40
ก คู่มือการจัดการอาหารโคเนื้อโคขุนเมืองคอน โดย ผศ.ดร.สมคิด ชัยเพชร ผศ.ดร.ประพจน์ มลิวัลย์ ผศ.ดร.เสาวณีย์ ชัยเพชร ดร.ชนะดล สุภาพงษ์ อ.นวลนพมล ศรีอุทัย ได้รับทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยโครงการ จัดการความรู้การวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์เชิงสังคม จากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ 2565
ข คำนำ มห า วิทย าลัยเทคโนโลยี ร าชมงคลศ รี วิชัย วิทย าเขต นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการ วิจัยแห ่งชาติ (วช.) เพื ่อดำเนินโครงการการถ ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพโคเนื้อในเขตเทือกเขาหลวง ฝั่งตะวันตก จังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งทาง คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการถ ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก ่เกษตรกรในรูปแบบ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในการจัดการอาหารเพื่อใช้ในการเลี้ยงโคเนื้อได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสร้างกลุ่มผู้เลี้ยงโคที่มีความเข้มแข็ง โดยมีภาคีร่วมทั้งปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ เกษตรจังหวัด เกษตร อำเภอ บริษัทประชารัฐ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วน อำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่ม young smart farmer รวมทั้ง นักวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญใน ศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง คู่มือองค์ความรู้นี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจที่มีความเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงโค เนื้อให้มีความรู้ทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากการปฏิบัติจริง เพื่อการ นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในอนาคต ผศ.ดร.สมคิด ชัยเพชร และคณะ
ค สารบัญ ตอนที่ หน้า 1 ความสำคัญและสถานการณ์อาหารโคเนื้อ 1 1.1 สถานการณ์อาหารสัตว์ 2 1.2 การพัฒนาด้านอาหารสัตว์สนับสนุนการ เลี้ยงโคเนื้อ 6 2 วัตถุดิบอาหารโคเนื้อ 8 2.1 ประเภทของวัตถุดิบอาหารข้น 9 2.2 ประเภทวัตถุดิบอาหารหยาบ 18 2.3 วัตถุดิบที่เติมในอาหารสัตว์ หรือสารเสริม ในอาหาร 33 2.4 การถนอมอาหารและการเพิ่มคุณค่าทาง โภชนะวัตถุดิบอาหารสัตว์ 35 3 อาหารโคเนื้อ โคขุนและการจัดการ 40 3.1 ประเภทอาหารของโคเนื้อ โคขุน 40 3.2 การขุนโคเนื้อ 66 บรรณานุกรม 72 ประวัติผู้เรียบเรียง 76
ง สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1.1 เกษตรกรยกระดับพันธุ์โคเป็นสายเลือดบีฟ มาสเตอร์ 1 1.2 การขนส่งฟางข้าวจากภาคกลางเป็นอาหารโค เนื้อในภาคใต้ 2 1.3 สถานการณ์และแนวทางในการขับเคลื่อนการ พัฒนาอาหารสัตว์ และการจัดการสำหรับ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัด นคศรีธรรมราช 5 2.1 ความสัมพันธ์ระดับการให้โภชนกับประเภท ของโคเนื้อ 8 2.2 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งให้พลังงาน 11 2.3 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งโปรตีน 13 2.4 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งให้แร่ธาตุและ วิตามิน 14 2.5 แปลงหญ้าหรือนาหญ้าแพงโกล่าใน อ.เชียร ใหญ่ 20 2.6 การท าแปลงนาหญ้าแพงโกล่าใน อ.เฉลิม พระเกียรติ 21
จ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 2.7 หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 22 2.8 หญ้าหวานอิสราเอล 23 2.9 หญ้าเนเปียร์/เนเปียร์แคระ/เนเปียร์ยักษ์ 24 2.10 หญ้ากินนี 24 2.11 หญ้ารูซี่ 25 2.12 หญ้าอะตราตั้ม 26 2.13 หญ้าพลิแคทูลั่ม 26 2.14 2.15 หญ้าหวายข้อ หญ้ามันสยาม 27 28 2.16 การปลูกพืชอาหารแซมในพื้นที่สวนและพื้นที่ ราบ 29 2.17 การทำมันสำปะหลังหมักยีสต์เพื่อเพิ่มคุณค่า ทางอาหาร 39 3.1 ส่วนประกอบของอาหารข้นสำหรับโคเนื้อ 46 3.2 การทำอาหารก้อนคุณภาพสูง 51 3.3 อาหารก้อนคุณภาพสูง 52 3.4 อาหารหยาบสำหรับใช้เป็นอาหารโค 54 3.5 อาหาร TMR 57 3.6 การผลิตอาหาร TMR ฉบับชาวบ้าน 61
ฉ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 3.7 การผลิต TMR ทางการค้าโดยวิสาหกิจชุมชนผู้ เลี้ยงโคเนื้อจ.นครศรีธรรมราช 62
ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 ปริมาณโภชนะในวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิด ต่างๆ สำหรับผลิตอาหารข้น 16 2.2 ปริมาณโภชนะในวัตถุดิบอาหารหยาบชนิด ต่างๆ 30 2.3 การหมักวัตถุดิบอาหารหยาบด้วยยีสต์ผงมี ชีวิต 37 2.4 การหมักวัตถุดิบอาหารข้นด้วยยีสต์ผงมีชีวิต 38 3.1 ส่วนประกอบของวัตถุดิบอาหารสัตว์ในสูตร อาหารข้นสำหรับโคเนื้อ 45 3.2 ส่วนประกอบของอาหารอาหารก้อน คุณภาพสูง และอาหารโปรตีนก้อน 49 3.3 สูตรอาหารทีเอ็มอาร์โคร ุ ่น–โคสาวที ่ใช้ หญ้าเนเปียร์และฟางข้าวเป็นหลัก (น้ำหนัก สด) 58 3.4 การปรับอาหารข้นโปรตีน 16 % เป็นอาหาร TMR โปรตีน 12-14 % 59 3.5 สูตรอาหาร TMR หมักยีสต์มีชีวิตที ่มีระดับ โปรตีน 15 % 63
ซ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 3.6 ปริมาณอาหารที่โคเนื้อระยะต่างๆ ต้องการ (นน.สดและนน.แห้ง, กก.) และอัตราการ เจริญเติบโต (ADG,กก./ตัว/วัน) และระดับ โปรตีนและการย่อยได้ (TDN) ที่เหมาะสม กับความต้องการของอาหาร TMR และ อาหารข้น 65 3.7 ระดับโปรตีนและปริมาณการให้อาหาร TMR โคระยะต่างๆ 66 3.8 สูตรอาหารทีเอ็มอาร์และการใช้อาหารข้น โปรตีน 16 % ทำอาหารทีเอ็มอาร์ 71
1 ตอนที่ 1 ความสำคัญและสถานการณ์อาหารโคเนื้อ อาหารมีความสำคัญอย ่างมาก สำหรับการเลี้ยงโคเนื้อที ่มีพันธุกรรม สายเลือดโคเมืองหนาว เนื่องจากโคเมือง หนาวมีขนาดตัวใหญ่กว่าโคพื้นเมืองจึง ต้องการอาหารมากกว ่า อาหารที่โค กินต้องถูกใช้เพื่อสุขภาพและการมีชีวิต รอดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจะถูกใช้เพื่อการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตทั้ง ปริมาณและคุณภาพ และการสืบพันธุ์หรือให้ลูกตามลำดับ ดังนั้นหากขาด อาหารโคจะขับลูกหรือแท้งลูก สุดท้ายก็จะกินเพื่อให้มีชีวิตรอด ในโคเนื้อ โคขุนมีความต้องการอาหารแตกต ่างกันไปตามปัจจัยอย ่างเช ่น ขนาด ร่างกาย เพศ ช่วงอายุและระยะหรือวัย เป็นต้น การให้อาหารโคเนื้อต้องให้ ความสำคัญกับคุณค่าทางอาหารและปริมาณที่เพียงพอ รวมถึงคุณภาพ ของอาหารที่มีความสัมพันธ์กับการย่อยได้และการนำไปใช้ประโยชน์ด้วย โคขุนต้องการอาหารเพื่อใช้ในการให้ผลผลิตซากมากและคุณภาพสูงตาม ความต้องการของตลาดทั้งในรูปแบบที่มีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อเพิ ่มขึ้น และเนื้อแดงที่มีความนุ่ม คุณค่าเหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับ รายได้และผลตอบแทนของเกษตรกร นอกจากนั้นอาหารยังเกี่ยวข้องกับ การฟื้นฟูร ่างกายหลังเจ็บป ่วย และหลังคลอดอีกด้วย โคเนื้อเป็นสัตว์ กระเพาะรวมและเคี้ยวเอื้องแม้จะเป็นสัตว์ที่แข็งแรงแต่ระบบย่อยอาหาร ภาพที่ 1.1เกษตรกรยกระดับ พันธุ์โคเป็นสายเลือดบีฟมาสเตอร์
2 และการจัดการมีความซับซ้อนพอสมควร หากมีการจัดการไม่ถูกต้องและ เหมาะสมจะกระทบต ่อการเจริญเติบโต สุขภาพ การให้ผลผลิต และที่ สำคัญที่สุดคือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนของเกษตรกรใน การประกอบอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อโคขุน 1.1 สถานการณ์อาหารสัตว์ ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ อาหารสัตว์ปริมาณเกือบ 20 ล้านตัน วัตถ ุดิบหลักที ่ใช้กันทั ่วไปได้แก่ ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์จากข้าว มัน สำปะหลัง และข้าวสาลี ประมาณ 60 % ถั ่วเหลืองและกากถั ่วเหลือง 28 % ใ น ช ่ วง ปี 2563-2565 มี แนวโน้มการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด 19 และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน สัดส ่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ นำเข้ามาจากต่างประเทศ 60 % ( ถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลีข้าว บาร์เลย์ และข้าวโพด) และในประเทศ 40 % (มันเส้น/กากมัน ข้าวโพด ปลาย ข้าว/ผลิตภัณฑ์ข้าว ปลาป่น ) เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อทั้งประเทศ ได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นเดียวกับเกษตรผู้เลี้ยงโคในภาคใต้ทั้งในส ่วน ของราคาวัตถุดิบและค ่าขนส ่งที่เพิ่มขึ้น ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช แม้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงโคจะหันมาใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นอาหารหยาบ กัน ภาพที่ 1.2 การขนส่งฟางข้าวจากภาค กลางเป็นอาหารโคเนื้อในภาคใต้
3 มากขึ้นแล้วก็ตามแต่อาหารหยาบบางชนิดเช่น ฟางข้าวก็ยังไม่เพียงพอด้วย ปัญหาจากภัยแล้งและน้ำท ่วมขัง จึงยังคงต้องสั ่งซื้อมาจากภาคกลาง เช ่นเดียวกับวัตถุดิบอาหารข้น ส ่งผลให้ต้นทุนค ่าอาหารและการเลี้ยง เพิ่มขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตอาหารสัตว์มากขึ้น ด้วยก่อนหน้านี้ได้มีการเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พื้นที่ที่เคยใช้ ประโยชน์เลี้ยงโคลดลง มีการนำที ่ดินไปใช้เพื ่อวัตถุประสงค์อื ่น ทำให้ อาหารหยาบขาดแคลนต้องสั่งซื้อฟางข้าวราคาแพงมาจากภาคกลาง ใน ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบอื ่นก็สูงขึ้นด้วยภาวะสถานการณ์บ้านเมืองที่ เปลี ่ยนไปทั้งในและต ่างประเทศ เมื ่อเศรษฐกิจถดถอยและค ่าครองชีพ เพิ่มขึ้น กระทบต่อกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงโคเนื้อด้วย เนื่องจากต้นทุนสูง ขายได้ ราคาต่ำเพราะมีปัญหาด้านการตลาด ส่งผลให้ผลตอบแทนและกำไรหด เกษตรกรหลายรายถึงกับถอดใจโดยการลดจำนวนโคและเลิกเลี้ยงไปก็มี เพื่อไม่ให้ต้องเลิกเลี้ยงจึงได้หาวิธีการลดต้นทุนการเลี้ยง โดยให้ความสำคัญ กับการลดต้นทุนในส่วนของอาหารข้นและอาหารหยาบ ภาคีเครือข่ายที่ เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงโคเนื้อทุกระดับทั้งภาครัฐและอกชน โดยเฉพาะใน ส่วนของกรมปศุสัตว์ ได้แก่ สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ ปศุสัตว์จังหวัด และ ศูนย์วิจัยอาหารสัตว์นครศรีธรรมราช เป็นต้น เกษตรจังหวัด อุตสาหกรรม จังหวัด พาณิชย์จังหวัด บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีนครศรีธรรมราช หอการค้า องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และการยางแห่งประเทศไทย เป็น ต้น ได้มาร่วมผลักดันกับเกษตรกรและมหาวิทยลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรี
4 วิชัย ในการส่งเสริมให้ปลูกหญ้าเพื่อทดแทนการใช้ฟางข้าวจากภาคกลาง ได้แก่ หญ้าแพงโกลา หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 หญ้าหวานอิสรเอล หญ้ารูซี่ หญ้ามันสยาม และได้แนะนำให้ปลูกมันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ 4 สำหรับนำ ใบและกิ่งเป็นอาหารหยาบและแหล่งโปรตีน สวนหัวใช้เป็นแหล่งพลังงาน ในสูตรอาหารอีกด้วย และรวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปใช้ในการพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อของจังหวัดนครศรีธรรมราช และการจัดการฟาร์มสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ
5 ภาพที่ 1.3 สถานการณ์และแนวทา
5 างการขับเคลื่อนการพัฒนาอาหารสัตว์
6 1.2 การพัฒนาด้านอาหารสัตว์สนับสนุนการเลี้ยงโคเนื้อ ความยั ่งยืนของอาชีพการเลี้ยงสัตว์ คือการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนจากค ่าอาหารและเพิ ่มรายได้จากกระบวนการเลี้ยง สำหรับในการเลี้ยงโคเนื้อก็เช ่นเดียวกันจะต้องหาแนวทางในการลด ค่าใช้จ่ายจากการเลี้ยงทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างโรงเรือน การใช้วัสดุที่มี ในท้องถิ่น พันธุ์โคที ่เลี้ยงก็ใช้วิธียกระดับสายพันธุ์จากโคพื้นเมือง เปลี่ยนเป็นโคเนื้อลูกผสมเมืองหนาว พัฒนาสายพันธุ์ไปอย่างช้าๆ สำหรับ ในส่วนของอาหาร ทั้งอาหารข้นและอาหารหยาบที่ผ่านมาเจอวิกฤตอาหาร ขาดแคลนและมีราคาแพง ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ และ ภูมิภาคอื่นในประเทศ ราคาวัตถุดิบที ่แพงส ่วนหนึ ่งมาจากค ่าขนส่ง เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นในอดีตมี การใช้อาหารหยาบคุณภาพต่ำ ทำให้ต้องใช้ทั้งอาหารข้นและอาหารหยาบ จำนวนมากเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของโค ในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ส่งเสริมให้เกษตรกรพึ ่งพาตนเองให้ มากที่สุด ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น วัตถุดิบที่จากทางการเกษตรและโรงงาน อุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากกระบวนการผลิตปาล์มน้ำมัน ได้แก ่ ทาง ปาล์ม กากปาล์มเม็ดใน เส้นใย ทะลายปาล์ม และ ปาล์มเค้ก (ขี้เค้ก) เป็น ต้น ส่งเสริมให้มีการปลูกหญ้าดังที่ได้กล่าวมาแล้วตอนต้น เพื่อทดแทนการ ใช้ฟางข้าวและหญ้าธรรมชาติ (วัชพืชในแปลงพืชเศรษฐกิจ) ในอนาคต อาหารหยาบเหล่านี้จะถูกนำไปผลิตเป็นอาหารข้น อาหาร TMR อาหาร หยาบคุณภาพสูง หรือเป็นเสบียงอาหาร โดยศูนย์การผลิตอาหารสัตว์ซึ่ง ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงมงคลศรีวิชัย ทุ่งใหญ่ เพื่อบริการ
7 ให้กับเกษตรเลี้ยงโคเนื้อในราคาที่เป็นธรรมต่อไป กิจกรรมส่งเสริมการปลูก หญ้านอกจากแก้ปัญหาอาหารหยาบขาดแคลนแล้ว จะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่ช่วยส่งเสริมการมีอาชีพ หรือทำให้มีเกษตรกรปลูกหญ้าเป็นอาชีพ ซึ่งเป็น คนละกลุ่มกับเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อ โคขุน สำหรับในระยะแรกอาจจะยัง เป็นกลุ่มที่เลี้ยงโคเนื้อ แต่เมื่อเห็นถึงผลตอบแทนที่ได้รับและมีความเป็นไป ได้เกี่ยวกับการรับซื้อ ในอนาคตก็จะมีเกษตรกรอาชีพปลูกหญ้าเกิดขึ้นใน นครศรีธรรมราชเหมือนกับจังหวัดไนพื้นที่ภาคกลาง การพัฒนาด้านอาหารสัตว์สำหรับเลี้ยงโคเนื้อในนครศรีธรรมราช ให้ ความสำคัญกับการส่งเสริมการปลูกหญ้าอาหารสัตว์ และจัดตั้งศูนย์ผลิต อาหารสัตว์และได้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการลดต้นทุนค ่าอาหารให้ เกษตรกร โดยมีเป้าหมายเพื ่อผลิตอาหารข้น อาหารหยาบ และอาหาร TMR ในการนี้จึงเป็นการช่วยให้อาหารให้อาหารโคเนื้อมีคุณภาพและราคา ถูกกว่าในปัจจุบัน และยังทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงโคเนื้อ โคขุน ในพื้นที่อีกด้วย ได้ใช้ความก้าวหน้าทางด้านวิชาการและวิจัยมาช่วยในการ ลดปริมาณการใช้อาหารโดยการเพิ ่มคุณค ่าทางอาหาร หรือคุณค ่าทาง โภชนะของวัตถุดิบและอาหาร ได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพหรือจุลินทรีย์ในกลุ่ม ยีสต์และแบคทีเรียมาช่วยย่อยและเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ทั้งในส่วน ของระดับโปรตีนและไขมันมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้น มีผลให้ช่วยลดต้นค่าอาหาร ที่คิดเป็นต่อหน่วยโปรตีนได้อีกด้วย
8 ตอนที่ 2 วัตถุดิบอาหารโคเนื้อ แหล ่งของสารอาหารหลักมี3 ประเภท คือ โปรตีน พลังงาน วิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติและหน้าที่สำคัญต่อร่างกายโค เพื่อการดำรงชีวิต การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ และการให้ผลผลิต ดังภาพ ที่ 2.1 ในวัตถุดิบอาหารสัตว์มีโภชนะต่างๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น กากถั่วเหลืองมีโปรตีนมากกว่าปลายข้าว และปลายข้าวมีคาร์โบไฮเดรตให้ พลังงานมากกว่าปลาป่น เป็นต้น ในการผสมอาหารสัตว์จะประกอบด้วย วัตถุดิบหลายชนิดหลายประเภทมาผสมรวมกัน เพื่อให้ได้ปริมาณโภชนะ ตามความต้องการของสัตว์ การได้รับโภชนะบางตัวไม ่เพียงพอกับความ ต้องการของร่างกายก็จะมีผลกระทบต่อการดำรงชีพ สุขภาพ การให้ผล ผลิตลดลง และกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของโคโดยตรง ภาพที่ 2.1 ความสัมพันธ์ระดับการให้โภชนกับประเภทของโคเนื้อ ระดับเพื่อสร้างไขมันแทรก ระดับเพื่อสร้างเนื้อ ระดับเพื่อดำรงชีพ ระดับเพื่อการเจริญเติบโต โครุ่นหนุ่มสาว โคขุนระยะท้าย/อายุมาก โคขุน (ระยะแรก) พ่อแม่พันธุ์ ระดับโภชนะที่ให้แก่สัตว์ ประเภทโค
9 วัตถุดิบที่ใช้สำหรับประกอบในสูตรอาหารของโคเนื้อมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากพืชและสัตว์ มีบางอย่างสังเคราะห์ขึ้นมาแทนธรรมชาติ และรวมทั้งผลพลอยได้และเศษเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรม วัตถุดิบแต่ละตัวจะมีสารอาหารไม่เท่ากัน วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์หรือโค แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามความเข้มข้นของโภชนะ ปริมาณเยื่อใย และ ลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ วัตถุดิบอาหารข้น วัตถุดิบอาหารหยาบ และ วัตถุดิบหรือสารอื่นที่เติมในอาหารสัตว์ 2.1 ประเภทของวัตถุดิบอาหารข้น วัตถุดิบอาหารข้นเป็นวัตถุดิบที่ใช้กันโดยทั่วไปในการผลิตอาหาร สัตว์ ทั้งในสัตว์กระเพาะเดี ่ยว และสัตว์กระเพาะรวมหรือเคี้ยวเอื้อง สามารถจำแนกตามปริมาณสารอาหารที่มีในวัตถุดิบได้ 5 ชนิด ดังนี้ 2.1.1 วัตถุดิบอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นวัตถุดิบจำพวก แป้งและน้ำตาล เป็นอาหารแหล่งพลังงานได้มาจากเมล็ดธัญพืช พืชหัว น้ำมัน และไขมัน ที ่นิยมใช้ในสูตรอาหาร ได้แก ่ ข้าวโพด ข้าวฟ ่าง ข้าวเปลือก รำ ปลายข้าว มันสำปะหลัง/มันเส้น กากมันสำปะหลัง องค์ประกอบวัตถุดิบกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีโปรตีน ไขมัน แป้ง และเยื่อใย ประมาณ 8-14, 1-6, 41-72 และ 2-12 % ตามลำดับ ยกเว้นรำมีไขมัน 12-18 % แต ่คาร์โบไฮเดตพวกเยื ่อใย ที ่พบมากในลำต้นและใบของพืช อาหารสัตว์ จะใช้ประโยชน์ได้ต้องผ่านขบวนการหมักย่อยของจุลินทรีย์ใน กระเพาะรูเมนของโค เพราะไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยได้นอกจากนั้นยัง
10 ช ่วยในการเคลื ่อนไหวของลำไส้ให้ปกติ และดูดซับสารพิษ โปรตีนใน อาหารคาร์โบไฮเดรตมีคุณภาพต่ำ และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นน้อย 2.1.2 วัตถุดิบอาหารประเภทพลังงานสูง ให้พลังงานเช่นเดียวกับ คาร์โบไฮเดรต และกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ไขมันต่างๆ ในรูป ของน้ำมันปาล์ม น้ำมันปลา และไขมันสัตว์ น้ำตาลทราย และกากน้ำตาล เป็นต้น ไขมันและน้ำมันที่นิยมใช้ผสมในอาหารโค ได้แก่ ไขมันสัตว์ น้ำมัน พืช และเม็ดไขมัน ใช้เพื่อปรับระดับพลังงานในสูตรอาหารให้พอกับความ ต้องการของสัตว์โดยจะใช้ร่วมกับวัตถุดิบที่ให้พลังงานต่ำและมีเยื่อใยสูง เช่น กากปาล์มน้ำมัน ใบกระถิน เป็นต้น นอกจากนี้ทำให้เพิ่มความน่า กินของอาหารและลดความเป็นฝุ่นของอาหาร ไขมันและน้ำมันให้พลังงาน สูงกว่าแป้ง 2.25 เท่า แต่ถ้าใช้มากทำให้ต้นทุนค่าอาหารสูงเพราะมีราคา แพง และมีผลเสียคือทำให้เหม็นหืนง่าย ไม่ควรใช้เกิน 5 % เพราะจะทำให้ การกินได้และย่อยได้ลดลง
11 ภาพที่ 2.2 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งให้พลังงาน
12 2.1.3 วัตถุดิบอาหารแหล่งโปรตีน เป็นวัตถุดิบสำคัญที่สุดในการ สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก ่า การเจริญเติบโต และให้พลังงาน ควรมี โปรตีนระดับสูงและมีคุณภาพดี มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย วัตถุดิบ อาหารโปรตีนได้มาจาก 3 แหล ่ง ตัวอย ่างแสดงดังภาพที ่ 2.3 ตาม แหล่งที่มาของวัตถุดิบดังนี้ 1) โปรตีนจากพืช ได้แก่ เมล็ดถั่ว พืชน้ำมันชนิดต่างๆ และผล พลอยได้จากการหีบสกัดน้ำมัน เช่น กากถั่วเหลือง 2) โปรตีนจากสัตว์ได้แก่ ปลาป่น เนื้อกระดูกป่น เลือดป่น ขน ไก่ป่น และหางนมผง เป็นต้น 3) โปรตีนจากการสังเคราะห์ได้แก่ กรดอะมิโนสังเคราะห์ และ สารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน หรือยูเรีย 2.1.4 วัตถุดิบอาหารประเภทแร่ธาตุและวิตามิน แร ่ธาตุและ วิตามินมีความสำคัญมากเช ่นกัน ตามปกติจะมีอยู ่ในวัตถุดิบอาหาร โดยทั่วไป สำหรับแร่ธาตุประกอบด้วยแร่ธาตุหลัก พบในปริมาณมากส่วน ใหญ ่อยู ่ในรูปของเกลือ และแร ่ธาตุรองที ่พบในปริมาณน้อย แร ่ธาตุใน อาหารมีมากกว ่า 60 ชนิด ซึ ่งสัตว์ต้องการไม ่มากแต ่ขาดไม ่ได้ เพราะมี บทบาทเกี่ยวกับขบวนการทางชีวเคมีและเมทาโบลิซึมในร่างกาย ช่วยให้ อยู ่ในสภาพสมดุล ระบบต ่างๆ ของร ่างกายทำหน้าที ่เป็นปกติ เพื ่อลด ความเสี่ยงควรมีการเสริมในอาหาร หรือเสริมแยกโดยให้เลียกิน ที่นิยมใช้ ในสูตรอาหาร ได้แก ่ ไดแคลเซียมฟอสเฟต เกลือแกง และสารผสม ล่วงหน้า หรือพรีมิกซ์รายละเอียดดังแสดงในภาพที่ 2.4
13 ภาพที่2.3 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งโปรตีน
14 ภาพที่ 2.4 วัตถุดิบอาหารโคที่เป็นแหล่งให้แร่ธาตุและวิตามิน
15 แร่ธาตุในสูตรอาหารจะมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุหลัก จึงนิยมใช้เปลือกหอยป่น หินปูน หรือหินฝุ่น เป็นแหล่งธาตุแคลเซียม มี แคลเซียมประมาณ 38 – 40 % และใช้กระดูกป ่น หรือไดแคลเซียม ฟอสเฟต เป็นแหล ่งธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ ่งจะให้แคลเซียม ประมาณ 24 % และฟอสฟอรัสประมาณ 12–18 % นอกจากนั้นต้อง ใส่เกลือแกงซึ่งเป็นแหล่งของโซเดียมและคลอไรด์ช่วยกระตุ้นการกิน อาหาร โดยทั่วไปจะใช้ในสูตรอาหารประมาณ 0.3-0.5 % แต่ถ้าในสูตร อาหารนั้นมีปลาป ่นผสมอยู ่ด้วยในระดับสูงจะต้องลดระดับเกลือลงมา เพราะถ้ามากเกินไปจะทำให้กระหายน้ำและกินอาหารลดลง วิตามิน วิตามินมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับในการดำรงชีพของ สัตว์เพราะมีความสำคัญต่อปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายเช่นเดียวกับแร๋ ธาตุแต่สัตว์ต้องการใช้ในปริมาณที่น้อยมาก การขาดวิตามินอาจมีผลต่อ กระบวนการดูดซึมอาหารและเป็นโรคต่างๆ ได้ มีผลต่อการเจริญเติบโต และการสืบพันธุ์ วิตามินในอาหารมีมากกว ่า 15 ชนิด แบ ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ วิตามินที่ละลายได้ในไขมัน และละลายได้ในน้ำ ก. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดีอีและเค (A, D, E และ K) ถูกสกัดออกมาได้โดยใช้ตัวทำละลายอินทรีย์มีความสำคัญกับ ระบบสืบพันธุ์การที่ร่างกายได้รับวิตามินเอและดีมากเกินไปจะทำให้เกิด ความเป็นพิษได้เนื่องจากร่างกายสะสมวิตามินชนิดนี้ได้ ข. วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซีจะ ช่วยกระตุ้นการกินอาหาร ช่วยพักฟื้นร่างกาย เนื่องจากวิตามินสามารถ
16 ละลายน้ำได้จึงถูกขับออกทางปัสสาวะ และไม่ถูกสะสมไว้ในร่างกาย จึงไม่ เป็นพิษต่อร่างกายสัตว์ พรีมิกซ์ส่วนใหญ่สัตว์ต้องการวิตามินและแร่ธาตุปลีกย ่อยแต ่ละ ชนิดในปริมาณที่น้อยมาก การเสริมวิตามิน-แร่ธาตุในสูตรอาหารสัตว์มัก เสริมในรูปหัววิตามินและแร ่ธาตุ หรือเรียกว ่า พรีมิกซ์ หรือสารผสม ล่วงหน้า ซึ่งจะประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสังเคราะห์ชนิดต ่างๆ ในปริมาณที่พอกับความต้องการของสัตว์ ปริมาณการใช้ 0.2-0.5% ของ สูตรอาหาร วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโภชนะเข้มข้นที่ใช้ผลิตโคจากแหล่งต่าง ๆ มี องค์ประกอบทางเคมีในวัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้แก่ โปรตีน พลังงาน แร่ธาตุ และวิตามินแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดนั้นๆ วัตถุดิบอาหารสัตว์แต่ละชนิด อาจจะมีโภชนะมากกว่า 1 ประเภท รายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 2.1 ตารางที่ 2.1 ปริมาณโภชนะในวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดต่างๆ สำหรับผลิต อาหารข้น ชนิดอาหาร วัตถุแห้ง (ก/ก.ก.) ปริมาณโภชนะ (ก./ก.ก.นน.แห้ง) โปรตีนหยาบ โภชนย่อยได้ ชนิดเมล็ดธัญพืช-วัตถุดิบ อาหารข้น ข้าวเปลือก 888 89 788 รำหยาบ 890 77 530 รำละเอียด 910 141 700
17 รำอัดน้ำมัน 909 157 608 ปลายข้าว 883 84 924 ข้าวฟ่าง 896 120 891 เมล็ดข้าวโพด 850 102 942 ข้าวโพดทั้งฝัก 861 87 850 หัวมันสำปะหลังสด 200 25 495 มันเส้น 883 21 800 เมล็ดถั่วเหลือง 900 421 973 เมล็ดถั่วเหลืองกะเทาะเปลือก 942 415 - กากถั่วเหลืองกะเทาะเปลือก 896 498 825 กากถั่วเหลืองรวมเปลือก 905 358 664 เมล็ดถั่วลิสง 910 366 714 กากถั่วลิสงรวมเปลือก 912 466 742 กากถั่วลิสงกะเทาะเปลือก 924 497 868 กากน้ำเต้าหูสด 100 305 - กากน้ำเต้าหู้แห้ง 938 329 - กาเนื้อในเม็ดปาล์มกะเทาะกะลา 904 167 710 กากรวมผลปาล์มรวมกะลา 931 119 607 เมล็ดฝ้าย - 195 681 กากเมล็ดฝ้ายทั้งเปลือก 920 262 675 กากเมล็ดฝ้ายกะเทาะเปลือก 900 479 834 กากมะพร้าว (อัดน้ำมัน) 912 191 859
18 เมล็ดยางพารากะเทาะเปลือก 929 164 - เมล็ดยางพารารวมเปลือก 915 99 727 กากเมล็ดยางพารารวมเปลือก 912 271 633 กากเบียร์แห้ง 902 323 776 กากเบียร์สด 237 240 679 กากน้ำตาล 734 40 731 กากสับปะรดแห้ง 853 46 704 ส่าเหล้าแห้ง 888 334 - ปลาป่นจืด 901 647 670 มะเขือเทศตากแห้ง 920 235 580 2.2 ประเภทวัตถุดิบอาหารหยาบ วัตถุดิบอาหารหยาบมีความจำเป็นสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง แบ่งตาม แหล่งที่มาได้2 ชนิด คือ พืชอาหารสัตว์ (พืชตระกูลหญ้าและพืชตระกูล ถั่ว) และวัสดุพลอยได้จากการเกษตรหรือโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ฟาง ข้าว กากเยื่อใยผลปาล์มน้ำมัน สับปะรด และเปลือกและไหมข้าวโพดฝัก อ่อน เป็นต้น 2.2.1 พืชอาหารสัตว์พืชอาหารสัตว์ที่ใช้เป็นอาหารหยาบสำหรับ โคเนื้อในนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลหญ้า เนื่องจากลักษณะ ภูมิประเทศและภูมิอากาศของจังหวัดนครศรีธรรมราชมีเหมาะสำหรับปลูก หญ้าเป็นอย่างยิ่ง มีประมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับปลูกหญ้า
19 อาหารสัตว์พันธุ์ดี และหญ้าพื้นเมือง สำหรับพืชตระกูลหญ้าที ่นิยมปลูก หรือควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ มีดังนี้ หญ้าแพงโกล่า เป็นหญ้าที่ปลูกครั้งเดียวให้ผลผลิตสูงนานเป็นสิบ ปีกรณีที่มีการจัดการที่ดี ลักษณะทั่วไป มีต้นแบบบกึ่งตั้งกึ่งเลื้อย ลำต้นเล็ก ไม่มีขน ใบเล็กเรียวยาว ใบดกอ่อนนุ่ม ชอบที่ดินชื้นแฉะแต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง นานๆ เจริญเติบโตดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับปลูกในเขต ชลประทาน ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 5.0-7.0 ตัน/ไร ่/ปี มีโปรตีน 7-11 เปอร์เซ็นต์ วิธีการปลูก ใช้ท่อนพันธุ์ 300-400 กิโลกรัม/ไร่ ถ้าเป็นพื้นที่ลุ่ม ให้ทำเทือกหรือขี้เลนแบบนาหว่านน้ำตม ปรับระดับน้ำให้สูง 10-15 ซม. หว่านท่อนพันธุ์ของหญ้าแพงโกล่าให้ทั่วแปลง แล้วนาบกดท่อนพันธุ์ของ แพงโกล่าให้จมดินและน้ำ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ให้ระบายน้ำออก สำหรับพื้นที่ดอนหลังจากไถพรวนแล้ว ชักร่องห่างกัน 30 ซม. ลึกประมาณ 10 ซม. วางท่อนพันธุ์ 3-5 ท่อน เรียงต่อกันเป็นแถว ใช้ดินกลบเล็กน้อย และเหยียบให้แน่น ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตร 15-15-15 อัตรา 30- 50 กิโลกรัม/ไร่ และควรใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย 2 ครั้ง ๆ ละ 20 กิโลกรัม/ไร ่ ครั้งแรกหลังตัด 1 วัน และครั้งที ่ 2 หลังตัด 10-15 วัน ควรตัดครั้งแรกที่ 60 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปทุก ๆ 40-45 วัน โดย ตัดสูงจากพื้นดิน 5-10 เซนติเมตร การปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มครั้งแรกควร ปล่อยเมื่อหญ้าอายุ 90 วัน สามารถให้โคกินรูปหญ้าสด หรือหญ้าแห้ง นิยม
20 ทำเป็นหญ้าแห้งเพื่อจำหน่ายเป็นอาหารม้าและพ่อแม่พันธุ์ มีคุณค่าทาง อาหารสูงในนครศรีธรรมราชหญ้าสดราคา 6-8 บาท/กิโลกรัม ส่วนมากพื้นที่โดยทั่วไปของนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่ราบและ พื้นที่เชิงเขาสามารถเลือกปลูกพันธุ์หญ้าได้เกือบทุกประเภท ซึ่งการลด ต้นทุนจำเป็นต้องมีการจัดการปัจจัยสำคัญเรื่องน้ำเพื่อความคุ้มค่าในระยะ ยาวอาจพิจารณาใช้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และระบบการให้น้ำที่ เหมาะสมตามบริบทของพื้นที่และแหล่งน้ำ พันธุ์หญ้าที่นิยมปลูกเป็นพืช อาหารให้โคในจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่าง ดังเช่น ภาพที่ 2.5แปลงหญ้าหรือนาหญ้าแพงโกล่าใน อ.เชียรใหญ่
21 ภาพที่ 2.6 การท าแปลงนาหญ้าแพงโกล่าใน อ.เฉลิมพระเกียรติ
22 หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 เป็นหญ้าลูกผสมซึ ่งเกิดจาก การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างหญ้าเน เปียร์ยักษ์และหญ้าไข ่มุก มี ศักยภาพสูงทั้งในแง ่ก ารให้ ผลผลิต มีอายุให้ผลผลิตนาน 6 – 7 ปี มีลำต้นตั้งตรง สูง 2.5 – 3.5 เมตร ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ใบและลำ ต้นอ่อนนุ่มที่อายุการตัด 60 วัน และให้ผลผลิตน้ำหนักสด 8 – 10 ตัน/ไร่ หรือน้ำหนักแห้ง 2 – 2.5 ตัน (มีโปรตีน 13 – 17 %) ข้อดีมีขนที่บริเวณใบ หรือลำต้นน้อยกว่าหญ้าเนเปียร์สายพันธุ์อื่น มีปริมาณน้ำตาลในใบและลำ ต้นสูง เหมาะสำหรับให้กินสด หรือทำหญ้าหมักโดยไม่ต้องเติมสารเสริม ปรับตัวได้ดีในดินหลายสภาพ แต่ต้องใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตัน/ไร่ หรือใส่ปุ๋ย รองพื้น สูตร 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ การเตรียมท่อนพันธุ์และการ ปลูก ใช้ต้นพันธุ์อายุประมาณ 90 วัน ตัดเป็นท่อนๆ ให้มีข้อติดอยู่ไม ่น้อย กว่าท่อนละ 2 ข้อ ระยะปลูกระหว่างแถว 1.20 เมตร ระยะระหว่างต้น 1 เมตร ใช้ท่อนพันธุ์ประมาณ 200 – 250 กก./ไร่ และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0- 0 อัตรา 20 กก./ไร่ หลังการตัดหญ้าแต่ละครั้ง ตอบสนองต่อการให้น้ำได้ดี ถ้าหากฝนทิ้งช่วงควรมีการให้น้ำ ควรเก็บเกี่ยวครั้งแรกที่อายุ 75 วัน และ ตัดใช้ประโยชน์ได้ทุกๆ 60 วัน ช ่วงฤดูฝนหญ้าโตเร็วอาจตัดอายุน้อยกว่า 30 วัน แต่ระวังในการนำไปใช้เนื่องจากมีน้ำมาก การหมักจะทำให้เน่าเสีย หรืออาจจะทำให้ท้องเสียหรือเป็นโรคท้องอืดได้ ภาพที่ 2.7 หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
23 หญ้าหวานอิสราเอล หรือเนเปียร์อิสราเอล ปลูกครั้งเดีย อยู่ได้ 5-7 ปี คุณสมบัติเด่นเกี่ยวกับ มีโปรตีนสูงกว ่าเนเปียร์ชนิดอื ่นๆ คือระหว่าง 10-25 % ขึ้นอยู่กับการ จัดการ โตเร็ว ความชื้น 85-87 % ใบหนา ใบใหญ ่ แตกกอดี ต้นอวบ ลำต้นไม่โตมาก ผลผลิตประมาณ 30-60 ตันต่อไร่ต่อปี(ขึ้นอยู่กับการดูแล บำรุงรักษา) หวานกรอบ กินง่ายโดยไม่ต้องสับเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคและ สัตว์ชนิดอื่นด้วย เช่น แพะ แกะ จิ้งหรีด ปลา เป็นต้น ปลูกง่ายโดยการไถ พรวนสัก 2 รอบ แล้วปรับพื้นที่ให้เรียบ หรือจะยกร่องก็ได้ถ้าดินไม่ดีให้ใส่ ปุ๋ยคอกเพิ่มความอุดมสมบูรณ์สัก 200-500 กิโลกรัม/ไร่ และควรปลูกโดย ใช้ท่อนพันธุ์ที่มี 4-5 ข้อ โดยขุดหลุมลึกประมาณ 10 ซม. ไส่หลุมละ 2-5 ท่อน แล้วกลบดิบปิดด้วยหญ้าแห้งหรือฟาง ประมาณ 10-14 วัน จะแตก หน่อ ปกติใช้ท่อนพันธุ์ประมาณ 2000-2500 ท่อน/ไร่ ถ้าเพิ่มเป็น 4000- 4500 ท ่อน/ไร ่ จะช ่วยให้แตกกดีและคลุมวัชพืช ควรเว้นระยะปลูก ประมาณ 0.8x0.8 เมตร หรือ 1x1 เมตร หลังปลูกควรให้น้ำ จนแตกหน่อ และควรให้ทุก 2 สัปดาห์ จนกว่าเจริญเติบโตยกเว้นฤดูฝน ตัดครั้งแรกที่ อายุ 3 เดือน และต่อไปตัดทุกๆ 30-45 วัน ถ้าอายุมากจะให้โปรตีนลดลง ภาพที่ 2.8 หญ้าหวานอิสราเอล
24 หญ้าเนเปียร์/เนเปียร์ แคระ/เนเปียร์ยักษ์มีทรงต้นเป็นกอ คล้ายอ้อย หญ้าเนเปียร์ยักษ์ หญ้าเน เปียร์ธรรมดา และหญ้าเนเปียร์แคระมี ล ำ ต้น ส ูง3.80, 3 แ ล ะ 1.60 เ ม ต ร ตามลำดับ หญ้าเนเปียร์แคระแตกกอ ดีกว ่าหญ้าเนเปียร์อีกสองสายพันธุ์ หญ้าเนเปียร์มีเหง้าอยู ่ใต้ดิน มีอายุ หลายปีและเจริญเติบโตได้ในดินหลายชนิดตั้งแต่ดินร่วนปนทราย ถึงดิน เหนียวที่มีการระบาย น้ำค่อนข้างดีตอบสนองต่อความอุดมสมบูรณ์ของ ดินและน้ำได้ดี เหมาะสำหรับปลูกบริเวณพื้นที ่ที ่มีฝนตกเฉลี ่ยมากกว่า 1,000 มิลลิลิตรขึ้นไป ไม่ทนน้ำท่วมขังและการเหยียบย่ำของสัตว์ ปลูกด้วย ท่อนพันธุ์ 2–3 ท่อน/หลุม ระยะ 75 x 75 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 40 กิโลกรัม/ไร่/ปี สำหรับในพื้นที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 40 – 80 กิโลกรัม/ไร ่/ปี และต้องใส ่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียมเป็นปุ๋ยรองพื้นก่อนปลูกด้วย ควรตัดหญ้าเลี้ยงสัตว์ครั้งแรก หลังปลูก 60 วัน และตัดครั้งต่อไปทุก ๆ 45-50 วัน จะได้ผลผลิตน้ำหนัก แห้งประมาณ 2 – 4.2 ตัน/ไร ่/ปี มี โปรตีนประมาณ 8 – 10 เปอร์เซ็นต์ หญ้ากินนีเป็นหญ้าที่มีอายุ หลายปี ลำต้นตั้งเป็นกอสูงประมาณ 1.5 - 2.5 เมตร เมล็ดมีความงอกต่ำ ภาพที่ 2.10 หญ้ากินนี ภาพที่ 2.9 หญ้าเนเปียร์/เนเปียร์ แคระ/เนเปียร์ยักษ์
25 มากเพียง 12–20% ระบบรากเป็นรากฝอยแข็งแรงทนต่อสภาพแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดีในที่มีปริมาณน้ำฝนตลอดปี ดินระบายน้ำดี และมีความ อุดมสมบูรณ์ปานกลาง หญ้ากินนีเหมาะสำหรับตัดให้สัตว์กินสด หรือปล่อย สัตว์แทะเล็ม ไม่ควรให้แทะเล็มจนเหลือน้อยกว่า 15 ซม. สามารถปรับตัว ได้ในสภาพร่มเงา ในสวนไม้ยืนต้นหรือสวนป่าได้ หญ้ากินนีที่ปลูกในสวน มะพร้าวให้ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี กรณีปลูกในที่โล่ง แจ้งได้ผลผลิตประมาณ 2,500 – 3,500 กิโลกรัม/ไร่/ปี และโปรตีน 8.2% หญ้ารูซี่ มีอ าย ุหล า ยปี เจริญเติบโตเร็ว แตกกอดี ใบอ่อนนุ่ม สัตว์ชอบกิน ลักษณะลำต้นกึ่งตั้งกึ่ง เลื้อยมีรากตามข้อ ขยายพันธุ์ได้ด้วย เมล็ดและลำต้น ติดเมล็ดได้ดี มีความ งอกสูงนิยมขยายพันธ ุ์ด้วยเมล็ด จัดเป็นพืชวันสั้น เจริญเติบโตได้ดีใน ดินหลายชนิด ทั้งดินอุดมสมบูรณ์ในที ่ดอนน้ำไม ่ขัง และในดินที ่มีธาตุ อาหารค่อนข้างต่ำ ชอบอากาศในเขตร้อนที่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,100 มิลิเมตรต่อปี ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง หญ้ารูซี่ให้ผลผลิต 2,584 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อใส่ปุ๋ยสูตร 12–24–2 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ มีปริมาณโปรตีนประมาณ 8.2 เปอร์เซ็นต์ ภาพที่ 2.11 หญ้ารูซี่
26 หญ้าอะตราตั้ม มีอายุ หลายปี ลักษณะลำต้นตั้งเป็นกอสูง ประมาณ 1 เมตร ใบใหญ่แบบใบกว้าง 3–4 ซม. ยาวประมาณ 50 ซม. ขอบใบ มีความคม สามารถเจริญเติบโตได้ดีใน พื้นที่ชื้นแฉะ และถ้าปลูกในดินที่อุดม สมบูรณ์จะให้ผลผลิตสูงถึง 3 – 4 ตัน/ไร่ มีโปรตีนประมาณ 7.6 เปอร์เซ็นต์ ควรตัดทุก 45 วัน เป็นหญ้าที่เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ฝนตกชุก หรือมีน้ำ ขัง เช่น ภาคใต้ ทนต่อสภาพแห้งแล้งและดินเลว ขยายพันธุ์ได้ทั้งเมล็ดและ หน่อพันธุ์ หญ้าพลิแคทูลัม มีลักษณะ เป็นกอ อายุค้างปี ทนต่อความแห้งแล้ง และสภาพน้ำขังได้ดี และยังทนต่อ สภาพดินเลว แต ่ตอบสนองต ่อความ อ ุดมสมบู รณ์และคว ามชื้นได้ดี เจริญเติบโตได้ในพื้นที ่ที่มีปริมาณ น้ำฝนตลอดปี เป็นหญ้าที่ตอบสนองต่อปุ๋ยได้ดี ให้ผลผลิต 1,250 กิโลกรัม/ ต่อไร่ เมื่อใส่ปุ๋ยสูตร 12–24–12 มีโปรตีนประมาณ 5 – 6 % เป็นหญ้าที่มี คุณค่าทางอาหารและความน่ากินต่ำกว่าชนิดอื่น ควรจะปลูกหญ้าพลิแค ทูลั่มเฉพาะบริเวณพื้นที่ซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับปลูกหญ้าชนิดอื่น ๆ อย่างไร ก็ตามหญ้าพลิแคทูลั่มติดเมล็ดดี จึงขยายพันธุ์ได้ทั้งเมล็ดและหน่อพันธุ์ ภาพที่2.13 หญ้าพลิแคทูลั่ม ภาพที่2.12 หญ้าอะตราตั้ม
27 หญ้าหวายข้อ เป็นหญ้า พื้นเมืองภาคใต้ ลักษณะคล้ายหญ้า แพงโกลา แต่ทนน้ำขังได้ดีกว่า มีอายุ หลายปี ลำต้นเลื้อยแผ่คลุมดิน แต่ชู ส่วนปลายขึ้นสูง 90-120 เซนติเมตร มี ลำต้นใต้ดินหรือเหง้า และลำต้นบน ดินหรือไหล แตกรากตามข้อที่แตะ พื้นดิน ลำต้นที ่ยังอ ่อนจะมีสีม ่วง แดงและจะเปลี ่ยนเป็นสีเขียวเมื่อ อายุมากขึ้น ไม่ติดเมล็ด จึงต้องปลูก โดยใช้ท่อนพันธุ์หรือลำต้นใต้ดิน ที่ อาย ุการตัด 45 วัน มีวัตถ ุแห้ง โปรตีน และ วัตถุแห้งที ่ย ่อยได้ 28, 9.9%-10.3 และ 60.9 % ผลผลิตหญ้าสดประมาณ 8-9 ตันต่อไร่ต่อปี (ตัด 7-8 ครั้ง) หรือครั้งละ 1 ตัน/ไร ่ ควรปลูกต้นฤดูฝนประมาณเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม เพื่อให้หญ้าตั้งตัวได้ดีโดยควรเตรียมดินให้ละเอียด ร่วนซุย และปราศจากวัชพืช ใช้ท่อนพันธุ์ที่อายุ 60 วัน ขนาดความยาว 5- 6 นิ้ว หว่านให้ทั่วทั้งแปลง อัตรา 350-400 กิโลกรัม/ไร่ หรือปลูกเป็นแถว ระยะห่างระหว่างแถว 25-30 เซนติเมตร .ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ใส่รองพื้นหรือหลังปลูกหญ้าไปแล้ว 7-10 วัน และควรใส่ปุ๋ย คอกเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน และปุ๋ยยูเรีย 10 กิโลกรัม/ไร่ หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรให้น้ำในช่วงฤดูแล้งจะได้เก็บเกี่ยวได้ตลอด ภาพที่ 2.14 หญ้าหวายข้อ ก. แปลงหญ้าหญ้าหวายข้อ อ.เชียรใหญ่ ข. ลักษณะหญ้าหวายข้อ
28 ตัดครั้งแรกหลังปลูกที่อายุ 60-70 วัน หลังจากนั้นตัดทุกๆ 30-45 วัน โดย ตัดสูงจากพื้น 5-10 เซนติเมตร หญ้าใบมันสยาม เป็นหญ้าหลายปีมีลักษณะกึ่งต้นกี่งเลื้อย ลำ ต้นและใบอ่อนนุ่ม ไม่มีขน มีดอกแต่ไม่ติดเมล็ด ทนและเจริญได้ดีในที่ร่ม เงา เหมาะสำหรับปลูกแซมในสวนพืชเศรษฐกิจ เช่น สวนยางพารา ปาล์ม น้ำมัน และไม้ผล เป็นต้น ทนต่อการแทะเล็ม นิมยมทำหญ้าแห้งเป็นเสบียง อาหารสัตว์ การปลูกใช้แบบหว่านท่อนพันธุ์ (อายุ 75-90 วัน) (ท่อนพันธุ์มี 6-8 ข้อ) ปลูกอัตรา 300-400 กก./ไร่ หว่านท่อนพันธุ์ให้กระจายทั่วแปลง พรวนกลบ ปลูกฝังลึกประมาณ 10 ซม. หรือปลูกแบบหลุมก็ได้ ควรแยก กอให้ท ่อนพันธุ์มีรากติดมาด้วยจะช ่วยให้การรอดตายสูง ขุดหลุมลึก ประมาณ 10-15 ซม. ระยะ 50 x 25 ซม. ปลูกลงหลุมๆ ละประมาณ 3 ท่อน โดยให้ 1-2 ข้ออยู่ใต้ดิน แล้วกลบดินให้แน ่น อายุที่ เหมาะสำหรับการปล่อยแทะ เล็มอยู่ที่ 90 วัน และหลังการ ตัดเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละครั้ง ภาพที่ 2.15 หญ้ามันสยาม
29 ภาพที่2.16 การปลูกพืชอาหารแซมในพื้นที่สวนหรือพื้นที่ราบ
30 ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 10-20 กก./ไร่ ตัดสดให้สัตว์ครั้งแรกที่อายุ 75 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปที่อายุ 45 วัน ในช่วงฤดูฝน ส่วนในฤดู แล้งอาจยืดอายุเป็น 60 วัน ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 4,000–5,000 กก./ไร่/ปี หญ้าอายุ 45 วัน มีวัตถุแห้ง 22.23% โปรตีน 8.20% ADF 35.00% NDF 65.26% และ ADL 4.51% ตารางที่ 2.2 ปริมาณโภชนะในวัตถุดิบอาหารหยาบชนิดต่างๆ ชนิดอาหาร วัตถุแห้ง (ก/ก.ก.) ปริมาณโภชนะ (ก/ก.ก.นน.แห้ง) โปรตีนหยาบ โภชนะย่อยได้ อาหารหยาบสด หญ้ากินนี 241 87 531 หญ้ากินนีสีม่วง อายุ 45 วัน 220 87 506 หญ้าขน หรือ มอริซัส 216 95 501 หญ้าเนเปียร์ อายุ 45 วัน 196 101 536 หญ้าพลิแคทูลัม 208 61 542 หญ้าแพงโกล่า อายุ 40 วัน 149 136 593 หญ้าแพรก 271 83 562 หญ้ารูซี่ อายุ 45 วัน 210 143 564 อายุ 70 วัน - 55 566 อายุ 80 วัน - 44 561 หลังเก็บเมล็ด - 28 526
31 หญ้าสตาร์ 276 76 553 หญ้าคอมมิวนิสต์ - 92 526 หญ้าจัมโบ้ อายุ 45 วัน - 115 558 หญ้ามาเลเซีย - 69 558 ต้นข้าวโพดฝักอ่อนหลังเก็บฝัก 267 88 583 เปลือกและไหมข้าวโพดฝัก อ่อน 172 126 642 เปลือกข้าวโพดฝักอ่อน 180 135 665 ต้นข้าวโพดหวาน 228 65 - ข้าวโพดต้นสด 227 57 572 ข้าวฟ่างต้นสด 249 60 694 ถั่วแกรมสไตโล อายุ 45 วัน 239 167 - ถั่วคาวาลเคด อายุ 45 วัน 239 167 - ถั่วฮามาต้า อายุ 45 วัน 183 179 - ถั่วทาวน์สวิลล์ สไตโล อ่อน 230 220 707 ถั่วทาวน์สวิลล์ สไตโล โตเต็มที่ 300 142 575 ต้นถั่วเซนโตรซีม่า 195 236 497 ถั่วเหลือง, ฝักอ่อน 280 230 700 ต้นถั่วลิสง 260 150 640 ใบกระถินสด 325 187 529 ยอดอ้อย 257 50 486 ผักตบชวา 98 112 169
32 ต้นกล้วย 50 32 620 กากมะเขือเทศสด 160 194 621 อาหารหยาบแห้ง-หมัก ถั่วเหลืองต้นแห้ง 880 168 556 ถั่วลิสงต้นแห้งปลิดฝักแล้ว 906 110 522 ฟางข้าว 925 42 448 ฟางหมักยูเรีย 932 74 540 ซังข้าวโพด 904 35 505 ข้าวโพดต้นแห้ง 906 65 572 ยอดอ้อยแห้ง 930 52 490 ชานอ้อย 950 30 500 ใบกระถินแห้ง 912 267 732 ใบมันสำปะหลังแห้ง 900 247 560 ใบผักตบชวาแห้ง 930 240 - หญ้าแพงโกล่าแห้ง 822 145 622 ข้าวโพดหมัก 276 83 663 หญ้ากินนีหมัก 380 50 523 2.2.2 วัสดุอาหารหยาบพลอยได้จากการเกษตรและโรงงาน อุตสาหกรรม ผลพลอยได้จากการเกษตรที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ ฟางข้าว เปลือกและต้นข้าวโพด เปลือกสับปะรด และทางปาล์มบดสับ แต่ ละปีมีผลผลิตจำนวนมาก ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัด
33 ใกล้เคียงมีการปลูกปาล์มมากเป็นอันดับต้นโดยผลพลอยได้จากโรงงานผลิต น้ำมันปาล์มเป็นส่วนของกากเยื่อใยหรือเส้นใยจากผลปาล์มน้ำมัน สามารถ นำมาใช้ผสมในอาหารสัตว์โคได้แต่ยังใช้ไม่แพร่หลาย เนื่องจากพลพลอยได้ เหล่านี้มีสารอาหารต่ำ เช่น ฟางข้าวมีโปตีนน้อยกว่า 4 % ของน้ำหนักแห้ง มีเยื่อใย มีสารอาหารที่ย่อยได้ แคลเซียม และฟอสฟอรัส 35-37, 42-44, 0.3 และ 0.13 % ตามลำดับ ส่วนฟางที่เกษตรกรใช้กันในปริมาณมากส่วน ใหญ่มีมากในพื้นที่ภาคกลางและมีการส่งไปจำหน่ายมายังเขตภาคใต้ ที่ ผ่านมาอาหารหยาบขาดแคลนทำให้มีราคาที่สูงประมาณ 5 บาท/กิโลกรัม ดังนั้นทางเลือกในการใช้ผลพลอยได้จากการเกษตรโดยเฉพาะจากปาล์มที่ มีคุณค่าทางอาหารต่ำควรจะนำไปปรุงแต่งโดยการหมักและเติมสารเสริม และวัตถุดิบอาหารข้นเพิ่มเติม เพื่อให้มีคุณค่าทางโภชนะและการย่อยได้ เพิ่มขึ้น 2.3 วัตถุดิบที่เติมในอาหารสัตว์หรือสารเสริมในอาหาร วัตถุดิบในกลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เป็นการใช้เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการย่อยได้ การดูดซึม เร่งการเจริญการเติบโต ป้องกันและ รักษาโรค แต่ต้องเติมในสัดส่วนที่เหมาะสมไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ และ ตกค้างถึงผู้บริโภค วัตถุที่เติมลงในอาหารมี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มยา กลุ่ม ฮอร์โมน และสารเคมีที่มีจุดประสงค์อื่น ๆ 2.3.1 กลุ่มยา ยาที่ที่ยอมให้เติมลงในอาหารสัตว์ ได้แก่ ยาถ่าย พยาธิ ยาต้านจุลชีพ (ยาซัลฟา ยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเชื้อรา) ยากันบิด และยาในกลุ่มอื่น ๆ เช่น สารหนู และกลุ่มไนโตรฟิวแรน เป็นต้น
34 2.3.2 ฮอร์โมน มีทั้งฮอร์โมนธรรมชาติและสังเคราะห์ ใช้เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการใช้อาหาร เพิ ่มการกินอาหารและเมทาโบลิซึม และ กระตุ้นการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่เป็นฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนจากต่อม ไทรอยด์และต่อมหมวกไต ได้แก่ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (เมเลนเจสตรอล อะซีเตท) ซินโนแวกซ์ และ ไทโรโปรตีน เป็นต้น 2.3.3 สารเคมีเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ มีวัตถุประสงค์ของการใช้ แตกต่างกัน ได้แก่ - สารกันหืน ได้แก่ สาร BHA, BHT, หรืออีท็อกซีควิน - สารให้สี เป็นสารสีสังเคราะห์ ได้แก่ สารแคนต้าแซนติน แคโร ฟิลเรด กรดแคโรติโนอิค และ สารซีตรานาแซนติน เป็นต้น - สารกันเชื้อรา ใช้สำหรับอาหารที ่มีความชื้นมากกว ่า 13 % ได้แก่ แคลเซียมไพรพิโอเนต - สารให้กลิ่น ใช้กลิ่นสังเคราะห์เพื่อดับกลิ่นวัตถุดิบอาหารบาง ชนิดเพื่อเพิ่มการกินได้ - สารช่วยย่อยหรือเอนไชม์ ได้แก่ น้ำย่อยเยื่อใย - สารยูจีเอฟ กระตุ้นการเจริญเติบโต ได้แก ่ วิตามินบีต ่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 12 - สารประสานเม็ด ได้แก่ สารเบนโทไนท์บดละเอียด สารกัวร์นิล และเศษเยื่อกระดาษชนิดผงหรือเป็นน้ำ
35 2.4 การถนอมอาหารและการเพิ่มคุณค่าทางโภชนะวัตถุดิบอาหารสัตว์ การถนอมอาหารสัตว์มีวัตถุประสงค์เพื ่อต้องการทำเป็นเสบียง อาหารสัตว์ สำรองไว้ใช้ยามจำเป็นหรือขาดแคลน รวมทั้งเพื่อสะดวกใน การจัดจำหน ่าย โดยทั ่วไปวิธีที ่นิยมนำมาใช้ในการยืดอายุการใช้งาน วัตถุดิบ คือ การทำแห้ง และการหมัก การทำแห้งจะช่วยทำให้มีโปรตีนต่อ น้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีกระบวนการนำความชื้นออกไป ลดปริมาตร และน้ำหนัก ส่วนการปรับปรุงหรือปรุงแต่งด้วยวิธีการหมักจะเพิ่มคุณค่า ทางอาหาร เนื ่องจากมีการเติมวัตถุอาหารข้นหรือสารเสริมเพิ ่มเติม ประกอบกับมีจุลินทรีย์ในธรรมชาติและใส่เพิ่มเติมในขั้นตอนการหมัก จะ ทำให้วัตถุดิบเหล่านั้นย่อยได้ง่ายขึ้น และโภชนะโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุ เพิ่มขึ้นจากจุลินทรีย์ที่เพิ่มขึ้นจากการหมัก ปัจจุบันมีการนำเอาจุลินทรีย์ที่ สามารถย่อยเยื่อใย ยีสต์ (ใช้น้ำตาลเพื่อการทำงาน) ยูเรีย ร่วมกับวัตถุดิบ อาหารบางชนิด (รำอ่อน กากน้ำตาล และน้ำย ่อย) หมักวัตถุดิบอาหาร หยาบและอาหารข้น อาหารข้น และอาหาร TMR เพื่อเพิ่มสารอาหารให้ เพียงพอกับความต้องการ และลดต้นทุนค่าอาหารโคเนื้อ รวมทั้งเป็นการ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบอาหาร และอาหารต่างๆ ให้มีของเสียเหลือ น้อยที่สุด การถนอมวัตถุดิบอาหารแบบแห้ง วิธีการถนอมพืชอาหารสัตว์ แบบแห้ง ทำให้เก็บรักษาง่าย สะดวกในการนำไปใช้ ทำได้ทั้งในหญ้าและ ถั่ว ในการทำหญ้าแห้งจะอาศัยแสงแดดจากธรรมชาติ หรือตากแดดเพื่อลด ความชื้นลดลงเหลือน้อยกว่า 15% ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพหญ้าแห้งคือ
36 พันธุ์และอายุการตัด เกษตรกรต้องตัดระยะก่อนออกดอก หญ้าที่เหมาะ สำหรับทำหญ้าแห้งต้องไม ่ลำต้นอวบน้ำ ได้แก ่ หญ้าพลิแคททูลั ่ม อะ ตราตั้ม รูซี่ แพงโกล่า และถั่วเวอราโนสไตโล เป็นต้น หลังจากตัดหญ้ามี ความชื้น 70-80 % ให้ตากแดด 3-5 วัน ควรพลิกกลับหญ้า 2-3 ครั้ง การ เก็บต้องทำตอนน้ำค้างแห้ง เกษตรกรสามารถทำหญ้าแห้งแบบก้อนโดยไม่ ต้องใช้รถแทรกเตอร์ โดยอัดลงในลังไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเชือก 2 เส้นพาด บนปากลังตามยาว เมื่อเอาหญ้าใส่ลัง ให้ขึ้นไปเหยียบหรือกดโดยคนแล้ว มัดด้วยเชือก มันอาจจะไม่แน่นเหมือนอัดกับเครื่อง หญ้าแห้งที่ดีจะต้องไม่ กรอบและใบหลุดร่วงเพราะจะทำให้คุณค่าทางอาหารลดลง และต้องมีใบ มากกว่าต้น การถนอมวัตถุดิบอาหารแบบหมัก อาหารสัตว์หมักเป็นอาหารที่ เตรียมโดยอาศัยกระบวนการหมักอาหารที่มีความชื้นสูง กระบวนการหมัก เกิดขึ้นเนื ่องจากการควบคุมให้มีการทำงานของแบคทีเรียที่ผลิตกรดแล คติค ซึ ่งแบคทีเรียเหล ่านี้จะติดอยู ่กับพืชสด หรือเกิดขึ้นโดยการจำกัด กระบวนการหมักโดยการตากลดความชื้นของพืชหรือจำกัดโดยเติมสารเคมี ซึ่งกระบวนการหมักต้องอยู่ในสภาพปราศจากออกซิเจน พืชเกือบทุกชนิด จะสามารถนำมาหมักได้ที่นิยมนำมาใช้มากที่สุด คือ หญ้า ถั่วต่างๆ พวก ธัญพืช และเศษเหลือของผลไม้ เป็นต้น อาหารหมักประโยชน์คือ เพิ่ม ความน ่ากิน สัตว์จะสามารถกินอาหารหมักได้ในปริมาณมาก ยิ ่งถ้าให้ ร่วมกับเมล็ดธัญพืชทำให้กินได้มากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเป็นฝุ่นของอาหาร ทำให้สัตว์กินได้มาก ลดการเกิดโรคท้องอืดได้ ถ้าพืชที่นำมาหมักนั้นเป็น พวกตระกูลถั่ว ช่วยลดสารพิษที่มีอยู่ในพืชนั้นๆ เช่น กรดไฮโดรไซยานิกใน
37 มันสำปะหลัง หรือไมโมซินในใบกระถิน และเก็บไว้ใช้ได้เป็นเวลานาน การ ใช้อาหารหมักอาจจะทำให้มูลสัตว์เหลว ดังนั้นช ่วงก ่อนคลอดหรือหลัง คลอดจึงควรงด หากสภาพอากาศร้อนเกินไปจะทำให้เกิดเชื้อราและเน่า เสียได้ง่าย พืชอาหารหมักที่ดีควรมมีค่าความเป็นกรด 3.8-4.1 สีน้ำตาล เข้ม กลิ่นหอมออกเปรี้ยว และมีความชื้น 60-67% ตารางที่2.3 การหมักวัตถุดิบอาหารหยาบด้วยยีสต์ผงมีชีวิต รายการวัตถุดิบ ต้นข้าวโพด ฟางข้าว หญ้าเนเปียร์ น้ำหนักสด (%) ข้าวโพด อายุ 80วัน 97.4 0 0 ฟางข้าว 0 48.2 0 เนเปียร์สด 0 0 97.6 กากน้ำตาล 1.7 2.6 1.6 ยูเรีย 0.8 1.4 0.7 ยีสต์ผงมีชีวิต 0.1 0.2 0.1 น้ำเปล่า 0 47.5 0 รวม 100 100 100 โปรตีน 14.1 11 12.4 ความชื้น 68 52.5 72
38 ตารางที่ 2.4 การหมักวัตถุดิบอาหารข้นด้วยยีสต์ผงมีชีวิต รายการวัตถุดิบ มันสำปะหลังบด กากมันสำปะหลังแห้งกากมันสำปะหลังเปียกเม็ดข้าวโพดบด น้ำหนักสด (%) มันสำปะหลังบด 48.2 0 0 0 กากมันสำปะหลังแห้ง 0 48.3 กากมันสำปะหลังเปียก 0 0 48.2 0 เม็ดข้าวโพดบด 0 0 0 97.6 กากน้ำตาล 2.6 2.6 2.6 1.6 ยูเรีย 1.4 1.4 1.4 1.4 ยี ส ต ์ ผง มี ชีวิต 2.4 2.4 0.11 0.24 น้ำเปล่า 47.5 47.4 0 46.8 รวม 100 100 100 100 โปรตีน 11 11 11 15 ความชื้น 53 53 78 53
39 ภาพที่ 2.17 การทำมันสำปะหลังหมักยีสต์
40 ตอนที่ 3 อาหารโคเนื้อ โคขุนและการจัดการ 3.1 ประเภทอาหารของโคเนื้อ โคขุน อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงสัตว์เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ในการเลี้ยงโคเนื้อต้องใช้ต้นทุนค่าอาหารสูงประมาณร้อยละ 60-70 หากมี การจัดการด้านอาหารได้อย ่างมีประสิทธิภาพจะสามารถลดต้นทุน และ ได้รับผลตอบแทนอย ่างคุ้มค ่า อาหารโคเนื้อที ่มีการใช้จำแนกตาม ส่วนประกอบและลักษณะทั่วไปมีดังนี้ คืออาหารข้น อาหารเข้มข้นหรือ อาหารก้อนคุณภาพสูง อาหารหยาบ และอาหารครบส ่วนหรือ TMR (อาหารข้นผสมกับอาหารหยาบ) 3.1.1 อาหารข้น อาหารข้น หมายถึง อาหารผสมที่ประกอบด้วย วัตถุดิบหลายชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อหน่วยน้ำหนักมาก มีเยื่อใย หรือกากไม ่เกินร้อยละ 18 ของวัตถุแห้ง ย ่อยได้ง ่าย อาหารข้นเป็นให้ พลังงานมากกว่าร้อยละ 60 อาหารหลักของสัตว์กระเพาะเดี่ยวและใช้เป็น อาหารเสริมให้กับสัตว์เคี้ยวเอื้อง สิ่งต้องคำนึงในการการผลิตอาหารข้น ราคาหรือต้นทุนต้องถูกที ่สุด คุณค ่าทางอาหารต้องครบถ้วน ไม ่มีการ ปลอมปน และมีความปลอดภัย อาหารข้นจะประกอบด้วยวัตถุดิบอาหาร สัตว์5 ประเภท ดังนี้ 1) วัตถุดิบอาหารแหล่งพลังงาน จัดเป็นวัตถุดิบหลักหรือ พื้นฐาน สำหรับสัตว์กระเพาะเดี่ยว มีเยื่อใยไม่เกินร้อยละ 18 มีโปรตีนรวม