาทางสังคม โดยอาจให้นักเรียนสรุปเป็นแผนที่
ความคดิ
8 . กิจกรรมเสนอแ นะ
ครใู ห้นักเรียนรว่ มกันศ กึ ษาป ัญหาทางสังคมเพม่ิ เตมิ เพอื่ น ำเสนอผ ลงานในช้ันเรยี น
9. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้
1. ภาพเดก็ เร่รอ่ น ภ าพเดก็ น ักเรยี นไม่มีห นงั สือเรียน
2. แบบสำรวจเรื่องปญั หาสังคมในชมุ ชน
3. ใบงานท่ี 1 เร่ือง ปญั หาท างสงั คมของไทย
คู่มอื ครู แผนการจดั การเรยี นรู้ หนา ท่พี ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 47
4. ส่อื การเรียนรู้ ห น้าท ี่พลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชีวติ ในส งั คม สมบรู ณ์แบบ ม.4–6
เล่ม 1บรษิ ัท ส ำนกั พมิ พ์วฒั นาพ านชิ จำกัด
5. หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม.4–6
เล่ม 1บริษทั ส ำนักพมิ พว์ฒั นาพานิช จำกดั
6. แบบฝ กึ ทกั ษะ รายวชิ าพน้ื ฐาน หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม.4–6
เล่ม 1บ ริษทั ส ำนกั พิมพ์วัฒนาพานชิ จำกัด
10 . บันทึกห ลงั การจดั การเรียนรู้
1. ความ สำเรจ็ ในการจัดการเรียนรู ลงชอ่ื / ผสู อน
แนวทางการพัฒนา /
2. ปญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู
แนวทางแกไ ข
3. สิ่งทีไ่ มไ ดป ฏิบตั ติ ามแผน
เหตุผล
4. การปรบั ป รงุ แผนการจัดการเรยี นรู
48 คมู่ อื ครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนาท่ีพลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 7
แ นวทางการแก้ ไขปญั หาแ ละพ ฒั นาทางสงั คม
สาระท่ี 2 หนาทพ่ี ลเมอื งวฒั นธรรม
และการดำเนนิ ชีวิตในสังคม ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4–6 เลม 1
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 การเปลีย่ นแปลงและ
การพัฒนาทางสังคม เวลา 1 ชวั่ โมง
1. สาระสำคญั
สงั คมไทยม กี ารเปลยี่ นแปลงจากอดตี ห ลายป ระการ เชน่ ก ารเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งของป ระชากร
โครงสรา้ งท างสงั คม และก ารเปลยี่ นแปลงของวฒั นธรรมและพ ฤตกิ รรม และจากก ารเปลยี่ นแปลงเหลา่ นี้
ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมขึ้นหลายประการ ซึ่งสมาชิกในสังคมทุกคนจะต้องร่วมกันหาแนวทาง
การแก้ไข ซ่งึ จะต ้องชว่ ยกันท ำในท ุกระดบั ท ง้ั ระดับบคุ คล ส ังคม และประเทศชาติ ทงั้ น้ีการพฒั นาสงั คม
ของไทยน ั้นจะย ึดแผนพ ฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติเป็นแนวทางในก ารพัฒนา
2. ต วั ช ้ีวดั ช ว่ งช น้ั
• วิเคราะห์ความสำคัญของโครงสร้างทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม และการเปลี่ยนแปลง
ทางสงั คม (ส 2.1ม .4–6/2)
3 . จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายความส ำคญั และยกตัวอย่างแนวทางแกไ้ ขปญั หาและการพฒั นาสงั คมได้ (K)
2. เห็นค ณุ ค่าและความส ำคัญแนวทางแกไ้ ขปญั หาและการพฒั นาสงั คม (A)
3. มสี ว่ นรว่ มในการแกไ้ ขป ญั หาและการพ ฒั นาสงั คม (P)
4 . การว ดั และป ระเมนิ ผลการเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ดานท ักษะ/กระบวนการ (P)
และคา นยิ ม (A)
1. ทดสอบห ลังเรยี น • ประเมินพฤติกรรมในการ • ประเมนิ พฤตกิ รรมในการ
2.ซักถามความรู้เรือ่ ง แนวทาง ทำงานเป็นรายบุคคลในดา้ น ทำงานเปน็ รายบุคคลและ
การแก้ไขปญั หาและพฒั นา ความมวี ินัย ความใฝเ่ รยี นรู้ เปน็ กลุ่มในดา้ นการสือ่ สาร
ทางสังคม ฯลฯ การคดิ การแกป้ ัญหา ฯลฯ
3.ต รวจผลงาน/ก จิ กรรม
เป็นรายบคุ คลห รอื เปน็ กลมุ่
คมู่ อื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนาทพ่ี ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 49
5 . สาระการเรียนรู้
• แนวทางการแก้ไขป ัญหาและพัฒนาทางสงั คม
1. แนวท างการแกไ้ ขป ัญหาทางสงั คม
2. แนวทางการพ ัฒนาสงั คม
6 . แนวทางบรู ณาการ
ภาษาไทย ê ฟงั พดู อา่ น เขยี นเกย่ี วกบั แนวทางแกไ้ ขปญั หาและการพฒั นาทางสงั คม
ศลิ ปะ ê แสดงละครเกย่ี วกบั แนวทางแกไ้ ขปญั หาและการพัฒนาทางส ังคม
7. ก ระบวนการจ ดั การเรียนรู้
ข้นั ที่ 1 นำเข้าสู่บทเรยี น
1. ครูแจ้งตวั ชว้ี ัดชว่ งชัน้ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรใู้ ห้นักเรยี นท ราบ
2. ครสู นทนาก บั น กั เรยี นเกยี่ วกบั ขา่ วก ารอบรมพ ฒั นาฝ มี อื แรงงาน แลว้ ถ ามน กั เรยี นวา่ เกย่ี วขอ้ ง
กบั แนวทางการแก้ไขป ญั หาและพ ฒั นาทางสงั คมหรอื ไม่ อยา่ งไร ใหน้ ักเรียนช่วยกันตอบ จากนน้ั ครูสรปุ
เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่เนื้อหาท ่ีจะเรยี น
ข้นั ท ่ี 2 กิจกรรมการเรยี นรู้
3. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทางสังคม โดยใช้ข้อมูล
จากส ื่อการเรยี นร้ตู า่ ง ๆ
4. ค รใูห้นกั เรยี นแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 4–6คน ศึกษาและแสดงละครเก่ยี วกับแนวทางในการแก้ไข
ปญั หาและพฒั นาทางส งั คม
5. ค รูให้นักเรียนเขียนเรียงความเรื่อง ถ้าฉันได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมจะมีแนวทาง
ในการพฒั นาอย่างไร
6. ค รเู ลือกผลงานนำมาต ิดทปี่ ้ายน เิ ทศแลว้ ใหเ้ จ้าของผ ลงานออกมาอภิปรายวิเคราะห์ให้เพ่อื น ๆ
ฟงั จากน ั้นเพือ่ น ๆแสดงค วามคดิ เหน็
7. ในขณะป ฏบิ ตั กิ จิ กรรมของน กั เรยี น ใหค้ รสู งั เกตพ ฤตกิ รรมในการท ำงานและการน ำเสนอผ ลงาน
ของน กั เรยี นตามแบบป ระเมนิ พ ฤตกิ รรมในก ารทำงานเปน็ รายบคุ คลห รอื เปน็ กลมุ่
ข้ันท ่ี 3 ฝกึ ฝนผ ู้เรียน
8. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทางสังคมและ
แบบทดสอบก ารวัดและป ระเมินผ ลการเรยี นรู้ประจำห นว่ ยการเรียนรู้ แลว ช่วยก ันเฉลยคำตอบ
ขนั้ ท ่ี 4 นำไปใช้
9. ค รูแนะนำใหน้ กั เรยี นท ำแผน่ พับเกีย่ วกบั แนวทางการแก้ไขปัญหาและพ ัฒนาทางสังคม
ไปเผยแพรค่ วามรู้
ขัน้ ท ่ี 5 สรุป
10. ครแู ละน กั เรยี นสรปุ ความรเู้ รอ่ื ง แนวท างการแกไ้ ขป ญั หาและพฒั นาท างสงั คมเปน็ แผนทค่ี วามคดิ
11. ครใู ห้นกั เรยี นท ำแบบทดสอบห ลังเรยี นและชวยกนั เฉลยคำตอบ
50 ค่มู อื ครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนาที่พลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
8. กจิ กรรมเสนอแ นะ
ครใู ห้นักเรียนศ ึกษาเร่อื ง แนวทางก ารแกไขป ญหาและพ ฒั นาทางสงั คม แล้วนำผลมาแลกเปลยี่ น
เรียนรูก นั ในช้นั เรยี น
9. ส ื่อ/แ หลง่ ก ารเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
2.ข ่าวเกีย่ วกบั ก ารอบรมพฒั นาฝ มี อื แรงงาน
3.ส อื่ ก ารเรียนรู้ ห น้าท ี่พลเมือง วฒั นธรรม และการด ำเนนิ ชวี ิตในส งั คม สมบูรณ์แบบ ม.4–6
เล่ม 1บรษิ ทั ส ำนักพิมพ์วัฒนาพ านิช จำกัด
4. ห นงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม.4–6
เล่ม 1บ ริษทั ส ำนักพิมพ์วัฒนาพ านิช จำกัด
5. แบบฝ กึ ทกั ษะ รายวชิ าพน้ื ฐาน หนา้ ท พ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และก ารดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม .4–6
เลม่ 1บ ริษัท สำนักพมิ พว์ัฒนาพานิช จำกดั
1 0. บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
1. ความสำเร็จในการจดั การเรยี นรู ลงช่ือ / ผสู อน
แนวทางการพัฒนา /
2. ปญ หา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู
แนวทางแกไข
3. สง่ิ ท่ไี มไ ดป ฏิบตั ติ ามแผน
เหตผุ ล
4. การปรบั ป รุงแผนการจดั การเรยี นรู
วัฒนธรรม 3
เวลา 4 ชัว่ โมง
ผงั มโนทัศนเปาหมายการเรียนรูและขอบขา ยภาระงาน/ช้ินงาน
ความรู
1. วฒั นธรรม
2. วฒั นธรรมไทย
3. การเปล่ียนแปลงและอนรุ กั ษวฒั นธรรมไทย
4. ความแตกต่างระหว่างวฒั นธรรมไทยกับวัฒนธรรมสากล
5. การเลอื กรบั วฒั นธรรมสากล
ภาระงาน/ชิน้ งาน Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁ คุณธรรม จรยิ ธรรม
และคานยิ ม
1. ทำแบบทดสอบ ทกั ษะ/กระบวนการ
2. การสบื คน้ ข้อมลู 1. มีวนิ ัย
3. การทำใบงาน 1. การส่อื สาร 2. ใฝเ่ รียนรู้
2. การคดิ 3. รบั ผิดชอบ
3. การแก้ปญหา 4. รกั ความเปนไทย
4. การใชก้ ระบวนการกลุ่ม 5. มุ่งมนั่ ในการทำงาน
5. การใชเ้ ทคโนโลยี
52 คูม่ ือครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หน้าทพี่ ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม่ 1
ผงั การออกแบบการจัดการเรียนรู้
หนวยการเรียนรทู้ ี่ 3
วัฒนธรรม
ขั้นที่ 1 ผลลัพธปลายทางท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดข้นึ กับนกั เรยี น
ตัวช้ีวดั ช่วงช้ัน
• วิเคราะหความจำเปนท่ีจะต้องมีการปรับปรุง เปล่ียนแปลง และอนุรักษวัฒนธรรมไทยและเลือก
รับวัฒนธรรมสากล (ส 2.1 ม. 4–6/5)
ความเขา้ ใจที่คงทนของนักเรียน คำ¶ามสำคÞั ที่ทำใหเ้ กิดความเข้าใจท่คี งทน
นักเรยี นจะเขา้ ใจวา่ ... 1. วฒั นธรรมมคี วามสำคญั อยา่ งไร
วัฒนธรรมเปนสิ่งท่ีมนุษยสร้างสรรคขึ้น 2. การเลือกรับวัฒนธรรมอย่างมีวิจารณญาณ
เพ่ือความเจริญงอกงามแก่หมู่คณะ มีลักษณะ มีประโยชนอ ย่างไร
เคลอื่ นไหว เปลยี่ นแปลง และพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
ส่วนวัฒนธรรมไทยมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง
ตามวฒั นธรรมตา่ งชาตทิ ห่ี ลงั่ ไหลเขา้ มาตามกระแส
โลกาภวิ ตั น จงึ จำเปน อยา่ งยง่ิ ทคี่ นไทยจะตอ้ งเลอื ก
รับและนำมาปรับใช้อย่างมีวิจารณญาณ รวมท้ัง
อนุรกั ษวัฒนธรรมไทยใหอ้ ยูค่ ่กู บั คนไทยตลอดไป
ความรู้ของนักเรียนที่นำไปสู่ความเข้าใจที่คงทน ทกั ษะ/ความสามาร¶ของนักเรยี นทีน่ ำไปสู่ความ
นักเรียนจะรูว้ า่ ... เขา้ ใจท่ีคงทน นักเรียนจะสามาร¶...
1. คำสำคญั ไดแ้ ก่ วฒั นธรรม ภมู ธิ รรม ภมู ปิ ญ ญา 1. อธิบายความ หมาย และ ความ สำคัญ ของ
ปฏสิ มั พนั ธ วจั นภาษา อวจั นภาษา สทิ ธมิ นษุ ย- วัฒนธรรม
ชน อตั ตลขิ ติ 2. วิเคราะหความจำเปนที่จะต้องมีการเปล่ียน-
2. วัฒนธรรมเกิดจากกระบวนการอันซับซ้อน แปลงและอนุรักษว ฒั นธรรมไทย
ทางสังคมหรือกลุ่มชน โดยรวมเอามิติด้าน 3. วเิ คราะหค วามจำเปน ทมี่ กี ารเลอื กรบั วฒั นธรรม
จติ ใจ วตั ถุ ภมู ปิ ญ ญา และอารมณเ ขา้ ไวด้ ว้ ยกนั สากล
จนเปนเอกลักษณของสังคมน้นั ๆ วัฒนธรรม
มีความสำคัญ ได้แก่ เปนเคร่อื งสร้างระเบียบ
แก่สังคม ทำให้เกิดเอกภาพ เปนตัวกำหนด
รปู แบบของสถาบนั เปน เครอ่ื งมอื ชว่ ยแกป้ ญ หา
และสนองความต้องการของมนุษย ช่วยให้
ประเทศชาตเิ จรญิ กา้ วหนา้ และเปน เครอ่ื งแสดง
เอกลกั ษณข องชาติ
พลเมืองดี 4
เวลา 2 ชัว่ โมง
ผังมโนทศั นเปาหมายการเรยี นรูแ ละขอบขา ยภาระงาน/ชิ้นงาน
ความรู
1. พลเมอื งดี
2. ลกั ษณะของพลเมืองดี
ภาระงาน/ชน้ิ งาน ¾ÅàÁÍ× §´Õ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม
และคานยิ ม
1. ทำแบบทดสอบ
2. การอภปิ ราย 1. มวี ินัย
3. การระดมความคิด 2. ใฝ่เรยี นรู้
3. รบั ผดิ ชอบ
4. รักความเปน็ ไทย
5. มุง่ ม่ันในการทำงาน
ทักษะ/กระบวนการ
1. ¡ÒÃÊ×Íè ÊÒÃ
2. การคิด
3. ¡ÒÃá¡Œ»˜ÞËÒ
4. การใชเ้ ทคโนโลยี
5. กระบวนการกลมุ่
66 คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนา้ ท่พี ลเมอื งฯ ม. 4–6 เล่ม 1
ผงั การออกแบบการจัดการเรยี นรู้
หนวยการเรยี นรทู้ ี่ 4
พลเมอื งดี
ขนั้ ท่ี 1 ผลลัพธป ลายทางท่ีต้องการใหเ้ กดิ กับนกั เรยี น
ตัวชวี้ ัดช่วงชน้ั
• ปฏิบัติตนและมีส่วนร่วมสนับสนุนให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติเพ่ือเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ
และสังคมโลก (ส 2.1 ม. 4–6/3)
ความเขา้ ใจทคี่ งทนของนกั เรียน คำ¶ามสำคัÞท่ีทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจทีค่ งทน
นักเรยี นจะเข้าใจวา่ ... 1. การเป็นพลเมอื งดมี ีความสำคัญอยา่ งไร
การ ปฏิบัติตน เป็น พลเมือง ดีสามารถ 2. พลเมอื งดมี ลี ักษณะอย่างไร
กระทำไดด้ ้วยการเป็นคนดี มคี ุณธรรม จริยธรรม
และมีจิตสาธารณะ ซ่ึงจะเป็นประโยชนต่อสังคม
และประเทศชาติ
ความรู้ของนักเรียนท่ีนำไปสู่ความเข้าใจที่คงทน ทักษะ/ความสามาร¶ของนักเรยี นที่นำไปสู่ความ
นกั เรยี นจะรู้ว่า... เข้าใจทีค่ งทน นกั เรยี นจะสามาร¶...
1. คำสำคญั ไดแ้ ก่ พลเมอื ง อนรุ กั ษ จติ สาธารณะ 1. อธบิ ายลกั ษณะของพลเมืองดี
กติกาสังคม สิทธิ เสรีภาพ สิทธิส่วนบุคคล 2. บอกลกั ษณะของการเป็นพลเมืองดี
การมสี ว่ นรว่ ม โลจสิ ตกิ ส
2. พลเมืองดีต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและ
ศลี ธรรม ตอ้ งมีสว่ นรว่ มกบั กจิ กรรมของชมุ ชน
มีความรู้ในเร่อื งการเมือง และต้องเป็นคนท่ีมี
อาชีพสุจริต ขยันขันแข็ง ประหยัด รู้จักพอ
ซ่ือสัตย และใช้ปญญาในการประกอบอาชีพ
และดำรงชวี ติ
3. การเป็นพลเมืองดีของประเทศไทยและของ
โลกน้นั จะต้องมีความรักในชาติ ศาสนา และ
พระมหากษัตริย มีความซ่อื สัตยสุจริต มีวินัย
ใฝเ่ รยี นรู้ มคี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง มคี วาม
มงุ่ มน่ั ในการทำงาน รกั ความเปน็ ไทย และเปน็
ผู้มีจิตสาธารณะ นอกจากน้ีการเป็นพลเมืองดี
ยงั จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ นหลายประการทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่
การ เคารพ กฎหมาย และ กติกาของ สังคม
คู่มือครู แผนการจดั การเรยี นรู้ หนา ท่พี ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 67
การเคารพสทิ ธเิ สรภี าพของต นเองและบ คุ คลอน่ื
การมีเหตุผลและรับฟงความคิดเห็นของผูอ่นื
การมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ ตนเอง ชมุ ชน ประเทศ
ชาติ และสังคมโลก การเขารวมกิจกรรมทาง
การเมืองการปกครอง การมีสวนรวมในการ
ปอ งกนั และแกไ ขปญ หาของประเทศ และการมี
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ข้ันที่ 2 ภาระงานและการประเมินผลการเรียนรซู้ งึ่ เปน็ หลักฐานท่แี สดงวา่ นักเรยี นมีผลการเรียนรู้
ตามทก่ี ำหนดไว้อย่างแท้จรงิ
1. ภาระงานทนี่ ักเรยี นตอ งป ฏิบัติ
1.1 เลา ประสบการณเ กย่ี วกบั ค ณุ ลกั ษณะของพ ลเมืองด ี
1.2 ระดมความคดิ เกย่ี วกับค ุณลักษณะของพลเมืองด ี
2. วธิ กี ารและเครอ่ื งมอื ประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2.1 วธิ ีการประเมินผลการเรยี นรู้ 2.2 เครือ่ งมอื ประเมนิ ผ ลการเรยี นรู
1) การทดสอบ 1) แบบทดสอบกอ นเรียนและห ลังเรียน
2) การประเมินผลงาน/กิจกรรม 2) แบบป ระเมินผ ลงาน/กิจกรรม
เป็นรายบคุ คลหรือเป็นกลุ่ม เป็นรายบคุ คลและเปนกลมุ
3) การประเมนิ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 3) แบบป ระเมนิ ด านคุณธรรม จริยธรรม
และค่านยิ ม และค า นิยม
4) การประเมนิ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ 4) แบบป ระเมนิ ด านทกั ษะ/กระบวนการ
3. สง่ิ ทม่ี งุ่ ประเมนิ
3.1 ความเข้าใจ 6 ด้าน ไดแ้ ก่ การอธบิ าย ช้แี จง การแปลความและตีความ การประยกุ ต์ ดัดแปลง
และนำไปใช้ การมีมมุ มองที่หลากหลาย การใหค้ วามสำคญั และใส่ใจในความรสู้ ึกของผอู้ ่ืน
และการรจู้ กั ตนเอง
3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ เชน่ การสอ่ื สาร การคดิ การแกป้ ญั หา การใชเ ทคโนโลยี กระบวนการกลมุ่
3.3 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยม เช่น รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ซ่ือสัตย์สจุ รติ มวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู
อยู่อย่างพอเพยี ง มงุ่ มั่นในการทำงาน รักค วามเป็นไทย มจี ิตสาธารณะ
ขั้นท ่ี 3 แผนการจัดการเรยี นรู เวลา 2 ชวั่ โมง
แผนการจดั การเรียนรทู ี่ 11 การเปนพ ลเมืองดี
68 คมู่ อื ครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนาทพี่ ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 11
การเปน พลเมอื งดี
สาระที่ 2 หนาท่ีพ ลเมืองวฒั นธรรม
และการดำเนนิ ชวี ติ ในสังคม ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 4–6 เลม 1
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4 พลเมอื งด ี เวลา 2 ชัว่ โมง
1. สาระสำคญั
พลเมืองดี คือ ผูท ี่มีความรับผิดชอบตอสังคมและศีลธรรม มีสวนรวมกับกิจกรรมของชุมชน
และม คี วามรูในเรือ่ งก ารเมอื ง นอกจากน้ียังตอ งม สี ำนกึ ตอ สว นรวมห รือจิตส าธารณะ โดยการรบั ผดิ ชอบ
ตอสาธารณสมบัติและทรัพยากรธรรมชาติ ทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่เปนประโยชนรวมกันของสวนรวม
รวมทงั้ รับรแูละตระหนักถึงป ญหาท เ่ี กิดขน้ึ ในส ังคมและม ีการแกไขรว มกนั
2. ตวั ช้วี ดั ช วงช้นั
• ปฏิบัติตนและมีสวนรวมสนับสนุนใหผ ูอ่ืนประพฤติปฏิบัติเพ่ือเปนพลเมืองดีของประเทศชาติ
และส ังคมโลก (ส 2.1 ม. 4–6/3)
3. จดุ ประสงคการเรียนรู
1. บอกค วามส ามารถของตนเองในก ารท ำประโยชนตอ สงั คมและประเทศชาติ (K)
2. ปฏบิ ัตติ นในส ิง่ ทีเ่ ปนป ระโยชนต อสงั คมและประเทศชาติไดอยางเหมาะสม (P)
3. ปฏิบัติตนดวยก ารแสดงออกถ ึงการเคารพในส ิทธิเสรีภาพของตนเองและผ ูอื่น (P)
4. เห็นความสำคัญของการทำประโยชนตอสังคมและประเทศชาติ รวมท้ังการเคารพในสิทธิ
และเสรภี าพของตนเองและผอู ื่น (A)
4. การว ดั แ ละป ระเมินผ ลการเรยี นรู
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ดา นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และคานยิ ม (A)
1. ทดสอบกอนเรียนและ • ประเมินพฤติกรรมในการ • ประเมนิ พฤติกรรมในการ
หลงั เรียน ทำงานเปน็ รายบุคคลในดา้ น ทำงานเป็นรายบคุ คลและ
2. ซักถามความรูเ รอ่ื ง ความมวี นิ ยั ความใฝเ่ รยี นรู้ เป็นกลุม่ ในดา้ นการสื่อสาร
พลเมอื งดี ฯลฯ
3. ตรวจผ ลงาน/กจิ กรรม การคดิ การแกป้ ัญหา ฯลฯ
เปนรายบคุ คลหรอื เปนกลุม
5. สาระการเรยี นรู
1. การเปนพ ลเมืองดี
2. คณุ ลกั ษณะของพลเมืองด ี
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนา ทีพ่ ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 69
6. แนวทางบูรณาการ ê ฟง พดู อาน เขยี นเกยี่ วกับพ ลเมืองด ี
ภาษาไทย
การงานอาชีพฯ ê คนขอ มูลเกี่ยวกับพ ลเมืองด ี
7. กระบวนการจ ัดการเรียนรู
ข้ันที่ 1 นำเขา สูบ ทเรยี น
1. ครูแจงตัวชวี้ ัดชว งชนั้ และจุดประสงคก ารเรียนรใูหน ักเรยี นท ราบ
2. ครูใหน ักเรียนท ำแบบทดสอบก อนเรยี น
3. ครูใหน กั เรยี นด ภู าพนักเรียนก ำลังชวยกันทำงาน จากน้ันซกั ถามนักเรยี นวา จากภาพน กั เรียน
คิดวาเก่ียวของกับการเปนพลเมืองดีอยางไร นักเรียนชวยกันตอบ จากน้ันครูอธิบายสรุปเพื่อเช่ือมโยง
ไปสูเนอ้ื หาทจี่ ะเรยี น
ขัน้ ท ่ ี 2 กิจกรรมการเรียนรู
4. ครูอธิบายความห มายและค วามส ำคญั เก่ียวกับพ ลเมอื งด ี
5. ครูใหน กั เรยี นย กตัวอยา งพ ลเมืองดีทีต่ นเองรจู กั จากนน้ั น ำมารว มกนั แสดงความคิดเห็น
6. ครูสนทนาก บั น กั เรียนเก่ยี วกบั ค ณุ ลกั ษณะของพ ลเมอื งด ี
7. ใหน ักเรียนอาสาสมัคร 3–5 คน ออกมาเลาประสบการณเก่ียวกับคุณลักษณะของพลเมืองดี
วา มีอะไรบ าง ใหเพอื่ นฟงห นา ชัน้ เรียน แลวใหรวมกันแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั เรอ่ื งราวด ังกลา ว
8. ครใูหน กั เรยี นแบงออกเปน 6 กลมุ ชว ยกนั ระดมค วามคดิ เก่ียวกบั ค ณุ ลกั ษณะของพลเมอื งด ี
ในหัวขอ ตอ ไปน้ี
กลุมท่ี 1 การเคารพก ฎหมายและกติกาของส ังคม
กลมุ ท ่ี 2 การเคารพส ิทธเิ สรีภาพของต นเองและบ ุคคลอนื่
กลมุ ท ี่ 3 การม ีเหตผุ ลและรบั ฟงค วามคิดเห็นของผ ูอน่ื
กลุม ท่ี 4 การม คี วามรบั ผิดชอบตอต นเอง ชมุ ชน ประเทศชาติ และสังคมโลก
กลมุ ท ี่ 5 การเขา รวมก ิจกรรมท างก ารเมอื งก ารป กครอง
กลมุ ท่ี 6 การม สี ว นรว มในก ารป องกันและแกไขป ญ หาของป ระเทศ
จากน้ันใหแตละกลมุ ส งตวั แทนออกมาน ำเสนอและใหเพ่อื นก ลุมอ่นื แสดงความคดิ เหน็
9. ในขณะปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน ใหค รูสังเกตพฤติกรรมในการทำงานและการนำเสนอ
ผลงานของนกั เรยี นตามแบบป ระเมินพ ฤติกรรมในการท ำงานเปนรายบุคคลหรอื เปน กลมุ
ขั้นท ี่ 3 ฝก ฝนผเู รยี น
10. ครใู หน กั เรยี นท ำใบงาน เรือ่ ง พลเมอื งดี
11. ครูใหน ักเรียนทำกิจกรรมท่ีเก่ียวกับการเปนพลเมืองดี และแบบทดสอบการวัดและการ
ประเมนิ ผลการเรียนรปู ระจำห นวยการเรียนรู แลว ชว ยกนั เฉลยคำตอบ
ข้ันท ่ ี 4 นำไปใช
12. ครูใหน ักเรียนสำรวจตนเองวาไดป ฏิบัติตนเปนพลเมืองดีในเร่ืองอะไรบาง แลวนำมาเลาให
เพื่อน ๆ ฟง ห นาชน้ั เรยี น
70 ค่มู อื ครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนา ทพี่ ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1
ขนั้ ท ่ี 5 สรุป
13. ครแู ละนกั เรยี นรวมกันส รปุ ความรูเร่ือง พลเมืองด ี โดยใหน ักเรยี นสรุปเปน แผนทค่ี วามคดิ
14. ครใูหน ักเรยี นท ำแบบทดสอบห ลังเรียนและชวยกันเฉลยคำตอบ
8. กิจกรรมเสนอแนะ
ครูใหน ักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4–6 คน ศึกษาคนควาเพ่ิมเติมเร่ืองพลเมืองดี และนำขอมูล
มาแลกเปลีย่ นเรียนรูกนั ในชัน้ เรียน จากนัน้ รว มกันอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
9. ส่ือ/แหลงก ารเรยี นรู
1. แบบทดสอบก อนเรียนและหลงั เรยี น
2. ใบงาน เร่อื ง พลเมืองดี
3. แบบบ ันทกึ ก ารระดมค วามคิด
4. ส่ือการเรียนรู หนาทพ่ี ลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชีวติ ในส ังคม สมบูรณแบบ ม. 4–6
เลม 1 บรษิ ทั สำนักพมิ พว ัฒนาพ านชิ จำกัด
5. หนังสอื เรยี น รายวชิ าพ นื้ ฐาน หนา ท่ีพลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวติ ในสงั คม ม. 4–6
เลม 1 บริษัท สำนกั พิมพวัฒนาพ านิช จำกดั
6. แบบฝ ก ทกั ษะ รายวชิ าพ น้ื ฐาน หนา ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และก ารดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม. 4–6
เลม 1 บริษัท สำนักพิมพวัฒนาพ านชิ จำกัด
10. บันทึกหลังการจ ัดการเรยี นรู
1. ความสำเรจ็ ในการจดั การเรียนรู ลงช่อื / ผสู อน
แนวทางการพัฒนา /
2. ปญ หา/อุปสรรคในการจัดการเรยี นรู
แนวทางแกไข
3. สงิ่ ท ีไ่ มไดปฏิบตั ติ ามแผน
เหตผุ ล
4. การปรบั ป รงุ แผนการจดั การเรียนรู
คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนา ที่พลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 71
บนั ทึกขอความ
72 คู่มอื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนา ที่พลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
บันทึกขอ ความ
คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนา ที่พลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1 73
บนั ทึกขอความ
74 คู่มอื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนา ที่พลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
บันทึกขอ ความ
ตอนที่ 3
เอกสาร/ความรูเ้ สริมสำหรบั ครู
สาระท ี่ 2 หน้าที่พ ลเมือง วัฒนธรรม
และก าร ดำเนนิ ช วี ิตในส งั คม
กลุ่มสาระการ เรียน ร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และว ฒั นธรรม
1. มาตรฐานการเรียนรู ตวั ช้วี ดั ชวงชน้ั และสาระการเรยี นรแู กนกลาง
หนา้ ท่พี ลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชวี ติ ในสงั คม ม. 4–6 เล่ม 1
2. โครงงาน (Project Work)
3. แฟม สะสมผลงาน (Portfolio)
4. ผงั การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ตามแนวคดิ Backward Design
5. รูปแบบแผนการจดั การเรียนร้รู ายชวั่ โมง
6. แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน
7. แบบทดสอบปลายภาค
8. ใบงาน แบบบนั ทกึ และแบบประเมินตา่ ง ๆ
76 คู่มือครู แผนการจดั การเรยี นรู้ หนาที่พลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ัดชว่ งช้นั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง
หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ม. 4–6
มาตรฐาน ส 2.1 เขา ใจและป ฏบิ ตั ติ นต ามห นา ทข่ี องก ารเปน พ ลเมอื งด ี มคี า นยิ มท ด่ี งี าม และธำรงรกั ษา
ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยูรวมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอยาง
สันติสขุ
ตัวช้วี ัดชว่ งชั้น สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
1. วเิ คราะหแ ละป ฏบิ ตั ติ นต ามกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ ง 1. กฎหมายแพง เกยี่ วกบั ต นเองและค รอบครัว
กบั ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน ประเทศชาตแิ ละ 2. กฎหมายแพงเก่ียวกับนิติกรรมสัญญา เชน
สงั คมโลก ซ้ือขาย ขายฝาก เชาทรัพย เชาซื้อ กูย ืมเงิน
จำนำ จำนอง
3. กฎหมายอาญา เชน ความผิดเก่ียวกับทรัพย
ความผ ดิ เกี่ยวกบั ชวี ติ และรา งกาย
4. กฎหมายอ่ืนที่สำคัญ เชน รัฐธรรมนูญแหง
ราชอาณาจักรไทยฉบับปจจุบัน กฎหมายการ
รบั ราชการทหาร กฎหมายภาษีอากร กฎหมาย
การคุมครองผ ูบรโิ ภค
5. ขอตกลงระหวางประเทศ เชน ปฏิญญาสากล
วาดวยสิทธิมนุษยชน กฎหมายมนุษยธรรม
ระหวา งประเทศ
2. วเิ คราะหค วามส มั พันธของโครงสราง 1. โครงสรางท างสงั คม
ทางสงั คม การขัดเกลาท างสงั คม และการ 1) การจดั ระเบยี บส งั คม
เปลีย่ นแปลงทางสังคม 2) สถาบนั ทางสังคม
2. การขัดเกลาทางสงั คม
3. การเปล่ียนแปลงทางสังคม
4. การแกป ญหาและแนวทางการพัฒนาสงั คม
3. ปฏบิ ัตติ นและมสี ว นสนับสนนุ ใหผ อู น่ื • คุณลกั ษณะพลเมอื งด ีของป ระเทศชาติและ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื เปนพลเมืองดขี อง สงั คมโลก เชน
ประเทศชาติและส งั คมโลก 1) เคารพกฎหมายแ ละกติกาสังคม
2) เคารพสทิ ธเิ สรภี าพของตนเองและบคุ คลอน่ื
3) มีเหตผุ ล รับฟงค วามคดิ เหน็ ของผ อู น่ื
คมู่ อื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนา ทพ่ี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 77
4) มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ ต นเอง ชมุ ชน ประเทศ
ชาติ และสังคมโลก
5) เขารว มก ิจกรรมทางก ารเมอื งก ารปกครอง
6) มีสวนรวมในการปองกัน แกไขปญหา
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง
สง่ิ แวดลอ ม
7) มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมเปน หลกั ในก ารด ำเนนิ
ชวี ติ
4. ประเมนิ ส ถานการณส ิทธิมนษุ ยชนในประเทศ 1. ความหมาย ความสำคญั แนวคดิ และ
ไทย และเสนอแนวทางพ ัฒนา หลักการของส ิทธมิ นุษยชน
2. บทบาทขององคก รระหวางป ระเทศในเวทโี ลก
ท่มี ีผลตอ ป ระเทศไทย
3. สาระสำคญั ของป ฏิญญาสากลวาดวยสทิ ธิ
มนษุ ยชน
4. บทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั ร
ไทยฉ บบั ปจจบุ ันเกี่ยวกับส ิทธิมนษุ ยชน
5. ปญ หาสิทธมิ นษุ ยชนในประเทศ และแนวทาง
การแกป ญหาและพ ฒั นา
5. วเิ คราะหความจำเปนทีจ่ ะต องม ีการป รับปรุง 1. ความหมายและความสำคญั ของวฒั นธรรม
เปลย่ี นแปลงและอนรุ ักษวฒั นธรรมไทยและ 2. ลกั ษณะและความสำคญั ของวฒั นธรรมไทย
เลือกรับวัฒนธรรมส ากล ท่สี ำคัญ
3. การปรบั ปรุงเปลีย่ นแปลงและอนุรกั ษวัฒน-
ธรรมไทย
4. ความแตกตางระหวางวฒั นธรรมไทยก ับ
วัฒนธรรมสากล
5. แนวทางการอนุรักษว ฒั นธรรมไทยท่ีดีงาม
6. วธิ กี ารเลอื กรบั วฒั นธรรมสากล
78 คมู่ อื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนาทพ่ี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
มาตรฐาน ส 2.2 เขาใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว
ซึ่งก ารปกครองระบอบป ระชาธิปไตยอนั ม ีพ ระมหากษัตริยท รงเปนป ระมขุ
ตัวชวี้ ัดชว่ งช้นั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
1. วเิ คราะหป ญ หาการเมอื งทสี่ ำคญั ในประเทศ 1. ปญ หาก ารเมอื งท่ีสำคญั ทเ่ีกิดข้นึ ภายใน
จากแหลง ขอ มลู ตา ง ๆ พรอมท้ังเสนอแนว ประเทศ
ทางแกไ ข
2. สถานการณการเมอื งก ารปกครองของส ังคม
ไทย
3. อทิ ธพิ ลของระบบการเมืองก ารป กครองท ่ีมี
ผลตอก ารดำเนนิ ชวี ติ
2. เสนอแนวทางท างการเมืองก ารปกครองท ี่ 1. การประสานประโยชนรวมกนั ระหวางประเทศ
นำไปสูค วามเขาใจและก ารป ระสานป ระโยชน เชน การสรา งค วามสมั พนั ธระหวา งไทยกบั
รว มกนั ระหวา งประเทศ ประเทศตา ง ๆ
2. การแลกเปล่ยี นเพ่อื ชว ยเหลือและสง เสรมิ
ดานวัฒนธรรม การศกึ ษา เศรษฐกิจ สังคม
3. วิเคราะหค วามส ำคญั และค วามจำเปนที่ตอ ง • การปกครองต ามระบอบป ระชาธปิ ไตยอนั ม ี
ธำรงรกั ษาไวซง่ึ การป กครองตามระบอบ พระมหากษัตริยท รงเปนป ระมขุ
ประชาธิปไตยอันม พี ระมหากษัตรยิ ท รงเปน
ประมขุ 1) รปู แบบของรัฐ
2) ฐานะและพระราชอำนาจของพระมหา-
กษตั ริย
4. เสนอแนวทางและมสี วนรว มในก ารต รวจสอบ • การต รวจสอบการใชอำนาจรัฐต าม
การใชอ ำนาจรฐั รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจกั รไทยฉ บบั
ปจ จุบัน ท่มี ผี ลตอการเปล่ยี นแปลงทางสังคม
เชน การตรวจสอบโดยองคกรอสิ ระ
การต รวจสอบโดยประชาชน
2. โครงงาน (Project Work)
โครงงานเปนการจัดการเรียนรูท ี่สงเสริมใหน ักเรียนไดล งมือปฏิบัติและศึกษาคนควาดวยตนเอง
ตามแผนการดำเนินงานท่ีนักเรียนไดจัดขึ้น โดยครูชวยใหค ำแนะนำปรึกษา กระตุนใหค ิด และติดตาม
การปฏบิ ตั งิานจนบรรลเุ ปาหมาย โครงงานแบง ออกเปน 4 ประเภท คือ
1. โครงงานประเภทส ำรวจ รวบรวมขอมูล
2. โครงงานประเภทท ดลอง คนควา
3. โครงงานท่เี ปนการศ กึ ษาค วามรู ทฤษฎี หลักการหรือแนวคดิ ใหม
4. โครงงานประเภทส ่งิ ป ระดิษฐ
ค่มู ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนา ทพ่ี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 79
การเรียนรดู วยโครงงานม ขี น้ั ตอนดงั นี้
1. กำหนดหัวขอท่ีจะศึกษา นักเรียนคิดหัวขอโครงงาน ซ่ึงอาจไดม าจากความอยากรูอ ยากเห็น
ของนกั เรยี นเอง หรือไดจากก ารอา นหนงั สอื บทความ การไปทัศนศึกษาดูงาน เปนตน โดยนกั เรียนต อง
ต้งั คำถามวา “จะศ กึ ษาอะไร” “ทำไมต องศ ึกษาเรื่องด ังกลา ว”
2. ศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวของ นักเรียนศึกษาทบทวนเอกสารท่ีเกี่ยวของและปรึกษาครู หรือผูท ่ีมี
ความรูค วามเชย่ี วชาญในสาขาน น้ั ๆ
3. เขียนเคาโครงของโครงงานหรือสรางแผนผังความคิด โดยท่ัวไปเคาโครงของโครงงาน
จะป ระกอบดว ยห วั ขอต าง ๆ ดังนี้
1) ชอ่ื โครงงาน
2) ช่ือผ ูทำโครงงาน
3) ชอื่ ท ป่ี รึกษาโครงงาน
4) ระยะเวลาดำเนินการ
5) หลกั การและเหตผุ ล
6) วตั ถปุ ระสงค
7) สมมุติฐานของการศ ึกษา (ในก รณที ีเ่ ปนโครงงานทดลอง)
8) ขนั้ ตอนก ารด ำเนินงาน
9) ปฏิบัตโิครงงาน
10) ผลที่คาดวาจะไดร บั
11) เอกสารอางองิ /บรรณานุกรม
4. ปฏิบัติโครงงาน ลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานที่กำหนดไว ในระหวางปฏิบัติงานควรมีการ
จดบันทึกขอมูลตาง ๆ ไวอ ยางละเอียดวาทำอยางไร ไดผลอยางไร มีปญหาหรืออุปสรรคอะไรและมี
แนวทางแกไ ขอยา งไร
5. เขยี นรายงาน เปน การรายงานสรปุ ผลก ารด ำเนนิ งาน เพอื่ ใหผ อู น่ื ไดท ราบแนวคดิ วธิ ดี ำเนนิ งาน
ผลท่ีไดรับ และขอเสนอแนะตาง ๆ เกี่ยวกับโครงงาน ซึ่งการเขียนรายงานนี้ควรใชภ าษาที่กระชับ
เขา ใจงาย ชดั เจน และค รอบคลุมประเด็นท ศี่ ึกษา
6. แสดงผลงาน เปนการนำผลของการดำเนินงานมาเสนอ อาจจัดไดห ลายรูปแบบ เชน การจัด
นทิ รรศการ การท ำเปน สอื่ สงิ่ พมิ พ สอื่ ม ลั ตมิ เี ดยี หรอื อาจน ำเสนอในรปู ของก ารแสดงผ ลงาน การน ำเสนอ
ดวยวาจา บรรยาย อภปิ รายก ลุม สาธิต
3 . แ ฟม ส ะสมผ ลงาน (Portfolio )
แฟมสะสมผลงาน หมายถึง แหลงรวบรวมเอกสาร ผลงาน หรือหลักฐาน เพื่อใชส ะทอนถึง
ผลสมั ฤทธิ์ ความสามารถ ทกั ษะ และพ ัฒนาการของน ักเรยี น มีการจดั เรยี บเรียงผ ลงานไวอยา งมรี ะบบ
โดยน ำค วามรู ความคดิ และก ารน ำเสนอม าผ สมผสานก นั ซง่ึ น กั เรยี นเปน ผ คู ดั เลอื กผ ลงานและม สี ว นรว ม
80 คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้ หนา ที่พลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
ในการประเมิน แฟมสะสมผลงานจึงเปนหลักฐานสำคัญท่ีจะทำใหน ักเรียนสามารถมองเห็นพัฒนาการ
ของต นเองไดต ามสภาพจรงิ รวมท้งั เหน็ ขอบกพรอง และแนวท างในการปรบั ปรุงแกไ ขใหด ีขนึ้ ตอไป
ลกั ษณะสำคญั ของการป ระเมนิ ผลโดยใชแฟม สะสมผ ลงาน
1. ครูสามารถใชเปนเคร่ืองมือในการติดตามความกาวหนาของนักเรียนเปนรายบุคคลไดเปน
อยา งด ี เนอื่ งจากม ผี ลงานสะสมไว ครจู ะท ราบจดุ เดน จดุ ดอ ยของน กั เรยี นแตล ะคนจากแฟม สะสมผลงาน
และส ามารถตดิ ตามพัฒนาการไดอยางตอเน่ือง
2. มุงวัดศักยภาพของนักเรียนในการผลิตหรือสรางผลงานมากกวาการวัดความจำจากการ
ท ำแบบทดสอบ
3. วัดและประเมินโดยเนนผูเรียนเปนศูนยกลาง คือ นักเรียนเปนผูวางแผน ลงมือปฏิบัติงาน
รวมทั้งประเมินและปรับปรุงตนเอง ซึ่งมีครูเปนผูช้ีแนะ เนนการประเมินผลยอยมากกวาการประเมิน
ผลรวม
4. ฝกใหน ักเรยี นรจู ักก ารป ระเมนิ ต นเองและหาแนวทางปรับปรงุ พ ัฒนาตนเอง
5. ชวยใหน ักเรียนเกิดความม่ันใจและภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง รูวาตนเองมีจุดเดน
ในเร่ืองใด
6. ชวยในการสื่อความหมายเก่ียวกับความรู ความสามารถ ตลอดจนพัฒนาการของนักเรียน
ใหผ ูท เ่ี กยี่ วของทราบ เชน ผูปกครอง ฝายแนะแนว ตลอดจนผบู รหิ ารของโรงเรียน
ข้นั ตอนก ารป ระเมินผลโดยใชแฟม สะสมผลงาน
การจัดทำแฟมส ะสมผลงานม ี 10 ขนั้ ตอน ซึง่ แตละข้ันตอนมีรายละเอียด ดังน้ี
1. การวางแผนจัดทำแฟมสะสมผลงาน การจัดทำแฟมสะสมผลงานตองมีสวนรวมระหวางครู
นักเรยี น และผปู กครอง
ครู การเตรียมตวั ของค รตู อ งเริ่มจากการศกึ ษาและวเิ คราะหหลักสตู ร คมู อื ครู คำอธิบายรายวิชา
วิธีการวัดและประเมินผลในหลักสูตร รวมทั้งครูตองมีความรูและเขาใจเกี่ยวกับการประเมินโดยใชแฟม
สะสมผลงาน จงึ สามารถวางแผนกำหนดชน้ิ งานได
นกั เรยี น ตอ งม คี วามเขา ใจเกยี่ วกบั จดุ ประสงคก ารเรยี นรู เนอื้ หาส าระ การป ระเมนิ ผลโดยใชแฟม
สะสมผ ลงาน การม สี ว นรว มในกจิ กรรมการเรยี นรู การกำหนดชน้ิ งาน และบ ทบาทในการท ำงานกลมุ โดยครู
ตองแจง ใหน ักเรยี นทราบล วงหนา
ผปู กครอง ตอ งเขา มาม สี ว นรว มในก ารค ดั เลอื กผ ลงาน การแสดงค วามค ดิ เหน็ และรบั รพู ฒั นาการ
ของนักเรียนอยางตอเน่ือง ดังน้ันกอนทำแฟมสะสมผลงาน ครูตองแจงใหผ ูปกครองทราบหรือขอความ
รวมมือ รวมทัง้ ใหค วามรใูนเร่ืองก ารป ระเมินผลโดยใชแฟม สะสมผลงานแกผ ูป กครองเม่ือม ีโอกาส
2. การรวบรวมผ ลงานแ ละจดั ระบบแ ฟม ในก ารรวบรวมผ ลงานต อ งออกแบบก ารจดั เกบ็ ห รอื แยก
หมวดหมูของผลงานใหด ี เพ่ือสะดวกและงายตอการนำขอมูลออกมาใช แนวทางการจัดหมวดหมูของ
ผลงาน เชน
1) จดั แยกต ามลำดับวนั และเวลาท ่สี รางผลงานข้ึนมา
2) จัดแยกตามความซับซอนของผลงาน เปนการแสดงถึงทักษะหรือพัฒนาการของนักเรียน
ที่มากข้นึ
3) จดั แยกต ามวัตถปุ ระสงค เนือ้ หา หรือป ระเภทของผ ลงาน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนา ท่พี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 81
ผลงานที่อยูในแฟมสะสมผลงานอาจมีหลายเรื่อง หลายวิชา ดังนั้นนักเรียนจะตองทำเคร่ืองมือ
ในการชว ยคนหา เชน สารบัญ ดชั นเี รอื่ ง จุดสี แถบสตี ิดไวท ีผ่ ลงานโดยมรี หัสท ี่แตกตา งกัน เปน ตน
3. การคัดเลือกผลงาน ในการคัดเลือกผลงานนั้นควรใหส อดคลองกับเกณฑหรือมาตรฐาน
ท่ีโรงเรียน ครู หรือนักเรียนรวมกันกำหนดข้ึนมา และผูค ัดเลือกผลงานควรเปนนักเรียนเจาของแฟม
สะสมผ ลงาน หรอื ม สี วนรวมกับค รู เพอ่ื น และผ ปู กครอง
ผลงานท่ีเลือกเขาแฟม ส ะสมผ ลงานควรมลี ักษณะดังน้ี
1) สอดคลอ งกบั เน้อื หาและวตั ถุประสงคของก ารเรยี นรู
2) เปนผลงานชิ้นท ดี่ ที สี่ ดุ มีความหมายต อ น กั เรียนม ากทส่ี ุด
3) สะทอนใหเหน็ ถ งึ พัฒนาการของน กั เรียนในทกุ ด าน
4) เปน สอ่ื ท จ่ี ะชว ยใหน กั เรยี นม โี อกาสแลกเปลย่ี นค วามคดิ เหน็ กบั ค รู ผปู กครอง และเพอ่ื น ๆ
สว นจำนวนชน้ิ งานน น้ั ใหก ำหนดต ามค วามเหมาะสม ไมค วรม มี ากเกนิ ไป เพราะอาจจะท ำใหผ ลงาน
บางชนิ้ ไมม ีความหมาย แตถ าม ีนอยเกินไปจะทำใหการประเมินไมมีประสทิ ธภิ าพ
4. การสรางสรรคแฟมสะสมผลงานใหมีเอกลักษณของตนเอง โครงสรางหลักของแฟมสะสม
ผลงานอาจเหมอื นกนั แตน กั เรยี นสามารถต กแตง รายละเอยี ดยอ ยใหแตกตา งกนั ตามค วามคดิ สรา งสรรค
ของแตละบุคคล โดยอาจใชภ าพ สี สติ๊กเกอร ตกแตงใหส วยงามเนนเอกลักษณของเจาของแฟมสะสม
ผลงาน
5. การแสดงความคิดเห็นหรือความรูสึกตอผลงาน ในข้ันตอนนี้นักเรียนจะไดรูจักการวิพากษ
วจิ ารณ หรอื ส ะทอนค วามคดิ เก่ยี วกับผ ลงานของต นเอง ตวั อยา งขอ ความทใี่ ชแสดงความรสู กึ ตอ ผลงาน
เชน
1) ไดแนวคิดจากก ารท ำผลงานช้ินนม้ี าจากไหน
2) เหตผุ ลทเ่ี ลอื กผ ลงานชิน้ น ค้ี ืออะไร
3) จดุ เดน และจุดดอ ยของผ ลงานชิน้ นคี้ ืออะไร
4) รูส กึ พ อใจก บั ผลงานชน้ิ น ม้ี ากนอ ยเพียงใด
5) ไดขอ คดิ อะไรจากการทำผ ลงานชน้ิ น้ี
6. การต รวจสอบค วามสามารถของต นเอง เปน การเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดป ระเมนิ ค วามสามารถ
ของตนเอง โดยพิจารณาตามเกณฑยอย ๆ ท่ีครูและนักเรียนชวยกันกำหนดข้ึน เชน นิสัยการทำงาน
ทกั ษะท างสงั คม การท ำงานเสรจ็ ต ามระยะเวลาท ก่ี ำหนด การขอค วามชว ยเหลอื เมอ่ื ม คี วามจำเปน เปน ตน
นอกจากนก้ี ารต รวจสอบค วามสามารถต นเองอกี วธิ หี นงึ่ คอื การใหน กั เรยี นเขยี นวเิ คราะหจ ดุ เดน จดุ ดอ ย
ของต นเอง และส ่ิงทตี่ อ งปรับปรุงแกไ ข
7. การป ระเมนิ ผ ลงาน เปน ขน้ั ต อนทส่ี ำคญั เนอ่ื งจากเปน การสรปุ ค ณุ ภาพของงานและค วามสามารถ
หรอื พ ฒั นาการของน กั เรยี น การป ระเมนิ แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ คอื การป ระเมนิ โดยไมใหระดบั ค ะแนน
และการป ระเมินโดยใหระดบั ค ะแนน
1) การป ระเมนิ โดยไมใ หร ะดบั ค ะแนน ครกู ลมุ น ม้ี คี วามเชอ่ื วา แฟม สะสมผ ลงานม ไี วเพอื่ ศ กึ ษา
กระบวนการทำงาน ศึกษาความคิดเห็นและความรูสึกของนักเรียนท่ีมีตอผลงานของตนเอง ตลอดจน
ดูพัฒนาการหรือความกาวหนาของนักเรียนอยางไมเปนทางการ ครู ผูปกครอง และเพ่ือนสามารถให
82 คูม่ ือครู แผนการจดั การเรยี นรู้ หนา ทีพ่ ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1
คำชีแ้ นะแกน กั เรียนได ซ่ึงวิธีการน ้ีจะท ำใหน กั เรยี นไดเรยี นรแู ละปฏบิ ตั งิานอยางเต็มที่ โดยไมต องก งั วล
วาจะไดค ะแนนมากน อ ยเทาไร
2) การประเมนิ โดยใหระดับค ะแนน มที งั้ การป ระเมินตามจดุ ประสงคก ารเรียนรู การประเมิน
ระหวางภาคเรียน และการประเมินปลายภาค ซ่ึงจะชวยในวัตถุประสงคดานการปฏิบัติเปนหลัก
การประเมินแฟมสะสมผลงานตองกำหนดมิติการใหคะแนน (scoring rubrics) ตามเกณฑท่ีครูและ
นักเรียนรวมกันกำหนดข้ึน การใหระดับคะแนนมีท้ังการใหคะแนนเปนรายชิ้นกอนเก็บเขาแฟมสะสม
ผลงาน และการใหคะแนนแฟมสะสมผลงานท้ังแฟม ซ่ึงมาตรฐานคะแนนน้ันตองสอดคลองกับ
วัตถุประสงคการจัดทำแฟมสะสมผลงาน และมุงเนนพัฒนาการของนักเรียนแตละคนมากกวาการนำไป
เปรยี บเทยี บกบั บคุ คลอนื่
8. การแลกเปล่ียนประสบการณกับผูอ่ืน มีวัตถุประสงคเพ่ือเปดโอกาสใหน ักเรียนไดรับฟง
ความค ดิ เหน็ จากผ ทู ม่ี สี ว นเกย่ี วขอ ง ไดแ ก เพอื่ น ครู และผ ปู กครอง อาจท ำไดห ลายรปู แบบ เชน การจดั
ป ระชุมในโรงเรียนโดยเชิญผทู มี่ ีสวนเก่ยี วขอ งม ารวมกนั พจิ ารณาผ ลงาน การสนทนาแลกเปลย่ี นระหวา ง
นกั เรยี นกับเพื่อน การส ง แฟม ส ะสมผลงานไปใหผ ทู ี่มีสว นเกีย่ วของชวยใหขอ เสนอแนะหรือค ำแนะนำ
ในการแลกเปลี่ยนประสบการณนั้นนักเรียนจะตองเตรียมคำถามเพื่อถามผูท ่ีมีสวนเกี่ยวของ
ซึง่ จะเปน ประโยชนในก ารป รบั ปรุงงานของต นเอง ตัวอยางค ำถาม เชน
1) ทา นค ดิ อยางไรกบั ผ ลงานชิน้ น ้ี
2) ทานค ิดวาค วรป รับปรงุ แกไ ขส ว นใดอกี บ าง
3) ผลงานช้ินใดท ีท่ านชอบมากท สี่ ดุ เพราะอะไร
ฯลฯ
9. การปรับเปล่ียนผลงาน หลังจากที่นักเรียนไดแลกเปล่ียนความคิดเห็น และไดรับคำแนะนำ
จากผ ทู มี่ สี ว นเกย่ี วขอ งแลว จะน ำมาป รบั ปรงุ ผ ลงานใหด ขี นึ้ นกั เรยี นสาม ารถ นำผ ลงานท ด่ี กี วา เกบ็ เขา แฟม
สะสมผลงานแทนผลงานเดิม ทำใหแ ฟมสะสมผลงานมีผลงานที่ดี ทันสมัย และตรงตามจุดประสงค
ในการประเมนิ
10. การประชาสมั พนั ธผ ลงานของนกั เรียน เปนการแสดงนทิ รรศการผ ลงานของน กั เรยี น โดยนำ
แฟมสะสมผลงานของนักเรียนทุกคนมาจัดแสดงรวมกัน และเปดโอกาสใหผ ูปกครอง ครู และนักเรียน
ท่ัวไปไดเขาชมผลงาน ทำใหน ักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง ผูท ี่เร่ิมตนทำแฟมสะสม
ผลงานอาจไมต องดำเนินการทั้ง 10 ข้ันตอนน้ี อาจใชข้ันตอนหลัก ๆ คือ การรวบรวมผลงานและ
การจัดระบบแฟม การค ดั เลือกผ ลงาน และการแสดงความคิดเห็นห รือค วามรสู ึกตอผ ลงาน
คู่มอื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนา ทพ่ี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 83
องคประกอบสำคญั ของแ ฟม สะสมผลงาน มีดังนี้
1. สวนนำ ประกอบดวย
– ปก
– คำนำ
– สารบญั
– ประวตั สิ วนตวั
– จดุ มงุ หมายของก ารท ำแฟม
สะสมผลงาน
2. สวนเนื้อหาของแ ฟม ประกอบดว ย
– ผลงาน
– ความคดิ เห็นท่มี ีต อผลงาน
– Rubrics ประเมนิ ผ ลงาน
3. สว นขอ มลู เพม่ิ เตมิ ประกอบดว ย
– ผลการป ระเมนิ การเรียนรู
– การรายงานความกาวหนาโดยครู
– ความคิดเห็นของผทู ีม่ สี ว นเกี่ยวขอ ง
เชน เพอ่ื น ผปู กครอง
84 ค่มู อื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หนา ท่พี ลเมอื งฯ ม. 4–6 เลม 1
4. ผงั การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิด Backward Design
ผังการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิด Backward Design
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี
ขน้ั ท ่ี 1 ผลลพั ธปลายทางทต่ี องการใหเ กดิ ขน้ึ กับนกั เรียน
ตวั ช้วี ัดชว งช้ัน คำถามสำคัญที่ทำใหเ้ กดิ ความเข้าใจท่ีคงทน
1.
2. 1.
ความเขา้ ใจท่คี งทนของนกั เรยี น 2.
นกั เรียนจะเขา้ ใจว่า… ทักษะ/ความสามารถของนกั เรียนท่นี ำไปสู่ความ
1. เขา้ ใจทคี่ งทน นักเรยี นจะสามารถ...
2. 1.
ความรขู องนักเรยี นทน่ี ำไปสูค วามเขา ใจทีค่ งทน 2.
นกั เรียนจะรวู า … 3.
1.
2.
3.
ขนั้ ท่ ี 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ซึ่งเปน็ หลกั ฐานที่แสดงว่านักเรยี นมผี ลการเรยี นรู้
ตามท่ีกำหนดไวอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ
1. ภาระงานที่นักเรียนต้องปฏบิ ตั ิ
1.1
1.2
2. วิธีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2.1 วธิ กี ารประเมินผ ลการเรียนรู 2.2 เคร่ืองมอื ประเมนิ ผ ลการเรียนรู
1)
2) 1)
2)
3. สง่ิ ทม่ี งุ ประเมนิ
3.1
3.2
3.3
ขนั้ ท่ ี 3 แผนการจดั การเรยี นรู้
คมู่ อื ครู แผนการจดั การเรียนรู้ หนาทพ่ี ลเมืองฯ ม. 4–6 เลม 1 85
5. รปู แบบแผนการจดั การเรยี นรู้รายชว่ั โมง
เม่ือครูออกแบบการจัดการเรียนรูต ามแนวคิด Backward Design แลว ครูสามารถเขียนแผน
การจัดการเรียนรูรายช่ัวโมงโดยใชรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรูแ บบเรียงหัวขอ ซึ่งมีรายละเอียด
ดังนี้
ชือ่ แ ผน...(ระบชุ ื่อและลำดับทขี่ องแผนการจดั การเรยี นร)ู
ชอื่ เร่ือง...(ระบชุ อ่ื เรื่องท ี่จะท ำการจดั การเรยี นรู)
สาระท่ี...(ระบสุ าระทใ่ี ชจดั การเรียนรู)
ชน้ั ...(ระบุช้ันทจ่ี ัดการเรยี นร)ู
หนว ยการเรียนรูท ี.่ ..(ระบชุ ื่อและลำดับทข่ี องหนว ยการเรียนรู)
เวลา...(ระบุระยะเวลาท ี่ใชในก ารจดั การเรียนรตู อ 1 แผน)
สาระสำคัญ...(เขยี นค วามคดิ รวบยอดห รอื ม โนทศั นของห วั เร่อื งท จี่ ะจัดการเรียนรู)
ตัวช้วี ดั ชว งชน้ั ...(ระบตุ วั ชวี้ัดชว งชนั้ ท่ใี ชเปนเปาหมายของแผนการจดั การเรียนร)ู
จุดประสงคก ารเรียนรู...กำหนดใหส อดคลองกับสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค
ของนักเรียนหลังจากสำเร็จการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
ซึง่ ป ระกอบดวยด า นค วามรู (Knowledge: K) ดานคณุ ธรรม จริยธรรม และค านิยม (Affective: A) และ
ดา นท ักษะกระบวนการ (Performance: P)
การวัดและประเมินผลการเรียนรู...(ระบุวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับ
จุดประสงคก ารเรียนรทู ้ัง 3 ดา น)
สาระก ารเรียนร.ู ..(ระบสุ าระและเน้ือหาทใ่ี ชจดั การเรียนรู อาจเขยี นเฉพาะห วั เรอ่ื งก ไ็ ด)
แนวทางบูรณาการ...(เสนอแนะและระบกุ ิจกรรมของก ลมุ สาระอืน่ ท บ่ี รู ณาการรว มกัน)
กระบวนการจัดการเรียนรู...(กำหนดใหส อดคลองกับธรรมชาติของกลุมสาระและการบูรณาการ
ขา มสาระ)
กิจกรรมเสนอแนะ...(ระบรุ ายละเอยี ดของกิจกรรมท นี่ ักเรียนควรปฏบิ ัตเิ พมิ่ เติม)
สือ่ /แหลงเรยี นรู...(ระบสุ อื่ อุปกรณ และแหลง เรียนรทู ใ่ีชในการจัดการเรยี นรู)
บันทึกหลังการจัดการเรียนรู...(ระบุรายละเอียดของผลการจัดการเรียนรูต ามแผนท่ีกำหนดไว
อาจนำเสนอขอ เดนและขอดอ ยใหเปน ขอมลู ท สี่ ามารถใชเปน ส วนหนึง่ ของการท ำวจิ ยั ในชัน้ เรยี นได
86 คู่มอื ครู แผนการจัดการเรยี นรู้ หน้าทพี่ ลเมืองฯ ม. 4–6 เล่ม 1
6. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น
แบบ ทดสอบก อ่ นเ รยี น และห ลงั เรยี น
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 สังคม
คำชแ้ี จง เลือกคำตอบทถี่ ูกตอ งทสี่ ุดเพียงคำตอบเดยี ว
1. แบบแผนความสมั พนั ธร ะหวา งองคป ระกอบ 5. สถาบันใดมีหนาที่อบรมปลูกฝงระเบียบ
ตา ง ๆ ของระบบสงั คมเปน็ ความหมายของ ทางสังคมแกสมาชกิ
อะไร ก สถาบันศาสนา
ก ช่วงชน้ั ทางสงั คม ข สถาบันการศึกษา
ข รูปแบบทางสงั คม ค สถาบนั ครอบครวั
ค โครงสรา้ งทางสงั คม ง ถูกทุกข้อ
ง การเปล่ยี นแปลงทางสังคม
6. สถาบันสังคมใดท่ีเก่ียวของกับแบบแผน
2. ขอ ใดไมใชลกั ษณะโครงสรา งทางสงั คม การสนองความตองการปจจัยพื้นฐานท่ี
ก เคล่อื นไหวเปล่ียนแปลงไมไ่ ด้ จำเปน็ ของมนุษย
ข มกี ารรวมกลุ่มของคนในสงั คม ก สถาบันศาสนา
ค มจี ดุ มงุ่ หมายในการปฏบิ ตั ิกิจกรรม ข สถาบนั เศรษฐกิจ
ง มีแนวทางในการปฏิบตั อิ ยา่ งเหมาะสม ค สถาบันการศกึ ษา
ง สถาบนั การเมอื งการปกครอง
3. ขอใดเปน็ กลมุ สงั คม
ก กลมุ่ คนที่โดยสารบนรถไฟ 7. รัฐสภามีความเก่ียวของกับสถาบันสังคม
ข กลมุ่ นกั เรยี นทีเ่ รียนอย่ใู นหอ้ งเดยี วกนั ในขอใดมากทีส่ ุด
ค กลุ่มคนท่ีกำลังซ้ือของอยู่ในห้างสรรพ- ก สถาบนั ศาสนา
สนิ ค้า ข สถาบันเศรษฐกจิ
ง กลุ่มคนท่ียืนรอรถประจำทางบริเวณ ค สถาบนั การศึกษา
ปา ยรถประจำทาง ง สถาบันการเมืองการปกครอง
4. ขอใดกลาวถกู ตอง 8. การทำใหสังคมเกิดความเป็นระเบียบ
ก สถาบันสงั คมมลี ักษณะเปนรูปธรรม เรียบรอย มคี วามมนั่ คงเพ่ือใหส มาชิกของ
ข สถาบนั สงั คมเกดิ จากการยอมรบั รว่ มกนั สังคมใชชีวิตของตนอยูในสังคมไดอยาง
ของสมาชิกในสงั คม สงบสขุ เป็นความหมายของอะไร
ค สถาบนั สงั คมเกดิ จากการเช่ือมโยง ก ช่วงชน้ั ทางสงั คม
บรรทัดฐานตา่ ง ๆ ของสงั คม ข การจดั ระเบียบสังคม
ง สถาบันสังคมเกิดขึ้นเพ่ือสนองความ ค ความเหล่ือมล้ำทางสงั คม
ต้องการของสมาชกิ ในอกี สังคมหนึ่ง ง การเปลยี่ นแปลงทางสังคม