The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 62040113107, 2022-10-20 13:08:51

หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่องแม่เหล็กและไฟฟ้า

แผนการจัดการเรียนรู้
รายวิชา ฟสิ กิ ส5์ รหสั วชิ า ว33205
กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นโนนสงู พทิ ยาคาร

นายวิศวรรษ บพุ บตุ ร
รหสั ประจำตวั นักศกึ ษา 6204013107
สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ ่วั ไปและฟิสกิ ส์

การฝึกปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วชิ า ED16401 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565



คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาฟิสิกส์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 รหัสวิชา ว33205 จัดทำข้ึนเพ่ือ
ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้/
ตัวชี้วัด ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ผู้จัดทำจึงได้ศึกษาสาระการเรียนรู้พื้นฐานให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และนำปัญหาที่พบจากประสบการณ์ และ
ความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการอบรมสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เทคนิค วิธกี ารสอน การวดั ผลประเมินผล และจิตวิทยา
การเรยี นรู้ ตลอดจนความรูท้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง มาจดั ทำแผนการจดั การเรียนร้ใู นครงั้ น้ี

แผนการจัดการเรียนรู้ในเล่มนี้ ประกอบไปด้วย หน่วยการเรียนรู้ท่ี 15 เรื่อง แมเ่ หล็กและไฟฟ้า จะ
มีรายละเอียดของกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ แหล่งการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล รวมทั้งยังมีใบ
กิจกรรมประกอบด้วย สามารถนำไปให้นักเรียนทำประกอบกับการสอนได้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เป็นไปอยา่ งราบรนื่ เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นบรรลุมาตรฐานการเรยี นรไู้ ดเ้ ต็มศักยภาพอยา่ งแท้จริง

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้สอนเอง รวมทั้งเป็น
ประโยชนต์ อ่ ผู้สอนในรายวิชาเดยี วกัน และผูส้ อนแทนเปน็ อย่างมาก

วิศวรรษ บพุ บุตร
6 สิงหาคม 2565



สารบญั

เร่อื ง........................................................................................................................................................... หน้า

คำนำ .............................................................................................................................................................. ก
สารบญั ........................................................................................................................................................... ข
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)................................................1

หลกั การและจุดม่งุ หมายของหลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน 2551 .......................................................3
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ..................................................................................................................3
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ...................................................................................................................4
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์.....................................................................................................4
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ......................................................................................................................5
สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรเ์ พม่ิ เตมิ สาระฟสิ ิกส์.................................................................................5
คุณภาพผเู้ รยี น .....................................................................................................................................5
คำอธบิ ายรายวิชาวิทยาศาสตร์.........................................................................................................................7
โครงสร้างรายวิชา ............................................................................................................................................9
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 15 เรื่อง แม่เหล็กและไฟฟา้ ......................................................... 27
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 1 ............................................................................................................... 27
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2 ............................................................................................................... 49
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ............................................................................................................... 70
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 4 ............................................................................................................... 96
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5 ............................................................................................................. 117
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 6 ............................................................................................................. 138
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7 ............................................................................................................. 155
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 8 ............................................................................................................. 173
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9 ............................................................................................................. 196
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 10 ........................................................................................................... 218
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 11 ........................................................................................................... 243
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 12 ........................................................................................................... 261
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 13 ........................................................................................................... 277
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 14 ........................................................................................................... 299

1

หลกั สูตรแกนกลางขัน้ พ้นื ฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรบั ปรุง 2560)
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 น้ีไดก้ ำหนดสาระ การเรยี นรอู้ อกเปน็ ๔ สาระ
ได้แก่ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
และสาระท่ี 4 เทคโนโลยมี สี าระเพิ่มเติม 4 สาระ ไดแ้ ก่ สาระชีววิทยาสาระเคมสี าระฟิสิกสแ์ ละสาระโลกดารา
ศาสตร์และอวกาศซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัด
และประเมินผลการเรียนรู้นั้น มคี วามสำคญั อยา่ งย่งิ ในการวางรากฐานการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรข์ องผู้เรียนในแต่
ละระดับชั้น ให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำหรับ
กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กำหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียน
เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้ วิทยาศาสตร์ได้
โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยง ความรู้กับ
กระบวนการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตเุ ป็น
ผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน
ศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้สามารถแก้ปญั หาอย่าง
เปน็ ระบบ สามารถตดั สินใจ โดยใชข้ ้อมูล หลากหลายและประจักษพ์ ยานที่ตราจสอบได้

สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศ าสตร์และเทคโนโลย(ี สสวท.) ตระหนักถึงความสำคญั ของการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้
แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 ขนึ้ เพอ่ื ให้สถานศึกษา ครผู สู้ อนตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ไดใ้ ชเ้ ป็นแนวทางในการ
พัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครูสื่อประกอบการเรียน การสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้องและ
เชื่อมโยงกันภายในสาระ การเรียนรู้เดียวกนั และระหว่างสาระการเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ตลอดจน การเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มี
ความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับ นานาชาติ
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์สรุปเป็นแผนภาพได้ ดังน้ี

2

3

หลักการและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน 2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรยี นทุกคนซึง่ เป็นกำลงั ของชาติให้เป็นมนษุ ยท์ ีม่ ี

ความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข มีความรู้และทักษะพนื้ ฐาน รวมทั้งเจต
คติที่จำเป็นตอ่ การศึกษา การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวติ โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพ้นื ฐาน
ความเช่อื วา่ ทกุ คนสามารถเรียนร้แู ละพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ

สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน มุ่งให้ผเู้ รยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดงั นี้
1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้

ภาษาถา่ ยทอดความคิด ความรู้ความเขา้ ใจ ความรู้สกึ และทศั นะของตนเองเพื่อแลกเปลย่ี นข้อมูลขา่ วสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปัญหาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลือกรบั หรอื ไมร่ ับขอ้ มลู ขา่ วสารดว้ ยหลักเหตผุ ลและความถูกตอ้ ง ตลอดจนการ
เลอื กใช้วิธีการส่ือสาร ทีม่ ีประสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่มี ีต่อตนเองและสังคม

2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรื อ
สารสนเทศเพ่อื การตดั สนิ ใจเกยี่ วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่ี
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เข้าใจความสมั พันธ์
และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ
แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและ
สง่ิ แวดลอ้ ม

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ใน
การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมไม่พึงประสงคท์ สี่ ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่นื

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ
และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอ่ื การพัฒนาตนเองและสงั คม ในด้านการเรยี นรู้ การสอื่ สาร การทำงาน
การแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม

4

คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กำหนดคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8

ประการ ดังนี้
1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2) ซื่อสัตย์สุจริต
3) มีวินัย
4) ใฝเ่ รียนรู้
5) อย่อู ยา่ งพอเพยี ง
6) มุ่งมัน่ ในการทำงาน
7) รกั ความเปน็ ไทย
8) มีจติ สาธารณะ

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการศึกษาวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่การค้นหา

ความรู้ จากการสำรวจตรวจสอบ หรือจากการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มีทัง้ หมด 13 ทกั ษะ
ดังน้ี

1) การสังเกต
2) การวัด
3) การจำแนก
4) การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมิตกิ บั มิติ และมติ กิ ับเวลา
5) การคำนวณ
6) การจัดกระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มลู
7) การลงความเห็นจากขอ้ มูล
8) การพยากรณ์
9) การตง้ั สมมติฐาน
10) การกำหนดนิยามเชงิ ปฏิบัติการ
11) การกำหนดและควบคุมตัวแปร
12) การทดลอง
13) การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ

5

ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในปัจจุบันเปน็ การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 ท่ีต้องกา้ วให้ทนั ต่อการเปล่ียนแปลงของโลก ซงึ่

ตอ้ งอาศยั ทักษะต่างๆ เพ่ือชว่ ยให้การเรียนรู้ ดังนี้
1) ทกั ษะการเรยี นรู้และนวตั กรรม
2) ทกั ษะด้านสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี
3) ทกั ษะชวี ิตและการทำงาน

สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระฟิสกิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎการ

เคลอ่ื นท่ีของนวิ ตนั กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทานสมดลุ กลของวัตถุ งานและกฎการอนรุ ักษ์พลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตมั การเคลอื่ นที่แนวโค้ง รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

2. เขา้ ใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างงา่ ย ธรรมชาติของคล่นื เสียงและ การไดย้ ิน ปรากฎการณ์
ท่เี กย่ี วข้องกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวข้องกบั แสง รวมทงั้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบ์สนามไฟฟา้ ศักยไ์ ฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ
โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทน เป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำ แม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ และการสือ่ สาร รวมท้ัง นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ
วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืดของ
ของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลกี ฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ
ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะ ของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรั งสีแรง
นวิ เคลียร์ ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟิสกิ ส์ อนุภาค รวมทั้งนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
คุณภาพผู้เรียน

คณุ ภาพของผู้เรียนเมอ่ื เรยี นจบสาระฟิสกิ สเ์ พ่ิมเติม
1. เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวข้อง กับการ
เคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ในแนวตรง แรงลัพธ์กฎการเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน กฎความโน้มถ่วง สากล สนามโน้ม
ถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและการดล กฎการ
อนุรักษโ์ มเมนตัม การชนและการเคล่อื นท่ีในแนวโค้ง
2. เข้าใจการเคลื่อนทแี่ บบคลนื่ ปรากฏการณ์คลนื่ การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและการแทรก
สอด หลักการของฮอยเกนส์การเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง ปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับเสียง ความเข้มเสียงแลt
ระดับเสยี ง การไดย้ นิ ภาพทเี่ กิดจากกระจกเงาและเลนส์ ปรากฏการณท์ เ่ี ก่ียวข้องกับแสงและการมองเหน็ แสงสี

6

3. เข้าใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟา้ กฎของคลู อมบ์ศักย์ไฟฟ้า ตวั เกบ็ ประจุตวั ต้านทาน และกฎของโอห์ม
พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้าน พลังงาน สนามแม่เหล็ก
ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนำแม่เหล็ก ไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่น
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และประโยชน์ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้

4. เขา้ ใจผลของความรอ้ นตอ่ สสาร สภาพยดื หยนุ่ ความดันในของไหล แรงพยงุ ของไหลอดุ มติทฤษฎี
จลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของ
คลื่นและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมันตรังสี กัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์
ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน แรงภายในนวิ เคลียส และการค้นควา้ วจิ ยั ด้านฟสิ กิ ส์อนภุ าค

รายวชิ าฟิสิกส์5 คำอธิบายรายวิชาเพ่ิมเติม 7
กติ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 รหัสวชิ า ว33205
เรยี น 1.5 หน่วย
เวลาเรียน 60 ชว่ั โมง/ภาค

ศึกษาสนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็ก โมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำกับขดลวดที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านเมื่อ
อยู่ในสนามแม่เหล็ก กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ อีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ ไฟฟ้ากระแสสลับ ความร้อน แก๊สอุดมคติ
ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส ของแข็ง สภาพยืดหยนุ่ ของของแข็ง ความตึงผวิ ความหนืดของของเหลว ความดันในของ
ไหล แรงพยุง ของไหลอุดมคติ สมการความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลี โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย และสรุป เพื่อให้
เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสนิ ใจ มีทกั ษะปฏบิ ัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่ง
ศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร สามารถ
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่
เหมาะสม

ผลการเรยี นรู้ท่ี
1. สังเกตและอธิบายเส้นสนามแม่เหล็ก อธิบายและคำนวณฟลักซ์แม่เหล็กในบริเวณที่กำหนด รวมทั้ง

สงั เกตและอธิบายสนามแมเ่ หล็กท่ีเกดิ จากกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำเสน้ ตรงและโซเลนอยด์
2. อธิบายและคำนวณแรงแม่เหล็กที่กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ในสนา มแม่เหล็ก

แรงแม่เหล็กที่กระทำต่อเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและวางในสนามแม่เหล็ก รัศมีความโค้งของการเคลื่อนท่ี
เมือ่ ประจเุ คล่ือนท่ตี งั้ ฉากกบั สนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบายแรงระหว่างเสน้ ลวดตวั นาคูข่ นานทมี่ ีกระแสไฟฟา้ ผ่าน

3. อธิบายหลักการทำงานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมทั้งคำนวณปริมาณ
ตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วข้อง

4. สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ กฎการเหนี่ยวนำของฟาราเดย์ และคำนวณปริมาณ
ต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง รวมทงั้ นำความร้เู ร่อื งอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนำไปอธบิ ายการทำงานของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า

5. อธิบายและคำนวณความความตา่ งศักย์อาร์เอ็มเอส และกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส
6. อธิบายหลักการทำงานและประโยชน์ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส การแปลงอีเอ็มเอฟ
ของหมอ้ แปลง และคำนวณปริมาณตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วข้อง
7. อธบิ ายและคำนวณความร้อนที่ทำให้สสารเปลย่ี นอุณหภูมิ ความร้อนทีท่ ำให้สสารเปลย่ี นสถานะและ
ความรอ้ นที่เกิดจากการถา่ ยโอนตามกฎการอนรุ กั ษ์พลงั งาน
8. อธิบายกฎของแก๊สอดุ มคตแิ ละคำนวณปรมิ าณต่างๆ ท่ีเกย่ี วข้อง
9. อธิบายแบบจำลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของ
แกส๊ รวมท้งั คำนวณปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง

8

10. อธิบายและคำนวณงานที่ทำโดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำความรู้เรื่อง
พลังงานภายในระบบไปอธิบายหลักการทำงานของเครอ่ื งใชใ้ นชีวิตประจำวัน

11. อธิบายสภาพยืดหยุ่นและลักษณะการยืดและหดตัวของวัสดุที่เป็นแท่งเมื่อถูกกระทำด้วยแรงค่า
ต่างๆ รวมทั้งทดลอง อธิบาย และคำนวณความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว และมอดุลัสของยัง และนำ
ความรู้เร่อื งสภาพยดื หย่นุ ไปใช้ในชวี ิตประจำวัน

12. อธิบายและคำนวณความดันเกจ ความดันสมบูรณ์ และความดนั บรรยากาศ รวมทั้งอธิบายหลักการ
ทำงานของแมนอมิเตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครือ่ งอดั ไฮดรอลิก

13. ทดลอง อธบิ ายและคำนวณขนาดแรงพยุงจากของไหล
14. ทดลอง อธิบายและคำนวณความตึงผิวของของเหลว รวมทั้งสังเกตและอธิบายแรงหนืดของ
ของเหลว
15. อธิบายสมบัติของของไหลอุดมคติ สมการความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลลี รวมทั้งคำนวณ
ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำความรู้เกี่ยวกับสมการความต่อเนื่องและสมการแบร์นูลลีไปอธิบายหลักการ
ทำงานของอุปกรณต์ า่ งๆ

รวมท้ังหมด 15 ผลการเรียนรู้

โครงสรา้ งรายวิชาฟ
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละ

เวลา 60 ช่ัวโมง จ

ลาดับ ชือ่ ผลการเรยี นรู้
ที่ หนว่ ยการเรียนรู้

1 แม่เหลก็ และไฟฟา้ 1. สังเกตและอธบิ ายเสน้ - เม

สนามแมเ่ หลก็ อธบิ ายและ แ

คานวณฟลกั ซแ์ มเ่ หล็กใน ไป

บริเวณท่ีกาหนด รวมทัง้ สังเกต เร

และอธบิ ายสนามแม่เหล็กที่ เม

เกดิ จากกระแสไฟฟ้าในลวด ต

ตวั นาเสน้ ตรงและโซเลนอยด์ - ส











โด

เป

-ฟ







9

ฟิสิกส์5 รหัส ว33205
ะเทคโนโลยี ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6

จานวน 1.5 หน่วยกติ

สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั
(ชวั่ โมง) คะแนน

มื่อแขวนแท่งแม่เหล็กให้หมุนไดอ้ ย่างอสิ ระในแนวราบ 5 15

แท่งแมเ่ หล็กกจ็ ะวางตวั ในแนวเหนอื -ใต้เสมอ โดยปลายทชี่ ี้

ปทางทิศเหนือเรียกวา่ ข้วั เหนือ และปลายที่ชี้ไปทางทศิ ใต้

รยี กวา่ ข้ัวใต้ แท่งแมเ่ หลก็ จะมีขัว้ เหนอื และขว้ั ใตเ้ สมอ

ม่อื นาขวั้ แม่เหล็กเข้าใกล้กนั ขวั้ เหมือนกนั จะผลักกนั ข้ัว

ต่างกันจะดงึ ดดู กนั

สารท่ถี กู แม่เหล็กดงึ ดูดได้ เช่น เหล็ก นกิ เกลิ เรียกวา่ สาร

แมเ่ หลก็ บริเวณที่มแี รงจากแทง่ แมเ่ หล็กกระทากบั สาร

แม่เหล็กหรอื เข็มทิศ เรยี กว่าเปน็ บริเวณท่ีมสี นามแมเ่ หล็ก

และเรยี กเส้นที่แสดงการเรยี งตวั ของผงเหล็กหรือแนวการ

วางตวั ของเข็มทิศในสนามแม่เหล็กว่าเส้นสนามแมเ่ หล็ก

ซ่งึ จะมีทศิ ทางออกจาก ข้ัวเหนือเข้าสขู่ วั้ ใต้ของแท่งแม่เหล็ก

ดยไมต่ ัดกันบรเิ วณที่มเี ส้นสนามแมเ่ หล็กหนาแนน่ แสดงวา่

ป็นบรเิ วณทสี่ นามแมเ่ หลก็ มีคา่ มาก

ฟลักซแ์ ม่เหล็ก คือ จานวนเสน้ สนามแมเ่ หล็กท่ผี า่ นพืน้ ที่ที่

พจิ ารณา และ อัตราสว่ นระหวา่ งฟลกั ซแ์ ม่เหลก็ ต่อพ้นื ทีต่ ้ัง

ฉากกับสนามแม่เหล็ก คือ ขนาดของสนามแม่เหล็ก เขยี น

แทนได้ด้วยสมการ = ∅


ลาดบั ชือ่ ผลการเรยี นรู้
ที่ หน่วยการเรยี นรู้

-เ





-เ






2. อธบิ ายและคานวณแรง - เ

แม่เหล็กท่ีกระทาต่ออนุภาค v

ที่มีประจุไฟฟ้าเคลือ่ นท่ีใน ก

สนามแมเ่ หลก็ แรงแม่เหล็กท่ี แ

กระทาตอ่ เส้นลวดทีม่ ี ค

กระแสไฟฟ้าผา่ นและวางใน น

สนามแม่เหล็ก รัศมคี วามโคง้ ค

ของการเคล่ือนที่เมื่อประจุ ล

เคลอ่ื นทต่ี ้ังฉากกบั ท

สนามแม่เหลก็ รวมทัง้ อธิบาย

10

สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั
(ชว่ั โมง) คะแนน

เมื่อกระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตวั นาเสน้ ตรง จะเกิด

สนามแม่เหลก็ รอบลวดตัวนา หาทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก

ไดโ้ ดย ใช้น้ิวหัวแมม่ ือของมือขวาช้ีไปตามทิศทางของ

กระแสไฟฟ้า จากน้นั กามือขวารอบ ลวดตัวนาเส้นตรงทิศ

ทางการวนของนิ้วทั้งส่จี ะแสดงทศิ ทางของสนามแม่เหลก็

เม่อื กระแสไฟฟ้าผ่านโซเลนอยด์หรอื ลวดตวั นาวงกลม

จะเกดิ สนามแมเ่ หล็กท่ีมลี กั ษณะคล้ายกบั สนามแม่เหล็กของ

แท่งแมเ่ หล็ก หาทิศทางของสนามแม่เหล็กภายในโซเลนอยด์

ไดโ้ ดยใช้มือขวาวนนวิ้ ทั้ง สี่ไปตามทิศทางของกระแสไฟฟ้าท่ี

ผา่ นลวดตัวนา น้ิวหวั แม่มือจะชที้ ศิ ทาง

ของสนามแมเ่ หล็ก

เมอ่ื อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ +q เคล่อื นทดี่ ้วยความเรว็ 5

v ทามมุ θ กับสนามแมเ่ หล็ก B จะมขี นาดของแรงแมเ่ หล็ก
กระทาต่ออนุภาค ตามสมการ = ทศิ ทางของ
แรงแมเ่ หลก็ หาไดโ้ ดยใช้มือขวา ช้นี ิ้วทัง้ สี่ไปตามทิศทางของ
ความเร็ว แลว้ วนนิว้ ทงั้ ส่ีไปหาทศิ ทางสนามแมเ่ หล็ก
น้วิ หวั แม่มือจะช้ที ิศทางของแรงแมเ่ หล็ก ซง่ึ ต้ังฉากกบั
ความเร็วและสนามแม่เหลก็ หากเป็นประจุ
ลบแรงที่กระทาต่อประจลุ บจะมีทิศทางตรงขา้ มกบั
ทิศทางของนว้ิ หัวแมม่ ือ กรณีทอี่ นุภาคเคลอ่ื นที่อยใู่ น

แรงระหว่างเส้นลวดตวั นา ส
คู่ขนานท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผ่าน ส

ลาดบั ชอ่ื ผลการเรยี นรู้
ที่ หนว่ ยการเรยี นรู้

อน
คว

-ล









-ล





11

สนามแมเ่ หลก็ โดยทิศทางความเรว็ ของอนภุ าคตัง้ ฉากกับ
สนามแม่เหล็ก

สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก
(ชว่ั โมง) คะแนน
นุภาคจะเคลือ่ นท่ีแบบวงกลมในสนามแม่เหล็ก โดยมรี ัศมี
วามโคง้ ของการเคลือ่ นที่ r ตามสมการ =



ลวดตวั นาเส้นตรงมกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น วางทามุม กบั

สนามแม่เหล็ก ⃑ โดยมคี วามยาวของลวดตัวนา ท่อี ยู่ใน
สนามแม่เหลก็ จะเกิดแรงกระทากับลวดตวั นาด้วยขนาด
= หาทศิ ทางของแรง โดยใช้มอื ขวา ชน้ี ิ้ว
ทง้ั สีไ่ ปตามทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ แล้ววนน้ิวทั้งสปี่ าหา
ทศิ ทางสนามแม่เหล็ก นวิ้ หวั แม่มือจะช้ที ิศทางของแรงซึง่
ต้งั ฉากกบั สนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟา้ ท่ีผา่ นลวดตวั นา
ลวดตัวนาสองเสน้ วางขนานกัน จะมีแรงกระทาระหว่าง
ลวดตัวนาท้งั สองเม่ือมีกระแสไฟฟา้ ผ่าน โดยดงึ ดูดกันถ้า
กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นาทง้ั สองมที ิศทางเดยี วกนั แตผ่ ลกั
กัน ถ้ากระแสไฟฟ้าในลวดตัวนาทัง้ สอง มีทิศทางตรงขา้ ม
กัน

3. อธิบายหลกั การทางานของ - เ

แกลแวนอมิเตอรแ์ ละมอเตอร์ ใ

ไฟฟา้ กระแสตรง รวมท้ัง ข

คานวณปริมาณตา่ งๆ ที่ ข

เกย่ี วขอ้ ง

ลาดบั ชอ่ื ผลการเรยี นรู้
ที่ หน่วยการเรียนรู้

-แ










12

เม่อื นาขดลวดตัวนาจานวน N รอบซ่งึ มีพืน้ ท่ีหน้าตดั A วาง 3
ในสนามแม่เหลก็ และมีกระแสไฟฟา้ ผา่ นโดยระนาบ
ของขดลวดทามุม กบั สนามแมเ่ หล็ก จะเกดิ โมเมนต์
ของแรงคคู่ วบกระทาต่อขดลวด มขี นาดเป็น =



สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก
(ชั่วโมง) คะแนน
แกลแวนอมิเตอร์เปน็ เครื่องวดั ทางไฟฟา้ ประกอบด้วย
ขดลวดสี่เหลย่ี มที่ติดเข็มช้ีและหมุนได้คล่องอยูใ่ น
สนามแม่เหล็ก เมื่อมีกระแสไฟฟา้ ผา่ นขดลวดจะหมุนพร้อม
กบั เข็มชเ้ี บนไป และมอเตอรไ์ ฟฟ้า กระแสตรงเป็น
เครือ่ งมอื เปล่ยี นพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล
ประกอบดว้ ยขดลวดพันอยู่กับแกนซ่ึง หมุนไดค้ ล่องและอยู่
ในสนามแม่เหลก็ เม่ือมกี ระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดจะหมุน
ต่อเน่อื งรอบแกนการทางานแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละมอเตอร์
ไฟฟา้ ใชห้ ลักโมเมนตแ์ รงคู่ควบของขดลวดท่อี ยู่ใน
สนามแม่เหล็กและมีกระแสไฟฟา้ ผ่าน

4. สงั เกตและอธบิ ายการเกิด -เ
อเี อ็มเอฟเหนีย่ วนา กฎการ จ
เหนี่ยวนาของฟาราเดย์ และ อ
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่ ต
เก่ยี วขอ้ ง รวมทั้งนาความรู้
เรอ่ื งอีเอ็มเอฟเหนย่ี วนาไป ข
อธบิ ายการทางานของ เ
เครอื่ งใช้ไฟฟ้า ท




ลาดบั ชือ่ ผลการเรียนรู้
ที่ หน่วยการเรยี นรู้

- เค









13

เม่อื มีฟลักซแ์ ม่เหล็กเปล่ียนแปลง ∅ ตัดขดลวดตวั นา 6
จะเกดิ อีเอ็มเอฟเหน่ียวนา ε ในขดลวดตัวนานัน้ เท่ากับ
อัตราการเปลยี่ นแปลงของฟลักซ์แม่เหล็กทผี่ ่านขดลวด
ตวั นาน้ัน เมือ่ เทยี บกับเวลา อธบิ ายได้โดยกฎการเหน่ียวนา

ของฟาราเดย์ เขียนแทนดว้ ยสมการ ε = − ∅



เครอ่ื งหมายลบ หมายถงึ อีเอ็มเอฟเหนีย่ วนาในขดลวดจะ
ทาใหเ้ กดิ กระแสเหนยี่ วนาในทิศทางท่จี ะทาใหเ้ กิด
สนามแม่เหล็กใหม่ ขนึ้ มาต้านการเปลี่ยนแปลงของฟลักซ์
แมเ่ หล็กที่มาเหน่ยี วนาและตัดผ่านขดลวดนน้ั ตามกฎของ
เลนส์

สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั
(ชว่ั โมง) คะแนน
ครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้าเป็นอปุ กรณ์เปลีย่ นพลังงานกลเป็น
พลังงานไฟฟ้าประกอบด้วย ขดลวดพนั อยบู่ นแกนทห่ี มุนได้
คลอ่ งอยู่ในสนามแมเ่ หล็ก ปลายขดลวดทั้งสองต่ออยู่กบั วง
แหวนซ่ึงสมั ผัสกบั แปรงสมั ผสั เมือ่ หมุนขดลวดจะทาใหฟ้
ลักซ์แมเ่ หล็กทผี่ ่านขดลวดมีการเปลย่ี นแปลง เกิดอีเอม็ เอฟ
เหนี่ยวนาในขดลวด และเกิดกระแสไฟฟ้าเหน่ียวนาเมื่อต่อ
แปรงกบั อุปกรณภ์ ายนอก จะเปน็ เครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้
กระแสตรง เมอื่ ใช้วงแหวนผ่าซีกและเปน็ เครอ่ื งกาเนิด
ไฟฟา้ กระแสสลับเม่ือใชว้ งแหวนแยก

-เ









ลาดบั ช่อื ผลการเรยี นรู้
ที่ หนว่ ยการเรยี นรู้

-อ






14

เครอื่ งกาเนดิ ไฟฟ้าเปน็ อปุ กรณ์เปลี่ยนพลงั งานกลเปน็
พลงั งานไฟฟ้าประกอบดว้ ย ขดลวดพันอยบู่ นแกนทีห่ มุนได้
คล่องอยู่ในสนามแมเ่ หล็ก ปลายขดลวดทงั้ สองต่ออยกู่ บั วง
แหวนซงึ่ สมั ผัสกับแปรงสมั ผัส เมอื่ หมนุ ขดลวดจะทาให้ฟ
ลกั ซ์แมเ่ หลก็ ทีผ่ ่านขดลวดมีการเปลี่ยนแปลง เกดิ อีเอม็ เอฟ
เหน่ียวนาในขดลวด และเกิดกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนาเม่ือต่อ
แปรงกบั อุปกรณภ์ ายนอก จะเป็นเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้า
กระแสตรง เมื่อใชว้ งแหวนผา่ ซกี และเป็นเครือ่ งกาเนิด
ไฟฟ้ากระแสสลับเม่ือใช้วงแหวนแยก

สาระสาคญั เวลา น้าหนัก
(ชั่วโมง) คะแนน
อเี อ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับเปลีย่ นคา่ ตามเวลาในรปู ของ
ฟังก์ชนั แบบไซน์ ตามสมการ ( ) = 0sin ( )
เมอ่ื ต่ออีเอม็ เอฟกบั ตวั ต้านทาน กระแสไฟฟ้าของไฟฟา้
กระแสสลบั ทีผ่ ่านตัวต้านทานและความตา่ งศักย์
ระหว่างปลายตัวตา้ นทานทเ่ี วลา ใด ๆ เป็นไปตาม
สมการ = 0 ( ) และ = 0 ( )

5. อธบิ ายและคานวณความ -ก
ความต่างศักย์อาร์เอ็มเอส ก
และกระแสไฟฟ้าอารเ์ อม็ เอส ต



6. อธิบายหลกั การทางานและ
ประโยชน์ของเครื่องกาเนิด
ไฟฟ้ากระแสสลบั 3 เฟส -เ
การแปลงอีเอม็ เอฟของหม้อ ช
แปลง และคานวณปริมาณ แ
ตา่ งๆ ท่เี กีย่ วข้อง ช







ลาดับ ชอ่ื ผลการเรยี นรู้
ที่ หนว่ ยการเรยี นรู้

15

การระบคุ ่ากระแสไฟฟ้าหรือความต่างศักย์ของไฟฟ้า 1
2
กระแสสลับเปน็ คา่ คงตวั ใช้การเทียบคา่ กับไฟฟ้ากระแส

ตรงท่ีให้กาลงั ไฟฟ้าท่ีเทา่ กันแก่ตัวต้านทาน

ซึ่งเรียกว่า คา่ ยงั ผล หรือ คา่ มิเตอร์ คา่ ดังกลา่ วเปน็ คา่ เฉลย่ี

แบบรากท่ีสองของกาลังสองเฉลีย่ หรือคา่ อารเ์ อ็มเอส โดย

rms = 0 และ rms = 0
√2 √2
เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้า 3 เฟส ประกอบดว้ ยขดลวด 3 ชดุ แต่ละ

ชดุ วางทามมุ 120 องศา ซึ่งกันและกัน เม่ือหมุนแทง่

แมเ่ หลก็ จะเกิดอีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลบั จากขดลวดแต่ละ

ชุด มเี ฟสต่างกนั 120 องศา ทาใหผ้ ลิตพลังงานไฟฟ้าได้

มากกว่าเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ 1 เฟส

เมื่อใช้พลังงานในการผลิตเทา่ กนั และการส่งกาลงั ไฟฟา้ จะ

ถูกแบง่ ออกเปน็ 3 ส่วน ทาให้ใชจ้ านวนสายไฟฟ้าลดลงเมือ่

เทียบกับการสง่ ไฟฟา้ 1 เฟส 3 ชุด ทาให้การผลติ และการส่ง

ไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส มปี ระสทิ ธิภาพมากกว่าไฟฟา้ 1

เฟส

สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก
(ชวั่ โมง) คะแนน

-ก














-ห



16

การสง่ ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าไปยงั ผใู้ ช้นัน้ จะเกิดการสญู เสยี

กาลงั ไฟฟ้าในสายไฟฟ้า เพ่ือลดการสูญเสีย ดงั กลา่ วจึงต้อง

ลดกระแสไฟฟ้าทสี่ ง่ โดยการเพมิ่ ความตา่ งศักยห์ รอื อเี อม็

เอฟใหส้ ูงข้ึนก่อนทาการส่งไฟฟา้ แล้วจึงลดความ

ต่างศกั ย์ให้ต่าลงจนเหมาะกบั การใชง้ านโดยใช้หมอ้ แปลง

หม้อแปลงประกอบดว้ ยขดลวด 2 ชุด พนั อย่บู นแกนเหลก็

เดียวกัน โดยขดลวดทีใ่ ช้ต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟา้ เรียกวา่

ขดลวดปฐมภมู แิ ละขดลวดท่ใี ชต้ อ่ กบั เครื่องใช้ไฟฟา้

เรยี กว่าขดลวดทตุ ยิ ภูมิ เม่ือต่อขดลวด ปฐมภูมกิ บั

ไฟฟ้ากระแสสลบั เกดิ อเี อ็มเอฟเหนย่ี วนา 1 ในขดลวด

ปฐมภมู ิ จะเกิดอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนา 2 ในขดลวดทตุ ยิ ภมู ิ

ซ่งึ สมั พนั ธ์กับจานวนรอบของขดลวดปฐมภูมิ 1 และ

ทุตยิ ภมู ิ 2ตามสมการ 2 = 2
1 1
หาก 2 > 1 จะได้ 2 > 1 เรยี กหม้อแปลงข้ึน

และถ้า 2 < 1จะได้ 2 < 1 เรียกหมอ้ แปลง

ลง

ลาดับ ช่อื ผลการเรยี นรู้
ท่ี หน่วยการเรยี นรู้

2 ความรอ้ นและ 7. อธิบายและคานวณความร้อน - อ

แก๊ส ท่ที าให้สสารเปล่ยี นอุณหภมู ิ ก

ความร้อนท่ีทาใหส้ สาร ก

เปลยี่ นสถานะและความร้อน (

ท่เี กิดจากการถ่ายโอนตาม ม

กฎการอนุรักษ์พลังงาน อ



K

t

-เ









c



(







17

สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก
(ชัว่ โมง) คะแนน

อุณหพลศาสตร์ (thermodynamics) เป็นการศึกษา 3 15

กระบวนการเปลี่ยนแปลงระหว่างความร้อน และพลังงาน

กล ระดับความร้อนของวัตถุสามารถระบุได้ด้วยอุณหภูมิ

(temperature) อุปกรณ์ที่ใช้วัดอุณหภูมิ เรียกว่าเทอร์มอ

มิเตอร์ (thermometer) หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ทั่วไปคือ

องศาเซลเซียส (degree Celsius, °C) แต่การศึกษาใน

วิชาอุณหพลศาสตร์ใช้อุณหภูมิในหน่วย เคลวิน (Kelvin,

K) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า อุณหภูมิสัมบูรณ์(absolute

temperature)

เมื่อสสารได้รับหรือคายความร้อน สสารอาจมีอุณหภูมิ

เปลี่ยนไปหรืออาจเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึง่

โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง กรณีที่สสารมีอุณหภูมิ

เปลี่ยนไป อัตราส่วนระหว่างความร้อนที่ให้แก่สารต่อ

อุณหภูมิเพิ่มขึ้น เรียกว่า ความจุความร้อน (heat

capacity, C) ส่วนความจุความร้อนต่อหนึ่งหน่วยมวลจะ

ขึ้นกับสารแต่ละชนิด เรียกว่า ความร้อนจาเพาะ

(specific heat, c) ความร้อนทที่ าใหส้ สารเปลีย่ นอุณหภูมิ

คานวณไดจ้ ากสมการ = กรณที ่ีสสารเปล่ียน

สถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง

ความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะของสารหนึ่งหน่วยมวล




ลาดบั ช่ือ ผลการเรยี นรู้
ท่ี หนว่ ยการเรียนรู้

-ค





















8. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคติ - ส

และคานวณปริมาณตา่ งๆ ที่ ภ

เกย่ี วขอ้ ง ข







18

เรียกว่า ความร้อนแฝง (latent heat, L)ความร้อนที่ทา
ใหส้ สารเปลยี่ นสถานะคานวณได้จากสมการ =

สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั
(ช่ัวโมง) คะแนน
ความร้อนสามารถถ่ายโอนหรือส่งผ่านจากวัตถุที่มีอุณหภูมิ
สูงกว่าไปสู่อีกวัตถุหนึ่งที่มีอุณหภูมิ ต่ากว่าได้การถ่ายโอน 3
ความร้อนมี 3 แบบ คือ นาความร้อน การพาความร้อน
และการแผ่รังสีความร้อน การถ่ายโอนความร้อนดังกล่าว
จะเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน เมอื่ ไม่มีการถ่ายโอน
ความร้อนให้กับ สิ่งแวดล้อมภายนอก ปริมาณความร้อนท่ี
วัตถุหนึ่งสูญเสียจะเท่ากับปริมาณความร้อนที่อีกวัตถุหน่ึง
ได้รับ เขียนแทนได้ด้วยสมการ ลด = เพมิ่ การท่ี
วัตถุมีการถ่ายโอนความร้อนจนไม่มีการถ่ายโอนความร้อน
เมื่อมีอุณหภูมิเท่ากัน เรียกว่า วัตถุทั้งสองอยู่ในสมดุล
ความร้อน (thermal equilibrium)
สารในสถานะแก๊ส ประกอบด้วยโมเลกุลฟุ้งกระจายเต็ม
ภาชนะบรรจุ เพื่อให้การอธิบายพฤติกรรมของแก๊สได้ง่าย
ขึ้น จึงมีการสร้างแบบจาลองแก๊สอุดมคติ (ideal gas)
ขึ้นมา โดยกาหนดให้แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สโมเลกุลมีขนาด
เล็กมาก ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งกัน มีการเคลื่อนที่แบบ
สมุ่ และมีการชนแบบยืดหยนุ่

-ค

l



ลาดับ ช่ือ ผลการเรียนรู้
ที่ หน่วยการเรยี นรู้

9. อธบิ ายแบบจาลองของแก๊ส - ท

อุดมคติ ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส ก

และอตั ราเร็วอารเ์ อม็ เอสของ อ

โมเลกลุ ของแกส๊ รวมท้ัง ท

คานวณปรมิ าณต่างๆ ท่ี แ

เกย่ี วขอ้ ง ค






19

ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติมี
ความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas
law) เขียนแทนได้ด้วยสมการ = =



สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั
(ชัว่ โมง) คะแนน

ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (kinetic theory of gases) เป็น 5

การอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล เพื่อนาไปสู่การ

อธิบายธรรมชาติของแก๊สที่เกิดขึ้นจากโมเลกุลของแก๊ส

ทั้งหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิของแก๊ส ปริมาตรของ

แก๊ส และความดันของแก๊ส โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง

ความดันกับอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส

เป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพันธ์
3
ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูมิ

เป็นไปตามสมการ ̅ k = 3 ความสัมพันธ์ระหว่าง
2







ลาดับ ชอื่ ผลการเรียนรู้
ที่ หน่วยการเรียนรู้

10. อธิบายและคานวณงานทที่ า - พ

โดยแกส๊ ในภาชนะปดิ โดย เ

ความดนั คงตวั และอธบิ าย s

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความ e

รอ้ น พลงั งานภายในระบบ อ

และงาน รวมทงั้ คานวณ
ปริมาณต่างๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง ม
และนาความรูเ้ รื่องพลังงาน อ
ภายในระบบไปอธิบาย

20

พลงั งานจลนเ์ ฉล่ยี ของโมเลกุลของแก๊สความดนั กับปริมาตร

ของแก๊สเป็นไปตามสมการ = 2 ̅ k และ
3
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับอุณหภูมิของ

โมเลกลุ ของแก๊สเปน็ ไปตามสมการ = √23



สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั
(ชั่วโมง) คะแนน

พลังงานทั้งหมดของโมเลกุลของแก๊สที่บรรจุอยู่ในระบบ 5

เรียกวา่ พลงั งานภายในระบบ (internal energy of a

system) ซึ่งจะหมายถึง พลังงานภายใน (internal

energy) ของแก๊ส แทนด้วยสัญลักษณ์ สาหรับแก๊ส

อุดมคติสามารถหาพลังงานภายในระบบได้จากสมการ

= 3 = 3 พลังงานภายในระบบ
2 2
มีความสัมพันธ์กับความร้อนและงานซึ่งเป็นไปตามกฎการ

อนุรักษพ์ ลงั งาน เรียกว่า กฎขอ้ ท่ีหนึ่งของอุณหพลศาสตร์

หลกั การทางานของเครื่องใช้ (
ในชีวิตประจาวัน








ลาดบั ที่ ชอื่ ผลการเรยี นรู้
หนว่ ยการเรียนรู้

3 ของแขง็ และของ 11. อธบิ ายสภาพยดื หยุ่นและ -ส

ไหล ลักษณะการยืดและหดตัว ข

ของวสั ดุท่เี ป็นแท่งเมื่อถูก
-ส
กระทาดว้ ยแรงคา่ ต่างๆ ม

รวมทัง้ ทดลอง อธบิ าย และ

คานวณความเค้นตามยาว

21

(first law of thermodynamics) เขียนแทนดว้ ยสมการ

= + ตามกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพล

ศาสตร์ทาให้ทราบว่าความรอ้ น ( heat, ) เ ป ็ น เ พ ี ย ง
พลังงานที่ถ่ายโอน ในรูปงานและพลังงานภายในระบบ
เท่านน้ั ความรู้พลงั งานภายในระบบสามารถนาไปประยุกต์
ด้านตา่ ง ๆ เช่น การทางานของเครื่องยนต์ความร้อน ตู้เย็น
และเครือ่ งปรับอากาศ

สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก
(ช่วั โมง) คะแนน
สสารและสิ่งของต่างๆ ในสภาพปกติโดยทั่วไปมี 3 สถานะ
ไดแ้ ก่ ของแข็ง ของเหลวและแก๊ส สสารที่มีสถานะเป็น 4 20
ของเหลวหรือแก๊สสามารถเรียกว่า ของไหล เนื่องจาก
ของเหลวและแก๊สสามารถไหลได้
สสารในสถานะของแข็งมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
มากพอที่จะทาให้โมเลกุลของของแข็งอยู่ ใกล้กันและ

ความเครยี ดตามยาว และ ร
มอดลุ สั ของยงั และนาความรู้ ร
เรอื่ งสภาพยืดหยุ่นไปใชใ้ น แ
ชีวติ ประจาวัน แ





σ






(




22

รูปทรงของของแข็งไม่เปลี่ยนแปลงมาก ของแข็งจะมี

รูปร่างและปริมาตรคงตัว สาหรับของแข็ง ที่ถูกแรงกระทา

แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากเดิม และเมื่อหยุด

แรงกระทาวัตถุสามารถกลับคืนสู่ รูปร่างเดิมได้ เรียกว่ามี

สภาพยืดหยุ่น (elasticity) ถ้าหยุดแรงกระทาแล้ววัตถุคง

รปู รา่ งทเี่ ปลยี่ นไป เรยี กวา่ มีสภาพพลาสติก(plasticity)แรง

กระทาตั้งฉากต่อหน่วยพื้นที่หน้าตัดของวัตถุ เรียกว่า

ความเคน้ ตามยาว (longitudinal stress)หาได้จากสมการ

σ = ความยาวของวัตถุที่เปลี่ยนไปต่อ ความยาวเดิม



เรียกว่าความเครียดตามยาว (longitudinal strain) หาได้

จากสมการ ε = ∆ อัตราส่วนระหว่างความเค้น

0

ตามยาวตอ่ ความเครยี ดตามยาว เรียกว่า มอดุลัสของยัง

(Young’s modulus) หาไดจ้ ากสมการ = σ เ ม่ื อ

ออกแรงกระทาตามยาวกับวัตถุไม่เกินขีดจากดั การแปรผนั

ตรง (proportional limit) ความเค้นจะแปรผันตรงกับ

ความเครยี ด หากออกแรงกระทามากกวา่ ขีดจากัดการแปร

ลาดับ ชอื่ ผลการเรียนรู้
ที่ หน่วยการเรยี นรู้









12. อธิบายและคานวณความดัน - ข

เกจ ความดนั สมบูรณ์ และ ข

ความดนั บรรยากาศ รวมทั้ง ไ

อธิบายหลกั การทางานของ ข

แมนอมเิ ตอร์ บารอมเิ ตอร์ ต
และเคร่ืองอัดไฮดรอลิก p









-บ





-เ







23

สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั
(ช่ัวโมง) คะแนน
ผนั ตรง แต่ไมเ่ กินขีดสภาพยดื หยนุ่ (Elastic limit) ว ั ต ถุ
สามารถคืนรูปร่างเดิมได้ และถ้าแรงมากกว่าขีดจากัด 6
สภาพยืดหยุ่นไม่สามารถคืนรูปร่างเดมิ ได้ การเลือกวัสดุไป
ใช้งานตอ้ งคานึงถึงสภาพยดื หยุน่ ให้ เหมาะสมกบั งาน

ของไหลมีแรงกระทาทุกทิศทุกทางและตั้งฉากกับพื้นที่ท่ี
ของไหลสมั ผสั แรงกระทาตั้งฉากต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่ของ
ไหลสัมผัส เรียกว่า ความดัน (pressure) ความดันใน
ของเหลวขึ้นอยู่กับความลึกและ ความหนาแน่นของเหลว
ตามสมการ = ℎ เรียกว่า ความดันเกจ (gauge
pressure) และผลรวมของ ความดันเกจกับความดัน
บรรยากาศ (Atmosphere pressure) เรียกว่าความดัน
สมั บรู ณ์ (Absolute pressure) ต า ม ส ม ก า ร =
0 + ℎ ในของเหลวชนิดเดียวกัน ที่ระดับความ
ลกึ เดยี วกันมคี วามดันเท่ากัน
บารอมิเตอร์(Barometer) เป็นเครื่องวัดความดัน
บรรยากาศ แมนอมิเตอร ์์ (Manometer) เ ป็ น
เครอื่ งวัดความดนั เกจ
เม่อื เพ่ิมความดันให้ของเหลวที่อยนู่ ง่ิ ในภาชนะปดิ ค ว า ม
ดันท่ีเพิ่มขนึ้ จะส่งผา่ นไปทกุ ๆจดุ ในของเหลวน้ัน หลกั การนี้
เรียกว่า กฎพาสคัล (Pascal’s law) และนาไปประยุกต์ใช้
ในเครอื่ งอัดไฮดรอลิก

ลาดับ ช่ือ ผลการเรยี นรู้
ที่ หน่วยการเรยี นรู้

13. ทดลอง อธิบายและคานวณ - เ

ขนาดแรงพยุงจากของไหล ก





14. ทดลอง อธบิ ายและคานวณ - ข

ความตึงผวิ ของของเหลว ข

รวมทง้ั สังเกตและอธบิ ายแรง ไ

หนดื ของของเหลว ข



p









-บ





-เ



24

สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั
(ช่ัวโมง) คะแนน
เมื่อวัตถุอยู่ในของไหลจะเกิดแรงพยุง (buoyant force)
กระทาตอ่ วัตถมุ ีค่าเท่ากบั น้าหนกั ของของ ไหลท่ีมีปริมาตร 1
เท่ากบั วัตถุทอ่ี ยู่ในของไหลนั้น ขนาดของแรงพยงุ หาได้จาก
สมการ = 5
ของไหลมีแรงกระทาทุกทิศทุกทางและตั้งฉากกับพื้นที่ที่
ของไหลสัมผัส แรงกระทาตั้งฉากต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่ของ
ไหลสัมผัส เรียกว่า ความดัน (pressure) ความดันใน
ของเหลวขึ้นอยู่กับความลึกและ ความหนาแน่นของเหลว
ตามสมการ = ℎ เรียกว่า ความดันเกจ (gauge
pressure) และผลรวมของ ความดันเกจกับความดัน
บรรยากาศ (Atmosphere pressure) เรียกว่าความดัน
สัมบูรณ์ (Absolute pressure) ต า ม ส ม ก า ร =
0 + ℎ ในของเหลวชนิดเดียวกัน ที่ระดับความ
ลกึ เดียวกันมีความดันเท่ากัน
บารอมิเตอร์(Barometer) เป็นเครื่องวัดความดัน
บรรยากาศ แมนอมเิ ตอร ์์ (Manometer) เ ป็ น
เคร่ืองวัดความดนั เกจ
เม่ือเพม่ิ ความดันใหข้ องเหลวทีอ่ ยนู่ ่ิงในภาชนะปิด ค ว า ม
ดันท่เี พม่ิ ข้ึนจะสง่ ผ่านไปทกุ ๆจดุ ในของเหลวนั้น หลกั การนี้




ลาดับ ช่ือ ผลการเรยี นรู้
ที่ หนว่ ยการเรยี นรู้

15. อธบิ ายสมบัติของของไหล - พ

อดุ มคติ สมการความต่อเน่ือง เ

และสมการแบร์นูลลี รวมทง้ั ส

คานวณปรมิ าณตา่ งๆ ที่ ค

เกี่ยวข้อง และนาความรู้ ม

เกีย่ วกบั สมการความต่อเน่ือง ข

และสมการแบร์นูลลีไป ข

อธิบายหลกั การทางานของ ก

อุปกรณ์ตา่ งๆ (

-เ













รวม

25

เรียกว่า กฎพาสคัล (Pascal’s law) และนาไปประยุกต์ใช้
ในเครอ่ื งอดั ไฮดรอลกิ

สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก
(ชว่ั โมง) คะแนน
พฤติกรรมการไหลของของไหลสามารถทาให้ง่ายต่อความ
เข้าใจด้วยของไหลอุดมคติ ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ อย่าง 6 50
ส ม ่าเ ส มอห รื อที่ต าแห น ่งใดต าแห น ่งห น ึ่งใน ขอ ง ไ ห ล
ความเรว็ และความดนั คงตวั ไม่มีแรงหนดื บีบอัดไม่ได้หรือ 60
มีความหนาแน่นคงตัว และไหลโดยไมห่ มุนวน อนุภาคของ
ของไหลเคลื่อนที่ไปตามสาย กระแสที่ไม่ตัดกัน ปริมาตร
ของของไหลทผี่ า่ นพนื้ ท่หี นา้ ตัดในหน่ึงหน่วยเวลาเป็นอัตรา
การไหล ( Flow rate) ตามสมการควา มต่ อ เน ื ่ อ ง
(Continuity equation) = คา่ คงตัว
เมื่อของไหลมีการไหลในท่อ ผลรวมของความดัน พลังงาน
จลน์ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรและพลังงานศักย์โน้มถ่วงต่อ
หน่ึงหนว่ ยปริมาตร มคี ่าคงตวั เสมอ ซงึ่ เปน็ ไปตาม สมการ
แบร์นูลลี ดังนี้ + 1 2 + ℎ = ค่าคงตัวสามารถ

2

นาไปอธิบายการไหลของของเหลวที่ไหลออกจากรูรั่วของ
ภาชนะ เครื่องฉีดน้า และอากาศที่เคลื่อนที่ผ่านปีก
เครือ่ งบนิ

สอบกลา
สอบปลา
คะแนน

เกณฑ์การประเมิน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค
70 : 30

กอ่ นกลางภาค 25
กลางภาค 20
หลังกลางภาค 25
ปลายภาค 30

างภาค 26
ายภาค
นรวม 20
30
100

27

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1

รหสั วชิ า ว33205 รายวิชาฟิสิกส์ 5 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 15
แผนการเรยี นรูท้ ี่ 1 แม่เหล็กและไฟฟา้ ภาคเรยี นที่ 1
สอนโดย นายวิศวรรษ บพุ บุตร
เรื่อง เสน้ สนามแมเ่ หล็ก เวลา 2 ชัว่ โมง

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นโนนสงู พทิ ยาคาร

1. มาตราฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชี้วัด
สาระฟิสิกส์

3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และกฎของ
โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำกับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและการสอ่ื สาร รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้

1. สังเกตและอธิบายเส้นสนามแม่เหล็ก อธิบายและคำนวณฟลักซ์แม่เหล็กในบริเวณที่กำหนด รวมท้ัง
สงั เกตและอธบิ ายสนามแม่เหลก็ ท่ีเกดิ จากกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นำเสน้ ตรงและโซเลนอยด์

2. สาระสำคญั
เมอ่ื แขวนแท่งแมเ่ หล็กให้หมุนไดอ้ ยา่ งอสิ ระในแนวราบ แทง่ แม่เหล็กก็จะวางตัวในแนวเหนือ-ใต้เสมอ

โดยปลายที่ชี้ไปทางทิศเหนือเรียกว่าขั้วเหนือ และปลายที่ชี้ไปทางทิศใต้เรียกว่าขั้วใต้ แท่งแม่เหล็กจะมีข้ัว
เหนือและขวั้ ใต้เสมอ เมอ่ื นำขัว้ แม่เหลก็ เขา้ ใกลก้ ัน ขว้ั เหมอื นกนั จะผลักกนั ข้ัวต่างกนั จะดึงดดู กัน

สารทถ่ี ูกแมเ่ หล็กดงึ ดดู ได้ เช่น เหลก็ นิกเกิล เรยี กวา่ สารแม่เหล็ก บริเวณที่มีแรงจากแท่งแม่เหล็ก
กระทำกบั สารแม่เหล็กหรือเขม็ ทศิ เรียกว่าเป็นบรเิ วณทีม่ สี นามแมเ่ หล็ก และเรียกเสน้ ทีแ่ สดงการเรยี งตัว ของ
ผงเหล็กหรือแนวการวางตัวของเข็มทิศในสนามแม่เหล็กว่า เส้นสนามแม่เหล็ก ซ่ึงจะมีทิศทางออกจาก ข้ัว
เหนือเข้าสู่ขั้วใต้ของแท่งแม่เหล็กโดยไม่ตัดกันบริเวณที่มีเส้นสนามแม่เหล็กหนาแน่น แสดงว่าเป็นบริเวณที่
สนามแม่เหลก็ มีคา่ มาก

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธิบายสนามแมเ่ หล็กและเส้นสนามแม่เหล็กได้
3.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสังเกตสนามแม่เหล็กและเสน้ สนามแม่เหล็กได้
3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1) ใฝเ่ รยี นรแู้ ละมุ่งมน่ั ในการทำงาน

28

4. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน  2.ความสามารถในการคดิ
 1.ความสามารถในการสือ่ สาร  4.ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
 3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
 5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
สนามแมเ่ หล็ก
ชาวกรีกโบราณค้นพบแร่ชนิดหนึ่งที่สามารถดึงดูดได้ เรียกแร่นั้นว่า แมกนีไทต์
(magnetite) ปัจจุบันเรียกวัสดุที่ดึงดูดเหล็กได้ว่า แม่เหล็ก (magnet) ด้วยสมบัติการวางตัวของ
แม่เหล็ก จึงมกี ารประยุกต์นำไปสรา้ งเปน็ เข็มทศิ เพ่ือใช้ในการบอกทิศทาง
เมือ่ แขวนแท่งแม่เหล็กให้หมุนไดอ้ ย่างอสิ ระในแนวราบ ดังรูป 15.1 แท่งแม่เหล็กจะวางตัวใน
แนวทิศเหนอื -ทิศใตเ้ สมอ โดยปลายแทง่ แม่เหลก็ ท่ชี ้ีไปทางทศิ เหนอื เรยี กวา่ ขั้วเหนือ (north pole)
ใช้อกั ษรตวั ย่อ N ส่วนปลายอกี ด้านท่ชี ้ีไปทางทิศใต้ เรียกวา่ ข้ัวใต้ (south pole) ใชอ้ ักษรตัวยอ่ S

รปู 15.1 แท่งแม่เหลก็ จะวางตวั ในแนวทิศเหนือ-ทศิ ใตเ้ สมอ

แท่งแม่เหล็กจะมีขั้วเหนือและขั้วใต้เสมอ โดยจะไม่มีแม่เหล็กที่มีเฉพาะขั้วเหนือหรือขั้วใต้
เพียงอย่างเดียว เมื่อนำขั้วแม่เหล็กของแท่งแม่เหล็กสองแท่งมาไว้ใกล้กัน ขั้วชนิดเดียวกันจะผลักกนั
ขัว้ ต่างชนิดกันจะดึงดดู กัน ดงั รปู 15.2

รูป 15.2 แรงระหวา่ งข้ัวแมเ่ หล็ก
เสน้ สนามแมเ่ หลก็
เมอ่ื นำแมเ่ หล็กเขา้ ใกล้โลหะบางชนดิ เชน่ เหล็ก นิกเกลิ แมเ่ หลก็ จะดงึ ดดู โลหะขา้ งต้น เรียก
สารที่ถูกดึงดูดดังกล่าวว่า สารแม่เหล็ก (magnetic substance) และหากใช้สารแม่เหล็กที่มี
ลักษณะเปน็ ผงสารแม่เหล็ก เช่น ผงเหล็ก จะพบวา่ ผงเหลก็ วางตัวหนาแน่นบริเวณทเ่ี ป็น ข้ัวแม่เหล็ก
(magnetic pole)


Click to View FlipBook Version