มสั ยดิ ตน้ สน
๔๐๐ปี มุสลมิ บางกอก
มสั ยดิ ตน้ สน
๔๔๗ เชงิ สะพานอนุทนิ สวสั ดิ ์ ถนนอรณุ อมั รนิ ทร ์แขวงวดั อรุณ เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพฯ
โทร. ๐๒-๔๖๖๕๓๒๖
๑
ประวตั ิความเป็นมา
มภี าษติ บทหน่ึงกลา่ ววา่ “ทุกเผา่ พนั ธนุ ์ ั้นมตี านาน” น่ันหมายถงึ ชมุ ชนทุกชมุ ชน ไม่วา่ จะในชมุ ชน
ระดบั ประเทศ หรอื ชมุ ชนยอ่ ยในชมุ ชนใหญก่ ต็ าม ย่อมตอ้ งมตี านานเป็ นของตนเองทงั้ สนิ้ ความ
เป็ นมาของชมุ ชนแต่ละชมุ ชนแตกตา่ งกนั ไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็ นอยู่ อาชพี และ
ความเชอ่ื ของคนในชมุ ชนน้ัน ตานานของแต่ละเผ่าพนั ธแุ ์ ต่ละชมุ ชนจะยาวนานหรอื สน้ั เพยี งไม่กสี่ บิ
ปี กต็ าม ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามสาคญั ตอ่ คนในชมุ ชนหรอื เผ่าพนั ธนุ ์ ั้นๆ ชมุ ชนมสั ยดิ ตน้ สนกเ็ ชน่ กนั มี
เรอื่ งราวมตี านานเป็ นของตนเองมานานถงึ เกอื บสรี่ อ้ ยปี
หากจะมคี าถามว่า ไทยมุสลมิ ชาวตน้ สนนั้นมาอยตู่ รงผนื แผ่นดนิ นีไ้ ดอ้ ยา่ งไร? ทง้ั ๆ ที่
แผน่ ดนิ ตรงนีต้ งั้ แตส่ มยั กรุงสโุ ขทยั เป็ นราชธานีเป็ นตน้ มาเป็ นผนื แผน่ ดนิ แห่งพุทธศาสนา และ
มสั ยดิ เองกถ็ กู ขนาบดว้ ยวดั ทางพุทธศาสนา โดยทศิ เหนือของมสั ยดิ ตดิ วดั โมลโี ลกยาราม และดา้ น
ใตต้ ดิ วดั หงสร์ ตั นาราม คาตอบสาหรบั คาถามนี้ คงจะตอ้ งยอ้ นประวตั ศิ าสตรไ์ ปดวู ่ามุสลมิ เขา้ มาใน
ประเทศไทยเมอ่ื ไรและอยา่ งไร ตามบนั ทกึ เรอื่ งราวทางประวตั ศิ าสตรพ์ อจะสรุปไดว้ ่า มุสลมิ เขา้ มาอยู่
ในประเทศไทยหลายกลมุ่ ดว้ ยกนั คอื จาม เปอรเ์ซยี มลายู ชวา อนิ เดยี ฯลฯ ความเป็ นมาของแต่
ละกลมุ่ พอจะสรปุ ไดโ้ ดยย่อดงั นี้
กลมุ่ ที่ ๑. จาม พวกจามไดเ้ ขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานอยู่ทคี่ ลองประจาม จ.พระนครศรอี ยธุ ยา ตงั้ แต่
เมอ่ื ใดไมป่ รากฎ แตช่ าวจามคงจะมาอยใู นเมอื งไทยนานมาแลว้ อย่างนอ้ ยกใ็ นราวตน้ สมยั กรงุ ศรี
อยธุ ยา 1 โดยเดมิ มอี าณาจกั รเป็ นของตนเองชอื่ ว่า จาปานคร แตถ่ ูกพวกญวนรกุ รานและอาณาจกั ร
1 ในพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยาฉบบั พนั จนั ทนุมาศ(เจมิ )หนา้ ๘ บนั ทกึ ไวใ้ นสมยั สมเด็จพระยารามว่า “ศกั ราช ๗๖๓ ปี มะเส็ง ตริ
ศก (พ.ศ.๑๙๔๔) สมเด็จพระยารามเจา้ มคี วามพโิ รธแกเ่ จา้ มหาเสนาบดี และทา่ นใหค้ ุมเอาตวั เจา้ มหาเสนาบดหี นีรอด ขา้ มไปอยู่
ฟากปท่าคูจาม” คาว่าปท่าคูจาน้ัน หมายถงึ ”หมู่บา้ นพวกแขกจาม” ดู ธนิต อยู่โพธิ ์ คาตอบปัญหาประวตั ศิ าสตรเ์ รอื่ งอาสา
จาม ศลิ ปวฒั นธรรม. ปีที่ ๒๑ ฉบบั ท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓ หนา้ ๓๑–๓๓
๒
ไดล้ ่มสลายลง2 มจี านวนไม่นอ้ ยทอี่ พยพเขา้ มาอย่ทู กี่ รงุ ศรอี ยุธยา ในสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนา
รถ(พ.ศ.๑๙๗๗–๒๐๑๕) ไดท้ รงแต่งตง้ั เจา้ กรมทา่ ขวาในราชการฝ่ ายพระคลงั ทาหนา้ ทดี่ แู ลพวก
แขกทเี่ ขา้ มาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภารในกรงุ ศรอี ยธุ ยา และทาหนา้ ทตี่ ดิ ต่อคา้ ขายกบั เมอื งแขก และ
พ่อคา้ แขก โดยมพี ระจฬุ าราชมนตรเี ป็ นเจา้ กรมทา่ ขวา ในส่วนของกองทพั ไทย ก็มกี องอาสาจาม
ซง่ึ มพี ระราชวงั สนั เป็ นจางวางอาสาจามมาตง้ั แตส่ มยั กอ่ นสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชแลว้ 3 และ
สนั นิษฐานวา่ ตาแหน่งพระราชวงั สนั น้ันเป็ นของมุสลมิ ในขณะทกี่ องอาสาจามนีม้ สี ว่ นชว่ ยใน
กองทพั สมเดจ็ พระนเศวรมหาราชหลงั จากประกาศอสิ รภาพถงึ ๔ ครง้ั ครง้ั แรกในพระราช
พงศาวดารฉบบั สมเด็จพระพนรตั นบ์ นั ทกึ ไวว้ ่า
“ลุศกั ราช๙๔๑ ปีเถาะ เอกศก พระมหาอปุ ราชาเจา้ เมอื งเชยี งใหมย่ กพลหา้ สบิ หมนื่ ชา้ งเครอื่ งเจ็ด
รอ้ ย มา้ สามพนั มาขา้ มเมอื งเมาะตะมะ มาโดยแมน่ า้ แมก่ ษตั รยิ เ์ ขา้ ทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค…์ ..
พระบาทสมเด็จบรมพติ รพระพุทธเจา้ อยู่หวั ทงั้ สองพระองคเ์ สด็จยงั เกย ตรสั ใหท้ า้ วพระยานายกอง
ทพั หลวงยกขบวนเบญจเสนา …. พระราชวงั สรรขชี่ า้ งพลายแกว้ มาเมอื ง ถอื พลอาสาจามหา้ รอ้ ย”4
น่ันคอื กองอาสาจามเทา่ ทมี่ บี นั ทกึ ในประวตั ศิ าสตรน์ ั้นมมี าตง้ั แต่ปี พ.ศ.๒๑๒๒ หรอื อาจจะกอ่ นนั้น
ครง้ั ทสี่ าคญั คอื คราวทสี่ มเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทพั ไปตกี มั พชู าเมอื่ ปี พ.ศ.๒๑๓๖ โปรดเกลา้ ฯ
ใหพ้ ระยาราชวงั สนั จางวางอาสาจามเป็ นแม่ทพั คมุ กองทพั อาสาจามและกองทพั เมอื งจนั ทบรุ คี มุ เรอื
รบ ๑๕๐ ลา พลรบพลแจว ๑๐,๐๐๐ สรรพไปดว้ ยเครอื่ งศสั ตราวุธ ยกทพั ไปตที างปากน้าพทุ ไธ
มาศ5 กองทพั พระยาราชวงั สนั เขา้ ตไี ดเ้ มอื งพทุ ไธมาศ เมอื่ ตไี ดเ้ มอื งพทุ ไธมาศแลว้ ไดร้ ว่ มกบั ทพั ของ
พระยาเพชรบรุ ยี กเขา้ ตไี ดเ้ มอื งจตรุ มขุ เมอ่ื ทพั ของพระยาราชวงั สนั และพระยาเพชรบรุ ตี ไี ดเ้ มอื ง
จตุรมขุ แลว้ กย็ กขนึ้ ไปบรรจบกองทพั หลวง ณ เมอื งละแวก การศกึ ในครงั้ น้ันกองทพั ของไทยไดเ้ ขา้
ตเี มอื งละแวกอย่างองอาจ ในทสี่ ุดกพ็ งั ประตูเมอื งละแวกจบั พระยาละแวกได ้ ในครง้ั นั้น สมเด็จพระ
นเรศวรมหาราชทรงตดั ศรษี ะพระยาละแวกเอาโลหติ มาชาระพระบาท
พวกจามนั้นน่าจะมกี ารอพยพเขา้ มาในสยามอยูเ่ สมอๆ ดงั เชน่ ในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราชมี
บนั ทกึ ไวใ้ นพงศาวดารว่า
“…ในปีจอสมั ฤทธศิ กนัน้ มแี ขกแมน่ างกะเบา อนั อยเู่ มอื งกมั พชู าประเทศ หาทพี่ งึ่ พานักมไิ ด…้ คมุ
สกรรจอ์ พยพครวั ๗๗๓ คนมาขอเป็ นขา้ สู่พระราชสมภาร…”6
มสุ ลมิ ทอี่ พยพเขา้ มาเหลา่ นีน้ ่าจะเขา้ รว่ มกบั กองอาสาจามทาใหม้ กี องกาลงั ทเี่ ขม้ แข็งมากขนึ้ 7
นอกจากนั้น กองทหารอาสาจามซง่ึ เป็ นมุสลมิ ยงั คงมบี ทบาทในดา้ นการทหารรว่ มกบั ทหารชาตไิ ทย
เสมอมาในฐานะของกองทหารอาสาชว่ ยรบ เชน่ ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชเมอ่ื ครงั้ ศกึ เจา้
2 ใน ศลิ ปากร , กรม, .ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ เรอื่ งเมอื งนครจาปาศกั ด.ิ์ หนา้ ๒ มบี นั ทกึ ว่าเดมิ มกี ษตั รยิ พ์ ระองคห์ นึง่
มพี ระนามวา่ พระยากามะทาเป็ นเชอื ้ แขก ยกไพรพ่ ลแขกจามขนึ ้ ไปสรา้ งเมอื งทเี่ มอื งจาปานคร
3 ดู ธนิต อยู่โพธิ์ อา้ งแลว้ หนา้ ๓๓
4 พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั สมเด็จพระพนรตั น์ หนา้ ๙๑
5 พล.ร.ต. แชน ปจั จสุ านนท ์ ประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย หนา้ ๒๐๓
6 พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบบั พนั จนั ทนุมาศ(เจมิ ) หนา้ ๓๔๖
7 ใน บทบาทของชาวมุสลมิ ในภาคกลางและภาคใตข้ องไทย โดย รชั นี สาดเปรม ระบวุ า่ “ชาวมุสลมิ ทอ่ี พยพมาจากกมั พชู าครงั้ นีภ้ ายหลงั
เขา้ รวมกนั เป็ นพวกอาสาจาม” ซงึ่ เป็ นขอ้ ความทน่ี ่าจะสนั นิษฐานไวไ้ ม่ถูกตอ้ งนัก เพราะกองอาสาจามน้ันมีมาตง้ั แต่สมยั ตน้ อยุธยา ดู ธนิต
อยู่โพธิ์ อา้ งแลว้ หนา้ ๓๑-๓๓ แขกทม่ี าจากเมอื ง Menang Kabau นี้ น่าจะมา สมทบกบั กองอาสาจามเดมิ มากกวา่
๓
เมอื งเชยี งใหมป่ ี พ.ศ.๒๒๐๔ เมอ่ื ทพั ไทยยกทพั เขา้ ตเี มอื งมงั คลาเมอื งทองผาภูม พระยาโกษาธบิ ดี
แมท่ พั หลวงได…้
“..แต่งกองโจรและกองทพั หนา้ และกองอาษา ยกเขา้ ตที พั พม่ารามญั ..แมท่ พั ใหญ่ยกกองทพั เขา้
ระดมตคี า่ ยพะม่า ทงั้ ทพั หนา้ ทพั หลวง ๓ วนั พะมา่ แตกในเพลากลางคนื ยามเศษ…แม่ทพั แต่ง
กองทพั อาษาหกเหล่า อาษาจามและทพั หวั เมอื ง เป็ นคน๑๐,๐๐๐เศษ ไปตามพะมา่ รามญั เถงิ เมอื งสา
มิ ไดช้ า้ งมา้ ผูค้ นเครอื่ งสาตราวุธเป็ นอนั มากกลบั มา”8
และเนื่องจากเป็ นผูช้ านาญในดา้ นการเดนิ เรอื กองอาสาจามจงึ ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯจากพระเจา้ แผน่ ดนิ
ในทกุ รชั กาลใหเ้ ป็ นกาลงั หลกั ของกองทพั ไทยในดา้ นการทหารเรอื จนกระทง่ั ถงึ สมยั รชั กาลที่ ๕
นอกจากนีพ้ ระยาราชวงั สนั จางวางอาสาจามยงั เป็ นแมก่ องดูแลเรอื รบใหญ่นอ้ ยทบี่ รเิ วณปากคลอง
ตะเคยี นในกรุงศรอี ยธุ ยา “…ใตป้ ากคลองตะเคยี นนัน้ มโี รงเรอื รบทะเลใหญน่ อ้ ยต่าง ๆ ไวใ้ นโรงในอู่
โรงเรยี งกนั ตามแม่นา้ ใหญ่ ทา้ ยเรอื อยปู่ ากอู่ ลาเรอื ขวางแมน่ า้ ทกุ ลาใส่โรงละลาบา้ ง โรงละสองบา้ งมี
เรอื ใหญ่ทา้ ยสาเภา เปนเรอื รบทะเลสามสบิ ลา เรอื เลกทา้ ยปลา เรอื รบทะเลรอ้ ยลาทาดว้ ยไมต้ ะเคยี น
ทงั้ สนิ ้ โรงนัน้ ปักเสาไมม้ ะคา่ หลงั คามุงกระเบอื ้ งลกู ฟูก มฝี าแลประตมู ผี รู้ กั ษาทงั้ นายแลไพร่ พระยา
ราชวงั สนั ไดว้ ่ากล่าวดูแลเปนแม่กอง…”9
สว่ นกล่มุ เปอรเ์ชยี ชวาและมลายเู ขา้ มาในประเทศไทยในชว่ งระยะเวลาใดไมป่ รากฎเชน่ กนั
กลมุ่ เปอรเ์ซยี นั้นน่าจะเขา้ มาตงั้ แต่สมยั กรงุ สโุ ขทยั เป็ นราชธานี เนื่องจากมหี ลกั ฐานปรากฎหลาย
อย่าง มสุ ลมิ เชอื้ สายเปอรเ์ซยี ทเี่ ขา้ มารบั ราชการเป็ นขนุ นางชนั้ ผใู้ หญท่ รี่ ูจ้ กั กนั ดใี นสมยั พระเจา้ ทรง
ธรรมถงึ ตน้ แผน่ ดนิ พระเจา้ ประสาททอง คอื เจา้ พระยาบวรราชนายก(เฉกอะหมดั ) ซง่ึ เป็ นตน้ สกลุ
ของเจา้ พระยาหลายทา่ นในระยะเวลาตอ่ มา อาทิ เจา้ พระยาอภยั ราชา(ชนื่ ) เจา้ พระยาชานาญภกั ดี
(สมบุญ) เจา้ พระยาเพชรพไิ ชย(ใจ)และมบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ นสมเด็จเจา้ พระยาในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร ์
ถงึ ๓ ท่าน คอื สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ(์ ดศิ ) สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาพชิ ยั ญาติ (ทตั
บุนนาค) และสมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี ุรยิ วงศ(์ ชว่ ง บนุ นาค)รวมทง้ั เป็ นตน้ สกุลของสาย
สกลุ ทมี่ คี วามสาคญั ตอ่ การปกครองประเทศตลอดมา ในสายของมาเลยแ์ ละชวากเ็ ชน่ กนั เขา้ มา
ในชว่ งระยะเวลาใดไม่ปรากฎแน่ชดั เน่ืองจากปรากฎมหี มบู่ า้ นแขกมากาซารอ์ ย่ใู น
พระนครศรอี ยธุ ยามาตงั้ แต่ตน้ กรุงศรอี ยธุ ยา ในสว่ นของสุลตา่ นสลุ ยั มานชาห1์ 0นั้น ไดเ้ ขา้ มาอย่ใู น
ประเทศไทยในสมยั สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม ตอ่ มาในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราชโปรดเกลา้ ฯ
ใหบ้ ุตรของสลุ ต่านสุลยั มานรบั ราชการถงึ ๓ ท่าน คอื พระยาพชิ ติ ภกั ดี พระยาแกว้ โกรพพชิ ยั พระ
ยาราชวงั สนั จนถงึ กรงุ ธนบุรี มเี ชอื้ สายสลุ ต่านสลุ ยั มานเป็ นเจา้ พระยาจกั รี พระยายมราช ล่วงมาถงึ
กรุงรตั นโกสนิ ทรพ์ ระยาราชวงั สนั จางวางอาสาจามทกุ ท่านก็มาจากเชอื้ สายสลุ ตา่ นสุลยั มานชาห ์
สว่ นกลมุ่ อนื่ ๆ นั้นเขา้ มาในระยะหลงั และคอ่ นขา้ งจะมบี ทบาทนอ้ ยในราชสานักเพราะจะม่งุ เนน้ ใน
การคา้ ขายเป็ นหลกั
8 พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบบั พนั จนั ทนุมาศ(เจมิ ) หนา้ ๓๖๒–๓๖๓
9 ประวตั ศิ าสตรก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา:เนือ่ งในมหามงคลวารกาญจนาภเิ ษก พุทธศกั ราช 2539 หนา้ ๙๙
10 เป็ นผนู้ ับถอื อสิ ลามนิกายสุหน่ี อพยพมาจากเมอื งสาเล ในเกาะชวา ดู ประวตั ศิ าสตรต์ ระกลู สุลตา่ นสลุ ยั มาน หนา้ ๕๙
๔
เมอื งบางกอกหรอื เมอื งทณบุรศี รมี หาสมทุ ร
เมอื งบางกอกจะถูกสรา้ งขนึ้ เมอ่ื ใดยงั ไมม่ หี ลกั ฐานทแี่ น่ชดั แตม่ ปี รากฎในพระไอยการ
อาชญาหลวงระบุตาแหน่ง “นายพระขนอนทณบุร”ี ในสมยั สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ ๒ (เจา้ สาม
พระยา) จงึ น่าเชอื่ วา่ เป็ นด่านขนอนของกรุงศรอี ยุธยามาตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๑๙๗๖ หรอื กอ่ นนั้น11 และ
น่าจะมชี มุ ชนเกดิ ขนึ้ ดว้ ยเชน่ กนั
เดมิ แม่นา้ บรเิ วณปากคลองบางกอกใหญน่ ั้นโคง้ เป็ นรูปกระเพาะหมู “ลานา้ เจา้ พระยาเดมิ
ตงั้ แตป่ ากนา้ เจา้ พระยาขนึ ้ มา เดนิ ตามแม่นา้ ทุกวนั นีข้ นึ ้ มาจนถงึ ปากคลองบางกอกใหญ่(หรอื ที่
เรยี กกนั โดยมากว่าคลองบางหลวง) ในระหวา่ งวดั อรณุ กบั วดั กลั ยาณ์ ทวี่ ดั กลั ยาณเ์ องเป็ นตวั แมน่ า้
ตลงิ่ อยู่ทกี่ ะฎจี นี …” 12
ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๐๖๕ สมยั สมเด็จพระชยั ราชาธริ าช ทรงโปรดใหข้ ดุ คลองลดั บางกอกใหญข่ นึ้ ที่
ย่านบางกอก เพอ่ื อานวยความสะดวกแกเ่ รอื สนิ คา้ นานาชาตใิ นยคุ ทกี่ ารคา้ ทางทะเลเฟื่ องฟู และใน
สมยั สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดโิ ปรดใหข้ ดุ คลองลดั บางกรวยเชอ่ื มเกาะบางกอกกบั เกาะบางกรวยเขา้
ดว้ ยกนั ในปี พ.ศ.๒๐๘๑ ชมุ ชนชาวสวนบางกอกจงึ ขยายตวั เตบิ โตกวา้ งขวาง และในทสี่ ุด สมเด็จ
พระมหาจกั รพรรดกิ ็ทรงยกฐานะดา่ นขนอนนีข้ นึ้ เป็ น “เมอื งทณบุรศี รมี หาสมุทร” ในปี พ.ศ. ๒๑๐๐
เพอื่ ทาหนา้ ทเี่ มอื งหนา้ ด่านทางทะเล ป้ องกนั ศตั รทู จี่ ะเขา้ มาทางดา้ นใตข้ องกรงุ ศรอี ยธุ ยา และตรวจ
ตราจดั เก็บภาษีสนิ คา้ ทผี่ ่านเขา้ ออก13 แมน่ า้ เจา้ พระยาจงึ เป็ นเสน้ ตรงผ่านหนา้ วดั พระศรรี ตั น
ศาสดาราม หนา้ ศริ ริ าชพยาบาล และมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรด์ งั เชน่ ทกุ วนั นี้ ส่วนแนวแม่น้าเดมิ ก็
กลายเป็ นคลองบางกอกใหญแ่ ละบางกอกนอ้ ยแทน เมอื งบางกอกจงึ เป็ นเมอื งทสี่ าคญั ตอ่ กรุงศรี
อยุธยาทง้ั ทางดา้ นการทหารและเศรษฐกจิ ชมุ ชนเมอื งบางกอกจงึ ขยายตวั และเตบิ ใหญต่ ง้ั แตน่ ัน้ มา
เมอื งบางกอกกบั ชมุ ชนมุสลมิ
ประเทศไทยนับตง้ั แต่สมยั กรุงสโุ ขทยั เป็ นตน้ มา เป็ นประเทศทเี่ ปิ ดทาการคา้ กบั ประเทศต่าง ๆ
ทงั้ ในทวปี เอเชยี เอง หรอื ทวปี ยุโรป ตามหลกั ฐานปรากฎมกี ารตดิ ต่อคา้ ขายกบั เปอรเ์ชยี โปรตเุ กส
ฝรง่ั เศส จนี ชวา จาม มะละกา ฯลฯ การเดนิ ทางของบรรดาพอ่ คา้ จากตา่ งประเทศน้ัน หากสาเภามี
ขนาดไมใ่ หญม่ ากนัก กส็ ามารถเดนิ ทางผ่านสนั ดอนปากน้าเขา้ มาจนถงึ เมอื งทณบุรไี ด ้ หากสาเภา
มขี นาดใหญไ่ มส่ ามารถผ่านสนั ดอนได ้ จะตอ้ งเดนิ ทางเขา้ มาทางเมอื งตะนาวศรี ขนึ้ บกมาทเี่ พชรบรุ ี
แลว้ ต่อดว้ ยเรอื ขนาดไมใ่ หญ่นักมาทเี่ มอื งทณบรุ ี ชมุ ชนอย่างเมอื งบางกอกซง่ึ เป็ นเมอื งหนา้ ด่าน
สาหรบั แวะพกั เรอื และจา่ ยภาษอี ากรทงั้ ขาออกและเขา้ ชมุ ชนนีจ้ งึ รบั เอาขนบธรรมเนียมประเพณี
รวมทง้ั ศาสนาของบรรดาพอ่ คา้ เหล่านั้นจะดว้ ยวธิ กี ารแตง่ งานหรอื วธิ ใี ดก็ตาม จงึ ปรากฎในเวลา
ต่อมาวา่ ชาวเมอื งบางกอกจงึ มชี มุ ชนหลากหลายเชอื้ ชาตหิ ลายศาสนา โดยมที ง้ั มุสลมิ จนี ฝรง่ั
มอญ ฯลฯ
ชมุ ชนมุสลมิ ทบี่ างกอกนีจ้ ะมมี าตง้ั แต่เมอ่ื ไร ไมม่ หี ลกั ฐานใดปรากฎแน่ชดั แต่คาดว่าน่าจะ
เกดิ ภายหลงั จากตงั้ ด่านขนอนเป็ น “เมอื งทณบุรศี รมี หาสมทุ ร” ไดไ้ มน่ านนัก เมอ่ื มชี มุ ชนมสุ ลมิ
เกดิ ขนึ้ กต็ อ้ งมกี ารสรา้ งมสั ยดิ เพอื่ เป็ นสถานทปี่ ระกอบศาสนกจิ ตอ่ พระผเู้ ป็ นเจา้ ซงึ่ ตามหลกั ปฏบิ ตั ิ
11 ธนบุรี สานกั พมิ พส์ ารคด,ี สงิ หาคม ๒๕๔๒ หนา้ ๒๙
12 อา้ งแลว้ , หนา้ ๑๘
13 ธนบุรี สานักพมิ พส์ ารคด,ี สงิ หาคม ๒๕๔๒ หนา้ ๓๐
๕
ของศาสนาอสิ ลามแลว้ จะตอ้ งทาการละหมาด(นมสั การ)ทุกวนั วนั ละ ๕ เวลา และการทาโดยรวมกนั
ทานั้นใหผ้ ลบุญทดี่ กี วา่ ตา่ งคนตา่ งทามากนัก จงึ ปรากฎว่าทกุ สถานทที่ มี่ ชี มุ ชนมุสลมิ จะตอ้ งมมี สั ยดิ
ไมเ่ วน้ แมแ้ ตใ่ นปจั จบุ นั นี้ มสั ยดิ ตน้ สนจงึ น่าจะมขี นึ้ ในชว่ งเวลาตามคาบอกเล่าทสี่ บื ตอ่ กนั มาวา่ เรมิ่
มขี นึ้ ในชว่ งสมยั พระเจา้ ทรงธรรม(ครองราชย ์ พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๗๑)หรอื กอ่ นนั้น โดยอาคารหลงั
แรกคงมลี กั ษณะเป็ นเรอื นไมย้ กพนื้ ฝาขดั แตะขนาดเล็กหลงั คาจากมชี านอยู่ดา้ นหนา้ ลกั ษณะ
คลา้ ยกุฏพิ ระมากกวา่ คลา้ ยกบั แบบอนื่ 14
ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เจา้ เมอื งบางกอกเป็ นมสุ ลมิ
ประเทศฝรง่ั เศสไดส้ ่งทูตมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ประเทศไทยหลายครง้ั ในชว่ งแผ่นดนิ
สมเด็จพระนารายณม์ หาราช แตล่ ะครง้ั จะมบี นั ทกึ การเดนิ ทางจากผทู้ รี่ ว่ มเดนิ ทางมากบั คณะทูตซงึ่
จะบนั ทกึ การเดนิ ทางอยา่ งละเอยี ด เมอื่ เรอื สาเภาของราชทตู เขา้ มาถงึ ปากนา้ เมอื งบางกอกมบี นั ทกึ
เกยี่ วกบั เจา้ เมอื งบางกอกในสมยั นั้นว่าเป็ นมุสลมิ อยู่ ๒คราวคอื
ในปี พ.ศ. ๒๒๒๓ สง่ เรอื สาเภาชอื่ “เลอโวตูร”์ มาพรอ้ มคณะราชทตู มองซเิ ออร ์บโู ลเดลนั ด ์
ทรี่ ว่ มเดนิ ทางมากบั คณะไดบ้ นั ทกึ เกยี่ วกบั เจา้ เมอื งบางกอกไวว้ า่
“……จงึ ไดม้ รี บั สงั่ ไปยงั เจา้ เมอื งซงึ่ เปนคนชาตแิ ขกเตกิ โดยทนั ทวี า่ ถา้ เรอื ยงิ สลุตแลว้ กใ็ หเ้ จา้
เมอื งยงิ สลุตรบั ”15
และในปี พ.ศ.๒๒๒๘ พระเจา้ หลยุ สท์ ๑ี่ ๔ ทรงสง่ ลาลแู บรเ์ป็ นราชทตู เขา้ มาในประเทศไทย โดยมี
คณะบาทหลวงเยซอู ติ มาในคณะทูต บาทหลวงรปู หนึ่งในคณะดงั กล่าวชอ่ื กวยี ์ ตาชารดไ์ ดจ้ ด
บนั ทกึ เรอื่ งราวต่างๆเกยี่ วกบั สงิ่ ทพี่ บเห็นในไทยไวโ้ ดยละเอยี ด โดยมบี นั ทกึ เรอื่ งราวเกยี่ วกบั เมอื ง
บางกอกไวว้ ่า
“….ครนั้ เจา้ เมอื งบางกอกซงึ่ มสี ญั ชาตเิ ป็ นแขกเตอรก์ และนบั ถอื ศาสนาพระมะหะหมดั ไดร้ บั แจง้ ข่าว
ว่าราชทตู ของสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ฝรงั่ เศสมาถงึ อ่าวจอดเรอื แลว้ จงึ ขอรอ้ ง ม.วาเชตใ์ หพ้ กั แรมอย่กู อ่ น
จนตลอดคนื และอนุญาตใหเ้ ขาสง่ คนถอื ใบบอกเขา้ ไปยงั ราชสานักเป็ นการดว่ นดว้ ย…. ทา่ นเจา้
เมอื งเป็ นบุรษุ รา่ งใหญส่ มสว่ นและใหก้ ารตอ้ นรบั พวกเราอยา่ งด”ี 16
นอกจากนี้ ยงั มขี อ้ ความปรากฏในจดหมายเหตฟุ อรบ์ งั ทรี่ ว่ มเดนิ ทางมากบั คณะราชทูตของฝรง่ั เศส
เชน่ เดยี วกนั ซง่ึ ภายหลงั ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯแตง่ ตงั้ เป็ น “ออกพระศกั ดสิ งคราม” ระบุว่า เจา้ เมอื ง
บางกอกนาอาหารแขกมาเลยี้ ง และเครอื่ งดมื่ ทเี่ ป็ นนา้ ซอรเ์บค(คอื น้าเจอื กบั นา้ ผลไม)้ 17
นอกจากประเทศฝรง่ั เศสจะสง่ ราชทูตมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ไทยแลว้ ประเทศในทวปี เอเซยี เชน่
เปอรเ์ซยี ทถี่ อื ว่าเป็ นพ่อคา้ และนักเดนิ เรอื ทเี่ กง่ กาจกส็ ่งราชทูตมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ไทยในสมยั
สมเด็จพระนารายณม์ หาราชเชน่ กนั โดยในเดอื นรอญบั 18 ฮจิ เราะฮศ์ กั ราช ๑๐๙๖ (มถิ ุนายน พ.ศ.
14 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน อดิ ลิ้ อฎั ฮา ๒๕๑๘ หนา้ ๗–๑๐
15 ประชมุ พงศาวดารภาค ๓๒ จดหมายเหตุคณะบาดหลวงฝรงั่ เศสซงึ่ เขา้ มาตงั้ ครงั้ แผ่นดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช,โรงพิมพโ์ สภณพิพรรฒธนา
กร พ.ศ. ๒๔๖๗ หนา้ ๕๗
16 สนั ต ์ ท.โกมลบุตร .แปล. จดหมายเหตุการเดนิ ทางสูป่ ระเทศสยามของบาดหลวงตาชารด,์ สานักพิมพเ์ กษมบรรณกจิ พ.ศ.
๒๕๑๙ หนา้ ๑๐ และ หนา้ ๒๓
17 ประชมุ พงศาวดารภาคท๘ี่ ๐ จดหมายเหตฟุ อรบ์ งั โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร ์ พระนคร หนา้ ๖๘
18 คอื เดอื นที่ ๗ แห่งศกั ราชอสิ ลาม ศกั ราชอสิ ลามนบั เดอื นตามจนั ทรคติ อนั ประกอบดว้ ย เดอื นท๑ี่ .มูฮรั รอม ๒.ซอฟัร ๓.รอบอี ลุ -เอาวลั
๔.รอบอี ุซ-ซานี ๕.ญุมาดลั -เอาวลั ๖.ญุมาดชั -ซานี ๗.รอญบั ๘.ซะอบ์ าน ๙.รอมฎอน ๑๐.เชาวาล ๑๑.ซลุ เกาะอด์ ะฮ ์ ๑๒.ซลุ ฮจิ ยะฮ ์
๖
๒๒๒๘) กษตั รยิ ์ สลุ ยั มานชาหแ์ ห่งราชวงศ ์ Safavid ไดส้ ง่ สาเภานาคณะราชทตู มาเจรญิ
สมั พนั ธไมตรกี บั ไทย สาเภาของกษตั รยิ ส์ ลุ ยั มานเขา้ มาถงึ เมอื งตะนาวศร(ี Tanasuri)เมอื่ วนั ที่ 17
เดอื น เชาวาล ฮจิ เราะฮศ์ กั ราช ๑๐๙๖ (๑๖ กนั ยายน ๒๒๒๘)19 จากเมอื งตะนาวศรเี ดนิ ทางดว้ ยเรอื
เล็กมาที่ ยะรงั (Jalang) จากยะรงั เดนิ ทางดว้ ยชา้ งมาทางบกจนถงึ เมอื งเพชรบุร(ี Paj Puri)ซงึ่ เจา้
เมอื งเพชรบรุ กี ็เป็ นมสุ ลมิ เชน่ เดยี วกนั ชอ่ื ซายดิ มาซนั ดารานี (Sayyid Mazandarani)20และเมอ่ื
เดนิ ทางมาถงึ “Suhan” ซงึ่ น่าจะหมายถงึ “สวน” หรอื เมอื งบางกอกมากกวา่ 21 Ibn Muhummad
Ibrahim Muhammad Rabi (มฮู มั มดั ราบี บตุ ร มูฮมั มดั อบิ รอฮมี ) ผบู้ นั ทกึ การเดนิ ทางของ
สาเภากษตั รยิ ส์ ุลยั มานไดบ้ นั ทกึ ไวว้ า่ ไดพ้ บกบั เจา้ เมอื งซง่ึ มสี ญั ชาตเิ ป็ นชาว Rum และมชี อื่ ว่า
“เชเลบ”ี
“When we arrived at the outskirts of the town we were met by a man called
Chelebi. He was from among the people of Rum … Chelebi was recently the
rajah of that region”22
เมอื ง Rum ในทนี่ ีค้ อื เมอื ง Anatolia ซงึ่ อยใู่ ตก้ ารปกครองของอาณาจกั ร ออตโตมาน ตุรก2ี 3
น่ันคอื เจา้ เมอื งทา่ นนีเ้ ป็ นมุสลมิ สญั ชาตแิ ขกเตอรก์ ซง่ึ ตรงกบั หลกั ฐานของชาวฝรง่ั เศส อกี ทงั้ ยงั อยู่
ในชว่ งปี พ.ศ. ๒๒๒๘ เชน่ เดยี วกนั ดว้ ย
เจา้ เมอื งบางกอกทเี่ ป็ นมสุ ลมิ เป็ นท่านแรกทใี่ ชธ้ งสแี ดงเป็ นธงชาตไิ ทย
มเี กรด็ ประวตั ศิ าสตรท์ คี่ วรคา่ แกก่ ารจดจาก็คอื จากบนั ทกึ ของ มองซเิ ออร ์บโู ลเดลนั ด ์ ชาวฝรง่ั เศส
เมอ่ื ครง้ั นาเรอื สาเภาชอ่ื “เลอโวตรู ”์ เขา้ มาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ไทยในปี พ.ศ. ๒๒๒๓ ไดบ้ นั ทกึ ไว ้
วา่
“…ครนั้ เมอื่ ณ วนั ที่ ๓ เดอื นกนั ยายน ค.ศ. ๑๖๘๐ (พ.ศ. ๒๒๒๓) ปีกลายนี ้ เรอื ชอื่ เลอโวตูร ์ได้
มาถงึ สนั ดอนเมอื งสยาม ซงึ่ เปนการกระทาใหเ้ จา้ นายแลขา้ ราชการทงั้ หลายมคี วามตนื่ เตน้ ยนิ ดี
เปนอนั มากกอ่ นทเี่ รอื ไดเ้ ขา้ มาในลาแมน่ า้ ไดใ้ หน้ าความกราบทูลถามว่า เมอื่ เรอื จะผา่ นป้ อมที่
บางกอก จะโปรดใหเ้ รอื ยงิ สลตุ ตามประเพณีของชาวยุโรป อนั ผดิ กบั ธรรมเนียมของไทยหรอื ไม่ จงึ
ไดม้ รี บั สงั่ ไปยงั เจา้ เมอื งซงึ่ เปนคนชาตแิ ขกเตกิ โดยทนั ทวี ่าถา้ เรอื ยงิ สลตุ แลว้ กใ็ หเ้ จา้ เมอื งยงิ สลุตรบั
ประการ ๑ เปนธรรมเนียมชา้ นานมาแลว้ ทเี่ รอื ตา่ ง ๆ ของเมอื งนีม้ กั จะชกั ธงฮอลนั ดา เพราะเหตุ
ว่าเปนธงทคี่ นรจู ้ กั กนั มากว่าเปนเรอื คา้ ขาย แลฝ่ ายพระเจา้ แผ่นดนิ สยามจนทกุ วนั นีห้ าไดม้ ธี งอย่าง
ใดเปนเครอื่ งหมายไม่ เจา้ เมอื งบางกอกไมร่ จู ้ ะชกั ธงอะไร จงึ ไดช้ กั ธงฮอลนั ดาขนึ ้ ฝ่ ายมองซเิ ออร ์
คอนูเอล กปั ตนั เรอื ไดใ้ หค้ นมาบอกแกเ่ จา้ เมอื งว่า ถา้ มคี วามประสงคจ์ ะใหส้ ลตุ ป้ อมแลว้ กข็ อใหเ้ อา
19 Muhammad Rabi ,The Ship of Sulaiman , p 43
20 Ibid. , p. 49-50
21 เสน้ ทางการเดนิ ทางส่วนใหญ่ของชาวตา่ งประเทศ หากสาเภามขี นาดใหญ่ตอ้ งมาจอดเรอื ทตี่ ะนาวศรี เดนิ ทางโดยทางบกมาทเี่ พชรบรุ ี
จากเพชรบรุ ตี อ่ เรอื ขนาดไมใ่ หญ่มากมาทเ่ี มอื งบางกอก คาวา่ “Suhan” น่าจะมาจากคาวา่ “สวน” ซงึ่ หมายถงึ ”บางกอก” มากกวา่
“สุพรรณ”
22 Muhammad Rabi ,The Ship of Sulaiman , p 50
23 Ibid. , p. 243
๗
ธงฮอลนั ดาลงเสยี แลถา้ ไมม่ ธี งของชาตอิ นื่ จะชกั แลว้ กข็ อใหช้ กั ธงอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ กไ็ ดแ้ ลว้ แตจ่ ะ
พอใจ เจา้ เมอื งบางกอกจงึ ไดใ้ หเ้ อาธงฮอลนั ดาลงเสยี แลว้ ชกั ธงสแี ดงขนึ ้ แทน…”24
สาเหตุทฝี่ รง่ั เศสไมพ่ อใจทชี่ กั ธงชาตฮิ อลนั ดาขนึ้ ทปี่ ้ อม เพราะในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว ฝรง่ั เศส
กาลงั อยรู่ ะหว่างทาสงครามกบั ฮอลนั ดา
ธงสแี ดงทเี่ จา้ เมอื งบางกอก ชนผนู้ ับถอื ศาสนาอสิ ลามไดช้ กั ขนึ้ เป็ นเครอื่ งหมายแทนชาติ
สยามน้ัน ตอ่ มาไดเ้ ป็ นประเพณีชกั ธงแดงเป็ นธงชาตสิ ยามสบื มาชา้ นาน จนถงึ สมยั กรุงธนบรุ แี ละ
กรุงรตั นโกสนิ ทร ์ก็ยงั ใชธ้ งสแี ดงชกั เป็ นเครอื่ งหมายธง
ชาตไิ ทยประจาเรอื คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศอยู่ ธงแดงนีไ้ ดใ้ ช ้
ชกั ขนึ้ ทงั้ ในเรอื หลวงและเรอื ราษฎร ตอ่ มาพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก ทรงโปรดใหท้ ารปู จกั รสขี าวตดิ
ไวก้ ลางธงแดงเป็ นเครอื่ งหมายเฉพาะเรอื หลวง สว่ นของ
ราษฎรใชธ้ งแดงเชน่ เดมิ ตอ่ มาในสมยั รชั กาลท๒ี่ ทรง
โปรดใหท้ ารูปชา้ งเผอื กไวก้ ลางวงจกั รในธงเรอื หลวงดว้ ย
จนถงึ สมยั รชั กาลที่ ๔ ทรงโปรดใหท้ ง้ั ธงหลวงและราษฎรใช ้
ธงรปู ชา้ งเผอื กอยูก่ ลางธงแดงโดยโปรดเกลา้ ฯใหเ้ อารูปจกั รออกเสยี 25และตอ่ มาไดม้ กี ารประดษิ ฐธ์ ง
ไตรรงคข์ นึ้ เป็ นธงชาตใิ นรชั กาลที่ ๖ ส่วนธงของราชนาวไี ทยยงั คงรกั ษาประเพณีเดมิ คอื นาชา้ งบน
พนื้ วงกลมสแี ดงตดิ ไวก้ ลางธงไตรรงค ์ ยงั คงใชส้ บื มาจนกระทง่ั ทุกวนั นี2้ 6
มหี ลกั ฐานวา่ พระยาราชวงั สนั (มะหมุด)เป็ นผูร้ กั ษาป้ อมเมอื งบางกอก
ในชว่ งสมยั แผน่ ดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช(ครองราชย ์ พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑)น้ัน
ขา้ ราชการในตาแหน่งสาคญั ๆ ทเี่ ป็ นมสุ ลมิ มอี ยหู่ ลายท่านดว้ ยกนั หน่ึงในหลายท่านนั้นคอื พระยา
ราชวงั สนั (มะหมุด) ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯเป็ นเสนาบดคี มุ กองทพั เรอื และมหี นา้ ทกี่ ากบั ดูแลพลทหาร
ชาวฝรง่ั เศส ๒๐๐ นาย ทรี่ ฐั บาลสยามจา้ งมารกั ษาป้ อมวไิ ชเยนทรด์ ว้ ย โดยมมี องซเิ ออรเ์ลอรล์ ซู ์
(ฟอรบ์ งั )เป็ นออกพระศกั ดสิ งคราม ตาแหน่งแมท่ พั เรอื ไทย27
ในชว่ งทพี่ ระยาราชวงั สนั (มะหมดุ )มารบั ราชการทปี่ ้ อมฯ ท่านไดอ้ พยพครอบครวั มาดว้ ย และทา่ นได ้
รว่ มกบั นายทพั นายกองทหารทเี่ ป็ นมสุ ลมิ สรา้ งมสั ยดิ ตน้ สนขนึ้ ทนี่ ่ี ในปี พ.ศ. ๒๒๓๑
24 ประชมุ พงศาวดารภาค ๓๒ จดหมายเหตคุ ณะบาดหลวงฝรงั่ เศสซงึ่ เขา้ มาตงั้ ครงั้ แผ่นดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ,กรงุ เทพฯ :โรงพิมพ์
โสภณพพิ รรฒธนากร พ.ศ. ๒๔๖๗ หนา้ ๕๖ – ๕๗
25 ศลิ ปากร, กรม, . ธงไทย . กรุงเทพฯ:โรงพมิ พส์ านกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี พ.ศ.๒๕๒๑ หนา้ ๕ - ๖
26 น ณ.ปากน้า , ศลิ ปะและวฒั นธรรมจากดนิ แดนอาหรบั เมือ่ แรกเขา้ สู่สยามประเทศ , สานักพิมพเ์ มืองโบราณ สงิ หาคม.
๒๕๓๔ หนา้ ๖๙
27 ก.ศ.ร.กหุ ลาบ กฤษณานนท.์ ประวตั เิ จา้ พะญาอภยั ราชา(ม.ร.ว.ลพ) เจา้ พะญาบดนิ ทรเดชา(ม.ร.ว.อรุณ) , พระนคร : โรงพมิ พส์ ยาม
ประเภท, ๒๔๕๖ หนา้ ๑๘
๘
“..เจา้ พะญาราชวงั สนั เสนี(มะหะหมุด) เปนผูส้ รา้ งสุเหรา่ สหุ นีก่ ะฎใี หญ่ วดั แขกรมิ วดั หงษารามไทย ์
ในคลองบางกอกใหญ่ สรา้ งเมอื่ จฬุ ศกั ราช๑๐๕๐ปีมะโรงนักษตั รสมทิ ธศิ ก เรอื่ งราวดงั กลา่ วนีม้ อี ย่ใู น
ตานานเจา้ แมว่ ดั ดสุ ติ บา้ ง มอี ยู่ในสมดุ พมิ พอ์ กั ษรภาษาฝรงั่ เศสชอื่ ละโว้ เซงิ่ บาหลวงดปิ ๋ องผแู้ ต่ง..”28
ซงึ่ สนั นิษฐานวา่ น่าจะเป็ นการรอื้ ตวั มสั ยดิ เดมิ ลงและกอ่ สรา้ งขนึ้ ใหม่ โดยขยายขนาดมสั ยดิ ใหใ้ หญ่
และกวา้ งขวางขนึ้ เปลยี่ นตวั อาคารเป็ นไมส้ กั และเปลยี่ นจากหลงั คาจากมาเป็ นกระเบอื้ งดนิ เผา
กระเบอื้ งทราย29 เพอ่ื รองรบั ครอบครวั และบา่ วไพรข่ องพระยาราชวงั สนั รวมทงั้ ทหารในกองสงั กดั
กองอาสาจามของท่านซงึ่ เป็ นมุสลมิ และมารบั ราชการอยทู่ ปี่ ้ อมวไิ ชยประสทิ ธซ์ งึ่ ไมห่ ่างจากตวั
มสั ยดิ มากนัก มสั ยดิ ตน้ สนจงึ ถกู สรา้ งอย่างเป็ นทางการและรองรบั การประกอบศาสนกจิ ของชมุ ชน
มุสลมิ ทง้ั ทเี่ ป็ นขา้ ราชการในสงั กดั กองอาสาจามและพอ่ คา้ ทเี่ ดนิ ทางมาตดิ ตอ่ คา้ ขายรวมทงั้
ประชาชนท่วั ไปในบรเิ วณนั้นเรอื่ ยมา
อน่ึง เจา้ เมอื งบางกอกเมอื่ ครงั้ ทรี่ าชทูตฝรง่ั เศสและเปอรเ์ซยี เดนิ ทางมาและไดบ้ นั ทกึ ไว ้ อาจจะเป็ น
พระยาราชวงั สนั (มะหมดุ )นีเ้ อง30
พระยาราชวงั สนั (มะหมดุ )เป็ นบุตรคนโตของพระยารามเดโช 31 ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯใหเ้ ป็ นแม่ทพั เรอื มี
อานาจคุมกองทพั เรอื ทง้ั หมด รวมทง้ั การรกั ษาป้ อมเมอื งบางกอก(ป้ อมวไิ ชยประสทิ ธใิ ์ นปัจจบุ นั )ดว้ ย
ขนุ ศกึ สายเลอื ดมุสลมิ ในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช
มุสลมิ เชอื้ สายจาม เชอื้ สายสุลต่านสุลยั มานและเชอื้ สายเปอรเ์ชยี มบี ทบาทอย่างมากในราชสานัก
โดยเฉพาะในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช โดยมขี า้ ราชการผูใ้ หญท่ เี่ ป็ นมสุ ลมิ อยู่หลายท่าน
เชน่
พระยาชานาญภกั ด(ี สมบุญ)
พระยาทา้ ยน้า(นอ้ ยเล็ก)
พระยารามเดโช(ช)ู
พระยาศรไี ศรยห์ าญณรงค(์ ญ)ี่
พระยาราชวงั สนั (มะหมุด)
พระยาราชวงั สนั (ฮะซนั )
พระยายมราช (สงั ข)์
พระยาหุเซงคาร(หลา)
พระยารามเดโช(ช)ู เป็ นผูห้ น่ึงทไี่ ดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยคุ ลบาทสมเด็จพระนารายณม์ หาราชอยา่ งใกลช้ ดิ
โดยโปรดเกลา้ ฯใหค้ มุ ทพั ไปตหี วั เมอื งต่างๆหลายครงั้ รว่ มกนั กบั พระยายมราช(สงั ข)์ พระยาราชวงั
สนั (มะหมุด)และพระยาทา้ ยนา้ (นอ้ ยเล็ก) ทง้ั พระยารามเดโช(ช)ู พระยายมราช(สงั ข)์ พระยาราชวงั
28 ดู ก.ศ.ร กุหลาบ กฤษณานนท.์ , อา้ งแลว้ . หนา้ ๑๘ แต่ตามหนังสอื ประวตั ขิ องมสั ยดิ ตน้ สนระบุว่าสรา้ งก่อนสมยั พระเจา้ ทรงธรรม อาจ
เป็ นไปไดว้ ่ามมี ากอ่ นแลว้ มาเพม่ิ เตมิ ขยายใหข้ นาดใหญข่ นึ้ ดู ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน. หนา้ ๗
29 ดู ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน หนา้ ๑๐–๑๑
30 ใน การปฏวิ ตั ใิ นประเทศไทย พ.ศ. ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๑๖๘๘) หนา้ ๔๔ ซงึ่ เป็ นเหตุการณห์ ลงั จากพระเพทราชาปราบดาภเิ ษกเป็ นกษตั รยิ แ์ ลว้
บนั ทกึ ว่า เจา้ เมืองบางกอกเป็ นคนไทย ซงึ่ มคี วามเป็ นไปไดว้ ่าเป็ นพระยาราชวงั สนั (มะหมุด)ตงั้ แต่ครงั้ แรกทฝ่ี รง่ั เศสเขา้ มาในปี พ.ศ.๒๒๒๓
หรอื มเี จา้ เมอื งบางกอกซงึ่ เป็ นมสุ ลมิ ทา่ นอนื่ กอ่ น จนในปี พ.ศ.๒๒๓๑ ถงึ เป็ นพระยาราชวงั สนั (มะหมุด)
31 ใน ประวตั เิ จา้ พะญาอภยั ราชา(ม.ร.ว.ลพ) เจา้ พะญาบดนิ ทรเดชา(ม.ร.ว.อรุณ) ก.ศ.ร.กหุ ลาบ กฤษณานนท ์ หนา้ ๑๘ ระบุวา่ พระยาราช
วงั สนั เสนี(มะหมุด)เป็ นบุตรของพระยารามเดโชไชย(์ นอ้ ยญะทปิ ะ) ทไ่ี ดเ้ ป็ นพระยานครศรธี รรมราช ในขณะทพี่ ระราชพงศาวดารฉบบั พระ
ราชหตั ถเลขาหนา้ ๓๙ มปี รากฎขนุ ศกึ ชอื่ พระยาสหี ราชเดโชยหปิ แต่ไมไ่ ดไ้ ปครองเมอื งนครศรธี รรมราช ผทู้ ไ่ี ปครองเมอื งนครศรธี รรมราช
คอื พระยารามเดโช(ช)ู พระยาราชวงั สนั (มะหมุด)จงึ น่าจะเป็ นบตุ รของพระยารามเดโช(ช)ู มากกว่า
๙
สนั และพระยาทา้ ยน้า(นอ้ ยเล็ก)ทง้ั สที่ า่ นนีเ้ ป็ นแขกสุหน่ีเชอื้ สายจาม32 ขนุ ศกึ ทง้ั สที่ ่านเป็ นทโี่ ปรด
ปรานของสมเด็จพระนารายณม์ หาราชอย่างสงู โดยไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯใหค้ ุมกองทพั ไปราชการ
สงครามอย่เู นือง ๆ เชน่ เมอ่ื ครงั้ เจา้ เมอื งเชยี งใหมข่ อกาลงั ไปชว่ ยต่อสกู ้ บั ฮอ่ (ปี พ.ศ.๒๒๐๓) สมเด็จ
พระนารายณม์ หาราชทรงโปรดเกลา้ ใหก้ องทพั ของพระยาทา้ ยน้า และทพั ของพระยารามเดโช
สองทพั ยกขนึ้ ไปเชยี งใหม่
ทพั แรกโปรดเกลา้ ฯให้ “…พระยาทา้ ยนา้ เป็ นนายกอง พระยาพจิ ติ รเป็ นยกรบตั ร…..ชา้ งเครอื่ ง ๘
ชา้ ง มา้ ๑๖ มา้ พล ๔,๐๐๐ ปืนใหญ่ ๒๙ บอก ปืนนกสบั ๑๔๔ บอก…. “
ทพั ทสี่ องโปรดเกลา้ ฯให.้ .
“… พระยารามเดโชเป็ นนายกอง พระสรุ บรุ เี ป็ นยกรบตั ร…กบั พลรบ๑๐๐๐ ..ปืนใหญ่ ๑๐บอก ปืนนก
สบั ๑๐๐บอก ชา้ งเครอื่ ง๖ชา้ ง มา้ ๑๐ มา้ ...ยกทพั ไปจากกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดศี รี
อยุธยา ในเดอื น ๑๒..” 33
เมอื่ ยกทพั ไปถงึ ตาบลฆอ้ งชยั แสนสุรนิ ทรไมตรผี ูน้ าทางใหท้ พั หนี พระเจา้ อย่หู วั ทรงรบั สง่ั ใหต้ เี มอื ง
นครราชสมี าและเมอื งเถนิ ดว้ ย โดยทรงโปรดเกลา้ ฯใหน้ าทพั จากกรุงไปสมทบอกี หา้ ทพั สองทพั ใน
หา้ ทพั นั้นมี
“….พระยายมราชเป็ นนายกอง หลวงรามสรเดชเป็ นยกรบตั ร..กบั พลรบ๑๐๐๐ ปืนใหญป่ ืนนกสบั
ชา้ งเครอื่ ง ๖ ชา้ ง มา้ ๘ มา้ …พระยาราชบงั สนั 34เป็ นนายกอง พระสรรคบรุ เี ป็ นยกรบตั ร…กบั พลรบ
๓๐๐๐ ปืนใหญป่ ืนนกสบั ชา้ งเครอื่ ง ๖ ชา้ ง มา้ ๑๐ มา้ ..”35
และในจลุ ศกั ราช ๑๐๒๔ (พ.ศ.๒๒๐๕) โปรดใหพ้ ระยาโกษาธบิ ดเี ป็ นแมท่ พั ใหญย่ กทพั ไปตเี มอื งองั
วะ โปรดใหพ้ ระยาสหี ราชเดโช(ยทปิ )36เป็ นทพั หนา้ และโปรดใหพ้ ระยารามเดโชยกทพั ไป
เกณฑพ์ ลเพมิ่ จากเมอื งเชยี งใหมแ่ ลว้ เขา้ ตเี มอื งองั วะทางดา้ นเหนือ
“….. ใหพ้ ระยาสหี ราชเดโชเป็ นกองหนา้ พระยาสรุ ะสงครามเป็ นทพั หลงั ถอื รพี ้ ลชา้ งมา้ เทา่ ๆ กนั
กบั ยกกระบตั ร37...มาบรรจบทพั เจา้ พระยาโกษาธบิ ด.ี ...ใหพ้ ระยารามเดโชกบั พระยากาแพงเพชรและ
32 น. ณ ปากน้า ศลิ ปะและวฒั นธรรมจากดินแดนอาหรบั เมือ่ แรกเขา้ สู่สยามประเทศ , สานักพิมพเ์ มืองโบราณ สิงหาคม.
๒๕๓๔ หนา้ ๒๐ ระบุว่าพระยารามเดโช(ช)ู และพระยายมราช(สงั ข)์ เป็ นเชอื้ สายจาม และใน ประวตั เิ จา้ พระยาอภยั ราชา (มรว.
ลพ) หนา้ ๔๓ระบุว่า พระยาทา้ ยน้า(นอ้ ยเล็ก)เป็ นแขกสหุ น่ี และในรายงานผลการวจิ ยั เรอื่ ง บทบาทมุสลมิ ในปลายอยธุ ยา-ธนบรุ ี
พ.ศ.2300-2325 หนา้ ๔๔ โดย น.ส.เพ็ญศรี กาญจโนมยั และนางนันทนา กบลิ กาญจนก์ ็ระบุเชน่ กนั ว่าทง้ั พระยาราม
เดโช(ช)ู และพระยายมราช(สงั ข)์ เป็ นเชอิ้ สายจาม ส่วนพระยาราชวงั สนั ใน ประวตั ิเจา้ พะญาอภยั ราชา(ม.ร.ว.ลพ) เจา้
พะญาบดนิ ทรเดชา(ม.ร.ว.อรุณ) ระบวุ ่าเป็ นบุตรของพระยารามเดโช
33 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๓ หนา้ ๔๐๔
34 น่าจะเป็ นพระยาราชวงั สนั (มะหมุด)
35 ดู พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบบั พนั จนั ทนุมาศ(เจมิ ) หนา้ ๓๕๑
36 พระยาสหี ราชเดโช(ยทปิ )ทา่ นนี้ มขี อ้ ถกเถยี งกนั มานาน วา่ ท่านเป็ นมุสลมิ หรอื พทุ ธ ในหนงั สอื ไทยรบพมา่ ในพระนิพนธข์ องสมเด็จกรม
พระยาดารงราชานุภาพ สมเด็จฯไดใ้ หข้ อ้ สงั เกตวุ ่าน่าจะมาจาก “พระยาสหี ราชเดโชชยั ทปิ ” น่ันคอื มีชอื่ จรงิ ว่า “ทปิ ”มากกว่า ในส่วนของผู้
ศกึ ษาโบราณคดบี างท่านสนั นิษฐานว่าน่าจะเป็ นแขก เพราะคาว่า “ยทปิ ะ” ไม่ใชช่ อื่ ไทย ดู ดารงราชานุภาพ, กรมพระยา, .ไทยรบพม่า .
กรงุ เทพ: สานกั พมิ พค์ ลงั วทิ ยา พ.ศ.๒๕๑๔ หนา้ ๒๖๒ ในขณะทพี่ งศาวดารหลายฉบบั เรยี กว่า “ยหปิ ” หรอื “ยนั หปิ ะ”
37 ทพั ยกกระบตั รถอื พล ๑๐,๐๐๐เศษ ชา้ งเครอื่ ง ๖๘ ชา้ ง มา้ ๑๐๐ เศษ ดู ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา .
กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้ พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๓๘
๑๐
หวั เมอื งเหนือทงั้ ปวงถอื พล ๕,๐๐๐ สรรพดว้ ยชา้ งมา้ เครอื่ งศสั ตราวุธพรอ้ ม ใหย้ กไปเกณฑก์ องทพั
เมอื งเชยี งใหม่ เมอื งลาพนู ชยั เมอื งนครลาปาง ใหไ้ ดพ้ ล ๑๐,๐๐๐ เศษ ยกไปฝ่ ายเหนือทางหนึง่ ..”38
ในการศกึ ครง้ั นีพ้ ระยาสหี ราชเดโช(ยหปิ )กลา้ แกรง่ ยงิ่ ในราชการสงคราม ยกพลเขา้ รบกบั กองทพั
พม่ากลางแปลงหลายครงั้ จนตอ้ งกลพม่าขา้ ศกึ ถูกพม่าจบั พนั ธนาการไว ้ เมอ่ื มา้ เรว็ นาเรอื่ งเขา้
กราบทูลสมเด็จพระนารายณม์ หาราช พระเจา้ อยหู่ วั ทรงตกพระทยั ยงิ่ นัก แต่ต่อมาไมน่ านพระยาสี
หราชเดโชก็แกม้ ดั ออกไดแ้ ละตคี า่ ยพมา่ แตก ลม้ ตายและจบั เป็ นเชลยไดเ้ ป็ นจานวนมาก พระ
เจา้ อยหู่ วั ทรงโสมนัสยงิ่ พระราชทานรางวลั แกน่ ายทพั นายกองเป็ นจานวนมาก และตรสั ชมเชยพระ
ยาสหี ราชเดโชวา่ เป็ นขนุ ศกึ ทหี่ าใครเสมอมไิ ด3้ 9 ส่วนพระยารามเดโช มบี ตุ รคอื พระยาราชวงั สนั (มะ
หมดุ )ผูส้ รา้ งมสั ยดิ ตน้ สนน่ันเอง
บทบาทของสายสกุลสุลต่านสุลยั มาน(ชาห)์ ในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช
สุลตา่ นสลุ ยั มาน(ชาห)์ เป็ นบตุ รชายคนโตของทา่ นโมกอล ซง่ึ อพยพครอบครวั จากเมอื งสาเลห(์ ชวา
ภาคกลาง)โดยทางเรอื มาตง้ั หมบู่ า้ นทตี่ าบลหวั เขาแดง รมิ ทะเลปากอ่าวสงขลา ในสมยั สมเด็จพระ
เอกาทศรถ ในประมาณปี พ.ศ.๒๑๔๕ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงโปรดเกลา้ ฯใหเ้ ป็ นขา้ หลวงผสู้ าเรจ็
ราชการนครสงขลา และดารงตาแหน่งนีจ้ นถงึ ปี พ.ศ. ๒๑๖๓ จงึ ถงึ แกอ่ สญั กรรม ทา่ นสุลยั มานจงึ
ขนึ้ ครองนครสงขลาแทนบดิ าในปี พ.ศ.๒๑๖๓ ในฐานะผสู้ าเรจ็ ราชการนครสงขลา ในสมยั พระเจา้
ทรงธรรม ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๑๗๓ เจา้ พระยากลาโหมศรสี ุรยิ วงศ ์ ปราบดาภเิ ษกเป็ นปฐมบรมกษตั รยิ ์
แหง่ ราชวงศป์ ราสาททอง ทรงพระนามวา่ ”สมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง” (ครองราชย ์ พ.ศ.๒๑๗๓–
๒๑๙๙) ท่านสลุ ยั มานเห็นว่ามใิ ชเ่ ป็ นการสบื ราชสนั ตตวิ งศต์ ามกฎมนเฑยี รบาล จงึ ประกาศแข็ง
เมอื งไม่ยอมขนึ้ กบั กรงุ ศรอี ยุธยา และไดป้ ระกาศเป็ นรฐั อสิ ระตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๑๗๓ 40
ครน้ั ตอ่ มาในสมยั แผ่นดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช(ครองราชย ์ พ.ศ.๒๑๙๙–๒๒๓๑) ในปี พ.ศ.
๒๒๒๓โปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยารามเดโช(ช)ู ป็ นแมท่ พั ยกทพั หลวงไปรว่ มกบั ทพั หวั เมอื งภาคใต้ มกี อง
อาสาสมคั รโปรตุเกสและดชั ทร์ ว่ มดว้ ย ยกไปปราบนครสงขลาจนไดร้ บั ชยั ชนะ (ขณะนั้นทา่ นมุสตอ
ฟาบุตรชายคนโตของสลุ ตา่ นสุลยั มานเป็ นสุลต่านเมอื งสงขลาอยู่ เนื่องจากทา่ นสลุ ยั มานเสยี ชวี ติ ไป
แลว้ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๒๑๑) ในครง้ั น้ัน สมเด็จพระนารายณม์ หาราชทรงโปรดใหส้ ลายเมอื งสงขลาเสยี
แลว้ ใหท้ า่ นมสุ ตอฟายา้ ยไปอย่ทู เี่ มอื งไชยา อนั เป็ นหวั เมอื งตรอี ยทู่ างเหนือของนครศรธี รรมราช
สว่ นทา่ นฮะซนั และฮเู ซน็ ใหอ้ พยพเขา้ มาทกี่ รงุ ศรอี ยธุ ยา41
ทา่ นฮะซนั นั้นไดเ้ ขา้ มารบั ราชการอย่ใู นกรุงศรอี ยธุ ยาตงั้ แตส่ มยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ใน
ภายหลงั ต่อมาในสมยั สมเด็จพระเพทราชา พระยารามเดโชเจา้ เมอื งนครศรธี รรมราชเป็ นกบฎ พระ
ยาราชวงั สนั (มะหมุด)ซง่ึ เป็ นบตุ รชายคงจะอยไู่ มไ่ ดห้ รอื อาจเกดิ เหตุการณใ์ ดกบั ทา่ น สมเด็จพระ
เพทราชาจงึ โปรดเกลา้ ฯใหท้ ่านฮะซนั ดารงตาแหน่งพระยาราชวงั สนั แทน ท่านฮะซนั มบี ตุ รชอื่ ขนุ
ลกั ษมณา(บญุ ยงั ) ซง่ึ ตอ่ มาเป็ นบดิ าของเจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )
38 ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา . กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้ พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๓๘
39 ศลิ ปากร, กรม, . อา้ งแลว้ . หนา้ ๓๙
40 สายสกลุ สลุ ตา่ น สุลยั มาน พ.ศ.๒๑๔๔–๒๕๓๑ กรุงเทพ: อมรนิ ทร ์ พรนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ หนา้ ๑๓–๑๔
41 ประวตั ศิ าสตร ์ ตระกูล สลุ ต่าน สลุ ยั มาน กรงุ เทพ : อมรนิ ทร ์ พรนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ หนา้ ๑๑๒–๑๒๓
๑๑
ลาดบั สายสกลุ สุลตา่ นสลุ ยั มานถงึ เจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )
สุลตา่ นสุลยั มาน
ทา่ นมสุ ตอฟา ทา่ นฮะซนั ท่านฮเู ซน็
(พระยาไชยา) (พระยาพทั ลุง)
(พระยาราชวงั สนั )
บตุ ร ธดิ า อนื่ ๆ
ขนุ ลกั ษมณา
(บญุ ยงั )
เจา้ พระยาจกั รี
(หมดุ )
พระยายมราช พระยาราชวงั สนั
(หมดั หรอื จยุ้ ) (หวงั )
ครงั้ ผลดั แผน่ ดนิ ยอมถูกตราหน้าวา่ เป็ น “กบฏ” แตไ่ มย่ อมเสยี คาสตั ย ์
พระยารามเดโช(ช)ู พระยายมราช(สงั ข)์ ขนุ ศกึ มสุ ลมิ เชอื้ สายจามไดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยุคลบาทสมเด็จ
พระนารายณม์ หาราชในการทาศกึ สงครามหลายครงั้ แตเ่ มอ่ื ครงั้ พระยาวชิ เยนทร(์ คอนสแตนตนิ
ฟอลคอน)กระทาราชการมคี วามดคี วามชอบมากขนึ้ ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ ลอื่ นทขี่ นึ้ เป็ น
เจา้ พระยา และทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯสง่ พระยารามเดโช(ช)ู ออกไปครองเมอื งนครศรธี รรมราช
ส่วนพระยายมราช (สงั ข)์ ไปครองเมอื งนครราชสมี า42
ต่อมาในชว่ งผลดั แผน่ ดนิ สมเด็จพระเพทราชาปราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็ นปฐมบรมกษตั รยิ แ์ ห่งราชวงศ ์
บา้ นพลูหลวง ทงั้ พระยายมราช(สงั ข)์ และพระยารามเดโช(ช)ู ไม่ยอมรบั ในสมเด็จพระเพทราชา
เนื่องจากเห็นว่ามใิ ชเ่ ป็ นการสบื ราชสนั ตตวิ งศต์ ามกฎมณเฑยี รบาล อกี ทง้ั ยงั เป็ นการละนา้ พพิ ฒั น์
สตั ยาทใี่ หไ้ วก้ บั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช และสมเด็จพระเพทราชาเป็ นเพยี งเพอ่ื นขนุ ศกึ ทเี่ คย
รว่ มรบกนั มาเท่าน้ัน จงึ ทาการแข็งเมอื งไม่ขนึ้ กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา สมเดจ็ พระเพทราชาจงึ สง่ กองทพั ไป
ปราบ โดยยกทพั ไปปราบพระยายมราช(สงั ข)์ ทเี่ มอื งนครราชสมี ากอ่ นในปี พ.ศ.๒๒๓๒43 มพี ระยาสี
หราชเดโช44เป็ นทพั หนา้ กองทพั ทสี่ ง่ ขนึ้ ไปในคราวแรกใชเ้ วลาหลายเดอื น กไ็ ม่สามารถตเี มอื ง
นครราชสมี าได้ จงึ สง่ ใบบอกมาทางกรุงศรอี ยธุ ยา สมเด็จพระเพทราชาทรงพระพโิ รธ สง่ั ใหจ้ บั ตวั
ทา้ วพระยานายทพั นายกองทงั้ หมดมาตระเวณบกและประหารชวี ติ เสยี เป็ นอนั มาก ต่อมาภายหลงั จงึ
42 พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั สมเด็จพระพนรตั น์ หนา้ ๒๑๕ และ ๒๓๔
43 ใน ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา . กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้ พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๗๐ ระบุวา่ ยกทพั ไปปราบ
ปี ๒๒๒๖ แตป่ รากฎหลกั ฐานภายหลงั วา่ ในปีดงั กล่าวยงั อยู่ในแผ่นดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราชอยู่ โดยสมเด็จพระนารายณม์ หาราช
เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.๒๒๓๑ การบนั ทกึ จงึ คลาดเคลอื่ นไป ๖ ปี ดู ภาคผนวก ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๒
44 พระยาสหี ราชเดโชทา่ นนีใ้ นพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยาฉบบั พนั จนั ทนุมาศ(เจมิ )หนา้ ๓๖๗ บนั ทกึ วา่ เป็ นทา่ นยหปิ แต่ในพระราชพงศาวดาร
ฉบบั พระราชหตั ถเลขาบนั ทกึ วา่ ไม่ใชท่ ่านยหปิ แตส่ มเด็จพระเพทราชาทรงตงั้ ขา้ หลวงเดมิ คนหนึ่งเป็ นแทน เนื่องจากท่านยหปิ ถงึ อนิจกรรม
ไปตง้ั แต่ปลายสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ดู ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา . กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้
พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๗๐
๑๒
ยกทพั ขนึ้ ไปใหม่และสามารถตเี มอื งนครราชสมี าไดใ้ นปี เดยี วกนั 45 แตพ่ ระยายมราช(สงั ข)์ หนีไป
ได ้ และไปรว่ มทพั กบั พระยารามเดโช(ช)ู ทเี่ มอื งนครศรธี รรมราช
ในปี พ.ศ.๒๒๓๕46สมเด็จพระเพทราชาทรงสง่ กองทพั จากกรุงศรอี ยธุ ยาไปปราบเมอื ง
นครศรธี รรมราชซงึ่ เป็ นกบฏ โดยในการศกึ ครงั้ นีโ้ ปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยาราชวงั สนั (ฮะซนั )47 ซงึ่ เป็ น
สายสกุลสุลต่านสุลยั มาน(ชาห)์ แหง่ เมอื งสงขลา เป็ นแมท่ พั เรอื ยกทพั เรอื ไปปราบ
“…ฝ่ ายทพั เรอื นัน้ ใหพ้ ระยาราชบงั สนั เป็ นนายกอง เรอื รบ ๑๐๐ ลา เรอื ทะเล ๑๐๐ ลา พลรบพลแจว
๕,๐๐๐ ยกไปทางทะเลทพั หนึง่ ..”48
ทพั บกของกรงุ ศรอี ยธุ ยาไดต้ ที พั บกของนครศรธี รรมราชแตก พระยายมราช(สงั ข)์ ตายในทรี่ บ พระ
ยารามเดโชรกั ษาเมอื งนครศรธี รรมราชไวไ้ ดถ้ งึ ๓ ปีจงึ แตก กอ่ นเมอื งจะแตกพระยารามเดโชไดม้ ี
หนังสอื บอกไปยงั พระยาราชวงั สนั ซง่ึ เคยเป็ นสหายรว่ มรบกนั มา ถงึ เหตจุ าเป็ นทตี่ อ้ งแข็งเมอื ง มี
ขอ้ ความในพงศาวดารชว่ งหนึ่งบนั ทกึ ถงึ สาเหตใุ นหนังสอื ฉบบั น้ันไวว้ ่า
“…และเมอื่ พระองคท์ รงพระประชวรนัน้ มที าสปรปิ ักษ์ กลา่ วคอื พระเพทราชาและหลวงสรศกั ดิ ์ ๒
คนพ่อลูก ละนา้ พพิ ฒั นส์ ตั ยาเสยี คดิ อ่านทาการขบถชว่ งชงิ เอาราชสมบตั ิ และเสนาบดที งั้
ปวงในกรงุ มไิ ดม้ ผี ใู้ ดชว่ ยคดิ อา่ นทาการกาจดั ศตั รูราชสมบตั เิ สยี ไดแ้ ละพระองคท์ รงพระโทมนัสจน
เสด็จสวรรคต และราชสมบตั กิ ไ็ ดส้ ทิ ธแิ ์ กพ่ ระเพทราชา แลว้ ใหห้ าทา้ วพระยาพระหวั เมอื งทงั้ หลาย
เขา้ ไปถวายบงั คม ฝ่ ายเราขดั แข็งอยู่มไิ ดเ้ ขา้ ไปนัน้ ใชว่ ่าตวั เราจะเป็ นขบถตอ่ แผ่นดนิ หามไิ ด้ เหตุวา่
เราคดิ กตญั ญูในพระผูเ้ ป็ นเจา้ ของเราซงึ่ เสด็จสวรรคตนัน้ จงึ มไิ ดเ้ ขา้ ไปออ่ นนอ้ มยอมตวั เป็ นขา้ ผู้
ประทุษรา้ ยแผน่ ดนิ ประการหนึง่ ก็เกดิ มาเป็ นชายชาตทิ หารคนหนึง่ ก็มที ฐิ มิ านะอยู่บา้ ง ทไี่ มเ่ คยกลวั
เกรงนบนอบไซร ้ กไ็ มน่ บนอบ ไดถ้ อื ตวั อย่ตู ามประเพณีคตโิ ลกวสิ ยั ..”49
และไหวว้ านใหพ้ ระยาราชวงั สนั จดั เตรยี มเรอื ไวส้ าหรบั หนี
“..บดั นีฝ้ ่ ายเราหยอ่ นกาลงั ลงดว้ ยขดั เสบยี งอาหารจาเป็ นจาแพด้ ว้ ยออกลาดหากนิ ไม่ได้ เห็นจะ
รกั ษาเมอื งไวเ้ ป็ นอนั ยาก เราไม่สูร้ บแลว้ จะหนีไปจากเมอื ง และซงึ่ จะแหกออกนัน้ อย่าคดิ เลยว่าค่าย
ลอ้ มทพั กรงุ จะทานฝี มอื เราได้ คงเราจะแหกออกไดไ้ มข่ ดั สน แตท่ วา่ จะไปมติ ลอดดว้ ยไมม่ นี าวาทจี่ ะ
ไป และซงึ่ เราจะไปรอดชวี ติ อนั รา้ ยครงั้ นี ้ ก็เพราะสหายเราจะเอาธรุ ะเรา และสหายเราจงคดิ ถงึ
ความทกุ ขค์ วามยากดว้ ยกนั มาแตห่ นหลงั ครงั้ เป็ นขา้ ทูลละอองธลุ พี ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั แห่ง
เรามาดว้ ยกนั นัน้ และจงไดเ้ มตตาการุญภาพอนุเคราะหแ์ กเ่ ราครงั้ นีเ้ ถดิ ชว่ ยจดั แจงเรอื รบไวห้ นา้ ทา่
สกั ลาหนึง่ ..”50
45 ศลิ ปากร, กรม, .อา้ งแลว้ หนา้ ๗๐
46 ในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ระบปุ ี พ.ศ.๒๒๒๙ แต่ปรากฎหลกั ฐานภายหลงั ว่า ในปีดงั กล่าวยงั อยูใ่ นแผน่ ดนิ สมเด็จพระ
นารายณม์ หาราชอยู่ โดยสมเด็จพระนารายณม์ หาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.๒๒๓๑ การบนั ทกึ จงึ คลาดเคลอ่ื นไป ๖ ปี ดู ภาคผนวก
ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๒
47 ใน ประวตั ศิ าสตร ์ ตระกลู สุลต่าน สุลยั มาน บนั ทกึ วา่ พระยาราชวงั สนั ทา่ นนีค้ อื ท่านฮะซนั บตุ รชายสุลต่านสลุ ยั มาน ดู ประวตั ศิ าสตร ์
ตระกลู สลุ ต่าน สุลยั มาน กรุงเทพ : อมรนิ ทร ์ พรนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ หนา้ ๑๖๗
48 ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา . กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้ พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๗๓
49 พระราชพงศาวดารกรงุ สยามจากตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรุงลอนดอน กรุงเทพ : สานักพมิ พก์ า้ วหนา้ พ.ศ.
๒๕๐๗ หนา้ ๕๑๕
50 อา้ งแลว้ .,
๑๓
พระยาราชวงั สนั คงเห็นว่าทง้ั สองทพั รบกนั มาถงึ สามปี เสยี เลอื ดเนือ้ และชวี ติ ของไพรพ่ ลมากมาย
และพระยารามเดโชกเ็ คยเป็ นสหายกนั มากอ่ น เพอื่ เป็ นการยตุ สิ งครามทยี่ าวนานนีจ้ งึ ตอบตกลง
ครน้ั ถงึ วนั นัดพระยารามเดโชกค็ ุมพล ๕๐เศษ ตฝี ่ าวงลอ้ มทางดา้ นรมิ แมน่ ้า หนา้ ทพี่ ระยาราชวงั สนั
และกองอาสาจาม
“..และพระยารามเดโชคนนีม้ วี ชิ าการดมี ฝี ี มอื กเ็ ขม้ แข็ง และคอยดฤู กษ์ ครนั้ ไดฤ้ กษด์ แี ลว้ และตวั
พระยารามเดโชก็ถอื ดาบสองมอื นาหนา้ พลทหารทงั้ หลายหา้ สบิ เศษลว้ นถอื ดาบสองมอื ดว้ ยกนั สนิ ้
เปิดประตกู รูกนั ออกจากเมอื งไปเพลากลางคนื แลว้ วงิ่ เขา้ จโู่ จมโรมรกุ บกุ บนั ฟันปีกกาค่ายลอ้ มดา้ น
รมิ แมน่ า้ หนา้ ทพี่ ระยาราชวงั สนั และพลอาสาจามซงึ่ รกั ษาคา่ ยลอ้ มทงั้ หลายนัน้ กร็ ะดมปืนไฟใหญ่
นอ้ ยยงิ แยง้ ออกมาเป็ นโกลาหล และพระยารามเดโชกบั พลทงั้ หลายเป็ นคนดมี วี ชิ า อาวธุ มไิ ดถ้ กู ตอ้ ง
…ก็แหกหกั คา่ ยปีกกาพงั ลงได…้ กพ็ าพลทหารกรูกนั ลงไดใ้ นเรอื รบ ซงึ่ พระยาราชบงั สนั จดั แจงจอด
ไวร้ บั ณ ท่านา้ นัน้ ..”51
ในทสี่ ุดพระยารามเดโชก็หนีออกไปได ้ และเมอื งนครศรธี รรมราชกแ็ ตกพา่ ย เป็ นการยตุ สิ งครามที่
รบยดื เยอื้ มานานถงึ สามปี ลง โดยกรงุ ศรอี ยุธยาเป็ นฝ่ ายชนะ แตก่ ารในครงั้ นีก้ ลบั ทาใหพ้ ระยาราชวงั
สนั ถกู กล่าวหาวา่ เป็ น “กบฎศกึ ” พระยาราชวงั สนั ถกู จองจาหา้ ประการ นาไปตระเวณบกและถกู ตดั
หวั เสยี บประจาน ณ นครศรธี รรมราชน่ันเอง52
ดว้ ยพระยาราชวงั สนั ตอ้ งพระราชอาญาเป็ น “กบฏศกึ ” ซง่ึ สนั นิษฐานว่าคงถูกลงโทษในกระทงทเี่ บา
ทสี่ ดุ
“..สาหรบั พระยาราชบงั สนั นัน้ ปรากฏว่าท่านถกู ลงโทษในกระทง “อกุ ฤฏโ์ ทษ” สถานที่ ๓ ซงึ่
กาหนดว่า “ใหร้ บิ ราชบาตร แลว้ ใหฆ้ า่ เสยี โคตรนัน้ อย่าใหเ้ ลยี ้ งสบื ไปเลย” อนั เป็ นโทษสถานทเี่ บา
ทสี่ ุดในอกุ ฤฏโ์ ทษ แต่เนือ่ งจากทา่ นตอ้ งโทษถกู ประหารชวี ติ ทเี่ มอื งนครศรธี รรมราช ซงึ่ ลูกเมยี
ญาตพิ นี่ อ้ งทอี่ ยทู่ างกรงุ ศรอี ยธุ ยาไม่ทราบชดั ว่า ท่านตอ้ งโทษสถานไหน …. จงึ ไมม่ ใี ครกลา้ แสดง
ตวั ว่าเป็ นลูกเมยี พระยาราชบงั สนั ..”53
ขนุ ลกั ษมณา(บญุ ยงั )ผูเ้ ป็ นบตุ รของพระยาราชวงั สนั (ฮะซนั ) จงึ เงยี บหายไป และมาปรากฎชอ่ื อกี
ครง้ั หลงั จากเหตุการณน์ ้ันประมาณกวา่ ๒๐ ปี ในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทา้ ยสระ(ครองราชย ์
๒๒๕๑–๒๒๗๕) โดยรบั ราชการอยูใ่ นกองเรอื กรมกลาโหม และตอ่ มาท่านผูน้ ีค้ อื บดิ าของเจา้ พระยา
จกั ร(ี หมดุ )
51 อา้ งแลว้ .,
52 ประวตั ศิ าสตร ์ ตระกลู สลุ ตา่ น สลุ ยั มาน กรงุ เทพ : อมรนิ ทร ์ พรนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ หนา้ ๑๖๕
53 ประวตั ศิ าสตร ์ ตระกลู สลุ ตา่ น สุลยั มาน กรุงเทพ : อมรนิ ทร ์ พรนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ หนา้ ๑๖๗
๑๔
มสั ยดิ ตน้ สนในชว่ งรอยต่อกรุงศรอี ยธุ ยา-กรุงธนบรุ ี
ในชว่ งปลายสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา มสั ยดิ ตน้ สนยงั คงเป็ นเรอื นไมส้ กั ยกพนื้ ฝาขดั แตะ หลงั คามุง
กระเบอื้ ง ขนาด กวา้ ง ๖ เมตร ยาว ๘ เมตร ลกั ษณะคลา้ ยศาลาการเปรยี ญ ดา้ นหนา้ มชี านกวา้ ง
ประมาณ ๘ เมตร ยาว ๔ เมตร ดา้ นในมมี มิ บรั สรา้ งดว้ ยไม้ สกั สูง
หนึ่งศอกเศษ บนั ได ๓ ขน้ั มแี ท่นน่ังกวา้ งศอกเศษ สงู จาก พนื ้
สองศอก หลงั คาโคง้ ครงึ่ วงกลม ยาวประมาณ ๑ วา
ประกอบดว้ ยเสาขนาดเล็ก ๔ เสา
สงู จากพนื้ ประมาณ ๓ ศอกคบื
หนา้
จว่ั ครงึ่ วงกลม จว่ั หนา้ ทตี่ ง้ั ดา้ นนอกและดา้ นในมแี กะสลกั ลวดลายลง
รกั ปิ ดทองน่าดู ส่วนเมยี้ ะหรอบนั้นเล่า มลี กั ษณะคลา้ ยศาลาขนาดเล็ก
ทมี่ รี ูปแบบเป็ นสถาปัตยกรรมไทยประเพณีทง้ั หลงั ยาว ๒ ศอกเศษ มี
หลงั คาเป็ นรูปหนา้ จว่ั เหมอื นกนั และสลกั ตามแบบหลงั คาเรอื กญั ญาสูง
กวา่ ศรี ษะอหี ม่าม ลงรกั ปิ ดทองหนา้ จว่ั และชอ่ ฟ้ าใบระกา ตง้ั อยูก่ งึ่ กลาง
ชดิ ฝาดา้ นตะวนั ตก54 ในชว่ งนีม้ กี ารเปลยี่ นแปลงครง้ั ใหญใ่ นกรงุ ศรี
อยธุ ยาเมอ่ื พม่ายกทพั เขา้ มาตกี รุงศรอี ยธุ ยาในปี พ.ศ.๒๓๐๙ ในสมยั
สมเด็จพระทนี่ ่ังสรุ ยิ าสนอ์ มรนิ ทร(์ พระเจา้ เอกทศั ) ในครงั้ นั้นกรุงศรอี ยธุ ยาแตกพา่ ยแกพ่ ม่าขา้ ศกึ
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชครง้ั ยงั เป็ นพระยาวชริ ปราการ ไดต้ แี หวกวงลอ้ มพม่าออกมา และยก
ทพั ไปปราบหวั เมอื งต่าง ๆ และประกาศเอกราช ตงั้ ตนเป็ นปฐมบรมกษตั รยิ ์ โดยตง้ั กรุงธนบุรเี ป็ นราช
ธานีแทนกรงุ ศรอี ยุธยา ในชว่ งยกทพั ไปปราบหวั เมอื งต่าง ๆ น้ัน หลวงศกั ดนิ ์ ายเวรหรอื หลวงนาย
ศกั ดซิ ์ งึ่ เป็ นบตุ รของขนุ ลกั ษมณา(บุญยงั ) และขนุ ลกั ษมณาเป็ นบุตรของพระยาราชวงั สนั (ฮะซนั )
ซงึ่ สบื สกุลมาจากสลุ ต่านสลุ ยั มาน(ชาห)์ แหง่ เมอื งสงขลา ในขณะทสี่ มเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช
ยกทพั ไปตเี มอื งจนั ทบรุ ี ไดเ้ ขา้ มาถวายตวั ทาราชการ
“..ฝ่ ายหลวงนายศกั ดเิ ์ป็ นเชอื ้ แขกออกไปราชการ ณ เมอื งจนั ทบรู แต่กอ่ นทพั พมา่ ยงั ไมม่ าลอ้ ม
กรงุ เทพมหานคร ยงั คา้ งอยใู่ นเมอื งจงึ มาเฝ้ าถวายตวั เป็ นขา้ ทาราชการสบื ไป ก็โปรดเลยี ้ งไวด้ ว้ ยเป็ น
ขา้ ราชการเกา่ รขู ้ นบธรรมเนียมจะไดป้ รกึ ษาราชกจิ การงานทงั้ ปวง..”55
หลวงนายศกั ดไิ ์ ดม้ บี ทบาทในการสูร้ บรว่ มกนั กบั สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช โดยใชเ้ งนิ ที่
เก็บส่วยสาอากรจากเมอื งจนั ทบรุ 5ี 6มาตอ่ เป็ นเรอื รบ
“..ในวนั นัน้ กเ็ สด็จกลบั มา ณ เมอื งจนั ทบูรโดยทางทะเล ตงั้ ยบั ยงั้ อยตู่ อ่ เรอื รบ ณ เมอื งจนั ท
บรู ประมาณสามเดอื น ไดเ้ รอื รอ้ ยลาเศษ…” 57
ดว้ ยหลวงนายศกั ดเิ ์ องมคี วามชานาญในดา้ นการเดนิ เรอื และต่อเรอื จงึ ทาใหต้ อ่ เรอื ไดร้ วดเรว็
ประกอบกบั ไดส้ าเภาของจนี ทเี่ มอื งตราดมารว่ มดว้ ย จงึ ทาใหม้ เี รอื รบขนาดบรรทกุ ได ้ ๔๐–๕๐ คน
54 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน หนา้ ๑๒–๑๓
55 ศลิ ปากร, กรม, .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา . กรงุ เทพ:โรงพมิ พด์ อกเบยี้ พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๑๖๐
56 หลวงนายศกั ดอิ ์ อกไปราชการเก็บส่วยอากรเมอื งจนั ทบุรี ไดป้ ระมาณ ๓๐๐ ชง่ั เมอื่ กรงุ แตกจงึ นามาถวายพระเจา้ ตาก
57 ศลิ ปากร,กรม, .อา้ งแลว้ . หนา้ ๑๖๑
๑๕
ถงึ ประมาณ ๑๐๐ ลาเศษ58 กองทพั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชสามารถตเี มอื งธนบุรซี ง่ึ พมา่
มอบใหน้ ายทองอนิ ปกครองดแู ล หลงั จากยดึ เมอื งธนบรุ ไี ดแ้ ลว้ กย็ กกองทพั ไปตคี ่ายโพธสิ ์ ามตน้
ของพมา่ ซง่ึ ตงั้ อยทู่ กี่ รุงศรอี ยธุ ยา กองทพั ไดร้ บั ชยั ชนะโดยสามารถฆ่าสกุ แี้ ม่ทพั ของพมา่ ตายใน
สนามรบ ทาใหก้ รุงศรอี ยุธยากลบั คนื สู่อสิ รภาพภายในระยะเวลาเพยี ง ๗ เดอื นหลงั จากเสยี กรุงศรี
อยธุ ยา ซงึ่ หน่ึงในบรรดาผกู้ อบกอู ้ สิ ระภาพก็คอื หลวงนายศกั ดิ ์
เมอ่ื สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงสถาปนากรงุ ธนบุรเี ป็ นราชธานีแห่งใหม่ในปี พ.ศ.๒๓๑๑ ใน
การนีโ้ ปรดเกลา้ ฯพระราชทานบาเหน็จความดคี วามชอบแกข่ า้ ราชการทไี่ ดร้ ว่ มกอบกบู ้ า้ นเมอื งให ้
กลบั มามอี สิ ระภาพดงั เดมิ สาหรบั หลวงศกั ดนิ ์ ายเวรโปรดเกลา้ ฯใหเ้ ป็ นอคั รมหาเสนาบดี มี
บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น เจา้ พระยาจกั รศี รอี งครกั ษ์ ดารงตาแหน่ง สมุหนายก ซง่ึ มอี านาจหนา้ ทปี่ กครองดแู ล
หวั เมอื งตงั้ แตเ่ หนือสุดของประเทศจดดนิ แดนภาคกลางของประเทศ (สว่ นหวั เมอื งทเี่ ป็ นคาบสมทุ ร
ทางภาคใตข้ องประเทศอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสมหุ กลาโหม)
เจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ ) รบั ราชการในตาแหน่งสมหุ นายก ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๓๑๑ เน่ืองจาก
ในชว่ งน้ันเป็ นชว่ งหลงั จากสนิ้ กรุงศรอี ยธุ ยาไมน่ าน และสถาปนากรุงธนบรุ เี ป็ นราชธานีใหม่ การ
แข็งเมอื งมแี ทบทุกหยอ่ มหญา้ ทาใหเ้ จา้ พระยาจกั รตี อ้ งออกรบทพั จบั ศกึ อยูแ่ ทบจะตลอดเวลาในชว่ ง
ชวี ติ ของทา่ น เชน่ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชโปรดเกลา้ ฯใหเ้ จา้ พระยาจกั รคี ุม
ทพั ไปตเี มอื งนครศรธี รรมราช
“.…….ยกกองทพั ไปตเี มอื งณครศรธี รรมราช เจา้ พญาจกั กรี พญายมราช พญาเพชรบุรยี
พญาอภยั รณฤทธิ ์สนี่ าย ยกกอ่ นเป็ นกองหนา้ ไปโดยทางสถลมารค ไพรท่ หารหา้ พนั เศษตลี ว่ งเมอื ง
ไชญาแลทา่ ขา้ ม...”59
ทง้ั นีโ้ ดยให้ “…เจา้ พระยาจกั รี คอื ทเี่ ป็ นหลวงนายศกั ดคิ ์ รงั้ กรงุ เกา่ และเป็ นเชอื ้ แขก เป็ นแม่ทพั ใหญ่
พระยายมราช พระยาศรพี พิ ฒั น์ พระยาเพ็ชรบรุ ี เป็ นนายกองคุมทพั บกมจี านวนพล ๕,๐๐๐60 ยก
ไปตเี มอื งนครศรธี รรมราช….”61
การศกึ ครง้ั นั้นไม่สามารถตเี มอื งนครศรธี รรมราชได ้ เนื่องจากเจา้ เมอื งนครศรธี รรมราชมไี พร่
พลกาลงั ทเี่ หนือกว่า จงึ ถอยทพั ไปตง้ั หลกั ทเี่ มอื งไชยา สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชจงึ ยกทพั หลวง
ไปดว้ ยพระองคเ์ อง เมอื่ ทพั หลวงยกทพั มาถงึ เมอื งเพชรบุรี และเลยไปไชยา ทรงโปรดใหพ้ ระยายม
ราชเป็ นแมก่ องทพั บก และเจา้ พระยาจกั รกี บั พระยาพไิ ชยราชาคมุ ทพั หลวงยกลงไปทางหนึ่ง สมเด็จ
พระเจา้ ตากสนิ มหาราชยกทพั ไปอกี ทางหน่ึง62 ทางทพั พระยานครศรธี รรมราชทราบข่าวว่าสมเด็จ
พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงยกทพั หลวงมาดว้ ยพระองคเ์ อง ก็ตกใจเกรงกลวั ในพระบรมเดชานุภาพ
มไิ ดต้ ง้ั อย่สู รู ้ บ พากนั ทงิ้ เมอื งเสยี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชก็เสด็จเขา้ เมอื งนครศรธี รรมราช
โดยงา่ ย
58 ใน ประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย หนา้ ๒๑๙ พล.ร.ต. แชน ปัจจสุ านนท ์ วเิ คราะหไ์ วว้ ่า เรอื รบจานวน ๑๐๐ลานี้ นอกจากจะต่อเองแลว้ น่าจะ
เป็ นเรอื เดนิ ทะเลทเ่ี กณฑเ์ อามาจากราษฎรทางหวั เมอื งชายทะเลรวมอยู่ดว้ ย
59 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเลม่ ๓ หนา้ ๔๙๑
60 จะเห็นไดว้ า่ ยกพลไปเพียง ๕,๐๐๐ คนเท่าน้ัน เนื่องจากเป็ นชว่ งตงั้ ราชธานีใหม่ยงั มไี พรพ่ ลนอ้ ย
61 ดารงราชานุภาพ, กรมพระยา. พงศาวดารเรอื่ งไทยรบพะม่าครงั้ กรงุ ธนบรุ ี หนา้ ๔๓
62 อา้ งแลว้ , . หนา้ ๔๖
๑๖
หลงั จากน้ันทรงโปรดใหเ้ จา้ พระยาจกั ร(ี หมุด) ออกตดิ ตามหาตวั เจา้ เมอื งนครศรธี รรมราชซงึ่
หนีไปทเี่ มอื งปัตตานี ซงึ่ ทา่ นกส็ ามารถตดิ ตามนาตวั มาถวายไดเ้ ป็ นผลสาเรจ็
“..ฝ่ ายเจา้ พระยาจกั รี แม่ทพั เรอื เจา้ พระยาพชิ ยั ราชา แมก่ องทพั บก ยกตดิ ตามเจา้ เมอื งลครไปถงึ
เมอื งเทพา จบั จนี แขก มาไถ่ถามไดเ้ นือ้ ความวา่ เจา้ เมอื งลครหนีไปเมอื งตานี เจา้ พระยาจกั รี พระยา
พชิ ยั ราชาจงึ่ มหี นังสอื ไปถงึ พระยาตานี ๆ มอิ าจขดั ไวไ้ ด้ จงึ่ สง่ เจา้ พระยาลคร พระยาพทั ลงุ พระยา
สงขลา เจา้ พทั ลุงเจา้ กลางกบั ทงั้ บุตรภรรยามาให้ เจา้ พระยาจกั รจี งึ่ จาคนโทษทงั้ ปวงใส่เรอื รบมา
ถวาย ณ เมอื งสงขลา..”63
ยทุ ธนาวโี ดยทพั หลวงครงั้ แรกและครงั้ เดยี วในประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย
ในปี พ.ศ.๒๓๑๔ สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชดารใิ หจ้ ดั กองทพั ไปปราบปรามกมั พชู าให ้
ราบคาบ โดยโปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยายมราชเป็ นแมท่ พั บก64ยกทพั ไปทางเมอื งปราจนี บรุ ี ตเี มอื งพระ
ตะบอง เมอื งโพธสิ ตั ว ์ ตลอดลงไปจนบรรจบกบั ทพั เรอื ทเี่ มอื งพุทไธเพชร
“วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๑ ขนึ ้ ๙ คา่ ปีเถาะตรศี ก (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔) กองพระยา
ยมราชยกไปทางบก เป็ นคน………”65
และโปรดใหเ้ จา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)66เป็ นแมท่ พั เรอื ในกองเรอื ทพั หลวง
“กองเจา้ พระยาจกั รี เรอื รบ ๘ เรอื กลาบู ๔ เรอื ปากปลา๑ ( รวม ) ๑๓ ลา คน นาย ๒๑ ไพร่
๖๖๘ ( รวม ) ๖๘๙ ( คน ) ปืนหนา้ เรอื ๘ ปืนรายแคม๑๖ ปืนคาบศลิ า ๑๕๔ (รวม)๑๗๘ (บอก)”67
เมอื่ ทพั หลวงเดนิ ทพั เรอื มาถงึ ปากนา้ เมอื งพทุ ไธมาศ โปรดใหม้ หี นังสอื ไปถงึ พระยาราชา
เศรษฐี เจา้ เมอื งพทุ ไธมาศ ใหย้ อมสวามภิ กั ดเิ ์ สยี โดยดี พระยาราชาเศรษฐไี ม่ยอมสวามภิ กั ดิ ์ จงึ ทรง
สง่ั ใหท้ ายทุ ธการทงั้ ทางบกและทางน้า
“…ในวนั นัน้ สงั่ ใหพ้ ระยาอภยั รณฤทธ6ิ ์ 8ไปตงั้ คา่ ยสกดั อยเู่ ชงิ เขาฝ่ ายทศิ ตะวนั ออก……วนั
เสาร ์ เดอื น ๑๒ ขนึ ้ ๑๐ คา่ ปีเถาะตรศี ก ( พ.ศ. ๒๓๑๔ ) เพลาเชา้ โมงเศษ ทรงพระอตุ สาหะเสด็จ
ฯ ไปดว้ ยพระบาท ยนื อยู่ฟากตะวนั ออกตรงป้ อมหนา้ เมอื ง สงั่ เจา้ พระยาจกั รี พระยาทพิ โกษาตรสั ชี ้
63 พระราชพงศาวดารกรงุ สยามจากตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรงุ ลอนดอน หนา้ ๖๗๔
64 ใน พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา หนา้ ๑๘๒ บนั ทกึ ว่า เจา้ พระยาจกั ร(ี ทองดว้ ง)เป็ นแม่ทพั บก แต่ใน ประชมุ พงศาวดารภาค
ที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรุงธนบุรี คราวปราบเมอื งพุทไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ ๑ บนั ทกึ ว่า พระยายมราช (ดว้ ง)เป็ นแม่
ทพั บก แต่ก็สรปุ ไดว้ ่าแม่ทพั บก คอื สมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจฬุ าโลก
65 ใน ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรงุ ธนบุรี คราวปราบเมอื งพทุ ไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ 1 ระบวุ ่า
พระยายมราชท่านนีค้ อื สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก
66 ใน พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา หนา้ ๑๘๒ บนั ทกึ ว่า “ขณะนัน้ เจา้ พระยาจกั รแี ขกถงึ แก่กรรม จงึ โปรดตงั้ พระยายมราช
ผวู้ ่าทสี่ มหุ นายกอยูก่ อ่ นนนั้ เป็ นทเี่ จา้ พระยาจกั รแี ทน” ซงึ่ เป็ นขอ้ ความทข่ี ดั แยง้ กบั ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรุง
ธนบุรี คราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมร เมือ่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ ๙ ซงึ่ บนั ทกึ ว่าเจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)ยงั มีชวี ติ อยู่และเป็ นแม่ทพั เรอื ในกอง
เรอื ทพั หลวง และพระยายมราชยงั อยู่ในตาแหน่งเดมิ
67 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรงุ ธนบรุ ี คราวปราบเมอื งพุทไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ ๙
68 พระยาอภยั รณฤทธ(ิ์ หมดั หรอื จยุ้ )ท่านนีค้ อื บุตรชายของเจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ ) ไดเ้ ลอื่ นเป็ นพระยาอภยั รณฤทธพิ์ รอ้ มกบั ทพ่ี ระยาอภยั รณ
ฤทธ(ิ์ ทองดว้ ง)ไดเ้ ลอ่ื นเป็ นพระยายมราช และต่อมาไดเ้ ลอื่ นเป็ นพระยายมราช พรอ้ มกบั ทพี่ ระยายมราช(ทองดว้ ง)ไดเ้ ลอื่ นเป็ นพระยาจกั รี ดู
นิธิ เอยี วศรวี งศ ์ , การเมอื งไทยสมยั พระเจา้ กรุงธนบุร,ี หนา้ ๓๑๔
๑๗
พระหตั ถไ์ ปใหท้ าค่ายนา้ ๒ ฟาก69 ไวห้ ว่างกลางกวา้ งประมาณ ๑๐ เสน้ จะไดใ้ หเ้ รอื รบซงึ่ ปืนหนา้
เรอื กนิ ดนิ ชงั่ หนึง่ คอยรบจบั เอาอา้ ยเหลา่ รา้ ยซงึ่ จะหนีออกไปนัน้ …”70
การรบครง้ั นีท้ พั เมอื งพทุ ไธมาศไม่สามารถตา้ นทพั หลวงของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช
ซงึ่ ยกมาตที ง้ั ทางบกและทางน้าได ้ พระยาราชาเศรษฐที งิ้ เมอื งลงเรอื ออกทะเลหนีไปได ้ หลงั จากทรง
จดั แจงเมอื งพทุ ไธมาศแลว้ ทรงโปรดใหพ้ ระยาพพิ ธิ เป็ นพระยาราชาเศรษฐคี รองเมอื งพทุ ไธมาศ และ
ทรงยกทพั หลวงไปทางชลมารคขนึ้ ไปยงั เมอื งพทุ ไธเพชร จนถงึ เกาะพนมเพญ เพอ่ื ตกี รงุ กมั พูชา
เมอื่ กองเรอื ทพั หลวงตไี ดพ้ ทุ ไธเพชรแลว้ เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)เฝ้ ากราบทลู พระกรุณาวา่ เจา้
เมอื งพทุ ไธเพชรหนีไปอยูบ่ า้ นบ่อพนม จงึ ดารสั สง่ั เจา้ พระยาจกั รี พระศรรี าชเดโช พระทา้ ยน้า ใหย้ ก
ไปตาม ทพั เจา้ พระยาจกั รไี ดต้ ดิ ตามไปถงึ บาพนมแตจ่ บั ตวั องคพ์ ระอไุ ทยราชาไม่ได ้ เพราะญวน
เมอื งลูกหนาย71มารบั ตวั หนีลงไปเมอื งญวนแลว้ 72
สว่ นทพั บกซงึ่ พระยายมราชเป็ นแมท่ พั บกไดย้ กเขา้ ตเี มอื งปัตบอง เมอื งโพธสิ ตั ว ์ และเมอื งบรบิ รู ณไ์ ด ้
แลว้ ก็ยกไปจะตเี มอื งพทุ ไธเพชร แตไ่ ดข้ ่าวว่ากองเรอื ทพั หลวงตไี ดเ้ มอื งพทุ ไธเพชรแลว้ จงึ ยกรบี มา
ตามเสด็จฯ พบวา่ กองทพั หลวงกลบั ไปพุทไธมาศแลว้ 73 ต่อมาสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรง
โปรดใหพ้ ระยายมราชและพระยาโกษาอยชู่ ว่ ยราชการเมอื งพุทไธเพชรกอ่ น แลว้ ยกทพั หลวง
กลบั คนื ยงั กรุงธนบรุ โี ดยทางชลมารค
อนึ่ง การยกทพั เรอื เป็ นทพั หลวงหรอื ทพั กษตั รยิ ไ์ ปทาการรบกบั ขา้ ศกึ ศตั รนู ี้ ตามประวตั ศิ าสตรข์ อง
เมอื งไทยเห็นจะมแี ตใ่ นสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชเท่านั้น เพราะไม่เคยปรากฎว่ามี
พระมหากษตั รยิ ข์ องเมอื งไทยทไี่ ดเ้ สด็จยกทพั หลวงไปทางทะเลเลยสกั พระองคเ์ ดยี ว ไมว่ ่าในสมยั ใด
ๆ74 และแมท่ พั เรอื ในกองเรอื ทพั หลวงทไี่ ดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยุคลบาทสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช
อย่างเขม้ แข็งอย่างยงิ่ ในการยทุ ธนาวคี รง้ั นีก้ ็คอื เจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )น่ันเอง
มสั ยดิ ตน้ สนชว่ งกรุงธนบุรี คลาคลา่ ไปดว้ ยขนุ นางและผูค้ น
เน่ืองจากพระราชวงั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชอย่ไู มห่ ่างจากมสั ยดิ ตน้ สนมากนัก จงึ
มขี นุ นางในราชสานัก เชน่ เจา้ พระยาจกั รี พระยายมราช(บตุ รเจา้ พระยาจกั ร)ี พระยาราชวงั สนั ฯลฯ
แวะเวยี นมาประกอบศาสนกจิ กนั อย่างสม่าเสมอ นอกจากนี้ เมอ่ื กรงุ ศรอี ยุธยาตกเป็ นของพม่า ชาว
มุสลมิ ทอี่ าศยั อย่ใู นกรุงศรอี ยุธยาก็ถอยเรอื แพ อพยพจากกรุงศรอี ยุธยาลงมาตงั้ บา้ นเรอื นเรยี งราย
ตงั้ แตน่ นทบุรี บางออ้ บางพลดั บางกอกนอ้ ย บางกอกใหญ่ เลยไปจนถงึ บางลาภลู า่ ง มสั ยดิ ตน้ สน
ในสมยั นั้นจงึ คลาคล่าไปดว้ ยขนุ นางและผคู้ นเป็ นจานวนมากจนตอ้ งขยายขนาดมสั ยดิ ออกไปทง้ั ๔
ดา้ นอกี ครง้ั โดยปักเสา ต่อพนื้ และต่อเพงิ โดยมคี วามกวา้ ง ๑๐ เมตร ยาว ๑๕เมตรเศษ ภายใน
ประดบั ดว้ ยโคมหวดนอ้ ยใหญซ่ ง่ึ ไดร้ บั พระราชทานมาจากสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชบา้ ง ของ
69 คอื ใหเ้ จา้ พระยาจกั รแี ละพระยาทพิ โกษาเอาเรอื ขนาดใหญ่บรรทกุ ปืนใหญ่จอดไวท้ งั้ สองฟากของปากน้าพุทไธมาศคอยระดมยงิ เรอื ขา้ ศกึ
ทจ่ี ะหนีออกสูท่ ะเล ดู แชน ปัจจสุ านนท ์ , พล.ร.ต., ประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย, หนา้ ๒๓๔
70 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ หนา้ ๖
71 ญวนเมอื งไซง่ อ่ น
72 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ หนา้ ๑๔
73 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรุงธนบรุ ี คราวปราบเมอื งพุทไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ ๓๐
74 ดู แชน ปัจจสุ านนท ์ , พล.ร.ต., ประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย, หนา้ ๒๔๐
๑๘
ขนุ นางผใู้ หญใ่ นราชสานักบา้ ง เป็ นจานวนมาก สว่ นลกั ษณะภายนอกยงั คงเหมอื นศาลาการเปรยี ญ
เชน่ เดมิ 75
ในชว่ งสมยั กรุงธนบรุ นี ีเ้ อง มสั ยดิ ตน้ สนไดร้ บั พระราชทานไมก้ ระดานสลกั ลายอลั กรุ อ่านจาก
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช โดยไมก้ ระดานนีไ้ ดล้ อยนา้ มาตดิ ทศี่ าลาทา่ น้าหนา้ มสั ยดิ ฯ นายกอง
ทหารทเี่ กบ็ ไดก้ น็ ามาทลู ถวายใหส้ มเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรง
เห็นเป็ นนิมติ ดแี กม่ สั ยดิ ตน้ สนจงึ พระราชทานไมก้ ระดานนีใ้ หแ้ กม่ สั ยดิ ตน้ สน นอกจากนี้ เมอื่ ครง้ั
เจา้ พระยาจกั รถี งึ แก่ อสญั กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๑๗76 สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชเสด็จพระ
ราชดาเนินมารว่ มพธิ ฝี ังศพดว้ ยพระองคเ์ องทมี่ สั ยดิ ตน้ สน และพระราชทานทดี่ นิ ดา้ นหลงั กบุ ูรใหแ้ ก่
มสั ยดิ ตน้ สนเพม่ิ เตมิ ดว้ ย
พระยายมราช(หมดั หรอื จยุ้ )บุตรผูส้ บื ทอดความจงรกั ภกั ดี
เมอ่ื เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)ถงึ แกอ่ สญั กรรมในปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๗ ทรงโปรดเกลา้ ฯแตง่ ตงั้ พระ
ยายมราช(ทองดว้ ง) เป็ นพระยาจกั รวี า่ ทสี่ มุหนายก77 และเลอื่ นพระยาอภยั รณฤทธ(ิ ์ หมดั )ซง่ึ เป็ นบตุ ร
ของเจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)เป็ นพระยายมราชแทน ซง่ึ ในพระราชพงศาวดารเรยี กวา่ พระยายมราช
แขก
พระยายมราช(หมดั )ท่านนี้ เมอ่ื ครงั้ เป็ นพระยาอภยั รณฤทธิ ์ ไดเ้ ขา้ รว่ มรบั ราชการสงคราม
ดว้ ยกนั กบั บดิ าเมอ่ื ครงั้ ยกทพั ไปปราบปรามกมั พชู า ในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ พระยาอภยั รณฤทธไิ ์ ดร้ ว่ ม
ทพั มากบั กองทพั เรอื หลวง และเมอื่ พระราชาเศรษฐไี ม่ยอมสวามภิ กั ดแิ ์ ตโ่ ดยดี สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ
มหาราชทรงมพี ระราชดารสั ใหต้ ง้ั ค่ายทางบกทางทศิ ตะวนั ออก
“..ในวนั นัน้ สงั่ ใหพ้ ระยาอภยั รณฤทธไิ ์ ปตงั้ คา่ ยสะกดั อยณู่ เชงิ เขาฝ่ ายทศิ ตะวนั ออก พระยา
พชิ ยั ไอศวรรย ์ แลเรอื รบอาษาหกเหลา่ กองหนา้ นัน้ ใหต้ ากนั รบอยทู่ า้ ยกอะหนา้ เมอื งฝ่ าย
ตะวนั ออก..”78
และใหเ้ จา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )ตง้ั ค่ายนา้ ๒ ฟากแม่น้า ทงั้ เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)และพระยาอภยั
รณฤทิ ธผิ ์ เู้ ป็ นบตุ ร ไดร้ บพงุ่ กบั ขา้ ศกึ เต็มความสามารถ กองทพั เมอื งพทุ ไธมาศไมส่ ามารถตา้ นทาน
75 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน หนา้ ๑๔
76 ใน พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา เล่ม๒ หนา้ ๑๘๒ บนั ทกึ ว่า เจา้ พระยาจกั รแี ขกถงึ แกก่ รรมกอ่ นจะไปตกี มั พูชา (ชว่ งตน้ ปี
พ.ศ.๒๓๑๔) แมแ้ ต่ไมบ้ ซิ นั (ป้ ายบอกชอื่ ผูว้ ายชนม)์ ของเจา้ พระยาจกั รที สี่ ุสานมสั ยดิ ตน้ สนก็ระบุปี ท่ี อสญั กรรมเป็ นปี พ.ศ.๒๓๑๔(เป็ นแผ่น
หนิ ออ่ นทที่ าขนึ้ มาในสมยั หลงั ๆ สว่ นไมบ้ ซิ นั ของเดมิ เป็ นหนิ สลกั เป็ นรูปใบเสมาขนาดใหญ่ไมม่ รี ะบุปี พ.ศ.ทถี่ งึ แกก่ รรม) ซงึ่ คาดว่าคงจะใชป้ ี
ทถ่ี งึ อสญั กรรมจากพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา แต่มบี นั ทกึ หลายแห่งทขี่ ดั แยง้ กบั พระราชพงศาวดารดงั กล่าว เชน่ ในประชมุ
พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรุงธนบุรคี ราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมร เมือ่ พ.ศ. ๒๓๑๔ เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)ยงั คงมี
ชวี ติ อยู่และไปราชการทพั เมื่อครง้ั ยกทพั หลวงไปตเี มืองกมั พูชาในตาแหน่งแม่ทพั เรอื กองเรอื ทพั หลวงในปี พ.ศ.๒๓๑๔ ในสาเนาทอ้ งตราปี
มะเมีย พ.ศ.๒๓๑๗ ก็ยงั ระบุเจา้ พระยาจกั รเี ป็ นผูอ้ อกหนังสอื ทอ้ งตราจนถงึ แรม ๑๑ ค่าเดอื น ๑๒ ปี มะเมีย และปรากฎเรอ่ื ง มรดกเจา้ พระยา
จกั ร(ี หมุด)ในบญั ชชี า้ งหลวงปี พ.ศ.๒๓๑๙ ดู ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๓ หนา้ ๕๓๕ และ ๕๔๐ และมปี รากฎว่าพระยา
ยมราช(ทองดว้ ง)ไดเ้ ลอื่ นเป็ นพระยาจกั รใี น ขนึ้ ๑ ค่า เดือนย่ี ปี พ.ศ.๒๓๑๗(ปลายปี พ.ศ.๒๓๑๗ เน่ืองจากปฏิทนิ ไทยเดมิ นบั ขนึ้ ปีใหมใ่ นเดอื นสี่) ดู พระราชพงศาวดาร
กรงุ สยามจากตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ อง บรติ ชิ มวิ เซยี มกรุงลอนดอน หนา้ ๖๙๑ และ ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๕ พงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบบั
พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) หนา้ ๔๘ และ วไิ ลเลขา บูรณศริ ,ิ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒ ตาราเรยี นภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์ ม.รามคาแหง หนา้ ๒ คาดว่า
เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)น่าจะถงึ แก่อสญั กรรมในชว่ งเดอื น ๑๒ หรอื เดอื นอา้ ย ปี พ.ศ.๒๓๑๗ ก่อนทที่ พั หลวงจะยกไปตเี ชยี งใหม่ในปี พ.ศ.
๒๓๑๗ ดู นิธิ เอยี งศรวี งศ,์ การเมอื งไทยสมยั พระเจา้ กรุงธนบรุ ี หนา้ ๓๑๓–๓๑๔
77 วไิ ลเลขา บรู ณศริ ,ิ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒ ตาราเรยี นภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์ ม.รามคาแหง หนา้ ๒ และมปี รากฎวา่ พระยายมราช(ทองดว้ ง)
ไดเ้ ลอื่ นเป็ นพระยาจกั รใี น ขนึ้ ๑ ค่า เดอื นย่ี ปี พ.ศ.๒๓๑๗(ปลายปี พ.ศ.๒๓๑๗ เนื่องจากปฏิทนิ ไทยเดิมนบั ขนึ้ ปีใหมใ่ นเดอื นส่ี) ดู พระราชพงศาวดารกรงุ สยามจาก
ตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรงุ ลอนดอน หนา้ ๖๙๑
78 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรงุ ธนบรุ ี คราวปราบเมอื งพุทไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ หนา้ ๖
๑๙
ไดจ้ งึ แตกพ่าย แตพ่ ระยาราชาเศรษฐหี นีไปได ้ การศกึ ในครงั้ นั้นกองเรอื ทพั หลวงของสมเด็จพระเจา้
ตากสนิ มหาราชตไี ดเ้ มอื งพทุ ไธมาศ และตเี ลยไปไดเ้ มอื งพทุ ไธเพชร
เมอ่ื เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด)ถงึ แกก่ รรมลง จงึ โปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยาอภยั รณฤทธเิ ์ ป็ นพระยายม
ราช และพระยายมราช(หมดั )ไดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยุคลบาทในราชการสงครามอยา่ งเขม้ แข็งไมต่ ่างไป
จากผเู้ ป็ นบดิ า โดยในปี พ.ศ.๒๓๑๘ กองทพั พมา่ โดยการนาของอะแซหวนุ่ กี้ ไดย้ กทพั ใหญเ่ ขา้ มาตี
เมอื งไทยทางดา่ นแมล่ ะเมา ทพั หลวงไทยโดยการนาของพระยาจกั ร(ี ทองดว้ ง)ไดไ้ ปตง้ั รบั ทเี่ มอื ง
พษิ ณุโลก79ในครงั้ นีส้ มเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชโปรดใหพ้ ระยายมราช(หมดั )ถอื อาญาสทิ ธิ ์
บงั คบั ทพั ๑๐ทพั ซงึ่ ตง้ั รบั พม่าทคี่ ลองกระพองใหก้ ลา้ ขนึ้ 80 ในวนั ศกุ รเ์ดอื น ๔ขนึ้ ๑๒ คา่ กองทพั
พม่าลงไปโอบหลงั ทพั หลวง แลว้ แบง่ กนั เขา้ หกั ค่ายพระยายมราชได้ แตพ่ ระยายมราชกส็ ามารถตี
หกั เขา้ คนื ชงิ เอาค่ายได ้
“..แลว้ ใหห้ าพระยายมราชซงึ่ ตงั้ ณ วดั จนั ทรล์ งมาเฝ้ า ใหถ้ อื อาชญาสทิ ธบิ งั คบั ทพั ๑๐ ทพั
ซงึ่ ตงั้ รบั พะมา่ ณคลองกะพองใหก้ ลา้ ขนึ ้ …. ขณะนัน้ กองทพั พะมา่ วกไปตงั้ โอบหลงั ทพั หลวง แลว้
แบง่ กนั เขา้ แหกคา่ ยพระยายมราชได้ ในทนั ใดนัน้ พระยายมราชขบั ทหารเขา้ ตคี นื ชงิ เอาคา่ ย
ได…้ ”81
การศกึ ในครงั้ น้ันทพั หลวงไทยซงึ่ ตง้ั อยทู่ เี่ มอื งพษิ ณุโลกตอ้ งเสยี ทแี กพ่ มา่ เนื่องจากถกู ลอ้ ม
อยู่นานจนกระทง่ั ขาดแคลนเสบยี งอาหารอย่างหนัก พระยาจกั ร(ี ทองดว้ ง) และเจา้ พระยาสรุ สหี จ์ งึ ตี
หกั คา่ ยออกจากเมอื งพษิ ณุโลกไปทางเมอื งเพชรบูรณแ์ ละสามารถอพยพผคู้ นออกไปจากเมอื งได้
ประกอบกบั พม่ามกี ารผลดั แผน่ ดนิ ใหม่ อะแซหวุน่ กจี้ งึ ยกทพั หลวงกลบั แต่ทพั พม่าบางสว่ นยงั คง
หลงเหลอื อย่ทู อี่ ทุ ยั ธานี พระเจา้ อยู่หวั จงึ ทรงโปรดเกลา้ ใหพ้ ระยายมราช(หมดั )ยกทพั ไปทอี่ ทุ ยั ธานี
แต่ไมส่ ามารถเขา้ ตที พั พม่าทอี่ ทุ ยั ธานีได ้ เน่ืองจากไพรพ่ ลนอ้ ยและขดั สนเสบยี งอาหาร จงึ ลา่ ถอย
ทพั กลบั มาทดี่ อนไกเ่ ถอื่ น จงึ โปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยายมราชยกทพั กลบั มาทนี่ ครชยั ศรแี ละคุมไพลพ่ ล
ทานา ณ แขวงเมอื งนครชยั ศรี หลงั จากนั้นใหร้ ว่ มไปกบั กองทพั หลวงไปตพี ม่าทกี่ าแพงเพชร82 พมา่
ไมส่ ามารถตา้ นทานไดแ้ ตกกระเซน็ ไปคนละทศิ ทาง จงึ ทรงโปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยายมราชคุมทพั ไป
ตามพมา่ ถงึ ด่านแมล่ ะมาว
“..ณวนั ๗๔ฯ ๑๐ คา่ กองพระยายมราช, พระยารามญั ตามพะม่า ไปถงึ ด่านแมล่ ะมาว ยงิ
พะมา่ ตายลาบากเป็ นอนั มาก จบั เป็ นได้ ๑๗ คน…”83
พ.ศ. ๒๓๒๒ ถูกประหารโดยปราศจากความผดิ
พระยายมราช(หมดั ) ไดร้ บั ใชร้ าชการสงครามต่อมาอกี นานหลายปี จนกระทง่ั ในปี พ.ศ.
๒๓๒๒มหาดาทบี่ วชอยู่ ณ วดั พระรามในกรุงศรอี ยุธยา คดิ การเป็ นกบฎตอ่ แผ่นดนิ แต่งตงั้ ชาวบา้ น
เป็ นขนุ นางในทกุ ตาแหน่ง ยกเวน้ ตาแหน่งพระยายมราช ครน้ั สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรง
ทราบ กโ็ ปรดใหข้ า้ หลวงขนึ้ ไปจบั ตวั มหาดาลงมาทกี่ รงุ ธนบุรี ทรงลงพระราชอาญาเฆย่ี นเหลา่ กบฎ
79 วไิ ลเลขา บรู ณศริ ,ิ อา้ งแลว้ . หนา้ ๓
80 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๕ พงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) หนา้ ๗๓
81 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๒ หนา้ ๓๖๑
82 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๒ หนา้ ๓๖๕
83 ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๕ พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) หนา้ ๘๐
๒๐
และจองจาไว ้ ครนั้ ไดท้ รงทราบวา่ มหาดาตง้ั พรรคพวกเป็ นขนุ นางครบทกุ ตาแหน่ง ขาดตาแหน่ง
พระยายมราชตาแหน่งเดยี ว จงึ ใหเ้ อาพระยายมราช(หมดั )ไปใส่ใหค้ รบตาแหน่งขนุ นาง84 แลว้ ใหเ้ อา
พระยายมราช มหาดา และสมคั รพรรคพวกทง้ั หมดไปประหารชวี ติ เสยี ทหี่ นา้ ป้ อมวชิ ยั ประสทิ ธิ ์ พระ
ยายมราช(หมดั )จงึ จบชวี ติ ลงโดยปราศจากการไตส่ วนความผดิ ทงั้ นีเ้ พราะสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ
มหาราชทรงเสยี พระสตไิ ปแลว้ น่ันเอง85
ขณะทเี่ พชฌฆาตนาตวั ทา่ นเขา้ หลกั ประหาร ทา่ นไดบ้ อกบอกทหารใหน้ าความกราบบงั คมทลู ขอ
เขา้ เฝ้ า แต่กไ็ มท่ รงอนุญาต เพชฌฆาตจงึ ลงดาบหลายครง้ั แต่ฟันไม่เขา้ นายทหารทอี่ ยู่ ณ ทนี่ ั้นได ้
ขอรอ้ งพระยายมราชว่า เพชฌฆาตจาเป็ นตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามพระราชโองการ ขอใหท้ า่ นยนิ ยอมเสยี เถดิ
ท่านพระยายมราชกบ็ อกใหน้ ายทหารผนู้ ั้นไปขอเฝ้ าอกี ครงั้ หนึ่งขอใหก้ ราบทูลถามว่า ไม่ทรงเลยี้ ง
ทหารผจู้ งรกั ภกั ดแี ลว้ หรอื นายทหารผนู้ ้ันกลบั มาบอกวา่ รบั สง่ั วา่ “ไมเ่ ลยี้ งแลว้ ” เมอื่ ไดย้ นิ ดงั น้ัน
ทา่ นพระยายมราชจงึ ถ่มสงิ่ หนึ่งออกจากปากลงไปในน้า(เลา่ กนั วา่ เป็ นแหวนทที่ ่านสวมตดิ นิว้ อยูเ่ ป็ น
ประจา) เพชฌฆาตกล็ งดาบประหารพระยายมราชไดต้ ามพระราชโองการ86
พระยาราชวงั สนั (หวงั )
พระยาราชวงั สนั (หวงั )เป็ นบุตรชายคนรองของเจา้ พระยาจกั ร(ี หมุด) ในชว่ งสมยั กรงุ ธนบุรี
ไดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยคุ ลบาทในตาแหน่งพระยาชลบรุ ี เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกทรง
ปราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็ นปฐมบรมกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี ทรงโปรดแต่งตง้ั ใหเ้ ป็ น พระยาราชวงั สนั 87
พระยาชลบรุ (ี หวงั )ท่านนีไ้ ดร้ บกบั พม่ารว่ มกบั พระยายมราช(หมดั )พชี่ ายและพระบาทสมเด็จพระ
พทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกมหาราชเมอื่ ครงั้ เป็ นพระยาจกั รี โดยไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯจากสมเดจ็ พระเจา้ ตาก
สนิ มหาราชใหย้ กทพั ไปตพี มา่ ในปี พ.ศ.๒๓๑๘ โดยใหต้ ง้ั ค่ายรบั พม่าอย่ทู ปี่ ากน้าพงิ
“…ครนั้ เพลาคา่ พม่ามาตงั้ คา่ ยประชดิ ลงหนา้ วดั จฬุ ามณีฟากตะวนั ตก ๓ ค่าย จงึ่ ใหพ้ ระยารตั น
พมิ ล พระยาธรรมไตรโลก พระยาชลบรุ อี ยูร่ กั ษาคา่ ยปากนา้ พงิ ..”88
อนั ทจี่ รงิ สายสกุลสลุ ต่านสลุ ยั มานนีน้ ับจากเจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )เป็ นตน้ มา นับว่าไดร้ บั พระมหา
กรณุ าธคิ ุณและมคี วามจงรกั ภกั ดตี ่อสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชอย่างสูง จะเห็นไดว้ ่า เมอื่
ปราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็ นปฐมบรมกษตั รยิ ท์ รงแต่งตง้ั หลวงนายศกั ดเิ ์ ป็ นเจา้ พระยาจกั รี และยงั ทรงแต่งตง้ั
บุตรใหเ้ ป็ นพระยาอภยั รณฤทธ8ิ ์ 9คนหน่ึงและพระยาชลบุรอี กี คนหน่ึง ไมเ่ คยมหี ลกั ฐานปรากฎว่า
84 ใน พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา เล่ม๒ หนา้ ๒๒๓ ระบุว่าขณะน้ันพระยายมราชแขกเป็ นโทษตอ้ งรบั พระราชอาญาอยู่ใน
เรอื นจา แตไ่ มไ่ ดร้ ะบวุ ่าถกู จาดว้ ยสาเหตุใด เชน่ เดยี วกบั จดหมายเหตคุ วามทรงจาของกรมหลวงนรนิ ทรเทวี หนา้ ๘ ก็ระบเุ ชน่ กนั วา่ ถกู ระวาง
โทษอยู่ แต่ใน ตานานวตั ถุสถานต่าง ๆ ซงึ่ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสถาปนา และ กรมสมเด็จพระศรสี ุลาไลย พระบรมราช
ชนนีพนั ปีหลวง หนา้ ๑๑๑ บนั ทกึ วา่ ขณะนั้นกาลงั ปฏบิ ตั ริ าชการสงครามอยู่ทเ่ี วยี งจนั ทร ์ ขณะทพ่ี งศาวดารหลายฉบบั ไมม่ กี ลา่ วว่าไปรว่ ม
รบทเ่ี วยี งจนั ทร ์ แต่มกี ล่าวถงึ พระยายมราชครงั้ หลงั สุดกอ่ นถูกประหารชวี ติ ว่า ในเดอื น๓ ปี พ.ศ.๒๓๑๙ ไดอ้ อกไปฆ่าเสอื ทม่ี ากนิ คนทวี่ ดั บาง
ญเ่ี รอื รว่ มกบั เจา้ พระยาจกั ร(ี ทองดว้ ง) ดู พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรุงลอนดอน หนา้ ๗๓๑
และ ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๕ พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) หนา้ ๘๓
85 ประยรู ศกั ดิ ์ ชลายนเดชะ , .มุสลมิ ในประเทศไทย. , หนา้ ๕๖
86 ศลิ ปากร, กรม. ตานานวตั ถุสถานต่าง ๆ ซงึ่ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสถาปนา และ กรมสมเด็จพระศรสี ลุ าไลย พระบรม
ราชชนนีพนั ปีหลวง หนา้ ๑๑๑ - ๑๑๒
87 ภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช ,กรมพระยา. ราชนิ ิกลู รชั ชกาลที่ ๓ หนา้ ๒
88 ดู พระราชพงศาวดารกรงุ สยามจากตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรุงลอนดอน หนา้ ๗๑๓
89 คอื พระยาอภยั รณฤทธ(ิ์ หมดั ) ซงึ่ โปรดเกลา้ ฯแต่งตง้ั พรอ้ มกนั กบั เลอื่ นพระยาอภยั รณฤทธ(ิ์ ทองดว้ ง)เป็ นพระยายมราช จะสงั เกตไุ ดว้ า่ ท่าน
หมดั นีไ้ ดร้ บั พระราชทานยศตามท่านทองดว้ งอยู่ตลอด จนถงึ เป็ นพระยายมราช
๒๑
ฝักใฝ่ อยกู่ บั เจา้ พระยาจกั ร(ี ทองดว้ ง)หรอื เจา้ พระยาสุรสหี ม์ ากอ่ น อกี ทงั้ ยงั เคยขดั แยง้ กนั อยา่ งรุนแรง
ถงึ กลา่ วหาวา่ เป็ นกบฎในคราวทยี่ กทพั ไปตเี มอื งนครศรธี รรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ ดว้ ย90 และถงึ แม้
จะขดั แยง้ กนั ถงึ ขนาดถกู กล่าวหาว่าเป็ นกบฎ สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชกม็ ไิ ดท้ รงไต่สวนหา
ความผดิ อนั ใด ดว้ ยมคี วามไวว้ างพระราชหฤทยั ในตวั เจา้ พระยาจกั รแี ละบตุ รทงั้ สองยงิ่ แต่ในปลาย
รชั กาลประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๒ ปรากฎวา่ พระยายมราช(หมดั ) ตอ้ งราชอาญาถงึ ประหารชวี ติ โดย
ปราศจากการสอบสวนความผดิ พรอ้ มกบั การปราบกบฎมหาดา คงเป็ นเหตใุ หน้ อ้ งชายคอื พระยา
ชลบุรเี อาใจออกห่างสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช และหนั มาฝากเนือ้ ฝากตวั กบั เจา้ พระยาจกั รี
ครน้ั ผลดั แผน่ ดนิ แลว้ พระยาชลบุรกี ไ็ ม่ถกู เปลยี่ นตวั ทงั้ ๆ ทหี่ วั เมอื งขนึ้ มหาดไทยและกรมทา่ ถกู
ถอดออกหลายคนดว้ ยกนั และในเวลาต่อมาพระยาชลบรุ กี ็ไดเ้ ป็ นพระยาราชวงั สนั 91
พระยาราชวงั สนั (หวงั )ในชว่ งสมยั ตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทรป์ ี พ.ศ.๒๓๒๕ ครงั้ ยงั เป็ นพระยาชลบรุ ี
อยูเ่ ป็ นผูน้ าองเชยี งสอื เจา้ เมอื งญวนซง่ึ ถูกกบฎไกเซนิ ลม้ ลา้ งราชบลั ลงั กเ์ ขา้ มาพงึ่ พระบรมโพธิ
สมภารสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก โดยองเชยี งสอื ขอเป็ นบตุ รบญุ ธรรมพระยาชลบรุ 9ี 2 อง
เชยี งสอื ไดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยคุ ลบาททงั้ ในราชการสงครามและไดน้ าเอาประเพณีการแสดงตา่ ง ๆ ของ
ญวนมาเผยแพร่ จนเป็ นทโี่ ปรดปรานของสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๓๔๔
องเชยี งสอื สามารถปราบกบฎไกเซนิ ไดด้ ว้ ยความชว่ ยเหลอื ดา้ นอาวุธและอาหารของกองทพั ไทย จงึ
ตง้ั ตนเป็ นกษตั รยิ ท์ รงพระนามว่า พระเจา้ เวยี ดนามยาลอง สง่ ตน้ ไมท้ องเงนิ มาถวายพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก 93
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๒๔๙ ทรงโปรดใหพ้ ระยาราชวงั สนั (หวงั )รว่ มไปกบั คณะทูตเดนิ ทางไปเขา้
เฝ้ าพระเจา้ เวยี ดนามยาลอง ทปี่ ระเทศเวยี ดนาม เพอ่ื ป้ องกนั ความเขา้ ใจผดิ ระหวา่ งไทยกบั เวยี ดนาม
อนั เกดิ จากพระยาเชยี งเงนิ ไปตอ้ นครอบครวั ญวนเขา้ มา การไปครง้ั น้ันทง้ั ราชทตู และพนักงาน
เสยี ชวี ติ เพราะไขป้ ่ าไปถงึ ๒๓ คน เหลอื พระยาราชวงั สนั กบั ขนุ นางและไพรร่ วม ๗๘ คน เมอื่ ไปถงึ
พระเจา้ เวยี ดนามยาลองทรงตอ้ นรบั คณะทตู อยา่ งดี เน่ืองจากเคยขอเป็ นบุตรบุญธรรมกบั พระยาราช
วงั สนั เมอ่ื ครงั้ เป็ นพระยาชลบุรี และพระยาราชวงั สนั นีเ้ องทเี่ ป็ นผนู้ าเขา้ มาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร
การทูตครง้ั นั้นจงึ ประสบความสาเรจ็ เป็ นอยา่ งดี พระเจา้ เวยี ดนามยาลอง ยงั เป็ นมติ รทดี่ กี บั ประเทศ
ไทยเชน่ เดมิ 94
พระยาราชวงั สนั (หวงั )ไดส้ มรสกบั ทา่ นชู มบี ุตรธดิ าหลายคน หนึ่งในธดิ าของทา่ นคอื
พระชนนีเพ็ง ต่อมาพระชนนีเพ็ง สมรสกบั พระยานนทบุร(ี พระชนกจนั ) มธี ดิ า ๑ คน คอื เจา้ จอม
มารดาเรยี ม ซงึ่ เป็ นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เจา้ จอมมารดาเรยี มเป็ น
พระชนนีในพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ ๓ เมอื่ พระองคท์ รงขนึ้ ครองราชยแ์ ลว้
โปรดเกลา้ ฯสถาปนาเจา้ จอมมารดาเรยี มในรชั กาลที่ ๒ ขนึ้ เป็ นสมเดจ็ พระศรสี ลุ าลยั 95
90 ในการศกึ ครง้ั น้นั บตุ รชายเจา้ พระยาจกั รี ชอื่ ลกั ษมณาถูกกองทพั เมอื งนครฯจบั ตวั ไปได ้ เจา้ พระยาจกั รจี งึ ถอยทพั กลบั มาทเ่ี มอื งไชยา
พระยายมราช(กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสหี นาถ)ไดบ้ อกเขา้ มาใหก้ ราบทลู ว่าเจา้ พระยาจกั รเี ป็ นกบฎ มเิ ต็มใจทาสงคราม ดู ประชมุ
พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษกเล่ม ๒หนา้ ๓๓๔
91 ดู การเมอื งไทยสมยั พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี หนา้ ๔๖๙–๔๗๐
92 ทพิ ากรวงศ(์ ขา บุนนาค), เจา้ พระยา . พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทรร์ ชั กาลที่ ๑ . หนา้ ๑๓
93 วไิ ลเลขา บรุ ณศริ ,ิ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒ ตาราเรยี นภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์ ม.รามคาแหง หนา้ ๔๓ – ๕๐
94ทพิ ากรวงศ ์ , เจา้ พระยา . พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทรร์ ชั กาลที่ ๑ หนา้ ๙๙ - ๑๐๐
95 ภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช ,กรมพระยา. ราชนิ ิกูลรชั ชกาลที่ ๓ หนา้ ๓ - ๗
๒๒
สายสกุลสลุ ต่านสุลยั มานชาหผ์ ูส้ บื ทอดบรรดาศกั ดพิ ์ ระยาราชวงั สนั จางวางอาสาจาม
ตาแหน่งจางวางอาสาจามเดมิ ตงั้ แตม่ ปี รากฎในพงศาวดารตงั้ แต่สมยั ตน้ กรุงศรอี ยุธยาน้ัน ผู้
ทมี่ บี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระราชวงั สนั หรอื พระยาราชวงั สนั ลว้ นแลว้ แต่เป็ นมุสลมิ ชนชาตจิ าม จนกระทง่ั
ในสมยั สมเดจ็ พระเพทราชาเมอื่ พระยารามเดโช(ช)ู เชอื้ สายจามแข็งเมอื ง และบุตรชายคอื พระยาราช
วงั สนั (มะหมดุ )ซง่ึ เป็ นจางวางอาสาจามขณะน้ันคงจะอยรู่ บั ราชการไม่ได ้ ตาแหน่งจางวางอาสาจาม
จงึ วา่ งลง สมเด็จพระเพทราชาจงึ ทรงแตง่ ตงั้ ทา่ นฮะซนั (บุตรสุลต่านสุลยั มานชาห)์ เป็ นพระยาราชวงั
สนั แทน คงเน่ืองจากเห็นว่ามคี วามชานาญเรอื่ งการเดนิ เรอื และเป็ นมุสลมิ เชน่ เดยี วกบั ทหารในกอง
อาสาจาม สายสกลุ ของสลุ ตา่ นสุลยั มานชาหจ์ งึ ไดร้ บั บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระยาราชวงั สนั จางวางอาสา
จามตงั้ แตน่ ้ันมา และแมว้ า่ พระยาราชวงั สนั (ฮะซนั )จะตอ้ งโทษถูกประหารชวี ติ ในครงั้ ศกึ
นครศรธี รรมราชกต็ าม แต่ตอ่ มาในสมยั แผ่นดนิ สมเด็จพระเจา้ ทา้ ยสระ (ครองราชย ์ ๒๒๕๑ -
๒๒๗๕) ท่านตะตาซงึ่ เป็ นบตุ รของพระยาแกว้ โกรพพชิ ยั 96 กไ็ ดร้ บั โปรดเกลา้ ฯแต่งตงั้ เป็ นพระยาราช
วงั สนั 97 และตอ่ มาเมอ่ื โปรดเกลา้ ฯแตง่ ตง้ั ใหพ้ ระยาราชวงั สนั (ตะตา)เป็ น พระยาแกว้ โกรพพชิ ยั
แทนบดิ า กท็ รงโปรดแตง่ ตงั้ ใหน้ อ้ งชายของท่านตะตาเป็ นพระยาราชวงั สนั แทน ตาแหน่งพระยาราช
วงั สนั ไดร้ บั การสบื ทอดในสายสกลุ สลุ ตา่ นสุลยั มานจนสนิ้ กรุงศรอี ยุธยา ต่อมาในสมยั กรงุ ธนบรุ ี ไม่
มปี รากฎวา่ มตี าแหน่งพระยาราชวงั สนั แตห่ ากมกี ารใชท้ พั เรอื เป็ นทพั หลวงเมอื่ ใดสมเด็จพระเจา้
ตากสนิ มหาราชทรงโปรดแตง่ ตง้ั ใหเ้ จา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )เป็ นแมท่ พั เรอื ทกุ ครงั้ จนกระท่งั เจา้ พระยา
จกั ร(ี หมุด)ถงึ อสญั กรรม เมอ่ื สนิ้ กรุงธนบุรี จงึ เรมิ่ ปรากฎตาแหน่งพระยาราชวงั สนั อกี ครง้ั โดยในชว่ ง
รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ มพี ระยาราชวงั สนั (หวงั ) และต่อมา พระยาราชวงั สนั (แมน้ ) พระยาราชวงั สนั
(ฉิม) พระยาราชวงั สนั (นก)และพระยาราชวงั สนั (บวั )ซง่ึ เป็ นพระยาราชวงั สนั ท่านสุดทา้ ยทดี่ ารง
ตาแหน่งจางวางอาสาจาม ซง่ึ ทุกท่านลว้ นแลว้ แตส่ บื เชอื้ สายมาจากสลุ ตา่ นสลุ ยั มานชาหท์ ง้ั สนิ้
มสั ยดิ ตน้ สนชว่ งรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ จากเรอื นไมเ้ ป็ นตกึ ใหญ่
ในปี พ.ศ. ๒๓๕๘ สมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั พระเจา้ อยู่หวั รชั กาลทสี่ อง
แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร ์ ทา่ นหลวงโกชาอศิ ฮาก(นาโคดา อาล)ี ไดร้ ว่ มกบั ทา่ นเกตุบุตรพระยาราชวงั
สนั (หวงั )98 และทา่ นสนบุตรทา่ นเผอื ก99 รว่ มกบั ชาวมสั ยดิ ตน้ สนสรา้ งมสั ยดิ ตน้ สนขนึ้ มาใหมโ่ ดย
กอ่ อฐิ ถอื ปูน สงู ๗ วา หลงั คา ๒ ชนั้ กวา้ ง ๖ วา ยาว ๘ วาศอก ยงั คงมรี ูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ
ไทย ๆ คอื อาคารหนา้ จว่ั มหี นา้ บนั โดยสรา้ งเสรจ็ ในปี พ.ศ.๒๓๕๙ 100 และในปี เดยี วกนั พระยาราช
วงั สนั (ฉิม)บตุ รของพระยาราชวงั สนั (แมน้ ) ซง่ึ พระยาราชวงั สนั (แมน้ )เป็ นบุตรของพระยายมราช
(หมดั ) ท่านพระยาราชวงั สนั (ฉิม)ก็ไดส้ รา้ งกาแพงดา้ นหนา้ และรอบ ๆ มสั ยดิ ตน้ สน รวมทงั้ เสาประตู
ทางเขา้ เป็ นกาแพงกอ่ อฐิ หนามากและสรา้ งขนึ้ ตามแบบของไทย ซงึ่ ยงั ปรากฎอยู่จนถงึ ปัจจบุ นั นี้ 101
ชาวมสั ยดิ ตน้ สน บา้ งเป็ นขา้ ราชการ บา้ งเป็ นพ่อคา้
96 พระยาแกว้ โกรพพชิ ยั ท่านนีค้ อื ท่านฮเู ซน บตุ รสลุ ตา่ นสลุ ยั มานชาหแ์ ละเป็ นพ่ีชายของทา่ นฮะซนั ดูประวตั ศิ าสตรส์ ายสกุลสุลต่านสลุ ยั
มาน หนา้ ๑๒๒
97 ประวตั ศิ าสตรส์ ายสกลุ สุลตา่ นสลุ ยั มาน หนา้ ๑๖๙
98 สายสกุลสมั พนั ธ ์ 2543 หนา้ ๒๕
99 ทา่ นเผอื กเป็ นบุตรพระภกั ดเี สนา ดู สายสกุลสมั พนั ธ ์ 2543 หนา้ ๑๖
100 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน หนา้ ๑๙ - ๒๓
101 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน หนา้ ๒๕
๒๓
อาชพี ของชาวมสั ยดิ ตน้ สนน้ันส่วนหน่ึงรบั ราชการ โดยมชี าวมสั ยดิ ตน้ สนไดร้ บั พระราชทาน
ยศเป็ นพระยา พระ หลวง ขนุ ฯลฯ สว่ นใหญ่จะอยูใ่ นกรมอาสาจาม กองทพั เรอื และกรมทา่ ขวา โดย
รบั ราชการอยู่ทงั้ ในวงั หลวงและวงั หนา้ (กรมพระราชวงั บวรฯ) เชน่ พระยาราชวงั สนั พระยากลั ยาณ
ภกั ดี พระยาจฬุ าราชมนตรี พระลกั ษมณา หลวงไพบูลยย์ นตรกจิ หลวงลกั ษมณา หลวงศรมี หา
ราชา ขนุ โยธาสมทุ ร ขนุ รามฤทธไิ กร ขนุ อนุชติ ภกั ดี ฯลฯ สว่ นทเี่ ป็ นพอ่ คา้ สว่ นใหญม่ กั จะคา้ ขาย
ของอยู่ในเรอื นแพ บา้ งก็ใชเ้ รอื สาป้ันลาเล็กบรรทุกสงิ่ ของพายรอ้ งขายสนิ คา้ ตามบา้ น
บรเิ วณปากคลองบางกอกใหญ่และบรเิ วณปากคลองบางกอกนอ้ ย เป็ นทอี่ ยูอ่ าศยั และคา้ ขาย
ของชาวมสั ยดิ ตน้ สนมาตงั้ แต่กรุงธนบรุ ี สงิ่ ของทคี่ า้ ขายกนั น้ันเป็ นผา้ แพร เครอื่ งสาเภา ถว้ ยชาม สี
ผงึ้ ดนิ สอพอง ฯลฯ ทา่ นสนุ ทรภู่ กวเี อกของกรงุ รตั นโกสนิ ทร ์เมอ่ื ครง้ั อปุ สมบทเป็ นพระภกิ ษุจา
พรรษา ณ วดั ราชบรู ณราชวรวหิ าร(วดั เลยี บ)ไดเ้ ดนิ ทางไปจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาโดยทางเรอื
โอกาสนีท้ า่ นไดแ้ ต่งนิราศภูเขาทองเมอื่ พ.ศ. ๒๓๗๑ โดยพายเรอื ผา่ นสถานทตี่ ่าง ๆ ตามลาน้า
เจา้ พระยา เมอื่ ผา่ นหนา้ วดั ดุสติ าราม(วดั เสาวโคน)ปากคลองบางกอกนอ้ ย ท่านไดก้ ลา่ วถงึ สภาพ
ของผคู้ นในบรเิ วณปากคลองบางกอกนอ้ ยเอาไว้ ดงั ใจความในนิราศภูเขาทอง ในชว่ งผา่ นหนา้ วดั
วา่
“ไปพน้ วดั ทศั นารมิ ท่านา้
แพประจาจอดรายเขาขายของ
มแี พรผา้ สารพดั สมี ว่ งตอง
ทงั้ สงิ่ ของขาวเหลอื งเครอื่ งสาเภา”102
และท่านสนุ ทรภไู่ ดแ้ ตง่ นิราศเมอื งเพชร เมอ่ื พ.ศ.๒๓๘๘ เมอื่ ครง้ั รบั อาสาจากเจา้ ฟ้ าฯ
กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค ์ ไปหาของทตี่ อ้ งพระประสงคท์ เี่ มอื งเพชรบุรี เมอ่ื เดนิ ทางโดยทางเรอื ผา่ นเขา้
มาคลองบางกอกใหญ่ ไดก้ ล่าวถงึ สภาพผคู้ นไวว้ ่า
“ไดเ้ ห็นแตแ่ พแขกทแี่ ปลกเพศ
ขายเครอื่ งเทศเครอื่ งไทยไดใ้ ชส้ อย
ถงึ วดั หงสเ์ ห็นแตห่ งสเ์ สาธงลอย
เป็ นหงสห์ อ้ ยห่วงธงใชห่ งสท์ อง” 103
นอกจากรบั ราชการและพอ่ คา้ แลว้ บางสว่ นกค็ งทาสวน ทาประมงอยู่ในบรเิ วณไมห่ า่ งจากทพี่ กั
อาศยั มากนัก
สารบั อาหารชาวมสั ยดิ ตน้ สน
ในชว่ งสมยั ตน้ ๆ ของการเกดิ ชมุ ชนมสุ ลมิ (ประมาณสมยั พระเจา้ ทรงธรรม) ในสมยั น้ันเมอ่ื มี
การทาบุญทมี่ สั ยดิ กจ็ ะใชว้ ธิ กี ารเรยี่ ไรสารบั อาหาร โดยใหแ้ ต่ละครอบครวั นาอาหารมาคนละสารบั
สองสารบั แลว้ นามาแบ่งกนั ทาน ในสมยั ต่อมาจนถงึ ชว่ งรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ บรรดาผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ที่
เป็ นขนุ นางในราชสานักก็จะเป็ นผรู้ บั ภาระในการจดั สารบั อาหารมาเลยี้ งเอง โดยผลดั กนั คราวละ ๒
- ๓ ตระกูล อาหารในชว่ งนั้นยงั คงเป็ นอาหารแบบไทย ๆ ปนกบั มลายู เชน่ แกงเผ็ด แกงมสั มน่ั แกง
เขยี วหวาน ตม้ ยา ตม้ เค็ม ฯลฯ โดยรบั ประทานจากกระทงหรอื จาน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ จงึ
102 ดู ชวี ติ และงานของสนุ ทรภู่ หนา้ ๑๑๐
103 อา้ งแลว้ ,.หนา้ ๓๒๕
๒๔
เปลยี่ นมาเป็ นอาหารแบบชาวอาหรบั ใน เอเชยี ตะวนั ออกกลาง โดยทาขา้ วหมก แกงเนย แกง
กรุ หม่า อาจาดเทศ104 และเปลยี่ นจากรบั ประทานจากกระทงหรอื จาน มารบั ประทานรว่ มกนั หลายคน
ในถาดตฟั ซเี ดยี วกนั 105 ในส่วนของของหวานน้ัน สารบั ของชาวมสั ยดิ ตน้ สนมขี องหวานทเี่ ป็ นฝี มอื
ประดษิ ฐด์ งั้ เดมิ ของชาวมสั ยดิ ตน้ สนคอื กาซยู 1ี 06 ขนมไสไ้ ก่ ซารูดะฮ1์ 07 ซาระหวาด ขนมหรมุ่
ขนมนังกะตยั และยงั มขี นมแบบไทย ๆ เชน่ ทองหยบิ ทองหยอด ฝอยทอง108 สว่ นขนมหรมุ่ นั้น
นับเป็ นขนมของชาวมสั ยดิ ตน้ สนโดยแท ้ และจะหารบั ประทานไดย้ ากยงิ่ หากไมใ่ ชม่ พี ธิ กี ารพเิ ศษ
หรอื จดั แสดงเป็ นนิทรรศการแลว้ เน่ืองจากตอ้ งใชเ้ วลาและความอดทนอย่างมากในการทา
๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ วนั แห่งความปลมื ้ ปิ ติ
มสั ยดิ ตน้ สนนับเป็ นมสั ยดิ หน่ึงในไมก่ แี่ ห่งทไี่ ดร้ บั พระมหากรณุ าโปรดเกลา้ ฯจาก
พระมหากษตั รยิ แ์ ห่งพระบรมราชจกั รวี งศเ์ สด็จพระราชดาเนินมาเยยี่ มชมดว้ ยพระองคเ์ อง นับจาก
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทเี่ สด็จมารว่ มในพธิ ฝี ังศพเจา้ พระยาจกั รใี นปี พ.ศ.๒๓๑๗ แลว้ ใน
วนั ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานันทมหดิ ล ในหลวงรชั กาลที่ ๘
และพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดุลยเดช เมอื่ ครงั้ เป็ นพระอนุชา ไดเ้ สด็จพระราชดาเนินมา
เยยี่ มชมมสั ยดิ ตน้ สนโดยทางชลมารคเป็ นการส่วนพระองค ์ เมอื่ เสด็จพระราชดาเนินมาถงึ ทรงรบั ฟัง
การบรรยายประวตั คิ วามเป็ นมา ทรงลงพระประมาภไิ ธยในสมุดเยยี่ ม และทรงมพี ระราชดารสั ตอ่
มุสลมิ ชาวมสั ยดิ ตน้ สน สงิ่ เหล่านีย้ งั คงประทบั อยู่ในหวั ใจดว้ ยความปลาบปลมื้ ปิ ตแิ กช่ าวมสั ยดิ ตน้
สนอย่างไมม่ วี นั ลมื เลอื น
อาคารเดมิ ทรุดตวั ลง สรา้ งใหม่อกี ครงั้ เป็ นสถาปัตยกรรมแบบอยิ ปิ ต ์
อาคารหลงั เดมิ ทสี่ รา้ งในปี พ.ศ.๒๓๕๙ เกดิ ทรดุ ตวั ลงในวนั ศุกรท์ ี่ ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๙๕
กรรมการมสั ยดิ ในชว่ งน้ันจงึ ไดท้ าการสรา้ งมสั ยดิ ตน้ สนขนึ้ ใหม่ โดยพยายามรกั ษารปู แบบทาง
สถาปัตยกรรมเดมิ ไวใ้ หม้ ากทสี่ ดุ ผนังกอ่ อฐิ มอญโดยใชอ้ ฐิ ของเดมิ กรอบประตูและหนา้ ตา่ งตกแต่ง
บวั ปนู เฉพาะกรอบประตทู างเขา้ ดา้ นหนา้ ตกแต่งดว้ ยบวั หนิ ขดั สขี าว ดา้ นหนา้ เป็ นหนา้ มุขยนื่
ออกมา และกอ่ สูงเป็ นรปู โดมรูปทรงแบบอยิ ปิ ต ์ สมยั ฮจิ เราะฮศ์ กั ราช ๘๐๐ (๖๐๐ปี กอ่ น) ภายในมี
มมิ บรั และเมยี้ ะรอ็ บมลี กั ษณะสวยงาม และมแี ผน่ กระดานทพี่ บในสมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช
ซง่ึ ถอื วา่ มคี ุณคา่ และมคี วามสาคญั ทางประวตั ศิ าสตรเ์ป็ นอย่างมาก มสั ยดิ ตน้ สนหลงั นีส้ รา้ งเสรจ็ และ
มอบงานเมอื่ วนั ที่ ๒ มกราคม ๒๔๙๗ และยงั คงอยู่จนถงึ ปจั จบุ นั นี้
มสั ยดิ ตน้ สนในยุคแห่งการเปลยี่ นแปลง
เป็ นเรอื่ งปกตขิ องชมุ ชน เมอื่ ขนาดของชมุ ชนมขี นาดทใี่ หญข่ นึ้ และไม่สามารถขยายไปดา้ น
ใดไดแ้ ลว้ การอพยพโยกยา้ ยตอ้ งตามมาอยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด ้ ชมุ ชนมสั ยดิ ตน้ สนกเ็ ชน่ กนั
104 ทาจาก เห็ดหูหนู หน่อไม ้ แตงกวา แครอท พรกิ หยวก ผดั กบั น้ามนั กอ่ น แลว้ ตากแหง้ ประมาณ ๒วนั แลว้ จงึ นามาดองกบั น้าสม้ สายชู ใช ้
ทานกบั ขา้ วหมก หรอื แกงเผ็ด
105 ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน . หนา้ ๓๐ -๓๑
106 นมกวนผสมขา้ วกวนจนแหง้ ใสล่ ูกบะด่มั ลกู เกด
107 นมกวน ใสล่ กู เกด ใชร้ บั ประทานรว่ มกบั ขนมไสไ้ ก่
108 สมั ภาษณ์ คณุ ฟาตมิ ะฮ ์ กลั ยาณสุต บตุ รที ่านหมดั กลั ยาณสตุ
๒๕
เน่ืองจากเนือ้ ทอี่ นั จากดั การตดั ผา่ นของถนนหนทางเพอ่ื ยงั ความสะดวกสบายใหก้ บั ผคู้ น การ
โยกยา้ ยไปประกอบอาชพี ตา่ งถนิ่ สงิ่ เหล่านีค้ อื ปัจจยั ทที่ าใหช้ าวมสั ยดิ ตน้ สนตอ้ งโยกยา้ ยไปอยู่
ตามทตี่ ่าง ๆ แตด่ ว้ ยความรสู ้ กึ ผกู พนั กนั มา ดว้ ยความรสู ้ กึ ทเี่ ป็ นพนี่ อ้ งรว่ มสายโลหติ และสามารถนับ
เนื่องเกยี่ วโยงกนั ไดใ้ นแทบทุกสกลุ ทาใหช้ าวมสั ยดิ ตน้ สนยงั ดารงความรกั สมคั รสมานสามคั คกี นั
มาจนถงึ ทุกวนั นี้
บทสรปุ
ทกี่ ล่าววา่ ชมุ ชนมุสลมิ ทเี่ มอื งบางกอกหรอื เมอื งทณบุรศี รมี หาสมุทร และมสั ยดิ ตน้ สนเรมิ่ มมี า
ในชว่ งสมยั สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม(ครองราชย๒์ ๑๕๓ - ๒๑๗๑)น้ัน นอกจากจะมหี ลกั ฐานจากการ
บอกเลา่ สบื ต่อกนั มาของบรรพชนชาวมสั ยดิ ตน้ สนแลว้ หากไดพ้ จิ ารณาถงึ ความเป็ นไปได้
เน่ืองจากการเป็ นเมอื งหนา้ ดา่ นของกรงุ ศรอี ยุธยาทางทศิ ใต ้ เป็ นจดุ แวะพกั ซอ่ มเรอื เป็ นดา่ นเกบ็
ภาษีอากรทง้ั ขาออกและขาเขา้ ของเรอื สนิ คา้ ตง้ั แต่สมยั พระมหาจกั รพรรดใิ นปี พ.ศ. ๒๑๐๐ และใน
สมยั กรุงศรอี ยุธยาน้ันมกี ารคา้ ขายตดิ ต่อกบั ประเทศมสุ ลมิ หลายประเทศ ไมว่ า่ มาเลย ์ ชวา จาม
หรอื แมแ้ ต่ เปอรเ์ชยี การทตี่ อ้ งนาเรอื มาจอดแวะพกั ซอ่ มเรอื เป็ นเวลาค่อนขา้ งนาน หรอื จา่ ยภาษี
อากร ณ จดุ นี้ จงึ น่าจะเกดิ การถ่ายทอดวฒั นธรรมและศาสนาใหแ้ กช่ มุ ชนเมอื งบางกอกนี้
หากคานึงถงึ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรเ์ป็ นหลกั มหี ลกั ฐานว่ามสั ยดิ ตน้ สนถูกสรา้ งขนึ้ ในปี
พ.ศ. ๒๒๓๑ โดยพระยาราชวงั สนั จางวางอาสาจาม ในชว่ งปลายแผ่นดนิ สมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ซงึ่ ในชว่ งแผน่ ดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราชน้ันมขี นุ ศกึ และขนุ นางมุสลมิ ทรี่ บั ใชเ้ บอื้ ง
พระยคุ ลบาทอยา่ งใกลช้ ดิ อยู่หลายทา่ น และในหลายทา่ นน้ันแมน้ ับถอื ศาสนาอสิ ลามเป็ นมสุ ลมิ
เชน่ เดยี วกนั แตก่ ม็ เี ชอื้ สายมาจากหลากหลายประเทศ เชน่ จาม ชวา มาเลย ์ เปอรเ์ชยี และหลาย
ทา่ นกม็ สี ว่ นทเี่ กยี่ วพนั กบั ชมุ ชนมุสลมิ เมอื งบางกอกและการกาเนิดของมสั ยดิ ตน้ สน
ชมุ ชนมุสลมิ ชาวมสั ยดิ ตน้ สนจงึ เป็ นชมุ ชนมุสลมิ ทมี่ าจากหลายเชอื้ ชาติ แตเ่ น่ืองจากเขา้ มา
อยูอ่ าศยั ในเมอื งไทยมานาน บางสว่ นไดเ้ ปลยี่ นมานับถอื ศาสนาพุทธ แต่ส่วนใหญ่ยงั คงนับถอื
ศาสนาอสิ ลามตามบรรพชน โดยเชอื้ สายหลกั ทสี่ บื ทอดกนั มาโดยไม่คอ่ ยเปลยี่ นแปลงมากนัก คอื
เชอื้ สายสกลุ ของสุลต่านสลุ ยั มานชาห ์ ซงึ่ อพยพมาจากเมอื งสาเลหใ์ นชวา นอกจากนีค้ อื เชอื้ สาย
จามทเี่ ขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานในไทยมานานแลว้ อย่างนอ้ ยก็ตงั้ แต่ตน้ สมยั กรุงศรอี ยุธยา ซง่ึ ตอ่ มาเกยี่ วพนั
กนั โดยการแต่งงานตง้ั แต่สมยั แรก ๆ ทสี่ ายสกลุ สลุ ต่านสลุ ยั มานชาหเ์ ขา้ มา และยงั มเี ชอื้ สายเปอร ์
เชยี และอนื่ ๆ
ในส่วนของอาคารมสั ยดิ ตน้ สนเองก็มกี ารเปลยี่ นแปลงและปรบั ปรุงหลายครง้ั ซง่ึ ส่วนใหญ่จะ
เป็ นการขยายขนาดใหก้ วา้ งขวางขนึ้ ใชอ้ ุปกรณก์ อ่ สรา้ งทมี่ ่นั คงแข็งแรงและสวยงามขนึ้ ทง้ั นีเ้ พอ่ื
๒๖
รองรบั จานวนของผทู้ มี่ าประกอบศาสนกจิ ทเี่ พมิ่ ขนึ้ มาเรอื่ ย ๆ ตง้ั แต่การปรบั ปรุงครง้ั แรกในสมยั พระ
ยาราชวงั สนั (มะหมดุ )ในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ กม็ กี ารปรบั ปรุงและขยายขนาดเรอื่ ยมา แตก่ ารปรบั ปรุงทุก
ครงั้ กย็ งั คงยดึ รูปแบบของอาคารแบบเดมิ โดยเป็ นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท ้ ๆ คอื คลา้ ยกบั ศาลา
การเปรยี ญในพุทธศาสนา และเป็ นอาคารทเี่ ป็ นเครอื่ งไมเ้ ป็ นหลกั ต่อมาในชว่ งรชั กาลที่ ๒ แหง่ กรงุ
รตั นโกสนิ ทรไ์ ดเ้ ปลยี่ นเป็ นกอ่ อฐิ ถอื ปนู โดยกอ่ สรา้ งตวั อาคารกย็ งั คลา้ ยกบั โบสถว์ หิ ารในพุทธ
ศาสนาอยู่ แตร่ ปู แบบภายนอกมรี ูปแบบศลิ ปกรรมผสมผสานทงั้ ในรปู ของฝรง่ั ไทย และอสิ ลาม จน
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จงึ มาเปลยี่ นเป็ นสถาปัตยกรรมแบบ อสิ ลามคอื มโี ดมดา้ นหนา้ แตเ่ รอื นประธาน
ดา้ นหลงั ยงั คงเป็ นเรอื นหนา้ จว่ั แบบของเดมิ เพยี งแตไ่ มม่ ลี วดลายทหี่ นา้ บนั
บรรพชนชาวมสั ยดิ ตน้ สนในส่วนทเี่ ป็ นขนุ นางและขนุ ศกึ ไดร้ บั ใชเ้ บอื้ งพระยุคลบาท
พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยอยา่ งเขม้ แข็ง ทงั้ ในการศกึ สงครามและการคา้ ในการศกึ สงครามน้ันเรมิ่ ปรากฎ
หลกั ฐานตงั้ แตส่ มยั สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็ นตน้ มา โดยมกี องอาสาจามซง่ึ ถอื ว่าเป็ นกองทหาร
ชน้ั ดี และมพี ระยาราชวงั สนั เป็ นจางวางอาสาจาม ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช มขี นุ ศกึ ที่
สาคญั คอื พระยาทา้ ยนา้ พระยารามเดโช พระยายมราช พระยาสหี ราชเดโช พระยาราชวงั สนั ซง่ึ รบั
ใชร้ าชการสงครามจนเป็ นทโี่ ปรดปรานยงิ่ และลว่ งเลยมาจนถงึ กรุงธนบุรี กม็ ี เจา้ พระยาจกั ร(ี หมดุ )
พระยายมราช(หมดั ) และพระยาชลบุร(ี หวงั ) ซง่ึ เป็ นเชอื้ สายสุลตา่ นสลุ ยั มานชาห ์ ซงึ่ ทุกท่านทกี่ ลา่ ว
มามสี ว่ นผกู พนั และเกยี่ วขอ้ งกบั มสั ยดิ ตน้ สนทง้ั สนิ้ ในดา้ นการคา้ มพี ระยาจฬุ าราชมนตรเี ป็ นเจา้
กรมท่าขวาในราชการฝ่ ายพระคลงั ทาหนา้ ทดี่ ูแลมุสลมิ ต่างประเทศทเี่ ขา้ มาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร
ในกรุงศรอี ยุธยา และทาหนา้ ทตี่ ดิ ตอ่ คา้ ขายกบั ประเทศทปี่ ระชากรสว่ นใหญ่นับถอื ศาสนาอสิ ลาม
และพอ่ คา้ มสุ ลมิ ลว่ งเลยมาจนถงึ กรงุ รตั นโกสนิ ทรบ์ รรพชนชาวมสั ยดิ ตน้ สนกย็ งั ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯ
ใหเ้ ป็ นขนุ นางรบั ใชร้ าชสานักทงั้ ในวงั หลวงและวงั หนา้ ในกรมอาสาจามและกรมทา่ ขวา เชน่ พระยา
ราชวงั สนั จางวางอาสาจาม พระยาจฬุ าราชมนตรี พระยากลั ยาณภกั ดี พระลกั ษมณา พระกลั ยาณ
ภกั ดี เป็ นตน้
ชมุ ชนมุสลมิ มสั ยดิ ตน้ สนจงึ นับเป็ นชมุ ชนสาคญั ทมี่ คี วามผกู พนั จงรกั ภกั ดกี บั สถาบนั
พระมหากษตั รยิ ข์ องไทยและมบี ทบาทอยา่ งสูงยงิ่ ในการรว่ มรกั ษาเอกราชของประเทศไทยมาชา้ นาน
แมว้ นั นีช้ มุ ชนมุสลมิ มสั ยดิ ตน้ สนจะลดขนาดลงไปเน่ืองจากสภาพเศรษฐกจิ ของคนในชมุ ชนหรอื
สาเหตอุ นื่ ๆ และแมว้ ่าทกุ วนั นีบ้ ทบาทของไทยมสุ ลมิ ในดา้ นการป้ องกนั ประเทศจะลดนอ้ ยลงไป
เน่ืองจากมขี อ้ จากดั หลาย ๆ อย่างกต็ าม แตค่ วามรูส้ กึ ของมุสลมิ มสั ยดิ ตน้ สนและพนี่ อ้ งมสุ ลมิ ในทุก
ภาคท่วั ประเทศนั้น นับไดว้ ่ามคี วามรกั ความผกู พนั กบั ประเทศชาตแิ ละผนื แผ่นดนิ ไทยนี้ ไมด่ อ้ ยไป
กวา่ ชนชาวไทยทแี่ ตกตา่ งเพยี งศาสนาเลยแมแ้ ตน่ ิดเดยี ว
๒๗
บรรณานุ กรม
๑. ก.ศ.ร.กหุ ลาบ กฤษณานนท.์ ประวตั เิ จา้ พะญาอภยั ราชา(ม.ร.ว.ลพ) เจา้ พะญาบดนิ ทร
เดชา(ม.ร.ว.อรุณ) , พระนคร : โรงพมิ พส์ ยามประเภท, ๒๔๕๖
๒. การปฏวิ ตั ใิ นประเทศไทย พ.ศ.๒๒๓๑(ค.ศ.๑๖๘๘) มานิจ ชมุ สาย, มล.แปล. สานัก
เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรี
๓. คณะสุเหรา่ ตน้ สน. ไทย-อสิ ลาม พ.ศ. ๒๔๘๔
๔. แชน ปจั จสุ านนท ์ , พลเรอื ตร.ี ประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย , พระนคร : โรงพมิ พก์ รมสารบรรณ
ทหารเรอื , ๒๕๐๙ (กองทพั เรอื พมิ พใ์ นงานเสด็จพระราชดาเนินพระราชทานเพลงิ ศพ พลเรอื เอก
หมอ่ มเจา้ ครรชติ พล อาภากร)
๕. ดารงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา . พงศาวดารเรอื่ งไทยรบพะม่าครง้ั กรุงธนบรุ .ี พระ
นคร : โรงพมิ พอ์ กั ษรเจรญิ ทศั น์ พ.ศ. ๒๔๗๘ (พมิ พแ์ จกในงานปลงศพนายบุญ บญุ กูล)
๖. ดารงราชานุภาพ , สมเด็จกรมพระยา .พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาเลม่ 2
กรุงเทพ: กรมศลิ ปากร พ.ศ. ๒๕๔๒
๗. ดารงราชานุภาพ , สมเด็จกรมพระยา . ไทยรบพมา่ . กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พค์ ลงั วทิ ยา พ.ศ.
๒๕๒๐
๘. ตาซารด ์ , กวยี ์ , บาทหลวง . จดหมายเหตุการเดนิ ทางสู่ประเทศสยามของบาดหลวงตา
ซารด ์ สนั ต ์ ท.โกมลบตุ ร, แปล .กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พเ์ กษมบรรณกจิ , ๒๕๑๙
๙. ทพิ ากรวงศ(์ ขา บนุ นาค) , เจา้ พระยา .พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสนิ ทร ์รชั กาลที่ ๑
กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร พ.ศ. ๒๕๓๑
๑๐. ธนบุรี กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พส์ ารคดี พ.ศ.๒๕๔๒
๑๑. นรนิ ทรเทวี , กรมหลวง .จดหมายเหตคุ วามทรงจา. กรงุ เทพฯ :พมิ พค์ รง้ั ทหี่ ก พ.ศ.๒๕๒๖
ในงานพระราชทานเพลงิ พระศพ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วาปี บษุ บากร
๑๒. ประยูรศกั ดิ ์ ชลายนเดชะ. มสุ ลมิ ในประเทศไทย . กรุงเทพฯ : อมั รนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ กรุพ๊
๑๓. ประวตั มิ สั ยดิ ตน้ สน. อดิ ลิ้ อฎั ฮา ๒๕๑๘
๑๔. ประวตั ศิ าสตรก์ รุงศรอี ยธุ ยา : เนื่องในมหามงคลวารกาญจนาภเิ ษก พุทธศกั ราช
2539 ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร ์สถาบนั ราชภฏั
พระนครศรอี ยุธยา พ.ศ. ๒๕๓๙
๑๕. ประวตั ศิ าสตรต์ ระกูลสุลต่านสลุ ยั มาน. กรุงเทพ : อมั รนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ กรุพ๊ พ.ศ.๒๕๓๐
๑๖. พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยาและจุลยุทธการวงศ.์ กรุงเทพ :โรงพมิ พม์ หา
จฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๓๕ (พมิ พโ์ ดยเสด็จพระราชกศุ ลในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พระ
วสิ ทุ ธาธบิ ด)ี
๑๗. เพ็ญศรี กาญจโนมยั ,นันทนา กปิ ลกาญจน์ บทบาทมุสลมิ ในปลายอยุธยา-ธนบุรี พ.ศ.
2300 – 2325 รายงานผลการวจิ ยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร ์ตุลาคม ๒๕๒๑
๑๘. ภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช ,กรมพระยา. ราชนิ ิกูลรชั ชกาลที่ ๓ . กรงุ เทพฯ : อรณุ การพมิ พ ์ พ.ศ.
๒๕๒๗ (พมิ พเ์ ป็ นอนุสรณใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ นางฉลอง ศริ สิ มั พนั ธ)์
๒๘
๑๙. รชั นี สาดเปรม .บทบาทของชาวมสุ ลมิ ในภาคกลางและภาคใตข้ องประเทศไทยใน
สมยั รตั นโกสนิ ทรต์ งั้ แต่ พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๔๕๓ . วทิ ยานิพนธอ์ กั ษรศาสตรม์ หาบณั ฑติ แผนก
ประวตั ศิ าสตร ์บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร พ.ศ.๒๕๒๑
๒๐. วไิ ลเลขา บูรณะศริ ิ และคณะ. ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย 2 HI 222. ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์คณะ
มนุษยศาสตร ์มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง กรุงเทพ: สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง พ.ศ. ๒๕๔๒
๒๑. ศลิ ปวฒั นธรรม. ปี ที่ ๒๑ ฉบบั ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓
๒๒. ศลิ ปากร, กรม. ชวี ติ และงานของสุนทรภู่ . กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พบ์ รรณาคาร , พมิ พค์ รง้ั ที่
สบิ หา้ , พ.ศ.๒๕๔๓
๒๓. ศลิ ปากร, กรม . ธงไทย . กรงุ เทพฯ:โรงพมิ พส์ านักเลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี พ.ศ.๒๕๒๑
๒๔. ศลิ ปากร, กรม. ตานานวตั ถสุ ถานตา่ ง ๆ ซงึ่ พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรง
สถาปนา และ กรมสมเด็จพระศรสี ุลาไลย พระบรมราชชนนีพนั ปี หลวง กรงุ เทพ : อมั
รนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ กรพุ ๊ จากดั พมิ พใ์ นงานบาเพ็ญกุศลอุทศิ ถวายกรมสมเดจ็ พระศรสี ลุ าไลย
๒๕. ศลิ ปากร , กรม .ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เล่ม ๒ กรงุ เทพ: พ.ศ. ๒๕๔๒
๒๖. ศลิ ปากร , กรม .ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เล่ม ๓ กรุงเทพ: พ.ศ. ๒๕๔๒
๒๗. ศลิ ปากร, กรม ประชมุ พงศาวดารภาค ๓๒ จดหมายเหตคุ ณะบาดหลวงฝรง่ั เศสซงึ่
เขา้ มาตงั้ ครงั้ แผน่ ดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช.พระนคร:โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒธนากร
พ.ศ.๒๔๖๗
๒๘. ศลิ ปากร , กรม, .ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พนั
จนั ทนุมาศ(เจมิ )., กรุงเทพ: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร ์พ.ศ.๒๔๗๙(พมิ พแ์ จกในงานปลงศพคุณหญงิ
ปฏภิ าณพเิ ศษ (ลมนุ อมาตยกุล))
๒๙. ศลิ ปากร , กรม, .ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๕ พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบบั พนั จนั ทนุ
มาศ(เจมิ ) . พระนคร: โรงพมิ พเ์ ดลเิ มล ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ (พมิ พแ์ จกในงานพระราชทานเพลงิ ศพ นาย
พนั เอก พระยาสริ จิ ลุ เสวก)
๓๐. ศลิ ปากร , กรม, .ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ จดหมายรายวนั ทพั สมยั กรุงธนบุรี
คราวปราบเมอื งพทุ ไธมาศและเขมร เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๔ พระนคร: โรงพมิ พเ์ ดลเิ มล ์ พ.ศ.
๒๔๘๐ (พมิ พแ์ จกในงานประชมุ เพลงิ ศพ นางละมอ่ ม เศรษฐบตุ ร)
๓๑. ศลิ ปากร , กรม, .ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๗๐ เรอื่ งเมอื งนครจาปาศกั ด.ิ์ กรงุ เทพ: โรง
พมิ พพ์ ระจนั ทร ์พ.ศ.๒๔๘๔ (พมิ พแ์ จกในงานพระราชทานเพลงิ ศพหมอ่ มเจา้ หญงิ คอยทา่
ปราโมช)
๓๒. ศลิ ปากร , กรม . ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๘๐ จดหมายเหตฟุ อรบ์ งั กรุงเทพ:
พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๙ (พมิ พเ์ ป็ นอนุสรณง์ านพระราชทานเพลงิ ศพ พลตรลี มา้ ย อทุ ยานานนท)์
๓๓. ศลิ ปากร , กรม . ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๘๒ พระราชพงศาวดารกรุงสยามจาก
ตน้ ฉบบั ทเี่ ป็ นสมบตั ขิ องบรติ ชิ มวิ เซยี มกรุงลอนดอน . พระนคร : สานักพมิ พก์ า้ วหนา้ พ.ศ.
๒๕๐๗
๓๔. น. ณ ปากน้า. ศลิ ปะและวฒั นธรรมจากดนิ แดนอาหรบั เมอื่ แรกเขา้ สูส่ ยามประเทศ
กรุงเทพฯ : สานักพมิ พเ์ มอื งโบราณ , ๒๕๓๔
๒๙
๓๕. นิธิ เอยี วศรวี งศ ์ . การเมอื งไทยสมยั พระเจา้ กรุงธนบุรี กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั พฆิ เนศ พรนิ้ ท ์
ตงิ้ เซน็ เตอร ์จากดั , ๒๕๓๙
๓๖. สายสกุลสลุ ต่านสลุ ยั มาน พ.ศ.๒๑๔๕ -๒๕๓๑, กรุงเทพฯ : บรษิ ทั อมรนิ ทร ์พรนิ้ ตงิ้ กรุพ๊
จากดั , ๒๕๓๑
๓๗. สายสกุลสมั พนั ธ ์ 2543
๓๘. สมั ภาษณค์ ณุ ฟาตมิ ะฮ ์ กลั ยาณสตุ บตุ รที ่านหมดั กลั ยาณสุต วนั ที่ ๑ กนั ยายน ๒๕๔๔
๓๙. Muhammad Rabi. The Ship of Sulaiman. tr. John O’Kane. London:Routledge
& Kegan Paul Ltd., 1972
๓๐
รอ่ งรอยประวตั ศิ าสตร ์
อาคารมสั ยดิ หลงั เดมิ
สรา้ ง พ.ศ. 2358 สรา้ งคลา้ ยพระทนี่ ่ังในพระราชวงั บวรสถานมงคล สูง 7 วา หลงั คาสองชน้ั
คอื หลงั คาตกึ และหลงั คาระเบยี ง มรี ะเบยี งรอบตวั อาคารกวา้ ง 1 วาทง้ั 4 ดา้ น มเี สาระเบยี งตงั้ อยู่เป็ น
ระยะดา้ นขา้ งๆละ 7 ตน้ ดา้ นหลงั 5 ตน้ ตวั อาคารเดมิ กวา้ ง 4 วา ยาว 6 วา 2 ศอก อาคารหลงั เดมิ
ยุบตวั ลงในวนั ศกุ รท์ ี่ 29 ธนั วาคม 2495 กรรมการมสั ยดิ ในสมยั น้ันจงึ ลงมตใิ หส้ รา้ งขนึ้ ใหม่ จน
เสรจ็ สนิ้ เมอ่ื วนั ที่ 4 กมุ ภาพนั ธ ์ 2498
สุสานประวตั ศิ าสตรม์ สั ยดิ ตน้ สน
สถานทฝี่ ังศพของบรรพชนมสั ยดิ ตน้ สน ไมบ้ ซิ นั (ป้ ายบอกชอ่ื ผมู้ รณะกรรม) ลว้ นบ่งบอกความ
เป็ นมาของชมุ ชนนีเ้ ป็ นอย่างดี
กาแพงดา้ นหนา้ มสั ยดิ
สรา้ งโดยพระยาราชวงั สนั (ฉิม) ในปี พ.ศ. 2359 สมยั รชั กาลที่ 2 บรู ณะครงั้ แรกในสมยั พระยา
ราชวงั สนั (บวั ) ในปี พ.ศ. 2405 สมยั รชั กาลที่ 4
๓๑
อาคารสมาคมสนธอิ สิ ลาม
เดมิ เป็ นอาคารไมช้ นั้ เดยี วยกพนื้ สูง สรา้ งไวส้ าหรบั ทานเลยี้ ง โดยสรา้ งในปี พ.ศ. 2332 โดยท่านเจะ๊
ซอและห ์ บดิ าของหลวงโกชาอศิ หาก (นาโคดา อาล)ี โดยหลงั เดมิ มขี นาดกวา้ ง 2 วา ยาว 2 วาเศษ
จานวน 2หลงั ไดร้ อื้ และสรา้ งอกี ครง้ั เป็ นอาคารในปัจจบุ นั ในปี พ.ศ. 2458 และทาการซอ่ มแซมและ
ยกพนื้ สูงเพอื่ ใหใ้ ชก้ ารไดท้ งั้ ชนั้ บนและลา่ งในปี พ.ศ. 2518
ศาลาแปดเหลยี่ ม
สรา้ งปี พ.ศ. 2473 วตั ถุประสงคเ์ พอื่ เป็ นสถานทนี่ ่ังสนทนา ปรกึ ษาหารอื กนั
โคมหวด
ไดร้ บั บรจิ าคหลายครง้ั ตดิ ต่อกนั มา ตงั้ แตส่ มยั สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช ซง่ึ ทรง
พระราชทานใหแ้ กม่ สั ยดิ ตน้ สนหลายดวง และรวมทง้ั ของขา้ ราชการชนั้ ผใู้ หญ่ ปจั จบุ นั คงเหลอื อยู่
ประมาณ ๑๐ ดวง เดมิ ใชน้ า้ มนั มะพรา้ วใส่และมไี สด้ า้ นใน
๓๒
พระปรมาภไิ ธยในหลวงสองรชั กาล
เมอื่ วนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานันทมหดิ ล และพระบาทสมเดจ็ พระ
เจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช เมอ่ื ครง้ั เป็ นพระอนุชาไดเ้ สด็จพระราชดาเนินมายงั มสั ยดิ ตน้ สนเป็ นการ
สว่ นพระองค ์ เสด็จออกประทบั ทหี่ นา้ มขุ ของมสั ยดิ ทรงมกี ระแสพระราชดารสั ต่อมสุ ลมิ มสั ยดิ ตน้ สน
และทรงลงพระปรมาภไิ ธยในสมุดเยยี่ มของมสั ยดิ เสด็จพระราชดาเนินชมบรเิ วณอาคารมสั ยดิ เป็ น
เวลาประมาณครงึ่ ชว่ั โมงจงึ เสด็จพระราชดาเนินกลบั เหตุการณท์ งั้ หมดนีน้ ับเป็ นความภาคภมู ใิ จ
อยา่ งใหญห่ ลวงของมสุ ลมิ มสั ยดิ ตน้ สน ซง่ึ จะจารกึ อยู่ในดวงใจของพวกเรารวมไปถงึ รนุ่ ลกู หลานไป
ตราบนานเท่านาน
โคมไฟพระราชทานรชั กาลท๖ี่
โคมไฟพระราชทานซง่ึ เป็ นของทรี่ ะลกึ ในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั
โปรดเกลา้ ฯพระราชทานตามมสั ยดิ ตา่ ง ๆ ซง่ึ มสั ยดิ ตน้ สนก็เป็ นหน่ึงในมสั ยดิ ทไี่ ดร้ บั โคมไฟนี้ โดยมี
อกั ษรขอ้ ความจารกึ ทดี่ า้ นล่างของโคมไฟวา่ “มอบใหใ้ นงานพระบรมศพ ร.ศ. ๑๒๙ “
๓๓
กระดานสลกั ลายอลั กรุ อา่ น
กระดานสลกั ลายอลั กุรอา่ นไดร้ บั พระราชทานจากสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช โดย
กระดานนีม้ รี อยไฟไหมบ้ างสว่ น ไดล้ อยนา้ มาตดิ ทศี่ าลาทา่ นา้ ของมสั ยดิ ตน้ สนรมิ คลองบางกอก
ใหญ่ และขณะน้ันหมทู่ หารทอี่ าบนา้ อยู่ในคลองพบเขา้ เดมิ นึกว่าเป็ นไมก้ ระดานธรรมดา แตเ่ มอื่
พลกิ ดา้ นขนึ้ มา เห็นเป็ นลายสลกั เป็ นภาษาอาหรบั จงึ นามาใหน้ ายกองทเี่ ป็ นมสุ ลมิ นายกองมสุ ลมิ
ไดน้ าถวายสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช พระองคท์ รงมพี ระราชดารวิ ่าเป็ นนิมติ ดแี กม่ สั ยดิ ตน้ สนจงึ
พระราชทานใหแ้ กผ่ ปู้ กครองของมสั ยดิ ในขณะนั้น ปัจจบุ นั ตงั้ อยหู่ ลงั มมิ บรั ในอาคารมสั ยดิ ฯ
ความหมายของภาษาอาหรบั บนกระดานนี้ ในหลวงรชั กาลที่ ๔ โปรดเกลา้ ฯใหแ้ ปลเป็ นภาษาไทยลง
พมิ พไ์ วใ้ นหมายประกาศฉบบั ที่ ๕๗๒๔ ใบปลวิ *
โคมตะเกยี งน้ามนั
ทาในสมยั สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ปี พ.ศ.๒๔๐๔ โดยท่านหมบี า้ นรมิ วดั เสาวโคน ปาก
คลองบางกอกนอ้ ย อหิ มา่ มมสั ยดิ ตน้ สนในชว่ งน้ัน เดมิ ตดิ ดว้ ยแกว้ นา้ มนั มะพรา้ ว ในปจั จบุ นั ได ้
ดดั แปลงเป็ นหลอดไฟฟ้ า ประดบั อย่ใู นมสั ยดิ จนถงึ ปัจจบุ นั
๓๔
เมยี้ รอ็ บ
ใชเ้ ป็ นสถานทที่ อี่ หิ มา่ ม(ผูน้ าละหมาด)นาละหมาดโดยผูเ้ ป็ นอหิ ม่ามเขา้ ไปทาละหมาดภายใน สรา้ ง
คลา้ ยวอยศเจา้ ฟ้ าสาหรบั เรอื กนั ยา ยาวสองศอกเศษ มหี ลงั คาหนา้ จว่ั แกะสลกั ตามแบบหลงั คาเรอื
กนั ยา ลงรกั ปิ ดทองหนา้ จว่ั และชอ่ ฟ้ าใบระกา เมยี้ รอ็ บนี้ อาจารยณ์ ัฐฏภทั ร จนั ทรวชิ ฝ่ ายวชิ าการ
ระดบั ๘ สานักโบราณคดแี ละพพิ ธิ ภณั ฑ ์ ไดต้ รวจสอบและใหค้ วามเห็นเกยี่ วกบั รายละเอยี ดและ
ศลิ ปะการกอ่ สรา้ งไวว้ ่า
“เป็ นลกั ษณะแบบเตยี งสวดของพระสงฆใ์ นสมยั อยุธยาตอนปลายถงึ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้
หลงั คาหนา้ จว่ั สองชน้ั ประดบั ชอ่ ฟ้ า ใบระกา หางหงส ์ โดยชอ่ ฟ้ ามจี งอยปากแบบปากนก ตวั
กรอบหนา้ จว่ั แบบนาคลายองทเ่ี ป็ นตวั นาคคดโคง้ ใบระกาแทนครบี นาค ส่วนหางหงสต์ กแตง่
แบบนาคปักแปลงเป็ นรูปของหางหงสแ์ ทนนาคหา้ เศยี รของทางพทุ ธศาสนา
ลายหนา้ บนั ตกแตง่ ดว้ ยลายชอ่ โตกา้ นขด เป็ นไมจ้ าหลกั ลงรกั ปิ ดทองประดบั มกุ (เปลอื กหอย)
ตดั เป็ นรูปใบไม้ สว่ นยอดของลายชอ่ หางโตออกแบบเป็ นลายสญั ญลกั ษณแ์ บบมุสลมิ คอื ดาว
และจนั ทรเ์สยี้ วอย่กู ลางลายดอกบวั ซงึ่ เป็ นจดุ เดน่ เฉพาะ ตวั ไมก้ รอบลา่ งของหนา้ จว่ั
ประกอบดว้ ยลายประจายามขนาบดว้ ยลายกระจงั เจมิ และลายบวั รวน ต่อดว้ ยเชงิ ล่างเป็ นลาย
กระจงั รวนแบบลายไทย ตวั พนักขา้ งมไี มป้ ระดบั แกะสลกั ดนุ เป็ นลายประจายาม ตวั เสารูป
สเี่ หลยี่ มหวั เสาเป็ นลายกลบี บวั ตวั เสาลงรกั ประดบั กระจกสฟี ้ าครามเป็ นลายคลา้ ยลายประจา
ยาม กลางเสาและเชงิ ลา่ งประดบั ลสยประจายามลงรกั ปิ ดทอง ไมป้ ระกบเสาจาหลกั ลายกา้ น
ขด”
๓๕
มมิ บรั
มมิ บรั ใชส้ าหรบั ผูเ้ ป็ นคอเต็บแสดงธรรมเทศนา ในวนั ศุกรห์ รอื ในโอกาสอนื่ ตามความเหมาะสม เดมิ
เป็ นไมส้ กั สงู ๑ วาเศษ มบี นั ได ๓ ขนั้ แทน่ น่ังกวา้ งศอกเศษ สงู จากพนื้ สองศอก หลงั คาโคง้ ครงึ่
วงกลม ยาว ๑ วา ประกอบดว้ ยเสาขนาดเล็ก ๔ เสา สูงจากพนื้ ๓ ศอกคบื หนา้ จว่ั ครงึ่ วงกลม จว่ั
หนา้ ทตี่ งั้ ดา้ นนอกและในมกี ารแกะสลกั ลวดลายลงรกั ปิ ดทอง มมิ บรั นี้ อาจารยณ์ ัฐฏภทั ร จนั ทรวชิ
ฝ่ ายวชิ าการระดบั ๘ สานักโบราณคดแี ละพพิ ธิ ภณั ฑ ์ ไดต้ รวจสอบและใหค้ วามเห็นเกยี่ วกบั
รายละเอยี ดและศลิ ปะการกอ่ สรา้ งไวว้ า่
“ลกั ษณะหลงั คาโคง้ หนา้ จว่ั รูปครงึ่ วงกลม ประดบั ลายอกั ษรอลั กรุ อา่ นในรูปวงกลม มยี อดรูป
กระจงั กลบี บวั เชงิ เป็ นลายกลบี บวั ครงึ่ ดอกขนาบดว้ ยลายกนก สองขา้ งของลายอลั กรุ อา่ น
เป็ นลายสญั ลกั ษณด์ าวและจนั ทรเ์สยี้ วในรูปดอกบวั
กรอบของหนา้ จว่ั ประดบั ดว้ ยลายกระจงั รวน(ใบระกา) ยอดเป็ นลายชอ่ ดอกไมแ้ บบลายกระจงั
เจมิ สองขา้ งของหนา้ จว่ั เป็ นเป็ นลายหางหงสท์ อ่ี อกแบบเป็ นลายชอ่ ดอกไม้ กรอบล่างเป็ นลาย
กระจงั เสากลมลงรกั ปิ ดทองประดบั กระจกเกรยี บสเี ขยี ว ซงึ่ เป็ นการประดบั กระจกในแบบ
โบราณ
วตั ถทุ ง้ั สองชนิ้ นี(้ มมิ บรั และเมยี้ รอ็ บ)น่าจะสรา้ งในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลายถงึ
รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ”
๓๖
หน้าบนั มสั ยดิ หลงั เดมิ
ใชไ้ มส้ กั แกะสลกั ลายนูน เป็ นรปู ลายกา้ นขด มรี ูปอาวุธ และลวดลายผสมผสานในแบบไทยและ
อาหรบั ดา้ นหนา้ ของหนา้ บนั ระบปุ ี ทที่ าคอื ร.ศ. ๑๒๕ ฮ.ศ.๑๓๒๗ คอื ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๔๙
พระมหาคมั ภรี อ์ ลั กุรอา่ นเขยี นดว้ ยมอื โดยใช้
กา้ งปลาและอปุ กรณอ์ นื่ ทง้ั ๕ชดุ ซงึ่ ทง้ั หมดเขยี น
โดยบรรพบุรุษของชาวตน้ สน (ทงั้ ๕ภาพเป็ นบท
แรกของพระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อา่ น)
๓๗
สสุ านประวตั ศิ าสตร ์ ภทั ระ คาน
มสั ยดิ ตน้ สนไดส้ รา้ งขนึ้ เมอ่ื ราว พ.ศ.๒๒๓๑ ซง่ึ ตรงกบั ปลายแผน่ ดนิ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช
และตน้ แผ่นดนิ สมเดจ็ พระเพทราชาแห่งกรงุ ศรอี ยุธยา โดยทว่ั ไปแลว้ เมอื่ ทใี่ ดเกดิ ชมุ ชนมสุ ลมิ ขนึ้ ก็
จะมกี ารสรา้ งมสั ยดิ เพอื่ ใชเ้ ป็ นสถานทปี่ ระกอบศาสนกจิ และสงิ่ ทตี่ ามมาคอื กบุ ูร หรอื สสุ านน่ันเอง
สุสานของมสั ยดิ ตน้ สนนีถ้ อื ไดว้ า่ เป็ นสุสานทเี่ กา่ แกท่ สี่ ดุ ในกรงุ เทพมหานคร นับจากอดตี ถงึ ปัจจบุ นั
เป็ นระยะเวลากว่า ๓๓๐ ปี แลว้ ซงึ่ ถอื เป็ นการรอ้ ยรวมอดตี ทผี่ ่านมาถงึ ๓ สมยั ดว้ ยกนั คอื กรงุ ศรี
อยธุ ยา ธนบรุ แี ละรตั นโกสนิ ทร ์รา่ งของบรรพชนมสุ ลมิ ทไี่ ดร้ บั ราชการมาตง้ั แต่สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา
จวบจนกระท่งั ปัจจบุ นั ไดถ้ กู นามาฝัง ณ.สสุ านประวตั ศิ าสตรแ์ หง่ นี้ ซงึ่ ท่านเหลา่ นีไ้ ดม้ สี ่วนในการกู ้
บา้ นเมอื งใหก้ ลบั คนื ส่อู สิ รภาพดงั เชน่ ทุกวนั นี้ อกี ทง้ั ไดร้ บั ราชการสนองพระเดชพระคุณ ดว้ ยความ
ซอ่ื สตั ยจ์ งรกั ภกั ดตี ลอดมา อนั เป็ นสงิ่ ซง่ึ นามาซง่ึ ความสงบสขุ รม่ เย็นของบา้ นเมอื งตราบจนกระท่งั
ทุกวนั นี้
สุสานประวตั ศิ าสตรม์ สั ยดิ ตน้ สนนี้ เป็ น
แหลง่ รวบรวมขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรท์ สี่ าคญั
ซงึ่ ท่านทสี่ นใจสามารถหาความรเู ้ รอื่ งราวใน
อดตี ผ่านบุคคลซง่ึ รา่ งของทา่ นเหลา่ นีไ้ ดถ้ กู
นามาฝัง ณ.สสุ านแห่งนี้ ซงึ่ ในสว่ นตอ่ ไปนี้
ผเู้ ขยี นขอนาเสนอประวตั ขิ องขา้ ราชการมุสลมิ
บางทา่ น ทผี่ ูเ้ ขยี นสามารถคน้ ควา้ หาประวตั มิ า
ได ้ และการเรยี บเรยี งนีจ้ ะนาเสนอเฉพาะ
ขา้ ราชการทมี่ บี รรดาศกั ดซิ ์ งึ่ รบั ราชการกอ่ น
สมยั การเปลยี่ นแปลงการปกครอง โดยเรมิ่ จาก
ขา้ ราชการทมี่ บี รรดาศกั ดสิ ์ ูง เรยี งตามลาดบั ลงมา การนับวนั ขนึ้ ปี ใหมย่ งั คงใชแ้ บบเกา่ คอื ๑
เมษายน เป็ นวนั ขนึ้ ปีใหม่ จนกระท่งั พ.ศ. ๒๔๘๔ จงึ นับวนั ขนึ้ ปี ใหมเ่ ป็ นวนั ที่ ๑ มกราคมตามแบบ
สากลท่วั ไป ขอขอบคุณทายาทของขา้ ราชการทกุ ๆ ทา่ นทใี่ หย้ มื ภาพมาขยาย โดยเรมิ่ จาก
ขา้ ราชการมสุ ลมิ นิกายสุหนี่กอ่ น
๑.เจา้ พระยาจกั รศี รอี งครกั ษ(์ หมุดหรอื แขก) เป็ นบุตรขนุ ลกั ษมณา(บุญยงั ) และหมอ่ ม
ดาว เกดิ เมอ่ื พ.ศ.๒๒๗๐ (ใชป้ ี เกดิ จากแผน่ หนิ ออ่ นทฝี่ ังศพของทา่ น) ในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ไดถ้ วาย
ตวั รบั ราชการในสมยั สมเด็จพระทนี่ ่ังสุรยิ ามรนิ ทรห์ รอื พระเจา้ เอกทศั น์ ตอ่ มามบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ น หลวง
นายศกั ดิ ์ กอ่ นเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาไมน่ าน ท่านไดร้ บั พระบรมราชโองการใหเ้ ดนิ ทางไปเกบ็ เงนิ คา่ สว่ ย
สาอากรทหี่ วั เมอื งชายทะเลภาคตะวนั ออก หลวงนายศกั ดไิ ์ ดเ้ กบ็ เงนิ จากพระยาจนั ทบุรไี ดเ้ งนิ ๓๐๐
ชง่ั พอดกี รุงศรอี ยุธยาแตก พระยาจนั ทบุรจี ะขอเงนิ คนื หลวงนายศกั ดไิ ์ มย่ อมคนื ใหจ้ ะขอเกบ็ รกั ษา
ไวก้ อ่ น เมอ่ื กองทพั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชยกทพั มาถงึ เมอื งจนั ทบุรี (ระหวา่ งนั้นยงั ไม่ได ้
ปราบดาภเิ ษกเป็ นกษตั รยิ )์ หลวงนายศกั ดไิ ์ ดเ้ ขา้ สวามภิ กั ดติ ์ ่อพระองค ์ ทา่ นไดพ้ าเอาพวกจนี ตวั้ เหยี่
จานวน ๕๐๐ คน และเงนิ จานวน ๓๐๐ ชง่ั ถวายแด่สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช ทา่ นไดร้ ว่ มกบั
กองทพั เพอื่ ตเี มอื งจนั ทบรุ ี ซง่ึ กส็ ามารถตเี มอื งจนั ทบุรไี ดส้ าเรจ็ ตอ่ มาไดม้ กี ารสรา้ งกองเรอื รบขนึ้ ที่
๓๘
เมอื งจนั ทบรุ ี โดยใชเ้ งนิ ทหี่ ลวงนายศกั ดทิ ์ ูลเกลา้ ฯถวายจานวน ๓๐๐ชง่ั เป็ นเงนิ ทนุ ประกอบกบั หลวง
นายศกั ดเิ ์ ป็ นผมู้ คี วามรคู ้ วามชานาญในการเดนิ เรอื และต่อเรอื จงึ ทาใหส้ ามารถสรา้ งเรอื จานวนมาก
เพอ่ื ใชเ้ ป็ นพาหนะในการกบู ้ า้ นเมอื งใหก้ ลบั มาเป็ นอสิ รภาพดงั เดมิ กองทพั ของสมเด็จพระเจา้ ตาก
สนิ มหาราชสามารถตเี มอื งธนบรุ ซี งึ่ พมา่ มอบใหน้ ายทองอนิ ปกครองดแู ล หลงั จากยดึ เมอื งธนบรุ ไี ด ้
แลว้ กย็ กกองทพั ไปตคี ่ายโพธสิ ์ ามตน้ ของพมา่ ซง่ึ ตงั้ อย่ทู กี่ รงุ ศรอี ยธุ ยา กองทพั ไดร้ บั ชยั ชนะโดย
สามารถฆ่าสุกแี้ มท่ พั ของพม่าตายในสนามรบ ทาใหก้ รงุ ศรอี ยธุ ยากลบั คนื สอู่ สิ รภาพภายใน
ระยะเวลาเพยี ง ๗ เดอื นหลงั จากเสยี กรุงศรอี ยธุ ยา ซง่ึ หนึ่งในบรรดาผกู้ อบกอู ้ สิ ระภาพกค็ อื หลวงนาย
ศกั ดิ ์
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงสถาปนากรงุ ธนบรุ เี ป็ นราชธานีแห่งใหมใ่ นปี พ.ศ.๒๓๑๑
ในการนีโ้ ปรดเกลา้ ฯพระราชทานบาเหน็จความดคี วามชอบแกข่ า้ ราชการทไี่ ดร้ ว่ มกอบกบู ้ า้ นเมอื ง
ใหก้ ลบั มามอี สิ ระภาพดงั เดมิ สาหรบั หลวงนายศกั ดโิ ์ ปรดเกลา้ ฯใหเ้ ป็ นอคั รมหาเสนาบดี มี
บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น เจา้ พระยาจกั รศี รอี งครกั ษ์ ดารงตาแหน่ง สมุหนายก ซงึ่ มอี านาจหนา้ ทปี่ กครองดแู ล
หวั เมอื งตงั้ แตเ่ หนือสดุ ของประเทศจดดนิ แดนภาคกลางของประเทศ (สว่ นหวั เมอื งทเี่ ป็ นคาบสมทุ ร
ทางภาคใตข้ องประเทศอยู่ภายใตก้ ารปกครองของสมหุ กลาโหม) ในปี พ.ศ.๒๓๑๒ สมเดจ็ พระเจา้
ตากสนิ มหาราชโปรดเกลา้ ฯใหเ้ จา้ พระยาจกั รฯี เป็ นแม่ทพั ยกทพั ไปปราบชมุ นุมนครศรธี รรมราชซงึ่
ถอื ว่าเป็ นชมุ นุมทเี่ ขม้ แข็งและมคี วามสามารถสงู ในการตเี มอื งนครศรธี รรมราชนี้ ขา้ ราชการชน้ั สูงที่
รว่ มเดนิ ทางในกองทพั ไดเ้ สยี ชวี ติ ในสนามรบ ซงึ่ ไดแ้ กพ่ ระยาเพชรบรุ แี ละพระยาศรพี พิ ฒั น์ กองทพั
ของเจา้ พระยาจกั รฯี ไมส่ ามารถตเี มอื งนครศรธี รรมราชได ้ เนื่องจากเมอื งนครศรธี รรมราชมกี องกาลงั
ทเี่ หนือกวา่ จงึ ถอยไปตงั้ หลกั ทเี่ มอื งไชยา กองทพั หลวงซง่ึ มสี มเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชเสด็จยก
ทพั มาปราบ เมอื่ เจา้ เมอื งนครศรธี รรมราชทราบว่ามกี องทพั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชยก
ทพั มา จงึ นากาลงั พลหนีออกจากเมอื ง แลว้ ไปหลบซอ่ นอยทู่ ปี่ ัตตานี เมอ่ื กองทพั ของสมเด็จพระเจา้
ตากสนิ มหาราชมาถงึ นครศรธี รรมราชกส็ ามารถตกี องทพั ซงึ่ รกั ษาเมอื งนครศรธี รรมราชได ้ พระองค ์
ทรงมบี ญั ชาใหเ้ จา้ พระยาจกั รอี อกตดิ ตามหาตวั เจา้ เมอื งนครศรธี รรมราช ซง่ึ ท่านกส็ ามารถตดิ ตาม
นาตวั มาถวายไดเ้ ป็ นผลสาเรจ็
โคลงยอพระเกยี รตพิ ระเจา้ กรุงธนบุรซี งึ่ แต่งโดยนายสวน มหาดเล็ก เมอื่ ปี พ.ศ.๒๓๑๔ ได ้
กล่าวถงึ เจา้ พระยาจกั รี สมหุ นายก ไวต้ อนหน่ึงวา่
ฝ่ ายหมูม่ ขุ มาตยเ์ ฝ้ า บรบิ าล
ชาญกจิ ชาญรงคช์ าญ เลศิ ลว้ น
สมหุ กลาโหมหาญ หาญยงิ ่
นายกยกพจนถ์ อ้ ย ถถี่ อ้ ย ขบวนความ
๓๙
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชโปรดเกลา้ ฯใหย้ กทพั ไปปราบกมั พูชาในปี พ.ศ.๒๓๑๔ โดยมี
เจา้ พระยาจกั รี (หมดุ หรอื แขก) เป็ นแมท่ พั บก ยกพล ๑๐,๐๐๐คน ไปทางเมอื งปราจนี บรุ ี กองทพั ของ
เจา้ พระยาจกั รยี กเขา้ ตเี มอื งพระตะบอง เมอื งโพธสิ ตั วแ์ ละเมอื งบรบิ รู ณไ์ ดเ้ ป็ นผลสาเรจ็ จากนั้นก็ได ้
ยกเขา้ ตเี มอื งพทุ ไธเพชร องคพ์ ระอไุ ทยราชานาทพั ออกสรู้ บดว้ ยแตไ่ มส่ ามารถตา้ นทานได ้ จงึ นา
ไพรพ่ ลบรวิ ารหนีไปตง้ั ทพั ทบี่ าพนม หลงั จากนั้นเจา้ พระยาจกั รนี ากองกาลงั ตงั้ อยู่ทเี่ มอื งพุทไธเพชร
มอบใหอ้ งคพ์ ระรามาธบิ ดอี ยรู่ กั ษาเมอื งพทุ ไธเพชร ส่วนเจา้ พระยาจกั รไี ดเ้ ดนิ ทางลงมาเฝ้ าสมเด็จ
พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทเี่ กาะพนมเพญ แลว้ เลยไปเมอื งบาพนมเพอื่ ตดิ ตามจบั องคพ์ ระอไุ ทยราชา
แตจ่ บั
กองทพั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชครงั้ ยกไปตเี มอื งพุทไธมาศ โดยมเี จา้ พระยาจกั รเี ป็ นแมท่ พั
ตวั ไม่ได ้ เพราะพวกญวนเมอื งลูกหน่ายมาจบั ตวั องคพ์ ระอไุ ทยราชาหนีไปเมอื งญวน ชาวเมอื งบา
พนมเขา้ สวามภิ กั ดโิ ์ ดยดไี มม่ กี ารสรู ้ บกนั ตอ่ จากนั้นเจา้ พระยาจกั รกี ย็ กทพั กลบั มาเฝ้ าสมเดจ็ พระ
เจา้ ตากสนิ มหาราชทเี่ กาะพนมเพญ ตอ่ มาองคพ์ ระรามาธบิ ดไี ดล้ งมาเฝ้ าสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ
มหาราช โปรดใหอ้ งคพ์ ระรามาธบิ ดไี ปครองเมอื งพุทไธเพชรและมพี ระดารสั ใหเ้ จา้ พระยาจกั รแี ละ
พระยาโกษาไปชว่ ยราชการทเี่ มอื งพุทไธเพชรจนกว่าจะสงบราบคาบ หลงั จากเสรจ็ ศกึ ทกี่ มั พชู าแลว้
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช โปรดเกลา้ ฯพระราชทานญวนขา้ งในซง่ึ เป็ นบตุ รสาวของพระยาราช
เศรษฐเี จา้ เมอื งพทุ ไธมาศแกแ่ ม่ทพั ทรี่ ว่ มในสงครามครง้ั นีซ้ ง่ึ เจา้ พระยาจกั รกี ไ็ ดร้ บั พระราชทานดว้ ย
โดยใหโ้ ขลนนาไปพระราชทานถงึ เรอื น
เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุดหรอื แขก)มบี ตุ รเทา่ ทที่ ราบ ๒ คน คอื พระยายมราชเกษตราธบิ ดี (หมดั
หรอื จยุ ้ ) และพระยาราชวงั สนั (หวงั ) ซงึ่ เป็ นคุณตาของสมเดจ็ พระศรสี ุลาลยั พระบรมราชชนนีใน
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุดหรอื แขก)ถงึ อสญั กรรมเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๗ แต่หลกั ฐานทเี่ ป็ นหนิ อ่อนตดิ ที่
หลมุ ฝังศพของท่านระบวุ า่ เป็ นปี ๒๓๑๔ แตผ่ ูเ้ ขยี นเห็นวา่ ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากหนังสอื “การเมอื งไทยสมยั
พระเจา้ กรงุ ธนบุร”ี เรยี บเรยี งโดยอาจารยน์ ิธิ เอยี วศรวี งศ ์ มขี อ้ ความทกี่ ล่าวถงึ ปี อสญั กรรมและ
หลกั ฐานประกอบเกยี่ วกบั การตง้ั ตาแหน่งพระยาจกั รใี นเวลาตอ่ มา จงึ ขอใชป้ ี พ.ศ. ๒๓๑๗ เป็ นปีที่
๔๐
เจา้ พระยาจกั ร(ี หมุดหรอื แขก)ถงึ อสญั กรรม โดยในวนั ฝังศพของท่านทสี่ สุ านของมสั ยดิ ตน้ สน
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชเสด็จดว้ ยพระองคเ์ องมารว่ มในพธิ ฝี ังศพ และโปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานทดี่ นิ เพม่ิ เตมิ ใหแ้ กม่ สั ยดิ ตน้ สนเพอ่ื ขยายขอบเขตของสุสานเพม่ิ เตมิ ดว้ ย
๒.พระยาราชวงั สนั (ฉิม) เป็ นบุตรพระยาราชวงั สนั (แมน้ ) ทา่ นเกดิ ในราวสมยั
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกมหาราช ครนั้ ต่อมาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ
หลา้ นภาลยั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระยาราชวงั สนั ดารงตาแหน่งจางวางอาสา
จาม ในปี พ.ศ.๒๓๗๔ ซง่ึ ตรงกบั รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยา
ราชวงั สนั พระยาพไิ ชยบรุ นิ ทรา พระยาเพชรบุรแี ละพระยาณรงคฤทธโิ กษา คุมกองทพั ไปชว่ ยพระ
ยาสงขลา(เถยี้ นเสง้ )ปราบกบฎบรเิ วณเจ็ดหวั เมอื ง (เป็ นชอ่ื เรยี กเมอื งทง้ั เจ็ดซง่ึ ตง้ั อยู่ทางภาคใต ้
ตอนลา่ ง คอื เมอื งปัตตานี เมอื งยะลา เมอื งยะหรงิ่ เมอื งรามนั เมอื งระแงะ เมอื งสายบรุ ี และเมอื งหนอง
จกิ ซง่ึ ต่อมาภายหลงั ยบุ เหลอื เพยี ง เมอื งปัตตานี เมอื งยะลา และเมอื งนราธวิ าส) โดยพระยาปัตตานี
(เตงิ กูสหุ ลง) พระยาหนองจกิ (เตงิ กูกะจ)ิ พระยายะลา(เตงิ กูบางกอก) และพระยาระแงะ(นิเดะ) ได ้
รว่ มกนั กอ่ กบฎ โดยเขา้ ตเี มอื งยะหรงิ่ เมอื งจะนะและเมอื งเทพา กองกาลงั ของฝ่ ายกบฎมจี านวนมาก
จงึ ทาใหก้ องทพั จากกรุงเทพฯทอี่ อกไปชว่ ยปราบกบฎไมส่ ามารถเอาชนะได ้ ดงั น้ันในปลายปี พ.ศ.
๒๓๗๔ พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯใหเ้ จา้ พระยาพระคลงั เป็ นแมท่ พั เรอื ยกทพั
ใหญอ่ อกไปชว่ ย จากนั้นกองทพั ไดแ้ บง่ ออกเป็ นสองกอง โดยพระยาราชวงั สนั เป็ นแม่ทพั เรอื ยกทพั
ไปปราบกบฎ ส่วนเจา้ พระยาพระคลงั และเจา้ พระยานคร(นอ้ ย) ยกทพั ไปทางบก ทงั้ กองทพั เรอื และ
ทพั บกสามารถปราบกบฎไดส้ าเรจ็
พระยาราชวงั สนั (ฉิม) มบี ตุ ร ๒คน คอื พระยาราชวงั สนั (นก) และพระยาราชวงั สนั (บวั ) สาหรบั
พระยาราชวงั สนั (บวั ) เป็ นพระยาราชวงั สนั ทา่ นสุดทา้ ยทดี่ ารงตาแหน่งจางวางอาสาจาม พระยาราช
วงั สนั (ฉิม)ถงึ แกอ่ นิจกรรมในสมยั รชั กาลที่ ๓
๓.พระยาราชวงั สนั (นก) เป็ นบุตรพระยาราชวงั สนั (ฉิม) ภายหลงั จากการถงึ แกอ่ นิจกรรม
ของพระยาราชวงั สนั (ฉิม) พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทาน
บรรดาศกั ดใิ ์ หเ้ ป็ นพระยาราชวงั สนั ดารงตาแหน่งจางวางอาสาจามสบื แทนพระยาราชวงั สนั (ฉิม)ผู้
เป็ นบดิ า ครน้ั ถงึ พ.ศ.๒๓๘๔ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯใหย้ กทพั ไปตเี มอื ง
บนั ทายมาศ(ฮาเตยี น)ของญวน ซงึ่ กอ่ นหนา้ นีก้ องกาลงั ทางบกของเจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา (สงิ ห ์ สงิ
หเสนี)ไดย้ กไปปราบหวั เมอื งเขมรแลว้ โปรดใหพ้ ระอนุรกั ษโ์ ยธายกทพั เรอื พรอ้ มดว้ ยเจา้ กรมปลดั
กรมอาสาจามลาเลยี งอาหารไปสง่ กองทพั ของเจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา ส่วนกองทพั เรอื ทยี่ กทพั ไปตี
เมอื งบนั ทายมาศนีม้ พี ระบาทสมเด็จพระปิ่นเกลา้ เจา้ อยู่หวั (ขณะทรงดารงพระอสิ รยิ ยศเป็ นสมเด็จฯ
เจา้ ฟ้ ากรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค)์ ทรงเป็ นแม่ทพั สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี ุรยิ วงศ ์ (ชว่ ง บนุ นาค)
เป็ นแม่ทพั หนา้ ส่วนพระยาราชวงั สนั (นก) ก็ไดค้ มุ กาลงั ทพั เรอื สว่ นหน่ึงรว่ มในกระบวนทพั ครง้ั นีด้ ว้ ย
กองทพั เรอื ออกจากกรุงเทพฯเมอ่ื ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๓๘๔ เมอื่ กองทพั เรอื ถงึ เมอื งจนั ทบรุ แี ลว้ จงึ
๔๑
จดั ใหก้ องกาลงั ของพระยาราชวงั สนั (นก) พระยาพไิ ชยรณฤทธิ ์ พระอนุรกั ษโ์ ยธา ยกลว่ งหนา้ ไป
กอ่ น กองเรอื หนา้ ถงึ ชอ่ งกระบอื เมอื่ วนั ที่ ๓๐ มกราคมและไดพ้ บเรอื ลาดตระเวนของญวน ๗ ลา จงึ
ไดส้ รู ้ บยงิ กนั เรอื ลาดตระเวนญวนถอยหนีไปเมอื งบนั ทายมาศ หลงั จากนนั้ กองกาลงั พระยาราชวงั
สนั (นก) พระยาพไิ ชยรณฤทธิ ์ และพระอนุรกั ษโ์ ยธา ไดม้ ุ่งหนา้ ไปตคี า่ ยเกาะโดด เมอ่ื ไปถงึ ค่าย
ดงั กลา่ วไมพ่ บกองกาลงั ของญวน จงึ ไดเ้ ผาคา่ ยเสยี พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดให ้
พระยาราชวงั สนั (นก) นากองกาลงั เขา้ ประชดิ ป้ อมปากน้าเมอื งบนั ทายมาศ กองทพั เรอื ของพระยา
ราชวงั สนั (นก)ซง่ึ มที ง้ั เรอื รบแบบกาป่ันและเรอื คา่ ยไดช้ ว่ ยระดมยงิ กองทพั ของญวนทเี่ มอื งบนั ทาย
มาศ ครงั้ ถงึ วนั ที่ ๒๔ มนี าคม เกดิ พายใุ หญ่มลี มสลาตนั พดั กองเรอื ไมส่ ามารถจอดทปี่ ากน้าเมอื ง
บนั ทายมาศได ้ จงึ ยา้ ยมาอยทู่ เี่ กาะโดด จากน้ันไดย้ กทพั เรอื มาทเี่ มอื งจนั ทบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯใหย้ กทพั กลบั กรงุ เทพฯ การรบครง้ั นีก้ องทพั เรอื ไมส่ ามารถตเี มอื ง
บนั ทายมาศได ้ เน่ืองจากญวนมกี องกาลงั มากกว่าไทย และญวนไดเ้ ตรยี มการรบล่วงหนา้ ไวเ้ ป็ น
อยา่ งดี
ในปี พ.ศ.๒๓๙๓ ประธานาธบิ ดอี เมรกิ าไดส้ ่ง โยเซฟ บาเลศเตยี เป็ นทูตเขา้ มาเจรญิ ไมตรี
และแกไ้ ขหนังสอื สญั ญาการคา้ ทเี่ อสแมโรเบริ ต์ เขา้ มาทาไวแ้ ตก่ อ่ น เมอื่ เรอื ของคณะทตู อเมรกิ าได ้
เดนิ ทางมาถงึ เมอื งสมุทรปราการ จงึ ไดต้ ดิ ตอ่ กบั เจา้ เมอื งสมุทรปราการ เพอื่ แจง้ ใหท้ ราบถงึ
วตั ถุประสงคใ์ นการเดนิ ทางมา ระหวา่ งนั้นพระยาราชวงั สนั (นก) ก็เป็ นหน่ึงในคณะขา้ ราชการทรี่ กั ษา
เมอื งสมทุ รปราการ ท่านไดร้ ว่ มรบั คณะทตู จากอเมรกิ าทเี่ ดนิ ทางเขา้ มาในครง้ั น้ันดว้ ย และรว่ มจดั
กระบวนเรอื รบั คณะทูตเดนิ ทางเขา้ เฝ้ าพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยูห่ วั
พระยาราชวงั สนั (นก) สมรสกบั คณุ หญงิ อมิ่ บุตรที า่ นเฟื องและท่านพ่วง มบี ุตร ๑๐ คน อาทิ
หลวงสุรนิ ทรร์ าชา ทา่ นผงึ้ ทา่ นปาน สมรสกบั หลวงเดชสรการ(เอยี่ ม) ท่านเอม สมรสกบั หลวง
ลกั ษมณา(หม่าน มานะจติ ต)์ ทา่ นเป้ า สมรสกบั ท่านแสง ชลายนเดชะ พระยาราชวงั สนั (นก) ถงึ
อนิจกรรมในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
๔๒
๔.พนั เอก พระยากลั ยาณภกั ดี (ยากูบ กลั ยาณสุต) เป็ นบุตรหลวงสุนทรวารี
(พ่วง กลั ยาณสตุ ) และทา่ นหลง (ฉัตรสวุ รรณ) กลั ยาณสุต เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๑๐ เขา้ รบั ราชการใน
กรมยุทธนาธกิ าร มยี ศเป็ นรอ้ ยตรี ครน้ั ถงึ ปี พ.ศ.๒๔๔๑ มยี ศเป็ นรอ้ ยเอก ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๒
โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงศลั ยวทิ ยป์ รชี า พ.ศ.๒๔๔๕ มยี ศเป็ นพนั ตรี พ.ศ.
๒๔๔๗ มยี ศเป็ นพนั โท และโปรดเกลา้ ฯพระราชทานศกั ดเิ ์ ป็ นพระอนุรกั ษโ์ ยธา มตี าแหน่งราชการใน
กรมยทุ ธนาธกิ าร พ.ศ.๒๔๕๓ มยี ศเป็ นพนั เอก ดารงตาแหน่งเป็ นผบู้ งั คบั การกรมพาหนะ กองทพั ที่
๑ พ.ศ.๒๔๕๔ ดารงตาแหน่งสารวตั รทหารบก บรเิ วณฝ่ ายเหนือ พ.ศ.๒๔๕๖ ดารงตาแหน่งผบู้ งั คบั
กองดดั สนั ดาน กองทพั ท๑ี่ ครน้ั ถงึ พ.ศ. ๒๔๕๘ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระยา
กลั ยาณภกั ดี สงั กดั กรมทา่ ขวา กระทรวงการตา่ งประเทศ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
โปรดเกลา้ ฯพระราชทานนามสกลุ “กลั ยาณสตุ ” เมอื่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๖ พนั เอก พระยา
กลั ยาณภกั ดี มบี ุตร ๗ คน อาทิ นางแมน้ แจม่ อารยี ,์ นายชติ กลั ยาณสุต ,พนั ตรเี ออื้ ม กลั ยาณ
สตุ , นางอาพนั ธ ์ กลั ยาณสตุ และนางอาไพ กลั ยาณสตุ พนั เอกพระยากลั ยาณภกั ดี ถงึ แก่
อนิจจกรรมเมอ่ื วนั ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๓
ในปี พ.ศ.๒๔๕๘และพ.ศ.๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรณุ าโปรด
เกลา้ ฯใหค้ ณะอหิ ม่ามทงั้ ในกรงุ เทพฯและจงั หวดั ตา่ ง ๆ เขา้ เฝ้ าทลู ลอองธลุ พี ระบาทรบั พระราชทาน
เสอื้ ยศตา่ งๆ ซง่ึ แบ่งเป็ นสามชนั้ ตวั เสอื้ มพี ระมหามงกุฎกบั อกั ษรพระปรมาภไิ ธยปักดว้ ยดนิ้ ทองและ
ไหมตดิ หนา้ อกและพระราชทานผา้ ซยู ูดหแ์ กค่ ณะอหิ มา่ มดว้ ย ในวโรกาสทง้ั สองครงั้ นี้ พระยา
กลั ยาณภกั ดเี ป็ นผอู้ า่ นคากราบบงั คมทลู พระกรณุ าในนามของคณะอหิ ม่ามและอสิ ลามกิ ชนทเี่ ขา้
เฝ้ าทลู ลอองธลุ พี ระบาท
๔๓
๕.พระกลั ยาณภกั ดี (ต๋อง กลั ยาณสุต) เป็ นบตุ รหลวงสุนทรวารี (พว่ ง กลั ยาณสตุ )
และท่านหลง (ฉัตรสุวรรณ) กลั ยาณสตุ เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๑๒ รบั ราชการในกรมท่าขวา ในปี พ.ศ.
๒๔๕๙ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น หลวงสุนทรวารี ดารงตาแหน่งผชู้ ว่ ยราชการใน
กรมทา่ ขวา ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระกลั ยาณภกั ดี ดารง
ตาแหน่งราชการในกรมท่าขวา สงั กดั กระทรวงการต่างประเทศ ครน้ั ถงึ พ.ศ.๒๔๖๕ โปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานยศเป็ นอามาตยต์ รี พระกลั ยาณภกั ดมี บี ุตรหลายคน อาทิ พนั เอกบารงุ กลั ยาณสตุ ,
นางประยรู ปานประณีตและนางสาวประหยดั กลั ยาณสุต พระกลั ยาณภกั ดี ถงึ แกก่ รรมเมอื่ ๒๗
กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๑
๖.พระกลั ยาณภกั ดี (มูฮมั หมดั ยูซฟุ กะรมิ กุล) เป็ นบุตรหลวงภกั ดี (บวด กะรมิ กลุ ) และทา่ น
ปราง ในสมยั รชั กาลที่ ๔ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงสุนทรวารี ผชู้ ว่ ยราชการใน
กรมทา่ ขวา ฝ่ ายพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) ตอ่ มาในสมยั รชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระกลั ยาณภกั ดี ดารงตาแหน่งเจา้ กรมท่าขวา ฝ่ ายพระราชวงั บวรฯเมอ่ื
วนั ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๐ ซงึ่ ทาหนา้ ทดี่ แู ลการคา้ ของราชสานักกบั ตา่ งประเทศ ในปี พ.ศ.
๒๔๔๗ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานเหรยี ญรตั นาภรณร์ ชั กาล
ที่ ๔ ชนั้ ที่ ๕ ทาดว้ ยเงนิ ลว้ นแกพ่ ระกลั ยาณภกั ดี ซงึ่ ทา่ นเป็ น ๑ ใน ๑๐ ของขา้ ราชการมสุ ลมิ ทไี่ ดร้ บั
พระราชทานเหรยี ญนี้ เนื่องจากไดร้ บั ราชการสนองพระเดชพระคณุ ในรชั การที่ ๔ ซงึ่ เหรยี ญนีส้ รา้ ง
ขนึ้ เนื่องในวโนกาสครบรอบรอ้ ยปี แหง่ วนั พระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระกลั ยาณภกั ดสี มรสกบั ทา่ นผอ่ ง บตุ รพี ระยากลั ยาณภกั ดี (เหลา่ กลั ยาณสตุ ) มบี ุตรสามคน คอื
นางสาวพลอย กะรมิ กุล , นางบุศย ์ เกตเุ ทยี่ งกจิ และหลวงทพิ ธารา (อมิ่ กะรมิ กุล) พระกลั ยาณ
ภกั ดี ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื วนั ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๗
๔๔
๗.นาวาตรี พระลกั ษมณา (หลา่ ชลายนเดชะ) บตุ รท่านตวนแพ และท่านทองคา ชลายน
เดชะ เกดิ เมอ่ื วนั ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๐ เรมิ่ รบั ราชการในกองทพั เรอื เมอ่ื พ.ศ.๒๔๓๖ ใน
ตาแหน่งพนักงานกองเรง่ ชาระพลทหารเรอื พ.ศ.๒๔๔๔ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นขนุ
พนิ ิจอกั ษร พ.ศ.๒๔๔๕ ดารงตาแหน่งนายเวรกองกลาง กรมทะเบยี นทหารเรอื พ.ศ.๒๔๔๗ เป็ นนาย
นายเวรออกใบอนุญาตกรมทะเบยี นทหารเรอื มยี ศเป็ นเรอื โท พ.ศ.๒๔๕๑ เป็ นนายเวรแผนกบญั ชี
เงนิ กรมทะเบยี นและกรมพระธรรมนูญทหารเรอื มยี ศเป็ นเรอื เอก พ.ศ.๒๔๕๒ มบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ นขนุ
รามเดชะ พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็ นนายเวรหนังสอื กรมทะเบยี นทหารเรอื พ.ศ.๒๔๕๔ เป็ นนายเวรกอง
ทะเบยี น กรมปลดั ทพั เรอื พ.ศ. ๒๔๕๕ มบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงลกั ษมณา พ.ศ.๒๔๕๗ มยี ศเป็ นนาวา
ตรี พ.ศ. ๒๔๖๗ มบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ นพระลกั ษมณา และ พ.ศ. ๒๔๗๔ ดารงตาแหน่งหวั หนา้ แผนกท๔ี่
กรมสสั ดี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานนามสกลุ “ชลายนเดชะ”
เมอ่ื วนั ที่ ๕ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๕๘ นาวาตรี พระลกั ษมณาสมรสกบั นางเชอื้ วฒั นเวช มบี ตุ ร ๑๐ คน
อาทิ นายมนตรี ชลายนเดชะ , นางเลอื่ นลกั ษณ์ ธรี ลกั ษณ์ ,นางตลบั ศรี รตั นเจรญิ , นายชลอ
ศกั ดิ ์ ชลายนเดชะ นาวาตรี พระลกั ษมณา ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๕
๘.หลวงโกชาอศิ หาก (นาโคดา อาล)ี เป็ นบตุ รท่านเจะ๊ ซอและห ์ (ซงึ่ เป็ นหลานทวดทา่ นมสุ ตอ
ฟา บุตรสุลต่านสลุ ยั มาน) บดิ าของหลวงโกชาอศิ หากไดอ้ พยพครอบครวั มาจากเมอื งไทรบุรี เมอ่ื
ปลายรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกมหาราช โดยมาตง้ั ถนิ่ ฐานบา้ นชอ่ งในคลอง
บางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) ใกลม้ สั ยดิ ตน้ สน หลงั จากน้ันท่านอาลไี ดเ้ ขา้ รบั ราชการในกอง
พาณิชยน์ าวขี องพระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทร ์(ตอ่ มาคอื พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้
เจา้ อยู่หวั ) ซงึ่ ขณะนั้นมกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั ประเทศจนี ท่านไดร้ บั ตาแหน่งเป็ นนายเรอื หรอื ที่
เรยี กวา่ “นาโคดา” ปลายรชั สมยั สมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั โปรดเกลา้ ฯพระราชทาน
บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น “หลวงโกชาอศิ หาก” มตี าแหน่งเป็ นลา่ มในกรมทา่ ขวา ครนั้ ถงึ พ.ศ.๒๓๖๕ รฐั บาล
องั กฤษไดส้ ่ง ยอน ครอเฟิ ด เป็ นหวั หนา้ ราชทตู มาเจรจาปัญหาเกยี่ วกบั เมอื งไทรบุรแี ละเกาะหมาก
(ปี นัง) ตลอดจนเรอื่ งการคา้ ขององั กฤษกบั ไทย และองั กฤษขอใหร้ ฐั บาลไทยคมุ ้ ครองพ่อคา้ ชาว
องั กฤษดว้ ย หลวงโกชาอศิ หากไดท้ าหนา้ ทเี่ ป็ นลา่ มภาษามลายู ในการเจรญิ พระราชไมตรใี นครงั้ น้ัน
๔๕
ดว้ ย หลวงโกชาอศิ หากมบี ตุ ร ๖ คน คอื ๑.ท่านเหรยี่ ม สมรสกบั ทา่ นหลากและท่านนาค ๒.ทา่ นอมิ่
สมรสกบั ท่านทว้ ม ทว้ มประถม ๓.ทา่ นนก สมรสกบั ทา่ นนุย้ ทองคาวงศ ์ ๔.ท่านนอ้ ย ทองคาวงศ ์
๕.ทา่ นเทศ ทองคาวงศ ์ ๖.ทา่ นสดุ ทองคาวงศ ์ เขา้ ใจวา่ หลวงโกชาอศิ หากคงถงึ แกก่ รรมราวปลาย
รชั กาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อย่หู วั
๙.หลวงเสน่หศ์ รชติ (ทบั หรอื อะหมดั ) เป็ นบตุ รพระยาไกรโกษา (สองเมอื ง) รบั ราชการเป็ น
มหาดเล็กเวรเสน่หร์ กั ษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น ขนุ
มหาฤทธไิ กร ดารงตาแหน่งปลดั กรมคู่ชกั ซา้ ย ครน้ั ถงึ ปี พ.ศ. ๒๓๙๘ โปรดเกลา้ ฯพระราชทาน
บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงเสน่หศ์ รชติ ดารงตาแหน่งเจา้ กรมพระแสงปื นตน้ ขวา กลา่ วกนั วา่ หลวงเสน่ห ์
ศรชติ เป็ นนักแมน่ ปื นทมี่ คี วามสามารถมากคนหนึ่ง หลวงเสน่หศ์ รชติ สมรสกบั ท่านพง่ึ มบี ุตร ๒ คน
คอื ทา่ นมะหมุด บนิ อะหมดั และท่านพว่ ง บนิ อะหมดั .
๑๐.หลวงลกั ษมณา (หมา่ น มานะจติ ต)์ เป็ นบุตรทา่ นตวนหมี และทา่ นนอ้ ย (บุตรที า่ นหมดุ
และทา่ นปกุ ) รบั ราชการในกรมอาสาจาม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงลกั ษมณา ดารงตาแหน่งเป็ น เจา้ กรมอาสาจามขวา ในสมยั สมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ ฯ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๒๒ โปรดเกลา้ ฯใหเ้ ดนิ ทางไปรบั คณะของเจา้ เมอื งไทรบรุ ี ซงึ่ จะ
เดนิ ทางไปเขา้ เฝ้ าทลู ละอองธลุ พี ระบาท ในปี พ.ศ.๒๔๒๖ โปรดเกลา้ ฯใหเ้ ดนิ ทางไปเมอื งไทรบุรเี พอ่ื
ดูแลราชการทเี่ มอื งน้ัน ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๒๗ รว่ มเดนิ ทางไปกบั คณะขา้ หลวงซง่ึ เดนิ ทางไปเยยี่ ม
อาการป่ วยของพระยาเดชานุชติ ฯ เจา้ เมอื งกลนั ตนั ในปี พ.ศ.๒๔๒๙ หลงั จากทไี่ ดเ้ ดนิ ทางไปแสวง
บุญทนี่ ครเมกกะ ประเทศซาอดุ อิ ารเบยี ท่านไดเ้ ขา้ เฝ้ าทูลละอองธลุ พี ระบาททูลเกลา้ ฯถวายกาเวยี น
ทาดว้ ย นิเกลิ และผลไมแ้ หง้ จากประเทศซาอดุ อิ ารเบยี แดพ่ ระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานเหรยี ญรตั นา
ภรณร์ ชั กาลท๔ี่ ม.ป.ร. ชนั้ ที่ ๔ แกห่ ลวงลกั ษมณา ซงึ่ เหรยี ญนีส้ รา้ งขนึ้ ในวโรกาสครบ ๑๐๐ ปี แห่ง
วนั พระบรมราชสมภพในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั โดยเหตุทที่ ่านไดร้ บั ราชการสนอง
พระเดชพระคุณในรชั กาลที่ ๔ ครน้ั ถงึ ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรด
เกลา้ ฯพระราชทานยศเป็ น รองอามาตยเ์ อก หลวงลกั ษมณาสมรสกบั ทา่ นเอม มบี ตุ ร ๓ คน คอื ๑.
ขนุ รามฤทธไิ กร (แป้ น มานะจติ ต)์ ๒. ท่านนอ้ ย มานะจติ ต ์ และ ๓. ทา่ นหมุด มานะจติ ต ์ หลวง
ลกั ษมณาถงึ แกก่ รรมเมอื่ วนั ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๔.
๔๖
๑๑.พนั ตรี หลวงไพบูลยย์ นตรกจิ (สดุ ใจ มานะจติ ต)์ เป็ นบตุ รของทา่ นนอ้ ย มานะจติ ต ์ และ
ท่านเมา้ (ศรเดช) มานะจติ ต ์ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๖ มนี าคม พ.ศ.๒๔๓๑ เรมิ่ รบั ราชการทหารบกเมอื่
พ.ศ. ๒๔๕๑ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๕๕ มยี ศเป็ นรอ้ ยตรี พ.ศ. ๒๔๕๖ ดารงตาแหน่งผชู้ ว่ ยหวั หนา้ แผนก๑
กรมพาหนะทหารบก พ.ศ.๒๔๖๑ มยี ศเป็ นรอ้ ยโท พ.ศ. ๒๔๖๕ ดารงตาแหน่งหวั หนา้ แผนก ๒ กรม
โรงงาน พ.ศ.๒๔๖๖ มยี ศเป็ นรอ้ ยเอก พ.ศ.๒๔๖๘โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวง
ไพบลู ยย์ นตรกจิ พ.ศ. ๒๔๘๐ มยี ศเป็ นพนั ตรี มตี าแหน่งราชการในกรมยกกระบตั ร หลวงไพบลู ย ์
ยนตรกจิ สมรสกบั ทา่ นเสงยี่ ม ทองคาวงศ ์ มบี ตุ ร ๒ คน คอื นางสมถวลิ มานะจติ ต ์ และ ร.ต.ต.
สุรพล มานะจติ ต ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานนามสกุล
“มาณะจติ ต”์ เมอ่ื วนั ที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๖ พนั ตรี หลวงไพบูลยย์ นตรกจิ ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื วนั ที่ ๑
มนี าคม พ.ศ.๒๔๙๘
• หมายเหตุ* นามสกลุ ทไี่ ดร้ บั พระราชทานสะกดว่า “มาณะจติ ต”์ ตอ่ มาภายหลงั บตุ รหลาน
และวงศญ์ าติ ใชต้ วั สะกดเป็ น “มานะจติ ต”์ ตามแบบรฐั นิยมในสมยั จอมพลป.พบิ ูล
สงคราม
๑๒.หลวงศรมี หาราชา (ชมุ่ ) เป็ นบตุ รหลวงศรมี หาราชา (กอน) และทา่ นกอ้ นแกว้ รบั ราชการ
กรมอาสาจาม ครนั้ ต่อมามบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็ น ขนุ นเรนทรภกั ดี ดารงตาแหน่งปลดั กรมอาสาจาม ครน้ั
ถงึ วนั ที่ ๒๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๔๓๒ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น หลวงศรมี หาราชา
ดารงตาแหน่งเจา้ กรมอาสาจามซา้ ย สงั กดั กองทพั เรอื ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระ
มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานยศเป็ นรองอามาตยเ์ อก หลวงศรมี หาราชาสมรสกบั
ท่านพลอย บตุ รขี นุ อนุชติ (ชนื่ ) และท่านน่ิม ไมม่ สี ายสบื หลวงศรมี หาราชาถงึ แกก่ รรมเมอื่ วนั ที่ ๒๖
มถิ ุนายน พ.ศ.๒๔๕๗
๔๗
๑๓.หลวงสนุ ทรวารี (พว่ ง กลั ยาณสตุ ) เป็ นบตุ รของพระยากลั ยาณภกั ดี (เดช กลั ยาณสตุ )
รบั ราชการในกรมทา่ ขวา ฝ่ ายพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) ต่อมาโปรดเกลา้ ฯพระราชทาน
บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น หลวงสนุ ทรวารี มตี าแหน่งเป็ นผชู้ ว่ ยราชการในกรมท่าขวา ฝ่ ายพระราชวงั บวรฯ
หลวงสนุ ทรวารสี มรสกบั ทา่ นหลง ฉัตรสุวรรณ มบี ตุ ร ๔ คน คอื ๑.ท่านจว้ น ทองคาวงศ ์ ๒.พนั เอก
พระยากลั ยาณภกั ดี (ยะกูบ กลั ยาณสตุ ) ๓.ท่านทรพั ย ์ กลั ยาณสตุ ๔.พระกลั ยาณภกั ดี (ตอ๋ ง กลั
ยาณสุต) และมบี ตุ ร๑คนกบั อกี ภรรยา คอื ขนุ วทิ ูรโทรกจิ (เจมิ กลั ยาณสุต) หลวงสนุ ทรวารถี งึ แก่
กรรมเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๙
๑๔.หลวงทพิ ธารา (อมิ่ กะรมิ กุล) เป็ นบุตรพระกลั ยาณภกั ดี (มูฮมั หมดั ยซู ฟุ กะรมิ กุล)
และท่านผ่อง (บตุ รพี ระยากลั ยาณภกั ดี (เหล่า กลั ยาณสตุ )) เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๐ รบั ราชการใน
กรมทา่ ขวา ฝ่ ายพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ โปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงทพิ ธารา มตี าแหน่งเป็ นลา่ มภาษา และทปี่ รกึ ษาในกรมท่าขวา
ฝ่ ายพระราชวงั บวรฯ หลงั จากทเี่ กษียณอายรุ าชการแลว้ ทา่ นไดย้ า้ ยไปพานักอยู่ทจี่ งั หวดั
พระนครศรอี ยุธยา โดยเปิ ดรา้ นขายยาแผนโบราณชอ่ื “โอสถสถานทพิ ย”์ ตง้ั อยรู่ ะหว่างคลองมหา
นาคกบั คลองเมอื ง ทงั้ นีเ้ นื่องจากทา่ นมคี วามรเู ้ รอื่ งยาแผนโบราณซงึ่ ไดร้ บั การสบื ทอดมาจากบรรพ
บุรษุ สาหรบั ชอื่ ตารบั ยาของท่าน อาทิ “ดานิลรศั ม”ี รกั ษาแกไ้ ข ้ “บรมสขุ ” เป็ นยาถา่ ย “เทพจา
จวน” รกั ษาอาการทอ้ งเสยี หลวงทพิ ธารามบี ตุ รหลายคน อาทิ นายสงา่ ทพิ ยธ์ ารา , นายเสมยี น
ทพิ ยธ์ ารา เป็ นตน้ สาหรบั นามสกลุ “กะรมิ กลุ ” พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ
พระราชทานแกห่ ลวงทพิ ธารา เมอ่ื วนั ที่ ๓ ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๕๘ หลวงทพิ ธาราถงึ แกก่ รรมเมอ่ื พ.ศ.
๒๔๘๘
*หมายเหตุ ชอ่ื บรรดาศกั ดขิ ์ องหลวงทพิ ธารานี้ ผเู้ ขยี นสะกดตามราชกจิ จานุเบกษาและใบประกาศ
พระราชทานนามสกลุ “กะรมิ กลุ ” ก็สะกดหลวงทพิ ธารา ตอ่ มาภายหลงั มกี ารสะกดเป็ นทพิ ยธ์ ารา
และบุตรหลานไดใ้ ชช้ อ่ื บรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นนามสกลุ โดยสะกดเป็ น “ทพิ ยธ์ ารา”
๔๘
๑๕.หลวงพพิ ธิ เภสชั (ทองใบ ไวทยานนท)์ เป็ นบตุ รหมอนาค ไวทยานนท ์ ซงึ่ เป็ นแพทย ์
แผนโบราณ และนางเข็ม ไวทยานนท ์ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๓ กมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ.๒๔๓๕ ณ.บา้ นรมิ คลอง
บางกอกใหญ่ ใกลม้ สั ยดิ บางหลวง (กุฎขี าว) เรมิ่ เขา้ ศกึ ษาทโี่ รงเรยี นวดั กลั ยาณ์ ต่อมาในปี พ.ศ.
๒๔๕๓ ไดถ้ วายตวั เป็ นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯใหเ้ ป็ นเจา้
พนักงานเชญิ เครอื่ ง มตี าแหน่งราชการในกองคลงั วรภาชน์ ครน้ั ถงึ ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ โปรดเกลา้ ฯให ้
ยา้ ยเขา้ มารบั ราชการในกองแพทยม์ หาดเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดิ ์
เป็ นขนุ พพิ ธิ เภสชั มตี าแหน่งเป็ นรองหมุ ้ แพร พ.ศ. ๒๔๖๓ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ น
หลวงพพิ ธิ เภสชั พ.ศ.๒๔๖๔ มตี าแหน่งเป็ นหมุ ้ แพร หลวงพพิ ธิ เภสชั ไดร้ บั ใชส้ นองเบอื้ งพระยุคลบาท
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั จนกระท่งั เสด็จสวรรคตจงึ ไดท้ ลู ลาออกจากราชการ
หลงั จากนั้นทา่ นไดป้ ระกอบวชิ าชพี แพทยแ์ ผนโบราณ โดยรกั ษาคนไขท้ ง้ั ใกลแ้ ละไกลจนมชี อื่ เสยี ง
เลอื่ งลอื ทา่ นไดค้ ดั ลอกตารายาแพทยแ์ ผนโบราณและตาราหมอนวด ซงึ่ หมอนาคผเู้ ป็ นบดิ าได ้
บนั ทกึ ไวใ้ นสมุดขอ่ ย ๒ เล่ม เพอื่ ใหอ้ นุชนรนุ่ หลงั ไดใ้ ชค้ น้ ควา้ หาความรู ้ และนาไปรกั ษาผเู้ จ็บป่ วย
ต่อมาตาราดงั กลา่ วไดจ้ ดั พมิ พข์ นึ้ เป็ นอนุสรณใ์ นงานทาบุญ ๔๐ วนั ของคุณทองทศ ไวทยานนท ์
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯพระราชทานนามสกลุ แกห่ ลวงพพิ ธิ เภสชั วา่
“ไวทยานนท”์ เมอ่ื วนั ที่ ๗ สงิ หาคม พ.ศ.๒๔๕๖ หลวงพพิ ธิ เภสชั สมรสกบั นางหวาน บตุ รนี ายชว่ ง
และนางน่ิม เมอ่ื พ.ศ.๒๔๕๕ มบี ตุ ร ๓ คน คอื ๑. นายทองทศ ไวทยานนท ์ อดตี บรรณาธกิ าร
หนังสอื พมิ พไ์ ทยรฐั ๒.นายทองกร ไวทยานนท ์ และ ๓.นายทองขนั ธ ์ ไวทยานนท ์ หลวงพพิ ธิ เภสชั
ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๕
๔๙
๑๖.พนั ตรี หลวงพรรฦกสรศกั ดิ ์(หรมิ่ ไวถนอมสตั ว)์ บตุ รนายอสิ มาอลี (ทบั ) และนาง
เล็ก ไวถนอมสตั ว ์ เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๓๔ เขา้ รบั การศกึ ษาทโี่ รงเรยี นนายสบิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๘ ตอ่ มา
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็ นนักเรยี นสตั วแพทยท์ หาร พ.ศ.๒๔๕๖ รบั ราชการกองผสมสตั วท์ หารบก พ.ศ.
๒๔๕๙ มยี ศเป็ นรอ้ ยตรี พ.ศ.๒๔๖๐ ประจาแผนกอศั วแพทยท์ หารบก พ.ศ.๒๔๖๑ มยี ศเป็ นรอ้ ยโท
และดารงตาแหน่งหวั หนา้ แผนกอศั วแพทย ์ กรมจเรสตั วพ์ าหนะทหารบกและการทหารมา้ พ.ศ.๒๔๖๒
มยี ศเป็ นรอ้ ยเอก พ.ศ.๒๔๖๓ โปรดเกลา้ ฯพระราชทานบรรดาศกั ดเิ ์ ป็ นหลวงพรรฦกสรศกั ดิ ์ พ.ศ.
๒๔๖๔ ดารงตาแหน่งหวั หนา้ แผนกผสมสตั วแ์ ละเสบยี งสตั วท์ หารบก พ.ศ.๒๔๗๒ มยี ศเป็ นพนั ตรี
พ.ศ.๒๔๗๕ เป็ นหวั หนา้ การแพทยส์ ตั วก์ องบงั คบั การทหารมา้ พ.ศ.๒๔๗๖ เป็ นนายทหารกองเบยี้
หวดั กองบงั คบั การจงั หวดั ทหารบกกรงุ เทพฯ ทา่ นสมรสกบั นางทองคา อา่ รตั น์ บุตรขี นุ รตั นาภิ
บาล (เสงยี่ ม อ่ารตั น)์ มบี ตุ ร ๑๐ คน อาทิ นางรวยรนิ ซาลมิ ,ี นายธานี พงษพ์ รรฦก, นายจนิ ดา
พงษพ์ รรฦกและนายไพจติ ร พงษพ์ รรฦก ต่อมาสมรสกบั นางเลอื่ น เพชรทองคา มบี ุตร ๕ คน อาทิ
นายพบิ ูล พงษพ์ รรฦก, นายไมตรี พงษพ์ รรฦกและนายบรรเทงิ พงษพ์ รรฦก พนั ตรี หลวงพรรฦก
สรศกั ดิ ์ ถงึ แกก่ รรมเมอื่ วนั ที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๒
๕๐