ภาพที่ 48 ได้โทนสีเหลืองทอง เฉดสีมี
ความแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด
ของสารช่วยยอ้ ม ปูนแดงจะให้เฉดสีที่
เขม้ ท่ีสุดยิ่งแช่ทงิ ไว้ด้วยเวลาที่นานขึน
ย่ิงท้าให้สีเปล่ียนเป็นสีน้าตาลมากขึน
ด้วย ส่วนสารส้มจะให้โทนสเี หลอื งสด
สว่าง และเมื่อท้าลองแช่สารช่วยติดสี
2 ชนิดระหว่างปูนแดงและสารส้ม จะ
ได้สีเหลืองสดไล่น้าหนักไปทางส้ม
น้าตาลตามลา้ ดบั
มะยม
เปน็ ไมย้ ืนต้นขนาดใหญ่ สูงไดถ้ ึง 10 เมตร ล้าต้นมีลักษณะเปน็ ตุ่มเปน็ ตาเล็ก ๆ ผวิ ไมเ่ รียบ กิ่งมะยมค่อนขา้ ง
เปราะหักง่าย ใบมะยมจะแตกใบออกมาตามก้าน ซึง่ แต่ละก้านใบจะมีใบออกเป็นค่ตู รงข้ามกัน ใบสีเขียวอ่อน แผ่นใบ
เป็นรูปไข่ปลายรีแหลม แต่ละใบมี
ค ว า ม ก ว้ า ง ป ร ะ ม า ณ 5 -1 0
เซนตเิ มตร
ต้นมะยม ภายนอกเป็นสีน้าตาล เมื่อลองบากที่เปลือกต้นลงไปประมาณครึ่งเซนติเมตรจะเห็นได้ชัดว่าเป็นสี
แดงมีริวขาว ๆ คล้ายเนือ เม่ือบากลึกลงไปจะเป็นเนือไม้สีขาวครีมเหมือนเนือไม้ทั่วไป ด้วยเหตุนี จึงได้น้าเปลือก
ชันนอกของตน้ มะยมมาทา้ การย้อมสี โดยนา้ มาแชน่ ้าทงิ ไว้ 1 ช่วั โมงก่อนนา้ ไปต้มเพ่อื สกดั น้าสี
ภาพท่ี 49 เปลอื กตน้ ท่ีบากไว้ เนอื ในของไมจ้ ะเห็นเปน็ สีแดงมีริวสขี าวๆแซม
ขันตอนการสกัดสจี ากเปลือกมะยม
1. เปลอื กมะยมท่ีบากได้แช่น้าทิงไว้ 1 คนื
2. ต้มสกัดน้าสี ได้ออกมาเป็นสีน้าตาลแดง ต้มสกัดน้าสี 1 ช่ัวโมง จากนันตัก/กรองเอาเศษเปลือกไม้ออก
ก่อนน้าเส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมลงย้อม ซ่ึงการทดลองย้อมสีจากเปลือกมะยมครังนี เลือกใช้เสน้ ใยฝ้ายที่มีขนาดเล็ก
และใช้เส้นใยไหมเปลือก
น อ ก ที่ มี ข น า ด เส้ น ให ญ่
เห็นได้ชัดว่าการดูดซับน้า
สีของเส้นใยไหมดีกว่าเส้น
ใยฝ้าย
ภาพที่ 50 ไดโ้ ทนสนี า้ ตาลไล่ไปจนถงึ น้าตาลเข้ม เส้นใยไหมดดู ซบั สีไดด้ ีกวา่ เสน้ ใยฝา้ ย
มะพรา้ วนาหอม
เป็นไม้ยนื ต้น มีล้าต้นเด่ียวตังตรง ทรงตน้ เป็นเรือนยอด ล้าต้นมลี ักษณะ
กลม เหมือนมีรอยนูนเป็นข้อ เป็นขอบนูน ๆ ซึ่งเป็นรอยของก้านทางมะพร้าว
ท่ีหลุดออกไป ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงรี ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีสี
เขียวแก่ เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ออกดอกเป็นช่อมีสีเหลืองนวล ผลมี
ลักษณะค่อนข้างทรงกลม มีผิวเรียบ ผลอ่อนเปลือกนอกมีสีเขียวหุ้มเส้นใยนุ่ม
สีขาวข้างในไว้ มีกะลาแข็งหุ้มเนือมะพร้าวสีขาวไว้อีกชันหน่ึง เมื่อผลแก่เปลือก
จะเปลย่ี นเป็นสนี า้ ตาลรวมถึงเสน้ ใยภายในด้วยเช่นกัน
ขนั ตอนการสกดั สีจากเปลือกมะพรา้ วนาหอม
1) น้ามะพร้าวน้าหอมมาปอกเปลือก สังเกตได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงของส่วนเปลือกสีขาว เม่ือโดนอากาศ
สกั พกั จะเปลี่ยนเป็นสนี า้ ตาลสม้
2) น้าเปลือกอ่อนแช่น้าทิงไว้ 1 คนื (น้าที่ผ่านการแช่ทิงไว้ 1 คืน จะมีความมันและลื่นผสมอยดู่ ้วย) น้ามาต้ม
สกดั นา้ สี เนื่องจากเปลือกผลมคี วามแขง็ ควรแชน่ า้ ให้มีความออ่ นนมุ่ เพ่อื ให้เปลอื กคายน้าออกมาจะงา่ ยต่อการตม้ เพื่อ
สกดั สี นา้ สีทไ่ี ด้จะออกมาเปน็ สนี า้ ตาลอยา่ งชดั เจน
ภาพท่ี 51 ต้มสกัดสี กอ่ นนา้ มากรองเอาเฉพาะนา้ สีมาใชใ้ นการย้อม
ภาพที่ 52 ทดลองยอ้ มกบั ผา้ ลนิ ินเพอื่ ทดสอบเฉดสี
ภาพท่ี 53 ได้โทนสนี า้ ตาลอมชมพ-ู เทาแตเ่ มอื่ แช่สารชว่ ยยอ้ มทแ่ี ตกต่างกนั ทา้ ใหเ้ ฉดสีเปลี่ยนเป็นนา้ ตาลทีเ่ ข้มขึน
โดยเฉพาะนา้ ปูนแดงยิง่ ทา้ ให้ได้เฉดสนี า้ ตาลเขม้ ขึน
* น้าเปลือกมะพร้าวแก่ มาสับให้เป็นชินเล็ก ๆ เช่นเดียวกันกับวิธีของเปลือกมะพร้าวอ่อน แช่น้าทิงไว้ 1 คืน ก่อนน้ามาต้มสกัดน้าสี
เทกรองเอาแต่น้า น้าเส้นใยไหมและเส้นใยฝ้ายลงต้มย้อม จะไดเ้ ป็นสีโทนน้าตาลเช่นกัน แตจ่ ะเป็นน้าตาลคนละเฉดกับที่ได้จากสีย้อมมะพร้าวอ่อน
เส้นใยจากเปลือกมะพรา้ วจะแหง้ มากกว่าเปลือกมะพรา้ วอ่อน จะไม่มีน้ามนั ออกมามากแตกตา่ งจากเปลอื กมะพร้าวออ่ นแช่คา้ งคนื
แก้ว
เป็นไม้พุ่ม แผ่กิ่งก้านเป็น
ทรงกลมขนาดเตียถึงกลาง สูงได้ถึง
5-10 เมตร เปลือกต้นสีน้าตาลอ่อน
ใบมีขนาดเล็กเป็นใบประกอบแบบ
ขนนก ปลายคี่ เรียงสลับจากเล็กไป
หาใหญ่ สีเขียวอ่อนจนถึงเขียวเข้ม
รวมมีใบย่อยประมาณ 5-9 ใบ ทรง
ใบเป็นทรงรี รูปไข่ปลายแหลมมน
มคี วามมันเงาเล็กน้อย ออกดอกเป็น
ช่อสันๆ ตามง่ามหรือข้อใบ ดอกสี
ขาว มี 5 กลีบ ดอกตูมเป็นสีเขียว
อ่อนกลีบดอกหุบเข้า เม่ือบานกลีบ
ดอกจะโค้งออกปลายงอน ดอกเป็น
สขี าว มเี กสรสเี หลอื ง ส่งกล่ินหอม
ภาพท่ี 54 ดอกแกว้
ขนั ตอนการสกดั สีจากใบแกว้
1. น้าใบแก้วมาริดออก
จากกงิ่
2. น้าไปต้มสกัดน้าสีใน
น้าต้มเดือด ต้มทิงไว้
45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ห รื อ จ น ใบ เป ล่ี ย น เป็ น
สีนา้ ตาล
3. เทกรองเอาแต่น้าสี
น้าเส้นใยไหมและเส้นใย
ฝา้ ยลงต้มยอ้ ม
ภาพที่ 55 ได้สีเหลืองอมเขียว
อ่อน ๆ เมื่อน้าไปแช่สารช่วย
ติ ด สี ไม่ ค่ อ ย เกิ ด ป ฏิ กิ ริ ย า ท่ี
แตกต่างจากสีเดิมเท่าไหร่นัก
ทงั เส้นใยฝ้ายและเสน้ ใยไหม
หม่อน
หม่อน (Mulberry) นิ ยม ต้นสูงก่ิงก้านชะลูด แตกใบตามข้อ การขยายพันธุ์หม่อนนิยม
ป ลู ก ใน ภ า ค เห นื อ แ ล ะ ภ า ค เป็นใบเด่ียว ออกเรียงสลับ ลักษณะ ใช้วิธีปักช้า ซ่ึงเป็นการขยายพันธุ์
ตะวันออกเฉียงเหนือในพืนที่ท่ีมีการ ใบเป็นสีเขียวถึงเขียวแกท่ รงรูปคล้าย ที่ง่ายและรวดเร็ว โดยตัดก่ิงต้น
เลียงไหม โดยอาศัยใบหม่อนเป็น ใบโพธ์ิโคนใบกว้าง ปลายใบแหลม หม่อนเป็นท่อน ๆ ตัดให้ปลายเฉียง
อาหารให้กับหนอนไหมเพ่ือการผลิต ขนาดใหญ่ได้มากกว่าขนาดฝ่ามือ 30 องศา ยาวประมาณ 1 ฟุต ควร
เสน้ ใยไหม เป็นไมท้ รงพุ่มขนาดกลาง ใบเป็นเงามันวาว เห็นเส้นใบชัดเจน ตัดให้มีตายอดหรือตาใบติดมาด้วย
(ถ้ามีการตัดตกแตง่ เป็นอย่างดี) หรือ ขอบใบหยักเป็นริว ๆ ใตใ้ บมีลกั ษณะ ประมาณ 3-5 ตา แล้วน้าไปปักดิน
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ล้าต้นตรง เป็นขนสากมอื ลึก5-10 เซนติเมตร เอียง 45 องศา
แ ต ก กิ่ ง ก้ า น อ อ ก ม า ต า ม ต า ย อ ด โดยให้แต่ละกิ่งที่ท้าการปักลงดินนัน
ห่างกนั ประมาณ 1.5-2 เมตร
ภาพที่ 56 ตน้ หมอ่ น
ภาพที่ 57 ใบหมอ่ นแก่ ขนาดใหญก่ วา่ ฝา่ มอื
ขนั ตอนการสกัดสจี ากใบหม่อน
ภาพท่ี 58 ลา้ ดับขันของการสกัดน้าสี
1. น้าใบหมอ่ นมาแชน่ า้ แล้วขย้าใบใหแ้ ตก
2. น้าไปตม้ การขยา้ ใบจะช่วยให้ต้มสกัดนา้ สไี ด้เรว็ ขนึ อกี ทังเมือ่ ขย้าจะสัมผัสได้ถึงความล่นื เป็นเมอื ก ๆ นา้ สี
ทสี่ กัดไดจ้ ะออกเปน็ สเี หลอื ง
3. กรองเอาเฉพาะนา้ สที ีส่ กดั ได้ นา้ เส้นใยไหม เส้นใยฝ้าย และเส้นใยกัญชงลงย้อม
4. ผลการย้อม สีที่ได้บนเส้นใยไหมจะได้เป็นสีเหลือง ส่วนเส้นใยฝ้ายย้อมได้สีน้อยออกเป็นเหลืองครีมหรือ
เรียกได้ว่าคอ่ นข้างไม่กินสีเลย ส่วนใยกัญชงไม่ติดสีเลยอาจเพราะสีของเส้นใยกัญชงเดิมเป็นสนี ้าตาลเพราะเป็นเสน้ ใย
ทไี่ ด้ผ่านการฟอกขาว จงึ ท้าใหย้ อ้ มสเี หลอื งของใบหมอ่ นไมต่ ิด
5. น้าผ้าลินินมาทดลองย้อม สีที่ได้เป็นสีเหลืองอ่อน และเมื่อน้าไปแช่สารช่วยย้อมแต่ละชนิด ท้าให้สีที่ได้
เปลย่ี นไป โดยที่สารช่วยย้อมสารสม้ และสนิม ได้สีทอ่ี ่อนลง แตเ่ ฉดสีที่ไดจ้ ากสารชว่ ยย้อมโคลน ปนู แดง และด่างขเี ถ้า
ทา้ ใหไ้ ด้เฉดสีทีเ่ ขม้ ขึนกลายเป็นสีน้าตาลอมส้ม
ภาพท่ี 59 ทดลองครังที่ 1 กับเส้นใยไหม เส้นใยฝ้าย (ที่ผ่านการต้มในน้าใบยูคาลิปตสั เพ่อื เป็นการเพิ่มสารแทนนินให้กบั เส้นใย) และเส้นใยกัญชง
ไดส้ ีย้อมบนเส้นใยไหมเป็นสีเหลือง บนเส้นใยฝ้าย 2 แบบ คอื เสน้ ใยฝ้ายท่ีแช่สารจากใบยูคาลปิ ตัสได้เปน็ สนี ้าตาลอ่อนออกไปทางสีครมี ส่วนเส้นใย
ฝา้ ยธรรมดา ไดเ้ ป็นสีน้าตาลเทาออ่ น ส่วนเส้นใยกัญชงแทบไม่เห็นสีเหลืองเพราะสีของเสน้ ใยเดมิ เปน็ สีน้าตาล ซึ่งสีเหลอื งจากใบหมอ่ นมีความออ่ น
กว่าสนี ้าตาลของเสน้ ใยกัญชง จงึ ท้าให้สีเหลืองไม่เพ่ิมขนึ กว่าเดิม
ภาพที่ 60 ทดลองครังที่ 2 กับเส้นใยไหม เส้นใยฝา้ ย ได้สียอ้ มที่ตา่ งกันด้วยการแช่สารช่วยตดิ สคี นละชนิดกัน ใช้เส้นใยไหม 2 ไจ น้าลงแช่ดา่ งขีเถ้า
และ ปูนแตง ได้สีออกมาแตกต่างกัน ส่วนการย้อมบนเส้นใยฝ้ายในครังท่ี 2 เส้นใยจะเล็กกวา่ ครังที่ 1 และย้อมโดยไม่ใช้สารช่วยย้อมใด ๆ สีที่ได้
เป็นสขี าวอมเหลือง
คูน / ราชพฤกษ์
ค้าว่า “ราชพฤกษ์” มีความหมายวา่ “ตน้ ไม้ของพระราชา” เปน็ สญั ลักษณ์ของงานมหกรรมพืชสวนโลกซ่งึ จัด
ขึนเพ่ือฉลองในวโรกาสอันเป็นมหามงคลท่ีพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
(ราชพฤกษ์ สรรพคุณและประโยชน์ของราชพฤกษ์ 44 ข้อ(ต้นคูน).(Online). https://medthai.com, พฤษภาคม
2561)
มชี ่อื เรยี กแตกต่างกันออกไปตามแต่ละทอ้ งถ่นิ สว่ นใหญท่ างภาคกลาง ภาคอสี าน นยิ มเรียกชือ่ สันๆว่า “คูน”
ทางภาคเหนือจะเรียก ลมแล้ง
(นิยมเรียกดอกลมแล้ง) เป็นไม้ยืน
ต้นขนาดใหญ่ สูง 10-20 เมตร
ออกดอกเป็นพวงช่อสีเหลืองยาว
ประมาณ 20-30 เซนติเมตร มี 5
กลีบทรงรีรูปไข่ลักษณะบาง และ
เหี่ยวง่าย ตรงกลางดอกจะมีก้าน
เกสรสีเขียวโค้งขึนมา ดอกคูนจะ
บ า น ช่ ว ง เดื อ น มี น า ค ม ถึ ง เดื อ น
เม ษ าย น แ ล ะ ท ย อ ย ร่ว งเดื อ น
พฤษภาคมเป็นต้นไป ดอกจะร่วง
เหลอื งอรา่ มอยู่รอบโคนต้นตามรัศมี
ข อ ง ท ร ง พุ่ ม ใบ สี เขี ย ว อ่ อ น
ออกเป็นช่อจากก้านประมาณ 3-5
คู่ มีประมาณ 6-10 ใบ ทรงกลมรี
ใหญ่ประมาณ ฝ่ามือ ทรงใบโค้ง
ปลายมน
ภาพที่ 61 ตน้ คณู และดอกคณู
ผลของราชพฤกษ์จะเรียกว่า ฝัก มักเรียกว่า ฝักคูน มากกว่าฝักราชพฤกษ์ เป็นทรงกระบอกกลม ยาว
ประมาณ 20-40 เซนติเมตร เส้นผ่าศนู ย์กลาง 2-3 เซนติเมตร ฝักเปน็ สีน้าตาลถึงด้าไดต้ ามอายุของฝกั (ฝกั ออ่ นสีเขียว)
ผวิ ฝักเกลยี ง ออกฝกั ห้อยติดกับกิง่ กา้ นของต้น และจะรว่ งชว่ งเดือนพฤษภาคม
ขนั ตอนการสกัดสจี ากคนู
1. น้าฝักคูนแก่ที่หล่นจากต้นมาทุบ กะเทาะเปลือกให้แตก จะเห็นเนือท่ีอยู่
ภายในฝักคูนเป็นเนือน่ิม ๆ สีนา้ ตาล วางเรียงตัวกันเป็นแถวเป็นข้อปล้องเป็น
ช่อง ๆ ลักษณะกลมขนาดเหรียญบาท
นิ่ม มีกลิ่น เหนียวมือ มีลักษณ ะ
เหมอื นยางมะตอย
2. น้าทังเปลือกที่กะเทาะแช่น้าไว้
1 คืน ให้เนือในฝักละลาย น้าจะ
เปล่ยี นเป็นสีนา้ ตาล
3. น้ามาต้มสกัดน้าสี กรองเอาแต่น้า
ตังไฟ น้าเส้นใยไหมและเส้นใยฝ้ายลง
ย้อม สที ี่ได้ จะเปน็ สนี ้าตาล
ภาพท่ี 62 ได้สีน้าตาลทอง เมื่อน้ามาแช่สารชว่ ยย้อมที่แตกต่างกัน ท้าให้สีที่ไดต้ ่างกันออกไป สี
จะติดเข้มและให้สชี ัดท่ีเส้นใยไหม เส้นใยฝา้ ยทงั 2 อย่างไม่คอ่ ยกินสี และเสน้ ใยกญั ชงเดิมเปน็ สี
น้าตาล เม่ือยอ้ มได้เป็นสีน้าตาลแตจ่ ะเห็นชดั เม่อื แชส่ ารช่วยตดิ สี สารสม้ ปูนแดง และดา่ งขีเถา้
ภาพที่ 63 สเี สน้ ใยฝ้าย เสน้ ใยฝ้ายยอ้ มยูคา
เส้นใยไหม และเสน้ ใยกญั ชง กอ่ นลงต้มนา้ ย้อมคนู
หูกวาง
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง-ใหญ่พบได้ทั่วไปเพราะนิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงา และมักปลูกตามริมถนน สูงได้ถึง
15-20 เมตร ล้าต้นตังตรง แตกกิ่งก้านเป็นชันๆ เปลือกต้นมีสีน้าตาลเทา มีรอยแตกของไม้เป็นร่องๆ ใบหูกวางแตก
เปน็ ใบเดี่ยวสีเขียวออ่ น เขียวแก่-เขียวเหลอื ง-สม้ จนเปน็ สีน้าตาลเมื่อใบแก่ ลกั ษณะใบรูปไข่ โคนใบสอบขนึ ไปถงึ กลาง
ใบแล้วกว้างออก ปลายใบเลก็ แหลม กวา้ งและยาวได้ถึง 10-20 เซนตเิ มตร ใบหนา ใต้ใบเหมือนมีขนสีขาวเล็กๆ นุ่มๆ
ปกคลมุ อยเู่ ต็มใตใ้ บ
ขันตอนการสกัดสจี ากใบหกู วาง
1. น้าใบหูกวางมาสบั ใหเ้ ป็นชนิ้ เล็ก ๆ แช่นา้ ทิง้ ไว้
2. นา้ ไปตม้ เพ่ือสกัดนา้ สี 45-60 นาที จากสีของใบหูกวางจะเปลยี่ นเป็นสีเขยี ว-น้าตาลข้ีม้า
3. กรองเอาแต่น้าสีเพื่อใช้ย้อม น้าเส้นใยไหมและเส้นใยฝ้ายลงต้มย้อม 1 ชั่วโมงเส้นใยไหมจะดูดน้าสี
ไดม้ ากกวา่ และไดส้ เี หลืองสดและเงากวา่ ด้วยคุณสมบัตขิ องตัวเสน้ ใยไหมเอง
ใบหกู วาง สับ หัน่ ให้ละเอยี ดก่อนการต้ม
ภาพท่ี 64 ไดส้ ีย้อมเป็นสเี หลือง และเปล่ยี นเปน็ สโี ทนนา้ ตาลเม่อื แชส่ ารช่วยตดิ สี ปนู แดง นา้ ดา่ งขเี ถา้ โคลน และสารสม้
หวา้
หว้า เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง-ใหญ่ สูงได้ ถึง 25 เมตร มีลักษณะล้าต้นตรง เรียบ สีน้าตาลเข้ม ใบเป็นใบ
เดี่ยวสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้มเมื่อเป็นใบแก่ออกตรงข้ามกันในกิ่ง ทรงใบเป็นรูปไข่ยาวรี ปลายแหลม กว้างประมาณ
1 ฝ่ามือ ยาว 15-20 เซนติเมตร ผลหว้าเป็นสีม่วงแดง ผลแก่จะเป็นสีด้า ผิวเรียว รูปทรงรีเหมือนไข่นกกระทาขนาด
เลก็ คลา้ ยองนุ่ มีเมลด็ เล็กทรงรีข้างใน รสชาติหวานอมฝาด (ปากจะเปน็ สีม่วงเม่อื รบั ประทาน)
ภาพท่ี 65 ตน้ หวา้
ขนั ตอนการสกดั สีจากเปลือกต้นหว้า
1. น้าก่งิ ของตน้ หว้าบากเอาเฉพาะส่วนผวิ เปลอื ก เปลือกนอกทเ่ี ป็นสนี ้าตาล ยงั ไมล่ งลึกเข้าไปถงึ แก่น แตเ่ มื่อ
บากเข้าไป 1 เซนติเมตรจะเห็นเนือข้างในเป็นสีขาวครีมและเมื่อโดนอากาศจะเห็นเป็นสีม่วงชัดขึน และมียางติด
เหนียว ๆ ติดมือ
2. นา้ เปลือกไมท้ ่ีไดแ้ ช่น้าทงิ ไว้ 1 คนื
3. น้าไปตม้ สกดั น้าสี น้าเส้นใยไหมและเส้นใยฝา้ ยลงต้มยอ้ ม ได้เป็นสีนา้ ตาล
.
ภาพท่ี 66 ไดส้ ีนา้ ตาลอ่อน-นา้ ตาลเขม้ เสน้ ใยไหมติดสีไดด้ กี วา่ เสน้ ใยฝา้ ย เปน็ สนี ้าตาลทองและมคี วามมนั เงา ของตวั เสน้ ใย
ทองกวาว
เปน็ ไม้ยนื ต้นขนาดกลาง-ใหญ่ สูง10-15 เมตร กง่ิ ก้านโค้งงอ แตกก่ิง ก้านไม่เป็นระเบียบ ทรงพุ่ม เปลือกต้น
เป็นสีน้าตาลเทาเข้ม ผิวเรียบ เปลือกด้านในต้นเป็นสีน้าตาลแดง ยางต้นจะใส ๆ เม่ือแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลแดง
เหมือนผิวใต้เปลือก ใบเป็นใบเรียงปลายคี่ ใบท่ีอยู่ปลายจะค่อนข้างใหญ่สุด มี 3 ใบเรียงสลับตรงข้ามกัน ลักษณะใบ
หนาเกอื บกลม มีขน ๆ รอบใบ โคนใบสอบ ปลายใบโค้งมน ขนาดใบประมาณ 8-10 เซนติเมตร
ดอกออกเป็นช่อตามก่ิง ก้าน และปลายกิ่ง มีโคนร่วมกัน เป็นพุ่มช่อขนาดใหญ่ ช่อยาว 5-20 เซนติเมตร
มีดอกย่อยเกาะกันเป็นกลุ่มในช่อ 15-30 ดอก ดอกบานจะมี 5 กลีบ ขัวดอกสีเขียว ตัวดอกสีเหลืองจากขัวดอก
ปลายดอกเป็นส้มแสด ลกั ษณะ
ของดอกจะโค้งงองุ้มคล้ายดอก
แค เม่ือแห้งจะเปล่ียนเป็นสี
น้าตาลแค่ตรงโคนขัวยังเป็นสี
เหลอื ง
ภาพท่ี 67 ต้นทองกวาวหนา้ อาคารศิลป์ พีระศรี 3 คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลยั ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจนั ทร์
ภาพที่ 68 ดอกทองกวาวสด ภาพที่ 69 ดอกทองกวาวแห้ง
ขนั ตอนการสกดั สจี ากดอกทองกวาว
1. นา้ ดอกทองกวาวสดขยา้ แช่นา้ ทิงไว้ 1 คืน นา้ สที ไี่ ด้เปน็ สีนา้ ตาลอมส้ม
2. นา้ ไปต้มสกัดนา้ สี กรองเอาแตน่ า้ สีเพอ่ื ใชใ้ นการยอ้ ม
3 . น้ า เส้ น ใย
ฝ้ าย แ ช่ ใน น้ า
เต้าหู้ทิงไว้ 1คืน
เพ่ือเพิ่มโปรตีน
ให้กับเส้นใย ได้
เป็นสีเหลืองสด
มากกว่าเส้นใย
ฝ้ า ย ท่ี ไ ม่ ไ ด้ แ ช่
น้าเต้าหู้เป็นการต้มย้อมพร้อมกับเส้นใย
ไหม
ภาพท่ี 70 ไดส้ เี หลอื งสดและเขม้ เม่อื แชส่ ารชว่ ยติดสตี วั อื่น ทา้ ใหเ้ ฉดสที ี่ไดแ้ ตกตา่ งกนั ออกไป ได้ทงั สสี ้ม เหลอื งทอง และสีนา้ ตาล
หมากเยอรมนั / หมากนวล
ลักษณะคลา้ ยต้นปาลม์ ทรงพ่มุ สงู 5-10 เมตรล้าต้นเป็นสีน้าตาลเทา ต่อขนึ ไปเป็นสนี า้ ตาลแดง รอบต้นเป็น
ขอ้ ปล้องเป็นชัน ๆ (เป็นเหมอื นรอยหลดุ ของกา้ นใบ) ยาวประมาณ 2-3 เมตร และสว่ นปลายกอ่ นถึงส่วนใบเป็นสเี ขยี ว
อ่อนเรียกว่าคอนวลยาวประมาณ 30-50 เซนตเิ มตร มกี า้ นใบยาว ลักษณะใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลบั กัน
เหมือนใบมะพร้าว ทรงใบแคบยาวเรียวปลายแหลม โคนใบมน ติดกับทางก้าน ใบเด่ียวยาวประมาณ
30-40 เซนติเมตร ทางใบยาวประมาณ 1.5-2 เมตร สีเขียวเข้ม เม่ือแก่ใบจะเป็นสีเหลืองและน้าตาล โคนก้านจะหลุด
ออกจากต้นหล่นลงมาทังก้านใบ ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ สีขาวรวมกนั ให้ผลกลมรีสีเขียวออ่ น ปลายผลยาวแหลม เมื่อ
แก่ผลจะเปล่ียนเปน็ สลี กู หมากสแี ดงสกุ หลน่ ลงมาขณะท่ีพวงช่อของมันยังคงอยู่บนตน้
ภาพที่ 71 ตน้ และผลหมากสกุ
ขันตอนการสกัดสจี ากผลหมากเยอรมนั
1. นา้ ผลหมากสุกมาแชน่ ้าทงิ ไว้ 1 คนื แล้วบีบแยกเปลอื กนอกที่เปน็ แผน่ สีแดงกบั เมลด็ ภายในออกจากกนั
2. น้าไปต้มสกัดนา้ สี แลว้ นา้ เสน้ ใยไหมและเสน้ ใยฝ้ายลงตม้ ย้อม 1 ชั่วโมง
ภาพที่ 72 ได้สีน้าตาลอ่อนบนเสน้ ไหมสว่ นบนเส้นใยฝ้ายแทบไม่ติดสี
การบูร
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง-ใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มทึบ สูง 15-20 เมตร ล้าต้นตรง เนือไม้แตกลายเป็นริว ๆ
เปลือกต้นสีน้าตาลแดง บากส่วนเปลือกเข้าในจะเห็นแก่นสีขาว เนือในแข็ง กิ่ง ก้านเป็นสีเขียวถึงน้าตาลอ่อนส่วนนี
จะเรียบไม่แตกลายไม้ แตกก้านใบออกจากกิ่งก้านเล็ก เป็นใบเด่ียวเรียงสลับ ทรงรี ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ
สีเขียวอ่อนถึงเข้มเมื่อเป็นใบแก่ ใบกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมตร ทุกส่วนของต้นการบูรจะให้กล่ินหอม
ทงั สว่ นทเ่ี ปน็ ต้น และใบ เพียงแคข่ ย้าใบก็จะได้กลนิ่ ของการบรู
การบูร
คือผลึกที่แทรก
อยู่ในเนือไม้ของ
ต้นการบูร ท่ีมี
อ ยู่ ท่ั ว ไ ป ทั ง ต้ น
มั ก อ ยู่ ต า ม ร อ ย
แตกของเนือไม้
และมากที่สุดใน
แ ก่ น ข อ ง ร า ก
รองลงมาคือสว่ น
แก่นของต้น ไล่
ขึ น ม า ส่ ว น โ ค น
ต้ น จ ะ มี ก า ร บู ร
มากกว่าส่วนของ
ล้าต้นท่ีอยู่เหนือ
ขึนไป ส่วนในใบ
จ ะ มี ก า ร บู ร อ ยู่
น้อย โดยใบอ่อนก็จะมีน้อยกว่าใบแก่ การบูรเป็นเกล็ดกลม ๆ สีขาวขนาดเล็ก มีลักษณะแห้งจับตัวเป็นก้อนร่วน ๆ
แตกง่าย เม่ือทิงไว้จะระเหิดหายไปหมด (การบูร สรรพคุณและประโยชน์ของการบูร 34 ข้อ .( Online),
https://medthai.com, พฤษภาคม 2561)
ภาพท่ี 73 ใบการบูรแห้ง วางทิงไว้ จะเกิดเกล็ดการบูร
เห็นได้ชัดมากกว่าการบูรสด เมื่อเอามาต้มน้าก็ยังมีกล่ิน
การบูรอยู่
ขันตอนการสกัดสจี ากเปลือกและใบการบูร
1. สบั ก่ิงการบรู พร้อมใบให้เป็นท่อนเลก็ ๆ แล้วขย้าใบ
2. น้าแช่น้าทิงไว้ และบากส่วนเปลือกต้นการบูรแช่น้า
ทิงไว้ 1 คนื เชน่ กนั
3. น้าทัง 2 ส่วนมาต้มสกัดน้าสี กล่ินและควันจากการ
ตม้ ยอ้ มเป็นกล่นิ ของการบรู เข้มขน้ กลิ่นแรง
4. น้าเส้นใยไหมและเส้นใยฝ้ายลงต้มย้อมได้สีย้อมเป็น
สีน้าตาลอ่อน และแช่สารช่วยย้อมด่างขีเถ้า และโคลน ท้าใช้สี
ของเสน้ ใยเขม้ ขึน แตก่ ับสารสม้ กลบั ทา้ ใหส้ ีทอ่ี ยู่บนเส้นใยจากจน
แทบไม่เหลือสีของการบูรติดอยู่เลย และนอกเหนือไปจากสีย้อม
ที่ได้ นนั่ คอื กลน่ิ การบูรคงตดิ อยู่กับเนอื ของเสน้ ใยดว้ ย
ชามะเลยี ง
เป็นไม้ผลทรงพุ่มแบบโปร่งขนาดเล็กถึงกลาง ลา้ ต้นตรง สูงประมาณ 3-5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้าตาลอ่อน
ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรยี งสลับตรงข้ามกนั มีใบย่อยประมาณ 5-6 คู่ ลักษณะใบเป็นทรงรี ยาว ปลายใบ
แหลม โคนใบมนมีก้านใบ ใบยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร กว้าง 2-4 ออกดอกผลเป็นช่อ ในหน่ึงช่อจะมีผลเป็น
พวง พวงละประมาณ 15-20 ผล ลักษณะผลเป็นรูปทรงกลมป้อม ปลายผลโค้งคล้ายรูปหัวใจ ผิวเป็นมันเงา สีเขียว
แดงสม้ แดงมว่ ง เมอ่ื แก่จะเป็นสีมว่ งเข้ม มีรสหวานอมเปรยี ว และมยี างฝาด
ภาพที่ 74 ผลช้ามะเลยี งบา้ นและช้ามะเลยี งป่าเม็ดเล็ก และกลมกวา่
ขนั ตอนการสกัดสจี ากผลชามะเลียง
การสกดั สจี ากผลชา้ มะเลยี ง ใชว้ ิธีการยอ้ มร้อนคือ
1. น้าผล
ช้ามะเลียงสุกที่มสี ีมว่ งเขม้
มาบีบ ขยา้ ให้ผลแตก
2. นา้ แช่นา้ และ
ตม้ สกัดน้าสี 1 ชว่ั โมง นา้ สี
ท่ไี ด้จะเปน็ สชี มพมู ่วง
3. นา้ เสน้ ใยไหม
และเสน้ ใยฝา้ ยลงต้ม
ภาพที่ 75 ไดส้ ีโทนฟ้า-ม่วง สจี างลงเม่อื เสน้ ใยแหง้ ตดิ สบี นเส้นใยไหมไดด้ กี ว่าเสน้ ใยฝา้ ย
บทที่ 4 เสน้ ใยจากในสวน
พันธุ์ไม้จากในสวนท่ีสามารถผลิตเป็นเส้นใยได้ ได้แก่ เส้นใยมะพร้าว เส้นใยกก เส้นใยข่อย เส้นใยตะไคร้
เส้นใยมะพร้าว และเส้นใยกล้วย เส้นใยเหล่านีล้วนเป็นเส้นใยพืชประเภทเส้นใยสัน ซ่ึงกระบวนการผลิตหรือ
กระบวนการแยกเส้นใยด้วยมอื อาจยังไมเ่ หมาะสม เพราะจะไดเ้ ส้นใยท่หี ยาบ ไมเ่ หมาะที่จะน้ามาใชใ้ นกระบวนการทอ
ส่วนใหญ่นิยมน้าไปป่ันรวมกับเส้นใยอื่นในสัดส่วนท่ีน้อยกว่า เช่น ใช้เส้นใยไผ่ 20% ผสมกับเส้นใยฝ้าย เส้นใยไผ่
5-15% ผสมกับเสน้ ใยลนิ ิน เป็นต้น
เส้นใยมะพรา้ ว
สกัดจากสว่ นเปลือกชันในลกู มะพร้าว ระหว่างเปลือกผลด้านนอกสีน้าตาลกับส่วนผลทีเ่ ปน็ กะลา เสน้ ใยท่ไี ด้
จะมีความแข็งกระดา้ ง แตม่ ีความแข็งแรง ทนต่อความชืนได้ดี ไมส่ ามารถน้ามาใช้กับกระบวนการทอได้ เน่ืองจากเส้น
ใยที่ได้เป็นเส้นใยสัน ส่วนมากนิยมน้าใยมะพร้าวไปอัดแผ่นท้าเป็นไส้ท่ีนอน เก้าอีนวม หรือเคร่ืองเรือนอื่น ๆ หรือท้า
พรมเชด็ เทา้
เส้นใยกก
กกท่ีตัดหรือเก็บเกี่ยวได้นัน ต้องมีอายุประมาณ 3-4 เดือน ตัดส่วนต้นสูง จากโคนถึงปลายยาวประมาณ
100-120 เซนติเมตร ตัดส่วนท่ีเป็นดอกทิง น้าต้นกกมาท้าการจักให้เป็นเส้น โดยการใช้มีดผ่ากลางต้นกกให้ได้ขนาด
6-8 เส้น ขนาดกลางได้ 4 เส้น และขนาดเล็กอาจได้ 3 เส้นต่อต้นทังนีขึนอยู่กับความประณีตด้วย ขนาดของเส้นกก
เมื่อจักออกมาแล้วยังไม่ตากแห้งมีขนาดประมาณ 0.5 เซนติเมตร มัดรวมกันก่อนน้าไปแผ่หรือแขวนตากแดดให้แห้ง
เสน้ ใยขอ่ ย
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 10-20 เมตร ล้าต้นตรง สีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้าตาลเทาอ่อน ผิว
เปลอื กมีตุ่ม ๆ รอบต้นเปลอื กบาง จะมียางสขี าวเหนยี ว ๆ ออกมาตลอดล้าต้นถ้าบากหรือปาด ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว
เรยี งเป็นคู่สลับกัน ใบแขง็ มีสเี ขียวเข้ม ทรงรี โคนใบสอบ ปลายใบเรยี วแหลม ขอบใบหยักแหลม ผิวสมั ผัสสากทังสอง
ด้าน คล้ายกระดาษทราย ใบกวา้ งประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร
น้าต้นข่อยมาลอกเอาเฉพาะเปลือกผิวดา้ นนอกออกมา สามารถดึง
ลอกไดโ้ ดยง่าย ล้าตน้ ล่ืน เปลอื กตน้ กับแก่นแยกออกจากกัน
ในสมัยก่อนเคยใช้เป็นแปรงสีฟัน โดย
น้ามาทุบให้ปลายนิ่ม สางให้เป็นระเบียบ
ก่อนน้ามาใช้แปรงฟัน ยางจากต้นข่อย
สามารถน้ามาไล่แมลงได้ เปลือกของต้น
น้ามาท้าเป็นกระดาษ สมุด ได้ หรอื ทเ่ี รียก
กันสมัยก่อนว่าสมุดข่อย โดยใช้ส่วนที่เป็น
เย่ือที่ขูดแยกออกมาจากเส้นใยแข็ง ๆ
น้ามาลอยน้าแล้วช้อนเป็นแผ่นบาง ๆ ใช้
เป็นกระดาษได้
ขนั ตอนการผลติ เส้นใยขอ่ ย
1. ลอกเปลือกข่อยออกจากต้น ขนาดที่ลอก
ออกมาท่ี 5-10 เซนตเิ มตร มัดรวมกันเป็นกลุ่ม แช่นา้ ทิงไว้
1 คืนให้ตวั เปลอื กไม้อ่อนนุ่มลง ตม้ ด้วยด่างขีเถ้าคล้ายการ
ฟอกขาวเส้นใยไหม หรือใช้ โฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
สารละลายด่าง โดยฤทธ์ิของสารท่ีเป็นด่างจะเป็นตัวฟอก
ให้เปลือกนิ่มและขาว คอยสังเกตและหม่ันพลิกทุก
15 นาที ใหเ้ ปลือกโดนนา้ ให้ทั่ว
2. นา้ ขนึ พกั ให้สะเด็ดน้า ก่อนน้าเปลอื กแตล่ ะกาบมาทุบให้น่ิม หรือเรียกวา่ ทบุ เยอ่ื ออกจากสว่ นเปลอื ก เหลือ
ส่วนทจ่ี ะใชเ้ ปน็ ใย นา้ ไปผ่ึงตากใหแ้ หง้
3. ฉีกหรือกรีดส่วนเส้นเป็นเส้นเล็ก ๆ ตามขนาดที่ต้องการ จากนันน้าแต่ละเส้นมามัดผูกต่อกันเป็นเส้นยาว
น้าไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไป
เสน้ ใยกล้วย
กล้วยเป็นต้นไม้ท่ีให้ประโยชน์ในทุกส่วน ตังแต่ ม า ก ที่ ป ร ะ เท ศ
ใบ ที่เรียกกันท่ัวไปว่า ใบตอง ใช้เป็นภาชนะหุ้มห่อของ ฟิ ลิ ป ปิ น ส์ ผ ล
ห่อขนม ใช้ประคบแก้ปวดเม่ือยโดยน้าใบกล้วยมาอังไฟ กล้วยทังดิบและ
ใบออ่ นใชพ้ ันแผล กาบกล้วยหรอื หยวกกลว้ ยทา้ เป็นเชอื ก สุก รวมทั งป ลี
เป็นเส้นใยเพื่อการทอ ซึ่งเส้นเชือกหรือเส้นใยจาก สามารถท้าเป็น
กาบกล้วยมีความเหนียว และจะเหนียวเป็นพิเศษเมื่อ อ า ห า ร ไ ด้
ได้รับความชืน เฉพาะอย่างย่ิงกาบกล้วยมนิลา ซึ่งปลูก หลากหลาย
ร ว ม ทั ง
รากและ
เหง้าท่ีอยู่ใต้ดินสามารถน้ามาตากแห้งแล้วเผา
เอาขีเถ้ามาท้าเป็นน้าด่างเพ่ือใช้ในการฟอกย้อม
ได้อีกดว้ ย
ส า ย พั น ธ์ุ ก ล้ ว ย ท่ี ค น ส่ ว น จะเปิดออก ดอกตัวเมียก็โรยไปแล้ว อยู่ในสกุลมูซา (Genus Musa) ส่วน
ใหญ่รู้จักและคุ้นเคยดี เป็นกล้วยท่ี ผลของกล้วยบนกา้ นดอกรวมทังหมด ใหญ่เป็นกล้วยท่ีปลูกไว้กินผล เป็น
อยู่ในสกุลมูซา ซ่ึงได้แก่ กล้วยน้าว้า เรียกวา่ เครือ (Bunch)ส่วนผลกล้วย กล้วยแตกกอ โดยจะแทงหน่อแตก
กล้วยหอม กล้วยไข่ และกล้วยหักมุก แต่ ล ะข้อของเค รือเรีย กว่า ห วี กอไปเร่อื ย ๆ เป็นการขยายพันธุโ์ ดย
กล้วยสายพันธุ์นีมีวงชีวิตที่เรียบง่าย (hand) แต่ละผลเรียกว่า ผลกล้วย การใช้หน่อ เช่น กล้วยน้าว้า กล้วย
มีล้าต้นอยู่ใต้ดิน เรียกว่า เหง้า (finger) ก ล้วยใช้เวลาตังแต่ เกิ ด หอม กล้วยไข่ กล้วยหักมุก เป็นต้น
(Corm) ส่วนล้าต้นบนดินเป็นล้าต้น จนถึงออกดอกนานประมาณ 9-10 สว่ นอีกเผ่าหนึ่งคือ เผ่ากล้วยโทน ซึ่ง
เทียม (pseudo stem) ที่เกิดจาก เดือน หลังจากออกดอกและตกเครือ อยู่ในสกุลเอ็นซีเต (Genus Ensete)
กาบใบมาหุ้มซ้อนกันเป็นล้าต้น หรือ เรียบร้อยแล้วก็จะตาย ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้เป็นไม้ประดับ
ท่ีเรียกว่า หยวก ใบกล้วยเป็นใบ ล้าต้นใต้ดินก็เตรียมต้นใหม่แทงหน่อ ตามบ้าน มักเป็นต้นกล้วยกอเล็ก
เดย่ี ว มีสีเขยี วขนาดใหญ่และยาว ผิว ขึนมาแทนที่ต้นเก่า ซ่ึงหน่อใหม่ท่ี หรือท่ีไม่มีการแตกกอ จะขึนเป็นต้น
ใบด้านบนเรียบเป็นมัน ท้องใบมีสี เกิ ด ขึ น มั ก จ ะ มี ม า ก ก ว่ า ห นึ่ ง ห น่ อ เดี่ยว ๆ มีอายุประมาณ 2 ปี หรือ
นวล ออกดอกเป็นช่ออยู่ท่ีปลายยอด หน่อใหม่จะเจริญเติบโตขึนเป็นต้น มากกว่า เป็นต้นกล้วยทมี่ ีลา้ ตน้ เดี่ยว
ลักษณะเป็นหัวห้วยลง มีสีแดงคล้า ก ล้ ว ย ให ญ่ ให้ ด อ ก ต ก เค รื อ ก ล้ ว ย มีรูปทรงแปลกๆ แตกต่างกันออกไป
เรียกว่า ปลี เม่ือเปิดกาบปลีดูจะเห็น แทนที่ต้นเก่าเร่ือย ๆ จากกล้วยต้น มีดอกสีสวย ท่ีพบเห็นกันท่ัวไปมีทัง
ช่อดอกเด่ียวเรียงกัน ตังแต่ข้อแรก เดียวสามารถกลายเป็นกอต้นกล้วย ตน้ กลว้ ยพันธ์ุน้าเข้าและต้นกล้วยป่า
จนถึงข้อท่ี 15 เป็นดอกตัวเมีย ส่วน กอใหญ่ทดแทนกัน ท่ีพบในประเทศไทย ซึ่งขยายพันธุ์
ปลายของช่อดอกเป็นด อกตัวผู้ ด้วยเมล็ด ผลรับป ระทานไม่ได้
ดังนันในธรรมชาติจะไม่มีการผสม กล้วยวงศ์มูซาซี สามารถ ต้นมักตายเม่ือออกเครือให้ผลและ
พั น ธ์ุ กั น เอ ง ใ น พ่ อ แ ม่ ต้ น เดี ย ว กั น แบ่งออกเป็นเผ่าพันธ์ุตามลักษณะ เมล็ดเรียบร้อยแล้ว เช่น กล้วยนวล
เพราะกว่าท่ีกาบปลีซ่ึงคลุมดอกตัวผู้ ของต้นได้ 2 เผ่า (เบญจมาศ ศิลา กล้วยผา กล้วยเข็ม เปน็ ตน้
ย้อม,2545) คือ เผา่ กล้วยแตกกอ ซ่ึง
เส้นใยจากต้นกล้วยสามารถน้ามาทอเป็น (lto) ท่ีไม่มีดอกและผล ซ่ึงเป็นสายพันธ์ุที่ใช้ส้าหรับ
ผืนผ้าได้ เส้นใยสกัดได้จากส่วนของกาบหรือหยวก ผลติ เปน็ เส้นใยโดยเฉพาะ โดยจะเริ่มตดั ตน้ กลว้ ยในช่วง
กล้วยท่ีเป็นกาบใบ หุ้มซ้อนกันอยู่รอบล้าต้นกล้วย เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ตัดเอาล้าต้นมาลอกกาบ
เส้นใยกล้วยหรือเชือกกล้วย จัดได้ว่าเป็นเส้นใยเชิง ออกทีละชัน จากนันน้าไปต้มฟอกขาวเป่ือยยุ่ย แล้ว
พาณิชย์ที่น้ามาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย หากเทียบ น้าไปขูดเย่ือออกให้เหลือเป็นแผ่นแบน ๆ ตากให้แห้ง
กันในกลุ่มเส้นใยธรรมชาติ เส้นใยกล้วยจะมีความ ฉีกเป็นเส้นขนาดเล็กคล้ายเส้นไหมผกู ต่อกันให้เป็นเส้น
แข็งแรงมากกว่าเสน้ ใยฝ้าย และเส้นใยป่านศรนารายณ์ ยาวแล้วน้ามาม้วนเป็นก้อน ก่อนน้าไปย้อมสีและทอ
แต่จะมีความเงาวาวเหมอื นเส้นใยไหม ในประเทศญี่ปุ่น เป็นผืนผา้ ตดั เย็บเปน็ ชุดกิโมโนตอ่ ไป
เมืองคิโจกะที่เป็นต้นก้าเนิดของผ้าทอใยกล้วยหรือ
เรียกว่า “บาโชฟู” มคี ุณสมบตั ิคือความโปร่งสบายและ ด้วยเหตุที่กล้วย เป็นไม้ผลเขตร้อน มีถ่ิน
การระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ซ่ึงเป็นผ้าทอใย ก้าเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถ
กล้วยที่เก่าแก่ที่สุดของโอกินาว่า โดยน้าเส้นใยจากต้น เจริญเติบโตได้ดีในทุกภาค ของประเทศไทย ซึ่งสภาพ
กล้วย (100 เปอร์เซ็นต์) มาทอเป็นชุดกิโมโนท่ีมีความ ภูมิอากาศของประเทศไทยเป็นแบบร้อนชืน อาจท้าให้
สวยงามและประณีต อันเน่ืองมาจากเส้นใยมีความมัน เส้นใยมีความแข็งแรงแต่กระด้าง เส้นใยกล้วยจัดอยู่
วาวคล้ายเส้นไหม มีความเหนยี วนุ่มและทน อกี ทังด้วย ประเภทเส้นใยสัน เป็นกลุ่มของเส้นใยเล็ก ๆ เรียงตัว
สภาพภูมิอากาศท่ีเอืออ้านวย ของประเทศญี่ปุ่นมี กนั กาบกล้วยจะประกอบด้วยส่วนท่ีเปน็ เยอ่ื และส่วนท่ี
ความชืนในอากาศสูง (โอกนิ าวา่ เป็นเมอื งติดทะเล จึงมี เป็นใย การสกัดเป็นเส้นใยจึงต้องท้าการขูดเย่ือออก
ความชืนท้าให้ต้นกล้วย ท่ีน้ามาท้าเป็นเส้นใยมีความ เสียก่อนให้เหลอื แต่ส่วนท่ีเป็นเส้นใยบาง ๆ น้ามาฉีกให้
เหนยี ว อีกทังความเค็มของน้าทะเลทา้ ให้เส้นใยมีความ ได้ขนาดท่ีต้องการน้าไปใช้ประโยชน์หรือขดู ให้เป็นเส้น
ทนทานและคงทน) และด้วยกรรมวิธที ่ีพิถีพิถนั ของการ ฝอยด้วยเข็ม ก่อนน้ามามัดผูกเรียงต่อกันเป็นเส้นยาว
ผ ลิ ต ผื น ผ้ า จ า ก เส้ น ใ ย ก ล้ ว ย ข อ ง ญี่ ปุ่ น ท้ า ให้ ต้ อ ง ใ ช้ กอ่ นนา้ ไปยอ้ มสี หรอื ทอเป็นผืนผ้าต่อไป เส้นใยกล้วยมี
เวลานานถงึ 6 เดอื น พันธกุ์ ลว้ ยท่นี ยิ มใช้เปน็ พนั ธุ์อโิ ตะ คุณสมบัติคือสามารถดูดซับความชืนได้และระบาย
อากาศได้ดี เส้นใยแข็งแรง เหนียวและทนทาน แต่
หยาบกระด้าง มีความมันวาวในตัว ซ่ึงในการผลิตเส้น 4. มัดรวมกาบกล้วยส่วนท่ีลอกออกมาไว้
ใยจากใยกล้วย เพื่อใช้ในงานหัตถกรรมส่ิงทอของไทย ด้วยกัน จากนันน้าไปต้มให้กาบกล้วยเป่ือยนิ่มในหม้อ
นัน มักน้าไปผสมกับเส้นใยฝ้ายในอัตราส่วนท่ีเท่ากัน
คือเส้นใยกล้วย 50 และเส้นใยฝ้าย 50 ซ่ึงเส้นใยฝ้าย น้าท่ีมีโฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ
จะช่วยให้คุณสมบัติของเส้นใยมีความอ่อนนุ่มมากขึน
สามารถย้อมติดสีได้ดี และความสามารถในการดูดซึม นา้ ดา่ งขีเถา้ หรือสารละลายด่าง โดยฤทธ์ิของสารทเ่ี ป็น
สดี ยี ิง่ ขนึ ด่างจะเป็นตัวฟอกสีของกาบกล้วยให้เป็นสีขาวและนิ่ม
วสั ดุ-อุปกรณ์สาหรับการผลติ เสน้ ใยกลว้ ย หมั่นพลิกทุก 15 นาที
ทิ งไว้ ป ร ะ ม า ณ ค รึ่ ง
1. ต้นกลว้ ย/ กาบกลว้ ย ควรคดั ตน้ กลว้ ยท่ีมี ช่วั โมง สังเกตจน เปน็ สี
ขนาดใหญ่ หรอื ตน้ ท่ีปลูกมาแลว้ มอี ายุกว่า 3 ปี น้าตาล จากนันล้างน้า
ให้สะอาด
2. สารละลายดา่ ง หรือนา้ ดา่ งขเี ถ้า หรือ
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 5. น้ากาบกล้วยขึนพักให้สะเดด็ น้า ก่อนน้าแต่
ละกาบมาขูดส่วนที่เป็นเนือ หรือเรียกว่าเยื่อออกจาก
3. มีด สา้ หรับปอกกาบกล้วยเปน็ แผน่ ๆ ส่วนเปลือกท่จี ะใช้เปน็ ใย ขูดออกให้คงเหลือเฉพาะสว่ น
4. ถงั นา้ / กะละมัง ท่ีเป็นเสน้ ใย น้าไปผงึ่ ตากใหแ้ ห้ง
5. ถงุ มือ
6. ช้อน หรือ ตะเกียบ (ญ่ีปุ่นจะใช้ไม้ไผ่เหลา
ลักษณะคล้ายท่ีคีบน้าแข็ง เรียกว่า Obiki ใช้หนีบครูด
กาบกล้วยที่ต้มแลว้ ให้เยอ่ื หลุดออกจากกาบกล้วย)
ขั้นตอนการผลิตเส้นใยกลว้ ย 6. ฉีกหรือกรีดส่วนเส้น / ใยด้วยเข็มให้
ออกเป็นเส้นเล็กๆ หรือตามขนาดท่ีต้องการ จากนันน้า
1. เลือกต้นกล้วยน้าว้า ซึ่งปลูกง่ายและมีอยู่ แต่ละเส้นมามัดผูกต่อกันเป็นเส้นยาว และน้าไปม้วน
ในสวน โดยการตัดช่วงล้าต้นให้สูงจากพืนประมาณ 30 เป็นไจพรอ้ มส้าหรับน้าไปย้อมสี หรอื เตรยี มทอ
เซนติเมตรล้าต้นที่ได้ขนาดเหมาะส้าหรับท้าเส้นใยจะมี
ความยาวประมาณ 100-120 เซนติเมตร
2. ตัดต้นกล้วยส่วนก้าน ใบออกเหลือเฉพาะ
ส่วนล้าต้น ลอกกาบกล้วยส่วนนอกที่มีเป็นเปลือกแก่
สเี ขียวออก ประมาณ 4-5 ชัน คงเหลือกาบสีขาว
3. พลิกส่วนโคนของต้นกล้วยขึนด้านบน ใช้
มีดผ่า กรีด(ผ่าสวนจากส่วนล่างขึนปลาย) ลอกส่วน
เปลือกของกาบกล้วยให้กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร
พกั ไวเ้ ปน็ ซีก ๆ
ภาพท่ี 76 เสน้ ใยกลว้ ยท่ไี ดจ้ ากการฉกี เสน้ ผูกตอ่ มว้ นเปน็ ไจ และยอ้ มสี
บทที่ 5 สยี ้อมกบั การสรา้ งสรรค์
การสรา้ งสรรคง์ านผา้ ดว้ ยเทคนคิ มัดยอ้ มจากสธี รรมชาติ
เทคนิคของการสร้างลวดลายใหเ้ กดิ บนผืนผา้ มดี ้วยกันหลากหลายวิธี แต่วิธีหนงึ่ ท่ีงา่ ยและเห็นผลรวดเรว็ คือ
การทา้ ผ้ามัดย้อม นนั่ หมายถึงการน้าผา้ ผืนสีขาวมาสร้างสรรค์ด้วยการมัดในวิธีที่แตกต่าง หลากหลายตามจินตนาการ
ของแตล่ ะคน ใชว้ ัสดหุ ลกั คอื หนังยาง ในการมดั หนังยางบนผืนผ้ากับวัสดอุ ืน่ ๆเขา้ ดว้ ยกันใหแ้ น่น หลังจากนนั นา้ ผืนผ้า
ไปท้าการย้อมสี โดยส่วนท่ีโดนหนงั ยางมัดไว้จะไม่ติดสีเม่ือแก้หนังยางที่มัดออก ตรงจุดที่มัดไว้จะเป็นสีขาวของผืนผ้า
เหมอื นเดิม ซึง่ การสร้างลวดลายอยา่ งงา่ ยขันพนื ฐานแบ่งไดเ้ ปน็ 4 แบบ ดังนี
1. พบั แล้วมัด / พับแลว้ หนีบ พบั ใหเ้ ป็นทบ เป็นจบี เป็นผนื เล็กลง
2. ขย้าแลว้ มัด ขยา้ ขยมุ้ หรอื จับใหย้ น่ ยับ แบบไมต่ งั ใจ
3. หอ่ แลว้ มัด ห่อ หรอื หุ้มวตั ถุอื่นๆ
4. มว้ นแล้วมัด มว้ นผืนผา้ กบั วัสดุอืน่ ๆ
ภาพที่ 77 ตัวอยา่ งการพบั มว้ น ขยา้ แลว้ ท้าการหนบี /มดั ลวดลายด้วยวัสดตุ า่ งๆ เชน่ ตะเกยี บ ตัวหนบี ผา้ ไมไ้ อศกรีม เปน็ ต้น
วสั ดุ อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการสรา้ งสรรค์
1. ผ้าผนื สขี าวเส้นใยธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ผา้ ฝา้ ย ผ้าลินิน และผ้ามัสลิน
2. วัสดกุ ารยอ้ มจากธรรมชาติ
3. ยางรัด (หนงั ยาง)
4. เชอื กฟาง
5. อปุ กรณ์การสรา้ งลวดลาย เช่น ลูกปัด ลูกแก้ว กอ้ นหินขนาดต่างๆ ไม้ไอศกรมี ขนาดเล็กและใหญ่ ตะเกียบ
ไมห้ นบี ผ้า ตัวหนีบกระดาษ บล็อกไมร้ ูปวงกลม รปู ครึ่งวงกลม รปู ดาว รปู สามเหล่ยี ม เปน็ ตน้
ภาพท่ี 78 วัสดุ อุปกรณ์การสร้างลวดลาย
เช่น ก้อนหิน ไม้ไอศกรีมขนาดใหญ่และเล็ก
ตะเกียบ ลกู แก้ว
การมดั ย้อมดว้ ยสีจากมะม่วงหาว
เตรยี มสีย้อมจากผลมะมว่ งหาว
1. สกัดน้าสีด้วยวิธีการต้ม โดยใช้ผลสุกสีแดงม่วง ต้มในน้าเดือด 45-60 นาที จากนันกรอกเอาเฉพาะน้า
มาใช้ พรอ้ มใสเ่ กลือลงในน้าย้อม
2. นา้ ผ้าขาวทที่ า้ การมดั ด้วยวิธกี ารใดวธิ กี ารหนงึ่ แลว้ ชบุ นา้ หมาดก่อนลงต้มในหม้อนา้ สี
ภ าพ ท่ี 79 เมื่ อ น้ า ผื น ผ้ าที่ ย้ อ ม
เรียบร้อยแล้วขึนผ่ึงลม สีของผืนผ้ามี
การเปลย่ี นจากสชี มพูเป็นสีม่วง
การมดั ยอ้ มด้วยสจี ากคราม
เตรียมสยี ้อมจากเนอื คราม
ก่อหม้อครามเพ่ือใช้ในการย้อม โดยทดลองใช้สูตรในการก่อหม้อคราม 2 สูตรที่มีความต่างกัน ทังสัดส่วน
ของสว่ นผสม และอาหารท่เี ติมให้หลังจากการยอ้ มตา่ งกนั (ใชน้ า้ ด่างท่สี กดั ได้จากเถา้ ของตน้ กล้วย) โดย
หม้อท่ี 1 เนือคราม นา้ ดา่ งขีเถ้า น้ามะขามเปยี ก และน้าตาลแดง
หมอ้ ท่ี 2 เนอื คราม น้าดา่ งขเี ถ้า นา้ มะมว่ งหาว และกล้วยนา้ ว้า
1. กอ่ หม้อครามในถงั พลาสติกใส เพ่อื ดกู ารท้าปฏิกิรยิ าของเนือครามภายในหมอ้
2. เป ล่ียน ถ่ายน้ าครามลงหม้อ ดิน หลังจากพ บ สัญ ญ าณ หรือ ป ฏิ กิริยาของหม้อคราม ท้ั ง 2
คือ 1) น้าสีของครามเริ่มเปล่ียนเป็นสีเหลืองอย่างเห็นได้ชัดและแยกชันกับส่วนที่เป็นน้าและส่วนฟอง
2) ฟองของคราม เม่ือเรม่ิ ก่อแล้วโจกน้าครามทิงไว้ ฟองอากาศท่ีเกิดจะคอ่ ยๆแตกตวั และยบุ แต่ไมห่ มดไป
เกดิ เป็นฟองหนาปดิ คลมุ ชนั นา้ สีไว้ ฟองจะมีสีน้าเงินเหลือบมว่ งอมแดง สีของฟองจะสวยเป็นเงา
3. หม้อครามทังสองหม้อแตกต่างกัน ท้ังน้าสี ฟองคราม และสีครามท่ีย้อมได้ หม้อท่ีก่อด้วยมะม่วงหาวได้สี
อ่อนกว่าหมอ้ มะขามเปยี ก ด้วยความเปรียวของมะขามเปยี กท่ีมีมากกวา่ มะม่วงหาวท้าใหค้ วามเป็นกรดมี
มากกว่าเช่นกนั
ภาพท่ี 80 ผืนผ้าที่เตรยี มไว้สา้ หรบั การยอ้ มคราม ด้วยวธิ กี ารสร้างลวดลายแบบตา่ งๆ
ภาพท่ี 81 นา้ ครามหม้อท่ี 1 ส่วนผสม ดงั นี คราม+นา้ ดา่ งขเี ถ้า+น้ามะมว่ งหาว+กลว้ ย
(ผืนผ้าท่ไี ด้ด้วยวธิ กี ารสร้างลวดลายดว้ ยวธิ ีการ พบั ขยา้ มว้ น แล้วนา้ ไปย้อม เมอื่ แกว้ ัสดกุ ารมัดออกจะได้เป็นลวดลายดงั ภาพ)
ภาพท่ี 82 น้าครามหม้อท่ี 2 สว่ นผสม ดังนี คราม+น้าดา่ งขีเถ้า+มะขามเปยี ก+น้าตาลแดง
(ผืนผ้าท่ีไดด้ ้วยวธิ กี ารสร้างลวดลายด้วยวิธีการ พับ ขยา้ มว้ น แล้วนา้ ไปยอ้ ม)
การทดลองยอ้ มผา้ ลินินจากสคี ราม
ภาพท่ี 83 สียอ้ มท่ไี ดจ้ ากครามหมอ้ ท่ี 1
ภาพท่ี 84 สยี ้อมท่ไี ดจ้ ากครามหมอ้ ท่ี 2
ภาพท่ี 85 ผา้ ฝ้ายมัดด้วยวธิ ีนา้ ผืนผา้ หุ้มตะเกยี บแลว้ มดั ดว้ ยหนงั ยางใหแ้ นน่
ภาพท่ี 86 ไหมและฝา้ ยกับสคี ราม
บทท่ี 6 บทสรปุ และข้อเสนอแนะ
บทสรปุ
สีสัน...ผลพวงที่ได้จากในสวนสีย้อมจากในสวน ของอาจารย์ประทีป จากพันธ์ุไม้ 18 ชนิดที่ ได้แก่ 1) มะม่วง
2) สุพรรณิการ์ 3) อัญชัน 4) ขนุน 5) สตาร์แอปเปิ้ล 6) มะม่วงหาว 7) ดาวเรือง 8) มะยม 9) มะพร้าวน้าหอม
10) แกว้ 11) หม่อน 12) คนู 13) หกู วาง 14) หว้า 15) ทองกวาว 16) หมากเยอรมัน 17) การบูร และ 18) ชา้ มะเลยี ง
สที ่ีได้มากกว่า 18 เฉดสี สพี ืนฐานของพันธุ์ไม้เกอื บทุกชนดิ ให้สีที่เปน็ โทนสีเขียว น้าตาล และเหลือง มีความเขม้ ความ
อ่อนแตกต่างกันตามแต่ชนิดของพันธ์ุพืชนันๆ โดยที่โทนสีเขียวส่วนใหญ่จะสกัดได้จากส่วนที่เป็นใบ โทนสีน้าตาล
น้าตาลแดง น้าตาลอมสม้ สกัดได้ทงั จากส่วนเปลอื กต้น รากและใบด้วยเช่นกัน ส่วนสีอ่ืนๆ เช่น ฟ้า ม่วง ชมพู เหลอื ง
เปน็ ต้น ได้จากส่วนผลและดอก
องค์ประกอบทสี่ า้ คัญอกี อย่างหนึง่ ของการใหส้ คี ือ สารช่วยติด (Mordant) หรือสารกระตุ้น หรอื สารช่วยย้อม
นอกจากจะเป็นตัวช่วยให้สีติดกับเส้นใยผ้าได้ดีขึนแล้ว ยังเป็นตัวช่วยเปล่ียนเฉดสีให้เข้ม อ่อน หรือสว่างขึนอีกด้วย
ดังนัน มากกว่า 18 สีของพันธุ์ไม้ท่ีได้ ต้องอาศัยสารช่วยติดสีอีก 5 ชนิด ได้แก่ 1) สารส้ม 2) ปูนแดง 3) สนิมเหล็ก
4) ด่างขเี ถ้า และ 5) โคลน ท้าให้สีย้อมที่ได้เปลี่ยน/เพิ่มเฉดสีที่มากขึน ซึ่งสารช่วยติดแต่ละตัว จะมีความแตกต่างกัน
และให้สีท่ีแปลก แตกต่างกันออกไปเช่นกัน บางชนิดเปลี่ยนให้สีเข้มขึน บางชนิดท้าให้สีจางลงหรือท้าให้สีที่ย้อม
ออกมาหลดุ ออก หรือบางชนดิ แทบไม่เกดิ ปฏกิ ริ ิยาใดๆเลย
สารชว่ ยติดท่ีให้ค่าสีได้ดีคือ สารส้ม ช่วยให้เฉดสีสว่างและมีความเข้มขึน ดังนันจึงควรใชก้ ับสียอ้ มท่ีให้สเี ขียว
น้าตาล เหลือง ปูนแดง ช่วยให้เฉดสเี ข้มขึนเช่นกันแต่จะเป็นเฉดสีที่เข้มมากกว่าค่าสีท่ีไดจ้ ากสารส้ม ด่างขเี ถา้ ท้าให้สี
ออ่ นจางลง โคลนชว่ ยให้สเี ขม้ ขนึ เป็นคลา้ ๆ สว่ นสนมิ เหลก็ เป็นสารช่วยตดิ สีเดยี วทมี่ ีมอร์แดนท์เหลก็ ซึง่ จะชว่ ยเปลย่ี น
เฉดสีเป็นโทนเข้มถึงขันเทา-ด้าได้ แต่ถ้าใช้ในปริมาณทมี่ ากเกนิ ไปอาจท้าให้เสน้ ใยหรือเนือผา้ เป่ือยได้ และในการย้อม
ผ้าเพ่ือเปน็ เคร่อื งนุ่งห่มหรอื เคร่ืองใชส้ อย ไมค่ วรใชส้ ารช่วยติดสนมิ เหลก็ เพราะมผี ลกระทบตอ่ ร่างกาย
นอกจากสารช่วยติดสีที่ต่างชนิดกันท้าให้เฉดสีแตกต่างกันได้แล้วนัน อีกส่วนส้าคัญหน่ึงคือ การเลือกใช้ผ้า
สา้ หรับการย้อมสีคือ ควรใช้ผ้าที่เป็นเส้นใยธรรมชาติ (ผ้าที่เป็นเส้นใยผสมจะย้อมไม่ค่อยตดิ สีหรือตดิ สีได้ไม่ดี) การดูด
ซับน้าสแี ละการให้สีบนผืนผา้ ทต่ี ่างชนดิ กันก็ได้สที ่แี ตกต่างกนั ผ้าทน่ี ยิ มน้ามาย้อมสีจากธรรมชาติ เช่น ผา้ ฝา้ ย ผา้ ไหม
ผ้าลนิ นิ เป็นต้น
พนั ธ์ไุ ม้ในสวนของพ่อยงั มอี กี มากมายท่สี ามารถนา้ มาสกัดเปน็ นา้ สเี พือ่ ใชใ้ นการย้อมผ้าดังนี ใบและเปลอื กตน้
ละมุด ใบโกสน ใบเตย เปลือกต้นโมก ยอบ้านท่ีใชไ้ ด้ทังราก ใบ และเปลือกต้น ใยและเปลือกต้นสะเดา เหง้าขมิน ใบ
มะขาม เปลือกผลทับทิม ใบและเปลือกต้นมะกอกน้า ใบและลูกของต้นหว้า (ย้อมสีจากเปลือกต้นหว้าแล้ว) ใบและ
เปลือกตน้ สาเก พันธุ์ไม้เหลา่ นี ล้วนแลว้ แต่เป็นพันธุไ์ ม้เบืองต้นทีเ่ ข้าหลักเกณฑ์ของข้อสังเกตทีว่ ่าสามารถให้สไี ด้ ทังใบ
ดอก เปลอื กตน้ ท่มี ียาง ผลมีรสเปรยี วหรอื ฝาด
ข้อเสนอแนะ
จากขอ้ สงั เกตเบืองต้นที่ช่วยให้เขา้ ใจและสามารถสนุกไปกับการมองเห็นสีของพืชพันธ์ุไม้ชนิดต่างๆได้ง่ายขึน
สามารถหยิบพันธุ์ไม้ในบ้าน ผัก ผลไม้ ในครัว หรือแม้กระท่ังบ่อน้า บ่อโคลนในบ้าน ก็สามารถหยิบฉวยมาเป็นส่วน
หน่ึงของความรู้ น้ามาต่อยอดเปน็ องค์ความรู้ใหมๆ่ ได้เชน่ กัน โคลนต่างบ่อ ต่างสถานท่ี แร่ธาตสุ ารอาหารในดินโคลนท่ี
ต่างกัน ก็อาจท้าให้สีย้อมที่ได้ต่างกันออกไป หรือแม้กระทั่งน้าท่ีใช้ต้มย้อมต่างหมู่บ้าน บ้างเป็นน้าบาดาล บ้างเป็น
นา้ ประปา ก็อาจทา้ ใหส้ ยี ้อมแตกต่างกนั ไปได้เช่นกนั ดังนันผลของการเรียนรู้ หรือการสรรหาซึง่ สีย้อมจากแต่ละแหล่ง
เบอื งตน้ ขององค์ความรูอ้ าจคลา้ ยคลึงกนั แตผ่ ลลพั ธ์อาจแตกต่างกนั ตามแต่องค์ประกอบ ตามแต่ละบรบิ ททีพ่ งึ มี
ภาพท่ี 87 ความสขุ ...จากในสวน
(ภาพโดย เดก็ ชายปญุ ญดนย์ ปานธรรม, 2562)
บรรณานุกรม
การบูร สรรพคุณและประโยชน์ของการบูร 34 ข้อ.(2017). เข้าถึงได้จาก https://medthai.com/การบูร/. เข้าถึง
เมือ่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2561.
เบญจมาศ ศิลาย้อย.(2545). กลว้ ย. กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าพชื สวน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
ประภากร สคุ นธมณี. (2556). เอกสารคาสอนรายวิชา 364 105 พืนฐานส่ิงทอ (Basic Textile) 364 115 ศิลปะ
ส่ิงทอ 1(Textile Art I ) 364 225 ศิลปะส่ิงทอ 2 (Textile Art II). ภาควิชาประยุกตศิลปศึกษา คณะ
มณั ฑนศิลป์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
“ผา้ ใยกลว้ ย.” เข้าถึงได้จาก http://www.kougei.or.jp/english/crafts/0130/f0130.html. เข้าถงึ เม่ือวนั ท่ี
20 สงิ หาคม 2560.
ราชพฤกษ์ สรรพคุณและประโยชน์ของราชพฤกษ์ 44 ข้อ(ต้นคูน).(2017). เข้าถึงได้จาก https://medthai.com/
ราชพฤกษ/์ . เขา้ ถึงเมือ่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2561.
เส้นใย (Fibers). (2014). ความรู้และเทคโนโลยี สิ่งทอ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ. เข้าถึงได้จาก
http://www2.mtec.or.th/th/research/textile/textile_sci.html. เขา้ ถงึ เมือ่ วันที่ 13 มนี าคม 2561.
Silk sericin and its applications: A review. (2 0 0 4 ). Journal of Scientific & Industrial Research
Vol. 63, April, pp. 323-329. เข้าถึงได้จาก http://www.niscair.res.in/ScienceCommunication/
ResearchJournals/rejour/Jsir/Fulltextsearch/2 0 0 4 / April%2 0 2 0 0 4 / JSIR-vol%2 0 6 3 -
April%202004-pp%20323-329.htm. เข้าถึงเม่อื วนั ที่ 23 กรกฎาคม 2561.
Yi, Ding and Harold S. Freeman. (2 0 1 7 ). Mordant dye application on cotton fabric. Full-text,
Department of Textile Engineering, Chemistry and Science, North Carolina State University.
เข้ า ถึ ง ได้ จ า ก https://www.researchgate.net/publication/ 2 8 7 9 5 5 8 0 1 _Mordant_ dye_
application_on_cotton_fabric. เขา้ ถงึ เมอื่ วนั ที่ 20 พฤษภาคม 2561.
ดรรชนีคน้ คา ปนู แดง...................................................2 ส
เปลอื กตน้ ............................................18
M สตาร์แอปเป้ิล ........................................ 1
Mordant.............................................23 ผ สนิมเหล็ก ..............................................2
ผา้ ลินนิ ...................................................2 สวนอาจารยป์ ระทปี ..............................1
ก สะเดา ...................................... 1, 87, 92
กอ่ หม้อคราม .......................................83 ฝ สารกระตุ้น............................................. 1
การฟอกไหม .......................................... 3 ฝกั ............................................. 57 สารกระตนุ้ สี ..........................................2
การยอ้ มส.ี ..............................................1 ฝา้ ยคา้ ..................................................20 สารช่วยติด............................................. 1
การสกดั สี.............................................16 สารชว่ ยยอ้ ม ..........................................1
การสรา้ งสรรค์ .....................................81 พ สารแทนนนิ ...........................................2
แกน่ .....................................................21 พนั ธมุ์ ะมว่ ง............................................1 สารส้ม ...................................................2
แกว้ 1, 12, 21, 49, 50, 87 พันธุไ์ ม้ดอก............................................1 สจี ากคราม...........................................84
สยี อ้ มธรรมชาติ......................................2
ข ม สสี ัน .......................................................1
ขนุน......................................... 1, 32, 87 มะพรา้ ว...1, 9, 46, 47, 48, 67, 73, 87 สพุ รรณกิ าร์....1, 2, 20, 21, 22, 23, 24,
มะม่วงโชคอนันต์ ................................. 18
ค มะมว่ งนา้ ดอกไม้..................................16 25, 26, 87
คนู .....................................................56 มะมว่ งหาวมะนาวโห่.............................1 เสน้ ใย................................................ 1, 2
โคลน...................................................... 2 มะยม.......................1, 6, 7, 43, 44, 87 เส้นใยโปรตนี .........................................3
มัดย้อม ................................................82 เส้นใยฝ้าย......................................... 2, 5
ด เสน้ ใยไหม......................................... 2, 3
ดอก .....................................................25 ย
ดาวเรอื ง............................ 1, 40, 41, 87 ย้อมเย็น ................................................. 2 ห
ย้อมร้อน ................................................2
น หมอ่ น ..................1, 51, 52, 53, 54, 87
น้าดา่ ง....................................................1 ร หมากนวล ............................................ 67
น้าด่างขเี ถ้า............................................2 ราชพฤกษ์............................................56 หมากเยอรมนั ........................................1
น้าเต้าหู้.................................................. 2 หว้า ............................1, 10, 61, 62, 87
ล
ป ลูกนา้ นม..............................................33 อ
ปฏิบัติการย้อมสี .................................... 2
อญั ชนั ...........1, 10, 28, 29, 30, 31, 87
ภาคผนวก