The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 62040113107, 2022-10-20 13:08:51

หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่องแม่เหล็กและไฟฟ้า

129

130

ใบความรู้ เร่อื ง แรงกระทำต่อลวดตัวนำทอ่ี ย่ใู นสนามแมเ่ หลก็ ขณะมีกระแสไฟฟ้าผา่ น

แรงแม่เหลก็ กระทำต่อลวดตวั นำทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ น
จากกิจกรรมแรงกระทำต่อลวดตัวนำที่อยู่ในสนามแม่เหล็กขณะมีกระแสไฟฟ้าผ่าน พบว่า เมื่อลวด
ตัวนำเส้นตรงมกี ระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแมเ่ หล็ก จะมแี รงแมเ่ หล็กกระทำต่อลวดตวั นั้น และเม่ือกลับ
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าหรือทิศทางของสนามแม่เหล็กพบว่าแรงกระทำจะกลับทิศทางด้วย แสดงว่าแรงที่
กระทำตอ่ ลวดตวั นำมีความสมั พันธ์กับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก หาทิศทางของแรงได้โดยใช้
มือขวาชี้น้ิวทั้งสี่ไปตามทิศทางของกระแสไฟฟ้า แล้ววนนิ้วทั้งสี่ไปหาทิศทางสนามแม่เหล็ก ⃑ นิ้วหัวแม่มือ
จะชี้ทิศทางของแรง ดงั รูป 15.30

รปู 15.30 ทิศทางของกระแสไฟฟ้า สนามแม่เหลก็ และแรงกระทำตอ่ ลวดตวั นำ

จากแรงแมเ่ หล็กกระทำต่อลวดตวั นำเส้นตรงดงั กลา่ ว พจิ ารณาขนาดของแรงได้ ดังนี้
- กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำเสน้ ตรงเกิดจากการเคลื่อนที่ของอเิ ลก็ ตรอนอิสระดว้ ยความเร็วลอยเลื่อน
ดงั น้นั เมือ่ ลวดตวั นำวางตัง้ ฉากกบั สนามแมเ่ หลก็ จะเกดิ แรงแม่เหลก็ กระทำต่ออเิ ล็กตรอนอิสระประจุ เหล่าน้ี
ตามสมการ

=

เมอื่ คอื แรงแม่เหล็กกระทำต่ออิเล็กตรอนอสิ ระประจุ
พจิ ารณาตลอดความยาวลวดมอี ิเล็กตรอนอิสระจำนวน อนุภาคอย่ภู ายในลวดตวั นำ ดงั นนั้ ขนาด
แรงลพั ธ์ ท่ีกระทำต่อลวดตัวนำเทา่ กับผลรวมแรงแม่เหล็กทกี่ ระทำต่ออิเลก็ ตรอนอสิ ระ อนภุ าค ตาม
สมการ

=

แทนคา่ = ในสมการนีจ้ ะได้

=

ถ้าประจุไฟฟ้า เคลือ่ นท่ผี ่านภาคตัดขวางของลวดตัวนำในเวลา ∆ เปน็ ระยะทางเท่ากับความยา
ลวดตวั นำ ทีอ่ ยูใ่ นสนามแม่เหลก็ จากนยิ ามของกระแสไฟฟา้ เขยี นได้วา่

= ∆

และ =

จะได้ = ( ∆ ) ( )


=

131

เมื่อ คอื ขนาดของแรงแมเ่ หลก็ ที่กระทำต่อลวดตวั นำ มีหน่วยเปน็ นวิ ตัน (N)
คอื กระแสไฟฟ้าทีผ่ า่ นลวดตัวนำ มีหน่วยเปน็ แอมแปร์ (A)
คอื ความยาวลวดตวั นำที่อยใู่ นสนามแม่เหลก็ มีหน่วยเปน็ เมตร (m)
คือ ขนาดของสนามแมเ่ หล็ก มีหน่วยเปน็ เทสลา (T)

พจิ ารณาทำนองเดียวกนั กบั กรณอี นุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคล่ือนท่ีด้วยความเร็ว ไมต่ ้ังฉากกบั
สนามแม่เหล็ก ⃑ ทำใหเ้ กิดแรงกระทำต่อประจุไฟฟา้ q ตามสมการ = จะนำมาใช้หาแรง
กระทำต่อลวดตัวนำมีกระแสไฟฟา้ ผา่ น ขณะลวดตวั นำวางตัวในแนวทำมุม กบั สนามแม่เหลก็ ⃑ เป็นไปตาม
สมการ

=

โดย คือ มุมระหวา่ งกระแสไฟฟ้าท่ีผ่านลวดตวั นำกบั สนามแม่เหลก็

132

ใบกิจกรรมท่ี 1 เรื่อง แรงกระทำตอ่ ลวดตวั นำท่ีอยู่ในสนามแมเ่ หล็กขณะมีกระแสไฟฟ้าผา่ น

1. รายช่อื สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จุดประสงค์ของกิจกรรม
เพื่อสงั เกตและอธิบายแรงกระทำต่อลวดตวั นำเสน้ ตรงท่มี ีกระแสไฟฟา้ ผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็ก

3. วสั ดุ-อปุ กรณ์

1) ลวดตวั นำเส้นตรง 3 เสน้ 5) เขม็ ทิศ 1 อัน
6) สายไฟ 2 เส้น
2) แทง่ แม่เหล็กขวั้ ข้าง 2 อนั 7) สวิตซ์ 1 อัน

3) ฐานรองรับรูปตัวยู 1 อัน

4) แบตเตอร่ีขนาด 1.5 โวลต์ 4 ก้อน พร้อมกระบะ 1 ชดุ

4. วธิ ีทำกิจกรรม
1) ตดิ แมเ่ หล็กขั้วขา้ งเขา้ กับฐานรองรบั รปู ตวั ยู โดยหันข้ัวต่างกันเข้าหากนั จากนัน้ ใชเ้ ข็มทศิ หาทิศทางของ
สนามแมเ่ หลก็ และต่อลวดตวั นำ 2 เสน้ เขา้ เป็นฐานรองรบั A และ B
2) ตอ่ วงจรไฟฟ้ากบั ฐานรองรับ A และ B แลว้ วางลวดตัวนำตรงเส้นที่ 3 บนฐาน จัดลวดตวั นำเส้นตรงให้อยู่

ระหว่างขั้วท้งั สองของแม่เหล็กรปู ตัวยแู ละให้ลวดตัวนำต้ังฉากกบั สนามแม่เหลก็ โดยใหท้ ิศทางของสนามแม่เหลก็ อยู่ใน
แนวดิ่ง ดังรูป

133

3) เปดิ สวติ ช์และสังเกตการเคลือ่ นทีข่ องลวดตวั นำเส้นตรง แล้วปิดสวติ ซ์
4) เขยี นแผนภาพแสดงทิศทางของกระแสไฟฟา้ ทศิ ทางของสนามแม่เหล็กและทิศทางการเคลือ่ นที่ของลวดตวั นำ
5) ทำชำ้ ข้อ 2-4 โดยกลบั ทศิ ทางของกระแสไฟฟา้
6) ทดลองซำ้ ข้อ 2 - 4 โดยกลบั ทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็ก ดว้ ยการกลับขว้ั ของแมเ่ หลก็ รูปตวั ยู ใหม้ ีทิศทางตรงขา้ ม
กบั ทศิ ทางในข้อ 2

5. ผลการทำกจิ กรรม

ตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม

ที่ กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำ เขยี นแผนภาพแสดงทศิ ทางของกระแสไฟฟ้า
ทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ และทิศทางการเคล่อื นท่ีของลวดตัวนำ

1 กระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตัวนำ A ไป B

2 กระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตัวนำ B ไป A

134

6. คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1) กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนำเส้นตรงมีทศิ ทางจาก B ไป A สนามแม่เหลก็ มีทิศทางชี้ลงลวดตัวนำเส้นตรงเคล่อื นทไี่ ป

ทางใด

ตอบ ลวดตัวนำเสน้ ตรงเคลอื่ นที่ออกจากแม่เหลก็ รปู ตวั ยู มมี มี มี ีมีมีมีมีมีมีมีมีมมี ีมี

2) กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำเส้นตรงมีทศิ ทางจากA ไป B สนามแมเ่ หลก็ มีทศิ ทางชี้ลงลวดตัวนำเส้นตรงเคลอ่ื นท่ีไป

ทางใด

ตอบ ลวดตวั นำเส้นตรงเคล่อื นทเ่ี ขา้ หาแม่เหล็กรูปตัวยู มมี ีมมี มี ีมีมมี ีมีมีมี

3) ทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ มีผลต่อการเคล่ือนท่ีของลวดตวั นำเสน้ ตรงหรือไม่ อย่างไร

ตอบ มีผล เพราะ เม่ือกลับทิศทางของกระแสไฟฟา้ การเคลื่อนท่ีของลวดตัวนำเส้นตรงจะมีทิศทางตรงข้าม มี

4) เมื่อกลับขวั้ ของแมเ่ หล็กรปู ตัวยู สนามแมเ่ หล็กมีทิศทางไปทางใด และลวดตัวนำเคลือ่ นทอ่ี ย่างไร เมื่อเทียบกับตอน

แรก

ตอบ เม่ือกลบั ข้วั ของแมเ่ หล็กรูปตัวยู สนามแม่เหลก็ มที ิศทางตรงขา้ มกับทิศทางเดิม มผี ล ทำให้ลวดตัวนำเส้นตรง

เคลอื่ นทใี่ นทิศทางตรงขา้ มกบั ตอนแรก มี

5) ทิศทางของสนามแมเ่ หลก็ มผี ลต่อการเคล่อื นที่ของลวดตวั นำเส้นตรงท่มี ีกระแสไฟฟ้าผ่านหรอื ไม่ อย่างไร

ตอบ มีผล เพราะเมื่อกลบั ทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก การเคล่ือนทีข่ องลวดตวั นำเส้นตรงจะมที ิศทางตรงขา้ มมมี ีมี

6) เพราะเหตุใดเม่ือกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำเสน้ ตรงจึงเคลอ่ื นที่ได้

ตอบ เพราะมีแรงแมเ่ หล็กกระทำกบั ลวดตัวนำ เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตวั นำทอ่ี ยใู่ นสนามแม่เหล็กมีมีมีมมี ีมีอ

7) ในแต่ละกรณีลวดตัวนำเส้นตรงเคลื่อนที่ในทิศทางที่ต้งั ฉากกบั ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและ ทศิ ทางของ

สนามแมเ่ หล็กหรือไม่

ตอบ ลวดตวั นำเคลื่อนท่ีในทิศทางตง้ั ฉากกับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและทิศทางของสนามแม่เหล็กมีมมี ีมีมมี ีมมี ีมี

7. สรุปผลการทำกิจกรรม

จากการทำกิจกรรม พบว่า เมื่อลวดตัวนำเส้นตรงมีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็กจะมีแรงแม่เหล็ก

กระทำต่อลวดตัวนั้น และเมื่อกลับทิศทางของกระแสไฟฟ้าหรือทิศทางของสนามแม่เหล็กพบว่าแรงกระทำจะกลับ

ทิศทางด้วย แสดงว่าแรงที่กระทำต่อลวดตัวนำมีความสัมพันธ์กับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ ก

ใ...คล้ายกับการเรียงตัวของผงเหล็กรอบแท่งแม่เหล็ก อ

คล้ายกับการเรียงตัวของผงเหล็กรอบแท่งแมเ่ หลก็ อ

คล้ายกับการเรียงตัวของผงเหล็กรอบแท่งแม่เหลก็ อ

คล้ายกับการเรียงตัวของผงเหล็กรอบแท่งแมเ่ หล็ก อ

135

เฉลยใบกจิ กรรมที่ 1เรอื่ ง แรงกระทำตอ่ ลวดตวั นำท่อี ยูใ่ นสนามแม่เหล็กขณะมกี ระแสไฟฟ้าผ่าน

1. รายชอ่ื สมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์ของกจิ กรรม
เพ่อื สงั เกตและอธบิ ายแรงกระทำต่อลวดตัวนำเส้นตรงที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่ในสนามแมเ่ หล็ก

3. วสั ดุ-อปุ กรณ์

1) ลวดตัวนำเส้นตรง 3 เสน้ 5) เขม็ ทิศ 1 อนั
6) สายไฟ 2 เส้น
2) แท่งแมเ่ หลก็ ข้ัวข้าง 2 อนั 7) สวติ ซ์ 1 อัน

3) ฐานรองรบั รูปตวั ยู 1 อนั

4) แบตเตอรข่ี นาด 1.5 โวลต์ 4 ก้อน พร้อมกระบะ 1 ชุด

4. วิธที ำกิจกรรม
1) ตดิ แม่เหล็กข้วั ข้างเขา้ กับฐานรองรบั รปู ตวั ยู โดยหนั ขั้วต่างกันเข้าหากัน จากนนั้ ใช้เขม็ ทศิ หาทิศทางของ
สนามแม่เหลก็ และต่อลวดตวั นำ 2 เสน้ เขา้ เป็นฐานรองรบั A และ B
2) ต่อวงจรไฟฟ้ากบั ฐานรองรับ A และ B แลว้ วางลวดตัวนำตรงเสน้ ท่ี 3 บนฐาน จัดลวดตวั นำเสน้ ตรงให้อยู่

ระหวา่ งข้ัวท้ังสองของแม่เหล็กรูปตวั ยแู ละใหล้ วดตัวนำตัง้ ฉากกบั สนามแม่เหล็ก โดยใหท้ ิศทางของสนามแม่เหล็กอยู่ใน
แนวด่ิงดงั รูป

136

3) เปดิ สวติ ช์และสังเกตการเคลือ่ นทีข่ องลวดตวั นำเส้นตรง แล้วปิดสวติ ซ์
4) เขยี นแผนภาพแสดงทิศทางของกระแสไฟฟา้ ทศิ ทางของสนามแม่เหล็กและทิศทางการเคลือ่ นที่ของลวดตวั นำ
5) ทำชำ้ ข้อ 2-4 โดยกลบั ทศิ ทางของกระแสไฟฟา้
6) ทดลองซำ้ ข้อ 2 - 4 โดยกลบั ทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็ก ดว้ ยการกลับขว้ั ของแมเ่ หลก็ รูปตวั ยู ใหม้ ีทิศทางตรงขา้ ม
กบั ทศิ ทางในข้อ 2

5. ผลการทำกจิ กรรม

ตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม

ที่ กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำ เขยี นแผนภาพแสดงทศิ ทางของกระแสไฟฟ้า
ทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ และทิศทางการเคล่อื นท่ีของลวดตัวนำ

1 กระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตัวนำ A ไป B

2 กระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตัวนำ B ไป A

137

6. คำถามท้ายกิจกรรม
1) กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำเส้นตรงมีทิศทางจาก B ไป A สนามแม่เหลก็ มีทิศทางช้ีลงลวดตัวนำเส้นตรงเคลอื่ นที่ไป

ทางใด

ตอบ ลวดตวั นำเสน้ ตรงเคลือ่ นทีอ่ อกจากแม่เหลก็ รปู ตัวยู ม

2) กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำเส้นตรงมีทศิ ทางจากA ไป B สนามแม่เหลก็ มีทิศทางชี้ลงลวดตัวนำเสน้ ตรงเคลอ่ื นที่ไป

ทางใด ตอบ ลวดตวั นำเส้นตรงเคล่อื นที่เข้าหาแมเ่ หล็กรปู ตัวยู มี

3) ทิศทางของกระแสไฟฟา้ มีผลต่อการเคลื่อนที่ของลวดตวั นำเส้นตรงหรอื ไม่ อย่างไร

ตอบ มีผล เพราะ เม่ือกลบั ทิศทางของกระแสไฟฟ้า การเคลอ่ื นที่ของลวดตวั นำเสน้ ตรงจะมที ิศทางตรงข้าม มี

4) เมื่อกลับขวั้ ของแม่เหล็กรูปตัวยู สนามแมเ่ หล็กมีทิศทางไปทางใด และลวดตัวนำเคลื่อนที่อย่างไร เมื่อเทียบกบั ตอน

แรก

ตอบ เม่ือกลบั ขัว้ ของแม่เหลก็ รปู ตวั ยู สนามแม่เหลก็ มที ิศทางตรงขา้ มกบั ทิศทางเดมิ มีผล ทำให้ลวดตัวนำเสน้ ตรง

เคล่อื นทีใ่ นทิศทางตรงขา้ มกบั ตอนแรก มมี ี

5) ทิศทางของสนามแม่เหล็กมผี ลต่อการเคลื่อนที่ของลวดตัวนำเสน้ ตรงท่ีมีกระแสไฟฟา้ ผ่านหรอื ไม่ อย่างไร

ตอบ มีผล เพราะเม่ือกลบั ทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก การเคลือ่ นทขี่ องลวดตวั นำเส้นตรงจะมที ิศทางตรงขา้ ม มี

6) เพราะเหตุใดเมอื่ กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนำเสน้ ตรงจงึ เคลอื่ นที่ได้

ตอบ เพราะมีแรงแมเ่ หล็กกระทำกบั ลวดตัวนำ เมอ่ื มีกระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตวั นำท่ีอยู่ในสนามแมเ่ หล็ก มี

7) ในแตล่ ะกรณีลวดตัวนำเส้นตรงเคล่ือนท่ีในทิศทางทต่ี ั้งฉากกับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและ ทศิ ทางของ

สนามแม่เหล็กหรือไม่

ตอบ ลวดตวั นำเคลือ่ นท่ีในทิศทางตัง้ ฉากกับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็ก มี

7. สรปุ ผลการทำกจิ กรรม

จากการทำกิจกรรม พบว่า เมื่อลวดตัวนำเส้นตรงมีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็ก จะมีแรง
แมเ่ หลก็ กระทำต่อลวดตวั น้นั และเมอื่ กลบั ทิศทางของกระแสไฟฟ้าหรือทิศทางของสนามแม่เหล็กพบว่าแรงกระทำ
จะกลับทศิ ทางด้วย แสดงว่าแรงทกี่ ระทำตอ่ ลวดตัวนำมคี วามสัมพันธ์กบั ทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก

138

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 6

รหัสวชิ า ว33205 รายวิชาฟิสกิ ส์ 5 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 15 แม่เหล็กและไฟฟ้า ภาคเรยี นที่ 1

แผนการเรยี นรูท้ ่ี 6 เรือ่ ง แรงระหวา่ งลวดตัวนำท่ีมีกระแสไฟฟา้ เวลา 1 ช่วั โมง

สอนโดย นายวศิ วรรษ บพุ บุตร กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นโนนสูงพทิ ยาคาร

1. มาตราฐานการเรยี นรแู้ ละตัวช้ีวดั
สาระฟิสิกส์

3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ
โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำกับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ และการสอื่ สาร รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้

2. อธิบายและคำนวณแรงแม่เหล็กท่ีกระทำตอ่ อนภุ าคที่มีประจุไฟฟา้ เคล่ือนทีใ่ นสนามแมเ่ หล็ก
แรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำต่อเสน้ ลวดท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านและวางในสนามแม่เหล็ก รัศมคี วามโคง้ ของการเคล่ือนที่
เมื่อประจุเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบายแรงระหว่างเส้นลวดตัวนาคู่ขนานที่มีกระแสไฟฟ้า
ผา่ น

2. สาระสำคัญ
ลวดตัวนำสองเส้นวางขนานกัน จะมีแรงกระทำระหว่างลวดตัวนำท้ังสองเมอื่ มีกระแสไฟฟา้ ผา่ น โดย

ดึงดดู กนั ถ้ากระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำทั้งสองมที ิศทางเดยี วกัน แตผ่ ลักกัน ถา้ กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำท้ังสอง
มีทิศทางตรงข้ามกัน

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายแรงระหวา่ งเสน้ ลวดตวั นำคู่ขนานทีม่ ีกระแสไฟฟ้าผ่านได้
3.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถเขยี นแผนภาพการต่อเครื่องชง่ั กระแสกับวงจรไฟฟา้ ได้
3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
1) ใฝเ่ รียนรู้และมุ่งม่นั ในการทำงาน

139

4. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน  2.ความสามารถในการคิด
 1.ความสามารถในการสอ่ื สาร  4.ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
 3.ความสามารถในการแก้ปญั หา
 5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
แรงระหว่างลวดตวั นำท่มี ีกระแสไฟฟ้า
กรณกี ระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำส่วน ab และลวดตวั นำสว่ น cd ในทศิ เดยี วกนั เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตวั นำทั้งสองจะทำให้เกดิ สนามแม่เหลก็ รอบลวดตวั นำ โดยลวดตวั นำสว่ น cd
อยใู่ นสนามแม่เหลก็ ที่เกิดจากขดลวด ab ( ⃑ ab) และขดลวดตัวนำสว่ น ab อย่ใู นสนามแมเ่ หล็กทเ่ี กิด
จากลวดตวั นำสว่ น cd ( ⃑ cd) ดังรปู 15.33 ก. และ 15.33 ข. ตามลำดับ

รูป 15.33 สนามแม่เหล็กท่เี กิดจากกระแสไฟฟ้า ab ผ่านขดลวดตัวนำสว่ น ab
และสนามแม่เหล็กทีเ่ กดิ จากกระแสไฟฟ้า cd ผา่ นลวดตัวนำสว่ น cd

ลวดตัวนำส่วน cd อยู่ในสนามแม่เหล็ก ⃑ ab ท่เี กิดจากกระแสไฟฟ้า ab ผ่านขดลวดตวั นำ
สว่ น ab ดังรูป 15.34 ก. เมอ่ื กระแสไฟฟ้า cd ผา่ นลวดตัวนำสว่ น cd จะเกดิ แรงแมเ่ หลก็ ⃑ ab
กระทำตอ่ ลวดตวั นำ ทิศทางของแรงหาได้โดยใชม้ ือขวา ดังรูป 15.34 ข.

ก. สนามแม่เหล็ก ⃑ ab รอบขดลวดตัวนำส่วน ab ข. แรงแมเ่ หล็กทก่ี ระทำต่อลวดตัวนำสว่ น cd
รูป 15.34 แรงแมเ่ หล็กเน่ืองจากสนามแม่เหล็กของขดลวดตวั นำส่วน ab ที่กระทำต่อลวดตัวนำส่วcd

140

ในทำนองเดยี วกัน ขดลวดตัวนำสว่ น ab อย่ใู นสนามแม่เหลก็ ⃑ abทีเ่ กิดจากกระแสไฟฟ้า
ผ่านลวดตัวนำส่วน cd ดังรูป 15.35 ก. เมอ่ื กระแสไฟฟา้ ab ผ่านขดลวดตัวนำส่วน ab จะเกิดแรง
แม่เหล็ก ⃑ cdกระทำต่อลวดตัวนำสว่ น cd ดังรูป 15.35 ข.

รปู 15.35 แรงแมเ่ หลก็ จากสนามแม่เหล็กของลวดตวั นำส่วน cd ที่กระทำต่อขดลวดตัวนำ
สว่ น ab

จะเห็นว่าแรง ⃑ ab และ ⃑ cd มที ศิ ทางเข้าหากัน แต่เนื่องจากขดลวดตวั นำส่วน ab ถกู ตรงึ
ไวก้ ับกล่องจงึ ทำให้สังเกตเห็นเฉพาะลวดตวั นำส่วน cd เคลอื่ นท่ีในทิศลงเข้าหาขดลวดตัวนำสว่ น ab

กรณกี ลบั ทิศทางกระแสไฟฟ้าทีผ่ ่านลวดตัวนำส่วน cd ให้มีทศิ ทางตรงข้ามกบั กระแสไฟฟ้าที่
ผ่านขดลวดตวั นำส่วน ab หลงั เปิดสวิตซ์ พจิ ารณาแรงแม่เหลก็ ทีก่ ระทำต่อขดลวดตวั นำสว่ น ab และ
ลวดตวั นำส่วน cd ในทำนองเดียวกับกรณีข้างต้นจะไดว้ า่ เม่ือกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำส่วน ab
และลวดตัวนำสว่ น cd ในทิศทางตรงขา้ มกนั จะเกดิ แรงแม่เหล็กกระทำตอ่ ลวดตวั นำส่วน cd และ
แรงแมเ่ หล็กกระทำต่อลวดตัวนำสว่ น ab ดง้ รปู 15.36 ก. และ 15.36 ข. ตามลำดับ

ก. แรงแมเ่ หลก็ ท่ีกระทำต่อลวดตวั นำสว่ น cd ข. แรงแม่เหล็กท่กี ระทำต่อลวดตวั นำส่วน
ab
รปู 15.36 แรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำลวดตัวนำทัง้ สอง เมื่อกระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตวั นำในทศิ ทางตรงข้ากัน

จะเห็นว่าแรง ⃑ ab และ ⃑ cd มที ิศทางตรงขา้ มกนั แตเ่ นื่องจากขดลวดตัวนำสว่ น ab ถูก
ตรึงไวก้ บั กล่องจึงทำให้สังเกตเหน็ เฉพาะลวดตวั นำส่วน cd เคลอื่ นท่ีในทิศขนึ้ ออกจากขดลวดตวั นำ
ส่วน ab

จึงสรุปได้ว่า ถ้าวางลวดตัวนำเสน้ ตรงสองเสน้ ขนานกนั เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำท้ัง
สองในทิศทางเดียวกนั จะเกดิ แรงดงึ ดูดระหว่างลวดตวั นำท้ังสองดงั รูป 13.37 ก. แตถ่ า้ กระแสไฟฟา้
ผา่ นลวดตัวนำใน ทิศทางของตรงข้ามกนั จะเกิดแรงผลกั ระหวา่ งลวดตัวนำท้งั สองดงั รูป 13.37

141

ก. แรงดงึ ดูด เมื่อกระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตัวนำ ข. แรงผลัก เม่ือกระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตวั นำ

สองเส้นในทิศทางเดียวกัน สองเสน้ ในทิศทางตรงขา้ มกัน

รปู 15.37 แรงระหวา่ งลวดตวั นำสองเส้นท่วี างขนานกันและมีกระแสไฟฟ้าผา่ น

6. จดุ เนน้ สูก่ ารพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียน

6.1 ความสามารถและทักษะ (ม.ปลาย)

 มคี วามสามารถในการแสวงหาความรเู้ พือ่ การแก้ปัญหา

 มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยเี พอื่ การเรียนรู้

 มีความสามารถในการใชภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)

 มีทกั ษะการคิดชั้นสูง

 ทกั ษะชีวิต

 ทักษะการส่อื สารอย่างสรา้ งสรรคต์ ามชว่ งวยั

6.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์

 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  5. อย่อู ย่างพอเพียง

 2. ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต  6. มง่ั มั่นในการทำงาน

 3. มีวนิ ยั  7. รกั ความเปน็ ไทย

 4. ใฝ่เรยี นรู้  8. มีจิตสาธารณะ

6.3 ความสามารถและทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 (3Rs 8Cs 2Ls)

 R1- Reading (อา่ นออก)  R2-(W)Riting (เขียนได้)  R3-(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)

 C1-Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ

ทักษะในการแกป้ ญั หา)

 C2-Creativity and Innovation (ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์และนวตั กรรม)

 C3-Cross-cultural Understanding (ทกั ษะด้านความเข้าใจตา่ งวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์)

 C4-Collaboration, Teamwork and Leadership (ทกั ษะดา้ นความรว่ มมือ การทำงานเปน็

ทมี และภาวะผู้นำ)

 C5-Communications, Information and Media Literacy (ทักษะด้านการสอื่ สารสารสนเทศ

142

และรเู้ ท่าทันส่อื )
 C6-Computer and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การส่อื สาร)
 C7-Career and Learning Skills (ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นร)ู้

 C8-Change (ทกั ษะการเปลีย่ นแปลง)  L2-Leadership (ทักษะความเป็นผ้นู ำ)
 L1-Learning (ทักษะการเรยี นร)ู้

7. สาระการเรยี นรสู้ ู่การบูรณาการ
 หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
- 3 หว่ ง ได้แก่ ความพอประมาณ มเี หตผุ ล มีภูมคิ มุ้ กันในตัวทด่ี ี
- 2 เงอื่ นไข ได้แก่ ความรู้ คู่ คุณธรรม
 พระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลท่ี 10
- มที ัศนคติทถ่ี กู ตอ้ งต่อบ้านเมือง
- มีพืน้ ฐานชีวติ ท่มี ั่นคง-มคี ุณธรรม
- มีงานทำ-มอี าชพี
- เปน็ พลเมืองดี
 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
- สรา้ งจิตสำนกึ มีความรักและเหน็ คณุ ค่าของพรรณไม้
- แหล่งรวบรวมพรรณไม้ ข้อมูลพรรณไม้ และการเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ทาง
การศึกษาและเผยแพร่ส่ภู ายนอก
- ใช้เปน็ สอื่ และแหล่งการเรยี นร้ใู นการจดั การเรยี นรู้
 เรียนรู้สู่มาตรฐานสากล
- เปน็ เลิศทางวชิ าการ
- สอ่ื สารสองภาษา
- ลำ้ หนา้ ทางความคิด
- ผลติ งานอย่างสร้างสรรค์
- รว่ มกนั รบั ผดิ ชอบต่อสงั คมโลก
 หลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา
- การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
- ความละอายและความไมท่ นต่อต่อการทุจริต
- STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ ริต
- พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม

143

 โรงเรียนสงิ่ แวดลอ้ มศึกษาเพอื่ การพฒั นาที่ย่งั ยืน
- ความตระหนัก , ความรู,้ เจตคติ , ทกั ษะ, ความสามารถในการประเมินผล และการ
มสี ่วนร่วม เกย่ี วกับสิง่ แวดล้อมเพื่อการพัฒนาทยี่ ั่งยนื

 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้....................................

8. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน
8.1 ใบกิจกรรมที่ 1 เรื่อง แรงระหว่างลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟา้
8.2 สมุดนกั เรียนในการตอบคำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 15.2 ในหนังสือเรยี น หนา้ 50 ขอ้ 3-4

9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้
รปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5E
ขั้นที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1.1 ทบทวนความรเู้ ดมิ ในเร่ือง ทศิ ทางของแรงรอบลวดตัวนำ เส้นตรงทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน
และแรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า
1.2 ใช้คำถามเพื่อนำเขา้ สู่การทำกิจกรรม
1) หากมีกระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตวั นำสองเสน้ ที่อยใู่ กล้กันและขนานกันจะเกิดอะไร
ข้นึ ระหวา่ งลวดตวั นำท้ังสอง
(เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นแสดงความคิดเห็นอย่างอสิ ระ โดยไมค่ าดหวงั คำตอบทถี่ ูกต้อง)

ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration)
2.1 ใช้สถานการณ์หรืออาจสาธิตเครอื่ งชั่งกระแสที่ประกอบด้วยขดลวดตัวนำและลวดตัวนำ

เส้นตรงวางขนานกันหรือการสาธิตเครอ่ื งชงั่ กระแส ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ประกอบการ
จดั การเรยี นรู้

2.2 นกั เรยี นทุกคนศึกษาใบกิจกรรมที่ 1 เร่ือง แรงระหวา่ งลวดตัวนำท่ีมีกระแสไฟฟา้
2.3 นกั เรียนทุกคนทำกิจกรรมที่ 1 เรอ่ื ง แรงระหว่างลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า
2.4 นักเรยี นตอบคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 15.2 ในหนังสือเรยี น หน้า 50 ขอ้ 3-4 ลงใน
สมุด

ขั้นที่ 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
3.1 สุ่มตวั แทนนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมของตนเองหนา้ ช้นั เรียน
3.2 นกั เรยี นและครูร่วมกนั อภปิ รายเพือ่ นำไปสู่การสรปุ โดยใชค้ ำถามตอ่ ไปนี้
1) จากการสาธิตเครื่องชง่ั กระแส กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตัวนำ ab และลวดตวั นำ

cd มีทศิ ทางเดียวกัน เม่ือกระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตวั นำทัง้ สองเกดิ แรงระหวา่ งลวดตัวนำที่มี
กระแสไฟฟา้ อยา่ งไร

144

(แนวการตอบ ลวดตัวนำ เส้นตรงสองเสน้ วางขนานกัน เม่ือมกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นใน
ทิศทางเดียวกันจะมีแรงดึงดดู กัน)

2) จากการสาธิตเครอ่ื งชั่งกระแส กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตัวนำ ab และลวดตวั นำ
cd มที ิศทางข้ามกนั เม่อื กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนำทัง้ สองเกดิ แรงระหว่างลวดตวั นำที่มีกระแสไฟฟา้
อย่างไร

(แนวการตอบ ลวดตวั นำเสน้ ตรงสองเสน้ วางขนานกัน เม่ือมกี ระแสไฟฟ้าผ่านในทศิ
ทางตรงข้ามกันจะมแี รงผลักกัน)

3.3 นักเรียนและครรู ว่ มกนั อภิปรายและสรุปการผลการทำกิจกรรม เรอ่ื ง แรงระหว่างลวด
ตวั นำท่ีมีกระแสไฟฟ้า ดงั น้ี

กรณีกระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตวั นำสว่ น ab และลวดตัวนำส่วน cd ในทศิ เดยี วกัน
เมอื่ กระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตัวนำทัง้ สองจะทำใหเ้ กิดสนามแม่เหล็กรอบลวดตัวนำ โดยลวดตวั นำสว่ น
cd อย่ใู นสนามแม่เหล็กท่เี กิดจากขดลวด ab ( ⃑ ab) และขดลวดตัวนำส่วน ab อยู่ในสนามแม่เหลก็ ที่
เกดิ จากลวดตัวนำส่วน cd ( ⃑ cd) ดงั รปู 15.33 ก. และ 15.33 ข. ตามลำดับ

จะเหน็ ว่าแรง ⃑ ab และ ⃑ cd มที ศิ ทางเขา้ หากนั แตเ่ น่ืองจากขดลวดตวั นำส่วน
ab ถูกตรงึ ไว้กับกล่องจึงทำให้สงั เกตเห็นเฉพาะลวดตวั นำส่วน cd เคลื่อนท่ีในทศิ ลงเขา้ หาขดลวด
ตวั นำส่วน ab

กรณกี ลับทิศทางกระแสไฟฟ้าท่ีผา่ นลวดตวั นำสว่ น cd ใหม้ ีทศิ ทางตรงขา้ มกบั
กระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวดตัวนำส่วน ab หลังเปิดสวติ ซ์ พจิ ารณาแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อขดลวด
ตวั นำส่วน ab และลวดตวั นำสว่ น cd ในทำนองเดยี วกบั กรณีข้างต้นจะได้วา่ เมอื่ กระแสไฟฟ้าผ่าน
ขดลวดตัวนำสว่ น ab และลวดตวั นำสว่ น cd ในทิศทางตรงข้ามกัน จะเกิดแรงแม่เหลก็ กระทำต่อลวด
ตัวนำส่วน cd และแรงแม่เหล็กกระทำต่อลวดตัวนำส่วน ab ดง้ รูป 15.36 ก. และ 15.36 ข.
ตามลำดับ จะเห็นว่าแรง ⃑ ab และ ⃑ cd มที ิศทางตรงขา้ มกัน แตเ่ นื่องจากขดลวดตัวนำสว่ น ab
ถกู ตรึงไวก้ บั กล่องจงึ ทำให้สงั เกตเหน็ เฉพาะลวดตัวนำสว่ น cd เคลอ่ื นที่ในทิศข้นึ ออกจากขดลวด
ตัวนำสว่ น ab จงึ สรปุ ไดว้ ่า ถ้าวางลวดตัวนำเส้นตรงสองเส้นขนานกัน เม่ือกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำ
ท้งั สองในทิศทางเดียวกัน จะเกิดแรงดงึ ดูดระหวา่ งลวดตวั นำทั้งสองดังรปู 13.37 ก.

แต่ถา้ กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนำในทิศทางของตรงข้ามกนั จะเกดิ แรงผลกั ระหว่าง
ลวดตวั นำท้งั สองดังรปู 13.37

ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ถามคำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ ข้อ 5 ในหนงั สือเรียน หนา้ 50 พรอ้ มเฉลยใหน้ ักเรียน

ทราบ
4.2 ให้ความรู้เพิ่มเตมิ เก่ียวกับแบบฝึกหัด 15.2 ข้อ 4 ในหนังสอื เรยี น หนา้ 52

145

ขน้ั ที่ 5 ข้ันประเมินผล (Evaluation)
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกิจกรรมที่ 1 เร่ือง แรงระหว่างลวดตัวนำท่ีมีกระแสไฟฟา้
5.2 นักเรยี นสง่ สมุดในการตอบคำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 15.2 ในหนงั สือเรยี น หน้า 50
ข้อ 3-4

10. สอื่ การเรียนรู้
10.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟิสกิ ส์) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 เล่ม 5

(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
10.2 ใบกิจกรรมท่ี 1 เรือ่ ง แรงกระทำตอ่ ลวดตัวนำท่ีอยู่ในสนามแม่เหลก็ ขณะมีกระแสไฟฟ้าผา่ น
10.3 ใบความรู้ เร่อื ง แรงระหว่างลวดตวั นำทม่ี กี ระแสไฟฟา้

11. แหล่งเรียนรู้
11.1 อินเทอร์เน็ต
11.2 ห้องสมุดโรงเรียนโนนสงู พิทยาคาร

12. กระบวนการวดั และประเมนิ ผล

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เครื่องมอื /วธิ ีการวดั เกณฑก์ ารประเมนิ
1) เกณฑ์รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์
ด้านความรู้ (K) 1) ตรวจสมดุ ในการตอบคำถาม

1) นกั เรียนอธิบายแรงระหวา่ ง ตรวจสอบความเขา้ ใจ 15.2 ในหนงั สือ

เส้นลวดตวั นำคู่ขนานท่ีมีกระแสไฟฟ้า เรียน หน้า 50

ผา่ นได้ ข้อ 3-4

ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบกจิ กรรมที่ 1 เรอ่ื ง แรง 1) เกณฑ์รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์
1) ระดบั คณุ ภาพดี ผา่ นเกณฑ์
1) นกั เรียนสามารถเขียนแผนภาพ ระหวา่ งลวดตวั นำท่ีมีกระแสไฟฟา้

การต่อเครือ่ งชงั่ กระแสกับวงจรไฟฟ้า

ได้

ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) 1) แบบสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอัน

1) ใฝเ่ รียนรแู้ ละมุ่งมนั่ ในการทำงาน พงึ ประสงค์

13. กิจกรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. .......................................................................................... ..
............................................................................................................................................. .................................

146

14. บันทกึ ผลหลังการสอน
14.1 สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจำนวน........................คน
ผ่านจดุ ประสงค์การเรียนร.ู้ ..............คน คิดเปน็ รอ้ ยละ.................................
ไมผ่ า่ นจุดประสงค.์ ...........................คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................................
ได้แก่
1. ..........................................................................................
2. ........................................................................................
นกั เรยี นทม่ี ีความสามารถพเิ ศษไดแ้ ก่
1. ..........................................................................................
2. ..........................................................................................
2. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ (K)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. นกั เรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ (P)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. นักเรยี นมเี จตคติ ค่านยิ ม คณุ ธรรมจรยิ ธรรม (A)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...

14.2 ปญั หา/อุปสรรค /แนวทางแก้ไข
................................................................................................ ................................................................
............................................................................................................................. ...................................

14.3 ข้อเสนอแนะ
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................. ...................................................................

ลงชื่อ..........................................................
( นายวศิ วรรษ บพุ บุตร )
ครผู สู้ อน

147

ความคิดเห็นของครพู ีเ่ ลี้ยง

ไดท้ ำกำรตรวจแผนกำรจดั กำรเรยี นรขู้ อง นำยวิศวรรษ บุพบตุ ร แล้วมีควำมคิดเห็นดังน้ี

1. องค์ประกอบของแผนกำรจัดกำรเรียนรู้

 ครบถว้ นและถูกต้อง

 ไมค่ รบถว้ นหรือไมถ่ ูกตอ้ งควรปรับปรงุ พฒั นำ

2. ควำมสอดคลอ้ งของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้หลกั สตู รสถำนศกึ ษำ

 สอดคล้องและถูกต้อง

 ไม่สอดคลอ้ งควรปรบั ปรงุ พฒั นำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เน้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญมำใช้ในกำรสอนได้อย่ำงเหมำะสม

 ไม่เนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั ควรปรบั ปรุงพฒั นำ

4. สื่อกำรเรียนรู้

 เหมำะสมกบั รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ยงั ไม่เหมำะสมควรปรับปรุงพัฒนำ

5. กำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้

 ครอบคลมุ จุดประสงค์กำรเรียนรู้

 ไมค่ รอบคลมุ จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรคู้ วรปรับปรุงพัฒนำ

6. เป็นแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่

 นำไปใช้ไดจ้ รงิ

 ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้

7. ระดบั คุณภำพของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ดเี ย่ียม  ดีมำก

 ดี  พอใช้

 ปรับปรงุ

8. ข้อเสนอแนะอื่นๆ

............................................................................................................................. .................................................

............................................................................................................................. .................................................

(ลงชือ่ ) ……………..……………………………...

148

ความคิดเหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ไดท้ ำกำรตรวจแผนกำรจดั กำรเรียนร้ขู อง นำยวศิ วรรษ บุพบตุ ร แล้วมีควำมคิดเหน็ ดังน้ี

1. องคป์ ระกอบของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้

 ครบถว้ นและถกู ต้อง

 ไมค่ รบถ้วนหรอื ไม่ถูกตอ้ งควรปรับปรุงพัฒนำ

2. ควำมสอดคลอ้ งของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้หลกั สูตรสถำนศึกษำ

 สอดคลอ้ งและถกู ต้อง

 ไมส่ อดคล้องควรปรับปรุงพัฒนำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคญั มำใช้ในกำรสอนไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม

 ไมเ่ น้นผ้เู รยี นเป็นสำคญั ควรปรับปรุงพฒั นำ

4. ส่ือกำรเรยี นรู้

 เหมำะสมกับรูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ยงั ไมเ่ หมำะสมควรปรบั ปรงุ พัฒนำ

5. กำรวัดและประเมินผลกำรเรยี นรู้

 ครอบคลุมจดุ ประสงค์กำรเรียนรู้

 ไมค่ รอบคลุมจดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ควรปรับปรุงพฒั นำ

6. เปน็ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ที่

 นำไปใช้ไดจ้ ริง

 ควรปรบั ปรงุ ก่อนนำไปใช้

7. ระดบั คุณภำพของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้

 ดเี ยี่ยม  ดมี ำก

 ดี  พอใช้

 ปรับปรุง

8. ข้อเสนอแนะอืน่ ๆ

............................................................................................................................. .................................................

............................................................................................................................. .................................................

(ลงชื่อ) ……………..……………………………...

149

ความเห็นของหัวหน้าสถานศกึ ษา/ผทู้ ี่ไดร้ บั มอบหมาย

ไดท้ ำกำรตรวจแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ของ นำยวศิ วรรษ บุพบุตร แลว้ มคี วำมคดิ เห็นดังนี้

1. องคป์ ระกอบของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้

 ครบถ้วนและถูกต้อง

 ไม่ครบถ้วนหรอื ไม่ถูกตอ้ งควรปรับปรงุ พฒั นำ

2. ควำมสอดคล้องของแผนกำรจัดกำรเรียนรหู้ ลกั สตู รสถำนศึกษำ

 สอดคล้องและถูกต้อง

 ไม่สอดคล้องควรปรบั ปรงุ พฒั นำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญมำใชใ้ นกำรสอนไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม

 ไมเ่ น้นผเู้ รียนเปน็ สำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนำ

4. สอ่ื กำรเรียนรู้

 เหมำะสมกับรปู แบบกำรจัดกำรเรียนรู้

 ยังไมเ่ หมำะสมควรปรับปรงุ พัฒนำ

5. กำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้

 ครอบคลมุ จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้

 ไม่ครอบคลมุ จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ควรปรับปรุงพัฒนำ

6. เป็นแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ี

 นำไปใชไ้ ด้จริง

 ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้

7. ระดบั คณุ ภำพของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้

 ดีเยีย่ ม  ดมี ำก

 ดี  พอใช้

 ปรบั ปรงุ

8. ข้อเสนอแนะอืน่ ๆ

..............................................................................................................................................................................

............................................................................................................................. .................................................

ลงชอื่ ..................................................................

150

151

ใบความรู้ เร่ือง แรงระหว่างลวดตัวนำท่มี กี ระแสไฟฟา้

กรณีกระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตวั นำสว่ น ab และลวดตวั นำส่วน cd ในทิศเดยี วกนั เม่ือ
กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนำท้ังสองจะทำให้เกิดสนามแมเ่ หล็กรอบลวดตวั นำ โดยลวดตัวนำสว่ น cd
อยู่ในสนามแมเ่ หล็กท่เี กิดจากขดลวด ab ( ⃑ ab) และขดลวดตัวนำสว่ น ab อยู่ในสนามแม่เหล็กท่เี กิด
จากลวดตวั นำสว่ น cd ( ⃑ cd) ดงั รูป 15.33 ก. และ 15.33 ข. ตามลำดับ

รูป 15.33 สนามแม่เหล็กทเ่ี กิดจากกระแสไฟฟ้า ab ผา่ นขดลวดตัวนำส่วน ab
และสนามแมเ่ หลก็ ท่ีเกิดจากกระแสไฟฟ้า cd ผ่านลวดตวั นำสว่ น cd

ลวดตัวนำส่วน cd อย่ใู นสนามแม่เหล็ก ⃑ ab ทเ่ี กดิ จากกระแสไฟฟ้า ab ผ่านขดลวดตัวนำ
สว่ น ab ดงั รปู 15.34 ก. เม่อื กระแสไฟฟ้า cd ผ่านลวดตัวนำส่วน cd จะเกดิ แรงแมเ่ หลก็ ⃑ ab
กระทำตอ่ ลวดตัวนำ ทศิ ทางของแรงหาไดโ้ ดยใชม้ ือขวา ดงั รูป 15.34 ข.

ก. สนามแมเ่ หลก็ ⃑ ab รอบขดลวดตวั นำส่วน ab ข. แรงแม่เหล็กที่กระทำต่อลวดตวั นำส่วน cd
รูป 15.34 แรงแมเ่ หล็กเนื่องจากสนามแม่เหล็กของขดลวดตวั นำสว่ น ab ท่ีกระทำต่อลวดตวั นำสว่ น
cd ในทำนองเดียวกัน ขดลวดตวั นำสว่ น ab อยู่ในสนามแม่เหล็ก ⃑ abที่เกดิ จากกระแสไฟฟ้า
ผา่ นลวดตัวนำสว่ น cd ดงั รปู 15.35 ก. เมอื่ กระแสไฟฟา้ ab ผ่านขดลวดตัวนำส่วน ab จะเกดิ แรง
แม่เหล็ก ⃑ cdกระทำต่อลวดตัวนำส่วน cd ดังรปู 15.35 ข.

รูป 15.35 แรงแมเ่ หลก็ จากสนามแมเ่ หลก็ ของลวดตัวนำส่วน cd ทก่ี ระทำต่อขดลวดตวั นำ
สว่ น ab

152

จะเห็นวา่ แรง ⃑ ab และ ⃑ cd มีทศิ ทางเข้าหากนั แต่เนื่องจากขดลวดตัวนำส่วน ab ถกู ตรึง
ไวก้ บั กล่องจงึ ทำให้สงั เกตเหน็ เฉพาะลวดตัวนำส่วน cd เคลอ่ื นท่ใี นทศิ ลงเข้าหาขดลวดตัวนำสว่ น ab

กรณีกลับทิศทางกระแสไฟฟ้าทผี่ ่านลวดตัวนำส่วน cd ให้มที ศิ ทางตรงขา้ มกับกระแสไฟฟ้าที่
ผ่านขดลวดตวั นำส่วน ab หลงั เปดิ สวติ ซ์ พิจารณาแรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำต่อขดลวดตวั นำส่วน ab และ
ลวดตัวนำสว่ น cd ในทำนองเดยี วกบั กรณีขา้ งต้นจะไดว้ ่า เมอ่ื กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำสว่ น ab
และลวดตวั นำสว่ น cd ในทิศทางตรงข้ามกัน จะเกิดแรงแม่เหลก็ กระทำตอ่ ลวดตวั นำส่วน cd และ
แรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อลวดตวั นำส่วน ab ด้งรูป 15.36 ก. และ 15.36 ข. ตามลำดับ

ก. แรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำต่อลวดตวั นำส่วน cd ข. แรงแม่เหล็กทก่ี ระทำต่อลวดตัวนำส่วน
ab
รูป 15.36 แรงแม่เหล็กที่กระทำลวดตัวนำทั้งสอง เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำในทิศทางตรงข้าม
กนั จะเหน็ ว่าแรง ⃑ ab และ ⃑ cd มีทิศทางตรงข้ามกนั แต่เนือ่ งจากขดลวดตัวนำสว่ น ab ถูกตรึงไว้
กบั กล่องจึงทำให้สังเกตเหน็ เฉพาะลวดตัวนำสว่ น cd เคลอ่ื นท่ใี นทศิ ขึ้นออกจากขดลวดตวั นำส่วน ab
จึงสรุปได้ว่า ถ้าวางลวดตัวนำเส้นตรงสองเส้นขนานกัน เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำทั้งสองใน
ทิศทาง เดียวกัน จะเกิดแรงดึงดูดระหว่างลวดตัวนำทั้งสองดังรูป 13.37 ก. แต่ถ้ากระแสไฟฟ้าผ่าน
ลวดตัวนำในทิศทางของตรงข้ามกนั จะเกดิ แรงผลกั ระหวา่ งลวดตวั นำทัง้ สองดังรูป 13.37

ก. แรงดงึ ดูด เม่ือกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำ ข. แรงผลัก เมือ่ กระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตวั นำ

สองเสน้ ในทิศทางเดียวกนั สองเส้นในทิศทางตรงข้ามกัน

รูป 15.37 แรงระหว่างลวดตวั นำสองเสน้ ที่วางขนานกันและมกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น

153
ช่ือ ชนั้ เลขท่ี ‘

ใบกิจกรรมท่ี 1 เรือ่ ง แรงระหวา่ งลวดตัวนำท่ีมกี ระแสไฟฟ้า

ตอนที่ 1 แผนภาพของเคร่ืองชั่งกระแสกับวงจรไฟฟ้า
คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนศึกษาแผนภาพของเครื่องช่ังกระแส ในหนงั สือเรยี น หน้า 45 แล้วเขียนแผนภาพการต่อ

เครอ่ื งชง่ั กระแสกบั วงจรไฟฟ้าใหถ้ กู ต้องสมบูรณ์
1. จงวาดแผนภาพวงจรไฟฟ้า เมอ่ื กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตวั นำส่วน ab และลวดตัวนำส่วน cd มที ศิ ทาง
เดียวกนั

2. จงวาดแผนภาพวงจรไฟฟา้ เมอื่ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดตวั นำสว่ น ab และลวดตัวนำส่วน cd มีทิศทางตรง
ขา้ มกัน

154

เฉลยใบกจิ กรรมที่ 1 เร่ือง แรงระหวา่ งลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า

ตอนท่ี 1 แผนภาพของเครื่องช่ังกระแสกับวงจรไฟฟ้า
คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนศึกษาแผนภาพของเครื่องชง่ั กระแส ในหนงั สือเรยี น หนา้ 45 แลว้ เขียนแผนภาพการต่อ

เครอ่ื งชงั่ กระแสกับวงจรไฟฟ้าให้ถูกต้องสมบูรณ์

1. จงวาดแผนภาพวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตวั นำส่วน ab และลวดตัวนำสว่ น cd มีทศิ ทาง
เดียวกัน

2. จงวาดแผนภาพวงจรไฟฟ้า เมอื่ กระแสไฟฟา้ ผา่ นขดลวดตวั นำสว่ น ab และลวดตัวนำส่วน cd มที ศิ ทางตรง
ขา้ มกนั

155

แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 7

รหสั วิชา ว332205 รายวิชาฟสิ กิ ส์ 5 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 15
แผนการเรียนรทู้ ี่ 7 แม่เหล็กและไฟฟา้ ภาคเรียนที่ 1
สอนโดย นายวิศวรรษ บพุ บุตร
เร่ือง โมเมนต์ของแรงคูค่ วบ เวลา 1 ชัว่ โมง

กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นโนนสูงพิทยาคาร

1. มาตราฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้วี ัด
สาระฟิสิกส์

3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของ
โอหม์ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกำลงั ไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟา้
สนามแม่เหลก็ แรงแมเ่ หล็กที่กระทำกบั ประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนย่ี วนำแม่เหล็กไฟฟา้ และกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการส่อื สาร รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้

3. อธิบายหลักการทำงานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้ังคำนวณปริมาณ
ตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วข้อง

2. สาระสำคัญ
เมือ่ นำขดลวดตัวนำจำนวน รอบ ซึง่ มีพื้นท่ีหนา้ ตัด วางในสนามแมเ่ หลก็ และมีกระแสไฟฟ้า

ผ่านโดยระนาบของขดลวดทำมุม กับสนามแม่เหลก็ จะเกิดโมเมนต์ของแรงคคู่ วบกระทำต่อขดลวด มี
ขนาดเปน็ =

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธบิ ายโมเมนต์ของแรงคูค่ วบกระทำตอ่ ขดลวดตัวนำทีม่ ีกระแสไฟฟ้าผา่ นเมื่ออยูใ่ น
สนามแม่เหลก็ ได้
3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถคำนวณโมเมนตข์ องแรงคูค่ วบกระทำต่อขดลวดตัวนำทมี่ ีกระแสไฟฟา้ ผา่ น
เมื่ออยใู่ นสนามแมเ่ หล็ก รวมทั้งปรมิ าณทีเ่ กีย่ วข้องได้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1) ใฝเ่ รียนรแู้ ละมุ่งม่นั ในการทำงาน

156

4. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น  2.ความสามารถในการคดิ
 1.ความสามารถในการสือ่ สาร  4.ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
 3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
 5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
โมเมนต์ของแรงคู่ควบ
พจิ ารณาขดลวดตัวนำสีเ่ หล่ียม มมุ ฉาก (PQRS) วางให้ระนาบขดลวดขนานกบั
สนามแมเ่ หล็ก( ⃑ ) สมำ่ เสมอ มีความยาวด้าน PS = QR = 1 และความยาวด้าน PQ = RS = 2 เมือ่
ใหก้ ระแสไฟฟ้า ( ) ผ่านขดลวดในทิศทาง P -> Q -> R -> S ดังรปู 15.38

รปู 15.38 ทิศทางที่กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำ

พิจารณาแรงแม่เหล็กกระทำต่อเส้นลวดแต่ละส่วนดังนี้ ด้าน PS และ QR กระแสไฟฟ้าใน
ขดลวดตัวนำอย่ใู นทิศทางขนานกับสนามแม่เหล็ก ทำใหไ้ ม่มีแรงกระทำต่อด้านทั้งสองน้ี สว่ นด้าน PQ
และ RS เป็นด้านที่กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดในทิศทางตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก จึงเกิดแรงกระทำต่อ
ดา้ นทง้ั สอง มีขนาดเทา่ กนั โดยขนาดของแรงหาได้จากสมการ = 2

รูป 15.39 ทิศทางของแรงกระทำต่อขดลวดตัวนำ ขณะระนาบขดลวดขนานกับ
สนามแม่เหลก็

ในการหาทิศทางของแรง โดยใช้มือขวา พบว่าแรงที่กระทำต่อด้าน PQ มีทิศทางตรงข้ามกับ
แรงทีก่ ระทำต่อด้าน RS ดังรูป 15.39 จะเหน็ ว่าแรงทก่ี ระทำต่อดา้ นท้ังสองมขี นาดเท่ากนั ทศิ ทางตรง
ขา้ มกัน และขนานกนั จงึ เปน็ แรงคูค่ วบ ทำให้เกิดโมเมนต์ของแรงคูค่ วบหาขนาดไดจ้ ากสมการ

157

=

เมือ่ คอื โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ
คือ ขนาดของแรงคู่ควบ
คอื ระยะทางตงั้ ฉากระหวา่ งแนวแรงท้งั สอง

แทนคา่ จากสมการ = 2 และแทน ด้วย ในสมการ = จะไดโ้ มเมนต์
ของแรงคูค่ วบ

= ( 2 ) 1

กำหนดให้ เปน็ พื้นทีข่ องขดลวด มีคา่ เทา่ กับ 1 2 เขียนสมการขนาดโมมนตข์ องแรงคู่ควบ
ไดเ้ ปน็

=

ถ้าวางขดลวดตัวนำสีเ่ หลียมมุมฉาก (PQRS) ให้ระนาบขดลวดทำมุม กับสนามแม่เหล็ก
( ⃑ ) มีด้าน PS และ QR ทำมมุ กบั สนามแมเ่ หล็ก ดงั รปู 15.40

รปู 15.40 ระนาบขดลวดทำมุม กบั สนามแมเ่ หลกี
พจิ ารณาด้าน PS กบั QR พบวา่ มแี รงกระทำขนาดเท่ากนั ทิศทางตรงข้ามกัน คือ PS และ
QS และอยู่ในแนวเดียวกนั ทำให้โมมนต์ของแรงค่นู ี้เป็นศูนยด์ ังรปู 15.41 ก. สว่ นด้าน PQ กบั RS
จะมีแรงคคู่ วบกระทำ ไดแ้ ก่ P และ RS มีทิศทางดังรปู 15.41 ข.

รูป 15.41 ขดลวดตัวนำเหล่ียมฉากเอียงทำมุมกบั สนามแม่เหลก็ และมีกระแสไฟฟา้ ผ่าน
โดยขนาดของแรงเท่ากับ 2 และระยะทางตั้งฉากระหว่างแนวแรงทง้ั สองเทา่ กับ 1
จากสมการ = จะไดข้ นาดของโมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวด ตามสมการ

= ( 2 ) 1
=

158

ในกรณขี ดลวดตัวนำจำนวน N รอบ จะทำให้เกิดโมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวดเป็น
จำนวน N เท่าของขดลวด 1 รอบ จะได้ขนาดโมเมนต์ของแรงคคู่ วบกระทำต่อขดลวด ตามสมการ

=

เมอ่ื คือ มมุ ระหวา่ งระนาบขดลวดตวั นำกับสนามแมเ่ หล็ก
ในกรณที ี่พน้ื ทขี่ องขดลวดเปน็ ขดลวดระนาบรูปทรงอื่น เชน่ ขดลวดระนาบรูปวงกลมโมเมนต์
ของแรงคคู่ วบกระทำต่อขดลวดยงั คงหาได้จากสมการ =

6. จดุ เนน้ สกู่ ารพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น

6.1 ความสามารถและทักษะ (ม.ปลาย)

 มคี วามสามารถในการแสวงหาความรเู้ พอื่ การแกป้ ัญหา

 มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อื การเรยี นรู้

 มคี วามสามารถในการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

 มที กั ษะการคดิ ชั้นสงู

 ทกั ษะชวี ติ

 ทกั ษะการสอื่ สารอยา่ งสร้างสรรคต์ ามช่วงวัย

6.2 คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์  5. อยูอ่ ย่างพอเพียง

 2. ซือ่ สตั ยส์ ุจริต  6. ม่งั ม่ันในการทำงาน

 3. มวี ินยั  7. รักความเปน็ ไทย

 4. ใฝ่เรยี นรู้  8. มีจติ สาธารณะ

6.3 ความสามารถและทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 (3Rs 8Cs 2Ls)

 R1- Reading (อ่านออก)  R2-(W)Riting (เขียนได)้  R3-(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)

 C1-Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ

ทักษะในการแก้ปญั หา)

 C2-Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม)

 C3-Cross-cultural Understanding (ทกั ษะด้านความเข้าใจตา่ งวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์)

 C4-Collaboration, Teamwork and Leadership (ทกั ษะด้านความรว่ มมือ การทำงานเป็น

ทมี และภาวะผู้นำ)

 C5-Communications, Information and Media Literacy (ทกั ษะด้านการสอ่ื สารสารสนเทศ

และรู้เทา่ ทันสือ่ )

 C6-Computer and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและ

การส่อื สาร)

 C7-Career and Learning Skills (ทกั ษะอาชีพและทกั ษะการเรียนรู้)

 C8-Change (ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง) 159
 L1-Learning (ทักษะการเรยี นรู้)  L2-Leadership (ทักษะความเปน็ ผูน้ ำ)

7. สาระการเรยี นรูส้ กู่ ารบูรณาการ
 หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
- 3 หว่ ง ไดแ้ ก่ ความพอประมาณ มีเหตผุ ล มีภูมิคมุ้ กนั ในตวั ที่ดี
- 2 เง่ือนไข ไดแ้ ก่ ความรู้ คู่ คุณธรรม
 พระบรมราโชบายดา้ นการศึกษา ในหลวงรชั กาลท่ี 10
- มที ศั นคตทิ ี่ถกู ต้องต่อบา้ นเมือง
- มีพ้นื ฐานชีวติ ท่มี น่ั คง-มคี ณุ ธรรม
- มงี านทำ-มีอาชีพ
- เปน็ พลเมืองดี
 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น
- สร้างจิตสำนึก มคี วามรกั และเห็นคุณคา่ ของพรรณไม้
- แหล่งรวบรวมพรรณไม้ ข้อมูลพรรณไม้ และการเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ทาง
การศึกษาและเผยแพรส่ ู่ภายนอก
- ใช้เปน็ สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้ในการจัดการเรยี นรู้
 เรยี นรสู้ ่มู าตรฐานสากล
- เปน็ เลิศทางวิชาการ
- ส่ือสารสองภาษา
- ล้ำหน้าทางความคดิ
- ผลติ งานอย่างสร้างสรรค์
- ร่วมกนั รับผิดชอบตอ่ สงั คมโลก
 หลักสตู รตา้ นทจุ ริตศึกษา
- การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
- ความละอายและความไมท่ นตอ่ ต่อการทุจรติ
- STRONG : จติ พอเพียงต้านทุจริต
- พลเมืองกบั ความรับผิดชอบตอ่ สงั คม
 โรงเรยี นสิ่งแวดล้อมศึกษาเพ่อื การพัฒนาที่ยั่งยืน
- ความตระหนกั , ความร,ู้ เจตคติ , ทักษะ, ความสามารถในการประเมนิ ผล และการ
มสี ว่ นรว่ ม เกย่ี วกบั สง่ิ แวดล้อมเพอ่ื การพฒั นาทยี่ ่งั ยืน
 กลมุ่ สาระการเรยี นรู.้ ...................................

160

8. ช้ินงานหรอื ภาระงาน
8.1 ใบงานท่ี 1 เรื่อง โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ
8.2 สมุดนักเรยี นในการทำแบบฝึกหัด 15.3 ข้อ 1-2

9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E
ข้นั ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1.1 ทบทวนความรู้เกยี่ วกับ การเกดิ แรงแม่เหล็กเม่ือลวดตวั นำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่
ในสนามแมเ่ หลก็
1.2 ใช้คำถามเพื่อนำเขา้ สกู่ ารทำกจิ กรรม เร่ือง โมเมนตข์ องแรงคูค่ วบ ดงั น้ี
1) หากเปลยี่ นลวดตัวนำเสน้ ตรงเป็นขดลวดตวั นำรูปสเ่ี หล่ียมมมุ ฉาก เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำจะมีผลอย่างไร
(ให้นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ ได้อย่างอิสระ โดยไมค่ าดหวังคำตอบท่ีถูกต้อง)

ขนั้ ที่ 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration)
2.1 ให้นักเรยี นศึกษาค้นคว้าเนอ้ื หา เรอ่ื ง โมเมนต์ของแรงคู่ควบ ในหนังสือเรียน หนา้ 53-55
2.2 นักเรยี นทำใบงานที่ 1 เรื่อง โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ
2.3 นกั เรียนศึกษาตวั อย่าง 15.8 ตามรายละเอียดในหนงั สือเรียน หน้า 56
2.4 นักเรยี นทำแบบฝึกหัด 15.3 ข้อ 1-2 ลงในสมุด

ขนั้ ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
3.1 สมุ่ นักเรยี นจำนวน 2 คน ออกมาเฉลยแบบฝกึ หัด 15.3 ข้อ 1-2 หน้าช้นั เรียน
3.2 นักเรยี นและครรู ว่ มกนั อภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุป โดยใชค้ ำถามตอ่ ไปนี้
1) ถ้าพิจารณาแรงแม่เหลก็ กระทำต่อเสน้ ลวดแตล่ ะสว่ น ด้าน PS และ QR

กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนำอยู่ในทิศทางอยา่ งไรกับสนามแม่เหลก็
(แนวการตอบ กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนำอยใู่ นทิศทางขนานกับสนามแม่เหล็ก)
2) ถา้ พจิ ารณาแรงแม่เหล็กกระทำต่อเสน้ ลวดแต่ละสว่ น ดา้ น PS และ QR

กระแสไฟฟา้ ในขดลวดตัวนำอยู่ในทิศทางขนานกับสนามแม่เหล็ก ทำให้เกิดแรงกระทำต่อดา้ น PS
และ QR หรือไม่ อย่างไร

(แนวการตอบ ทำให้ไม่มีแรงกระทำต่อด้านท้ังสองนี้)
3) ถ้าพจิ ารณาแรงแมเ่ หล็กกระทำต่อเสน้ ลวดแตล่ ะส่วน ดา้ น PQ และ RS
กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนำอยใู่ นทิศทางอย่างไรกับสนามแมเ่ หลก็
(แนวการตอบ กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดอยู่ในทิศตงั้ ฉากขนานกบั สนามแม่เหล็ก)

161

4) ถ้าพิจารณาแรงแม่เหล็กกระทำต่อเส้นลวดแต่ละสว่ น ด้าน PQ และ RS
กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดอยใู่ นทศิ ต้ังฉากขนานกับสนามแม่เหลก็ ทำให้เกดิ แรงกระทำต่อดา้ น PQ
และ RS หรือไม่ อย่างไร

(แนวการตอบ เกิดแรงกระทำตอ่ ดา้ นทั้งสอง มีขนาดเท่ากัน)
อ 5) จากข้อ 3) ขนาดของแรงหาได้จากสมการ

(แนวการตอบ = 2 )
6) แรงที่กระทำตอ่ ดา้ น PQ มีทิศทางตรงข้ามกับแรงทีก่ ระทำตอ่ ดา้ น RS จะเห็นว่า
แรงที่กระทำต่อดา้ นทั้งสองมีขนาดเทา่ กัน ทิศทางตรงขา้ มกัน และขนานกนั จงึ เป็นแรงที่เรียกวา่
(แนวการตอบ แรงคู่ควบ)
7) โมเมนตข์ องแรงคคู่ วบหาขนาดได้จากสมการ
(แนวการตอบ = )
8) สญั ลกั ษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถึงอะไร
(แนวการตอบ ขนาดของแรงคคู่ วบ)
9) สัญลกั ษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถึงอะไร
(แนวการตอบ ระยะทางตั้งฉากระหว่างแนวแรงท้งั สอง)

10) “ในกรณีขดลวดตัวนำจำนวน N รอบ จะทำให้เกดิ โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ
กระทำตอ่ ขดลวดเปน็ จำนวน N เทา่ ของขดลวด 1 รอบ” จากข้อความดงั กลา่ วสามารถหาขนาด
โมเมนตข์ องแรงคคู่ วบกระทำตอ่ ขดลวดได้สมการใด

(แนวการตอบ = )
3.3 นกั เรยี นและครรู ่วมกันสรุปเนอื้ หาจากศึกษาคน้ คว้า เรือ่ ง โมเมนต์ของแรงคู่ควบ จนได้
สมการต่างๆ

ข้ันท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ให้ความรเู้ พิ่มเติมเก่ยี วกับ กราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโมเมนตข์ องแรงคูค่ วบท่ีกระทำตอ่

ขดลวดกับมมุ ท่รี ะนาบของขดลวดทำกบั สนามแม่เหล็ก ดังน้ี
กราฟความสัมพันธ์ระหว่างโมเมนต์ของแรงคู่ควบที่กระทำต่อขดลวดกับมมุ ท่รี ะนาบ

ของขดลวดทำกับสนามแมเ่ หลก็ ตามสมการ = โดยใหแ้ กน y เป็นโมเมนตข์ องแรง
คู่ควบและแกน x คือ มุมที่ระนาบขดลวดทำกบั สนามแมเ่ หล็กจะได้กราฟความสัมพนั ธ์
= เม่อื = เปน็ ค่าคงตวั y เป็น M และ x เป็น ดงั รปู

162

ขน้ั ท่ี 5 ขัน้ ประเมินผล (Evaluation)
5.1 ครูตรวจใบงานที่ 1 เร่ือง โมเมนต์ของแรงค่คู วบ
5.2 ครตู รวจสมุดนกั เรียนในการทำแบบฝึกหดั 15.3 ขอ้ 1-2

10. สอื่ การเรยี นรู้
10.1 หนังสอื เรยี นรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ กิ ส์) ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เลม่ 5

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบงานที่ 1 เร่อื ง โมเมนต์ของแรงคู่ควบ
8.3 ใบความรู้ เรือ่ ง โมเมนต์ของแรงค่คู วบ

11. แหล่งเรียนรู้
11.1 อนิ เทอร์เนต็
11.2 หอ้ งสมดุ โรงเรยี นโนนสูงพิทยาคาร

12. กระบวนการวดั และประเมินผล

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เครอื่ งมือ/วิธกี ารวัด เกณฑ์การประเมิน
1) ตรวจใบงานที่ 1 เรื่อง โมเมนตข์ อง 1) เกณฑร์ อ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์
ดา้ นความรู้ (K) แรงคคู่ วบ
1) นกั เรยี นอธิบายโมเมนตข์ องแรงคู่ 1) เกณฑ์ร้อยละ 70 ผา่ นเกณฑ์
ควบกระทำตอ่ ขดลวดตัวนำท่ีมี 1) ตรวจสมุดนกั เรยี นในการทำ
กระแสไฟฟา้ ผ่านเมื่ออยู่ใน แบบฝกึ หดั 15.3 ข้อ 1-2 1) ระดบั คณุ ภาพดี ผา่ นเกณฑ์
สนามแม่เหลก็ ได้
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) 1) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมคุณลักษณะอนั
1) นกั เรียนสามารถคำนวณโมเมนต์ พงึ ประสงค์
ของแรงค่คู วบกระทำต่อขดลวด
ตวั นำทีม่ ีกระแสไฟฟ้าผ่านเมื่ออยใู่ น
สนามแม่เหล็ก รวมท้ังปรมิ าณที่
เกีย่ วข้องได้
ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1) ใฝ่เรียนรูแ้ ละมุ่งม่ันในการทำงาน

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. .......................................................................................... ..
............................................................................................................................................. .................................

163

14. บันทกึ ผลหลังการสอน
14.1 สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจำนวน........................คน
ผ่านจดุ ประสงค์การเรยี นรู.้ ..............คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................................
ไมผ่ า่ นจุดประสงค์............................คน คิดเปน็ รอ้ ยละ.................................
ได้แก่
1. ..........................................................................................
2. ........................................................................................
นกั เรยี นทม่ี ีความสามารถพเิ ศษได้แก่
1. ..........................................................................................
2. ..........................................................................................
2. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ (K)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. นกั เรียนมีความรู้เกิดทกั ษะ (P)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. นักเรยี นมเี จตคติ ค่านยิ ม คุณธรรมจริยธรรม (A)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...

14.2 ปญั หา/อุปสรรค /แนวทางแก้ไข
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................. ...................................................................

14.3 ข้อเสนอแนะ
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................

ลงช่ือ..........................................................
( นายวิศวรรษ บพุ บตุ ร )
ครผู ู้สอน

164

ความคิดเห็นของครพู ีเ่ ลี้ยง

ไดท้ ำกำรตรวจแผนกำรจดั กำรเรยี นรขู้ อง นำยวศิ วรรษ บุพบตุ ร แลว้ มีควำมคดิ เห็นดังน้ี

1. องค์ประกอบของแผนกำรจัดกำรเรียนรู้

 ครบถว้ นและถูกต้อง

 ไมค่ รบถว้ นหรือไมถ่ ูกตอ้ งควรปรบั ปรุงพฒั นำ

2. ควำมสอดคลอ้ งของแผนกำรจัดกำรเรียนรหู้ ลกั สูตรสถำนศึกษำ

 สอดคล้องและถูกต้อง

 ไม่สอดคลอ้ งควรปรบั ปรุงพัฒนำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เน้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญมำใชใ้ นกำรสอนได้อย่ำงเหมำะสม

 ไม่เนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนำ

4. สื่อกำรเรียนรู้

 เหมำะสมกบั รูปแบบกำรจัดกำรเรียนรู้

 ยงั ไม่เหมำะสมควรปรับปรงุ พัฒนำ

5. กำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้

 ครอบคลมุ จุดประสงค์กำรเรยี นรู้

 ไมค่ รอบคลมุ จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรคู้ วรปรับปรุงพัฒนำ

6. เป็นแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่

 นำไปใช้ได้จรงิ

 ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้

7. ระดบั คุณภำพของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ดเี ย่ียม  ดมี ำก

 ดี  พอใช้

 ปรับปรงุ

8. ข้อเสนอแนะอื่นๆ

............................................................................................................................. .................................................

.................................................................................. ................................................................ ............................

(ลงชื่อ) ……………..……………………………...

165

ความคิดเหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ไดท้ ำกำรตรวจแผนกำรจดั กำรเรยี นรขู้ อง นำยวศิ วรรษ บุพบุตร แลว้ มคี วำมคดิ เห็นดงั นี้

1. องคป์ ระกอบของแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้

 ครบถว้ นและถกู ต้อง

 ไมค่ รบถ้วนหรือไม่ถูกตอ้ งควรปรบั ปรงุ พฒั นำ

2. ควำมสอดคลอ้ งของแผนกำรจัดกำรเรยี นรหู้ ลกั สูตรสถำนศกึ ษำ

 สอดคลอ้ งและถูกต้อง

 ไมส่ อดคลอ้ งควรปรบั ปรุงพฒั นำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญมำใช้ในกำรสอนไดอ้ ย่ำงเหมำะสม

 ไมเ่ น้นผู้เรียนเปน็ สำคญั ควรปรับปรงุ พฒั นำ

4. ส่ือกำรเรยี นรู้

 เหมำะสมกับรปู แบบกำรจัดกำรเรียนรู้

 ยังไมเ่ หมำะสมควรปรบั ปรุงพัฒนำ

5. กำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้

 ครอบคลุมจุดประสงค์กำรเรียนรู้

 ไมค่ รอบคลุมจดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ควรปรับปรงุ พฒั นำ

6. เปน็ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ที่

 นำไปใช้ไดจ้ รงิ

 ควรปรบั ปรงุ ก่อนนำไปใช้

7. ระดบั คุณภำพของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ดเี ยี่ยม  ดมี ำก

 ดี  พอใช้

 ปรับปรุง

8. ข้อเสนอแนะอืน่ ๆ

............................................................................................................................. .................................................

.................................................................................. ................................................................ ............................

(ลงชือ่ ) ……………..……………………………...

166

ความเหน็ ของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย

ได้ทำกำรตรวจแผนกำรจดั กำรเรยี นร้ขู อง นำยวศิ วรรษ บุพบตุ ร แลว้ มคี วำมคดิ เหน็ ดังนี้

1. องคป์ ระกอบของแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ครบถว้ นและถูกต้อง

 ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกตอ้ งควรปรับปรงุ พัฒนำ

2. ควำมสอดคล้องของแผนกำรจัดกำรเรียนรหู้ ลักสตู รสถำนศึกษำ

 สอดคลอ้ งและถูกต้อง

 ไม่สอดคล้องควรปรับปรงุ พัฒนำ

3. รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 เน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญมำใช้ในกำรสอนไดอ้ ย่ำงเหมำะสม

 ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคัญควรปรบั ปรุงพัฒนำ

4. สอื่ กำรเรียนรู้

 เหมำะสมกบั รปู แบบกำรจัดกำรเรยี นรู้

 ยังไม่เหมำะสมควรปรับปรุงพัฒนำ

5. กำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้

 ครอบคลมุ จุดประสงค์กำรเรยี นรู้

 ไมค่ รอบคลมุ จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ควรปรบั ปรุงพฒั นำ

6. เปน็ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่ี

 นำไปใชไ้ ดจ้ ริง

 ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้

7. ระดับคุณภำพของแผนกำรจัดกำรเรียนรู้

 ดเี ยย่ี ม  ดมี ำก

 ดี  พอใช้

 ปรับปรุง

8. ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ

............................................................................................................................. .................................................

.................................................................................................................................................. ............................

ลงช่อื ..................................................................

167

168

ใบความรู้ เร่ือง โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ

พิจารณาขดลวดตวั นำสเี่ หล่ยี ม มุมฉาก (PQRS) วางให้ระนาบขดลวดขนานกบั
สนามแมเ่ หล็ก ( ⃑ ) สม่ำเสมอ มีความยาวดา้ น PS = QR = 1 และความยาวดา้ น PQ = RS = 2 เมอื่
ให้กระแสไฟฟา้ ( ) ผา่ นขดลวดในทิศทาง P -> Q -> R -> S ดงั รูป 15.38

รปู 15.38 ทิศทางที่กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำ

พิจารณาแรงแม่เหล็กกระทำต่อเส้นลวดแต่ละส่วนดังนี้ ด้าน PS และ QR กระแสไฟฟ้าใน
ขดลวดตวั นำอย่ใู นทิศทางขนานกับสนามแม่เหล็ก ทำให้ไมม่ ีแรงกระทำต่อด้านท้ังสองนี้ สว่ นดา้ น PQ
และ RS เป็นด้านที่กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดในทิศทางตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก จึงเกิดแรงกระทำต่อ
ดา้ นท้งั สอง มีขนาดเทา่ กัน โดยขนาดของแรงหาไดจ้ ากสมการ = 2

รูป 15.39 ทิศทางของแรงกระทำต่อขดลวดตัวนำ ขณะระนาบขดลวดขนานกับ
สนามแม่เหลก็

ในการหาทิศทางของแรง โดยใช้มือขวา พบว่าแรงที่กระทำต่อด้าน PQ มีทิศทางตรงข้ามกับ
แรงทกี่ ระทำต่อด้าน RS ดังรูป 15.39 จะเหน็ วา่ แรงทก่ี ระทำต่อด้านทง้ั สองมขี นาดเทา่ กนั ทิศทางตรง
ขา้ มกัน และขนานกนั จงึ เปน็ แรงค่คู วบ ทำใหเ้ กิดโมเมนต์ของแรงคู่ควบหาขนาดได้จากสมการ

=

เมอื่ คือ โมเมนตข์ องแรงค่คู วบ
คอื ขนาดของแรงคู่ควบ
คือ ระยะทางตัง้ ฉากระหว่างแนวแรงทั้งสอง

แทนค่า จากสมการ = 2 และแทน ด้วย ในสมการ = จะไดโ้ มเมนต์
ของแรงค่คู วบ

= ( 2 ) 1

169
กำหนดให้ เป็นพ้ืนท่ีของขดลวด มคี ่าเท่ากับ 1 2 เขียนสมการขนาดโมมนต์ของแรงคู่ควบ
ไดเ้ ปน็

=

ถา้ วางขดลวดตวั นำสี่เหล่ียมมุมฉาก (PQRS) ใหร้ ะนาบขดลวดทำมมุ กับสนามแม่เหล็ก
( ⃑ ) มีด้าน PS และ QR ทำมมุ กบั สนามแมเ่ หล็ก ดังรปู 15.40

รปู 15.40 ระนาบขดลวดทำมมุ กบั สนามแม่เหลกี
พจิ ารณาดา้ น PS กับ QR พบว่ามแี รงกระทำขนาดเท่ากนั ทศิ ทางตรงข้ามกัน คือ PS และ
QS และอยใู่ นแนวเดียวกัน ทำให้โมมนตข์ องแรงคนู่ ้ีเป็นศนู ยด์ งั รปู 15.41 ก. ส่วนดา้ น PQ กับ RS
จะมแี รงคู่ควบกระทำ ไดแ้ ก่ P และ RS มที ศิ ทางดังรปู 15.41 ข.

รปู 15.41 ขดลวดตวั นำเหล่ยี มฉากเอยี งทำมมุ กบั สนามแมเ่ หล็กและมีกระแสไฟฟ้าผ่าน
โดยขนาดของแรงเท่ากับ 2 และระยะทางตั้งฉากระหว่างแนวแรงท้ังสองเท่ากับ 1
จากสมการ = จะไดข้ นาดของโมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวด ตามสมการ

= ( 2 ) 1
=

ในกรณขี ดลวดตวั นำจำนวน N รอบ จะทำใหเ้ กิดโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวดเป็น
จำนวน N เทา่ ของขดลวด 1 รอบ จะได้ขนาดโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวด ตามสมการ

=

เมื่อ คอื มุมระหวา่ งระนาบขดลวดตัวนำกับสนามแมเ่ หล็ก
ในกรณีที่พน้ื ทข่ี องขดลวดเป็นขดลวดระนาบรปู ทรงอน่ื เชน่ ขดลวดระนาบรูปวงกลมโมเมนต์
ของแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวดยงั คงหาได้จากสมการ =

170

ใบงานที่ 1 เรอื่ ง โมเมนตข์ องแรงคู่ควบ

คำชแี้ จง จงตอบคำถามต่อไปน้ใี หถ้ ูกต้องครบถ้วน
1) ถ้าพจิ ารณาแรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อเส้นลวดแตล่ ะส่วน ดา้ น PS และ QR กระแสไฟฟา้ ในขดลวด

ตัวนำอย่ใู นทิศทางอย่างไรกับสนามแมเ่ หล็ก

ตอบ กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนำอยูใ่ นทศิ ทางขนานกับสนามแม่เหล็ก อ

2) ถ้าพิจารณาแรงแม่เหลก็ กระทำต่อเส้นลวดแตล่ ะสว่ น ดา้ น PS และ QR กระแสไฟฟา้ ในขดลวด

ตัวนำอย่ใู นทิศทางขนานกับสนามแมเ่ หล็ก ทำให้เกิดแรงกระทำต่อด้าน PS และ QR หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ ทำให้ไม่มีแรงกระทำต่อด้านท้งั สองน้ี อ

3) ถ้าพิจารณาแรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อเสน้ ลวดแตล่ ะส่วน ด้าน PQ และ RS กระแสไฟฟา้ ในขดลวด

ตวั นำอยใู่ นทิศทางอย่างไรกบั สนามแมเ่ หล็ก

ตอบ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดอย่ใู นทิศตั้งฉากขนานกับสนามแมเ่ หล็ก อ

4) ถา้ พิจารณาแรงแม่เหลก็ กระทำต่อเสน้ ลวดแต่ละสว่ น ด้าน PQ และ RS กระแสไฟฟา้ ผ่านขดลวด

อยูใ่ นทิศต้งั ฉากขนานกบั สนามแมเ่ หลก็ ทำให้เกดิ แรงกระทำตอ่ ด้าน PQ และ RS หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ เกดิ แรงกระทำต่อดา้ นทั้งสอง มขี นาดเท่ากนั อ

5) จากข้อ 3) ขนาดของแรงหาไดจ้ ากสมการ อ
ตอบ = 2

6) แรงท่ีกระทำต่อดา้ น PQ มีทิศทางตรงข้ามกับแรงทก่ี ระทำต่อดา้ น RS จะเห็นวา่ แรงท่ีกระทำตอ่

ด้านทั้งสองมีขนาดเทา่ กัน ทิศทางตรงข้ามกนั และขนานกันจงึ เปน็ แรงที่เรียกวา่

ตอบ แรงคู่ควบ อ

7) โมเมนต์ของแรงคู่ควบหาขนาดได้จากสมการ 171
ตอบ = อ

8) สัญลักษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถึงอะไร
ตอบ ขนาดของแรงคู่ควบ

9) สัญลักษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถงึ อะไร อ
ตอบ ระยะทางต้งั ฉากระหวา่ งแนวแรงทง้ั สอง

10) “ในกรณขี ดลวดตัวนำจำนวน N รอบ จะทำให้เกิดโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวดเปน็

จำนวน N เท่าของขดลวด 1 รอบ” จากข้อความดงั กล่าวสามารถหาขนาดโมเมนต์ของแรงคคู่ วบกระทำต่อ

ขดลวดไดส้ มการใด

ตอบ = อ

172

เฉลยใบงานที่ 1 เรือ่ ง โมเมนต์ของแรงคคู่ วบ

คำช้แี จง จงตอบคำถามต่อไปนีใ้ ห้ถกู ต้องครบถว้ น
1) ถ้าพิจารณาแรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อเส้นลวดแตล่ ะสว่ น ด้าน PS และ QR กระแสไฟฟ้าในขดลวด

ตัวนำอยใู่ นทิศทางอย่างไรกบั สนามแม่เหลก็
ตอบ กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนำอยู่ในทศิ ทางขนานกับสนามแมเ่ หล็ก
2) ถ้าพิจารณาแรงแมเ่ หล็กกระทำต่อเสน้ ลวดแตล่ ะส่วน ดา้ น PS และ QR กระแสไฟฟ้าในขดลวด

ตัวนำอยใู่ นทิศทางขนานกบั สนามแมเ่ หล็ก ทำให้เกิดแรงกระทำต่อด้าน PS และ QR หรือไม่ อย่างไร
ตอบ ทำให้ไม่มีแรงกระทำตอ่ ด้านทงั้ สองน้ี
3) ถา้ พิจารณาแรงแมเ่ หลก็ กระทำต่อเส้นลวดแต่ละสว่ น ด้าน PQ และ RS กระแสไฟฟา้ ในขดลวด

ตัวนำอยใู่ นทิศทางอยา่ งไรกับสนามแมเ่ หลก็
ตอบ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดอยู่ในทิศตง้ั ฉากขนานกับสนามแมเ่ หล็ก
4) ถา้ พิจารณาแรงแม่เหลก็ กระทำต่อเส้นลวดแตล่ ะส่วน ด้าน PQ และ RS กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวด

อยูใ่ นทิศตง้ั ฉากขนานกับสนามแมเ่ หลก็ ทำให้เกดิ แรงกระทำต่อดา้ น PQ และ RS หรอื ไม่ อย่างไร
ตอบ เกดิ แรงกระทำต่อด้านทั้งสอง มขี นาดเทา่ กนั
5) จากข้อ 3) ขนาดของแรงหาได้จากสมการ
ตอบ = 2
6) แรงที่กระทำต่อดา้ น PQ มีทิศทางตรงข้ามกับแรงทีก่ ระทำต่อดา้ น RS จะเห็นว่าแรงที่กระทำตอ่

ดา้ นทงั้ สองมขี นาดเทา่ กนั ทิศทางตรงข้ามกนั และขนานกนั จึงเปน็ แรงที่เรียกว่า
ตอบ แรงคู่ควบ
7) โมเมนต์ของแรงคคู่ วบหาขนาดไดจ้ ากสมการ
ตอบ =

8) สัญลกั ษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถงึ อะไร
ตอบ ขนาดของแรงคู่ควบ

9) สญั ลกั ษณ์ ในสมการข้อ 7) หมายถึงอะไร
ตอบ ระยะทางตงั้ ฉากระหวา่ งแนวแรงทง้ั สอง
10) “ในกรณีขดลวดตวั นำจำนวน N รอบ จะทำใหเ้ กิดโมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทำต่อขดลวดเปน็
จำนวน N เทา่ ของขดลวด 1 รอบ” จากข้อความดงั กล่าวสามารถหาขนาดโมเมนต์ของแรงคูค่ วบกระทำต่อ
ขดลวดไดส้ มการใด
ตอบ =

173

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 8

รหสั วชิ า ว33205 รายวิชาฟสิ กิ ส์ 5 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 15 แมเ่ หลก็ และไฟฟา้ ภาคเรียนที่ 1

แผนการเรยี นร้ทู ี่ 8 เรื่อง แกลแวนอมิเตอร์ และมอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง เวลา 2 ชว่ั โมง

สอนโดย นายวศิ วรรษ บพุ บุตร กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นโนนสูงพิทยาคาร

1. มาตราฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้วี ดั
สาระฟิสกิ ส์

3. เขา้ ใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ย์ไฟฟา้ ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของ
โอห์ม วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกำลงั ไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทำกับประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าและการส่อื สาร รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้

3. อธิบายหลักการทำงานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง รวมทั้งคำนวณปรมิ าณ
ตา่ งๆ ท่ีเก่ียวข้อง

2. สาระสำคญั
แกลแวนอมเิ ตอร์เปน็ เคร่ืองวัดทางไฟฟ้า ประกอบดว้ ยขดลวดสเี่ หล่ียมท่ีติดเข็มช้ีและหมุนได้คล่องอยู่

ในสนามแม่เหล็ก เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดจะหมุนพร้อมกับเข็มชี้เบนไป และมอเตอร์ไฟฟ้า กระแสตรง
เป็นเคร่ืองมือเปลีย่ นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลังงานกล ประกอบดว้ ยขดลวดพนั อยู่กับแกนซงึ่ หมุนไดค้ ล่องและอยู่
ในสนามแม่เหล็กเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดจะหมุนต่อเนื่องรอบแกนการทำงานแกลแวนอมิเตอร์และ
มอเตอร์ไฟฟา้ ใช้หลกั โมเมนตแ์ รงคคู่ วบของขดลวดทอี่ ยู่ในสนามแมเ่ หล็กและมีกระแสไฟฟ้าผา่ น

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรยี นอธบิ ายหลักการทำงานของแกลแวนอมเิ ตอร์ มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงได้
3.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถคำนวณปรมิ าณทเี่ ก่ยี วขอ้ งได้
2) นกั เรยี นสามารถทำกจิ กรรม เรอ่ื ง มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรงอยา่ งง่ายได้
3.3 ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1) ใฝเ่ รยี นรู้และมุ่งม่นั ในการทำงาน

174

4. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน  2.ความสามารถในการคดิ
 1.ความสามารถในการสอื่ สาร  4.ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
 3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
 5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
แกลแวนอมเิ ตอร์ (galvanometer)
แกลแวนอมิเตอร์เป็นเครื่องวัดทางไฟฟ้า ดังรูป 15.42 ก. ประกอบด้วยขดลวดทองแดง
เคลือบฉนวน พันหลายรอบบนกรอบรูปสี่เหลี่ยมที่ติดเข็มชี้และแกนหมุนได้คล่องทำให้ขดลวด
หมุนรอบทรงกระบอกเหล็กอ่อนที่ตรึงอยู่กับที่ โดยปลายของแกนหมุนติดกับสปริงก้นหอย ดังรูป
15.42 ข.

รูป 15.42 แกลแวนอมเิ ตอร์และส่วนประกอบภายในแกลแวนอมเิ ตอร์

ทรงกระบอกเหล็กอ่อนทำให้แรงแม่เหล็ก (ที่ทำให้เกิดโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำต่อ
ขดลวด) ตั้งฉากกับระนาบขดลวดตลอดเวลา จึงทำให้โมเมนต์ของแรงคู่ควบจากระแสไฟฟ้าที่กระทำ
ต่อขดลวดขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวดเท่านั้น เมื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ขดลวดจะหมุนพร้อม
กับเข็มช้ีเบนไป และแกนหมุนทำให้สปริงก้นหอยบิดตัว จนกระท่ังโมเมนต์ของแรงบิดกลับของสปริง
ก้นหอยเท่ากับโมเมนต์ของแรงคู่ควบที่กระทำต่อขดลวด ขดลวดและเข็มชี้จะหยุดนิ่ง มุมที่เข็มชี้เบน
ไปจึงขึ้นกับกระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวด โดยทั่วไปแกลแวนอมิเตอร์มีวัตถุประสงค์ให้มีความไวต่อ
กระแสไฟฟ้าจึงใช้เส้นลวดที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อให้ขดลวดมีน้ำหนักน้อย และสปริงก้นหอยที่มีค่าคง
ตวั สปรงิ นอ้ ย ๆ เมือ่ กระแสไฟฟ้าผา่ นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำใหเ้ ข็มชเ้ี บนได้

มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้โมเมนต์ของแรงคู่ควบที่กระทำต่อ
ขดลวดในสนามเหล็กเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่าน ทำให้สามารถเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกลได้
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่าย ประกอบด้วยขดลวดทองแดงเคลอื บฉนวน พันเป็นรูปสี่เหลี่ยมติด
กับแก่นหมุนได้คล่องในสนามแม่เหล็ก และส่วนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนทิศทางของกระแสไฟฟ้าในขดลวด

175
คือ คอมมิวเทเตอร์วงแหวนผ่าซีก (split-ring commutator) และแปรงสัมผัส (contact
brush) ดงั รปู 15.43

รูป 15.43 สว่ นประกอบของมอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง
เมอ่ื กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำในทศิ ทาง d -> c -> b -> a จะเกิดโมเมนต์ของแรงคู่
ควบหมุนขดลวดรอบแกนหมุนตามเข็มนาฬิกา ดงั รปู 15.44 ก. เมื่อขดลวดหมนุ ไปจนระนาบ
ของขดลวดตงั้ ฉากกบั สนามแม่เหล็ก ดังรูป 15.44 ข. โมเมนต์ของแรงคู่ควบมีค่าเปน็ ศนู ย์ แต่
เน่ืองจากความเฉื่อยจึงทำให้ขดลวดหมุนตอ่ ไป โดยแปรงสัมผัส P และ Q จะเปล่ยี นจาก
สัมผสั คอมมิวเทเตอร์ x และ y ไปสัมผัสกบั คอมมิวเทเตอร์ y และ x ทำให้กระแสไฟฟ้าใน
ขดลวดมที ิศทาง a -> b -> c -> d โมเมนตข์ องแรงคคู่ วบทีเ่ กดิ ขนึ้ ในขณะน้ี จะทำให้ขดลวด
หมุนในทางเดิมต่อไป ดงั รูป 15.44 ค.

รปู 15.44 แรงกระทำตอ่ ขดลวดของมอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง
จะเห็นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแตรงนี้มีขดลวดเพียงระนาบเดียว จึงใช้คอมมิวเทเตอร์ 1 คู่ ถ้า
พิจารณาในขณะท่ีระนาบของขดลวดตัง้ ฉากกับสนามแม่เหล็ก โมเมนต์ของแรงคูค่ วบจะมีคา่ เปน็ ศนู ย์
(ตามสมการ = เพราะ cos 90° = 0) แตข่ ดลวดจะหมุนต่อไปได้อีกเนื่องจากความ
เฉื่อย ดังนั้นตำแหน่งที่ระนาบของขดลวดตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กจึงเป็นตำแหน่งที่มอเตอร์ไม่มี
โมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำ เพ่อื ให้โมเมนต์ของแรงคู่ควบที่กระทำต่อขดลวดตลอดเวลา จึงต้องเพ่ิม
ขดลวดในระนาบอนื่ อีกโดยอาจใชต้ งั้ แต่ 3 ระนาบขนึ้ ไป ดงั รูป 15.45

รปู 15.45 ตัวอย่างมอเตอร์กระแสตรงแบบ 3 ระนาบ

176

6. จุดเน้นสู่การพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียน

6.1 ความสามารถและทักษะ (ม.ปลาย)

 มีความสามารถในการแสวงหาความรูเ้ พ่อื การแกป้ ัญหา

 มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่อื การเรียนรู้

 มีความสามารถในการใชภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)

 มที กั ษะการคิดชัน้ สงู

 ทกั ษะชวี ติ

 ทกั ษะการสอ่ื สารอย่างสรา้ งสรรคต์ ามชว่ งวยั

6.2 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  5. อยู่อย่างพอเพียง

 2. ซือ่ สัตย์สุจริต  6. ม่ังมัน่ ในการทำงาน

 3. มีวนิ ยั  7. รักความเป็นไทย

 4. ใฝ่เรยี นรู้  8. มจี ิตสาธารณะ

6.3 ความสามารถและทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 (3Rs 8Cs 2Ls)

 R1- Reading (อ่านออก)  R2-(W)Riting (เขียนได)้  R3-(A)Rithmetics (คดิ เลขเปน็ )

 C1-Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ

ทกั ษะในการแกป้ ัญหา)

 C2-Creativity and Innovation (ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม)

 C3-Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์)

 C4-Collaboration, Teamwork and Leadership (ทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็น

ทีมและภาวะผูน้ ำ)

 C5-Communications, Information and Media Literacy (ทกั ษะด้านการส่ือสารสารสนเทศ

และรเู้ ท่าทนั ส่อื )

 C6-Computer and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและ

การสื่อสาร)

 C7-Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพและทกั ษะการเรยี นรู)้

 C8-Change (ทกั ษะการเปลี่ยนแปลง)  L2-Leadership (ทักษะความเปน็ ผ้นู ำ)
 L1-Learning (ทักษะการเรียนรู)้

177

7. สาระการเรยี นร้สู กู่ ารบรู ณาการ
 หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
- 3 หว่ ง ได้แก่ ความพอประมาณ มีเหตผุ ล มภี ูมคิ ุ้มกันในตวั ทีด่ ี
- 2 เง่ือนไข ได้แก่ ความรู้ คู่ คุณธรรม
 พระบรมราโชบายดา้ นการศกึ ษา ในหลวงรัชกาลที่ 10
- มที ศั นคตทิ ่ีถูกตอ้ งตอ่ บา้ นเมือง
- มีพน้ื ฐานชวี ิตที่ม่ันคง-มีคุณธรรม
- มีงานทำ-มีอาชพี
- เป็นพลเมืองดี
 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน
- สร้างจติ สำนึก มีความรักและเห็นคุณคา่ ของพรรณไม้
- แหล่งรวบรวมพรรณไม้ ข้อมูลพรรณไม้ และการเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ทาง
การศึกษาและเผยแพรส่ ภู่ ายนอก
- ใช้เป็นสื่อและแหล่งการเรยี นรใู้ นการจัดการเรียนรู้
 เรียนรูส้ มู่ าตรฐานสากล
- เป็นเลศิ ทางวิชาการ
- สื่อสารสองภาษา
- ล้ำหน้าทางความคิด
- ผลติ งานอยา่ งสร้างสรรค์
- ร่วมกนั รับผดิ ชอบต่อสงั คมโลก
 หลกั สตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา
- การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
- ความละอายและความไมท่ นตอ่ ต่อการทจุ ริต
- STRONG : จติ พอเพยี งตา้ นทจุ รติ
- พลเมอื งกับความรับผิดชอบตอ่ สังคม
 โรงเรยี นส่งิ แวดล้อมศกึ ษาเพอื่ การพัฒนาทย่ี ่งั ยนื
- ความตระหนัก , ความรู้, เจตคติ , ทักษะ, ความสามารถในการประเมินผล และการ
มีส่วนรว่ ม เกย่ี วกบั สงิ่ แวดล้อมเพ่อื การพฒั นาท่ียั่งยืน
 กลุ่มสาระการเรียนร.ู้ ...................................

8. ช้นิ งานหรอื ภาระงาน
8.1 ใบงานท่ี 1 เรื่อง แกลแวนอมิเตอร์ และมอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง
8.2 ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื ง มอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรงอยา่ งงา่ ย

178

9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E
ข้นั ท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
1.1 ทบทวนความรู้เก่ยี วกบั สมการเกี่ยวกบั โมเมนต์ของแรงคูค่ วบกระทำต่อขดลวดท่ีมี
กระแสไฟฟา้ ผา่ น เม่ืออยู่ในสนามแมเ่ หล็ก
1.2 ใช้คำถามเพ่ือนำเข้าสู่การทำกิจกรรม เร่ือง แกลแวนอมิเตอร์ และมอเตอรไ์ ฟฟา้
กระแสตรง ดังนี้
1) โมเมนตข์ องแรงคู่ควบของขดลวดท่มี กี ระแสไฟฟ้าในสนามแม่เหล็ก สามารถ
นำไปประยุกตใ์ ช้อยา่ งไรไดบ้ า้ ง
2) หากจะนำความรู้นี้มาประยุกต์ใชใ้ นการสรา้ งเป็นเคร่ืองวัดทางไฟฟา้ จะสามารถ
ทำได้อยา่ งไร
3) มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
4) มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงหมุนได้อยา่ งไร เกีย่ วข้องกับโมเมนต์แรงคู่ควบของ
ขดลวดทมี่ ีกระแสไฟฟ้าผ่านและอย่ใู นสนามแม่เหลก็ อย่างไร
(นกั เรียนแสดงความคดิ เห็นได้อย่างอสิ ระ โดยไมค่ าดหวงั คำตอบทถ่ี ูกตอ้ ง)

ขั้นท่ี 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration)
2.1 ให้นกั เรียนทุกคนศึกษาค้นควา้ เน้ือหา เร่อื ง แกลแวนอมเิ ตอร์ และมอเตอร์ไฟฟ้า

กระแสตรง ในหนังสอื เรยี น หน้า 57-60 และแหลง่ ความรู้อ่ืน เช่น หอ้ งสมุด อินเทอร์เนต็
2.2 นกั เรียนทกุ คนศึกษาและทำใบงานท่ี 1 เรื่อง แกลแวนอมเิ ตอร์ และมอเตอร์ไฟฟา้

กระแสตรง
2.3 นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน
2.4 ใหน้ กั เรยี นศึกษาใบกิจกรรมท่ี 1 เร่ือง มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรงอยา่ งง่าย
2.5 นักเรยี นทำกิจกรรมที่ 1 เร่อื ง มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงอยา่ งง่าย

ข้นั ท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
3.1 นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภปิ รายเพือ่ นำไปส่กู ารสรุป โดยใช้คำถามตอ่ ไปน้ี
1) “แกลแวนอมเิ ตอร์ (galvanometer) เปน็ เครื่องวัดทางไฟฟ้า ประกอบดว้ ย

ขดลวดทองแดงเคลือบฉนวน ซ่งึ พนั หลายรอบบนกรอบรูปสี่เหลี่ยมท่ตี ิดเข็มช้ีและแกนหมนุ ได้
คลอ่ ง” อยากทราบวา่ ข้อความดังกล่าวทำให้ขดลวดเคลื่อนท่ีอย่างไร

(แนวการตอบ ทำให้ขดลวดหมนุ รอบทรงกระบอกเหล็กอ่อนทต่ี รงึ อยู่กบั ท่ี โดย
ปลายของแกนหมุนติดกบั สปริงกน้ หอย)


Click to View FlipBook Version