The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสาระวิทย์ รายสาระ ปรับปรุง 61 ป.4(โรงเรียนบือดองพัฒนา )ฉบับปรับปรุง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lipta.tata, 2021-07-22 10:50:01

หลักสูตรวิทยาศาสตร์ป.4

หลักสูตรสาระวิทย์ รายสาระ ปรับปรุง 61 ป.4(โรงเรียนบือดองพัฒนา )ฉบับปรับปรุง

หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551

หลกั สตู รโรงเรียนบือดองพัฒนา
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

(ฉบบั ปรงุ ปรุง พ.ศ. 256๓)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน

พทุ ธศักราช 2551
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๔

สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษา ยะลา เขต 1

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

ประกาศโรงเรียนบอื ดองพฒั นา
เรอื่ ง ให้ใช้หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนบอื ดองพัฒนา

กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน

พุทธศกั ราช 2551 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔

.................................................................................................................

ด้วยโรงเรียนบือดองพัฒนา ได้จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาตามแนวทางการดำเนินการ
หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ และกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o )
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดทุกประการ มีองค์ประกอบสำคญั
ครบถ้วนสมบรู ณ์ สามารถนำไปใช้เพื่อการพฒั นาการจดั การศึกษาใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ตามเป้าหมายท่ีกำหนดได้
เป็นอยา่ งดี

ทั้งนี้ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบือดองพัฒนา ได้รับความเป็นชอบจากคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ ๒๓ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ จึงประกาศให้ใช้หลักสูตรสถานศึกษา
ตั้งแตบ่ ดั น้เี ปน็ ต้นไป

ประกาศ ณ วนั ท่ี ๒๓ เดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๓

ลงชอื่
( นายอบั ดุลเลา๊ ะ แวหะโละ )

ผ้อู ำนวยการโรงเรียนบอื ดองพฒั นา

ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 3
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551

คำรับรองของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน

โรงเรียนบอื ดองพัฒนา

..............................................................................................................

อาศัยอำนาจหน้าที่ตาม เจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กำหนดให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของ
โรงเรียน มีบทบาทหน้าที่ ในการมีส่วนร่วมจัดทำนโยบาย แผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา ให้ความ
เห็นชอบในการจัดตั้งงบประมาณและรับผิดชอบต่อการใช้จ่ายงบประมาณของสถานศึกษา ตลอดจนพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานและ ความต้องการของนักเรียน
ชุมชน และท้องถิน่

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบือดองพัฒนา ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำ
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบือดองพัฒนา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๓ ) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ และขอลงนามรับรองการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบือดองพัฒนา กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๓ ) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ฉบบั นี้ ให้ถอื ใช้บริหารงานโรงเรยี นได้

ลงชื่อ
( นายอับดุลอาซิ มูดิง )

ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน

ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

คำนำ

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เล่มนี้ ได้จัดทำขึ้นโดย
ยึดตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๐ ) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งมีรายเอียดของหลักสูตร คือ ความนำ กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ โครงสรา้ งเวลาเรียน คำอธบิ ายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวิชา การจัดการเรยี นรู้ สือ่ การเรยี นรู้

หลกั สูตรสถานศกึ ษานี้มรี ายละเอยี ดและเน้ือหาสาระสำคัญเพียงพอทีส่ ามารถจะนำไปใช้เป็น
แนวทางในการจัดการเรียนการสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ในปีการศึกษา 2561 ให้บรรลุเป้าหมายตาม
มาตรฐานและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กำหนดไว้

คณะผู้จัดทำ

ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ข
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

สารบญั

คำนำ ความนำ หนา้
สารบญั กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ก
ส่วนท่ี ๑ โครงสร้างหลกั สตู รสถานศึกษา ข
ส่วนท่ี ๒ คำอธบิ ายรายวิชา. ๑
สว่ นท่ี ๓ โครงสรา้ งหนว่ ยการเรียนรู้ ๕
สว่ นที่ ๔ ส่วนลงท้าย ๑๘
สว่ นที่ ๕ ภาคผนวก 2๐
ส่วนท่ี ๖ ภาคผนวก ก บันทกึ การประชุม 2๔
ภาคผนวก ข คำสั่งแตง่ ตงั้ 3๕
ภาคผนวก ค แบบประเมนิ หลักสตู ร ๕๓
ภาคผนวก ง ภาพถ่าย ๕๔
ภาคผนวก จ รายช่อื คณะกรรมการจดั ทำหลักสตู ร ๖๐
๖๓
๖๖
๖๙

ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

ส่วนที่ ๑
ความนำ

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตาม
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มหี ลักการท่ีสำคัญ ดงั น้ี

๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ
เรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของ
ความเป็นไทยควบคู่กบั ความเปน็ สากล

๒. เป็นหลกั สตู รการศึกษาเพ่ือปวงชน ทป่ี ระชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ ับการศึกษาอย่างเสมอภาค
และมคี ณุ ภาพ

๓. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาทส่ี นองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมีส่วนรว่ มในการจัดการศึกษา
ใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถน่ิ

๔. เป็นหลกั สูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยดื หยุ่นท้ังดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจดั การ
เรยี นรู้

๕. เปน็ หลักสูตรการศึกษาท่เี น้นผู้เรียนเป็นสำคญั
๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ครอบคลมุ ทุกกลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์

วสิ ยั ทัศนโ์ รงเรียน

มงุ่ พฒั นาสง่ เสริม สนบั สนนุ และต่อยอดผู้เรยี นบคุ ลากร ให้มคี ุณภาพระดับมมาตรฐาน
มีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขบนพื้นฐานความพอเพียง บุคลากรมีความรู้
ความมสามารถ กา้ วหน้าดา้ นเทคโนโลยี ส่งิ แวดลอ้ มดี ภายใตก้ ารบรหิ ารจดั การแบบมสี ่วนรว่ ม

พนั ธกจิ โรงเรียน

๑. จดั การเรียนรโู้ ดยยึดผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
๒. จัดการเรยี นร้โู ดยสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
๓. จดั กิจกรรมสง่ เสริมใหเ้ ดก็ คดิ เป็น ทำเปน็ แก้ปัญหาเปน็ และใฝใ่ จค่านยิ ม
๔. จดั กิจกรรมส่งเสริมใหเ้ ด็กมีจนิ ตนาการและความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์
๕. สรา้ งความสัมพนั ธ์อนั ดรี ะหวา่ งโรงเรยี นกับชุมชน
๖. พฒั นาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ พฒั นาตนเองอย่างต่อเนื่องและเปน็ แบบอย่างท่ีดี
๗. ใชแ้ ผนเป็นเครื่องมือในการบริหารดำเนนิ การ
๘. ประกนั คุณภาพภายใน เพ่ือรองรับการประเมินภายนอก

ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 2
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

เปา้ ประสงค์
๑. ผเู้ รยี นมีความรูแ้ ละทักษะทจี่ ำเป็นตามหลกั สูตร
๒. ผเู้ รียนมคี ุณธรรม จริยธรรม มคี า่ นยิ มที่พึงประสงค์ จิตสำนกึ ในการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
๓. ผ้เู รียนมีสุขนสิ ยั สขุ ภาพกายและสขุ ภาพใจทด่ี ี
๔. ผเู้ รียนมคี ุณภาพตามมาตรฐานการศกึ ษา
๕. ผ้เู รียนมีการคดิ วเิ คราะห์ สร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
๖. ผู้เรียนมใี จรกั สง่ิ แวดลอ้ ม สบื สานประเพณวี ฒั นธรรมในทอ้ งถ่นิ ใช้ชวี ติ อยู่อย่างพอเพยี ง
๗. ผ้เู รยี นได้เรยี นร้จู ากแหล่งเรยี นรแู้ ละภมู ิปัญญาท้องถ่ิน

สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มุ่งใหผ้ ้เู รียนเกิดสมรรถนะสำคญั ๕ ประการ ดงั น้ี

๑. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการ
ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
และประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลด
ปัญหาความขัดแยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรบั หรอื ไม่รับข้อมูลข่าวสารดว้ ยหลักเหตผุ ลและความถูกต้อง ตลอดจนการ
เลอื กใช้วธิ กี ารสือ่ สาร ท่มี ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบทีม่ ีตอ่ ตนเองและสงั คม

๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพือ่ การตัดสนิ ใจเก่ียวกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ ท่ี
เผชิญได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์
และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ
แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ
ส่งิ แวดล้อม

๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมไม่พึงประสงคท์ ส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อ่ืน

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ 3
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551

๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี ้าน
ตา่ ง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสงั คม ในด้านการเรยี นรู้ การส่ือสาร
การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม

คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะ
อนั พงึ ประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อืน่ ในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและ
พลโลก ดังนี้
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
๒. ซอ่ื สตั ย์สุจรติ
๓. มีวินยั
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง
๖. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ

ค่านยิ มหลักของคนไทย ๑๒ ประการ ตามนโยบายของ คสช.

๑มีความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ .
๒ซือ่ สัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในส่ิงที่ดงี ามเพ่ือส่วนรวม .
๓. กตญั ญตู อ่ พอ่ แม่ ผูป้ กครอง ครูบาอาจารย์
๔. ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศกึ ษาเลา่ เรยี น ท้ังทางตรงและทางออ้ ม
๕. รกั ษาวฒั นธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
๖มีศลี ธรรม รกั ษาความสตั ย์ หวงั ดตี ่อผู้อนื่ เผื่อแผแ่ ละแบง่ ปัน .

ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 4
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

๗ เขา้ ใจเรยี นรกู้ ารเป็นประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ท่ถี ูกตอ้ ง .

๘.มีระเบยี บวนิ ยั .เคารพกฎหมาย ผู้นอ้ ยรูจ้ ักการเคารพผู้ใหญ่

๙. มสี ตริ ้ตู วั รู้คิด รู้ทำ รูป้ ฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว .

๑๐ .รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยาย
กิจการเม่อื มีความพรอ้ ม เมือ่ มีภมู คิ ้มุ กันที่ดี

๑๑ .มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอายเกรง
กลัวต่อบาปตามหลกั ของศาสนา

๑๒ .คำนึงถงึ ผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 5
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

ส่วนที่ ๒

กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ ได้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น ๔ สาระ ได้แก่ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ ๓
วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี มสี าระเพิ่มเติม ๔ สาระ ไดแ้ ก่ สาระชวี วทิ ยา สาระเคมี
สาระฟิสิกส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซ่งึ องคป์ ระกอบของหลักสตู ร ทั้งในด้านของเนอ้ื หา การจดั การ
เรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึง
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ สำหรบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรไ์ ด้กำหนดตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ทผี่ ูเ้ รยี นจำเปน็ ต้องเรยี นเป็นพื้นฐาน เพื่อใหส้ ามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชวี ิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่
ตอ้ งใชว้ ิทยาศาสตรไ์ ด้

โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเช่ื อมโยง
ความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิด
เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถ
แกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถตดั สนิ ใจ โดยใช้ขอ้ มูลหลากหลายและประจกั ษพ์ ยานทตี่ รวจสอบได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของ
การจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ทีม่ ุง่ หวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากท่ีสุด จึงได้จัดทำมาตรฐาน ตัวชี้วัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ข้ึน เพ่ือใหส้ ถานศกึ ษา ครผู ้สู อน ตลอดจนหนว่ ยงานตา่ ง ๆ
ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและ
ประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุง เพื่อให้มี
ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับการงานอาชีพและเทคโนโลยีด้วย
นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มคี วามทันสมยั ต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหนา้ ของวิทยาการต่าง

ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ สรุปเปน็ แผนภาพได้ ดังน้ี

ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 6
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

สาระท่ี 2
วทิ ยาศาสตรก์ ารภาพ

มาตรฐาน
ว 2.1-ว 2.3

สาระท่ี 1 กลุม่ สาระ สาระท่ี 3
วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ
การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและ
มาตรฐาน วทิ ยาศาสตร์ อวกาศ
ว 1.1-ว 1.3
มาตรฐาน

ว 3.1-ว 3.2

สาระท่ี 4
เทคโนโลยี
มาตรฐาน
ว 4.1-ว 4.2

วทิ ยาศาสตรเ์ พมิ่ เตมิ
▪ สาระชวี วทิ ยา
▪ สาระเคมี
▪ สาระฟิสกิ ส์
▪ สารโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 7
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551

เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์
ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด

เพื่อใหไ้ ดท้ ้ังกระบวนการและความรู้ จากวิธกี ารสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นำผล ที่ได้มา
จดั ระบบเปน็ หลกั การ แนวคดิ และองคค์ วามรู้

การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมีเปา้ หมายทีส่ ำคัญ ดงั นี้
๑. เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน็ พน้ื ฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์
๒. เพ่อื ใหเ้ ข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกดั ในการศกึ ษาวิชาวทิ ยาศาสตร์
๓. เพอ่ื ใหม้ ที ักษะทส่ี ำคญั ในการศกึ ษาคน้ ควา้ และคดิ ค้นทางเทคโนโลยี
๔. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ท่มี ีอทิ ธิพลและผลกระทบซ่ึงกนั และกนั
๕. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชนต์ ่อสังคมและ
การดำรงชวี ิต
๖. เพอื่ พฒั นากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหา และ การจดั การ ทกั ษะ
ในการสอ่ื สาร และความสามารถในการตดั สินใจ
๗. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรค์

เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรม์ ุ่งหวังให้ผเู้ รียนได้เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ทีเ่ นน้ การเชื่อมโยงความรู้กับ
กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการ ทำกิจกรรมด้วยการลง
มือปฏบิ ัตจิ ริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั โดยกำหนดสาระสำคัญ ดังนี้
1.วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตการดำรงชีวิต
ของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ
สิง่ มชี วี ิต
2.วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่
พลังงาน และคล่ืน
3.วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ
สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศ
และผลตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม

ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 8
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

4.เทคโนโลยี
●การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ

เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แก้ปญั หาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยี
อย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ิต สังคม และส่งิ แวดลอ้ ม

●วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็น
ข้นั ตอนและเป็นระบบ ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
ในการแกป้ ญั หาท่พี บในชีวิตจริงได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พันธ์ระหว่างส่งิ ไมม่ ีชีวติ กับสิง่ มชี ีวิต
และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ
สงิ่ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อม รวมท้ังนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก
จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร
พนั ธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิง่ มีชวี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ฒั นาการของ
สงิ่ มีชีวิต รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ
สสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี

มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวตั ถุ ลักษณะการ
เคลอื่ นท่แี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง
กับเสียง แสง และคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ 9
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ

กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล
ตอ่ สิง่ มีชีวติ และส่ิงแวดล้อม
สาระที่ ๔ เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพอ่ื การดำรงชีวิตในสงั คมทมี่ กี ารเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา
งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย
คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม

มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ รูเ้ ท่าทนั และมีจริยธรรม

คุณภาพผ้เู รยี น
จบชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖

❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวติ รวมทั้งความสัมพันธ์ของสิง่ มีชวี ติ ใน
แหลง่ ทอ่ี ยู่ การทำหน้าท่ขี องส่วนตา่ ง ๆ ของพชื และการทำงานของระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์

❖ เขา้ ใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสารการละลาย การ
เปลยี่ นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงทผ่ี นั กลับได้และผันกลับไม่ได้ และการแยกสาร อย่างง่าย

❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแรงโน้มถว่ งของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟา้ และผลของแรงต่างๆ ผล
ท่ีเกิดจากแรงกระทำต่อวตั ถุ ความดัน หลักการทม่ี ตี อ่ วัตถุ วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ปรากฏการณเ์ บือ้ งตน้ ของเสียง
และแสง

❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตกรวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การ
ขนึ้ และตกของกล่มุ ดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกดิ อปุ ราคา พฒั นาการและประโยชน์ ของเทคโนโลยี
อวกาศ

❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำ
ฟ้า กระบวนการเกิดหนิ วฏั จักรหิน การใชป้ ระโยชนห์ ินและแร่ การเกดิ ซากดึกดำบรรพ์ การเกดิ ลมบก ลม
ทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิด และผลกระทบของ
ปรากฏการณ์เรือนกระจก

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 10
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551

❖ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง
ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจสิทธิ และหน้าที่
ของตน เคารพสทิ ธิของผู้อ่ืน

❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาเกยี่ วกับส่ิงทีจ่ ะเรียนรตู้ ามทกี่ ำหนดใหห้ รือตามความสนใจ คาดคะเน
คำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและ
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง
เชิงปรมิ าณและคุณภาพ

❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน
รปู แบบทเ่ี หมาะสม เพ่ือสื่อสารความรจู้ ากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมเี หตผุ ลและหลกั ฐานอา้ งอิง

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม
ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ
คิดเหน็ ผู้อนื่

❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลลุ ่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ความรู้และกระบวนการ ทาง
วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหา
ความรเู้ พ่ิมเตมิ ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามท่กี ำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสิง่ แวดลอ้ มอยา่ งรู้คณุ คา่

ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ 11
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งไม่มีชวี ติ กับสิ่งมีชีวติ

และความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มชี วี ติ กับสิ่งมีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอด
พลงั งาน การเปลย่ี นแปลงแทนทใี่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ
ผลกระทบท่มี ีต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มแนวทางในการอนุรกั ษ์
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ชน้ั -

ป.๔ -

สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัติของส่งิ มชี ีวิต หน่วยพน้ื ฐานของสง่ิ มีชีวติ การลำเลียงสารเขา้ และออกจาก

เซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสร้างและหนา้ ที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ี
ทำงานสมั พันธก์ นั ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ขี องอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ท่ี
ทำงานสมั พนั ธก์ นั รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ช้ัน ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.๔ ๑. บรรยายหน้าทีข่ องราก ลำต้น • สว่ นต่าง ๆ ของพชื ดอกทำหน้าที่แตกต่างกนั

ใบ และดอกของพชื ดอก โดยใช้ - รากทำหน้าทด่ี ดู น้ำและธาตุอาหารขนึ้ ไปยังลำตน้

ข้อมูลที่รวบรวมได้ - ลำต้นทำหนา้ ท่ลี ำเลียงน้ำต่อไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของพชื

- ใบทำหนา้ ทส่ี ร้างอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้น คือ นำ้ ตาลซ่งึ

จะเปลย่ี นเป็นแปง้

- ดอกทำหนา้ ท่สี ืบพนั ธ์ุ ประกอบด้วย ส่วนประกอบตา่ ง ๆ

ได้แก่ กลบี เล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย

ซ่งึ ส่วนประกอบแตล่ ะส่วนของดอกทำหนา้ ที่แตกต่างกนั

ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ 12
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐานว๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมสารพันธกุ รรม

การเปลย่ี นแปลงทางพันธกุ รรมท่มี ีผลต่อสิ่งมีชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพและ
ววิ ัฒนาการของสิ่งมีชีวติ รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.๔ ๑. จำแนกส่ิงมีชวี ิตโดยใช้ความเหมือน และ • สง่ิ มชี วี ติ มหี ลายชนดิ สามารถจดั กลุ่มได้ โดยใชค้ วาม

ความแตกต่างของลักษณะของส่งิ มชี วี ติ เหมือนและความแตกต่างของลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ กลุ่ม

ออกเปน็ กลุ่มพชื กล่มุ สตั ว์ และกล่มุ ที่ไม่ใช่ พืชสรา้ งอาหารเองได้ และเคล่ือนทีด่ ว้ ยตนเองไม่ได้

พืชและสัตว์ กลมุ่ สตั วก์ ินส่ิงมีชีวติ อ่ืนเปน็ อาหารและเคล่ือนท่ีได้

กล่มุ ทีไ่ ม่ใชพ่ ชื และสัตว์ เชน่ เห็ด รา จุลินทรยี ์

๒. จำแนกพชื ออกเป็นพชื ดอกและพืชไม่มี • การจำแนกพืช สามารถใช้การมดี อกเป็นเกณฑใ์ น

ดอก โดยใชก้ ารมีดอกเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูล การจำแนก ได้เป็นพชื ดอกและพชื ไมม่ ดี อก

ทีร่ วบรวมได้

๓. จำแนกสตั วอ์ อกเปน็ สตั วม์ ีกระดูกสนั หลัง • การจำแนกสตั ว์ สามารถใช้การมีกระดกู สันหลัง เป็น

และสตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมี เกณฑ์ในการจำแนก ได้เปน็ สตั วม์ ีกระดูกสันหลังและ

กระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ที่ สตั ว์ไมม่ กี ระดูกสันหลงั

รวบรวมได้

๔. บรรยายลักษณะเฉพาะทสี่ ังเกตได้ของ • สัตว์มีกระดกู สนั หลงั มีหลายกลมุ่ ได้แก่ กลมุ่ ปลา

สตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั ในกล่มุ ปลา กลมุ่ สตั ว์ กลุ่มสตั วส์ ะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่มสตั ว์เลอื้ ยคลาน

สะเทนิ น้ำสะเทนิ บก กลุม่ สตั ว์เลอื้ ยคลาน กลุ่มนก และกลุม่ สัตวเ์ ล้ียงลกู ดว้ ยน้ำนม ซง่ึ แตล่ ะกลมุ่

กลุ่มนก และกลุม่ สัตวเ์ ลี้ยงลูกดว้ ยน้ำนม จะมลี กั ษณะเฉพาะท่สี ังเกตได้

และยกตัวอย่างสง่ิ มีชวี ิตในแต่ละกลมุ่

ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ 13
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกบั

โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ

เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี

ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.๔ ๑. เปรียบเทียบสมบตั ทิ างกายภาพด้าน • วัสดแุ ต่ละชนดิ มีสมบัตทิ างกายภาพแตกตา่ งกนั วสั ดทุ ี่มี

ความแขง็ สภาพยืดหยนุ่ การนำความร้อน ความแข็งจะทนต่อแรงขดู ขีด วสั ดทุ มี่ สี ภาพยดื หย่นุ จะ

และการนำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลกั ฐาน เปล่ียนแปลงรูปรา่ งเม่ือมีแรง

เชิงประจกั ษจ์ ากการทดลองและระบุการนำ มากระทำและกลับสภาพเดิมได้ วสั ดุที่

สมบัตเิ รือ่ งความแข็ง สภาพยืดหยนุ่ การนำ นำความรอ้ นจะรอ้ นไดเ้ รว็ เมื่อไดร้ ับความร้อน

ความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ และวัสดุทนี่ ำไฟฟา้ ได้ จะให้กระแสไฟฟ้าผา่ นได้

ในชวี ติ ประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบ ดงั นั้นจงึ อาจนำสมบตั ิต่าง ๆ มาพิจารณาเพ่ือใช้ใน

ชน้ิ งาน

๒. แลกเปลีย่ นความคิดกับผู้อื่นโดยการ • กระบวนการออกแบบชิน้ งานเพอื่ ใช้ประโยชน์

อภิปรายเกยี่ วกบั สมบัตทิ างกายภาพของ ในชวี ิตประจำวัน

วสั ดุอยา่ งมเี หตผุ ลจากการทดลอง

๓. เปรยี บเทียบสมบัติของสสารทงั้ ๓ • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและตอ้ งการที่อยู่ สสารมี

สถานะ จากขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการสงั เกตมวล สถานะเปน็ ของแข็ง ของเหลว หรอื แก๊ส ของแข็ง มี

การต้องการท่ีอยู่ รปู ร่างและปรมิ าตรของ ปริมาตรและรปู รา่ งคงท่ี ของเหลวมีปริมาตรคงที่ แต่มี

สสาร รปู รา่ งเปล่ยี นไปตามภาชนะเฉพาะส่วนทบี่ รรจขุ องเหลว

๔. ใช้เครื่องมือเพ่ือวัดมวล และปริมาตร ส่วนแก๊สมปี รมิ าตรและรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะที่
บรรจุ
ของสสารทั้ง ๓ สถานะ

ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 14
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ

เคล่ือนทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.๔ ๑. ระบผุ ลของแรงโน้มถว่ งท่ีมีตอ่ วัตถุ • แรงโนม้ ถว่ งของโลกเป็นแรงดึงดูดทโ่ี ลกกระทำต่อวัตถุ

จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ มีทิศทางเข้าสู่ศนู ยก์ ลางโลก และเปน็ แรงไม่สมั ผสั แรงดงึ ดูด

ท่ีโลกกระทำกบั วัตถุหน่ึง ๆ ทำให้วัตถุตกลงสู่พืน้ โลก และทำ

ใหว้ ตั ถมุ นี ำ้ หนกั

๒. ใชเ้ ครอ่ื งชัง่ สปรงิ ในการวัดนำ้ หนกั วดั น้ำหนักของวตั ถไุ ด้จากเคร่ืองชัง่ สปริง น้ำหนักของวตั ถุ

ของวัตถุ ขึน้ กับมวลของวัตถุ โดยวัตถุที่มีมวลมากจะมนี ้ำหนักมาก

วัตถุทีม่ มี วลนอ้ ยจะมีน้ำหนักน้อย

๓. บรรยายมวลของวัตถุท่มี ีผลตอ่ การ • มวล คอื ปรมิ าณเน้ือของสสารทง้ั หมดทีป่ ระกอบกนั เป็น

เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนทีข่ องวตั ถจุ าก วตั ถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ี

หลักฐานเชิงประจักษ์ ของวตั ถุ วตั ถุทีม่ ี

มวลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคล่อื นที่ได้ยากกวา่ วัตถทุ ี่มี

มวลนอ้ ย ดงั นัน้ มวลของวัตถุนอกจาก จะหมายถงึ เน้ือทง้ั หมด

ของวัตถุนน้ั แล้ว ยังหมายถึงการต้านการเปลี่ยนแปลง

การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุนั้นดว้ ย

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ ัมพนั ธ์

ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจำวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณท์ เ่ี กยี่ วข้องกับเสยี ง

แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.๔ ๑. จำแนกวตั ถุเป็นตัวกลางโปรง่ ใส • เม่ือมองสิง่ ต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมาก้นั แสง จะทำให้

ตัวกลางโปรง่ แสง และวตั ถุทึบแสง ลักษณะการมองเหน็ สิง่ นนั้ ๆ ชดั เจนต่างกนั จึงจำแนกวตั ถุ

จากลกั ษณะ ที่มาก้ันออกเปน็ ตัวกลางโปร่งใส ซึ่งทำให้มองเห็นสงิ่ ต่าง ๆ ได้

การมองเหน็ สิง่ ต่าง ๆ ผา่ นวตั ถนุ ้นั เป็น ชัดเจน ตัวกลางโปรง่ แสงทำให้มองเห็นส่งิ ต่าง ๆ ได้ไม่ชดั เจน

เกณฑ์โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ และวัตถุทบึ แสงทำให้มองไม่เห็น

สง่ิ ต่าง ๆ นัน้

ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ 15
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี

ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทงั้ ปฏิสมั พนั ธ์ภายในระบบสุริยะท่สี ่งผลต่อส่งิ มชี ีวิต และการประยกุ ตใ์ ช้

เทคโนโลยอี วกาศ

ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.๔ ๑. อธิบายแบบรปู เส้นทางการขน้ึ • ดวงจนั ทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทรห์ มุนรอบตวั เอง

และตก ของดวงจนั ทร์ โดยใช้ ขณะโคจรรอบโลก ขณะท่ีโลกก็หมุนรอบตัวเองดว้ ยเชน่ กัน การ

หลักฐานเชิงประจักษ์ หมนุ รอบตัวเองของโลกจากทิศตะวนั ตกไปทิศตะวนั ออกใน

ทิศทางทวนเข็มนาฬกิ าเม่ือมองจากขว้ั โลกเหนอื ทำให้มองเหน็

ดวงจันทรป์ รากฏขนึ้ ทางด้านทิศตะวันออกและตกทางดา้ นทิศ

ตะวันตกหมนุ เวยี นเป็นแบบรูปซ้ำ ๆ

๒. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธิบายแบบรปู • ดวงจันทร์เป็นวตั ถุท่เี ปน็ ทรงกลม แต่รปู ร่างของดวงจันทร์ท่ี

การเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งปรากฏของ มองเหน็ หรือรูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกนั

ดวงจันทร์ และพยากรณ์รูปรา่ ง ไปในแต่ละวัน โดยในแต่ละวันดวงจันทร์จะมีรปู รา่ งปรากฏเป็น

ปรากฏของดวงจันทร์ เส้ยี วทีม่ ีขนาดเพม่ิ ข้นึ อยา่ งต่อเนือ่ งจนเตม็ ดวง จากนั้นรปู ร่าง

ปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะแหว่งและมีขนาดลดลงอยา่ งต่อเนื่องจน

มองไมเ่ หน็ ดวงจนั ทร์ จากน้ันรปู รา่ งปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะเป็น

เสย้ี วใหญข่ ้นึ จนเตม็ ดวงอีกคร้ัง การเปลยี่ นแปลงเช่นน้เี ป็นแบบ

รปู ซำ้ กนั ทุกเดอื น

๓. สรา้ งแบบจำลองแสดง • ระบบสรุ ยิ ะเป็นระบบท่ีมดี วงอาทิตยเ์ ป็นศนู ย์กลางและมีบริวาร

องค์ประกอบของระบบสรุ ิยะ และ ประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวง และบรวิ าร ซง่ึ ดาวเคราะห์

อธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจร แต่ละดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทติ ยแ์ ตกตา่ งกัน และ

ของดาวเคราะหต์ ่าง ๆ จาก ยงั ประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะหน์ ้อย ดาวหาง

แบบจำลอง และวัตถุขนาดเล็กอน่ื ๆ โคจรอย่รู อบดวงอาทิตย์ วตั ถุขนาดเลก็

อน่ื ๆ เมือ่ เข้ามาในชนั้ บรรยากาศเน่ืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก

ทำให้เกิดเปน็ ดาวตกหรือผพี ุ่งไต้และอกุ กาบาต

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีโลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายใน

โลกและบนผวิ โลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศ

โลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม

ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ป.๔ - -

ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 16
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพอื่ การดำรงชีวิตในสงั คมทีม่ ีการเปลย่ี นแปลงอย่าง

รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ืน่ ๆ เพื่อ

แก้ปญั หาหรอื พัฒนางานอย่างมคี วามคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม

เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม

ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ป.๔ - -

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชวี ติ จรงิ อย่างเปน็ ข้นั ตอนและ

เป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหา

ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รู้เท่าทนั และมีจรยิ ธรรม

ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.๔ ๑. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการ • การใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์ หรือเงอ่ื นไขท่ี
แกป้ ญั หา การอธิบายการทำงาน ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พิจารณาในการแก้ปัญหา การอธิบาย
การคาดการณผ์ ลลัพธ์ จากปัญหา การทำงาน หรือการคาดการณผ์ ลลพั ธ์
อยา่ งงา่ ย • สถานะเริ่มต้นของการทำงานทแ่ี ตกตา่ งกนั จะให้ผลลัพธท์ ี่
แตกต่างกัน
๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรม • ตวั อยา่ งปัญหา เชน่ เกม OX โปรแกรมทม่ี ี
อยา่ งง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ การคำนวณ โปรแกรมท่มี ีตวั ละครหลายตัว
และตรวจหาข้อผิดพลาด และมีการสัง่ งานท่ีแตกตา่ งหรือมีการสอ่ื สารระหวา่ งกนั การ
และแก้ไข เดนิ ทางไปโรงเรียน โดยวิธกี ารตา่ ง ๆ

การออกแบบโปรแกรมอยา่ งง่าย เชน่ การออกแบบโดยใช้
storyboard หรือการออกแบบอัลกอรทิ มึ
• การเขียนโปรแกรมเปน็ การสร้างลำดับของคำสงั่ ให้
คอมพวิ เตอร์ทำงาน เพือ่ ให้ได้ผลลัพธต์ าม ความต้องการ หากมี
ข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ การทำงานทีละคำสงั่ เม่ือพบจุดที่ทำ
ใหผ้ ลลัพธ์ ไมถ่ กู ตอ้ ง ให้ทำการแก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลัพธถ์ ูกต้อง
• ตัวอยา่ งโปรแกรมที่มเี ร่อื งราว เช่น นิทานทม่ี ี
การโต้ตอบกบั ผใู้ ช้ การ์ตูนสั้น เลา่ กิจวัตรประจำวนั
ภาพเคลอ่ื นไหว
• การฝึกตรวจหาข้อผดิ พลาดจากโปรแกรมของผู้อ่นื จะช่วย
พฒั นาทกั ษะการหาสาเหตุของปัญหาไดด้ ีย่ิงขึ้น
• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo

ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 17
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่พี บในชีวติ จรงิ อย่างเปน็ ข้นั ตอนและ

เปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการ

แก้ปญั หา ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ รู้เท่าทนั และมจี รยิ ธรรม

ชนั้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.๔ ๓. ใช้อนิ เทอร์เนต็ คน้ หาความรู้ และ • การใชค้ ำค้นทีต่ รงประเดน็ กระชบั จะทำให้ได้ ผลลพั ธ์ที่

ประเมนิ รวดเร็วและตรงตามความตอ้ งการ

ความนา่ เชอื่ ถือของข้อมูล • การประเมินความนา่ เชอื่ ถอื ของข้อมลู เชน่ พจิ ารณาประเภท

ของเว็บไซต์ (หนว่ ยงานราชการ สำนกั ข่าว องค์กร) ผู้เขยี น วนั ท่ี

เผยแพร่ข้อมลู การอ้างองิ

• เม่ือได้ข้อมูลทีต่ ้องการจากเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ จะตอ้ งนำเน้ือหามา

พจิ ารณา เปรียบเทียบ แลว้ เลือกข้อมูลท่มี ีความสอดคล้องและ

สัมพันธก์ นั

• การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมลู จะต้อง

นำข้อมลู มาเรียบเรียง สรปุ เป็นภาษาของตนเอง ทเ่ี หมาะสมกบั

กลุ่มเป้าหมายและวิธกี ารนำเสนอ

(บูรณาการกบั วชิ าภาษาไทย)

๔. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอข้อมูล • การรวบรวมข้อมูล ทำไดโ้ ดยกำหนดหัวขอ้ ทต่ี อ้ งการ เตรียม

และสารสนเทศ โดยใชซ้ อฟต์แวรท์ ี่ อปุ กรณ์ในการจดบันทึก

หลากหลาย เพ่อื แก้ปัญหา • การประมวลผลอยา่ งง่าย เช่น เปรียบเทยี บ

ในชีวิตประจำวัน จัดกลุ่ม เรียงลำดับ การหาผลรวม

• วเิ คราะห์ผลและสรา้ งทางเลือกทเี่ ปน็ ไปได้ ประเมินทางเลือก

(เปรยี บเทียบ ตัดสนิ )

• การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลกั ษณะตามความเหมาะสม เช่น

การบอกเลา่ เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมนำเสนอ

• การใชซ้ อฟต์แวรเ์ พื่อแกป้ ญั หาในชีวิตประจำวัน เชน่ การ

สำรวจเมนูอาหารกลางวนั โดยใชซ้ อฟต์แวร์สรา้ งแบบสอบถาม

และเกบ็ ขอ้ มูล ใช้ซอฟต์แวร์ตารางทำงานเพ่อื ประมวลผลข้อมูล

รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับคณุ ค่าทางโภชนาการและสรา้ งรายการ

อาหารสำหรับ ๕ วัน ใช้ซอฟตแ์ วรน์ ำเสนอผลการสำรวจรายการ

อาหารทเี่ ปน็ ทางเลือกและข้อมูลด้านโภชนาการ

ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ 18
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551

สว่ นท่ี ๓
โครงสร้างหลกั สตู รสถานศึกษา

ด้วยโรงเรยี นบือดองพฒั นา เปดิ เรียนตง้ั แต่ช้นั อนุบาลปีที่ ๑ ถงึ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 ในการ
จัดทำหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นั้นโรงเรียนได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยได้กำหนดรายละเอียด ของโครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษาของ
โรงเรยี นบือดองพัฒนา ไวด้ งั น้ี

เวลาเรียน(ชว่ั โมง/ป)ี

กลุ่มสาระการเรยี นร/ู้ กิจกรรม ระดับประถมศึกษา

ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖

 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ๑๖๐
๑๖๐
ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๒๐

คณติ ศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๘๐

วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๔๐
๘๐
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๔๐
๘๐
- หน้าทีพ่ ลเมอื งวฒั นธรรมและการดำเนนิ ชีวติ ๘๐
๘๔๐
ในสงั คมไทย ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๔๐
๔๐
- เศรษฐศาสตร์ ๔๐
๑๒๐
- ภมู ิศาสตร์
๔๐
- ประวัติศาสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๔๐
สขุ ศึกษาและพลศึกษา ๔๐ ๒๐ ๒๐ ๘๐ ๘๐ ๓๐
๑๐
ศิลปะ ๔๐ ๒๐ ๒๐ ๔๐ ๔๐ ๒๐๐

การงานอาชพี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐

ภาษาตา่ งประเทศ( ภาษาองั กฤษ ) ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๘๐ ๘๐

รวมเวลาเรียน (พืน้ ฐาน) ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐

 รายวิชาเพมิ่ เติม ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐

หนา้ ทีพ่ ลเมือง ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐

รวมเวลาเรียน (เพมิ่ เตมิ ) ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐

 กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐

กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
บรู ณาการหลกั สูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา

กจิ กรรมนกั เรยี น

- กจิ กรรมลกู เสอื /เนตรนารี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐

- ชมุ นมุ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐

กจิ กรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐

รายวิชาอสิ ลามศกึ ษาตามความพรอ้ มและจุดเน้น ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐

รวมเวลาเรยี นท้งั หมด ๑,๒๐๐ ชวั่ โมง/ปี

หมายเหตุ ภาษาตา่ งประเทศ( ภาษาอังกฤษ ) ๔๐ ชม. บรู ณาการในคาบลดเวลาเรยี นเพ่ิมเวลารู้

ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 19
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

โครงสร้างหลกั สูตรชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๔ เวลาเรยี น
โรงเรยี นบือดองพัฒนา (ชม./ปี)
(๘๔๐)
รหัส กลุ่มสาระการเรียนรู/้ กิจกรรม ๑๖๐
๑๖๐
ท ๑๔๑๐๑ รายวชิ าพนื้ ฐาน
ค ๑๔๑๐๑ ภาษาไทย ๔ ๑๒๐
ว ๑๔๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๔
ส ๑๔๑๐๑ ๘๐
ส ๑๔๑๐๒ วิทยาศาสตรแ์ ละและเทคโนโลยี ๔ ๔๐
พ ๑๔๑๐๑ ๘๐
ศ ๑๔๑๐๑ สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๔ ๔๐
ง ๑๔๑๐๑ ประวัติศาสตร์ ๔ ๘๐
อ ๑๔๑๐๑ สุขศึกษาและพลศึกษา ๔ ๘๐
ศลิ ปะ ๔ ๔๐
ส ๑๔๑๐๓ การงานอาชีพ ๔ ๔๐
ภาษาอังกฤษ ๔

รายวชิ าเพ่ิมเติม
หน้าที่พลเมือง ๔

กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น ๑๒๐
แนะแนว บรู ณาการหลกั สตู รต้านทจุ รติ ศึกษา ๔๐
กจิ กรรมนกั เรยี น
๔๐
• ลกู เสอื เนตรนารี ๓๐
• ชุมนมุ ๑๐
กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณะประโยชน์ ๑
รายวชิ าอิสลามศึกษาตามความพร้อมและจดุ เน้น ๒๐๐

อิสลามศึกษา

ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 20
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

สว่ นที่ ๔
คำอธิบายรายวิชา

ในส่วนของการจัดทำคำอธิบายรายวิชาของหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
นั้น โรงเรียนได้ดำเนินการรายวิชาของชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยเขียนในลักษณะความเรียงระบุองค์ความรู้
ทักษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามธรรมชาติของวิชาเป็นการเขียนในภาพรวมที่ต้องการให้
เกิดกับผู้เรียนและสะท้อนตัวชี้วัดในรายวิชาพื้นฐานหรือผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติม คำอธิบายรายวิชา
จงึ ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบดังตอ่ ไปน้ี

- รหสั วชิ า
- ชอื่ รายวชิ า
- กลุ่มสาระการเรยี นรู้
- ชนั้ ปี
- จำนวนเวลาเรยี น

นอกจากนัน้ ในส่วนที่ ๔ นี้ ยังไดจ้ ัดทำรายละเอียดของโครงสรา้ งรายวชิ าพ้นื ฐานและ
รายวชิ าเพิม่ เติมของแตล่ ะสาระการเรยี นรู้ไว้ด้วย ดังนนั้ ในส่วนนี้จงึ ประกอบดว้ ย

๑. โครงสรา้ งสรา้ งรายวิชาพ้ืนฐานและรายวชิ าเพ่ิมเติม

๒. คำอธบิ ายรายวชิ า

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ 21
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

โครงสรา้ งรายวิชาพื้นฐานและเพ่ิมเติม กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
รายวชิ าตามโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบือดองพัฒนา กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

ระดบั ประถมศกึ ษา

รายวชิ าพ้นื ฐาน จำนวน ๘๐ ชัว่ โมง
ว ๑๑๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์ จำนวน ๘๐ ชั่วโมง
ว ๑๒๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์ จำนวน ๘๐ ชว่ั โมง
ว ๑๓๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์ จำนวน ๑๒๐ ชั่วโมง
ว ๑๔๑๐๑ วิทยาศาสตร์ จำนวน ๑๒๐ ช่ัวโมง
ว ๑๕๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์ จำนวน ๑๒๐ ชัว่ โมง
ว ๑๖๑๐๑ วิทยาศาสตร์

รายวิชาเพิม่ เติม
-

ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 22
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

คำอธิบายรายวชิ าพ้ืนฐาน

ว๑๔๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๔ เวลา ๑๒๐ ชัว่ โมง

คำอธบิ ายรายวชิ า

บรรยายหนา้ ท่ีของราก ลำต้น ใบ และดอกของพชื ดอกโดยใชข้ ้อมลู ทีร่ วบรวมได้ จำแนกสิ่งมชี วี ิตโดยใช้
ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิตออกเป็นกลุ่มพืช กลุม่ สัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใชพ่ ชื และสตั ว์
จำแนกพชื ออกเป็นพชื ดอกและพชื ไม่มีดอกโดยใชก้ ารมีดอกเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมลู ท่รี วบรวมได้ จำแนกสตั ว์
ออกเป็นสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั โดยใช้การมีกระดูกสนั หลังเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลที่
รวบรวมได้ บรรยายลักษณะเฉพาะทีส่ ังเกตไดข้ องสัตว์มกี ระดูกสันหลงั ในกลมุ่ ปลา กลุ่มสัตวส์ ะเทินน้ำสะเทนิ บก
กล่มุ สตั ว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสตั ว์เล้ียงลูกด้วยน้ำนม และยกตวั อยา่ งสิง่ มชี วี ิตในแต่ละกลุ่ม

เปรียบเทยี บสมบัติทางกายภาพด้านความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟ้าของ
วัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำ
ความร้อน และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบชิ้นงาน แลกเปลี่ยน
ความคิดกับผู้อื่นโดยการอภิปรายเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพของวัสดุอย่างมีเหตุผลจากการทดลอง
เปรียบเทียบสมบัติของสสารทั้ง ๓ สถานะ จากข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมวล การต้องการที่อยู่ รูปร่างและ
ปริมาตรของสสาร ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวล และปริมาตรของสสารทั้ง ๓ สถานะ ระบุผลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อ
วัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัดน้ำหนกั ของวัตถุ บรรยายมวลของวตั ถุที่มีผลต่อการ
เปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นทีข่ องวัตถุจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ จำแนกวตั ถเุ ป็นตวั กลางโปรง่ ใส ตัวกลางโปร่งแสง
และวัตถุทบึ แสง จากลักษณะการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผา่ นวัตถนุ ้ันเปน็ เกณฑ์โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์

อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตกของดวงจันทร์ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สร้างแบบจำลองท่ี
อธิบายแบบรูป การเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ และพยากรณ์รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ สร้าง
แบบจำลองแสดงองค์ประกอบของระบบสุริยะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ
จากแบบจำลอง

ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่าง
ง่าย ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไข ใช้
อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล รวบรวม ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ
โดยใช้ซอฟต์แวร์ท่ีหลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชีวติ ประจำวัน ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั เขา้ ใจสทิ ธิ
และหน้าทข่ี องตน เคารพในสทิ ธขิ องผอู้ น่ื แจง้ ผเู้ กยี่ วข้องเมื่อพบข้อมลู หรือบุคคลท่ีไม่เหมาะสม

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 23
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

มาตรฐาน / ตัวชี้วดั

ว ๑.๒ ป.๔/๑
ว ๑.๓ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓ , ป.๔/๔
ว ๒.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓ , ป.๔/๔
ว ๒.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ว ๒ ๓. ป.๔/๑
ว ๓.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ว ๔.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓ , ป.๔/๔, ป.๔/๕

รวม ๗ มาตรฐาน ๒๑ ตวั ชี้วัด

ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ 24
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

สว่ นท่ี ๕
โครงสรา้ งหนว่ ยการเรียนรู้

ในการจัดทำหลักสูตรรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ นั้น องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้
ครูผู้สอนสามารถนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างมีคุณภาพและประสบความสำเร็จคือ การจัดหน่วยการเรียนรู้ใน
ส่วนของหลักสูตรรายวาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นี้ ได้จัดทำหน่วยการเรียนสำหรับระดับประถมศึกษาปีท่ี
4 ตลอดปีการศึกษา ซงึ่ มรี ายละเอยี ดทีส่ ำคัญ คือ

๑. ชื่อหน่วยการเรียนรู้

๒. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด

๓. เวลาเรียน

๔. คา่ น้ำหนักคะแนน

ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ 25
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

โครงสร้างรายวชิ าวิทยาศาสตร์

กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 เวลา ๑๒0 ชว่ั โมง

ภาคเรียนท่ี 1

หน่วย ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ตัวช้ีวดั เวลา น้ำหนัก
การ (ช่วั โมง) คะแนน
เรียนรู้ท่ี

1 การเรยี นรสู้ ิ่งต่างๆ รอบตัว ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 8 7

ว 1.2 ป.4/1

2 สิ่งมชี วี ติ ว 1.3 ป.4/1, ป.4/2, ป. 13 10
4/3, ป.4/4

3 แรงและพลงั งาน ว 2.2 ป.4/1, ป.4/2, ป. 8 8
4/3

ว 2.3 ป.4/1

ป.1/1, ป.1/2,

4 วิทยาการคำนวณ(1) ว 4.2 ป.1/3, ป.1/4, ป. 10 10
1/5

สอบปลายภาคเรยี นที่ 1 1 15

รวม 5 17 40 50

ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ 26
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

ภาคเรียนที่ 2

หนว่ ยการ ชื่อหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ตัวช้ีวัด เวลา นำ้ หนัก
เรียนรทู้ ี่ (ชวั่ โมง) คะแนน

5 วัสดแุ ละสสาร ว.2.1 ป.4/1, ป.4/2, ป. 20 15
4/3, ป.4/4

6 โลกและอวกาศ ว.3.1 ป.4/1, ป.4/2, ป. 9 10
4/3

7 วทิ ยาการคำนวณ(2) ว 4.2 ป.1/1, ป.1/2, ป. 10 10
1/3, ป.1/4,ป.1/5

สอบปลายภาคเรยี นท่ี 2 1 15

รวม 3 12 40 50

หมายเหตุ สดั สว่ นคะแนน / ภาคเรียน = 35 : 15
สดั สว่ นคะแนน / ปกี ารศึกษา = 70 : 30

ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ 27
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551

โครงสร้างหน่วยการเรยี นรู้

วชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เวลา 8 ช่ัวโมง

ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ การเรยี นรสู้ ่งิ ต่างๆ รอบตัว นำ้ หนกั คะแนน 7 คะแนน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี เรื่อง เวลา

1 การสบื เสาะหาความรู้ 2

2 ถ่ัวเตน้ ระบำได้อย่างไร 1

3 ทกั ษะการวัด 1

4 ทกั ษะการใชจ้ ำนวน 1

5 การทดลองของนกั วทิ ยาศาสตร์ 1

6 ทักษะการทดลอง 2

รวม 8

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 28
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เวลา 13 ชวั่ โมง
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สิ่งมีชีวิต น้ำหนกั คะแนน 10 คะแนน
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐานการเรยี นรู้ ว 1.2 ตวั ชวี้ ดั ป.4/1

ว 1.3 ตัวชวี้ ัด ป.4/1 ป.4/2 ป.4/3 และ ป.4/4

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี เร่อื ง เวลา

1 การจำแนกสิง่ มีชวี ติ 1

2 การจำแนกสัตว์ 2

3 การจำแนกสตั ว์มกี ระดกู สันหลัง 2

4 การจำแนกพชื 2

5 หน้าทสี่ ว่ นตา่ งๆ ของพชื ดอก 1

6 หนา้ ทขี่ องรากและลำต้น 2

7 หน้าทข่ี องใบ 2

8 หนา้ ทข่ี องดอก 1

รวม 13

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 29
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 เวลา 8 ชว่ั โมง

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ แรงและพลงั งาน นำ้ หนกั คะแนน 8 คะแนน

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.2 ตัวช้ีวดั ป.4/1 ป.4/2 และ ป.4/3

ว 2.3 ตัวชี้วดั ป.4/1

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี เร่ือง เวลา

1 แรงโนม้ ถว่ งของโลก 2

2 มวลและนำ้ หนกั 2

3 มวลและการเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นที่ของวตั ถุ 2

4 ตัวกลางของแสง 2

รวม 8

ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ 30
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 4 เวลา 10 ชัว่ โมง

ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ วิทยาการคำนวณ(1) นำ้ หนกั คะแนน 10 คะแนน

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี

มาตรฐานการเรยี นรู้ ว 4.2 ตวั ชว้ี ดั ป.4/1 ป.4/2 ป.4/3 ป.4/4 และ ป.4/5

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี เรอื่ ง เวลา

1 การใช้อลั กอรทิ มึ ในการแก้ปัญหา 2

2 รูจ้ กั โปรแกรม Scratch 2

3 การเขียนโปรแกรม Scratch 2

4 การรวบรวมข้อมูลและประมวลผลอย่างงา่ ย 2

5 การใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบคน้ ขอ้ มูล 2

รวม 10

ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 31
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

โครงสรา้ งหน่วยการเรยี นรู้

วิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 เวลา 20 ชัว่ โมง

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ วัสดแุ ละสสาร น้ำหนักคะแนน 15 คะแนน

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ

มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 ตวั ช้วี ัด ป.4/1 ป.4/2 ป.4/3 และ ป.4/4

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี เรอ่ื ง เวลา

1 สมบตั ทิ างกายภาพของวัสดุ 2

2 ความแขง็ ของวสั ดุ 2

3 สภาพยดื หยนุ่ ของวัสดุ 2

4 การนำความรอ้ นของวสั ดุ 2

5 การนำไฟฟา้ ของวสั ดุ 2

6 สถานะของสาร 2

7 สถานะของแขง็ 2

8 สถานะของเหลว 2

9 สถานะแก๊ส 2

10 การเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร 2

รวม 20

ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 32
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 เวลา 9 ชัว่ โมง
น้ำหนักคะแนน 10 คะแนน
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ โลกและอวกาศ
เวลา
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ 2
2
มาตรฐานการเรยี นรู้ ว 3.1 ตัวชี้วดั ป.4/1 ป.4/2 และ ป.4/3 2
2
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี เร่ือง 1
รวม 9
1 การข้ึนตกของดวงจันทร์

2 รปู รา่ งของดวงจนั ทร์

3 องค์ประกอบของระบบสรุ ยิ ะ

4 ดาวเคราะห์ในระบบสรุ ิยะ

5 วัตถุท้องฟา้

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 33
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 7 เวลา 10 ชั่วโมง

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ วิทยาการคำนวณ(2) นำ้ หนกั คะแนน 10 คะแนน

สาระที่ 4 เทคโนโลยี

มาตรฐานการเรียนรู้ ว 4.2 ตัวช้วี ัด ป.4/1 ป.4/2 ป.4/3 ป.4/4 และ ป.4/5

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ เรือ่ ง เวลา

1 การเลอื กวธิ ีการแก้ปัญหา 2

2 การนำเสนอข้อมูล 2

3 การประเมินความนา่ เช่ือถือของข้อมลู 2

4 การทำนายผลลพั ธแ์ ละตรวจหาขอ้ ผดิ พลาด 2

5 การประยกุ ต์ใช้วทิ ยาการคำนวณ 2

รวม 10

ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 34
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง 2560)

แบบทดสอบทา้ ยหน่วย ตวั ชี้วดั จำนวนขอ้ ภาคเรยี นที่
ส่งิ มีชวี ิต ว 1.2 ป.4/1 20 1
แรงและพลงั งาน ว 1.3 ป.4/1-4 15 2
วัสดแุ ละสสาร ว 2.2 ป.4/1-3
โลกและอวกาศ ว 2.3 ป.4/1 15
ขอ้ สอบปลายภาคเรยี นท่ี 1 ว 2.1 ป.4/1-4 15
ว 3.1 ป.4/1-3 30
ข้อสอบปลายภาคเรยี นท่ี 2 ว 1.2 ป.4/1 15
ว 1.3 ป.4/1-4 15
ว 2.2 ป.4/1-3
ว 2.3 ป.4/1 30
ว 2.1 ป.4/1-4
ว 3.1 ป.4/1-3 135
รวมขอ้ สอบทงั้ หมด

ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 35
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

ส่วนท่ี ๖
ส่วนส่งท้าย

การเรียนรู้ทผ่ี ้เู รยี นมีความสำคญั ท่สี ุด

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๒ ระบุว่า การจัดการศึกษา ต้องยึด
หลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ในมาตรา
๒๒ (๒) เนน้ การจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศัย ให้ความสำคัญของการบูรณาการความรู้
คุณธรรม กระบวนการเรียนรูต้ ามความเหมาะสมของระดับการศึกษา ในสว่ นของการเรียนรู้ดา้ นวิทยาศาสตร์
นน้ั ต้องใหเ้ กดิ ท้ังความรู้ ทักษะ และเจตคตดิ ้านวทิ ยาศาสตร์ รวมท้งั ความรู้ความเขา้ ใจและประสบการณ์เร่ือง
การจดั การ การบำรงุ รกั ษา และการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมอยา่ งสมดุลย่ังยืน

ในส่วนของการจัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา ๒๔ ของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ได้ระบุ ให้
สถานศกึ ษาและหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้องดำเนินการดังน้ี

๑. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึง
ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล

๒. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือ
ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหา

๓. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รัก
การอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนอื่ ง

๔. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้ง
ปลูกฝงั คุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ไว้ในทุกกล่มุ สาระการเรยี นรู้

๕. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความ
สะดวกเพอ่ื ให้ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ และมีความรอบรู้ รวมทัง้ สามารถใชก้ ารวิจยั เป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการ
เรยี นรู้ ทง้ั น้ผี สู้ อนและผู้เรยี นอาจเรียนรไู้ ปพร้อมกนั จากสื่อการเรียนการสอนและ แหล่งวทิ ยาการประเภท
ตา่ ง ๆ

๖. จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานทีม่ ีการประสานความรว่ มมือกับบดิ ามารดา ผู้ปกครอง
และบุคคลในชุมชนทุกฝา่ ย เพ่อื รว่ มกนั พัฒนาผเู้ รียนตามศกั ยภาพ

ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ 36
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

การจัดการเรียนรู้ตามแนวดังกล่าว จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสอนของผู้สอนและการเรียนของ
ผู้เรียน กล่าวคอื ลดบทบาทของผูส้ อนจากการเป็นผู้บอกเล่าและบรรยาย เป็นการวางแผนจัดกิจกรรมใหผ้ ู้เรียน
เกิดการเรียนรู้โดยผ่านกระบวนการที่สำคัญ คือ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะ
นำไปสูก่ ารสรา้ งองค์ความรู้โดยผา่ นกิจกรรมการสงั เกต การต้งั คำถาม การวางแผนเพ่ือการทดลอง การสำรวจ
ตรวจสอบ (investigation) ซ่ึงเป็นวิธกี ารหาข้อมลู โดยตรงดว้ ยวธิ ีการท่ีหลากหลายทง้ั เชิงปริมาณและคุณภาพ
กระบวนการแก้ปัญหา การสืบค้นข้อมูล การอภิปราย และ การสื่อสารความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ผู้อื่น
เข้าใจ กิจกรรมต่าง ๆ จะต้องเน้นที่บทบาทของผู้เรียนตั้งแต่เริ่ม คือ ร่วมวางแผนการเรียน การวัดผลและ
ประเมินผล และต้องคำนึงว่ากจิ กรรมการเรยี นนั้นเนน้ การพัฒนากระบวนการคิด วางแผน ลงมือปฏบิ ตั ิ สบื ค้น
ขอ้ มลู รวบรวมข้อมูลดว้ ยวิธีการต่าง ๆ จากแหลง่ เรียนรู้หลากหลาย ตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา
การมีปฏสิ มั พนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั การสร้างคำอธบิ ายเกย่ี วกบั ขอ้ มลู ทสี่ ืบค้นได้ เพอ่ื นำไปสคู่ ำตอบของปัญหาหรือ
คำถามต่าง ๆ ในที่สุดเป็นการสร้างองค์ความรู้ ทั้งนี้กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวต้องพัฒนาผู้เรียนให้เจริญ
พฒั นาท้งั ร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา

การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เน้นกระบวนการที่นักเรียนเป็นผู้คิด ลงมือ
ปฏิบัติ ศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีระบบด้วยกิจกรรมทห่ี ลากหลาย ทัง้ การทำกิจกรรมภาคสนาม การสงั เกต การ
สำรวจตรวจสอบ การทดลองในห้องปฏิบัติการ การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุตยภูมิ การทำ
โครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษาจากแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น โดยคำนึงถึงวุฒิภาวะ
ประสบการณ์เดิม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมต่างกันที่นักเรียนได้รับรู้มาแล้ว ก่อนเข้าสู่ห้องเรียน การเรียนรู้
ของนักเรียนจะเกิดขึ้นระหว่างที่นักเรียนมีส่วนร่วมโดยตรงในการทำกิจกรรมการเรียนเหล่านั้นจึงจะมี
ความสามารถในการสืบเสาะหาความรู้ มคี วามสามารถ ในการแก้ปญั หาดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ได้พัฒนา
กระบวนการคิดข้ันสูง และคาดหวงั ว่ากระบวนการเรยี นรู้ดังกล่าวจะทำใหน้ ักเรียนได้รับการพัฒนาเจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสามารถสื่อสารและทำงาน
รว่ มกับผู้อ่ืนไดอ้ ยา่ ง มปี ระสิทธภิ าพ

เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ หรอื จติ วิทยาศาสตร์ทคี่ าดหวังว่าจะได้รับการพัฒนาขนึ้ ในตัวนกั เรียนโดยผ่าน
กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ มีดังน้ี

- ความสนใจใฝร่ ู้
- ความซอื่ สัตย์
- ความอดทนมุ่งมนั่
- การมีใจกวา้ งยอมรบั ฟังความคดิ เห็น
- ความคิดสร้างสรรค์
- มคี วามสงสยั และกระตอื รอื ร้นท่ีจะหาคำตอบ
- ยอมรับเมอ่ื มีประจักษพ์ ยานหรือเหตุผลท่ีเพยี งพอ

ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 37
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนต้องศึกษาเป้าหมายและปรัชญาของการจัดการเรียนรู้ ให้เข้าใจ
อย่างถ่องแท้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนที่
เน้นกระบวนการและผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด แล้วพิจารณาเลือกนำไปใช้ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายให้
เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ เหมาะกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียน แหล่งความรู้ของท้องถิ่น และที่สำคัญคือ
ศักยภาพของผูเ้ รียนดว้ ย ดังน้ัน ในเนอ้ื หาสาระเดียวกัน ผู้สอนแต่ละโรงเรียนย่อมจัดการเรยี นการสอนและใช้
สอ่ื การเรยี นการสอนทีแ่ ตกตา่ งกันได้

การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ช่วยให้มีการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และครอบคลุมถึงเรื่องของ

ความตระหนักและผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย การจัดการเรียนการสอน กลุ่ม

วิทยาศาสตร์ในทุกระดับจึงต้องดำเนินการที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาที่สมบูรณ์เพื่อให้บรรลุ

เป้าหมายที่วางไว้ โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มวิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้คิด ลง

มือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมหลากหลาย กิจกรรมที่จะจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

วทิ ยาศาสตร์ไดม้ หี ลากหลาย เชน่

- กจิ กรรมภาคสนาม

- กจิ กรรมแกป้ ัญหา

- กจิ กรรมการสงั เกต

- กจิ กรรมสำรวจตรวจสอบ

- กิจกรรมการทดลอง

- กิจกรรมสืบค้นข้อมลู ทั้งจากแหล่งข้อมูลท่ีเป็นบคุ คล เอกสารในห้องสมุดหรือหน่วยงาน
ในทอ้ งถิ่น จนถึงการสบื ค้นทางเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต

- กิจกรรมศึกษาคน้ คว้าจากสอ่ื ต่าง ๆ และแหล่งเรียนรู้ในทอ้ งถิ่น

- กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์

- กจิ กรรมอภิปราย

ฯลฯ

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 38
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

กระบวนการเรยี นการสอนที่ใชก้ ารเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การพัฒนาความคิดและความสามารถโดยอาศัย
ประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคคลดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขใน
สังคม ดังนั้นก่อนที่ครูผู้สอนจะจัดการเรียนการสอน จะต้องตระหนักว่าการเรียนรู้เกิดข้ึนด้วยตัวของผู้เรียน
เอง การเรียนร้เู ร่ืองใหมจ่ ะมีพ้ืนฐานมาจากความรู้เดิม ฉะนัน้ ประสบการณ์ของนักเรยี นจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อ
การเรียนรู้เป็นอยา่ งย่งิ กระบวนการเรยี นรู้ท่แี ทจ้ ริงของนักเรียนไม่ไดเ้ กิดจากการบอกเลา่ ของครูหรือนักเรียน
เพียงแต่จดจำแนวคิดต่าง ๆ ที่มีผู้บอกให้เท่านั้น กระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้นเสาะหา สำรวจ
ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้นอย่าง
ยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมสี ถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหน้า ดังนั้นการที่นักเรียนจะสร้างองค์ความร้ไู ด้
จึงต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ( inquiry
process )

กระบวนการสืบเสาะหาความรู้

กระบวนการเรียนการสอนเน้นการสืบเสาะหาความรู้จะเป็นการพัฒนาให้ผู้เรียนได้รับความรู้และ
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ปลูกฝงั ใหผ้ ้เู รียนรจู้ ักใช้ความคิดของตนเอง สามารถเสาะหาความรู้หรือ
วเิ คราะหข์ ้อมูลได้

การจัดการให้นักเรยี นเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ อาจทำเปน็ ขน้ั ตอนดังน้ี

๑) ขั้นสร้างความสนใจ (engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้น
เองจากความสงสัย หรอื อาจเรมิ่ จากความสนใจของตวั นักเรยี นเอง หรอื เกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่อง
ทีน่ า่ สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ท่ีกำลังเกดิ ขึน้ อยใู่ นชว่ งเวลาน้ัน หรอื เป็นเรื่อง ทีเ่ ช่อื มโยงกับความรู้เดิม
ที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษา ในกรณีที่ยังไม่มี
ประเด็นใดน่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่
ควรบงั คับให้นกั เรียนยอมรบั ประเดน็ หรือคำถามท่ีครูกำลังสนใจเป็นเรื่องท่ีจะใช้ศึกษา

เมื่อมีคำถามทนี่ ่าสนใจ และนกั เรยี นสว่ นใหญย่ อมรับใหเ้ ปน็ ประเดน็ ทตี่ ้องการศึกษาจงึ รว่ มกันกำหนด
ขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น อาจรวมทั้งการรวบรวมความรู้
ประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องหรือประเด็นที่จะศึกษามากขึ้น
และมแี นวทางทีใ่ ชใ้ นการตรวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย

๒) ขั้นสำรวจและค้นหา (exploration) เมื่อทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจจะศึกษา
อย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำหนดทางเลือกที่
เปน็ ไปได้ ลงมือปฏบิ ัตเิ พือ่ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ข้อสนเทศหรอื ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้

ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ 39
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง
(simulation) การศึกษาหาข้อมลู จากเอกสารอ้างอิงหรือจากแหล่งขอ้ มูล

ตา่ ง ๆ เพ่ือให้ไดม้ าซึ่งข้อมลู อยา่ งเพียงพอทจ่ี ะใช้ในข้นั ต่อไป

๓) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจตรวจสอบ
แล้ว จึงนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปรผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
บรรยายสรุป สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือวาดรปู สร้างตาราง การคน้ พบในขั้นน้อี าจเป็นไปได้หลาย
ทาง เช่น สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้
แตผ่ ลท่ไี ด้จะอยใู่ นรปู ใด ก็สามารถสรา้ งความรแู้ ละช่วยให้เกดิ การเรยี นรไู้ ด้

๔) ขั้นขยายผลความรู้ (elaboration) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือ
แนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปอธิบายสถานการณ์หรอื เหตุการณ์อื่น ๆ ถ้า
ใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อจำกัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ และทำให้เกิด
ความรกู้ วา้ งขวางขนึ้

๕) ขั้นประเมิน (evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมี
ความรอู้ ะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพยี งใดจากขั้นน้ีจะนำไปสูก่ ารนำความรู้ไปประยุกตใ์ นเรื่องอืน่

การนำความรู้หรือแบบจำลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่องอื่น ๆ จะ
นำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อจำกัดซึ่งจะก่อให้เป็นประเด็นหรือคำถาม หรือปัญหาที่จะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไป
ทำให้เกิดเป้นกระบวนการที่ต่อเนือ่ งกันไปเรื่อย ๆ จึงเรียกว่า inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
จึงช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งเนื้อหาหลักและหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ได้
ความรซู้ ่ึงจะเป็นพนื้ ฐานในการเรียนรตู้ ่อไป

การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากจะใช้กระบวนการดังกล่าวแล้ว อาจใช้วิธีในการสืบ
เสาะหาความรดู้ ้วยรปู แบบอ่ืน ๆ อีก ดงั นี้

การค้นหารูปแบบ (pattern seeking) โดยที่นักเรียนเริ่มด้วยการสังเกตและบันทึกปรากฏการณ์
ตามธรรมชาติ หรือทำการสำรวจตรวจสอบโดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ แล้วคิดหารูปแบบจากข้อมูล
เช่น จากการสังเกตผลฝรั่งในสวนจากหลายแหล่ง พบว่าฝรั่งท่ีได้รับแสงจะมีขนาดโตกวา่ ผลฝร่ังทีไ่ ม่ได้รับแสง
นักเรยี นกส็ ร้างรปู แบบและสรา้ งความรูไ้ ด้

การจำแนกประเภทและการระบุชื่อ (classification and identification) เป็นการจัดประเภท
ของวัตถหุ รอื เหตุการณ์เป็นกลุ่ม หรือการระบชุ ือ่ วัตถุหรือเหตุการณ์ทีเ่ ป็นสมาชิกของกลมุ่ เช่น เราจะแบ่งสัตว์
ไมม่ ีกระดกู สันหลังเหลา่ นีไ้ ด้อยา่ งไร วัสดใุ ดนำไฟฟ้าไดด้ ีหรือไมด่ ี สารต่าง ๆ เหลา่ น้จี ำแนกอย่ใู นกลมุ่ ใด

ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลกั สตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 40
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551

การสำรวจและค้นหา (exploring) เป็นการสังเกตวัตถุหรือเหตุการณ์ในรายละเอียด หรือทำการ
สังเกตต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ไข่กบมีการพัฒนาการอย่างไร เมื่อผสมของเหลวต่างชนิดกันเข้าด้วยกันจะ
เกดิ อะไรขนึ้

การพัฒนาระบบ (developing system) เป็นการออกแบบ ทดสอบและปรับปรุงสิง่ ประดษิ ฐห์ รือ
ระบบ

- ท่านสามารถออกแบบสวติ ซค์ วามดนั สำหรับวงจรเตอื นภยั ได้อย่างไร

- ทา่ นสามารถสรา้ งเทคนิคหรอื หามวลแหง้ ของแอปเปลิ ได้อยา่ งไร

การสร้างแบบจำลองเพื่อการสำรวจตรวจสอบ (investigate models) เปน็ การสรา้ งแบบจำลอง
เพ่ืออธบิ าย เพื่อให้เห็นถงึ การทำงาน เช่น สร้างแบบจำลองระบบนเิ วศ

กระบวนการแก้ปัญหา (problem solving process)

การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คือ เน้นให้นักเรียนได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ
โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติอย่างมีระบบ ผลที่ได้จากการฝึกจะช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจ
แก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการ ความรู้ ทักษะต่าง ๆ และ
ความเข้าใจในปัญหานน้ั มาประกอบกนั เพ่ือเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา

เพือ่ ให้เขา้ ใจไดต้ รงกนั ถึงความหมายที่แท้จริงของปัญหา ได้มผี ูใ้ ห้ความหมายไว้ดังน้ี

“ ปัญหา” หมายถึง สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือสิ่งที่พบแล้วไม่สามารถจะใช้วิธีการใดวิธีการหน่ึง
แก้ปัญหาไดท้ นั ที หรอื เม่ือมีปัญหาเกดิ ขึน้ แล้วไมส่ ามารถมองเหน็ แนวทางแก้ไขไดท้ นั ที

“ แบบฝึกหัด “ หมายถงึ สถานการณ์ เหตกุ ารณ์ หรือสิ่งท่ีพบแลว้ สามารถแก้ไขหรือเลอื กวธิ ีแก้ไข
ไดท้ ันที หรอื มองเหน็ ไดช้ ัดเจนว่ามวี ิธีแกไ้ ขที่แนน่ อน

การแก้ไขปัญหาอาจทำได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของปญั หา ความรู้และประสบการณ์ของผู้
แก้ปัญหาน้นั

กจิ กรรมการคิดและปฏบิ ตั ิ (Hands-on Mind-on Activities)

นักการศึกษาวิทยาศาสตร์แนะนำให้ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้คิดและลงมอื ปฏบิ ัติ เมื่อนักเรียนได้
ลงมือปฏิบัติจริง หรือได้ทำการทดลองต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะเกิดความคิดและคำถามที่หลากหลาย
ตวั อยา่ งกจิ กรรม ไดแ้ ก่

ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 41
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

- นำแมเ่ หล็กเข้าใกล้วสั ดุตา่ ง ๆ แล้วสงั เกตผลท่ีเกิดขน้ึ

- ใช้วัตถตุ า่ ง ๆ ถูกับผา้ ชนิดตา่ ง ๆ แล้วนำมาแขวนไวใ้ กลก้ ัน หรือนำมาแตะชน้ิ

กระดาษ แลว้ สังเกตการเปลี่ยนแปลง

- ต่อหลอดไฟฟ้าหลายหลอดกบั ถา่ นไฟฉาย สงั เกตและเปรยี บเทียบผลทีเ่ กดิ ขนึ้ ใช้

กล้องจลุ ทรรศน์สอ่ งดเู น้อื เยื่อของสง่ิ มีชวี ิต สังเกตและเปรยี บเทียบเนอื้ เย่อื ของส่ิงมีชวี ติ ตา่ ง ๆ

- เป่าลมหายใจลงไปในน้ำปนู ใส สงั เกตการเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ข้นึ

เมอื่ นกั เรยี นไดท้ ำกจิ กรรมลักษณะนแ้ี ล้ว จะทำใหส้ ังเกตผลที่เกิดข้นึ ดว้ ยตนเอง ซง่ึ เป็นข้อมูล
ที่จะนำไปสู่การถามคำถาม การอธิบาย การอภิปราย หาข้อสรุปและการศึกษาต่อไป กิจกรรมลักษณะนี้จึง
ส่งเสริมให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติและฝึกคิด นำมาสู่การสร้างความรู้ด้วยตนเองด้วยความเข้าใจและเป็นการ
เรยี นรู้อย่างมีความหมาย

การเรียนรูแ้ บบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative Learning)

การเรยี นรแู้ บบรว่ มใจ เป็นกระบวนการเรยี นรู้ทีส่ ามารถนำมาใชใ้ นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้
อยา่ งเหมาะสมวิธหี นงึ่ เนอ่ื งจากขณะน้ีนักเรียนทำกิจกรรมร่วมกนั ในกลุม่ นักเรียนจะได้มีโอกาสแลกเปล่ียน
ความรู้กับสมาชกิ ของกลุ่ม และการท่ีแตล่ ะคนมีวยั ใกล้เคียงกนั ทำให้สามารถสอื่ สารกันไดเ้ ปน็ อย่างดี แตก่ าร
เรยี นรู้แบบร่วมมอื ร่วมใจที่มปี ระสิทธภิ าพน้นั ต้องมีรปู แบบหรือมีการจัดระบบอย่างดี นกั การศึกษาหลายท่าน
ไดท้ ำการศกึ ษาค้นควา้ อยา่ งกวา้ งขวาง เพ่ือจะนำมาใชใ้ นการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ รวมทง้ั วชิ าวิทยาศาสตร์
และคณติ ศาสตรด์ ว้ ย

การพัฒนาความสามารถและทักษะที่สำคัญของผู้เรียนในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี

การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับต่าง ๆ นั้น นอกจากมุ่งหวังให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้
ความเข้าใจในแนวความคิดหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทเรียนแล้ว ยังมุ่งหวังให้นักเรียนได้พัฒนา
ความสามารถในการตัดสินใจ พัฒนาความคดิ ชัน้ สงู และพฒั นาทกั ษะการสอื่ สารดว้ ย

ความสามารถในการตดั สินใจ (Decision Making)

การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ครูควรจัดสถานการณ์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกตัดสินใจ เช่น กิจกรรมการ
แก้ปัญหา การศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมีระบบ การสืบเสาะหาความรู้ หรืออาจจัดกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
โดยสร้างสถานการณ์ขึ้นเอง และเปิดโอกาสให้นกั เรยี นแสดงบทบาทสมมุตโิ ดยเป็นผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งกับการตัดสินใจ

ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรียนบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 42
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

ในเรื่องที่สำคัญของบ้านเมือง เช่น การสร้างเขื่อน การสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ การแก้ปัญหาต่าง ๆท่ี
เกดิ ข้นึ ในโรงเรียนหรอื ชุมชน การตัดสนิ ใจเกย่ี วกับปญั หาบา้ นเมอื งน้นั จะตอ้ งอยู่บนพนื้ ฐานของข้อมูลที่เช่อื ถือ
ได้อย่างมีเหตุผลและส่งผลดีต่อส่วนรวม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้จะต้อง
พิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและคุณภาพ
ชีวติ ทด่ี ี

การพฒั นาความคดิ ขน้ั สงู ( Higher- ordered Thinking )

การคิดขัน้ สูงเป็นความสามารถทางสตปิ ัญญาประการหนึ่งที่ต้องพัฒนาให้เกิดในขณะที่นักเรียนเข้ามา
อยู่ในโรงเรียน เพื่อเรียนรู้เนื้อหาและหลักการ รวมทั้งแนวคิดในวิชาต่าง ๆ ความคิดขั้นสูงประกอบด้วย
ความคดิ ในด้านตา่ ง ๆ คือ

๑. ความคิดวิเคราะห์ คือความคิดที่เกี่ยวข้องกับการจำแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่รวมทั้ง
การจัดประเด็นต่างๆ เช่น การจำแนกชนิดของหิน โดยพิจารณาลักษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ การจำแนก
ใบไม้โดยพิจารณารปู ร่างของใบ ขอบใบ และเส้นใบเปน็ เกณฑ์

๒. ความคิดวพิ ากษ์วิจารณ์ คอื ความคิดเห็นตอ่ เรื่องใดเรือ่ งหนึ่งทัง้ ในดา้ นบวกหรือ

ลบอย่างมีเหตุผล โดยการใช้ข้อมูลที่มีอยู่อย่างเพียงพอ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็น
ประเด็นที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ คือเรื่อง GMOs ผลการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมีผลให้สิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือ
สตั ว์ มคี ณุ สมบตั เิ ปลี่ยนแปลงไปจากพนั ธเ์ุ ดมิ และการเปลยี่ นแปลงดงั กลา่ วย่อมมผี ลต่อมนุษย์และสิ่งแวดลอ้ ม

๓. ความคิดสร้างสรรค์ คือความคิดที่แปลกใหม่ ยืดหยุ่นและแตกต่างจากผู้อื่น เช่นให้นักเรียนทำ
กิจกรรมคิดออกแบบประดิษฐ์อุปกรณ์กำเนิดเสียงแทนการใช้กระดิ่งไฟฟ้าหรือออดไฟฟ้า หรือออกแบบวงจร
เตือนภัยโดยใชเ้ ซนเซอร์ความร้อน

๔. ความคิดอย่างมีเหตุมีผล คือความสามรถที่จะคิดในเชิงเหตุผลของเรื่องราวต่าง ๆ เช่น
กิจกรรมการเรียนเรื่องการสร้างเขื่อน หรือการพัฒนาดา้ นอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ ซงึ่ เปน็ ประเด็นโต้แย้งทางสังคม
ที่ไม่อยู่บนข้อมูลหรือประจักษ์พยานที่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จึงควรให้นักเรียนได้ใช้ ความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์มาเป็นเหตุผลในการโต้แย้งหรือสนับสนุน ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกหรือใช้อารมณ์ในการตัดสินว่าควร
ดำเนนิ การพัฒนาหรือไม่ อยา่ งไร

๕. ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ คือความคิดที่ใช้ในการพิสูจน์และสำรวจตรวจสอบ หา
ข้อเท็จจรงิ เชน่ ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นที่เป็นเทคโนโลยีชาวบ้าน การดองผกั ด้วยนำ้ ซาวข้าวหรือ น้ำมะพร้าว
หรือการใสพ่ ริกสดลงในนำ้ กะทเิ พื่อกันบูดได้

โดยท่ัวไปแลว้ ความคดิ ขน้ั สูงดา้ นต่าง ๆ เหล่าน้จี ะไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ไดช้ ดั เจน ต้องพฒั นาไป
พร้อม ๆ กันและอาจรวมทัง้ พัฒนาไปพร้อมกบั ความสามารถด้านอืน่ ๆ ด้วยโดยไม่จำเปน็ ต้องเนน้ วา่ จะตอ้ ง

ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 43
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551

พัฒนาเรื่องใดก่อนหรือหลัง การพัฒนาความคิดขั้นสูงนี้จะทำได้มากในกิจกรรมการเรียนการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้และกระบวนการแกป้ ญั หา

การพัฒนาทกั ษะการสอื่ สาร (Communication Skills)

กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ทักษะในการสื่อสาร หมายถึงการแสดความคิดหรือ
แลกเปลี่ยนความรู้ และแนวความคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการทำกิจกรรมหลากหลาย การ
สงั เกต การทดลอง การอา่ นหรืออนื่ ๆ ซึง่ แสดงออกในรปู แบบทีช่ ัดเจนและมเี หตผุ ลด้วยการพดู หรอื การเขยี น

การพัฒนาให้นักเรียนมีความสามารถในการสื่อสารความรู้และแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์เป็น
เป้าหมายสำคญั ประการหนง่ึ ของการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรท์ ุกระดับ ความสามารถในการ
สอื่ สารเปน็ คุณลักษณะทีต่ ้องฝกึ ซ้ำ เพื่อใหเ้ กิดทกั ษะ

การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ สามารถฝึกทกั ษะการสอ่ื สารได้ ดังต่อไปน้ี

๑. การเล่าหรือการเขียนสรุปเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านจากหนังสือพิมพ์วารสาร
หนังสือต่าง ๆ จากการดูโทรทัศน์หรือการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต โดยมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษา
ค้นคว้า แล้วนำมาเล่าหรือเขียนให้ผู้อืน่ รับรู้ เป็นการฝึกทักษะในการส่ือสารท่ีดีวธิ หี น่ึง กิจกรรมนี้อาจใช้เวลา
ครั้งละ ๑๐ นาที ก่อนที่จะมกี ารสอนตามปกติกไ็ ด้

๒. การเขียนบันทึกสรุปการไปทัศนศึกษา หรือการศึกษาภาคสนาม ในโอกาสที่นักเรียน
กลับมาจากทัศนศึกษาหรือการศึกษาภาคสนามแล้วให้เขียนรายงานสรุปถึงความรู้ ความคิด ในบางเรื่องท่ี
ได้รับจากการไปทัศนศึกษาแต่ละครั้ง

๓. การจัดแสดงผลงาน ในกรณีที่นักเรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์หรือโครงการ อื่น ๆ ควร
กำหนดให้มีวันที่แน่นอนเพื่อจัดแสดงผลงานให้เพื่อน ๆ ในชั้นหรือท้ังโรงเรียนได้ชมและถ้าเป็นไปได้ควรเชิญ
บคุ คลในชมุ ชนมาชมด้วย

๔. การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอรเ์ ป็นอุปกรณ์ทีจ่ ะช่วยมนษุ ย์ ในการ
ทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ วิทยาการคอมพิวเตอร์จึงเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งทีเ่ ป็นรากฐานสำคัญ
ต่อการพัฒนาความคิดและจิตนาการ อันจะนำไปสู่การแปลงรูปจากจินตนาการมาเป็นชิ้นงานสร้างสรรค์ที่มี
ประโยชน์ปัจจบุ ันสิ่งประดิษฐ์มากมายล้วนแล้วแต่มีสว่ นประกอบของคอมพิวเตอรเ์ ข้าไปรว่ มด้วย ทำให้ระบบ
การทำงานต่าง ๆ ได้รบั การพัฒนาเขา้ สคู่ วามเป็นอัตโนมตั ิมากข้นึ

ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 44
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

ปัจจยั ความสำเรจ็ ในการจดั การเรียนรู้

๑. ผู้บริหาร เป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในการสนับสนุนให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุ
เป้าหมาย ผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญา กระบวนการเรียนรู้และธรรมชาติของการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อจะได้สนับสนนุ

- งบประมาณในการจัดซื้อสอ่ื ต่าง ๆ

- อำนวยความสะดวกในการจัดกจิ กรรมท่ีต้องใชแ้ หลง่ เรยี นร้ใู นท้องถ่ินภายนอกโรงเรียน

- ชว่ ยเสนอแนะแหลง่ วทิ ยาการและแหลง่ เรียนรู้

- นิเทศ ตดิ ตามผลการจัดการเรยี นรูอ้ ย่างสมำ่ เสมอ

- ให้กำลงั ใจทง้ั ครูและนกั เรียน

๒. ครูผู้สอน เป็นผู้ที่มีความสำคัญในการที่จะแปลมาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ที่เป็น
ตัวหนังสือให้เป็นกิจกรรมการเรยี นรู้ที่เหมาะสม น่าสนใจ และมีกระบวนการเรียนรู้หลากหลายวิธีอย่างอิสระ
ครูผสู้ อนจำเป็นต้อง

- มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเปา้ หมายของการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

- มคี วามเข้าใจเกีย่ วกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

- มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างดี รวมถึงรู้วิธีการ
เรยี นรู้ มีความสามารถในการสบื เสาะหาความรู้และแกป้ ญั หา

- มีความเข้าใจเก่ียวกบั ตวั นักเรียน พรอ้ มที่จะเรยี นรู้เร่อื งราวใหม่ ๆ พรอ้ ม ๆ กับนกั เรียน

- เป็นผทู้ ี่มีความสนใจใฝห่ าความรู้อย่างสม่ำเสมอและตอ่ เน่อื ง เพ่ือนำมาปรบั ปรุงตนเอง

- มีความสามารถในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ มีการใช้สื่อการเรียน
การสอนหลากหลายและสามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้

- มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมในอาชีพครใู นฐานะครวู ชิ าชพี

- มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีทั้งกบั เพือ่ นครูในโรงเรียนและชุมชน เพื่อจะหาความร่วมมอื ในการจัดการ
เรยี นการสอน

๓. ผเู้ รียน เป็นอีกองคป์ ระกอบหน่ึงท่ีมีความสำคัญต่อการเรียนการสอน ผู้เรียนแตล่ ะคน มีความ
แตกต่างกนั ท้ังบุคลิกภาพ สตปิ ญั ญา ความถนัด ความสนใจและความสมบูรณข์ องรา่ งกาย ผู้เรยี นควรมี

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรยี นบอื ดองพัฒนา
สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๑

หลักสตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ 45
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.256๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551

โอกาสร่วมคิด ร่วมวางแผนในการจัดการเรียนการสอน และมีโอกาสเลือกวิธีเรียนได้อย่างหลากหลาย ตาม
ความเหมาะสมภายใตก้ ารแนะนำของครูผสู้ อน

๔. สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศการเรยี นการสอน ครูผสู้ อนต้องมีวิธกี ารท่ีจะจดั สภาพแวดล้อมและ
บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางวิชาการ เช่น จัดห้องชวนคิด ห้องกิจกรรมวิทยาศาสตร์ จัดระบบ
นิเวศจำลอง จัดบริเวณโรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางชีววิทยา ธรณีวิทยา ฯลฯ มีการดัดแปลงห้องเรียนให้
นกั เรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้ทส่ี ามารถมีปฏิสัมพันธ์กนั ไดด้ ี และจดั กิจกรรมที่เอื้อให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้า
มามีส่วนรว่ มในการเรียนการสอนดว้ ย

การวัดผลและประเมินผลการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

เพื่อที่จะทราบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่เพียงใด
จำเป็นต้องมีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ในอดีตการวัดและประเมินผลส่วนใหญ่ให้
ความสำคญั กับการใชข้ ้อสอบซึ่งไมส่ ามารถสนองเจตนารมณ์การเรยี นการสอนท่เี นน้ ให้ผเู้ รียนคิด ลงมือปฏิบัติ
ด้วยกระบวนการหลากหลาย เพื่อสร้างองค์ความรู้ ดังนั้น ผู้สอนต้องตระหนักว่าการเรียนการสอนและการ
วัดผลประเมนิ ผลเปน็ กระบวนการเดยี วกัน และจะต้องวางแผนไปพรอ้ ม ๆ กัน

แนวทางการวดั ผลและประเมินผล

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะบรรลุผลตามเป้าหมายของการเรียนการสอนที่วางไว้ได้ ควรมี
แนวดงั ต่อไปนี้

๑. ต้องวัดและประเมินผลทั้งความรู้ความคิด ความสามรถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม
จริยธรรม คา่ นยิ มในวิทยาศาสตร์ รวมท้ังโอกาสในการเรียนของผู้เรียน

๒. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผลตอ้ งสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนร้ทู ี่กำหนดไว้

๓. ต้องเกบ็ ข้อมลู ท่ีได้จากการวัดและประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และตอ้ งประเมนิ ผลภายใต้ข้อมูล
ทม่ี ีอยู่

๔. ผลการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องนำไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปท่ี
สมเหตสุ มผล

๕. การวัดและประเมินผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทั้งในด้านของวิธีการวัดโอกาสของการ
ประเมิน

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรียนบือดองพัฒนา
สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต ๑


Click to View FlipBook Version